• พบตัวแล้ว! "น้องอมยิ้ม" เด็ก 7 ขวบที่คุณแม่โพสต์แจ้งหายตัวไปจากพื้นที่สุขุมวิท 31 หลังจากตำรวจเจรจาจนคุณแม่ยอมเปิดประตูและยอมให้เข้าไปจนพบตัวเด็ก

    17 ตุลาคม 2567-ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Siwa Oeh Chaikrittayakul แม่ของ “น้องอมยิ้ม” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ลูกสายวัย 7 ขวบได้หายตัวไป จากพื้นที่สุขุมซอย 31 ทำให้โลกออนไลน์พากันห่วงใยและแชร์ช่วยกันหา

    ต่อมา เธอได้ลบโพสต์ดังกล่าวออกไป โดยให้เหตุผลว่า มีการแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ และเบื้องต้นได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนแล้ว

    ขณะที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ได้โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 17.12 น. แจ้งว่าได้ตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ปรากฎว่ามีการแจ้งความไว้ที่ สน.ทองหล่อ หรือไม่ได้รับแจ้งเหตุสายด่วนทางโทรศัพท์

    ขณะที่ตำรวจได้พยายามติดต่อแม่ “น้องอมยิ้ม” อย่างต่อเนื่อง ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฎ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้ติดตามหาตัวน้องอย่างเร่งด่วนตามข้อมูลเบาะแสทั้งหมดที่หาและรับทราบ

    เมื่อเวลา 18.23 น. สน.ทองหล่อ เปิดเผยด้วยว่า ฝ่ายสืบสวน สน.ทองหล่อ และ บก.สส.บช.น. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนที่ถูกกล่าวถึงตามข่าว แต่ปรากฎว่าอยู่ระหว่างปิดภาคการศึกษา และภาพเด็กหญิงที่ปรากฎ ก็ไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนแต่อย่างใด นอกจากนั้นยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนใกล้เคียงภายในซอยสุขุมวิท 31 แต่ก็อยู่ระหว่างปิดภาคเรียน ไม่มีนักเรียนและครูภายในโรงเรียน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ

    ต่อมาเวลา 20.08 น. ตำรวจชุดสืบสวน ได้ซักถามเพื่อนของแม่ “น้องอมยิ้ม” และลงพื้นที่ตรวจสอบที่พักย่านรัชดาภิเษก – ห้วยขวาง ซึ่งทราบว่าประกอบธุรกิจส่วนตัว ขายของออนไลน์ ตำรวจได้พยายามติดต่อแม่ของ “น้องอมยิ้ม”แต่ติดต่อไม่ได้

    ล่าสุด 21.45 น. ชุดสืบนครบาล ยืนยันว่า ทีมสารวัตรแจ๊ะและสืบทองหล่อ พบตัว "น้องอมยิ้ม" แล้ว น้องปลอดภัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส หลังจากคุณแม่น้องยอมเปิดประตูยืนเจรจา และยอมให้เข้าไปจนพบตัวน้อง

    #Thaitimes
    พบตัวแล้ว! "น้องอมยิ้ม" เด็ก 7 ขวบที่คุณแม่โพสต์แจ้งหายตัวไปจากพื้นที่สุขุมวิท 31 หลังจากตำรวจเจรจาจนคุณแม่ยอมเปิดประตูและยอมให้เข้าไปจนพบตัวเด็ก 17 ตุลาคม 2567-ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Siwa Oeh Chaikrittayakul แม่ของ “น้องอมยิ้ม” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ลูกสายวัย 7 ขวบได้หายตัวไป จากพื้นที่สุขุมซอย 31 ทำให้โลกออนไลน์พากันห่วงใยและแชร์ช่วยกันหา ต่อมา เธอได้ลบโพสต์ดังกล่าวออกไป โดยให้เหตุผลว่า มีการแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ และเบื้องต้นได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนแล้ว ขณะที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ได้โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 17.12 น. แจ้งว่าได้ตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ปรากฎว่ามีการแจ้งความไว้ที่ สน.ทองหล่อ หรือไม่ได้รับแจ้งเหตุสายด่วนทางโทรศัพท์ ขณะที่ตำรวจได้พยายามติดต่อแม่ “น้องอมยิ้ม” อย่างต่อเนื่อง ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฎ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้ติดตามหาตัวน้องอย่างเร่งด่วนตามข้อมูลเบาะแสทั้งหมดที่หาและรับทราบ เมื่อเวลา 18.23 น. สน.ทองหล่อ เปิดเผยด้วยว่า ฝ่ายสืบสวน สน.ทองหล่อ และ บก.สส.บช.น. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนที่ถูกกล่าวถึงตามข่าว แต่ปรากฎว่าอยู่ระหว่างปิดภาคการศึกษา และภาพเด็กหญิงที่ปรากฎ ก็ไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนแต่อย่างใด นอกจากนั้นยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนใกล้เคียงภายในซอยสุขุมวิท 31 แต่ก็อยู่ระหว่างปิดภาคเรียน ไม่มีนักเรียนและครูภายในโรงเรียน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ ต่อมาเวลา 20.08 น. ตำรวจชุดสืบสวน ได้ซักถามเพื่อนของแม่ “น้องอมยิ้ม” และลงพื้นที่ตรวจสอบที่พักย่านรัชดาภิเษก – ห้วยขวาง ซึ่งทราบว่าประกอบธุรกิจส่วนตัว ขายของออนไลน์ ตำรวจได้พยายามติดต่อแม่ของ “น้องอมยิ้ม”แต่ติดต่อไม่ได้ ล่าสุด 21.45 น. ชุดสืบนครบาล ยืนยันว่า ทีมสารวัตรแจ๊ะและสืบทองหล่อ พบตัว "น้องอมยิ้ม" แล้ว น้องปลอดภัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส หลังจากคุณแม่น้องยอมเปิดประตูยืนเจรจา และยอมให้เข้าไปจนพบตัวน้อง #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 569 Views 0 Reviews
  • วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญ การให้สัมภาษณ์ของ บอสพอล ในรายการโหนกระแส /ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    จากกรณีที่ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ตัดสินใจมาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการการโดยพี่หนุ่มกรรชัย กำเนิดพลอยนั้น เป็นการเตรียมคำตอบสำหรับการต่อสู้คดี แต่บางคำตอบอาจจะเป็นสาระสำคัญแห่งคดีมีดังต่อไปนี้

    1.บอสพอลระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายหลักมี 10 ราย คือ บอสปัน, บอสสวย, บอสวิน, บอสหมอเอก, บอสโซดา+บอสป๊อป, บอสทอมมี่, บอสต่าย, บอสอ๊อฟ+บอสจอย, บอสแม่หญิง, บอสโอม โดยบริษัทจะขายให้คนเหล่านี้เท่านั้น ส่วนแต่ละทีมจะไปแตกทีมขายด้วยกรรมวิธีอย่างไร เป็นเรื่องความรับผิดชอบของแต่ละทีม (เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ว่าขอตัดตอนในกระบวนการขายทั้งหมด ให้เป็นความรับผิดชอบของตัวแทนจำหน่าย แม่ทีม และลูกทีม)

    อย่างไรก็ตามบอสพอลระบุว่าได้เคยดูการขายออนไลน์ทั้ง 3 ขั้นตอน 1.สอนคอร์สขายของออนไลน์ 2.แนะนำสินค้า 3.การลงทุน 250,000 บาท ซึ่งแปลว่ารับรู้กระบวนการขายที่เน้นการลงทุนและหาเครือข่ายต่อนี้ด้วย จึงไม่อาจปฏิเสธขั้นตอนการขายของแม่ทีม หรือ ตัวแทนจำหน่ายได้

    2.บอสพอลระบุว่าดาราซึ่งเป็นผู้ที่มีรายรับตาม % ของ “ยอดขาย” คือ บอสกัณต์, บอสแซม, บอสมิน ดังนั้นถือว่าดาราเหล่านี้เป็นขบวนการที่มีค่าตอบแทนตาม “ยอดขาย” ยิ่งมีการลงทุนมาก หรือขายได้มาก ยิ่งได้รับผลตอบแทนมาก

    ดาราเหล่านี้ที่รับประโยชน์ตาม % ของยอดขาย จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ใช่เพียงแค่รับจ้างทั่วไป โดยเฉพาะดารามีการระบุสถานภาพเกินกว่าพรีเซ็นเตอร์ในทางสาธารณะ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีดาราเหล่านี้เป็นผู้บริหาร จึงเร่งสร้างความน่าเชื่อถือในการลงทุน

    ส่วนบอสพอลระบุว่าสคริปต์ที่ให้เหล่าดาราพูดนั้นเป็นข้อๆ (Bullet) แต่ก็มีการร้องขอให้พูดเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่งไม่สามารถบังคับให้ดาราเหล่านี้พูดตามหรือไม่พูดตามได้

    3.บอสพอลยอมรับว่าผู้ชื้อทุกรายอยู่ในฐานะ “ผู้ลงทุน” ซื้อสินค้ากับบริษัทโดยตรง บ้างก็รับสินค้าไป บ้างก็ฝากสินค้าเอาไว้กับบริษัท

    แต่…

    4.บอสพอลระบุว่าการลงพื้นที่ของตำรวจเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 แล้วสินค้าในคงคลังแทบไม่มี เพราะหลังเกิดเรื่องเป็นต้นมา ทำให้มีประชาชนบาเบิกสินค้าในคงคลังจนแทบหมด และกำลังจะเร่งสั่ง ”นำเข้ามา“ อีก เพราะบริษัทสั่งผลิต “ตามที่เบิก”

    ข้อสงสัยและคำถามประเด็นนี้ คือการสั่งผลิตสินค้า ”ตามที่เบิก“ ไม่ได้มีสินค้าตาม ”การสั่งซื้อ“ทั้งหมด หรือรับเงินมาแต่อาจจะยังไม่มีสินค้าเลยก็ได้ ดังนั้น

    เงินของคนที่จ่ายเงินมาเหล่านั้นจึงอาจไม่ใช่การซื้อสินค้า แต่อาจะเป็นการซื้อสต๊อกลมที่ไม่มีอยู่จริง หรือการกู้ยืมเงินมาหมุนโดยอ้างว่าเป็นการซื้อสินค้า หรือไม่?

    และเมื่อมีการแห่กันเบิกสินค้าจึงเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือไม่?

    คำถามคือคนที่จ่ายเงินไปโดยไม่สินค้าอยู่ในมือและไม่คิดจะขายสินค้า หรือคิดแต่จะหาสมาชิกเพิ่มขึ้นนั้น ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างไร?

    เพราะมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ความว่า

    “มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น“

    5.สรุปว่าบอสพอลเงินจ่ายเงินที่ถูกไถจากนักร้องเรียน ทนาย และส่วนงานอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองแผลในทางธุรกิจตัวเองบางอย่าง มีตั้งแต่หลักแสน และการการถูกรีดไถในระดับ 1-3 ล้านบาท แต่ไม่ให้ความร่วมมือว่าจ่ายไปให้ใครและเพื่อกลบเกลื่อนแผลทางธุรกิจอะไร?

    ขอบคุณรายการโหนกระแสที่จัดการสัมภาษณ์ ครั้งนี้ให้เกิดความชัดเจนขึ้นครับ

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    14 ตุลาคม 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1073002797526753/?

    #Thaitimes
    วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญ การให้สัมภาษณ์ของ บอสพอล ในรายการโหนกระแส /ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จากกรณีที่ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ตัดสินใจมาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการการโดยพี่หนุ่มกรรชัย กำเนิดพลอยนั้น เป็นการเตรียมคำตอบสำหรับการต่อสู้คดี แต่บางคำตอบอาจจะเป็นสาระสำคัญแห่งคดีมีดังต่อไปนี้ 1.บอสพอลระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายหลักมี 10 ราย คือ บอสปัน, บอสสวย, บอสวิน, บอสหมอเอก, บอสโซดา+บอสป๊อป, บอสทอมมี่, บอสต่าย, บอสอ๊อฟ+บอสจอย, บอสแม่หญิง, บอสโอม โดยบริษัทจะขายให้คนเหล่านี้เท่านั้น ส่วนแต่ละทีมจะไปแตกทีมขายด้วยกรรมวิธีอย่างไร เป็นเรื่องความรับผิดชอบของแต่ละทีม (เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ว่าขอตัดตอนในกระบวนการขายทั้งหมด ให้เป็นความรับผิดชอบของตัวแทนจำหน่าย แม่ทีม และลูกทีม) อย่างไรก็ตามบอสพอลระบุว่าได้เคยดูการขายออนไลน์ทั้ง 3 ขั้นตอน 1.สอนคอร์สขายของออนไลน์ 2.แนะนำสินค้า 3.การลงทุน 250,000 บาท ซึ่งแปลว่ารับรู้กระบวนการขายที่เน้นการลงทุนและหาเครือข่ายต่อนี้ด้วย จึงไม่อาจปฏิเสธขั้นตอนการขายของแม่ทีม หรือ ตัวแทนจำหน่ายได้ 2.บอสพอลระบุว่าดาราซึ่งเป็นผู้ที่มีรายรับตาม % ของ “ยอดขาย” คือ บอสกัณต์, บอสแซม, บอสมิน ดังนั้นถือว่าดาราเหล่านี้เป็นขบวนการที่มีค่าตอบแทนตาม “ยอดขาย” ยิ่งมีการลงทุนมาก หรือขายได้มาก ยิ่งได้รับผลตอบแทนมาก ดาราเหล่านี้ที่รับประโยชน์ตาม % ของยอดขาย จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ใช่เพียงแค่รับจ้างทั่วไป โดยเฉพาะดารามีการระบุสถานภาพเกินกว่าพรีเซ็นเตอร์ในทางสาธารณะ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีดาราเหล่านี้เป็นผู้บริหาร จึงเร่งสร้างความน่าเชื่อถือในการลงทุน ส่วนบอสพอลระบุว่าสคริปต์ที่ให้เหล่าดาราพูดนั้นเป็นข้อๆ (Bullet) แต่ก็มีการร้องขอให้พูดเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่งไม่สามารถบังคับให้ดาราเหล่านี้พูดตามหรือไม่พูดตามได้ 3.บอสพอลยอมรับว่าผู้ชื้อทุกรายอยู่ในฐานะ “ผู้ลงทุน” ซื้อสินค้ากับบริษัทโดยตรง บ้างก็รับสินค้าไป บ้างก็ฝากสินค้าเอาไว้กับบริษัท แต่… 4.บอสพอลระบุว่าการลงพื้นที่ของตำรวจเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 แล้วสินค้าในคงคลังแทบไม่มี เพราะหลังเกิดเรื่องเป็นต้นมา ทำให้มีประชาชนบาเบิกสินค้าในคงคลังจนแทบหมด และกำลังจะเร่งสั่ง ”นำเข้ามา“ อีก เพราะบริษัทสั่งผลิต “ตามที่เบิก” ข้อสงสัยและคำถามประเด็นนี้ คือการสั่งผลิตสินค้า ”ตามที่เบิก“ ไม่ได้มีสินค้าตาม ”การสั่งซื้อ“ทั้งหมด หรือรับเงินมาแต่อาจจะยังไม่มีสินค้าเลยก็ได้ ดังนั้น เงินของคนที่จ่ายเงินมาเหล่านั้นจึงอาจไม่ใช่การซื้อสินค้า แต่อาจะเป็นการซื้อสต๊อกลมที่ไม่มีอยู่จริง หรือการกู้ยืมเงินมาหมุนโดยอ้างว่าเป็นการซื้อสินค้า หรือไม่? และเมื่อมีการแห่กันเบิกสินค้าจึงเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือไม่? คำถามคือคนที่จ่ายเงินไปโดยไม่สินค้าอยู่ในมือและไม่คิดจะขายสินค้า หรือคิดแต่จะหาสมาชิกเพิ่มขึ้นนั้น ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างไร? เพราะมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ความว่า “มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น“ 5.สรุปว่าบอสพอลเงินจ่ายเงินที่ถูกไถจากนักร้องเรียน ทนาย และส่วนงานอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองแผลในทางธุรกิจตัวเองบางอย่าง มีตั้งแต่หลักแสน และการการถูกรีดไถในระดับ 1-3 ล้านบาท แต่ไม่ให้ความร่วมมือว่าจ่ายไปให้ใครและเพื่อกลบเกลื่อนแผลทางธุรกิจอะไร? ขอบคุณรายการโหนกระแสที่จัดการสัมภาษณ์ ครั้งนี้ให้เกิดความชัดเจนขึ้นครับ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 14 ตุลาคม 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1073002797526753/? #Thaitimes
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 1111 Views 1 Reviews
  • โรงงานป้ายแขวน ของ..สาคร

    ในช่วงที่สินค้าถูกทำการตลาดหลากหลายช่องทางด้วยเงินสมาชิก ก็ทำให้สินค้าเริ่มเป็นที่รู้จัก ขายดีมากๆ

    จนนาย สาคร เริ่มเกิดความระแวง กลัวว่าสมาชิกจะไปติดต่อที่โรงงานเพื่อผลิตสินค้าและทำการตลาดแข่งกับบริษัทของตัวเอง

    นายสาคร ก็เลยกลัวว่าคนจะไม่ทำงานให้กับตัวเอง เพราะตามหลักของคนขายดีก็มักจะแยกตัวออกไปทำเอง โดยดูจากหลังกล่องสินค้าก็จะเจอโรงงานผลิตที่แท้จริง

    #ยุทธการโรงงานป้ายแขวน จึงเกิดขึ้น

    มีการจดทะเบียนบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ดี เน็ตเวิร์ก แล็บ จำกัด (ผู้ถือหุ้นก็ 3 เกลอเจ้าของบริษัท DNW )

    วัตถุประสงค์ก็เพื่อต้องการปกปิดชื่อของโรงงานที่ผลิตสินค้าจริงๆ โดยใช้ชื่อของบริษัทใหม่เป็นผู้ผลิตแทน

    เพื่อปิดบังชื่อโรงงานที่ผลิตสินค้าที่แท้จริงเอาไว้ โดยมีการจัดทริปเพื่อนำสมาชิกส่วนหนึ่งไปเยี่ยมชมโรงงานที่ผลิตในช่วงแรก

    แต่ในความเป็นจริงแล้วโรงงานนี้ #เป็นโรงงานทิพย์

    โรงงานมีแค่ป้ายแขวน ไม่ได้มีเครื่องกลในการผลิตสินค้าจริงๆ มีสินค้ามากกว่า 80 ยี่ห้อมีฉลากระบุว่าผลิตจากโรงงานทิพย์ ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นมาใหม่

    แต่ทั้ง 80 สินค้านั้นกลับไม่เคยมีการผลิต #เป็นสินค้าทิพย์

    มันเป็นสินค้า 80 ตัวที่สร้างปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกสมาชิกว่าโรงงานทิพย์แห่งนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าถึง 80 ยี่ห้อ

    จึงทำให้งบการเงินของโรงงานที่ยื่นทุกปีไม่มีอะไรสอดคล้องกับยอดจำหน่ายสินค้าของบริษัทหลักเลย

    เพราะความจริงแล้วสินค้าทุกตัวของ DNW ถูกผลิตขึ้นที่บริษัท อินโนว่า แล็บโบราโทรี่ จำกัด

    นับเป็นแผนการอันแยบยลของสามเกลอเพื่อปิดบังไม่ให้ใครไปต่อสายตรงกับโรงงานผลิตของตัวเองได้

    ---------

    เข้าสู่ยุคการตลาดออนไลน์..

    ปี 2559 นาย สาคร ได้เริ่มนำพาสมาชิกเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยในช่วงแรกทำการตลาดแบบไม่ยิงโฆษณา เน้นการโพสต์กลุ่ม สร้างเฟซบุ๊กอวตาร

    หลังจากอยู่ในโลกออนไลน์มาพักใหญ่ Facebook เริ่มมีการให้บริการซื้อโฆษณานาย สาคร จึงไปลงเรียนคอร์สยิงแอดสอนฟรีจัดโดย ม.หอการค้า

    พอเริ่มตั้งโฆษณาเป็น นาย สาคร ก็เริ่มมาปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจ เลิกสนใจออฟไลน์ จะพาทุกคนไปออนไลน์ให้หมด

    ซึ่งก็อย่างที่เราทราบกัน ช่วงแรกค่าโฆษณามันถูกมากๆ โฆษณาแค่วันละ 300 ขายได้วันละหลายพัน หลายหมื่นบาท

    แต่ก็เหมือนเดิม คนอย่างนาย สาคร มันไม่จ่ายเองหรอก มันใช้หลักการ OPM (Other People Money) เหมือนเดิม

    ซึ่งในช่วงแรกๆมันง่ายและได้ผลจริง เพราะเป็นบริษัทแรกๆที่พาคนมาขายออนไลน์ คนแข่งขันมันน้อย ยอดบริษัทก็เริ่มกลับมา

    สาคร..ผู้มีสมองเพชร เลยมีแนวคิดสร้างสถาบันสอนการขายของออนไลน์ โดยไปซื้อที่ดินบางส่วนและเช่าที่ดินข้างหลังทำอาคารและที่จอดรถ
    👉 https://maps.app.goo.gl/4VYYkmVkyT4DPYkC6

    โดยให้สมาชิกชวนคนมาเรียนออนไลน์

    สาคร..สอนการทำการตลาดโฆษณา Facebook เป็นหลัก ขายปลีก + ชวนคน เป็นรูปแบบของการสร้างเครือข่ายนักขายออนไลน์

    ที่มีคนมาจ่ายค่าโฆษณาสินค้าให้ หลักการ OPM แบบเดิมอีกแล้ว โดยที่ สาคร วางแผนว่าตัวเองจะไม่ต้องควักเงินสักบาท

    ปี 2560 เริ่มมีการติดต่อศิลปินมาหลายคนรวมทั้ง“ครูสลา”ด้วย

    การจ้างครูสลามาเป็น Presenter ซึ่งถือเป็นความโชคดีของสาคร เพราะครูสลาทำให้สินค้าเกี่ยวกับดวงตาเป็นที่รู้จักและเกิดความต้องการในตลาดอย่างมาก

    เนื่องจากแฟนคลับของครูสลานั้นมากมายล้นหลาม ตอนยิงโฆษณาด้วยความ จร.ของสาคร ก็ตั้งโฆษณาเลยว่าศิลปินเหล่านั้นเป็นคนขายผลิตภัณฑ์นี้เอง

    จนคนทั่วไปเรียกกันว่า.. "ยาครูสลา"

    แล้วด้วยความโลภของสาคร ก็เลยไปกระตุ้นให้ตั้งโฆษณาโดยเคลมว่าสามารถ"รักษาได้ผล" ไม่ว่าจะเป็น ต้อกระจก ต้อหิน กระจกตาอักเสบ หายได้โดยไม่ต้องหาหมอ

    ซึ่งโรคพวกนี้คนต่างจังหวัดเป็นกันมาก และเวลาไปรักษากับหมอก็จะบอกว่ามีค่าผ่าตัดที่แพงมากทำให้ไม่มีทางเลือกในการรักษา

    ต้องมองหาการรักษาที่ถูกกว่าค่าผ่าตัด พอมาเจอโฆษณา“ยาครูสลา”โพสต์อยู่เต็ม Facebook เท่านั้นแหละ ยอดขายพุ่งกระฉูดนับเงินกันชุ่่มฉ่ำ

    โดยนายสาครได้ใส่โฆษณาเกินจริงชักนำให้สมาชิกแต่ละคนควักเงินจ่ายค่าโฆษณาเกินจริงกันให้เต็มที่

    ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ของยอดขายที่เติบโตเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันความฉิบหายก็มาเกิดกับครูสลาคนเดียว อย.ได้เรียกครูสลาไปปรับครั้งแรก

    ครูสลา..ต้องรับหน้าเสื่อออกหน้าอยู่คนเดียว โดนค่าปรับ 500,000 บาท แกก็ยอมจ่ายเอง จึงเป็นเหตุให้ครูสลาไม่ต่อสัญญาในภายหลัง เรื่องนี้นักเรียนยังไม่รู้เลยสักคน

    ครูสลา..บอกเลิกสัญญาไปแล้วแต่สาครยังคงใช้รูปครูสลาไปเรื่อยๆ จน อย.ได้เรียกครูสลาไปสนทนาเสียค่าปรับเป็นครั้งที่ 2 โดนอีก 500,000 บาทอีก

    จนครูสลาต้องร้องเพลงตัวเอง "เหนื่อยไหมคนดีมีพี่เป็นพรีเซนเตอร์" ถถถ แล้วทำหนังสือแจ้งเตือนไปที่สาคร ห้ามใช้ภาพแกทำโฆษณาอีก

    แต่ก็ยังมีการยิงแอดกันอย่างถล่มทลายไปที่“ยาครูสลา ”จนสุดท้าย อย.ได้ยกเลิกใบอนุญาตสินค้าตัวนั้นไป

    สาคร..ก็เปลี่ยนชื่อสินค้าเป็นชื่ออื่นเปลี่ยนไปเรื่ิอยๆ จ่าย อย.เสร็จก็ย้ายชื่อหนี แก้ไขชื่อนิดหน่อย เลข อย.ใหม่ ทดแทนเลขเดิมที่โดนยกเลิก

    จากชื่อแรก DContact เป็น Dcontact2 , dcontact plus , dcontact x แล้วก็ยังคงให้นักเรียนขายต่อ

    ช่วงนั้นสินค้าที่ขายดีของบริษัทคือ KOREGINS และ DContact และก็มีผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับสายตาเอาไว้ up sell คือ Viewo โดย บ.เคนยากุ เป็นผู้ผลิต

    ปี 2561 สถาบันสอนขายของออนไลน์ DNW ในช่วงนั้น ถือว่าเป็นจุดขายที่ดีมากๆ เพราะถือว่าเป็นความรู้ใหม่ที่หลายคนต้องการ

    สินค้าก็เริ่มมีมากขึ้น เช่น ALERTIDE เริ่มมีจำนวนสมาชิกเข้าสู่ธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือน the icon เปี๊ยบเลย

    เพียงแต่ DNW เป็นยุคแรกของการยิงโฆษณาโดยใช้ OPM แต่ยุคนั้นบอสพอลยังคงยิงแอดเองอยู่เลย ประกอบกับยุคนั้นออนไลน์มันขายของได้ง่ายมากๆ

    -------

    สาคร..เริ่มหลงตัวเอง

    เมื่อความพร้อมมี ความหงี่จึงบังเกิด สาคร เริ่มกลายเป็นสมภาร กินไก่วัดตัวเอง เมื่อมีสมาชิกคนไหนหน้าตาดีหน่อย มีท่าทีเล่นด้วยพี่แกฟาดหมดไม่สนลูกใคร

    จ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวหลายคน เห็นว่าบางคนได้บ้านเป็นหลังก็มี ได้รถไปขับ เงินแค่นี้ไม่ระคายผิวสาครอยู่แล้ว

    ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับแซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยเบอร์ 1 (เพราะแซนก็คงลืมไปว่าตัวเองก็เป็นเมียน้อยเหมือนกัน ถถถ)

    สาคร..เลยปลอบใจแซนโดยการซื้อที่ดินปลูกบ้านหรูให้อยู่ในหมู่บ้านปัญญารามอินทรา P6
    👉 https://maps.app.goo.gl/afjf9TnjQziFjhWUA

    เรื่องบ้านราคา 100 ล้าน กับรถเฟอรารี่ที่ขับ ep.3 จะเล่าให้ฟังว่าเอามาจากไหน.?

    --------

    สินค้าคุณภาพขายดี แต่โดน อย.ฟัน แล้วถ้าใครขายไม่ดีจะทำอย่างไร.?

    แผนอันแยบยลของ สาคร คือออกกฎห้ามทุกคนขายของบน Shopee , Lazada และห้ามขายราคาต่ำกว่าราคาบนกล่อง

    แต่ความ จร.ของสาคร คือปล่อยให้ Downline คนสนิทที่เป็นนอมินี เอาของไปขายบน Shopee , Lazada ตัดราคาสมาชิกเสียเอง

    แต่ในขณะเดียวกันในฐานออฟไลน์ที่ของต้องไปขายตามตลาดทั่วๆไปหรือหน้าร้าน สาคร ได้ตั้งโกดังปล่อยของแถวพัฒนาการ ปล่อยของหลังบ้าน

    เรียกว่ากินหัวคิวออนไลน์ไม่พอ ยังผลิตของมาปล่อยไม่ผ่านบริษัทเพื่อไปออฟไลน์อีก

    และอาหารเสริมหลายๆตัวก็เป็นแบบ DContact พอโดนเรื่อง อย.ก็จะใช้วิธีจดเลข อย.ใหม่ เปลี่ยนสารสกัด เพื่อกลับมาขายใหม่

    โดยมักจะเป็นกับอาหารเสริมที่ อย.ควบคุมเข้มอยู่แล้ว เช่น ลดน้ำหนัก Rafeata และ อาหารเสริมความแข็งแรงท่านชาย 7seed

    พอโดน อย.เล่น ก็จะกลับมาใหม่ในชื่อ 7SeDe (เซเว่น เซเด) สาคร ทำแบบนี้มาตลอด แค่เปลี่ยนชื่อ แล้วให้นักเรียนทำการตลาดต่อไป..จนนักเรียนโดนจับ

    ยิ่งขับเฟซอวตารมาพิมพ์ตีเนียน พ่ะยิ่งขยี้อ่ะ 🤨 เอาดิ่เอ้า แล้วมาคอยอ่านตอน 3 ด้วยนะครับนะ

    ep.1
    👉 https://www.facebook.com/share/p/uj12aLxwZ7kkhEVM/?mibextid=WC7FNe

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    โรงงานป้ายแขวน ของ..สาคร ในช่วงที่สินค้าถูกทำการตลาดหลากหลายช่องทางด้วยเงินสมาชิก ก็ทำให้สินค้าเริ่มเป็นที่รู้จัก ขายดีมากๆ จนนาย สาคร เริ่มเกิดความระแวง กลัวว่าสมาชิกจะไปติดต่อที่โรงงานเพื่อผลิตสินค้าและทำการตลาดแข่งกับบริษัทของตัวเอง นายสาคร ก็เลยกลัวว่าคนจะไม่ทำงานให้กับตัวเอง เพราะตามหลักของคนขายดีก็มักจะแยกตัวออกไปทำเอง โดยดูจากหลังกล่องสินค้าก็จะเจอโรงงานผลิตที่แท้จริง #ยุทธการโรงงานป้ายแขวน จึงเกิดขึ้น มีการจดทะเบียนบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ดี เน็ตเวิร์ก แล็บ จำกัด (ผู้ถือหุ้นก็ 3 เกลอเจ้าของบริษัท DNW ) วัตถุประสงค์ก็เพื่อต้องการปกปิดชื่อของโรงงานที่ผลิตสินค้าจริงๆ โดยใช้ชื่อของบริษัทใหม่เป็นผู้ผลิตแทน เพื่อปิดบังชื่อโรงงานที่ผลิตสินค้าที่แท้จริงเอาไว้ โดยมีการจัดทริปเพื่อนำสมาชิกส่วนหนึ่งไปเยี่ยมชมโรงงานที่ผลิตในช่วงแรก แต่ในความเป็นจริงแล้วโรงงานนี้ #เป็นโรงงานทิพย์ โรงงานมีแค่ป้ายแขวน ไม่ได้มีเครื่องกลในการผลิตสินค้าจริงๆ มีสินค้ามากกว่า 80 ยี่ห้อมีฉลากระบุว่าผลิตจากโรงงานทิพย์ ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ทั้ง 80 สินค้านั้นกลับไม่เคยมีการผลิต #เป็นสินค้าทิพย์ มันเป็นสินค้า 80 ตัวที่สร้างปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกสมาชิกว่าโรงงานทิพย์แห่งนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าถึง 80 ยี่ห้อ จึงทำให้งบการเงินของโรงงานที่ยื่นทุกปีไม่มีอะไรสอดคล้องกับยอดจำหน่ายสินค้าของบริษัทหลักเลย เพราะความจริงแล้วสินค้าทุกตัวของ DNW ถูกผลิตขึ้นที่บริษัท อินโนว่า แล็บโบราโทรี่ จำกัด นับเป็นแผนการอันแยบยลของสามเกลอเพื่อปิดบังไม่ให้ใครไปต่อสายตรงกับโรงงานผลิตของตัวเองได้ --------- เข้าสู่ยุคการตลาดออนไลน์.. ปี 2559 นาย สาคร ได้เริ่มนำพาสมาชิกเข้าสู่โลกออนไลน์ โดยในช่วงแรกทำการตลาดแบบไม่ยิงโฆษณา เน้นการโพสต์กลุ่ม สร้างเฟซบุ๊กอวตาร หลังจากอยู่ในโลกออนไลน์มาพักใหญ่ Facebook เริ่มมีการให้บริการซื้อโฆษณานาย สาคร จึงไปลงเรียนคอร์สยิงแอดสอนฟรีจัดโดย ม.หอการค้า พอเริ่มตั้งโฆษณาเป็น นาย สาคร ก็เริ่มมาปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจ เลิกสนใจออฟไลน์ จะพาทุกคนไปออนไลน์ให้หมด ซึ่งก็อย่างที่เราทราบกัน ช่วงแรกค่าโฆษณามันถูกมากๆ โฆษณาแค่วันละ 300 ขายได้วันละหลายพัน หลายหมื่นบาท แต่ก็เหมือนเดิม คนอย่างนาย สาคร มันไม่จ่ายเองหรอก มันใช้หลักการ OPM (Other People Money) เหมือนเดิม ซึ่งในช่วงแรกๆมันง่ายและได้ผลจริง เพราะเป็นบริษัทแรกๆที่พาคนมาขายออนไลน์ คนแข่งขันมันน้อย ยอดบริษัทก็เริ่มกลับมา สาคร..ผู้มีสมองเพชร เลยมีแนวคิดสร้างสถาบันสอนการขายของออนไลน์ โดยไปซื้อที่ดินบางส่วนและเช่าที่ดินข้างหลังทำอาคารและที่จอดรถ 👉 https://maps.app.goo.gl/4VYYkmVkyT4DPYkC6 โดยให้สมาชิกชวนคนมาเรียนออนไลน์ สาคร..สอนการทำการตลาดโฆษณา Facebook เป็นหลัก ขายปลีก + ชวนคน เป็นรูปแบบของการสร้างเครือข่ายนักขายออนไลน์ ที่มีคนมาจ่ายค่าโฆษณาสินค้าให้ หลักการ OPM แบบเดิมอีกแล้ว โดยที่ สาคร วางแผนว่าตัวเองจะไม่ต้องควักเงินสักบาท ปี 2560 เริ่มมีการติดต่อศิลปินมาหลายคนรวมทั้ง“ครูสลา”ด้วย การจ้างครูสลามาเป็น Presenter ซึ่งถือเป็นความโชคดีของสาคร เพราะครูสลาทำให้สินค้าเกี่ยวกับดวงตาเป็นที่รู้จักและเกิดความต้องการในตลาดอย่างมาก เนื่องจากแฟนคลับของครูสลานั้นมากมายล้นหลาม ตอนยิงโฆษณาด้วยความ จร.ของสาคร ก็ตั้งโฆษณาเลยว่าศิลปินเหล่านั้นเป็นคนขายผลิตภัณฑ์นี้เอง จนคนทั่วไปเรียกกันว่า.. "ยาครูสลา" แล้วด้วยความโลภของสาคร ก็เลยไปกระตุ้นให้ตั้งโฆษณาโดยเคลมว่าสามารถ"รักษาได้ผล" ไม่ว่าจะเป็น ต้อกระจก ต้อหิน กระจกตาอักเสบ หายได้โดยไม่ต้องหาหมอ ซึ่งโรคพวกนี้คนต่างจังหวัดเป็นกันมาก และเวลาไปรักษากับหมอก็จะบอกว่ามีค่าผ่าตัดที่แพงมากทำให้ไม่มีทางเลือกในการรักษา ต้องมองหาการรักษาที่ถูกกว่าค่าผ่าตัด พอมาเจอโฆษณา“ยาครูสลา”โพสต์อยู่เต็ม Facebook เท่านั้นแหละ ยอดขายพุ่งกระฉูดนับเงินกันชุ่่มฉ่ำ โดยนายสาครได้ใส่โฆษณาเกินจริงชักนำให้สมาชิกแต่ละคนควักเงินจ่ายค่าโฆษณาเกินจริงกันให้เต็มที่ ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ของยอดขายที่เติบโตเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันความฉิบหายก็มาเกิดกับครูสลาคนเดียว อย.ได้เรียกครูสลาไปปรับครั้งแรก ครูสลา..ต้องรับหน้าเสื่อออกหน้าอยู่คนเดียว โดนค่าปรับ 500,000 บาท แกก็ยอมจ่ายเอง จึงเป็นเหตุให้ครูสลาไม่ต่อสัญญาในภายหลัง เรื่องนี้นักเรียนยังไม่รู้เลยสักคน ครูสลา..บอกเลิกสัญญาไปแล้วแต่สาครยังคงใช้รูปครูสลาไปเรื่อยๆ จน อย.ได้เรียกครูสลาไปสนทนาเสียค่าปรับเป็นครั้งที่ 2 โดนอีก 500,000 บาทอีก จนครูสลาต้องร้องเพลงตัวเอง "เหนื่อยไหมคนดีมีพี่เป็นพรีเซนเตอร์" ถถถ แล้วทำหนังสือแจ้งเตือนไปที่สาคร ห้ามใช้ภาพแกทำโฆษณาอีก แต่ก็ยังมีการยิงแอดกันอย่างถล่มทลายไปที่“ยาครูสลา ”จนสุดท้าย อย.ได้ยกเลิกใบอนุญาตสินค้าตัวนั้นไป สาคร..ก็เปลี่ยนชื่อสินค้าเป็นชื่ออื่นเปลี่ยนไปเรื่ิอยๆ จ่าย อย.เสร็จก็ย้ายชื่อหนี แก้ไขชื่อนิดหน่อย เลข อย.ใหม่ ทดแทนเลขเดิมที่โดนยกเลิก จากชื่อแรก DContact เป็น Dcontact2 , dcontact plus , dcontact x แล้วก็ยังคงให้นักเรียนขายต่อ ช่วงนั้นสินค้าที่ขายดีของบริษัทคือ KOREGINS และ DContact และก็มีผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับสายตาเอาไว้ up sell คือ Viewo โดย บ.เคนยากุ เป็นผู้ผลิต ปี 2561 สถาบันสอนขายของออนไลน์ DNW ในช่วงนั้น ถือว่าเป็นจุดขายที่ดีมากๆ เพราะถือว่าเป็นความรู้ใหม่ที่หลายคนต้องการ สินค้าก็เริ่มมีมากขึ้น เช่น ALERTIDE เริ่มมีจำนวนสมาชิกเข้าสู่ธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือน the icon เปี๊ยบเลย เพียงแต่ DNW เป็นยุคแรกของการยิงโฆษณาโดยใช้ OPM แต่ยุคนั้นบอสพอลยังคงยิงแอดเองอยู่เลย ประกอบกับยุคนั้นออนไลน์มันขายของได้ง่ายมากๆ ------- สาคร..เริ่มหลงตัวเอง เมื่อความพร้อมมี ความหงี่จึงบังเกิด สาคร เริ่มกลายเป็นสมภาร กินไก่วัดตัวเอง เมื่อมีสมาชิกคนไหนหน้าตาดีหน่อย มีท่าทีเล่นด้วยพี่แกฟาดหมดไม่สนลูกใคร จ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวหลายคน เห็นว่าบางคนได้บ้านเป็นหลังก็มี ได้รถไปขับ เงินแค่นี้ไม่ระคายผิวสาครอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับแซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยเบอร์ 1 (เพราะแซนก็คงลืมไปว่าตัวเองก็เป็นเมียน้อยเหมือนกัน ถถถ) สาคร..เลยปลอบใจแซนโดยการซื้อที่ดินปลูกบ้านหรูให้อยู่ในหมู่บ้านปัญญารามอินทรา P6 👉 https://maps.app.goo.gl/afjf9TnjQziFjhWUA เรื่องบ้านราคา 100 ล้าน กับรถเฟอรารี่ที่ขับ ep.3 จะเล่าให้ฟังว่าเอามาจากไหน.? -------- สินค้าคุณภาพขายดี แต่โดน อย.ฟัน แล้วถ้าใครขายไม่ดีจะทำอย่างไร.? แผนอันแยบยลของ สาคร คือออกกฎห้ามทุกคนขายของบน Shopee , Lazada และห้ามขายราคาต่ำกว่าราคาบนกล่อง แต่ความ จร.ของสาคร คือปล่อยให้ Downline คนสนิทที่เป็นนอมินี เอาของไปขายบน Shopee , Lazada ตัดราคาสมาชิกเสียเอง แต่ในขณะเดียวกันในฐานออฟไลน์ที่ของต้องไปขายตามตลาดทั่วๆไปหรือหน้าร้าน สาคร ได้ตั้งโกดังปล่อยของแถวพัฒนาการ ปล่อยของหลังบ้าน เรียกว่ากินหัวคิวออนไลน์ไม่พอ ยังผลิตของมาปล่อยไม่ผ่านบริษัทเพื่อไปออฟไลน์อีก และอาหารเสริมหลายๆตัวก็เป็นแบบ DContact พอโดนเรื่อง อย.ก็จะใช้วิธีจดเลข อย.ใหม่ เปลี่ยนสารสกัด เพื่อกลับมาขายใหม่ โดยมักจะเป็นกับอาหารเสริมที่ อย.ควบคุมเข้มอยู่แล้ว เช่น ลดน้ำหนัก Rafeata และ อาหารเสริมความแข็งแรงท่านชาย 7seed พอโดน อย.เล่น ก็จะกลับมาใหม่ในชื่อ 7SeDe (เซเว่น เซเด) สาคร ทำแบบนี้มาตลอด แค่เปลี่ยนชื่อ แล้วให้นักเรียนทำการตลาดต่อไป..จนนักเรียนโดนจับ ยิ่งขับเฟซอวตารมาพิมพ์ตีเนียน พ่ะยิ่งขยี้อ่ะ 🤨 เอาดิ่เอ้า แล้วมาคอยอ่านตอน 3 ด้วยนะครับนะ ep.1 👉 https://www.facebook.com/share/p/uj12aLxwZ7kkhEVM/?mibextid=WC7FNe สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    1 Comments 0 Shares 358 Views 0 Reviews
  • “บอสพอล” เจ้าของดิไอคอน กรุ๊ป โผล่ให้ปากคำตำรวจ ปคบ.ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ อ้างสร้างบริษัทมา 6 ปี ไม่คิดว่าขายของออนไลน์จะผิดกฎหมาย ยอมรับเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เตรียมหาทางเยียวยาผู้เสียหาย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000097780

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “บอสพอล” เจ้าของดิไอคอน กรุ๊ป โผล่ให้ปากคำตำรวจ ปคบ.ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ อ้างสร้างบริษัทมา 6 ปี ไม่คิดว่าขายของออนไลน์จะผิดกฎหมาย ยอมรับเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เตรียมหาทางเยียวยาผู้เสียหาย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000097780 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Angry
    Like
    Haha
    Wow
    14
    2 Comments 0 Shares 2075 Views 0 Reviews
  • ไมเคิล ชาเฟล..มหาเทพในตำนาน ผู้ร่ำรวยบนความฉิบหายของคนอื่น

    ท้าวความ..สมัยไมเคิลอายุได้ 16 ปี เรียนอยู่เอแบค ไมเคิลได้ไปรู้จักกับ Herbalife ในปี 2546

    ยุคนั้นคนยังไม่ค่อยรู้จัก Facebook (Facebook เปิดให้บริการครั้งแรก 2547) ยังไม่มีการยิงโฆษณา

    ไมเคิล..คือผู้มาก่อนกาลเวลาเหนือผู้ใด เรียกว่ายุคที่ยังไม่มีการขายของออนไลน์เลย Herbalife ก็คือสินค้า MLM ธรรมดา

    แต่..ไมเคิล มองออกว่าโลกออนไลน์มีพลังมากกว่าการชวนคนแบบเจอหน้าในออฟไลน์ จึงคิดแผนการตลาดขึ้นมาด้วยการที่ให้คนชวนคนบน FB.

    ต้องเข้าใจนะว่าไม่มีการยิงโฆษณาใดๆ เพราะมันเป็นยุคแรกของโลก Social แทนที่คนจะได้คุยกัน แบ่งปันเรื่องราวตามที่ Mark มันออกแบบมาต้องการให้ FB.เป็นเหมือนชุมชนเพื่อน

    แต่..ไมเคิลมันรู้ว่าสามารถเอา FB.มาเป็นร้านค้าได้ด้วยการโพสต์และแชร์ไปเรื่อยๆ ยุคนั้น Algorithm ของ FB.ยังไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกวันนี้เลย

    ตอนนั้น FB.เพิ่งเริ่มต้นตั้งไข่ มีแต่แผนจะร่ำรวยดันตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ เลยไม่ได้สนใจในการพัฒนา AI.ตรวจจับการทำ Content ซ้ำๆ

    ถ้าพูดกันถึงยุคนี้ถ้าเราโพสต์ Content ซ้ำๆ จะโดน Algorithm ของ FB.แบนทันที เหมือนที่เราเคยเห็นตอนที่คนแชร์คลิปเพลงของ Lisa แล้ว FB.แบนนั่นแหละ

    AI มันทำหน้าที่ของมัน เพราะมันคิดว่าเป็นการกระหน่ำ Spam ระบบ หรือระบบกำลังโดนโจมตี

    แต่ยุคของไมเคิลนั้นโล่งสบาย เพราะทุกคนทำอะไรก็ได้ จะสแปมยังไงก็ได้ดังนั้นมันจึงตั้ง Herbalife Thailand ขึ้นมา

    แล้วจัดสัมมนา โดยมีหลักในการ Motivate ที่ไม่เหมือนใคร ฉีกกฎทุกกฎของคนทำ MLM ในประเทศไทย

    ไมเคิล..เก่งเรื่อง NLP ล้างสมองคนได้ ไม่ต้องมีอะไร แค่บอกว่าทำกับมันแล้วรวย วิธี Sponsor ของมันสุดติ่งมาก

    ยุคนั้น..เป็นการชวนคนแบบโพสต์ออนไลน์แล้วให้สมาชิกลากคนมาฟัง นั่งรถไฟฟ้าไปที่ศูนย์อบรมของมัน แล้วมันก็เข้าปิดการขายได้แบบ Conversion กระหน่ำจุกๆเลย
    ---------

    แผนประทุษกรรมของ..ไมเคิล

    เปิดตัวด้วยความเร้าใจ เดินเข้ามาในห้องแล้วโชว์ Black Berry แล้วถามคนในห้องว่าโทรศัพท์นี้แพงไหม ทุกคนตอบว่าแพง

    จากนั้นมันก็เขวี้ยงโทรศัพท์ Black Berry ไปที่กำแพงให้แตกแล้วพูดด้วยเสียงนิ่มๆว่า "ถ้าคุณทำธุรกิจกับผม คุณจะซื้อ Black Berry อีกกี่รอบก็ได้" ถถถ🤣

    แค่นี้ก็ทำ First Impression ให้คนในห้องแม่งตะลึงได้แล้ว จากนั้นมันก็จะใช้กลยุทธการปิดการขายโดยใช้หลักการที่เรียกว่า..ทฤษฏีห้องเปล่า

    คือทุกคนย่อมไม่มีเงินลงทุน มันบอกว่าก็ลองมองไปยังของในห้องที่คุณอยู่หรือบ้านที่คุณอยู่สิ

    คุณมีอะไรขายได้เอามาลงทุนกับผมแล้วจะรวย ขายได้ ขายให้หมด เอาเงินสดมาลงทุนกับผม แล้วผมจะพาคุณรวยไปด้วยกัน.?

    ได้ผล..คนแห่ซื้อของแม่งอย่างกับลดแลกแจกแถม เพราะอยากได้ Black Berry กี่รอบก็ได้ตามที่มันแสดง Action ให้ดู ว่าคนรวย เงินแค่นี้จิ๊บๆ

    ไมเคิล..สอนให้คนทำการตลาดด้วยการแนะนำสินค้าบน FB.ด้วยการโพสต์ และแชร์ และให้ทุกคนเริ่มต้นซื้อสินค้าของมัน

    เปิดบิลขั้นต่ำ 25,000 บาท สูงๆก็หลักแสน หลังเปิดบิลแล้วก็จะได้สต็อกของเต็มห้องหลังจากเข้าสู่วังวน“ทฤษฏีห้องเปล่า”เรียบร้อยแล้ว

    เปลี่ยนจากทรัพย์ที่มีเป็นสินค้า Herbalife เพราะคุณจะรวยไปด้วยกันกับไมเคิล ยุคนั้นเป็นยุคตื่นทอง คนไม่เคยเจออะไรแบบนี้

    เลยคิดเอาเองว่า..นี่แหละวะคือทางออกของ Passive Income และนั่นคือจุดเริ่มต้นความรวยของ..ไมเคิล ชาเฟล

    ไมเคิล..มีรถ Super Car ขับหลังจากนั้นไม่นาน รวยเร็ว รวยไว อายุน้อยร้อยล้านของแท้ แต่คนอื่นฉิบหายช่างมัน

    ใครอยากรอดตายให้ชวนคนมาต่อตูดถึงจะได้ค่าหัวคิวเปิดบิล..แชร์ลูกโซ่ชัดๆ

    ไมเคิล..เริ่มรวยหลักร้อยล้าน มันก็เริ่มคิดอยากจะมีในสิ่งที่เศรษฐีทั่วไปเขามีกันบางคนอยากได้นาฬิกาแพงๆ มันมีแล้ว

    บางคนอยากได้รถหรู มันมีแล้ว บ้านหลังใหญ่ มันมีแล้ว สิ่งที่ไมเคิลฝันนั้นสุดโต่งขึ้นตามลำดับ

    ไมเคิล..ฝันอยากได้เฮลิคอปเตอร์มันบอกเพื่อนๆว่า รถมันกระจอก กูจะมีเฮลิคอปเตอร์เอาไว้บินจากกรุงเทพไปพัทยาและ..กูจะทำให้ได้

    รอติดตาม ep.2

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    ไมเคิล ชาเฟล..มหาเทพในตำนาน ผู้ร่ำรวยบนความฉิบหายของคนอื่น ท้าวความ..สมัยไมเคิลอายุได้ 16 ปี เรียนอยู่เอแบค ไมเคิลได้ไปรู้จักกับ Herbalife ในปี 2546 ยุคนั้นคนยังไม่ค่อยรู้จัก Facebook (Facebook เปิดให้บริการครั้งแรก 2547) ยังไม่มีการยิงโฆษณา ไมเคิล..คือผู้มาก่อนกาลเวลาเหนือผู้ใด เรียกว่ายุคที่ยังไม่มีการขายของออนไลน์เลย Herbalife ก็คือสินค้า MLM ธรรมดา แต่..ไมเคิล มองออกว่าโลกออนไลน์มีพลังมากกว่าการชวนคนแบบเจอหน้าในออฟไลน์ จึงคิดแผนการตลาดขึ้นมาด้วยการที่ให้คนชวนคนบน FB. ต้องเข้าใจนะว่าไม่มีการยิงโฆษณาใดๆ เพราะมันเป็นยุคแรกของโลก Social แทนที่คนจะได้คุยกัน แบ่งปันเรื่องราวตามที่ Mark มันออกแบบมาต้องการให้ FB.เป็นเหมือนชุมชนเพื่อน แต่..ไมเคิลมันรู้ว่าสามารถเอา FB.มาเป็นร้านค้าได้ด้วยการโพสต์และแชร์ไปเรื่อยๆ ยุคนั้น Algorithm ของ FB.ยังไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกวันนี้เลย ตอนนั้น FB.เพิ่งเริ่มต้นตั้งไข่ มีแต่แผนจะร่ำรวยดันตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ เลยไม่ได้สนใจในการพัฒนา AI.ตรวจจับการทำ Content ซ้ำๆ ถ้าพูดกันถึงยุคนี้ถ้าเราโพสต์ Content ซ้ำๆ จะโดน Algorithm ของ FB.แบนทันที เหมือนที่เราเคยเห็นตอนที่คนแชร์คลิปเพลงของ Lisa แล้ว FB.แบนนั่นแหละ AI มันทำหน้าที่ของมัน เพราะมันคิดว่าเป็นการกระหน่ำ Spam ระบบ หรือระบบกำลังโดนโจมตี แต่ยุคของไมเคิลนั้นโล่งสบาย เพราะทุกคนทำอะไรก็ได้ จะสแปมยังไงก็ได้ดังนั้นมันจึงตั้ง Herbalife Thailand ขึ้นมา แล้วจัดสัมมนา โดยมีหลักในการ Motivate ที่ไม่เหมือนใคร ฉีกกฎทุกกฎของคนทำ MLM ในประเทศไทย ไมเคิล..เก่งเรื่อง NLP ล้างสมองคนได้ ไม่ต้องมีอะไร แค่บอกว่าทำกับมันแล้วรวย วิธี Sponsor ของมันสุดติ่งมาก ยุคนั้น..เป็นการชวนคนแบบโพสต์ออนไลน์แล้วให้สมาชิกลากคนมาฟัง นั่งรถไฟฟ้าไปที่ศูนย์อบรมของมัน แล้วมันก็เข้าปิดการขายได้แบบ Conversion กระหน่ำจุกๆเลย --------- แผนประทุษกรรมของ..ไมเคิล เปิดตัวด้วยความเร้าใจ เดินเข้ามาในห้องแล้วโชว์ Black Berry แล้วถามคนในห้องว่าโทรศัพท์นี้แพงไหม ทุกคนตอบว่าแพง จากนั้นมันก็เขวี้ยงโทรศัพท์ Black Berry ไปที่กำแพงให้แตกแล้วพูดด้วยเสียงนิ่มๆว่า "ถ้าคุณทำธุรกิจกับผม คุณจะซื้อ Black Berry อีกกี่รอบก็ได้" ถถถ🤣 แค่นี้ก็ทำ First Impression ให้คนในห้องแม่งตะลึงได้แล้ว จากนั้นมันก็จะใช้กลยุทธการปิดการขายโดยใช้หลักการที่เรียกว่า..ทฤษฏีห้องเปล่า คือทุกคนย่อมไม่มีเงินลงทุน มันบอกว่าก็ลองมองไปยังของในห้องที่คุณอยู่หรือบ้านที่คุณอยู่สิ คุณมีอะไรขายได้เอามาลงทุนกับผมแล้วจะรวย ขายได้ ขายให้หมด เอาเงินสดมาลงทุนกับผม แล้วผมจะพาคุณรวยไปด้วยกัน.? ได้ผล..คนแห่ซื้อของแม่งอย่างกับลดแลกแจกแถม เพราะอยากได้ Black Berry กี่รอบก็ได้ตามที่มันแสดง Action ให้ดู ว่าคนรวย เงินแค่นี้จิ๊บๆ ไมเคิล..สอนให้คนทำการตลาดด้วยการแนะนำสินค้าบน FB.ด้วยการโพสต์ และแชร์ และให้ทุกคนเริ่มต้นซื้อสินค้าของมัน เปิดบิลขั้นต่ำ 25,000 บาท สูงๆก็หลักแสน หลังเปิดบิลแล้วก็จะได้สต็อกของเต็มห้องหลังจากเข้าสู่วังวน“ทฤษฏีห้องเปล่า”เรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนจากทรัพย์ที่มีเป็นสินค้า Herbalife เพราะคุณจะรวยไปด้วยกันกับไมเคิล ยุคนั้นเป็นยุคตื่นทอง คนไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เลยคิดเอาเองว่า..นี่แหละวะคือทางออกของ Passive Income และนั่นคือจุดเริ่มต้นความรวยของ..ไมเคิล ชาเฟล ไมเคิล..มีรถ Super Car ขับหลังจากนั้นไม่นาน รวยเร็ว รวยไว อายุน้อยร้อยล้านของแท้ แต่คนอื่นฉิบหายช่างมัน ใครอยากรอดตายให้ชวนคนมาต่อตูดถึงจะได้ค่าหัวคิวเปิดบิล..แชร์ลูกโซ่ชัดๆ ไมเคิล..เริ่มรวยหลักร้อยล้าน มันก็เริ่มคิดอยากจะมีในสิ่งที่เศรษฐีทั่วไปเขามีกันบางคนอยากได้นาฬิกาแพงๆ มันมีแล้ว บางคนอยากได้รถหรู มันมีแล้ว บ้านหลังใหญ่ มันมีแล้ว สิ่งที่ไมเคิลฝันนั้นสุดโต่งขึ้นตามลำดับ ไมเคิล..ฝันอยากได้เฮลิคอปเตอร์มันบอกเพื่อนๆว่า รถมันกระจอก กูจะมีเฮลิคอปเตอร์เอาไว้บินจากกรุงเทพไปพัทยาและ..กูจะทำให้ได้ รอติดตาม ep.2 สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า

    การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“

    หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

    ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    ep.1
    👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“ หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ ep.1 👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 Comments 0 Shares 433 Views 0 Reviews
  • FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ
    ...............
    ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”

    หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    .
    Cr : FB เหยื่อ V.2
    FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ ............... ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน” หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน . Cr : FB เหยื่อ V.2
    Like
    12
    1 Comments 1 Shares 839 Views 1 Reviews
  • วันนี่เราจะพามาดูวิธีทำลูกชิ้นปลาอินทรีย์#ep1
    #ปลาทะเล #ของกิน #ขายของออนไลน์ #อาหารแปรรูป #วิธีทำ
    วันนี่เราจะพามาดูวิธีทำลูกชิ้นปลาอินทรีย์#ep1 #ปลาทะเล #ของกิน #ขายของออนไลน์ #อาหารแปรรูป #วิธีทำ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 185 Views 60 0 Reviews
  • ฆ่าลูกไม่ลง! แม้รู้ว่าลูกจะเกิดมาพิการ ไม่ขอยุติการตั้งครรภ์ ทั้งแม่และตายายทุ่มเทดูแลหลานอย่างสุดกำลัง ถึงขั้นยอมออกจากงานประจำ-อดมื้อกินมื้อ พร้อมสู้เพื่อลูกอิ่ม!

    “ตอนช่วงประมาณ 8 เดือนกว่าเกือบ 9 เดือน ใกล้จะคลอดแล้ว หมอตรวจเจอความผิดปกติที่ศีรษะของน้อง มันไม่โตตามเกณฑ์ เหมือนมีน้ำ รักษาไม่ได้เลย ตอนนั้นยังไม่เจอความผิดปกติของขานะ เจอแค่หัวของน้อง หมอก็บอกว่า ยุติการตั้งครรภ์ไหม ก็ถามว่าทำยังไง คือเข้าไปตัดชิ้นส่วนของน้อง ทั้งๆ ที่น้องยังหายใจอยู่ พอได้ยิน หนูก็ช็อกแล้ว ทำใจไม่ได้”

    ไม่ใช่แค่ “ส้มแป้น” คณิศร แสงอุไร ผู้เป็นแม่ที่รับไม่ได้หากต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่ตากับยายก็รู้สึกไม่ต่างกัน และไม่อยากสร้างบาปด้วยการจบชีวิตหลาน อยากให้หลานได้มีโอกาสลืมตาดูโลก “ให้เขาออกมาดีกว่า เพราะไหนๆ เขาก็อยากจะเกิดแล้ว ถ้าเกิดมาผิดรูปผิดร่างหรือจะเป็นยังไงก็หลานเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราก็บอกเขาเลยว่า เราขอไม่ยุติการตั้งครรภ์”

    ขณะที่ตาและยายพร้อมช่วยดูแลหลานพิการที่จะเกิดมา แต่ผู้เป็นพ่อที่ทำให้ลูกเกิด กลับทอดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีเพียงเพราะคำว่าพิการ “วันที่รู้ช่วงใกล้คลอดว่า น้องไม่สมประกอบ น้องมีความผิดปกติ ก็โทรไปบอกเขาก่อน เขาก็รับรู้เรื่อง ..วันต่อมา เราก็โทรไปอีก ไม่รับสาย ..ตั้งแต่ที่ยังไม่คลอดจนคลอด ก็ติดต่อไม่ได้เลย หลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของเราพิการ”

    ปัจจุบัน “น้องบุญรักษา” อายุ 6 ขวบ มีภาวะหัวโตหรือที่เรียกว่า เด็กหัวบาตร และแขนขาพิการผิดรูป นั่งไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้ ซึ่งผู้เป็นแม่และตายายไม่เคยคิดเสียใจกับสภาพที่น้องเป็น แต่ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสดูแลน้อง

    “(ถาม-ตอนเห็นหน้าน้องหลังคลอด คุณตารู้สึกยังไงบ้าง?) ไม่รู้สึกเสียใจ ยังไงก็เป็นหลานของเรา เราภูมิใจที่เขาเกิดมา และเลือกครอบครัวของเราที่จะเป็นผู้ดูแลเขา เราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดในชีวิตหนึ่งที่เขาอยู่กับเรา ไม่ว่าจะสั้นหรือน้อย ตรงนี้เราก็ทุ่มเทให้กับเขา”

    ความพิการและเจ็บป่วยของน้องบุญรักษาทำให้น้องต้องเข้า-ออก รพ.บ่อยๆ บางครั้งต้องอยู่ รพ.นานนับเดือน จึงส่งผลให้แม่ และตากับยาย ต้องทยอยลาออกจากงานประจำ เพื่อดูแลน้องบุญรักษา “ตอนนั้นยายทำงานร้านยาเป็นผู้ช่วยเภสัช เขาจ้างเราคนเดียว เราก็ผลัดกันลากับเจ้าส้มไปเฝ้าหลาน ทางเภสัชก็สงสารและเข้าใจ แต่ร้านเขาก็ต้องเปิดทุกวัน เราก็ขอลาออกก่อนแล้วกัน เพื่อให้ส้มยังทำงานได้ แต่สุดท้ายร่างกายเรามันก็รับไม่ไหว เพราะเป็นเนื้องอกและความดันด้วย ก็ต้องดึงเจ้าส้มมาเฝ้าอีก เพราะน้องอยู่ในห้องวิกฤต”

    “ก่อนคลอด หนูทำงานร้านเบอเกอร์ พอลาคลอด แล้วรู้ว่าลูกพิการ ช่วงนั้นน้องบุญรักษาต้องอยู่ที่ รพ. เกือบ 1 เดือนเต็มๆ แล้วลูกผิดปกติ เราเลยต้องขอลาออก”

    “ตอนแรกพ่อทำงานบริษัทอยู่ พอหลานเราต้องไป รพ.บ่อย เราต้องหยุดงานบ่อย ทางบริษัทก็ตำหนิ เราก็ออกจากงานมาดูแลหลาน แล้วก็ไปเช่าแท็กซี่มาขับเพื่อพยุงไปก่อน เพราะมันเป็นพาหนะในการพาหลานเดินทางไป รพ.ด้วย”

    ไม่ใช่แค่รายได้หดหายหลังออกจากงานประจำทั้ง 3 คน แต่วิกฤตใหญ่ที่ตามมาคือบ้านถูกยึด เพราะส่งไม่ไหว “ช่วงนั้นแย่ บ้านโดนยึด โชคดีมีเพื่อนของยายเขาให้มาอยู่ที่นวนคร เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เขาเลยให้ครอบครัวหนูไปอยู่ฟรีๆ ให้เราจ่ายแค่ค่าไฟค่าน้ำเอง ก็ขอขอบพระคุณเพื่อนยายมากที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีเพื่อนยาย ครอบครัวหนูคงต้องไปพึ่งวัด”

    ปัจจุบันส้มแป้นกับลูกๆ และตายายย้ายมาอยู่ที่ไทรน้อย จ.นนทบุรี โดยเธอช่วยตาหารายได้ด้วยการขายของออนไลน์ เช่น ขนมอบกรอบ และไส้กรอกอีสาน ซึ่งไส้กรอกอีสานทำเองทุกขั้นตอน หลังได้สูตรจากผู้ใจบุญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้จากการขายของออนไลน์และขับแท็กซี่ของตา ยังไม่ค่อยครอบคลุมรายจ่ายของครอบครัว แม้อาศัยเบี้ยคนชราของยาย และเบี้ยพิการของน้องบุญรักษาแล้วก็ตาม

    “ตอนนี้รายได้จากการขายของยังพอบรรเทาด้วยการซื้อนม ซื้อแพมเพิสของน้องไปได้ ส่วนตัวของหนู ตา ยาย ไม่เป็นไร อดมื้อกินมื้อได้..”

    ขณะที่ตา ยอมรับว่า “รายได้จากการวิ่งแท็กซี่บางทีชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ติดค่าเช่าไว้ก่อน เราก็เอาเงินตรงนั้นมาหมุนในครอบครัวก่อน ..(ถาม-รายจ่ายหลักๆ ตอนนี้มีอะไรบ้าง?) ค่าบ้านค่าน้ำไฟ ค่าน้องต้นน้ำไปโรงเรียน ค่านม ค่าแพมเพิส และพวกยูนิซัน (ถาม-โห แสดงว่าน่าจะเกิดปัญหาขัดสนไหม?) ขัดสนแน่นอนเลย”

    ด้านน้องต้นน้ำ พี่สาวของน้องบุญรักษา ซึ่งเป็นเด็กเรียนดี ยอมรับว่า เข้าใจดีถึงความยากลำบากของครอบครัว “(ถาม-หนูเข้าใจความลำบากไหมมันเป็นยังไง?) บางทีก็ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน (ถาม-ตอนนี้ต้นน้ำเรียนอยู่ชั้นไหน?) ป.5 (ถาม-ได้เกรดเท่าไหร่?) เกรด 4 (โห แล้วตอนนี้หนูเริ่มมีความฝัน โตขึ้นอยากเป็นอะไร เคยคิดไว้หรือยัง?) เป็นหมอ (ถาม-ทำไมล่ะ?) จะได้รักษาน้อง”

    ขณะที่ยาย แม้ปัจจุบันจะมีเนื้องอกที่บริเวณหลังหลายจุด แต่ก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อตรวจรักษา เพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้หลานกินอิ่มมากกว่า

    ทุกคนสู้สุดตัว เพื่อน้องบุญรักษา ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงเรื่องนอน เพราะหมอเคยบอกว่า น้องบุญรักษาสามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ทุกคนจึงพร้อมอดหลับอดนอนเพื่อน้อง “(ถาม-กลางคืนไม่มีใครได้นอนพร้อมกัน?) ไม่มี แบ่งกันหลับ เพราะน้องพร้อมที่จะชักตลอดเวลา พอเขาชักขึ้นมา เราต้องช่วยกันเลย...”

    หวังให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด!

    “ทุกๆ วัน แม่จะบอกน้องบุญรักษาอยู่กับแม่ก่อนนะ เพราะหมอบอกว่า น้องพร้อมไปได้ทุกเมื่อเลย เราต้องคอยดูน้องทุกวันทุกวินาทีว่า น้องยังหายใจไหม น้องเป็นอะไรไหม คือพยายามให้เขาอยู่สู้กับแม่ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าตอนไหนที่หนูไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้หนูไปแบบไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบสบาย อย่าทรมานนะลูก ให้หนูไปตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่กับตายายนะ”

    6 ปีแล้วที่น้องบุญรักษาเกิดมาพร้อมกับความพิการ แม้น้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่น้องคงรับรู้ได้ว่าทุกคนรักและห่วงน้องมากแค่ไหน หากน้องพูดได้ น้องคงอยากขอบคุณแม่ ตา และยายที่ตัดสินใจไม่ยุติการตั้งครรภ์ในวันนั้น

    ติดตามเรื่องราวความรักความทุ่มเทของแม่และตายายที่มีต่อน้องบุญรักษาได้
    ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “บุญรักษานะลูก”
    วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2567 เวลา 9.00-9.30 น.
    ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211)

    และเฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กต็อก : ฅนจริงใจไม่ท้อ

    (หากท่านใดต้องการอุดหนุนขนมอบกรอบและไส้กรอกอีสานของส้มแป้น เพื่อให้มีทุนดูแลรักษาพยาบาลลูก ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก ต้นน้ำ บุญรักษา หรือโทรไปได้ที่ 099-278-3163 หากต้องการช่วยเหลือ โอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.คณิศร แสงอุไร เลขที่บัญชี 108-0-71624-6)

    #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #รักไม่มีเงื่อนไข #พิการ #สู้เพื่อหลาน
    ฆ่าลูกไม่ลง! แม้รู้ว่าลูกจะเกิดมาพิการ ไม่ขอยุติการตั้งครรภ์ ทั้งแม่และตายายทุ่มเทดูแลหลานอย่างสุดกำลัง ถึงขั้นยอมออกจากงานประจำ-อดมื้อกินมื้อ พร้อมสู้เพื่อลูกอิ่ม! “ตอนช่วงประมาณ 8 เดือนกว่าเกือบ 9 เดือน ใกล้จะคลอดแล้ว หมอตรวจเจอความผิดปกติที่ศีรษะของน้อง มันไม่โตตามเกณฑ์ เหมือนมีน้ำ รักษาไม่ได้เลย ตอนนั้นยังไม่เจอความผิดปกติของขานะ เจอแค่หัวของน้อง หมอก็บอกว่า ยุติการตั้งครรภ์ไหม ก็ถามว่าทำยังไง คือเข้าไปตัดชิ้นส่วนของน้อง ทั้งๆ ที่น้องยังหายใจอยู่ พอได้ยิน หนูก็ช็อกแล้ว ทำใจไม่ได้” ไม่ใช่แค่ “ส้มแป้น” คณิศร แสงอุไร ผู้เป็นแม่ที่รับไม่ได้หากต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่ตากับยายก็รู้สึกไม่ต่างกัน และไม่อยากสร้างบาปด้วยการจบชีวิตหลาน อยากให้หลานได้มีโอกาสลืมตาดูโลก “ให้เขาออกมาดีกว่า เพราะไหนๆ เขาก็อยากจะเกิดแล้ว ถ้าเกิดมาผิดรูปผิดร่างหรือจะเป็นยังไงก็หลานเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราก็บอกเขาเลยว่า เราขอไม่ยุติการตั้งครรภ์” ขณะที่ตาและยายพร้อมช่วยดูแลหลานพิการที่จะเกิดมา แต่ผู้เป็นพ่อที่ทำให้ลูกเกิด กลับทอดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีเพียงเพราะคำว่าพิการ “วันที่รู้ช่วงใกล้คลอดว่า น้องไม่สมประกอบ น้องมีความผิดปกติ ก็โทรไปบอกเขาก่อน เขาก็รับรู้เรื่อง ..วันต่อมา เราก็โทรไปอีก ไม่รับสาย ..ตั้งแต่ที่ยังไม่คลอดจนคลอด ก็ติดต่อไม่ได้เลย หลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของเราพิการ” ปัจจุบัน “น้องบุญรักษา” อายุ 6 ขวบ มีภาวะหัวโตหรือที่เรียกว่า เด็กหัวบาตร และแขนขาพิการผิดรูป นั่งไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้ ซึ่งผู้เป็นแม่และตายายไม่เคยคิดเสียใจกับสภาพที่น้องเป็น แต่ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสดูแลน้อง “(ถาม-ตอนเห็นหน้าน้องหลังคลอด คุณตารู้สึกยังไงบ้าง?) ไม่รู้สึกเสียใจ ยังไงก็เป็นหลานของเรา เราภูมิใจที่เขาเกิดมา และเลือกครอบครัวของเราที่จะเป็นผู้ดูแลเขา เราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดในชีวิตหนึ่งที่เขาอยู่กับเรา ไม่ว่าจะสั้นหรือน้อย ตรงนี้เราก็ทุ่มเทให้กับเขา” ความพิการและเจ็บป่วยของน้องบุญรักษาทำให้น้องต้องเข้า-ออก รพ.บ่อยๆ บางครั้งต้องอยู่ รพ.นานนับเดือน จึงส่งผลให้แม่ และตากับยาย ต้องทยอยลาออกจากงานประจำ เพื่อดูแลน้องบุญรักษา “ตอนนั้นยายทำงานร้านยาเป็นผู้ช่วยเภสัช เขาจ้างเราคนเดียว เราก็ผลัดกันลากับเจ้าส้มไปเฝ้าหลาน ทางเภสัชก็สงสารและเข้าใจ แต่ร้านเขาก็ต้องเปิดทุกวัน เราก็ขอลาออกก่อนแล้วกัน เพื่อให้ส้มยังทำงานได้ แต่สุดท้ายร่างกายเรามันก็รับไม่ไหว เพราะเป็นเนื้องอกและความดันด้วย ก็ต้องดึงเจ้าส้มมาเฝ้าอีก เพราะน้องอยู่ในห้องวิกฤต” “ก่อนคลอด หนูทำงานร้านเบอเกอร์ พอลาคลอด แล้วรู้ว่าลูกพิการ ช่วงนั้นน้องบุญรักษาต้องอยู่ที่ รพ. เกือบ 1 เดือนเต็มๆ แล้วลูกผิดปกติ เราเลยต้องขอลาออก” “ตอนแรกพ่อทำงานบริษัทอยู่ พอหลานเราต้องไป รพ.บ่อย เราต้องหยุดงานบ่อย ทางบริษัทก็ตำหนิ เราก็ออกจากงานมาดูแลหลาน แล้วก็ไปเช่าแท็กซี่มาขับเพื่อพยุงไปก่อน เพราะมันเป็นพาหนะในการพาหลานเดินทางไป รพ.ด้วย” ไม่ใช่แค่รายได้หดหายหลังออกจากงานประจำทั้ง 3 คน แต่วิกฤตใหญ่ที่ตามมาคือบ้านถูกยึด เพราะส่งไม่ไหว “ช่วงนั้นแย่ บ้านโดนยึด โชคดีมีเพื่อนของยายเขาให้มาอยู่ที่นวนคร เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เขาเลยให้ครอบครัวหนูไปอยู่ฟรีๆ ให้เราจ่ายแค่ค่าไฟค่าน้ำเอง ก็ขอขอบพระคุณเพื่อนยายมากที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีเพื่อนยาย ครอบครัวหนูคงต้องไปพึ่งวัด” ปัจจุบันส้มแป้นกับลูกๆ และตายายย้ายมาอยู่ที่ไทรน้อย จ.นนทบุรี โดยเธอช่วยตาหารายได้ด้วยการขายของออนไลน์ เช่น ขนมอบกรอบ และไส้กรอกอีสาน ซึ่งไส้กรอกอีสานทำเองทุกขั้นตอน หลังได้สูตรจากผู้ใจบุญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้จากการขายของออนไลน์และขับแท็กซี่ของตา ยังไม่ค่อยครอบคลุมรายจ่ายของครอบครัว แม้อาศัยเบี้ยคนชราของยาย และเบี้ยพิการของน้องบุญรักษาแล้วก็ตาม “ตอนนี้รายได้จากการขายของยังพอบรรเทาด้วยการซื้อนม ซื้อแพมเพิสของน้องไปได้ ส่วนตัวของหนู ตา ยาย ไม่เป็นไร อดมื้อกินมื้อได้..” ขณะที่ตา ยอมรับว่า “รายได้จากการวิ่งแท็กซี่บางทีชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ติดค่าเช่าไว้ก่อน เราก็เอาเงินตรงนั้นมาหมุนในครอบครัวก่อน ..(ถาม-รายจ่ายหลักๆ ตอนนี้มีอะไรบ้าง?) ค่าบ้านค่าน้ำไฟ ค่าน้องต้นน้ำไปโรงเรียน ค่านม ค่าแพมเพิส และพวกยูนิซัน (ถาม-โห แสดงว่าน่าจะเกิดปัญหาขัดสนไหม?) ขัดสนแน่นอนเลย” ด้านน้องต้นน้ำ พี่สาวของน้องบุญรักษา ซึ่งเป็นเด็กเรียนดี ยอมรับว่า เข้าใจดีถึงความยากลำบากของครอบครัว “(ถาม-หนูเข้าใจความลำบากไหมมันเป็นยังไง?) บางทีก็ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน (ถาม-ตอนนี้ต้นน้ำเรียนอยู่ชั้นไหน?) ป.5 (ถาม-ได้เกรดเท่าไหร่?) เกรด 4 (โห แล้วตอนนี้หนูเริ่มมีความฝัน โตขึ้นอยากเป็นอะไร เคยคิดไว้หรือยัง?) เป็นหมอ (ถาม-ทำไมล่ะ?) จะได้รักษาน้อง” ขณะที่ยาย แม้ปัจจุบันจะมีเนื้องอกที่บริเวณหลังหลายจุด แต่ก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อตรวจรักษา เพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้หลานกินอิ่มมากกว่า ทุกคนสู้สุดตัว เพื่อน้องบุญรักษา ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงเรื่องนอน เพราะหมอเคยบอกว่า น้องบุญรักษาสามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ทุกคนจึงพร้อมอดหลับอดนอนเพื่อน้อง “(ถาม-กลางคืนไม่มีใครได้นอนพร้อมกัน?) ไม่มี แบ่งกันหลับ เพราะน้องพร้อมที่จะชักตลอดเวลา พอเขาชักขึ้นมา เราต้องช่วยกันเลย...” หวังให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด! “ทุกๆ วัน แม่จะบอกน้องบุญรักษาอยู่กับแม่ก่อนนะ เพราะหมอบอกว่า น้องพร้อมไปได้ทุกเมื่อเลย เราต้องคอยดูน้องทุกวันทุกวินาทีว่า น้องยังหายใจไหม น้องเป็นอะไรไหม คือพยายามให้เขาอยู่สู้กับแม่ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าตอนไหนที่หนูไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้หนูไปแบบไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบสบาย อย่าทรมานนะลูก ให้หนูไปตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่กับตายายนะ” 6 ปีแล้วที่น้องบุญรักษาเกิดมาพร้อมกับความพิการ แม้น้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่น้องคงรับรู้ได้ว่าทุกคนรักและห่วงน้องมากแค่ไหน หากน้องพูดได้ น้องคงอยากขอบคุณแม่ ตา และยายที่ตัดสินใจไม่ยุติการตั้งครรภ์ในวันนั้น ติดตามเรื่องราวความรักความทุ่มเทของแม่และตายายที่มีต่อน้องบุญรักษาได้ ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “บุญรักษานะลูก” วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2567 เวลา 9.00-9.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211) และเฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กต็อก : ฅนจริงใจไม่ท้อ (หากท่านใดต้องการอุดหนุนขนมอบกรอบและไส้กรอกอีสานของส้มแป้น เพื่อให้มีทุนดูแลรักษาพยาบาลลูก ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก ต้นน้ำ บุญรักษา หรือโทรไปได้ที่ 099-278-3163 หากต้องการช่วยเหลือ โอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.คณิศร แสงอุไร เลขที่บัญชี 108-0-71624-6) #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #รักไม่มีเงื่อนไข #พิการ #สู้เพื่อหลาน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 951 Views 0 Reviews
  • สถานการณ์แรงงานช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 67)
    โดย อ.รุ่งโรจน์
    ///////

    เริ่มวางแผนกันไว้บ้างก็ดีครับ
    ขอแชร์ข้อมูลที่หลาย ๆ Business เริ่มกังวลส่งสัญญาณทึ่น่าเป็นห่วงเริ่มมาเป็นระลอก

    1. เริ่มจากจังหวัดที่เริ่มกระทบแล้ว
    - ชลบุรี สมุทรปราการ กทม ปทุมธานี อยุธยา..
    คาดว่ากค. ถึงสิ้นปี 67คงมีตาม มาอีกหลายจังหวัด

    2. Business ที่เริ่มเจอตั้งแต่ต้นปี 67
    - งานบริการร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์
    - ก่อสร้าง, ชิ้นส่วนยานยนต์ , รถมือ 2, ขายของออนไลน์
    คาดว่า ครึ่งปีหลังที่จะเจอ
    - กระดาษ ไม้ ยาง เหล็ก ไฟฟ้า พลาสติก เหล็ก
    - สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
    ค่อย ๆ ทะยอยตามมา

    3. กลุ่มพนักงานที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ
    - Sub Contract, งานรายวัน
    - อัตรากำลังเกิน
    - Performance ต่ำ
    - น้องใหม่อายุงานไม่มาก

    4. แนวทางที่เริ่มใช้กันช่วงครึ่งปีหลัง
    - ตัดงบด้าน HR อบรม พัฒนา เลี้ยงสังสรร มากขึ้น
    - ปลด Sub Contracts
    - จ่าย 75% ช่วง หยุดผลิต
    - ปรับลดค่าจ้าง เงินช่วยเหลือ
    - ปรับผัง ลดคน
    - โยกย้ายคนทำงานหลายตำแหน่ง
    - ไม่รับคนใหม่
    - อาจเลิกจ้างหนักขึ้น

    HR คงต้องต้องปรับแผนปรับตัวกันไว้ล่วงหน้า
    เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน

    ~ อ.รุ่งโรจน์

    *****
    หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก ประชาชาติ และ ศูนย์วิจัย
    ค้ากสิกร

    - สำหรับข้อมูลการปิดโรงงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า 5 อันดับจังหวัดที่มีโรงงานปิดตัวลงมากที่สุด มีดังนี้

    ชลบุรี 118 แห่ง
    สมุทรปราการ 45 แห่ง
    กรุงเทพฯ 44 แห่ง
    ปทุมธานี 36 แห่ง
    พระนครศรีอยุธยา 28 แห่ง

    - ขณะที่ประเภทอุตสาหกรรมของโรงงานที่ปิดตัวมากที่สุด
    ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนของโรงงาน ได้แก่ โรงโม่ บดย่อยหิน/โรงขุด, อาหารและเครื่องดื่ม, การทำยางขั้นต้น/ผลิตภัณฑ์ยาง, อโลหะ และเหล็ก โลหะ

    ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแรงงานที่ถูกเลิกจ้างคือ อุตสาหกรรมแปรรูปไม้/ผลิตภัณฑ์กระดาษ, ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, การทำยางขั้นต้นและพลาสติก และเหล็ก โลหะ...

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MWMxQtbfnVJUkyxs/?mibextid=CTbP7E
    สถานการณ์แรงงานช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 67) โดย อ.รุ่งโรจน์ /////// เริ่มวางแผนกันไว้บ้างก็ดีครับ ขอแชร์ข้อมูลที่หลาย ๆ Business เริ่มกังวลส่งสัญญาณทึ่น่าเป็นห่วงเริ่มมาเป็นระลอก 1. เริ่มจากจังหวัดที่เริ่มกระทบแล้ว - ชลบุรี สมุทรปราการ กทม ปทุมธานี อยุธยา.. คาดว่ากค. ถึงสิ้นปี 67คงมีตาม มาอีกหลายจังหวัด 2. Business ที่เริ่มเจอตั้งแต่ต้นปี 67 - งานบริการร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์ - ก่อสร้าง, ชิ้นส่วนยานยนต์ , รถมือ 2, ขายของออนไลน์ คาดว่า ครึ่งปีหลังที่จะเจอ - กระดาษ ไม้ ยาง เหล็ก ไฟฟ้า พลาสติก เหล็ก - สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ค่อย ๆ ทะยอยตามมา 3. กลุ่มพนักงานที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ - Sub Contract, งานรายวัน - อัตรากำลังเกิน - Performance ต่ำ - น้องใหม่อายุงานไม่มาก 4. แนวทางที่เริ่มใช้กันช่วงครึ่งปีหลัง - ตัดงบด้าน HR อบรม พัฒนา เลี้ยงสังสรร มากขึ้น - ปลด Sub Contracts - จ่าย 75% ช่วง หยุดผลิต - ปรับลดค่าจ้าง เงินช่วยเหลือ - ปรับผัง ลดคน - โยกย้ายคนทำงานหลายตำแหน่ง - ไม่รับคนใหม่ - อาจเลิกจ้างหนักขึ้น HR คงต้องต้องปรับแผนปรับตัวกันไว้ล่วงหน้า เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน ~ อ.รุ่งโรจน์ ***** หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก ประชาชาติ และ ศูนย์วิจัย ค้ากสิกร - สำหรับข้อมูลการปิดโรงงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า 5 อันดับจังหวัดที่มีโรงงานปิดตัวลงมากที่สุด มีดังนี้ ชลบุรี 118 แห่ง สมุทรปราการ 45 แห่ง กรุงเทพฯ 44 แห่ง ปทุมธานี 36 แห่ง พระนครศรีอยุธยา 28 แห่ง - ขณะที่ประเภทอุตสาหกรรมของโรงงานที่ปิดตัวมากที่สุด ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนของโรงงาน ได้แก่ โรงโม่ บดย่อยหิน/โรงขุด, อาหารและเครื่องดื่ม, การทำยางขั้นต้น/ผลิตภัณฑ์ยาง, อโลหะ และเหล็ก โลหะ ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแรงงานที่ถูกเลิกจ้างคือ อุตสาหกรรมแปรรูปไม้/ผลิตภัณฑ์กระดาษ, ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, การทำยางขั้นต้นและพลาสติก และเหล็ก โลหะ... ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MWMxQtbfnVJUkyxs/?mibextid=CTbP7E
    Facebook
    Sieh dir auf Facebook Beiträge, Fotos und vieles mehr an.
    0 Comments 0 Shares 485 Views 0 Reviews
  • #ขายของออนไลน์
    #ขายของออนไลน์
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews