• ได้หนึ่งไม่พอขอสามสี่ห้า #เกาลัดเถ้าแก่น้อย #ของกินงานย่าโม2568 #ของกินในงานย่า
    ได้หนึ่งไม่พอขอสามสี่ห้า #เกาลัดเถ้าแก่น้อย #ของกินงานย่าโม2568 #ของกินในงานย่า
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไก่ทอดต้มยำ ทานกับข้าวร้อนๆ มีเบิ้ลเลย

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    #ไก่ทอดต้มยำ ทานกับข้าวร้อนๆ มีเบิ้ลเลย #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขาย... อาคารพานิชใจกลางเมือง
    ติดถนนหลัก เดินทางสะดวกสบาย​
    อยู่ใกล้ โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี
    ใกล้ศูนย์ราชการ
    ใกล้สถานศึกษาประจำจังหวัด
    อยู่ในเขตเทศบาล​เมือง​
    สาธารณูปโภค​ครบครัน​
    1 คูหา สูง 4 ชั้น + ชั้นดาดฟ้า
    กว้าง 6 เมตร ลึก 23 เมตร
    เข้าออกได้หน้าหลัง จอดรถหลังบ้านได้
    หลังบ้าน​มีถนน​สาธารณะ​ของ​หมู่บ้าน​
    มี รปภ รักษาความปลอดภัย
    ตัวอาคาร​อยู่ตรงข้ามตลาดเมืองทองเซ็นเตอร์พอยท์
    ใกล้ตลาดของกินทั้งเช้า, กลางวัน, เย็น
    เดินทางสะดวก ใกล้ถนนบายพาส
    สามารถเดินทางลงใต้ผ่านเพชรบุรี
    หรือไปกทม. ก็สะดวก
    ตัวบ้านยกสูงกว่าระดับถนน​
    หายห่วงเรื่องน้ำท่วม​
    ซึ่งจังหวัด​ราชบุรี​ไม่เคยมีน้ำท่วม
    สนนราคา 14.5 ล้านบาทถ้วน
    ค่าโอนคนละครึ่งกับเจ้าของ​บ้าน
    มีการต่อเติม​โครงสร้าง​บ้านให้แข็งแรง​ขึ้น​
    เจ้าของ​ขาย​ เพราะต้อง​การ​ย้ายทำเล
    บ้านพร้อมที่ดิน
    สนใจดูตัวบ้าน นัดเจอ​ต่อรอง​ได้​นิดหน่อย​นัดหมายล่วงหน้า
    ขอคนพร้อม พาชมบ้านจริง
    สนใจ 📞 ติดต่อ ไช้สมบูรณ์​กุล​(0946494298)
    ขาย... อาคารพานิชใจกลางเมือง ติดถนนหลัก เดินทางสะดวกสบาย​ อยู่ใกล้ โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี ใกล้ศูนย์ราชการ ใกล้สถานศึกษาประจำจังหวัด อยู่ในเขตเทศบาล​เมือง​ สาธารณูปโภค​ครบครัน​ 1 คูหา สูง 4 ชั้น + ชั้นดาดฟ้า กว้าง 6 เมตร ลึก 23 เมตร เข้าออกได้หน้าหลัง จอดรถหลังบ้านได้ หลังบ้าน​มีถนน​สาธารณะ​ของ​หมู่บ้าน​ มี รปภ รักษาความปลอดภัย ตัวอาคาร​อยู่ตรงข้ามตลาดเมืองทองเซ็นเตอร์พอยท์ ใกล้ตลาดของกินทั้งเช้า, กลางวัน, เย็น เดินทางสะดวก ใกล้ถนนบายพาส สามารถเดินทางลงใต้ผ่านเพชรบุรี หรือไปกทม. ก็สะดวก ตัวบ้านยกสูงกว่าระดับถนน​ หายห่วงเรื่องน้ำท่วม​ ซึ่งจังหวัด​ราชบุรี​ไม่เคยมีน้ำท่วม สนนราคา 14.5 ล้านบาทถ้วน ค่าโอนคนละครึ่งกับเจ้าของ​บ้าน มีการต่อเติม​โครงสร้าง​บ้านให้แข็งแรง​ขึ้น​ เจ้าของ​ขาย​ เพราะต้อง​การ​ย้ายทำเล บ้านพร้อมที่ดิน สนใจดูตัวบ้าน นัดเจอ​ต่อรอง​ได้​นิดหน่อย​นัดหมายล่วงหน้า ขอคนพร้อม พาชมบ้านจริง สนใจ 📞 ติดต่อ ไช้สมบูรณ์​กุล​(0946494298)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่กล้าเสียงดัง เกรงว่า น้องจะตื่น

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    ไม่กล้าเสียงดัง เกรงว่า น้องจะตื่น #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดเอี่ยมสมบัติ ของกินละศีลอด
    ตลาดเอี่ยมสมบัติ ของกินละศีลอด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ

    👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่

    คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า

    หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น

    ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้

    “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา

    คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…”

    ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี

    เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด

    ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

    ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

    ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้

    (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

    (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

    (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

    นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง

    หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ

    (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......”

    นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

    คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

    คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น

    การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ

    ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

    ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ 👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่ คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้ “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…” ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้ (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......” นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58 Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บะหมี่หยกไก่ย่าง

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    #บะหมี่หยกไก่ย่าง #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ข้าวผัดไก่ & ไข่ดาวกรอบๆ .. ไม่ได้ทานแบบนี้ นานแหละ .. ถือเป็นเมนูย้อนวัยก็ว่าได้

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    #ข้าวผัดไก่ & ไข่ดาวกรอบๆ .. ไม่ได้ทานแบบนี้ นานแหละ .. ถือเป็นเมนูย้อนวัยก็ว่าได้ #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุ่นด้วย #หม้อทอดไร้น้ำมัน กับ #กะทะเทฟล่อน .. ความอร่อยพอกัน ความสบายต่างกัน .. บทสรุป หมดไม่เหลือจร้า

    #ไส้อั่ว by #BigPig

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    อุ่นด้วย #หม้อทอดไร้น้ำมัน กับ #กะทะเทฟล่อน .. ความอร่อยพอกัน ความสบายต่างกัน .. บทสรุป หมดไม่เหลือจร้า #ไส้อั่ว by #BigPig #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งแรก กับ #เม็ดขนุน ส่วนตัวชอบทั้ง ถั่วเขียว และ เผือก แต่ผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายครั้ง ตั้งใจจะทำก่อนตรุษจีน แต่ก็ผ่านมาเดือนนี้ แต่ก็ได้ทำ

    นับคนทำจริงๆ ทั้งนึ่ง ทั้งบด เคี้ยว ปั้น ชุบ และต้มกับน้ำเชื่อม .. เวลาทานไม่เกิน 3 นาทีต่อชิ้น

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    ครั้งแรก กับ #เม็ดขนุน ส่วนตัวชอบทั้ง ถั่วเขียว และ เผือก แต่ผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายครั้ง ตั้งใจจะทำก่อนตรุษจีน แต่ก็ผ่านมาเดือนนี้ แต่ก็ได้ทำ นับคนทำจริงๆ ทั้งนึ่ง ทั้งบด เคี้ยว ปั้น ชุบ และต้มกับน้ำเชื่อม .. เวลาทานไม่เกิน 3 นาทีต่อชิ้น #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมเป็นหนุ่ม
    "หมาโรเบิร์ต"

    เมื่อปี พศ.2541...
    ผมกลับมานครพนม บ้านเกิด

    ผมย้ายบ้านจากลานคนเมืองในปัจจุบันมาอยู่บ้านที่ทำการค้า....

    บ้านของผมเป็นตึกแถวริมถนน บำรุงเมือง ทุกๆวัน จะมีหมา แมว แม้กระทั่ง นกพิราบ แวะเวียนผ่านหน้าบ้านทุกวัน บางวันก็มากินนํ้าตรงอ่างบัวที่ผมเลี้ยงไว้ บางวันก็มานอนเล่น พอตื่นก็จากไป วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่เคยว่างเว้น

    วันหนึ่ง....

    ผมสังเกตเห็นว่า มีหมาตัวหนึ่งชอบมานอน และมายืนมองเข้ามาในบ้านเหมือนจะหาใคร หรือขอของกิน

    หมาตัวนี้ ตัวใหญ่ มีอายุพอสมควร ขนฟูสีนํ้าตาลแดง ไม่มีปลอกคอ หูตั้ง ปลายหูซ้ายแหว่ง เหมือนมีใครเอาอะไรมาเจาะหูมัน ตาเศร้า ปากมอม หางตั้ง ขนหางเป็นพวง

    มันมายืนมอง และมานอนพักอยู่ ระยะหนึ่ง ด้วยความสงสาร เตี่ยของผมเริ่มเข้าไปผูกมิตรกับมัน ให้ข้าวให้นํ้ามัน จนมันเชื่องและยอมเล่นด้วย

    ผมเลยบอกเตี่ยว่า เอามันมาเลี้ยงเลยดีกว่า คงไม่มีเจ้าของหรอก เตี่ยก็เห็นดีเห็นงามด้วย
    เตี่ยพามันไปฉีดวัคซีน ซื้อปลอกคอให้ และตั้งชื่อมันว่า

    "โรเบิร์ต"

    โรเบิร์ต เป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน แมวจรที่เคยวนเวียนมาหาของกินก็หายหมด
    โรเบิร์ต กลายเป็นเจ้าที่ไปเรียบร้อย

    แต่ละวันที่ผ่านไปของโรเบิร์ตนั้นแสนจะสบาย กิน นอน และ ลุกมาเห่ารถที่วิ่งผ่านไปมาสักครั้ง2ครั้ง ก็เป็นอันหมดหน้าที่

    โรเบิร์ต เป็นหมาที่จะว่าเลี้ยงง่ายก็ง่าย เลี้ยงยากก็ยาก

    แม่ผมจะรับหน้าที่ เป็นคนคลุกข้าวให้มัน บางวันมีกระดูกชิ้นใหญ่ๆ ที่ใช้ต้มนํ้าซุป แกก็จะโยนให้มันแทะ
    มันก็จะนอนแทะด้วยความเพลิดเพลิน บางครั้งก็หลับไปพร้อมกับกระดูกชิ้นโตในปาก

    วันหนึ่ง...

    แม่แกคลุกข้าวให้มันเสร็จแล้วก็เอาไปวางตรงที่มันมากินข้าว พร้อมกับส่งเสียงเรียก

    "โรเบิร์ต มากินข้าว..."

    ผมยืนมองดูมัน มันยันกายลุกจากที่ๆมันนอน เดินมาที่ชามข้าว

    มันมาถึงชามข้าว ดมๆไปพักนึง ก็ทำท่าถอนหายใจ แล้วก็เอาจมูกของมันค่อยดันก้นชามให้พลิก

    ชามข้าวของมันควํ่าแล้ว!!!
    ข้าวหกเรี่ยราด มันยืนมองอยู่พักนึง แล้วก็เดินจากไป

    ผมกับแม่ได้แต่ยืนมอง และขำในพฤติกรรมของไอ้โรเบิร์ต

    แม่ผมบ่นไล่หลังมันว่า

    "ต่อไป ไม่ต้องมาขอข้าวชั้นกินเลยนะ..."
    .
    .
    .
    อาจจะเพราะ ผมเลี้ยงมันที่บ้านในเมืองที่เป็นตึกแถว แม้จะมีบริเวณให้มันวิ่งเล่นพอสมควร แต่ก็ดูมันเนือยๆ
    วันหนึ่ง เตี่ยบอกว่าจะเอามันไปเล่น ที่โรงงานลองดู...เผื่อมันจะสดชื่น

    ปรากฎว่า พอไปถึงโรงงาน ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ โรเบิร์ต กระโดดลงจากรถ และวิ่งไปทั่วด้วยความชอบใจ มันคงชอบที่จะวิ่งในที่โล่งๆแบบนี้...

    หลังจากนั้น ถ้าเตี่ยหรือผมไปโรงงาน ด้วยรถกระบะ มันจะ กระโดดขึ้นกระบะ นั่งโต้ลมไปด้วยทุกครั้ง

    อยู่มาวันหนึ่ง...
    โรเบิร์ต หายหน้าไป 2วันเต็ม
    ทั้งแม่ ทั้งเตี่ย และตัวผม ต่างเที่ยวสอบถาม ละแวกบ้านว่าเห็นโรเบิร์ตไหม เพราะอาจจะโดนรถชนแล้วหนีไป รึโชคร้ายก็ตายแล้ว...

    ไม่มีวี่แวว โรเบิร์ต เลย...
    .
    เย็นวันนั้น ผมมีธุระออกไปที่โรงงาน พอเสร็จงาน

    ในใจผมคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ผมไปเดินเรียกเจ้าโรเบิร์ต ตรงทุ่งที่มันชอบไปวิ่งเล่น ซึ่งตอนนี้มีหญ้าท่วมสูงพอสมควร

    ผมเรียกหามัน ตลอดทางที่เดินลุยดงหญ้า

    สักพัก...

    ผมได้ยินเสียง "งื้ดๆ " เหมือนเสียงหมาร้องคราง

    ผมเริ่มมองหาที่มาของเสียงพร้อมเรียกคนงานมาช่วยหา

    "โรเบิร์ต!!!!"

    ผมเจอมันแล้ว!!
    มันตกลงไปวงท่อซีเมนต์ ที่ขุดไว้ สำหรับดูดนํ้าซับใต้ดินมาใช้

    มันลึก2เมตรกว่า!

    แรกที่ผมเห็นมันนั้น เห็นจมูกมันโผล่พ้นนํ้า ขึ้นมา!!! พร้อมกับวงกระเพื่อมของคลื่นรอบตัวมันที่มันพยายามพยุงตัวมา2วันเต็ม

    คนงานผม ค่อยๆนำมันขึ้นมาจากบ่อนํ้านั้น

    เล็บที่นิ้วมัน เหี้ยนหมด คงเกิดจากที่มันพยายามตะกุยวงท่อซีเมนต์ เพื่อหาทางขึ้น

    ตัวมันสั่นเทาด้วยความหนาวที่แช่อยู่ในนํ้านั้น2วัน

    ผมเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มให้มัน พร้อมกับป้อนอาหารให้มัน จนมันค่อยๆสงบลง...
    .
    .
    เตี่ยบอกว่า
    "มันคงกระโดดขึ้นกระบะตอนผมหรือเตี่ยออกมาโรงงาน แล้วไปวิ่งเล่นที่ดงหญ้านี้ จนตกลงไป ในบ่อนํ้า"

    โรเบิร์ตกลับเข้ามาบ้านในเมืองพร้อมผม มันนอนนิ่งๆ คงหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน....
    .
    .
    .
    3-4ปีผ่านไป โรเบิร์ต เริ่มแก่ตัวลง ฟันเขี้ยว ค่อยๆหล่นไปทีละอัน ดวงตาเริ่มฝ้าฟาง แต่ยังแฝงด้วยแววตาเศร้าๆของมัน

    เตี่ย แม่ และผม ยังดูแลมันตลอด แม้ว่าหลังๆ มันจะไม่ไปโลดเต้นที่ไหนได้อีกแล้ว แต่เตี่ยก็ยังพามันไปโรงงานด้วยเสมอ

    วันหนึ่ง โรเบิร์ต หายไป

    เตี่ยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า...

    "โรเบิร์ต มันก็คงจะไป ในแบบที่คล้ายวันที่ มันมา...

    ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่า มันไปไหน.."

    โรเบิร์ต จากไปตลอดกาล...
    .
    .
    .
    ***น่าเสียดายที่ในยุคนั้นไม่มีกล้องมือถือ เลยไม่มี ภาพของโรเบิร์ตเก็บไว้ ผมเคยผ่านตาว่ามีภาพโรเบิร์ต หลุดมาเข้าเฟรมสักภาพ แต่ยังหาไม่พบ...
    สมัยที่ผมเป็นหนุ่ม "หมาโรเบิร์ต" เมื่อปี พศ.2541... ผมกลับมานครพนม บ้านเกิด ผมย้ายบ้านจากลานคนเมืองในปัจจุบันมาอยู่บ้านที่ทำการค้า.... บ้านของผมเป็นตึกแถวริมถนน บำรุงเมือง ทุกๆวัน จะมีหมา แมว แม้กระทั่ง นกพิราบ แวะเวียนผ่านหน้าบ้านทุกวัน บางวันก็มากินนํ้าตรงอ่างบัวที่ผมเลี้ยงไว้ บางวันก็มานอนเล่น พอตื่นก็จากไป วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่เคยว่างเว้น วันหนึ่ง.... ผมสังเกตเห็นว่า มีหมาตัวหนึ่งชอบมานอน และมายืนมองเข้ามาในบ้านเหมือนจะหาใคร หรือขอของกิน หมาตัวนี้ ตัวใหญ่ มีอายุพอสมควร ขนฟูสีนํ้าตาลแดง ไม่มีปลอกคอ หูตั้ง ปลายหูซ้ายแหว่ง เหมือนมีใครเอาอะไรมาเจาะหูมัน ตาเศร้า ปากมอม หางตั้ง ขนหางเป็นพวง มันมายืนมอง และมานอนพักอยู่ ระยะหนึ่ง ด้วยความสงสาร เตี่ยของผมเริ่มเข้าไปผูกมิตรกับมัน ให้ข้าวให้นํ้ามัน จนมันเชื่องและยอมเล่นด้วย ผมเลยบอกเตี่ยว่า เอามันมาเลี้ยงเลยดีกว่า คงไม่มีเจ้าของหรอก เตี่ยก็เห็นดีเห็นงามด้วย เตี่ยพามันไปฉีดวัคซีน ซื้อปลอกคอให้ และตั้งชื่อมันว่า "โรเบิร์ต" โรเบิร์ต เป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน แมวจรที่เคยวนเวียนมาหาของกินก็หายหมด โรเบิร์ต กลายเป็นเจ้าที่ไปเรียบร้อย แต่ละวันที่ผ่านไปของโรเบิร์ตนั้นแสนจะสบาย กิน นอน และ ลุกมาเห่ารถที่วิ่งผ่านไปมาสักครั้ง2ครั้ง ก็เป็นอันหมดหน้าที่ โรเบิร์ต เป็นหมาที่จะว่าเลี้ยงง่ายก็ง่าย เลี้ยงยากก็ยาก แม่ผมจะรับหน้าที่ เป็นคนคลุกข้าวให้มัน บางวันมีกระดูกชิ้นใหญ่ๆ ที่ใช้ต้มนํ้าซุป แกก็จะโยนให้มันแทะ มันก็จะนอนแทะด้วยความเพลิดเพลิน บางครั้งก็หลับไปพร้อมกับกระดูกชิ้นโตในปาก วันหนึ่ง... แม่แกคลุกข้าวให้มันเสร็จแล้วก็เอาไปวางตรงที่มันมากินข้าว พร้อมกับส่งเสียงเรียก "โรเบิร์ต มากินข้าว..." ผมยืนมองดูมัน มันยันกายลุกจากที่ๆมันนอน เดินมาที่ชามข้าว มันมาถึงชามข้าว ดมๆไปพักนึง ก็ทำท่าถอนหายใจ แล้วก็เอาจมูกของมันค่อยดันก้นชามให้พลิก ชามข้าวของมันควํ่าแล้ว!!! ข้าวหกเรี่ยราด มันยืนมองอยู่พักนึง แล้วก็เดินจากไป ผมกับแม่ได้แต่ยืนมอง และขำในพฤติกรรมของไอ้โรเบิร์ต แม่ผมบ่นไล่หลังมันว่า "ต่อไป ไม่ต้องมาขอข้าวชั้นกินเลยนะ..." . . . อาจจะเพราะ ผมเลี้ยงมันที่บ้านในเมืองที่เป็นตึกแถว แม้จะมีบริเวณให้มันวิ่งเล่นพอสมควร แต่ก็ดูมันเนือยๆ วันหนึ่ง เตี่ยบอกว่าจะเอามันไปเล่น ที่โรงงานลองดู...เผื่อมันจะสดชื่น ปรากฎว่า พอไปถึงโรงงาน ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ โรเบิร์ต กระโดดลงจากรถ และวิ่งไปทั่วด้วยความชอบใจ มันคงชอบที่จะวิ่งในที่โล่งๆแบบนี้... หลังจากนั้น ถ้าเตี่ยหรือผมไปโรงงาน ด้วยรถกระบะ มันจะ กระโดดขึ้นกระบะ นั่งโต้ลมไปด้วยทุกครั้ง อยู่มาวันหนึ่ง... โรเบิร์ต หายหน้าไป 2วันเต็ม ทั้งแม่ ทั้งเตี่ย และตัวผม ต่างเที่ยวสอบถาม ละแวกบ้านว่าเห็นโรเบิร์ตไหม เพราะอาจจะโดนรถชนแล้วหนีไป รึโชคร้ายก็ตายแล้ว... ไม่มีวี่แวว โรเบิร์ต เลย... . เย็นวันนั้น ผมมีธุระออกไปที่โรงงาน พอเสร็จงาน ในใจผมคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ผมไปเดินเรียกเจ้าโรเบิร์ต ตรงทุ่งที่มันชอบไปวิ่งเล่น ซึ่งตอนนี้มีหญ้าท่วมสูงพอสมควร ผมเรียกหามัน ตลอดทางที่เดินลุยดงหญ้า สักพัก... ผมได้ยินเสียง "งื้ดๆ " เหมือนเสียงหมาร้องคราง ผมเริ่มมองหาที่มาของเสียงพร้อมเรียกคนงานมาช่วยหา "โรเบิร์ต!!!!" ผมเจอมันแล้ว!! มันตกลงไปวงท่อซีเมนต์ ที่ขุดไว้ สำหรับดูดนํ้าซับใต้ดินมาใช้ มันลึก2เมตรกว่า! แรกที่ผมเห็นมันนั้น เห็นจมูกมันโผล่พ้นนํ้า ขึ้นมา!!! พร้อมกับวงกระเพื่อมของคลื่นรอบตัวมันที่มันพยายามพยุงตัวมา2วันเต็ม คนงานผม ค่อยๆนำมันขึ้นมาจากบ่อนํ้านั้น เล็บที่นิ้วมัน เหี้ยนหมด คงเกิดจากที่มันพยายามตะกุยวงท่อซีเมนต์ เพื่อหาทางขึ้น ตัวมันสั่นเทาด้วยความหนาวที่แช่อยู่ในนํ้านั้น2วัน ผมเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มให้มัน พร้อมกับป้อนอาหารให้มัน จนมันค่อยๆสงบลง... . . เตี่ยบอกว่า "มันคงกระโดดขึ้นกระบะตอนผมหรือเตี่ยออกมาโรงงาน แล้วไปวิ่งเล่นที่ดงหญ้านี้ จนตกลงไป ในบ่อนํ้า" โรเบิร์ตกลับเข้ามาบ้านในเมืองพร้อมผม มันนอนนิ่งๆ คงหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน.... . . . 3-4ปีผ่านไป โรเบิร์ต เริ่มแก่ตัวลง ฟันเขี้ยว ค่อยๆหล่นไปทีละอัน ดวงตาเริ่มฝ้าฟาง แต่ยังแฝงด้วยแววตาเศร้าๆของมัน เตี่ย แม่ และผม ยังดูแลมันตลอด แม้ว่าหลังๆ มันจะไม่ไปโลดเต้นที่ไหนได้อีกแล้ว แต่เตี่ยก็ยังพามันไปโรงงานด้วยเสมอ วันหนึ่ง โรเบิร์ต หายไป เตี่ยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า... "โรเบิร์ต มันก็คงจะไป ในแบบที่คล้ายวันที่ มันมา... ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่า มันไปไหน.." โรเบิร์ต จากไปตลอดกาล... . . . ***น่าเสียดายที่ในยุคนั้นไม่มีกล้องมือถือ เลยไม่มี ภาพของโรเบิร์ตเก็บไว้ ผมเคยผ่านตาว่ามีภาพโรเบิร์ต หลุดมาเข้าเฟรมสักภาพ แต่ยังหาไม่พบ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี่อาชีพในสังคมจีนโบราณ

    ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> จะยังจำได้ไหมว่าในตอนต้นเรื่องนั้น จางผิงผู้เป็นบัณฑิตตกยากออกมาขายของกินยามค่ำคืนกับเพื่อนซี้ เขาโดนคนที่เดินผ่านมาถากถางว่าเป็นบัณฑิตแต่กลับไม่รักดีมาขายของโดยสาธยายว่า “ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด” (士农工商 商为最贱)

    ‘บัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้า’ หรือที่เรียกว่า ‘ซื่อหนงกงซัง” (士农工商) นั้น เป็นสี่หมวดอาชีพในสังคมจีนโบราณโดยในประโยคที่ยกมาจากในละครข้างต้นได้จัดเรียงลำดับชนชั้นจากความสูงส่งไปจนต่ำต้อย

    แล้วในสมัยจีนโบราณอาชีพพ่อค้าต่ำต้อยที่สุดจริงหรือ?

    จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ แรกเริ่มเลยในสมัยราชวงศ์ซาง (1600-1050 ก่อนคริสตกาล) การเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่คนชอบ ทำให้มีเกษตรกรน้อย ต่อมาในราชวงศ์ถัดๆ ไปจึงถูกมองว่านั่นทำให้รากฐานสังคมไม่แข็งแรงและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของราชวงศ์ซาง ในสมัยราชวงศ์โจวจึงมีการสนับสนุนให้ประชาชนทำการเกษตรมากกว่าการค้า

    ในยุคสมัยชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) สี่หมวดอาชีพ ‘ซื่อหนงกงซัง’ นี้ถูกรวมกันเป็น ‘ซื่อหมิน’ (四民 แปลตรงตัวว่า ‘สี่ประชาชน’ หมายถึงสี่อาชีพ) ในบันทึกสั้นโบราณว่าด้วยปรัชญาการปกครองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เสี่ยวควง’ ของก่วนจ้ง อัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉีในยุคสมัยชุนชิว ซึ่งต่อมาถูกผนวกรวมเข้าไปไว้ในหมวดที่สามของประมวลสาส์นสี่พระคลัง (四库全书 / ซื่อคู่เฉวียนซู) ที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง

    ก่วนจ้งเองมาจากครอบครัวพ่อค้า เขามองอาชีพพ่อค้าเป็นอาชีพเท่าเทียมกับอาชีพอื่น ข้อความเดิมของเขาระบุไว้ว่า ‘ซื่อหนงกงซังสี่ประชาชนนั้น ล้วนเป็นศิลารากฐานแห่งประเทศชาติ’ โดยมีนัยว่าสังคมจะขาดหนึ่งกลุ่มอาชีพใดไม่ได้ และก่วนจ้งไม่ได้มีการจัดแบ่งชนชั้นต่ำสูง แต่ให้แง่คิดสำหรับระบบการปกครองว่าควรจัดสรรที่ดินทำกินและเขตพำนักให้เหมาะสมกับกลุ่มอาชีพ เพราะแต่ละกลุ่มจะมีความสันทัดและมีรูปแบบชีวิตของตน และหากคนในวิชาชีพเดียวกันได้อยู่ด้วยกันจะสืบทอดและพัฒนาความรู้ในวิชาชีพนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังเอื้อต่อการปกครอง (หมายเหตุ ‘ซื่อ’ ไม่เพียงหมายถึงบัณฑิต หากแต่หมายรวมถึงผู้มีการศึกษาสามารถดูแลปกครองผู้อื่นได้ และหมายรวมถึงผู้ที่เข้ารับราชการด้วย)

    จะเห็นได้ว่า แรกเริ่มเลย ‘สี่ประชาชน’ นั้นเป็นการวางระบบการปกครองตามหมวดหมู่วิชาชีพโดยมองทุกกลุ่มชนเท่าเทียมกัน แต่ผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรเกิดในครอบครัวเกษตรกร คนมีการศึกษาเกิดในตระกูลคนมีการศึกษาด้วยกัน พอผ่านไปหลายชั่วคน ประชาชนจะถูกจำกัดให้อยู่ภายในกลุ่มหมวดอาชีพของตนโดยปริยาย

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น ปรัชญาขงจื๊อได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างแพร่หลายและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปกครองบ้านเมือง ผลที่ตามมาคือการยกระดับกลุ่มคนมีการศึกษาขึ้นสูงเหนือกลุ่มอื่น และเริ่มมีการมองอย่างดูแคลนว่าพ่อค้าเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งมากกว่าความเจริญของส่วนรวม นี่ไม่ใช่คำสอนของขงจื๊อ แต่เป็นวิวัฒนาการทางความคิดของสังคมที่ไปในทิศทางนั้น

    ในตำราประวัติศาสตร์สมัยถังต้น (旧唐书¬) มีการบันทึกไว้ว่า ‘ผู้ที่รับเบี้ยหวัดราชการ ห้ามแก่งแย่งผลประโยชน์จากผู้ที่ต่ำกว่า ช่างและพ่อค้าหลากประเภท ห้ามมิให้เข้ารับราชการ’ (食禄之家,不得与下人争利。工商杂类,不得预于士伍。) เป็นที่สังเกตได้ว่ามีการใช้คำ ‘ผู้ที่ต่ำกว่า’ และ ‘หลากประเภท’ ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งแยกต่ำและสูง (หมายเหตุ ‘หลากประเภท’ ในที่นี้เป็นคำเรียกที่สะท้อนความหมายถึงชนชั้นต่ำ) และในสมัยถังไท่จงมีกฎว่า ห้ามไม่ให้ขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปทำการค้า วัตถุประสงค์ของกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่อย่างไรก็ดี มันเสริมสร้างการแบ่งแยกทางชนชั้นด้วยอาชีพ สุดท้ายกลายเป็นการตอกย้ำความเชื่อของสังคมที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’

    แต่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางและปลายของสมัยถัง และได้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์บางอย่าง การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ มีอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในสมัยซ่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง เกิดการคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวางข้ามกลุ่มอาชีพ และพ่อค้ากลับกลายมาเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของสังคม โดยมีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือจุนเจือสังคมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า บทบาทและสถานะทางสังคมของอาชีพต่างๆ แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

    Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดของวิวัฒนาการต่างๆ ทางด้านการปกครองและเศรษฐกิจเพราะเป็นสองศาสตร์วิชาที่ทั้งกว้างทั้งลึก วันนี้จึงเพียงคุยโดยคร่าวให้เพื่อนเพจฟังในแง่ที่ว่า สี่หมวดหมู่อาชีพนี้ เป็นการจัดหมวดหมู่เพื่อการปกครองมาแต่โบราณกาลและเดิมไม่ได้เป็นการตั้งใจแบ่งชนชั้นวรรณะตามอาชีพ เพียงแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไปจนเกิดเป็นการแบ่งแยกให้ชนชั้นที่มีการศึกษาเป็นชั้นสูงและให้พ่อค้าเป็นชนชั้นล่างสุด แต่นี่ไม่ใช่สถานะที่ถาวร หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน

    ละครเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเครื่องแบบข้าราชการแล้วเป็นการอิงตามสมัยถัง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นวลีที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ นี้ในละครเรื่องนี้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.themoviedb.org/tv/128712/images/posters?language=zh-HK
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/531009133
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://ctext.org/guanzi/xiao-kuang/zhs
    http://www.qulishi.com/article/201909/363094.html
    https://www.163.com/dy/article/FLEULDGE0543KAMS.html
    https://www.sxlib.org.cn/dfzy/sczl/wwgjp/qb/201808/t20180806_929973.html
    http://www.rmlt.com.cn/2018/1116/533321.shtml
    http://www.jjckb.cn/2016-12/05/c_135881236.htm#
    http://economy.guoxue.com/?p=888

    #ยอดบุรุษพลิกคดี #สี่อาชีพจีนโบราณ #ซี่อหนงกงซัง #ซื่อหมิน #สี่ประชาชน
    สี่อาชีพในสังคมจีนโบราณ ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> จะยังจำได้ไหมว่าในตอนต้นเรื่องนั้น จางผิงผู้เป็นบัณฑิตตกยากออกมาขายของกินยามค่ำคืนกับเพื่อนซี้ เขาโดนคนที่เดินผ่านมาถากถางว่าเป็นบัณฑิตแต่กลับไม่รักดีมาขายของโดยสาธยายว่า “ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด” (士农工商 商为最贱) ‘บัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้า’ หรือที่เรียกว่า ‘ซื่อหนงกงซัง” (士农工商) นั้น เป็นสี่หมวดอาชีพในสังคมจีนโบราณโดยในประโยคที่ยกมาจากในละครข้างต้นได้จัดเรียงลำดับชนชั้นจากความสูงส่งไปจนต่ำต้อย แล้วในสมัยจีนโบราณอาชีพพ่อค้าต่ำต้อยที่สุดจริงหรือ? จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ แรกเริ่มเลยในสมัยราชวงศ์ซาง (1600-1050 ก่อนคริสตกาล) การเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่คนชอบ ทำให้มีเกษตรกรน้อย ต่อมาในราชวงศ์ถัดๆ ไปจึงถูกมองว่านั่นทำให้รากฐานสังคมไม่แข็งแรงและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของราชวงศ์ซาง ในสมัยราชวงศ์โจวจึงมีการสนับสนุนให้ประชาชนทำการเกษตรมากกว่าการค้า ในยุคสมัยชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) สี่หมวดอาชีพ ‘ซื่อหนงกงซัง’ นี้ถูกรวมกันเป็น ‘ซื่อหมิน’ (四民 แปลตรงตัวว่า ‘สี่ประชาชน’ หมายถึงสี่อาชีพ) ในบันทึกสั้นโบราณว่าด้วยปรัชญาการปกครองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เสี่ยวควง’ ของก่วนจ้ง อัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉีในยุคสมัยชุนชิว ซึ่งต่อมาถูกผนวกรวมเข้าไปไว้ในหมวดที่สามของประมวลสาส์นสี่พระคลัง (四库全书 / ซื่อคู่เฉวียนซู) ที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ก่วนจ้งเองมาจากครอบครัวพ่อค้า เขามองอาชีพพ่อค้าเป็นอาชีพเท่าเทียมกับอาชีพอื่น ข้อความเดิมของเขาระบุไว้ว่า ‘ซื่อหนงกงซังสี่ประชาชนนั้น ล้วนเป็นศิลารากฐานแห่งประเทศชาติ’ โดยมีนัยว่าสังคมจะขาดหนึ่งกลุ่มอาชีพใดไม่ได้ และก่วนจ้งไม่ได้มีการจัดแบ่งชนชั้นต่ำสูง แต่ให้แง่คิดสำหรับระบบการปกครองว่าควรจัดสรรที่ดินทำกินและเขตพำนักให้เหมาะสมกับกลุ่มอาชีพ เพราะแต่ละกลุ่มจะมีความสันทัดและมีรูปแบบชีวิตของตน และหากคนในวิชาชีพเดียวกันได้อยู่ด้วยกันจะสืบทอดและพัฒนาความรู้ในวิชาชีพนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังเอื้อต่อการปกครอง (หมายเหตุ ‘ซื่อ’ ไม่เพียงหมายถึงบัณฑิต หากแต่หมายรวมถึงผู้มีการศึกษาสามารถดูแลปกครองผู้อื่นได้ และหมายรวมถึงผู้ที่เข้ารับราชการด้วย) จะเห็นได้ว่า แรกเริ่มเลย ‘สี่ประชาชน’ นั้นเป็นการวางระบบการปกครองตามหมวดหมู่วิชาชีพโดยมองทุกกลุ่มชนเท่าเทียมกัน แต่ผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรเกิดในครอบครัวเกษตรกร คนมีการศึกษาเกิดในตระกูลคนมีการศึกษาด้วยกัน พอผ่านไปหลายชั่วคน ประชาชนจะถูกจำกัดให้อยู่ภายในกลุ่มหมวดอาชีพของตนโดยปริยาย ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น ปรัชญาขงจื๊อได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างแพร่หลายและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปกครองบ้านเมือง ผลที่ตามมาคือการยกระดับกลุ่มคนมีการศึกษาขึ้นสูงเหนือกลุ่มอื่น และเริ่มมีการมองอย่างดูแคลนว่าพ่อค้าเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งมากกว่าความเจริญของส่วนรวม นี่ไม่ใช่คำสอนของขงจื๊อ แต่เป็นวิวัฒนาการทางความคิดของสังคมที่ไปในทิศทางนั้น ในตำราประวัติศาสตร์สมัยถังต้น (旧唐书¬) มีการบันทึกไว้ว่า ‘ผู้ที่รับเบี้ยหวัดราชการ ห้ามแก่งแย่งผลประโยชน์จากผู้ที่ต่ำกว่า ช่างและพ่อค้าหลากประเภท ห้ามมิให้เข้ารับราชการ’ (食禄之家,不得与下人争利。工商杂类,不得预于士伍。) เป็นที่สังเกตได้ว่ามีการใช้คำ ‘ผู้ที่ต่ำกว่า’ และ ‘หลากประเภท’ ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งแยกต่ำและสูง (หมายเหตุ ‘หลากประเภท’ ในที่นี้เป็นคำเรียกที่สะท้อนความหมายถึงชนชั้นต่ำ) และในสมัยถังไท่จงมีกฎว่า ห้ามไม่ให้ขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปทำการค้า วัตถุประสงค์ของกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่อย่างไรก็ดี มันเสริมสร้างการแบ่งแยกทางชนชั้นด้วยอาชีพ สุดท้ายกลายเป็นการตอกย้ำความเชื่อของสังคมที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ แต่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางและปลายของสมัยถัง และได้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์บางอย่าง การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ มีอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในสมัยซ่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง เกิดการคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวางข้ามกลุ่มอาชีพ และพ่อค้ากลับกลายมาเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของสังคม โดยมีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือจุนเจือสังคมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า บทบาทและสถานะทางสังคมของอาชีพต่างๆ แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดของวิวัฒนาการต่างๆ ทางด้านการปกครองและเศรษฐกิจเพราะเป็นสองศาสตร์วิชาที่ทั้งกว้างทั้งลึก วันนี้จึงเพียงคุยโดยคร่าวให้เพื่อนเพจฟังในแง่ที่ว่า สี่หมวดหมู่อาชีพนี้ เป็นการจัดหมวดหมู่เพื่อการปกครองมาแต่โบราณกาลและเดิมไม่ได้เป็นการตั้งใจแบ่งชนชั้นวรรณะตามอาชีพ เพียงแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไปจนเกิดเป็นการแบ่งแยกให้ชนชั้นที่มีการศึกษาเป็นชั้นสูงและให้พ่อค้าเป็นชนชั้นล่างสุด แต่นี่ไม่ใช่สถานะที่ถาวร หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน ละครเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเครื่องแบบข้าราชการแล้วเป็นการอิงตามสมัยถัง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นวลีที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ นี้ในละครเรื่องนี้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.themoviedb.org/tv/128712/images/posters?language=zh-HK https://zhuanlan.zhihu.com/p/531009133 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://ctext.org/guanzi/xiao-kuang/zhs http://www.qulishi.com/article/201909/363094.html https://www.163.com/dy/article/FLEULDGE0543KAMS.html https://www.sxlib.org.cn/dfzy/sczl/wwgjp/qb/201808/t20180806_929973.html http://www.rmlt.com.cn/2018/1116/533321.shtml http://www.jjckb.cn/2016-12/05/c_135881236.htm# http://economy.guoxue.com/?p=888 #ยอดบุรุษพลิกคดี #สี่อาชีพจีนโบราณ #ซี่อหนงกงซัง #ซื่อหมิน #สี่ประชาชน
    WWW.THEMOVIEDB.ORG
    神探同盟
    故事改編自內地網絡作家大風颳過撰寫嘅原創長篇網絡小說《張公案》.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 691 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใส่ชุดเหมือนออกมาวิ่ง จริงๆมาเดินหาซื้อของกินต่างหากหล่ะ 😆😆😆
    ใส่ชุดเหมือนออกมาวิ่ง จริงๆมาเดินหาซื้อของกินต่างหากหล่ะ 😆😆😆
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดวงภาพรวมปี 2568 ของคนที่เกิดในวันทั้ง 7

    คนเกิดวันจันทร์

    #การงาน ...ปีนี้จะเป็นปีที่เรื่องงานจะมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น หรือบางคนอาจจะตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องทำงานอะไร จะค้นพบตัวเองในเรื่องงาน งานไหนที่กดดัน รู้สึกไม่ชอบ ก็อาจจะตัดสินใจออกจากงานนั้น แล้วไปเริ่มทำในสิ่งใหม่ หรือบางคนอาจจะมีการลงทุนอะไรใหม่ๆ มีการทำงานมากกว่า 1 อย่าง ...แต่สำหรับคนที่ยังไม่ค้นพบตัวเอง หรือยังมีความกล้าไม่มากพอที่จะออกจากงาน เพราะมีความกลัวหลายๆอย่าง เช่นกลัวเงินไม่พอใช้ เพราะจะต้องดูแลรับผิดชอบหลายคนหรือมีหนี้สินที่จะต้องรับผิดชอบ ก็อาจจะต้องทนทำงานไปแบบเซ็งๆ แต่ก็อาจจะมีจุดเปลี่ยนในเรื่องงานหรืออาจจะมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเรื่องงานอีกครั้งในช่วงเดือน กรกฎาคม หรืออาจจะเป็นช่วงตุลาคมท้ายๆปี

    #การเงิน มีโอกาสว่าปีนี้อาจจะมีเรื่องเงินเข้ามามาก หรือมีรายได้เข้ามาหลายทาง แต่ก็จะมีรายจ่ายหมดไปกับคนในครอบครัว หรือถ้าใครมีการเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ก็จะต้องเตรียมเงินไปให้พร้อมเพราะอาจจะใช้เงินเกินงบ หรือถ้ามีการลงทุนทำอะไรก็จะต้องตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะอาจจะเสี่ยงที่จะขาดทุน หรือผลตอบรับยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจะต้องระวังการเงินติดขัดในช่วงเดือน กรกฎาคม-ตุลาคม ส่วนถ้าเดือดร้อนในเรื่องของการเงินนั้นอาจจะหาคนช่วยเหลือได้อยู่ ซึ่งจะต้องเป็นคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือเป็นคนที่อายุมากกว่าเป็นเพศชาย...งานเกี่ยวกับต่างประเทศ ชาวต่างชาติ ภาษา การขนส่ง การติดต่อสื่อสาร จะได้รับผลดี

    #ความรัก ...คนที่มีคู่ จะต้องระวังมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง ที่เด่นชัดต้องระวังปัญหาการเงินหนี้สิน และเรื่องคำพูดคำจา ที่อาจจะพูดจาไม่ถนอมน้ำใจกัน ส่วนคนที่อยู่ไกลกันนั้น ก็จะต้องระวังจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรกแซง ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สิงหาคม กันยายน ...คนโสด มีโอกาสที่จะมีคนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรือเข้ามาคบคุยหลายคน และมีโอกาสที่จะได้ออกเดท ได้ไปพบเจอกันที่สถานที่ใกล้น้ำ ซึ่งจะเด่นในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ พฤษภาคม สิงหาคม และต้องระวังการตั้งครรภ์ด้วย ถ้าไม่พร้อมก็จะต้องป้องกันให้ดีเพราะมีความเสี่ยง ส่วนคนที่เข้ามานั้น ดูแล้วอาจจะมาช่วยเหลืออุปถัมภ์เราได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเจอคนที่มีเจ้าของแล้ว ...คนที่ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ดูแล้วจะอยู่กันแบบมีความเครียด คาราคาซัง และอาจจะมีมือที่ 3 ที่ 4 เข้ามาเพิ่มเติมด้วย ต้องระวังมีเรื่องทุกข์ใจ และเครียดช่วงเดือน มีนาคมเป็นต้นไป และอาจจะเครียดไปทั้งปี ถ้ายังไม่เดินออกมาจากความสัมพันธ์นี้

    #สุขภาพ จะต้องระวังเกี่ยวกับปวดตา สายตาไม่ดี หรือบางคนอาจจะได้ตัดแว่นใหม่ ความเครียด โรคซึมเศร้า คิดมาก โรคในช่องปาก ฟัน หรือบางคนอาจจะมีปัญหาทางการเงิน ทำให้เสียสุขภาพจิตตามมา แต่ดูแล้วยังไม่ได้ถึงขั้นมีโรคร้ายแรง ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน มีนาคม มิถุนายน เดือนพฤศจิกายน ส่วนถ้าใครมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แล้วจะต้องพบหมอเพื่อติดตามอาการ ก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน เพราะมีโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากอาหารการกิน หรือโรคจะเป็นมากขึ้น อย่ากินในของที่จะทำให้เกิดโรคเพิ่มขึ้น เช่น กินเนื้อสัตว์มากไป กินหวาน กินเค็ม กินอาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกใหม่ ...ส่วนคนที่จะมีแผนผ่าตัด ศัลยกรรม หรือมีดวงที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลพบหมอ จะเป็นช่วงเดือน เมษายน พฤษภาคม

    #โชคลาภ...จะมีโชคลาภจากอาหารการกิน หรืออาจได้รับของกินของฝาก หรือได้จากงาน โชคทางการเสี่ยงยังไม่เด่นเท่าไหร่ เลขนำโชค 4/6/9 เสี่ยงโชคจากเลขใกล้ตัว เลขบ้าน เลขรถ

    #การเดินทาง ปลอดภัยดีและมีโอกาสได้รับโชคลาภ แต่ให้ระวังช่วงเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกลเพราะอาจมีอุปสรรค

    #สิ่งที่ต้องระวัง...ให้ระวังจะมีเรื่องติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะทำให้ชีวิตติดขัด หากไปบนไว้ที่ไหนต้องไปแก้

    #วิธีเสริมดวง ทำบุญบริจาคทาน ช่วยค่าน้ำค่าไฟ ทำทานเกี่ยวกับเด็ก ช่วยเหลือเด็ก บริจาคน้ำดื่ม ปล่อยสัตว์น้ำ สวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล 5

    #บทสวดมนต์ที่แนะนำ มหาสมัยสูตร/มหาเมตตาใหญ่/รัตนปริตร/บทพระมหาจักรพรรดิ
    ---------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    Cr.ภาพ Baan Kanaecha
    ดวงภาพรวมปี 2568 ของคนที่เกิดในวันทั้ง 7 คนเกิดวันจันทร์ #การงาน ...ปีนี้จะเป็นปีที่เรื่องงานจะมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น หรือบางคนอาจจะตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องทำงานอะไร จะค้นพบตัวเองในเรื่องงาน งานไหนที่กดดัน รู้สึกไม่ชอบ ก็อาจจะตัดสินใจออกจากงานนั้น แล้วไปเริ่มทำในสิ่งใหม่ หรือบางคนอาจจะมีการลงทุนอะไรใหม่ๆ มีการทำงานมากกว่า 1 อย่าง ...แต่สำหรับคนที่ยังไม่ค้นพบตัวเอง หรือยังมีความกล้าไม่มากพอที่จะออกจากงาน เพราะมีความกลัวหลายๆอย่าง เช่นกลัวเงินไม่พอใช้ เพราะจะต้องดูแลรับผิดชอบหลายคนหรือมีหนี้สินที่จะต้องรับผิดชอบ ก็อาจจะต้องทนทำงานไปแบบเซ็งๆ แต่ก็อาจจะมีจุดเปลี่ยนในเรื่องงานหรืออาจจะมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเรื่องงานอีกครั้งในช่วงเดือน กรกฎาคม หรืออาจจะเป็นช่วงตุลาคมท้ายๆปี #การเงิน มีโอกาสว่าปีนี้อาจจะมีเรื่องเงินเข้ามามาก หรือมีรายได้เข้ามาหลายทาง แต่ก็จะมีรายจ่ายหมดไปกับคนในครอบครัว หรือถ้าใครมีการเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ก็จะต้องเตรียมเงินไปให้พร้อมเพราะอาจจะใช้เงินเกินงบ หรือถ้ามีการลงทุนทำอะไรก็จะต้องตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะอาจจะเสี่ยงที่จะขาดทุน หรือผลตอบรับยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจะต้องระวังการเงินติดขัดในช่วงเดือน กรกฎาคม-ตุลาคม ส่วนถ้าเดือดร้อนในเรื่องของการเงินนั้นอาจจะหาคนช่วยเหลือได้อยู่ ซึ่งจะต้องเป็นคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือเป็นคนที่อายุมากกว่าเป็นเพศชาย...งานเกี่ยวกับต่างประเทศ ชาวต่างชาติ ภาษา การขนส่ง การติดต่อสื่อสาร จะได้รับผลดี #ความรัก ...คนที่มีคู่ จะต้องระวังมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง ที่เด่นชัดต้องระวังปัญหาการเงินหนี้สิน และเรื่องคำพูดคำจา ที่อาจจะพูดจาไม่ถนอมน้ำใจกัน ส่วนคนที่อยู่ไกลกันนั้น ก็จะต้องระวังจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรกแซง ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สิงหาคม กันยายน ...คนโสด มีโอกาสที่จะมีคนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรือเข้ามาคบคุยหลายคน และมีโอกาสที่จะได้ออกเดท ได้ไปพบเจอกันที่สถานที่ใกล้น้ำ ซึ่งจะเด่นในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ พฤษภาคม สิงหาคม และต้องระวังการตั้งครรภ์ด้วย ถ้าไม่พร้อมก็จะต้องป้องกันให้ดีเพราะมีความเสี่ยง ส่วนคนที่เข้ามานั้น ดูแล้วอาจจะมาช่วยเหลืออุปถัมภ์เราได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเจอคนที่มีเจ้าของแล้ว ...คนที่ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ดูแล้วจะอยู่กันแบบมีความเครียด คาราคาซัง และอาจจะมีมือที่ 3 ที่ 4 เข้ามาเพิ่มเติมด้วย ต้องระวังมีเรื่องทุกข์ใจ และเครียดช่วงเดือน มีนาคมเป็นต้นไป และอาจจะเครียดไปทั้งปี ถ้ายังไม่เดินออกมาจากความสัมพันธ์นี้ #สุขภาพ จะต้องระวังเกี่ยวกับปวดตา สายตาไม่ดี หรือบางคนอาจจะได้ตัดแว่นใหม่ ความเครียด โรคซึมเศร้า คิดมาก โรคในช่องปาก ฟัน หรือบางคนอาจจะมีปัญหาทางการเงิน ทำให้เสียสุขภาพจิตตามมา แต่ดูแล้วยังไม่ได้ถึงขั้นมีโรคร้ายแรง ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน มีนาคม มิถุนายน เดือนพฤศจิกายน ส่วนถ้าใครมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แล้วจะต้องพบหมอเพื่อติดตามอาการ ก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน เพราะมีโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากอาหารการกิน หรือโรคจะเป็นมากขึ้น อย่ากินในของที่จะทำให้เกิดโรคเพิ่มขึ้น เช่น กินเนื้อสัตว์มากไป กินหวาน กินเค็ม กินอาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกใหม่ ...ส่วนคนที่จะมีแผนผ่าตัด ศัลยกรรม หรือมีดวงที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลพบหมอ จะเป็นช่วงเดือน เมษายน พฤษภาคม #โชคลาภ...จะมีโชคลาภจากอาหารการกิน หรืออาจได้รับของกินของฝาก หรือได้จากงาน โชคทางการเสี่ยงยังไม่เด่นเท่าไหร่ เลขนำโชค 4/6/9 เสี่ยงโชคจากเลขใกล้ตัว เลขบ้าน เลขรถ #การเดินทาง ปลอดภัยดีและมีโอกาสได้รับโชคลาภ แต่ให้ระวังช่วงเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกลเพราะอาจมีอุปสรรค #สิ่งที่ต้องระวัง...ให้ระวังจะมีเรื่องติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะทำให้ชีวิตติดขัด หากไปบนไว้ที่ไหนต้องไปแก้ #วิธีเสริมดวง ทำบุญบริจาคทาน ช่วยค่าน้ำค่าไฟ ทำทานเกี่ยวกับเด็ก ช่วยเหลือเด็ก บริจาคน้ำดื่ม ปล่อยสัตว์น้ำ สวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล 5 #บทสวดมนต์ที่แนะนำ มหาสมัยสูตร/มหาเมตตาใหญ่/รัตนปริตร/บทพระมหาจักรพรรดิ --------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่ Cr.ภาพ Baan Kanaecha
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 877 มุมมอง 0 รีวิว
  • แค่อยากหม่ำ เลยเอาเข้า #หม้อทอดไร้น้ำมัน อบไปรอบแรก หนังแค่ตึ่งๆ เอาเข้าอีกครั้ง

    ออกมากรอบแค่ครึ่งเดียว คราวนี้ เพิ่มความร้อน กับนานขึ้น .. ออกมาตามภาพเลยจร้า ฟินจร้า

    #ไส้กรอกทอดกรอบไร้น้ำมัน

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    แค่อยากหม่ำ เลยเอาเข้า #หม้อทอดไร้น้ำมัน อบไปรอบแรก หนังแค่ตึ่งๆ เอาเข้าอีกครั้ง ออกมากรอบแค่ครึ่งเดียว คราวนี้ เพิ่มความร้อน กับนานขึ้น .. ออกมาตามภาพเลยจร้า ฟินจร้า #ไส้กรอกทอดกรอบไร้น้ำมัน #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    หลายวันมานี้
    ความเย็นของอากาศยามเช้าเริ่มหายไป
    เป็นสัญญานว่าฤดูหนาวกำลังจากไป

    อากาศยามเช้าเริ่มร้อนมากขึ้น และมันคงจะทวีความร้อนแรง มากขึ้นไป

    ฤดูร้อน....เดินทางมาถึงแล้ว...

    ....................

    ในสมัยที่ผมยังเด็กนั้น
    ในต้นฤดูร้อนแบบนี้

    ตลิ่งริมแม่นำ้โขง ที่แม่บ้านเคยลงไปปลูกหอม กระเทียม คะน้า ก็เริ่มจะทิ้งร้าง อาจจะมีก็เพียง ต้นมะเขือที่เจริญเติบโตมาจาก แม่บ้านมักจะโยน มะเขือเน่าๆ ออกไปทางหน้าต่างครัว พอได้นำ้ได้แดด ก็เติบโต ออกผลให้ได้พอเก็บกิน

    แปลงปลูกผักคงเหลือแต่ต้นข้าวโพด ที่หักฝักแล้ว ยืนต้นตาย
    สุมทุมพุ่มไม้ วัชพืชต่างๆ ต่างแย่งขึ้นกัน จนสูงท่วมหัว

    บ่อยครั้ง ที่ผมมักจะไปนั่งเล่น ดูนก ดูไม้ไปเรื่อย ผมสังเกตเห็นนกกระจอกบ้าน ตัวเล็กๆ มันมักจะมาส่งทะเลาะกัน เสียงดัง โวยวาย แย่งเศษเมล็ดข้าวโพดที่แห้งคาต้น...

    ผมเกิดความคิดแว่บหนึ่งขึ้นมาในหัว

    ผมอยากจะจับนกพวกนี้มาเลี้ยงไว้ที่บ้าน...

    ผมเริ่มคิดวิธีการที่จะจับนกเหล่านั้น
    ผมคิดอยู่หลายวิธี และหลายวัน จนผมได้วิธีการที่คิดว่า จับนกได้แน่นอน....

    ผมเห็นพื้นที่ว่าง ข้างๆ บาร์ปริ้นซ์ (บาร์ปริ๊นซ์ ปัจจุบันคือ ร้านสุขโขสโมสร) จะมีกองอิฐแดง ที่มีคนทิ้งไว้หลายก้อน

    อิฐแดงสมัยก่อนนั้น ก้อนจะมีขนาดใหญ่กว่าอิฐแดงปัจจุบันมากนัก เรียกว่าแต่ละก้อน ความยาวเกือบๆ ฟุตเลยทีเดียว ทั้งหนาทั้งหนัก

    ผมสังเกตดูว่าอิฐแดงนี้ไม่น่าจะมีเจ้าของ เพราะมันถูกทิ้งไว้นานแล้ว คิดได้ดังนั้น ผมก็เริ่มทะยอย ขนอิฐแดง 4-5 ก้อน มาเก็บไว้ "บ้านผี" ข้างบ้านผม

    "บ้านผี" ที่ว่านี้ อยู่ติดกับบาร์ปริ้นซ์ ด้านทิศใต้ ซึ่งผนังด้านหนึ่งของบ้านผีนี้ ติดกับบ้านของผม

    ที่ผมเรียกบ้านผี เพราะว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านร้าง ผมกับพี่น้องมักจะเอาตาแนบกับรอยแตก บนผนังไม้ เพื่อดูว่าในบ้านมีอะไร แต่ก็ไม่มีอะไร เรียกกันไปตามจินตนาการแห่งวัยเด็ก...

    ผมขนมากองหน้าบ้านผี จนหาเวลาเหมาะๆ ช่วงที่อาม่า แม่ แม่บ้าน ไม่ทันสังเกต ผมเริ่มทะยอยขนอิฐแดงนี้ ลงไปชั้นล่างของบ้าน คือแถวๆครัว ตรงห้องเก็บเครื่องมือและผลผลิตทางการเกษตร

    บ้านของผมนั้น จะมีประตูแนวราบ ที่เปิดขึ้นเพื้อลงไปสู่ตลิ่ง ด้านล่าง ผมทะยอยขนก้อนอิฐลงไปที่แปลงผักทิ้งร้าง

    ผมเลือกเอาชัยภูมิเหมาะๆ สำหรับตั้ง "กับดักนกกระจอกบ้าน" ของผม

    หลายๆวันที่ผมเฝ้าดูพฤติกรรมของนกว่าจะลงมาจิกกินเศษข้าวโพด ตรงไหน บริเวณไหนที่นกลงมากที่สุด ผมจะเริ่มตรงนั้น...

    ผมเริ่มใช้อิฐแดง วางสันด้านยาวไปบนพื้นดิน โดยเรียงเหมือนคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆ

    ด้านหนึ่งของด้านสี่เหลี่ยมนี้ ผมใช้อิฐแดงอีกก้อนวางพาดให้เป็นทรงหมาแหงน และแน่นอน ผมได้เตรียมไ้่ม้ไผ่ ที่เหลาแบนๆ ที่ใช้สานเพื่อทำภาชนะบรรจุถ่านไม้ ที่แม่ผม พาเรียกว่า "กระทอถ่าน" ลงมาด้วย
    ผมใช้ไม่ไผ่นี้เป็นตัวคำ้อิฐก้อนนี้ไว้

    ผมกลับขึ้นไปบนบ้านอย่างเงียบๆ แล้วกลับลงมาด้วยของบางอย่างในกระเป๋ากางเกง

    ผมเอากาวลาเท็กซ์ ลงมา พร้อมกับข้าวสาร1กำมือน้อยๆ

    ผมใช้กาวลาเท็กซ์ ทาที่ไม้ไผ่แบนๆด้านที่เปิดออกไปหานก แล้วผมเอาข้าวสาร มาโรยบนไม้ไผ่

    ไม่นาน ข้าวสาร จำนวนหนึ่งก็ติดบนไม้ไผ่
    ในความคิดตอนนั้น...

    ถ้านกลงมาหาของกิน พอมันเห็นข้าวสารที่ติดบนไม้ไผ่ มันจะต้องจิกแต่ข้าวสารนั้นถูกติดกาวไว้ มันต้องออกแรงจิก พอมันจิกแรงๆเข้า ไม้ไผ่ที่คำ้อิฐก็จะล้ม อิฐก็จะลงมาปิดคอกที่ผมสร้างไว้

    ผมตระเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย ในช่วงสายของวันนั้น

    บ่ายวันนั้นทั้งวัน ผมแทบไม่ทำอะไรเลย นอกจากลงไปเฝ้าดูห่างๆว่าอิฐก้อนนั้นมันปิดลงมาหรือยัง ....?

    ผมเฝ้าอยู่ จนเย็น ก็ต้องขึ้นบ้าน เพราะอาม่า ตามตัวแล้ว
    ผมอาบนำ้ทานข้าวเย็นด้วยใจที่พะวงไปถึงกับดักผม ตลอดเวลา

    จวบจนความมืดมาเยือน...
    คืนนั้น ผมหลับไปด้วยหัวใจที่กระวนกระวายที่สุด..

    ...............

    ผมตื่นแต่เช้าก่อนฟ้าสาง บรรยากาศรอบตัวยังเต็มไปด้วยความมืด
    นอนรอเวลาฟ้าสว่างด้วยใจจดจ่อ...
    จนฟ้าสว่าง....

    ผมแอบลงไปส่องดูตรงกับดักของผม...

    อิฐก้อนบน ถูกปิดลงมาแล้ว....!!!!!

    ทั้งดีใจระคนตื่นเต้น ว่าจะมีนกกี่ตัวในนั้น

    ผมรอจน กินข้าวเช้าแล้ว ซึ่งปกติ ผมจะออกไปวิ่งเล่น อาม่าก็ไม่ได้สนใจอะไร

    ผมแอบลงไปที่วางกับดัก พร้อมกับ ตะกร้าพลาสติกมีตาถี่และฝาปิด นัยว่าจะได้เอานกใส่ตะกร้านี้ ขึ้นบ้าน

    ผมค่อยๆเดินเข้าไปที่กับดักผมพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว หูก็คอยฟังเสียงนกในกับดัก แต่....

    ไม่มีเสียงนก
    "มันคงยังไม่ตื่น.."
    ในใจก็คิดไปต่างๆนานา แต่ที่แน่นอนคือ วันนี้ได้เลี้ยงนกแน่นอนแล้ว...

    ผมค่อยๆขยับอิฐให้เป็นช่อง แล้วล้วงมือลงไปในกับดักอิฐแดงของผม....

    ผมสัมผัสอะไรบางอย่าง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่นก แน่นอน
    มือไวเท่าความคิด !!!!

    ผมทลายกับดักผมทันที
    หนูตัวเขื่องพุ่งสวนออกจากกับดัก...

    มันคงเข้าไปหาเศษอาหาร หรือข้าวสารกิน เลยติดกับดักนั้น

    ผมทิ้งตัวลงนั้นกับพื้นดินริมตลิ่ง จนคลายความตกใจ
    ผมค่อยๆกลับขึ้นบ้าน พร้อมกับล้างเท้าเอาเศษดินออก....

    ผมเริ่มต้นฤดูร้อนในปีนั้นด้วยความตื่นเต้น และมันกลายเป็นความทรงจำ ที่ตรึงอยู่ในใจของผม ตั้งแต่นั้น...เป็นต้นมา...

    .......................

    ทุกๆครั้งที่ผมผ่านไปที่ตลิ่งริมแม่นำ้ มองเห็นแปลงผักรกร้าง วัชพืชสูงท่วมหัว

    ผมมักจะคิดถึงฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตในวัยเด็กของผมอยู่เสมอ...
    .
    .
    .
    ฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตวัยเด็ก ที่ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย....

    .........................

    "กับดัก"
    เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 5 มีนาคม 2560 ที่เพจ
    ' ล ม ห ว น '
    สมัยที่ผมยังเด็ก... หลายวันมานี้ ความเย็นของอากาศยามเช้าเริ่มหายไป เป็นสัญญานว่าฤดูหนาวกำลังจากไป อากาศยามเช้าเริ่มร้อนมากขึ้น และมันคงจะทวีความร้อนแรง มากขึ้นไป ฤดูร้อน....เดินทางมาถึงแล้ว... .................... ในสมัยที่ผมยังเด็กนั้น ในต้นฤดูร้อนแบบนี้ ตลิ่งริมแม่นำ้โขง ที่แม่บ้านเคยลงไปปลูกหอม กระเทียม คะน้า ก็เริ่มจะทิ้งร้าง อาจจะมีก็เพียง ต้นมะเขือที่เจริญเติบโตมาจาก แม่บ้านมักจะโยน มะเขือเน่าๆ ออกไปทางหน้าต่างครัว พอได้นำ้ได้แดด ก็เติบโต ออกผลให้ได้พอเก็บกิน แปลงปลูกผักคงเหลือแต่ต้นข้าวโพด ที่หักฝักแล้ว ยืนต้นตาย สุมทุมพุ่มไม้ วัชพืชต่างๆ ต่างแย่งขึ้นกัน จนสูงท่วมหัว บ่อยครั้ง ที่ผมมักจะไปนั่งเล่น ดูนก ดูไม้ไปเรื่อย ผมสังเกตเห็นนกกระจอกบ้าน ตัวเล็กๆ มันมักจะมาส่งทะเลาะกัน เสียงดัง โวยวาย แย่งเศษเมล็ดข้าวโพดที่แห้งคาต้น... ผมเกิดความคิดแว่บหนึ่งขึ้นมาในหัว ผมอยากจะจับนกพวกนี้มาเลี้ยงไว้ที่บ้าน... ผมเริ่มคิดวิธีการที่จะจับนกเหล่านั้น ผมคิดอยู่หลายวิธี และหลายวัน จนผมได้วิธีการที่คิดว่า จับนกได้แน่นอน.... ผมเห็นพื้นที่ว่าง ข้างๆ บาร์ปริ้นซ์ (บาร์ปริ๊นซ์ ปัจจุบันคือ ร้านสุขโขสโมสร) จะมีกองอิฐแดง ที่มีคนทิ้งไว้หลายก้อน อิฐแดงสมัยก่อนนั้น ก้อนจะมีขนาดใหญ่กว่าอิฐแดงปัจจุบันมากนัก เรียกว่าแต่ละก้อน ความยาวเกือบๆ ฟุตเลยทีเดียว ทั้งหนาทั้งหนัก ผมสังเกตดูว่าอิฐแดงนี้ไม่น่าจะมีเจ้าของ เพราะมันถูกทิ้งไว้นานแล้ว คิดได้ดังนั้น ผมก็เริ่มทะยอย ขนอิฐแดง 4-5 ก้อน มาเก็บไว้ "บ้านผี" ข้างบ้านผม "บ้านผี" ที่ว่านี้ อยู่ติดกับบาร์ปริ้นซ์ ด้านทิศใต้ ซึ่งผนังด้านหนึ่งของบ้านผีนี้ ติดกับบ้านของผม ที่ผมเรียกบ้านผี เพราะว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านร้าง ผมกับพี่น้องมักจะเอาตาแนบกับรอยแตก บนผนังไม้ เพื่อดูว่าในบ้านมีอะไร แต่ก็ไม่มีอะไร เรียกกันไปตามจินตนาการแห่งวัยเด็ก... ผมขนมากองหน้าบ้านผี จนหาเวลาเหมาะๆ ช่วงที่อาม่า แม่ แม่บ้าน ไม่ทันสังเกต ผมเริ่มทะยอยขนอิฐแดงนี้ ลงไปชั้นล่างของบ้าน คือแถวๆครัว ตรงห้องเก็บเครื่องมือและผลผลิตทางการเกษตร บ้านของผมนั้น จะมีประตูแนวราบ ที่เปิดขึ้นเพื้อลงไปสู่ตลิ่ง ด้านล่าง ผมทะยอยขนก้อนอิฐลงไปที่แปลงผักทิ้งร้าง ผมเลือกเอาชัยภูมิเหมาะๆ สำหรับตั้ง "กับดักนกกระจอกบ้าน" ของผม หลายๆวันที่ผมเฝ้าดูพฤติกรรมของนกว่าจะลงมาจิกกินเศษข้าวโพด ตรงไหน บริเวณไหนที่นกลงมากที่สุด ผมจะเริ่มตรงนั้น... ผมเริ่มใช้อิฐแดง วางสันด้านยาวไปบนพื้นดิน โดยเรียงเหมือนคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้านหนึ่งของด้านสี่เหลี่ยมนี้ ผมใช้อิฐแดงอีกก้อนวางพาดให้เป็นทรงหมาแหงน และแน่นอน ผมได้เตรียมไ้่ม้ไผ่ ที่เหลาแบนๆ ที่ใช้สานเพื่อทำภาชนะบรรจุถ่านไม้ ที่แม่ผม พาเรียกว่า "กระทอถ่าน" ลงมาด้วย ผมใช้ไม่ไผ่นี้เป็นตัวคำ้อิฐก้อนนี้ไว้ ผมกลับขึ้นไปบนบ้านอย่างเงียบๆ แล้วกลับลงมาด้วยของบางอย่างในกระเป๋ากางเกง ผมเอากาวลาเท็กซ์ ลงมา พร้อมกับข้าวสาร1กำมือน้อยๆ ผมใช้กาวลาเท็กซ์ ทาที่ไม้ไผ่แบนๆด้านที่เปิดออกไปหานก แล้วผมเอาข้าวสาร มาโรยบนไม้ไผ่ ไม่นาน ข้าวสาร จำนวนหนึ่งก็ติดบนไม้ไผ่ ในความคิดตอนนั้น... ถ้านกลงมาหาของกิน พอมันเห็นข้าวสารที่ติดบนไม้ไผ่ มันจะต้องจิกแต่ข้าวสารนั้นถูกติดกาวไว้ มันต้องออกแรงจิก พอมันจิกแรงๆเข้า ไม้ไผ่ที่คำ้อิฐก็จะล้ม อิฐก็จะลงมาปิดคอกที่ผมสร้างไว้ ผมตระเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย ในช่วงสายของวันนั้น บ่ายวันนั้นทั้งวัน ผมแทบไม่ทำอะไรเลย นอกจากลงไปเฝ้าดูห่างๆว่าอิฐก้อนนั้นมันปิดลงมาหรือยัง ....? ผมเฝ้าอยู่ จนเย็น ก็ต้องขึ้นบ้าน เพราะอาม่า ตามตัวแล้ว ผมอาบนำ้ทานข้าวเย็นด้วยใจที่พะวงไปถึงกับดักผม ตลอดเวลา จวบจนความมืดมาเยือน... คืนนั้น ผมหลับไปด้วยหัวใจที่กระวนกระวายที่สุด.. ............... ผมตื่นแต่เช้าก่อนฟ้าสาง บรรยากาศรอบตัวยังเต็มไปด้วยความมืด นอนรอเวลาฟ้าสว่างด้วยใจจดจ่อ... จนฟ้าสว่าง.... ผมแอบลงไปส่องดูตรงกับดักของผม... อิฐก้อนบน ถูกปิดลงมาแล้ว....!!!!! ทั้งดีใจระคนตื่นเต้น ว่าจะมีนกกี่ตัวในนั้น ผมรอจน กินข้าวเช้าแล้ว ซึ่งปกติ ผมจะออกไปวิ่งเล่น อาม่าก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมแอบลงไปที่วางกับดัก พร้อมกับ ตะกร้าพลาสติกมีตาถี่และฝาปิด นัยว่าจะได้เอานกใส่ตะกร้านี้ ขึ้นบ้าน ผมค่อยๆเดินเข้าไปที่กับดักผมพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว หูก็คอยฟังเสียงนกในกับดัก แต่.... ไม่มีเสียงนก "มันคงยังไม่ตื่น.." ในใจก็คิดไปต่างๆนานา แต่ที่แน่นอนคือ วันนี้ได้เลี้ยงนกแน่นอนแล้ว... ผมค่อยๆขยับอิฐให้เป็นช่อง แล้วล้วงมือลงไปในกับดักอิฐแดงของผม.... ผมสัมผัสอะไรบางอย่าง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่นก แน่นอน มือไวเท่าความคิด !!!! ผมทลายกับดักผมทันที หนูตัวเขื่องพุ่งสวนออกจากกับดัก... มันคงเข้าไปหาเศษอาหาร หรือข้าวสารกิน เลยติดกับดักนั้น ผมทิ้งตัวลงนั้นกับพื้นดินริมตลิ่ง จนคลายความตกใจ ผมค่อยๆกลับขึ้นบ้าน พร้อมกับล้างเท้าเอาเศษดินออก.... ผมเริ่มต้นฤดูร้อนในปีนั้นด้วยความตื่นเต้น และมันกลายเป็นความทรงจำ ที่ตรึงอยู่ในใจของผม ตั้งแต่นั้น...เป็นต้นมา... ....................... ทุกๆครั้งที่ผมผ่านไปที่ตลิ่งริมแม่นำ้ มองเห็นแปลงผักรกร้าง วัชพืชสูงท่วมหัว ผมมักจะคิดถึงฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตในวัยเด็กของผมอยู่เสมอ... . . . ฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตวัยเด็ก ที่ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย.... ......................... "กับดัก" เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 5 มีนาคม 2560 ที่เพจ ' ล ม ห ว น '
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 640 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=AsI8xrgoZ9Y
    บทสนทนาวันตรุษจีน
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันตรุษจีน
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #ตรุษจีน

    The conversations from the clip :

    Jack: Hey, Anna! Are you ready for Chinese New Year?
    Anna: Hey, Jack! Almost! My family is busy preparing the offerings. How about you?
    Jack: Same here. My mom asked me to help buy fruits and incense sticks.
    Anna: That’s great! Did she give you a list of what to get?
    Jack: Yes, she said we need mandarin oranges, apples, and pears. They symbolize good fortune, peace, and prosperity.
    Anna: Oh, we’re buying similar things. But we also need pineapple because it’s considered a lucky fruit.
    Jack: That’s interesting! I didn’t know that. What about the incense and candles?
    Anna: My parents already got those. They said red candles are important for attracting positive energy.
    Jack: I see. Are you buying any sweets or snacks for the offerings?
    Anna: Yes, we’re getting sweet rice cakes and sesame balls. My grandma says they represent unity and success.
    Jack: That’s so meaningful! My family also includes some traditional pastries.
    Anna: What else do you prepare?
    Jack: We usually have a roasted duck and a whole fish to represent abundance.
    Anna: That’s nice! My family prepares chicken and pork. The elders say it’s to honor our ancestors.
    Jack: It’s amazing how every item has a symbolic meaning.
    Anna: Absolutely. I think that’s what makes Chinese New Year so special and meaningful.
    Jack: Agreed! Let’s finish our shopping soon so we don’t forget anything.
    Anna: Good idea! Let’s meet later and compare our shopping lists!

    แจ็ค: เฮ้ แอนนา! เตรียมตัวสำหรับตรุษจีนพร้อมหรือยัง?
    แอนนา: เฮ้ แจ็ค! เกือบแล้ว! ครอบครัวฉันกำลังยุ่งกับการเตรียมของไหว้ แล้วเธอล่ะ?
    แจ็ค: เหมือนกันเลย แม่ให้ฉันช่วยซื้อผลไม้กับธูป
    แอนนา: ดีจัง! แม่เธอให้ลิสต์มาด้วยหรือเปล่าว่าต้องซื้ออะไรบ้าง?
    แจ็ค: ใช่ แม่บอกว่าต้องซื้อส้มสีทอง แอปเปิล แล้วก็ลูกแพร์ เพราะมันสื่อถึงโชคลาภ ความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรือง
    แอนนา: โอ้ ครอบครัวฉันก็ซื้อของคล้าย ๆ กัน แต่พวกเราต้องซื้อสับปะรดด้วย เพราะถือว่าเป็นผลไม้นำโชค
    แจ็ค: น่าสนใจจัง! ฉันไม่เคยรู้มาก่อน แล้วพวกธูปกับเทียนล่ะ?
    แอนนา: พ่อแม่ฉันซื้อมาเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าเทียนสีแดงสำคัญมาก เพราะช่วยดึงดูดพลังบวก
    แจ็ค: เข้าใจแล้ว ครอบครัวเธอซื้อขนมหรือของกินเล่นสำหรับไหว้ด้วยไหม?
    แอนนา: ซื้อสิ เราซื้อขนมเข่งกับขนมงาทอด ยายฉันบอกว่ามันหมายถึงความสามัคคีและความสำเร็จ
    แจ็ค: ความหมายลึกซึ้งจัง! ครอบครัวฉันก็มีพวกขนมแบบดั้งเดิมเหมือนกัน
    แอนนา: แล้วครอบครัวเธอเตรียมอะไรอีก?
    แจ็ค: พวกเรามักจะเตรียมเป็ดอบกับปลาทั้งตัว เพราะมันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์
    แอนนา: ดีจัง! ครอบครัวฉันเตรียมไก่กับหมู คนแก่บอกว่าเพื่อเป็นการเคารพบรรพบุรุษ
    แจ็ค: มันน่าทึ่งนะที่ทุกอย่างมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์
    แอนนา: ใช่เลย ฉันคิดว่านั่นแหละที่ทำให้ตรุษจีนพิเศษและมีความหมายมาก
    แจ็ค: เห็นด้วย! เรารีบซื้อของให้ครบเร็ว ๆ ดีกว่า จะได้ไม่ลืมอะไร
    แอนนา: ดีเลย! เดี๋ยวเราเจอกันทีหลัง แล้วมาดูลิสต์ของกัน!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Offerings (ออฟ-เฟอะ-ริงส์) n. แปลว่า ของไหว้
    Mandarin (แมน-ดะ-ริน) n. แปลว่า ส้มแมนดาริน
    Prosperity (พรอส-เพ-ริ-ที) n. แปลว่า ความเจริญรุ่งเรือง
    Fortune (ฟอร์-ชูน) n. แปลว่า โชคลาภ
    Symbolize (ซิม-โบล-ไลซ์) v. แปลว่า แสดงถึง หรือ สื่อถึง
    Pineapple (ไพ-แนป-เพิล) n. แปลว่า สับปะรด
    Incense (อิน-เซนส์) n. แปลว่า ธูป
    Candles (แคน-เดิลส์) n. แปลว่า เทียน
    Positive energy (พอซ-ซิ-ทีฟ เอน-เนอะ-จี) n. แปลว่า พลังบวก
    Unity (ยู-นิ-ที) n. แปลว่า ความสามัคคี
    Success (ซัค-เซส) n. แปลว่า ความสำเร็จ
    Traditional (ทรา-ดิช-เชอะ-เนิล) adj. แปลว่า ดั้งเดิม
    Pastries (เพส-ทรีส์) n. แปลว่า ขนมอบ
    Abundance (อะ-บัน-แดนซ์) n. แปลว่า ความอุดมสมบูรณ์
    Ancestors (แอน-เซส-เทอะส์) n. แปลว่า บรรพบุรุษ
    https://www.youtube.com/watch?v=AsI8xrgoZ9Y บทสนทนาวันตรุษจีน (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันตรุษจีน มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #ตรุษจีน The conversations from the clip : Jack: Hey, Anna! Are you ready for Chinese New Year? Anna: Hey, Jack! Almost! My family is busy preparing the offerings. How about you? Jack: Same here. My mom asked me to help buy fruits and incense sticks. Anna: That’s great! Did she give you a list of what to get? Jack: Yes, she said we need mandarin oranges, apples, and pears. They symbolize good fortune, peace, and prosperity. Anna: Oh, we’re buying similar things. But we also need pineapple because it’s considered a lucky fruit. Jack: That’s interesting! I didn’t know that. What about the incense and candles? Anna: My parents already got those. They said red candles are important for attracting positive energy. Jack: I see. Are you buying any sweets or snacks for the offerings? Anna: Yes, we’re getting sweet rice cakes and sesame balls. My grandma says they represent unity and success. Jack: That’s so meaningful! My family also includes some traditional pastries. Anna: What else do you prepare? Jack: We usually have a roasted duck and a whole fish to represent abundance. Anna: That’s nice! My family prepares chicken and pork. The elders say it’s to honor our ancestors. Jack: It’s amazing how every item has a symbolic meaning. Anna: Absolutely. I think that’s what makes Chinese New Year so special and meaningful. Jack: Agreed! Let’s finish our shopping soon so we don’t forget anything. Anna: Good idea! Let’s meet later and compare our shopping lists! แจ็ค: เฮ้ แอนนา! เตรียมตัวสำหรับตรุษจีนพร้อมหรือยัง? แอนนา: เฮ้ แจ็ค! เกือบแล้ว! ครอบครัวฉันกำลังยุ่งกับการเตรียมของไหว้ แล้วเธอล่ะ? แจ็ค: เหมือนกันเลย แม่ให้ฉันช่วยซื้อผลไม้กับธูป แอนนา: ดีจัง! แม่เธอให้ลิสต์มาด้วยหรือเปล่าว่าต้องซื้ออะไรบ้าง? แจ็ค: ใช่ แม่บอกว่าต้องซื้อส้มสีทอง แอปเปิล แล้วก็ลูกแพร์ เพราะมันสื่อถึงโชคลาภ ความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรือง แอนนา: โอ้ ครอบครัวฉันก็ซื้อของคล้าย ๆ กัน แต่พวกเราต้องซื้อสับปะรดด้วย เพราะถือว่าเป็นผลไม้นำโชค แจ็ค: น่าสนใจจัง! ฉันไม่เคยรู้มาก่อน แล้วพวกธูปกับเทียนล่ะ? แอนนา: พ่อแม่ฉันซื้อมาเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าเทียนสีแดงสำคัญมาก เพราะช่วยดึงดูดพลังบวก แจ็ค: เข้าใจแล้ว ครอบครัวเธอซื้อขนมหรือของกินเล่นสำหรับไหว้ด้วยไหม? แอนนา: ซื้อสิ เราซื้อขนมเข่งกับขนมงาทอด ยายฉันบอกว่ามันหมายถึงความสามัคคีและความสำเร็จ แจ็ค: ความหมายลึกซึ้งจัง! ครอบครัวฉันก็มีพวกขนมแบบดั้งเดิมเหมือนกัน แอนนา: แล้วครอบครัวเธอเตรียมอะไรอีก? แจ็ค: พวกเรามักจะเตรียมเป็ดอบกับปลาทั้งตัว เพราะมันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ แอนนา: ดีจัง! ครอบครัวฉันเตรียมไก่กับหมู คนแก่บอกว่าเพื่อเป็นการเคารพบรรพบุรุษ แจ็ค: มันน่าทึ่งนะที่ทุกอย่างมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ แอนนา: ใช่เลย ฉันคิดว่านั่นแหละที่ทำให้ตรุษจีนพิเศษและมีความหมายมาก แจ็ค: เห็นด้วย! เรารีบซื้อของให้ครบเร็ว ๆ ดีกว่า จะได้ไม่ลืมอะไร แอนนา: ดีเลย! เดี๋ยวเราเจอกันทีหลัง แล้วมาดูลิสต์ของกัน! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Offerings (ออฟ-เฟอะ-ริงส์) n. แปลว่า ของไหว้ Mandarin (แมน-ดะ-ริน) n. แปลว่า ส้มแมนดาริน Prosperity (พรอส-เพ-ริ-ที) n. แปลว่า ความเจริญรุ่งเรือง Fortune (ฟอร์-ชูน) n. แปลว่า โชคลาภ Symbolize (ซิม-โบล-ไลซ์) v. แปลว่า แสดงถึง หรือ สื่อถึง Pineapple (ไพ-แนป-เพิล) n. แปลว่า สับปะรด Incense (อิน-เซนส์) n. แปลว่า ธูป Candles (แคน-เดิลส์) n. แปลว่า เทียน Positive energy (พอซ-ซิ-ทีฟ เอน-เนอะ-จี) n. แปลว่า พลังบวก Unity (ยู-นิ-ที) n. แปลว่า ความสามัคคี Success (ซัค-เซส) n. แปลว่า ความสำเร็จ Traditional (ทรา-ดิช-เชอะ-เนิล) adj. แปลว่า ดั้งเดิม Pastries (เพส-ทรีส์) n. แปลว่า ขนมอบ Abundance (อะ-บัน-แดนซ์) n. แปลว่า ความอุดมสมบูรณ์ Ancestors (แอน-เซส-เทอะส์) n. แปลว่า บรรพบุรุษ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 925 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว...
    ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน

    เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป
    งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง..

    งานบุญออกพรรษา...

    สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ
    งานบุญแข่งเรือ

    ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน...
    ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า
    เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม

    หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว

    ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง

    คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน

    ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น...

    จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง....

    ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น...
    นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน
    เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น

    วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 .....

    ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร
    จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม

    ตั้งแต่เช้า....
    ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน

    แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น
    แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย
    สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้

    หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด...

    เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ

    ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น

    และที่ลืมไม่ได้...
    ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว..
    ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี
    ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น
    เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน
    แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง

    แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป...
    .
    .
    .
    ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน...
    แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น...

    มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า
    แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้
    .
    .
    พอตกบ่าย...
    หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป
    มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง
    หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ
    สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก
    .
    .
    ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว
    การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย
    บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน
    ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป
    บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น
    .
    .
    งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน

    ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน

    รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง
    ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
    จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง

    รถเข็นขายซาละเปา
    ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ

    และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม

    มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด

    งานดำเนินไปค่อนคืน...
    งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา...
    .
    .
    .
    หลายสิบปีผ่านไป...
    งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว...

    ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่

    ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

    ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม

    ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา

    พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว...
    ก็หายไปจากท้องนํ้า....
    .
    .
    .
    มีเพียงความทรงจำสีจางๆ...
    ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง...

    ก็ทำให้ ใครบางคน...
    สถานที่บางสถานที่...
    ที่เคยสลายไปแล้วนั้น
    กลับมามีชีวิตอีกครั้ง...
    แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม....
    .
    .
    .
    ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ

    ***ออกพรรษา
    เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    สมัยที่ผมยังเด็ก... ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว... ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง.. งานบุญออกพรรษา... สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ งานบุญแข่งเรือ ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน... ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น... จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง.... ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น... นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 ..... ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม ตั้งแต่เช้า.... ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้ หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด... เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น และที่ลืมไม่ได้... ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว.. ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป... . . . ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน... แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น... มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้ . . พอตกบ่าย... หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก . . ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น . . งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง รถเข็นขายซาละเปา ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด งานดำเนินไปค่อนคืน... งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา... . . . หลายสิบปีผ่านไป... งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว... ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่ ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว... ก็หายไปจากท้องนํ้า.... . . . มีเพียงความทรงจำสีจางๆ... ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง... ก็ทำให้ ใครบางคน... สถานที่บางสถานที่... ที่เคยสลายไปแล้วนั้น กลับมามีชีวิตอีกครั้ง... แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม.... . . . ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ ***ออกพรรษา เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 675 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล้างบางจีนเทาที่เมียวดี เมืองคนบาป
    .
    ถ้าใครสงสัยว่าทำไม ซิงซิง ถูกแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ล่อลวงไปที่เมียวดี ประเทศพม่า มีอะไรดีที่เมียวดี คำตอบคือว่า ณ เวลานี้ เมียวดีกำลังเป็นเมืองหลวงของแก๊งสแกมเมอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งซ่องสุมของบอสจีนเทาที่ชำนาญการหลอกลวงออนไลน์เหยื่อข้ามชาติ คือหลอกคนจีนด้วยกัน และชาติอื่นๆ มาทำงานเยี่ยงทาสอยู่ในเมืองเมียวดี
    .
    ที่น่าตื่นตะลึงก็คือว่า ความแข็งแกร่งของจีนเทาในเมียวดี จากการสนับสนุนของผู้ปกครองเมียวดี ที่กลับไม่ใช่รัฐบาลพม่า หากแต่เป็นชาวกะเหรี่ยง คือชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงเทาผู้มั่งคั่งด้วยเงินทองและเพียบพร้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธ เป็นเหมือนรัฐอิสระของคนนอกกฎหมายอันอู้ฟู่ ยากที่รัฐบาลเมียนมาจะปราบปรามได้
    .
    เจ้าพ่อตัวจริงของเมืองเมียวดีวันนี้ คือ พันเอก ซอว์ ชิต ตู (Saw Chit Thu) ผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNA มีคฤหาสน์หรูหรา ส่งลูกหลานไปเรียนถึงประเทศสิงคโปร์ รายได้สีเทานำมาจัดซื้ออาวุธทันสมัย เสริมเขี้ยวเล็บให้กองกำลังกะเหรี่ยงของเขา ต้นปี 2567 เขานำกองทัพ DKBA ของเขาแยกตัวออกมาจาก BGF ไม่ยอมขึ้นกับเมียนมาอีก แล้วตั้งชื่อเป็น กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือที่เรียกว่า KNA
    .
    นอกจากนี้ยังมี พลจัตวา ซาย จอ หล่า (Sai Kyaw Hla) หรือ โกซาย ผู้นำหมายเลข 3 ของกะเหรี่ยงพุทธ DKBA มีอิทธิพลอยู่เขตไท่ฉาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ดาราจีนซิงซิงถูกล่อลวงไปในเมืองสแกมเมอร์แห่งใหม่ ตรงข้ามกับตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มีวัตถุประสงค์ไว้รองรับอาชญากร แก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ที่แตกหนีมาจากรัฐฉาน และสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา
    .
    16 มกราคม ที่ผ่านมา นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ออกโรงในเรื่องนี้ โดยพบปะทูต 10 ชาติอาเซียน หารือปราบขบวนการหลอกลวงและพนันออนไลน์ โดยนายหวัง อี้ ย้ำว่า ประเทศที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ จัดการถอนรากถอนโคน เพราะคดีหลอกลวงและการพนันออนไลน์ที่ชายแดนไทย-พม่า เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้ายแรงมาก ทำร้ายชาวจีนและพลเมืองของประเทศต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด
    .
    ถ้าเราอ่านความระหว่างบรรทัดของนายหวัง อี้ เราจะตีความได้ว่า หนึ่ง เหตุการณ์ที่คุกคามความปลอดภัยของชาวจีนและประชาชนของประเทศต่างๆ จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด สอง ประเทศที่เกี่ยวข้อง ไทย-พม่า ต้องรับผิดชอบ แต่จะมีประเทศใดบ้าง เรารู้กันดี สาม ประเทศจีนจะมีการปฏิบัติการร่วมกับชาติอาเซียนเพื่อปราบปรามขบวนการผิดกฎหมาย คุ้มครองความปลอดภัยให้ประชาชน และพิทักษ์ความสงบสุขระหว่างประเทศ นี่คือวิธีปฏิบัติของจีนที่เรียกว่า ใช้มารยาทก่อนใช้กำลัง
    .
    ท่านผู้ชมครับ รัฐบาลไทยจะต้องเจรจากับรัฐบาลจีน ท่านทูตหาน จื้อเฉียง ท่านทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งผมรู้จักมักคุ้นสนิทสนมเป็นอย่างดีมาก ท่านเคยพูดกับผมตรงๆ ว่า คุณสนธิ ประเทศจีนไม่พอใจจีนเทามาก พวกนี้เป็นพวกมีปัญหากับสังคมจีน ด้วยเหตุนี้ถึงหนีมาประเทศไทย ท่านใช้ลิ้นการทูตพูด ท่านไม่พูดตรงๆ แต่ท่านบอกว่า พวกนี้อยู่ประเทศไทยสบายกว่าอยู่ประเทศจีน อีกนัยหนึ่งก็คือว่า ทั้งตำรวจ ทั้งทุกคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้น จีนเทามั่นใจว่าซื้อได้
    .
    จีนเทากลัวถูกส่งตัวกลับจีน ถ้าเราส่งตัวจีนเทาพร้อมข้อหาความผิดที่สืบสวนได้ส่งกลับให้จีนจัดการ คนพวกนี้จะกลัวมาก กลัวจริงๆ ที่จะถูกส่งกลับ เพราะจีนเขาจัดการขั้นเด็ดขาด หวัง อี้ ประกาศกร้าวไว้แล้ว ดังที่ผมเล่าให้ฟัง
    .
    ทำไมจีนเทาในประเทศไทยถึงเยอะ ท่านผู้ชมรู้ไหม ? จีนเทาในประเทศไทยมันจะมีขาใหญ่ มันจะชวนพรรคพวกที่สีเทาด้วยกัน มาๆๆ มาเมืองไทย ไม่ต้องกังวลเรื่องตำรวจ กูจัดการเอง ตำรวจไทยหมู เรียกเงินกันทั้งนั้น เอาเงินเข้าไปตัวอ่อน เนื้ออ่อนเลย ตำรวจไทยอายบ้างหรือเปล่า
    .
    ปัญหาอยู่ตรงไหน น่าจะรู้แล้วตอนนี้ ไฟฟ้าก็แอบใช้ของไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำอย่างไร อินเทอร์เน็ตก็ใช้ของไทย ก็สั่งของกินของใช้ให้คนนับพันที่อำเภอแม่สอดและที่อำเภอพบพระ ซึ่งอยู่ในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การบริหารงานของผู้บัญชาการภาค 6 เด็กเส้นใหญ่ แต่ทำงานไม่เป็น
    .
    แล้วตำรวจ พวกคุณทำอะไรอยู่? ผมชี้แหล่ง วิธีการสืบสวนสอบสวนให้พวกคุณ แต่พวกคุณก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่า คุณจ่ายเงินผมเท่าไร แล้วพวกเราจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรกับพวกตำรวจไทย
    ล้างบางจีนเทาที่เมียวดี เมืองคนบาป . ถ้าใครสงสัยว่าทำไม ซิงซิง ถูกแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ล่อลวงไปที่เมียวดี ประเทศพม่า มีอะไรดีที่เมียวดี คำตอบคือว่า ณ เวลานี้ เมียวดีกำลังเป็นเมืองหลวงของแก๊งสแกมเมอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งซ่องสุมของบอสจีนเทาที่ชำนาญการหลอกลวงออนไลน์เหยื่อข้ามชาติ คือหลอกคนจีนด้วยกัน และชาติอื่นๆ มาทำงานเยี่ยงทาสอยู่ในเมืองเมียวดี . ที่น่าตื่นตะลึงก็คือว่า ความแข็งแกร่งของจีนเทาในเมียวดี จากการสนับสนุนของผู้ปกครองเมียวดี ที่กลับไม่ใช่รัฐบาลพม่า หากแต่เป็นชาวกะเหรี่ยง คือชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงเทาผู้มั่งคั่งด้วยเงินทองและเพียบพร้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธ เป็นเหมือนรัฐอิสระของคนนอกกฎหมายอันอู้ฟู่ ยากที่รัฐบาลเมียนมาจะปราบปรามได้ . เจ้าพ่อตัวจริงของเมืองเมียวดีวันนี้ คือ พันเอก ซอว์ ชิต ตู (Saw Chit Thu) ผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNA มีคฤหาสน์หรูหรา ส่งลูกหลานไปเรียนถึงประเทศสิงคโปร์ รายได้สีเทานำมาจัดซื้ออาวุธทันสมัย เสริมเขี้ยวเล็บให้กองกำลังกะเหรี่ยงของเขา ต้นปี 2567 เขานำกองทัพ DKBA ของเขาแยกตัวออกมาจาก BGF ไม่ยอมขึ้นกับเมียนมาอีก แล้วตั้งชื่อเป็น กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือที่เรียกว่า KNA . นอกจากนี้ยังมี พลจัตวา ซาย จอ หล่า (Sai Kyaw Hla) หรือ โกซาย ผู้นำหมายเลข 3 ของกะเหรี่ยงพุทธ DKBA มีอิทธิพลอยู่เขตไท่ฉาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ดาราจีนซิงซิงถูกล่อลวงไปในเมืองสแกมเมอร์แห่งใหม่ ตรงข้ามกับตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มีวัตถุประสงค์ไว้รองรับอาชญากร แก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ที่แตกหนีมาจากรัฐฉาน และสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา . 16 มกราคม ที่ผ่านมา นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ออกโรงในเรื่องนี้ โดยพบปะทูต 10 ชาติอาเซียน หารือปราบขบวนการหลอกลวงและพนันออนไลน์ โดยนายหวัง อี้ ย้ำว่า ประเทศที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ จัดการถอนรากถอนโคน เพราะคดีหลอกลวงและการพนันออนไลน์ที่ชายแดนไทย-พม่า เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้ายแรงมาก ทำร้ายชาวจีนและพลเมืองของประเทศต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด . ถ้าเราอ่านความระหว่างบรรทัดของนายหวัง อี้ เราจะตีความได้ว่า หนึ่ง เหตุการณ์ที่คุกคามความปลอดภัยของชาวจีนและประชาชนของประเทศต่างๆ จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด สอง ประเทศที่เกี่ยวข้อง ไทย-พม่า ต้องรับผิดชอบ แต่จะมีประเทศใดบ้าง เรารู้กันดี สาม ประเทศจีนจะมีการปฏิบัติการร่วมกับชาติอาเซียนเพื่อปราบปรามขบวนการผิดกฎหมาย คุ้มครองความปลอดภัยให้ประชาชน และพิทักษ์ความสงบสุขระหว่างประเทศ นี่คือวิธีปฏิบัติของจีนที่เรียกว่า ใช้มารยาทก่อนใช้กำลัง . ท่านผู้ชมครับ รัฐบาลไทยจะต้องเจรจากับรัฐบาลจีน ท่านทูตหาน จื้อเฉียง ท่านทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งผมรู้จักมักคุ้นสนิทสนมเป็นอย่างดีมาก ท่านเคยพูดกับผมตรงๆ ว่า คุณสนธิ ประเทศจีนไม่พอใจจีนเทามาก พวกนี้เป็นพวกมีปัญหากับสังคมจีน ด้วยเหตุนี้ถึงหนีมาประเทศไทย ท่านใช้ลิ้นการทูตพูด ท่านไม่พูดตรงๆ แต่ท่านบอกว่า พวกนี้อยู่ประเทศไทยสบายกว่าอยู่ประเทศจีน อีกนัยหนึ่งก็คือว่า ทั้งตำรวจ ทั้งทุกคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้น จีนเทามั่นใจว่าซื้อได้ . จีนเทากลัวถูกส่งตัวกลับจีน ถ้าเราส่งตัวจีนเทาพร้อมข้อหาความผิดที่สืบสวนได้ส่งกลับให้จีนจัดการ คนพวกนี้จะกลัวมาก กลัวจริงๆ ที่จะถูกส่งกลับ เพราะจีนเขาจัดการขั้นเด็ดขาด หวัง อี้ ประกาศกร้าวไว้แล้ว ดังที่ผมเล่าให้ฟัง . ทำไมจีนเทาในประเทศไทยถึงเยอะ ท่านผู้ชมรู้ไหม ? จีนเทาในประเทศไทยมันจะมีขาใหญ่ มันจะชวนพรรคพวกที่สีเทาด้วยกัน มาๆๆ มาเมืองไทย ไม่ต้องกังวลเรื่องตำรวจ กูจัดการเอง ตำรวจไทยหมู เรียกเงินกันทั้งนั้น เอาเงินเข้าไปตัวอ่อน เนื้ออ่อนเลย ตำรวจไทยอายบ้างหรือเปล่า . ปัญหาอยู่ตรงไหน น่าจะรู้แล้วตอนนี้ ไฟฟ้าก็แอบใช้ของไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำอย่างไร อินเทอร์เน็ตก็ใช้ของไทย ก็สั่งของกินของใช้ให้คนนับพันที่อำเภอแม่สอดและที่อำเภอพบพระ ซึ่งอยู่ในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การบริหารงานของผู้บัญชาการภาค 6 เด็กเส้นใหญ่ แต่ทำงานไม่เป็น . แล้วตำรวจ พวกคุณทำอะไรอยู่? ผมชี้แหล่ง วิธีการสืบสวนสอบสวนให้พวกคุณ แต่พวกคุณก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่า คุณจ่ายเงินผมเท่าไร แล้วพวกเราจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรกับพวกตำรวจไทย
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    24
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1919 มุมมอง 0 รีวิว
  • นึกถึง #หมูหวาน สมัยเด็กๆ ที่อาม่าทำ แต่ใช้ส่วน สามชั้น เด็กอ่ะเนอะ ก็จะหม่ำแต่ส่วนเนื้อ หนังกับไขมันเขี่ยทิ้งเป็นประจำ จนโดนอาม่าดุ

    วันก่อนเห็นมีลง #บะเต็ง ว่าใช้ส่วนสันคอได้ ครั้งนี้ เลยลองดู .. ฟินดีแท้

    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    นึกถึง #หมูหวาน สมัยเด็กๆ ที่อาม่าทำ แต่ใช้ส่วน สามชั้น เด็กอ่ะเนอะ ก็จะหม่ำแต่ส่วนเนื้อ หนังกับไขมันเขี่ยทิ้งเป็นประจำ จนโดนอาม่าดุ วันก่อนเห็นมีลง #บะเต็ง ว่าใช้ส่วนสันคอได้ ครั้งนี้ เลยลองดู .. ฟินดีแท้ #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสบียงของทหารจีนโบราณ

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ?

    วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ

    ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง)

    ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว

    วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ

    โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ

    แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร?

    จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น

    ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ

    ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้

    ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent
    http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html
    https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html
    http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html
    https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html
    https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003
    https://www.sohu.com/a/239218972_155326
    http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773
    https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/
    https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html
    https://www.sohu.com/a/710019104_121119015
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    เสบียงของทหารจีนโบราณ เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ? วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง) ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร? จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้ ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003 https://www.sohu.com/a/239218972_155326 http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃 https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773 https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/ https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html https://www.sohu.com/a/710019104_121119015 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 773 มุมมอง 0 รีวิว
  • อยากทำเมนูนี้นานแหละ ทานคู่กับน้ำจิ้มสุกี้ ฟินดีเหมือนกัน #สุกี้โรลหมูสับ
    #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    อยากทำเมนูนี้นานแหละ ทานคู่กับน้ำจิ้มสุกี้ ฟินดีเหมือนกัน #สุกี้โรลหมูสับ #ดึกแล้วโพสต์รูปของกินได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอแชร์เรื่องราวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวท่านหนึงที่ต้องเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพัง และลูกสาวคุณแม่ป่วยเป็นโรคน้ำในโพรงสมอง ศรีษะใหญ่ผิดปกติไม่สามารถลุกนั่งหรือขยับตัวได้ต้งนอนติดเตียงและมีคุณแม่น้องดูแลเพียงลำพัง คุณแม่หารายได้จาดการ live tiktok เพืาอเลี้ยงน้อง ดิฉันขอเป็นสะพานบุญให้กับท่านใดที่มีความประสงค์จะช่วยเหลือน้องโดยการมอบสิ่งของกินของใช้ประจำของน้องหรือจะให้เงินโอนเข้าบัญชีแม่ของน้องโดยตรง สิ่งของที่น้องใช้ประจำคือ
    แพมเพิด3XL,ทิชชู่เปียก,ทิชชู่แห้ง,นมหนองโพรสหวาน,น้ำยาซักผ้าเด็ก โดยท่านสามานถส่งสิ่งของมาที่ น้องอัญญารินทร์ บ้านเลขที่ 164/5 ต.สำราญ อ.สามชัย จ.กาฬสินธิ์ 46150 โทร 0855354910
    หรือสะดวกโอนเงินช่วยน้องเข้าบัญชีชื่อ จิราพร อันทรบุตร ธนาคารกรุงไทย 2920253085 🙏🙏ขอขอบคุณท่านผู้ใจบุญท่านและอนุโมทนาบุญให้ทุกท่านเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยเงินทองสุขภาพแข็งแรง🙏🙏
    ถ้าเจอคุณแม่และน้องใน tiktok ฝากกดติดตามให้กำลังใจน้องด้วยนะคะ
    ขอแชร์เรื่องราวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวท่านหนึงที่ต้องเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพัง และลูกสาวคุณแม่ป่วยเป็นโรคน้ำในโพรงสมอง ศรีษะใหญ่ผิดปกติไม่สามารถลุกนั่งหรือขยับตัวได้ต้งนอนติดเตียงและมีคุณแม่น้องดูแลเพียงลำพัง คุณแม่หารายได้จาดการ live tiktok เพืาอเลี้ยงน้อง ดิฉันขอเป็นสะพานบุญให้กับท่านใดที่มีความประสงค์จะช่วยเหลือน้องโดยการมอบสิ่งของกินของใช้ประจำของน้องหรือจะให้เงินโอนเข้าบัญชีแม่ของน้องโดยตรง สิ่งของที่น้องใช้ประจำคือ แพมเพิด3XL,ทิชชู่เปียก,ทิชชู่แห้ง,นมหนองโพรสหวาน,น้ำยาซักผ้าเด็ก โดยท่านสามานถส่งสิ่งของมาที่ น้องอัญญารินทร์ บ้านเลขที่ 164/5 ต.สำราญ อ.สามชัย จ.กาฬสินธิ์ 46150 โทร 0855354910 หรือสะดวกโอนเงินช่วยน้องเข้าบัญชีชื่อ จิราพร อันทรบุตร ธนาคารกรุงไทย 2920253085 🙏🙏ขอขอบคุณท่านผู้ใจบุญท่านและอนุโมทนาบุญให้ทุกท่านเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยเงินทองสุขภาพแข็งแรง🙏🙏 ถ้าเจอคุณแม่และน้องใน tiktok ฝากกดติดตามให้กำลังใจน้องด้วยนะคะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เปิดปมอาการวิปลาสเมื่อคืนพ่นกราดเคพาหุ่งเพราะอะไร
    ไม่จบง่ายๆ กับมหากาพย์นกสองหัว หรือตัวหาผลประโยชน์
    กับนางนิดา นางสกุลคุ๊กกี้ หญิงชราที่ชอบเรียกตัวเองว่าพี่
    กับการเข้ามาหาประโยชน์กับการแอบอ้างสถานะความเป็น
    แฟนคลับCL เป็นด้อมเกรดเบอร์หนึ่งของเมืองไทย
    ไลฟ์ไป ข๋ายของไป ละครด่าสาวเกาไป ก็ตัดเบรคข๋ายของต่อ
    ฟันรายได้เดือนหลักแสน
    - เอาจริงๆ ในวงการ ตต. แฟนคลับพระเอกเอง ก็มีไม่กี่คนหรอก ที่ยอมคบหากับนาง นอกจากสาวกนางที่ผ่านการเชื่อมจิต จนเชื่อทุกอย่างไม่ต่างจากทุย
    ที่คนรอบตัวเริ่มถอยห่าง ก็เพราะ SANDAN ของนางเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มโปรเจค แก้ตัวแทนมิ๊จฉ๋าชีพเข้ามา อาการ อีโก้สูงระดับดาวอังคาร มั่นหน้า มั่นโหนก ต้องวางตัวเป็นผู้รู้ ผู้มากด้วยคอนเนคชั่น
    - และในขณะ ที่อ้างว่าตัวเองเป็นโนหนึ่งของฝั่งแฟนคลับพระเอก กลับมีพฤติกรรมแปลกประหลาดมานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผจก นางชวนสาวกนาง ปกป้องแม้ในวันที่ ผจก ออกมาให้ข่าวให้ร้ายพระเอกที่นางอ้างชื่อหาแดรก หรือจะเป็น 4 เฒ่าหญิง ที่ออกมาด่าพระเอก นางก็ยังชวนสาวกไปอุดหนุน
    - จนล่าสุด เอาแฝดพี่อิไผ่ มิ๊จฉ๋าชีพที่มีทั้งKADEE ฉ๊อโGงเยอะแยะ มันเองยังเผลอยอมรับเลย มาพรรณาแก้ตัวแทน ซึี่งพาเอาเมน CL งงกันเป็นแถม เพราะอิแฝด คือผู้ซัพพอตสาวเกา หลายสิบล้าน ถ้าสมมุติจะมีใครช่วยฟอกขาวให้ มันคนเป็นฝั่งสาวเกาหรือเปล่าฟรีะ แต่นางนิดา กลับเสนอตัวแบบถวายหัวอย่างน่าประหลาด หัวฟัดหัวเหวี่ยง จนถึงปัจจุบันแถมยังช่วยมิ๊จฉาชีพขายของด้วย และนางนิดาสกุลคุ๊กกี้ ก็จะมีเหตุผลบร้าบอคอแตกมาให้สาวกได้ดื่มด่ำเสมอ
    นี่คือสาเหตุที่ทำให้คนรอบตัว ที่เคยสนิท กลับไม่ไหวกับพฤติกรรม
    คำถาม เคพาหุ่งคือใคร
    เคพาหุ่ง คือคนที่อยู่ในโลก ตต ที่คอยยืนหยัด ปกป้องน้องพระเอกเสมอ จนเป็นหนึ่งในkadeeเดต ที่อิป้าศรีธัญญาจะฟ๊อง
    ซึ่ง เคพาหุ่ง คือหนึ่งในคนที่สามารถคุยกับพี่คิงส์แบบวงในได้ อาจจะพูดได้ว่า เคยเจอตัวจริงพี่คิงส์แล้วด้วยซ้ำ
    ในขณะที่อินังนิดา นางสกุลคุ๊กกี้ พ่นคำให้ร้ายเคพาหุ่ง มันกลับไม่รู้หรอกว่า เคพาหุ่ง ลับหลังนังนิดา ไม่เคยพูดจากก้าวร้าว หรือเอ่ยถึงนังนิดาในเชิงลบเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยเชื่อทันทีกับสิ่งที่พี่คิงส์นำเสนอข้อมูลที่พาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับนางนิดา นางสกุลคุ๊กกี้ เคยพูดกับพี่คิงส์ว่า เรื่องอื่น ผมเชื่อพี่คิงส์หมด แต่เรื่องพี่นิดา คุ๊กกี้ ผมขอนะครับ เพราะผมรักเคารพแกมาก
    ซึ่งพี่คิงส์ก็ไม่มีปัญหา เรื่องเชื่อไม่เชื่อ มันก็เป็นอิสระที่ใครจะตัดสินใจแบบไหน
    แล้วถามว่า แล้วอิดามันวิปลาส คั่งเมื่อคืนเพราะอะไร
    เรื่องมันเป็นแบบนี้ คืออิดามันได้ข๋ายของแจกปีใหม่ นั่นหมายถึง ก่อนสิ้นปี 67 และเคพาหุ่ง เค้าก็สั่งไป 2 ชุด ชุดละ 999 เลยน๊ะ
    ปรากฏว่า ของที่ต้องการก็ไม่ส่ง เคพาหุ่งก็ทวงถาม นังนิดาก็เลยจะยัดอย่างอื่นให้แทน แต่เคพาหุ่งเค้าก็อยากได้ในสิ่งที่เค้าสั่ง มันก็เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ เคพาหุ่งเลยบอกว่า กะจะรอพวกของกิน จะได้ให้เพื่อนๆในห้อง ตต.ของเค เพราะน้องมันแจกบ่อย มักเอาตังจากของขวัญที่ได้ ไปแจก ที่เหลือก็เอาไปทำบุญที่วัด
    เออ น้องมันก็จิตดีมากเนาะ
    ต่อนะ
    ถ้าทาร์มไล์ก็แบบนี้ รอของข้ามปีถึงวันที่ 4 มกราคม ซึ่งถ้าร่วมปีที่แล้วก็ราว 17 วันแล้วไมได้ซักที ก็เลยขอเงินคืน อิดาโอนให้คืน 2000 ไม่ต้องทอน เคพาหุ่งก็ห่วงความรู้สึกอีก บอกงั้นอุดหนุนเสื้อตัวละ 540 สามตัวแทน
    - แต่ด้วยความที่อิดา มันระแวง และพยายามหาว่าใครคือคนเอาข่าวมาบอกพี่คิงส์ มันกลับคิดไปเอง ว่าเคพาหุ่ง คือคนเอาข้อมูลที่มาให้พี่คิงส์ตีแผ่ แต่พี่บอกตรงนี้เลย ถ้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอิดานามสกุลคุ๊กกี้ เคพาหุ่งไม่เปิดปากเลย ไม่เคยเลย กลับออกตัวปกป้องด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่อินิดา มันเป็นคนเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง ก็เลยเกิดวิปลาส คิดว่าเคพาหุ่งไม่อยู่ในโอวาท ก็เลยแสดงบทบาท ไลฟ์ด่าและให้ร้ายเคพาหุ่งเมื่อคืน
    ถามว่าตอนนี้ เคพาหุ่งรู้สึกยังไง เค้ารู้สึกผิดหวัง กับคนที่เค้าเคยพูดว่ารัก เคารพ และออกตัวปกป้องเสมอมา และขอเงินค่าเสื้อคืน คือไม่เอาแล้ว พอกันที
    พอจะขอเงินค่าเสื้อคืน อิดาก็หน้าไม่มียาง บอกว่าที่เคยโอนทำบุญที่เคจะบวชพันนึงอะ คืนชั้นมาด้วยละกัน เคพาหุ่งเลยบอกว่า งั้นโอนให้ผมกลับมาส่วนที่เหลือสี่ร้อยกว่าก็พอ
    เนี่ย เรื่องมันก็แค่นี้แหละ อีโก้ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่
    ต้องทำตัวเก่ง ทำตัวเหนือ และไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์
    ยังไงน้องๆในตต. ก็ฝากดูแล เคพาหุ่งด้วยละกัน
    อย่าให้อิคั่งนี่ ไปรังควาน น้องมันจะบวชแล้ว สงสารน้องมัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เปิดปมอาการวิปลาสเมื่อคืนพ่นกราดเคพาหุ่งเพราะอะไร ไม่จบง่ายๆ กับมหากาพย์นกสองหัว หรือตัวหาผลประโยชน์ กับนางนิดา นางสกุลคุ๊กกี้ หญิงชราที่ชอบเรียกตัวเองว่าพี่ กับการเข้ามาหาประโยชน์กับการแอบอ้างสถานะความเป็น แฟนคลับCL เป็นด้อมเกรดเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ไลฟ์ไป ข๋ายของไป ละครด่าสาวเกาไป ก็ตัดเบรคข๋ายของต่อ ฟันรายได้เดือนหลักแสน - เอาจริงๆ ในวงการ ตต. แฟนคลับพระเอกเอง ก็มีไม่กี่คนหรอก ที่ยอมคบหากับนาง นอกจากสาวกนางที่ผ่านการเชื่อมจิต จนเชื่อทุกอย่างไม่ต่างจากทุย ที่คนรอบตัวเริ่มถอยห่าง ก็เพราะ SANDAN ของนางเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มโปรเจค แก้ตัวแทนมิ๊จฉ๋าชีพเข้ามา อาการ อีโก้สูงระดับดาวอังคาร มั่นหน้า มั่นโหนก ต้องวางตัวเป็นผู้รู้ ผู้มากด้วยคอนเนคชั่น - และในขณะ ที่อ้างว่าตัวเองเป็นโนหนึ่งของฝั่งแฟนคลับพระเอก กลับมีพฤติกรรมแปลกประหลาดมานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผจก นางชวนสาวกนาง ปกป้องแม้ในวันที่ ผจก ออกมาให้ข่าวให้ร้ายพระเอกที่นางอ้างชื่อหาแดรก หรือจะเป็น 4 เฒ่าหญิง ที่ออกมาด่าพระเอก นางก็ยังชวนสาวกไปอุดหนุน - จนล่าสุด เอาแฝดพี่อิไผ่ มิ๊จฉ๋าชีพที่มีทั้งKADEE ฉ๊อโGงเยอะแยะ มันเองยังเผลอยอมรับเลย มาพรรณาแก้ตัวแทน ซึี่งพาเอาเมน CL งงกันเป็นแถม เพราะอิแฝด คือผู้ซัพพอตสาวเกา หลายสิบล้าน ถ้าสมมุติจะมีใครช่วยฟอกขาวให้ มันคนเป็นฝั่งสาวเกาหรือเปล่าฟรีะ แต่นางนิดา กลับเสนอตัวแบบถวายหัวอย่างน่าประหลาด หัวฟัดหัวเหวี่ยง จนถึงปัจจุบันแถมยังช่วยมิ๊จฉาชีพขายของด้วย และนางนิดาสกุลคุ๊กกี้ ก็จะมีเหตุผลบร้าบอคอแตกมาให้สาวกได้ดื่มด่ำเสมอ นี่คือสาเหตุที่ทำให้คนรอบตัว ที่เคยสนิท กลับไม่ไหวกับพฤติกรรม คำถาม เคพาหุ่งคือใคร เคพาหุ่ง คือคนที่อยู่ในโลก ตต ที่คอยยืนหยัด ปกป้องน้องพระเอกเสมอ จนเป็นหนึ่งในkadeeเดต ที่อิป้าศรีธัญญาจะฟ๊อง ซึ่ง เคพาหุ่ง คือหนึ่งในคนที่สามารถคุยกับพี่คิงส์แบบวงในได้ อาจจะพูดได้ว่า เคยเจอตัวจริงพี่คิงส์แล้วด้วยซ้ำ ในขณะที่อินังนิดา นางสกุลคุ๊กกี้ พ่นคำให้ร้ายเคพาหุ่ง มันกลับไม่รู้หรอกว่า เคพาหุ่ง ลับหลังนังนิดา ไม่เคยพูดจากก้าวร้าว หรือเอ่ยถึงนังนิดาในเชิงลบเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยเชื่อทันทีกับสิ่งที่พี่คิงส์นำเสนอข้อมูลที่พาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับนางนิดา นางสกุลคุ๊กกี้ เคยพูดกับพี่คิงส์ว่า เรื่องอื่น ผมเชื่อพี่คิงส์หมด แต่เรื่องพี่นิดา คุ๊กกี้ ผมขอนะครับ เพราะผมรักเคารพแกมาก ซึ่งพี่คิงส์ก็ไม่มีปัญหา เรื่องเชื่อไม่เชื่อ มันก็เป็นอิสระที่ใครจะตัดสินใจแบบไหน แล้วถามว่า แล้วอิดามันวิปลาส คั่งเมื่อคืนเพราะอะไร เรื่องมันเป็นแบบนี้ คืออิดามันได้ข๋ายของแจกปีใหม่ นั่นหมายถึง ก่อนสิ้นปี 67 และเคพาหุ่ง เค้าก็สั่งไป 2 ชุด ชุดละ 999 เลยน๊ะ ปรากฏว่า ของที่ต้องการก็ไม่ส่ง เคพาหุ่งก็ทวงถาม นังนิดาก็เลยจะยัดอย่างอื่นให้แทน แต่เคพาหุ่งเค้าก็อยากได้ในสิ่งที่เค้าสั่ง มันก็เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ เคพาหุ่งเลยบอกว่า กะจะรอพวกของกิน จะได้ให้เพื่อนๆในห้อง ตต.ของเค เพราะน้องมันแจกบ่อย มักเอาตังจากของขวัญที่ได้ ไปแจก ที่เหลือก็เอาไปทำบุญที่วัด เออ น้องมันก็จิตดีมากเนาะ ต่อนะ ถ้าทาร์มไล์ก็แบบนี้ รอของข้ามปีถึงวันที่ 4 มกราคม ซึ่งถ้าร่วมปีที่แล้วก็ราว 17 วันแล้วไมได้ซักที ก็เลยขอเงินคืน อิดาโอนให้คืน 2000 ไม่ต้องทอน เคพาหุ่งก็ห่วงความรู้สึกอีก บอกงั้นอุดหนุนเสื้อตัวละ 540 สามตัวแทน - แต่ด้วยความที่อิดา มันระแวง และพยายามหาว่าใครคือคนเอาข่าวมาบอกพี่คิงส์ มันกลับคิดไปเอง ว่าเคพาหุ่ง คือคนเอาข้อมูลที่มาให้พี่คิงส์ตีแผ่ แต่พี่บอกตรงนี้เลย ถ้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอิดานามสกุลคุ๊กกี้ เคพาหุ่งไม่เปิดปากเลย ไม่เคยเลย กลับออกตัวปกป้องด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่อินิดา มันเป็นคนเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง ก็เลยเกิดวิปลาส คิดว่าเคพาหุ่งไม่อยู่ในโอวาท ก็เลยแสดงบทบาท ไลฟ์ด่าและให้ร้ายเคพาหุ่งเมื่อคืน ถามว่าตอนนี้ เคพาหุ่งรู้สึกยังไง เค้ารู้สึกผิดหวัง กับคนที่เค้าเคยพูดว่ารัก เคารพ และออกตัวปกป้องเสมอมา และขอเงินค่าเสื้อคืน คือไม่เอาแล้ว พอกันที พอจะขอเงินค่าเสื้อคืน อิดาก็หน้าไม่มียาง บอกว่าที่เคยโอนทำบุญที่เคจะบวชพันนึงอะ คืนชั้นมาด้วยละกัน เคพาหุ่งเลยบอกว่า งั้นโอนให้ผมกลับมาส่วนที่เหลือสี่ร้อยกว่าก็พอ เนี่ย เรื่องมันก็แค่นี้แหละ อีโก้ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ ต้องทำตัวเก่ง ทำตัวเหนือ และไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ ยังไงน้องๆในตต. ก็ฝากดูแล เคพาหุ่งด้วยละกัน อย่าให้อิคั่งนี่ ไปรังควาน น้องมันจะบวชแล้ว สงสารน้องมัน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 577 มุมมอง 0 รีวิว
  • 9/1/68

    จี้ใจดำมาก! ลิสต์ 50 สิ่งของต้องทิ้ง (เชื่อว่าทุกคนมีของเหล่านี้อยู่ในบ้าน🤣)
    สำหรับใครที่อยากจัดบ้าน อยากเคลียของ เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ มาเช็คลิสต์กันว่ามีอะไรควรทิ้งบ้าง
    .
    ไปเจอทริคของญี่ปุ่นมา คุณชิโฮมิ ชิโมมุระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดระเบียบชีวิต ที่มักเข้าไปช่วยเหลือบ้านที่มีของรก ได้แนะนำรายการสิ่งของที่ควรจะทิ้งปีใหม่นี้ เพื่อให้บ้านเป็นระเบียบมากขึ้น โดยเค้าแบ่งเป็นหมวดๆ
    .
    หมวดที่ 1 ของพัง ของที่ใช้งานไม่ได้แล้ว
    1. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่พังแล้วและไม่คิดจะซ่อม
    2. เฟอร์นิเจอร์ที่วางเกะกะ ทำให้เปิดประตูไม่ได้
    3. ปากกาที่เขียนไม่ติด
    4. ต่างหูที่เหลือข้างเดียว
    5. ถุงเท้าเปื่อยที่ใส่อีกครั้งจะขาดแน่
    6. รองเท้าที่ใส่แล้วเจ็บเท้าตลอด
    7. ไม้หนีบผ้าที่แห้งกรอบ แตกหักง่าย
    8. เสื้อผ้าที่คิดว่าจะเก็บไว้ใส่ตอนผอม
    9. ถ้วยจานชามที่ชำรุด
    10. ต้นไม้ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาแล้ว
    .
    หมวดที่ 2 ของที่ไม่เคยใช้เลย
    11. เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่มานานกว่า 1 ปี
    12. กระเป๋าที่หนักเกินไป ไม่คิดจะใช้
    13. หม้อที่หนักเกินไป ไม่คิดจะใช้
    14. เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารสำหรับแขก ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีแขกมาบ้าน
    15. ปากกาที่เขียนยาก เขียนแล้วเลอะ
    16. ผงซักฟอกที่ใช้ไม่ดี เลยไม่ได้ใช้
    17. แจกันดอกไม้ที่ได้มาเป็นของขวัญ
    18. เสื้อผ้าที่เป็นขุยง่าย
    19. อุปกรณ์ทำอาหารที่ดูใช้สะดวก แต่ใช้ไม่ได้จริง
    20. หม้อที่ไหม้ง่าย
    .
    หมวดที่ 3 ของที่มีปริมาณมากเกินความจำเป็นในชีวิต
    21. ถุงพลาสติก ถุงกระดาษ
    22. ถุงเจลเก็บความเย็น ที่มีเยอะล้นตู้เย็น
    23. ถุงผ้าที่ได้มาเป็นของแถม
    24. เศษผ้าที่จะเก็บไว้ทำผ้าขี้ริ้ว
    25. แปรงสีฟันเก่าที่จะเก็บไว้ขัดโน่นขัดนี่
    26. ถุงน่อง ชุดซับในรัดรูป
    27. หนังสือในกองดอง
    28. อุปกรณ์ประกอบที่ให้มาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ประกอบเอง
    29. สมุดบันทึก กระดาษโน้ต ที่ใช้ค้างไว้
    30. กล่อง/กระป๋องแพ็คเกจน่ารักๆ
    .
    หมวดที่ 4 ของหมดอายุ
    31. เครื่องปรุงหมดอายุ
    32. เสบียงถุงยังชีพที่หมดอายุ
    33. อาหารที่ทำเองแล้วแช่แข็งไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
    34. บัตรสะสมแต้มที่หมดอายุ
    35. ไกด์บุ๊กท่องเที่ยวที่ตีพิมพ์มาเกิน 3 ปี
    36. ใบรับประกันที่หมดอายุแล้ว
    37. ใบปลิวงานอีเวนต์ที่จบไปแล้ว
    38. เครื่องสำอางที่เปิดใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
    39. จดหมายโฆษณาเก่าๆ
    40. เสื้อผ้าที่เคยใส่ตอนอายุน้อยกว่านี้ แฟชั่นเด็กเกินวัย

    หมวดที่ 5 ของที่เห็นแล้วรู้สึกแย่
    41. อุปกรณ์งานอดิเรกที่ซื้อมาตามกระแส เช่น อุปกรณ์ตั้งแคมป์
    42. หนังสือเตรียมสอบต่างๆ ที่ล้มเลิกการจะสอบไปแล้ว
    43. อุปกรณ์ออกกำลังกายที่ไม่ได้ใช้
    44. ของกินที่มีคนให้มา แต่ไม่ชอบกิน
    45. กระเป๋าใบโปรดที่ขึ้นราแล้ว
    46. อุปกรณ์เสริมสวยราคาแพง แต่ใช้ไม่เวิร์ก
    47. หนังสือคู่มือ ใบเสร็จเก่าๆ
    48. คอมพิวเตอร์ กล้องเก่าๆ
    49. ภาพถ่ายที่รู้สึกว่าตัวเองอ้วน น่าเกลียด
    50. ของขวัญ จดหมาย ที่แฟนเก่าเคยให้
    .
    ในลิสต์ 50 ข้อ มีกันไปแล้วกี่ข้อเอ่ย?
    .
    ที่มา https://news.livedoor.com/article/detail/27773476/
    9/1/68 จี้ใจดำมาก! ลิสต์ 50 สิ่งของต้องทิ้ง (เชื่อว่าทุกคนมีของเหล่านี้อยู่ในบ้าน🤣) สำหรับใครที่อยากจัดบ้าน อยากเคลียของ เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ มาเช็คลิสต์กันว่ามีอะไรควรทิ้งบ้าง . ไปเจอทริคของญี่ปุ่นมา คุณชิโฮมิ ชิโมมุระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดระเบียบชีวิต ที่มักเข้าไปช่วยเหลือบ้านที่มีของรก ได้แนะนำรายการสิ่งของที่ควรจะทิ้งปีใหม่นี้ เพื่อให้บ้านเป็นระเบียบมากขึ้น โดยเค้าแบ่งเป็นหมวดๆ . หมวดที่ 1 ของพัง ของที่ใช้งานไม่ได้แล้ว 1. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่พังแล้วและไม่คิดจะซ่อม 2. เฟอร์นิเจอร์ที่วางเกะกะ ทำให้เปิดประตูไม่ได้ 3. ปากกาที่เขียนไม่ติด 4. ต่างหูที่เหลือข้างเดียว 5. ถุงเท้าเปื่อยที่ใส่อีกครั้งจะขาดแน่ 6. รองเท้าที่ใส่แล้วเจ็บเท้าตลอด 7. ไม้หนีบผ้าที่แห้งกรอบ แตกหักง่าย 8. เสื้อผ้าที่คิดว่าจะเก็บไว้ใส่ตอนผอม 9. ถ้วยจานชามที่ชำรุด 10. ต้นไม้ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาแล้ว . หมวดที่ 2 ของที่ไม่เคยใช้เลย 11. เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่มานานกว่า 1 ปี 12. กระเป๋าที่หนักเกินไป ไม่คิดจะใช้ 13. หม้อที่หนักเกินไป ไม่คิดจะใช้ 14. เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารสำหรับแขก ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีแขกมาบ้าน 15. ปากกาที่เขียนยาก เขียนแล้วเลอะ 16. ผงซักฟอกที่ใช้ไม่ดี เลยไม่ได้ใช้ 17. แจกันดอกไม้ที่ได้มาเป็นของขวัญ 18. เสื้อผ้าที่เป็นขุยง่าย 19. อุปกรณ์ทำอาหารที่ดูใช้สะดวก แต่ใช้ไม่ได้จริง 20. หม้อที่ไหม้ง่าย . หมวดที่ 3 ของที่มีปริมาณมากเกินความจำเป็นในชีวิต 21. ถุงพลาสติก ถุงกระดาษ 22. ถุงเจลเก็บความเย็น ที่มีเยอะล้นตู้เย็น 23. ถุงผ้าที่ได้มาเป็นของแถม 24. เศษผ้าที่จะเก็บไว้ทำผ้าขี้ริ้ว 25. แปรงสีฟันเก่าที่จะเก็บไว้ขัดโน่นขัดนี่ 26. ถุงน่อง ชุดซับในรัดรูป 27. หนังสือในกองดอง 28. อุปกรณ์ประกอบที่ให้มาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ประกอบเอง 29. สมุดบันทึก กระดาษโน้ต ที่ใช้ค้างไว้ 30. กล่อง/กระป๋องแพ็คเกจน่ารักๆ . หมวดที่ 4 ของหมดอายุ 31. เครื่องปรุงหมดอายุ 32. เสบียงถุงยังชีพที่หมดอายุ 33. อาหารที่ทำเองแล้วแช่แข็งไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ 34. บัตรสะสมแต้มที่หมดอายุ 35. ไกด์บุ๊กท่องเที่ยวที่ตีพิมพ์มาเกิน 3 ปี 36. ใบรับประกันที่หมดอายุแล้ว 37. ใบปลิวงานอีเวนต์ที่จบไปแล้ว 38. เครื่องสำอางที่เปิดใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ 39. จดหมายโฆษณาเก่าๆ 40. เสื้อผ้าที่เคยใส่ตอนอายุน้อยกว่านี้ แฟชั่นเด็กเกินวัย หมวดที่ 5 ของที่เห็นแล้วรู้สึกแย่ 41. อุปกรณ์งานอดิเรกที่ซื้อมาตามกระแส เช่น อุปกรณ์ตั้งแคมป์ 42. หนังสือเตรียมสอบต่างๆ ที่ล้มเลิกการจะสอบไปแล้ว 43. อุปกรณ์ออกกำลังกายที่ไม่ได้ใช้ 44. ของกินที่มีคนให้มา แต่ไม่ชอบกิน 45. กระเป๋าใบโปรดที่ขึ้นราแล้ว 46. อุปกรณ์เสริมสวยราคาแพง แต่ใช้ไม่เวิร์ก 47. หนังสือคู่มือ ใบเสร็จเก่าๆ 48. คอมพิวเตอร์ กล้องเก่าๆ 49. ภาพถ่ายที่รู้สึกว่าตัวเองอ้วน น่าเกลียด 50. ของขวัญ จดหมาย ที่แฟนเก่าเคยให้ . ในลิสต์ 50 ข้อ มีกันไปแล้วกี่ข้อเอ่ย? . ที่มา https://news.livedoor.com/article/detail/27773476/
    NEWS.LIVEDOOR.COM
    ???դ??ʤ??Ȥ?ǯ???¨?Τƥꥹ??50?ס????????????¤鷺??????? - ?饤?֥ɥ??˥塼??
    ??ǯ??ޤǤ˼ΤƤ?Ȥ?????Ρפ?饤?ե??????ʥ????????Ҳ𤷤Ƥ??롣???ͽ?꤬?ʤ????줿???š??񤱤ʤ??ڥ?餻???????????礱?Ƥ??뿩??Ȥ????ʤ??ʤ????ޡ??쥸?ޤ???ޡ?????ˤ???꤭??ʤ?????ޡ??ʤ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 596 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts