• นิทาน ลืมคำมั่นก่อนมา

    ล้วนมาเพื่อแก้ไขสิ่งผิดที่เคยเผลอด้วยใจกายวาจา ก่อสัญญาดั่งเงานำพาพบทางเกวียนตน

    มิติ3นี้มีเงื่อนไขที่แยบยลนักลึกล้ำจึงจำเป็นต้องเข้าใจค้นหาด้วยใจปัญญาตน

    บางครั้งการพบเจอคน1ก้อหลงรักบางครั้งทำไมชังมันเสียจริง บางครั้งยอมทั้งไม่ใช่ความจริงของใจ บางครั้งทำไมเขาเธอเหมือนเราจัง

    หากมองเข้าใจใน3ลัก ในเรื่องเวรกรรมที่ต้องมารับมาชดใช้ เหตุนี้จิต1จักมารับมาชดใช้หมดต้องใช้เวลานานโข จิตจึงต้องแบ่งมาเพื่อรับชดใช้ รูป1มาฐานะ1รวยสุดรวยระดับกลางจนอนาถาสุด หล่อรากดินขี้เหล่สุด พิการ ล้วนมาเพื่อรับชดใช้นั่นเอง

    กระทั่งเจ้าเวรนายกรรมที่โคจรมาพบตามวาระวิถี อาจจักรายใหม่หรือตัวในตนเองเพื่อรับชดใช้

    มิตินี้จึงเป็นแดนฝึกตนด้วยปัญญา บททดสอบมากมายแยบยลนัก

    เหตุนี้ถึงต้องมาแก้ไขด้วยปัญญา ล้วนเป็น1เดียวกับธรรมชาติ

    รูปใดพบก่อนรอดพ้นในส่วนตนส่วนนั้น ส่วนอื่นรับเล่นบทซ้ำไปมาตามแรงกรรมของรูปนั้นไป หมุนตามวงล้อทางเกวียนสัญญาเดิม

    ความคิดเป็นกับดักที่แยบยลยิ่งเผลอหลงเล่นด้วยไม่เท่าทันเผาไหม้กลับทางเดิม

    ทุกสิ่งที่เกิดล้วนมีเหตุ ถึงจุด1การหมดสิ้นจักมาล้าง

    ใจดีใจเมตตานำทางพ้นจากทางเกวียนเดิม

    ทาน ศีล มรรค ปล่อยวาง(สักแต่ .. ล้วน3ลัก) ปัญญา

    หนทางนี้เดินลำพัง

    สาธุ
    นิทาน ลืมคำมั่นก่อนมา ล้วนมาเพื่อแก้ไขสิ่งผิดที่เคยเผลอด้วยใจกายวาจา ก่อสัญญาดั่งเงานำพาพบทางเกวียนตน มิติ3นี้มีเงื่อนไขที่แยบยลนักลึกล้ำจึงจำเป็นต้องเข้าใจค้นหาด้วยใจปัญญาตน บางครั้งการพบเจอคน1ก้อหลงรักบางครั้งทำไมชังมันเสียจริง บางครั้งยอมทั้งไม่ใช่ความจริงของใจ บางครั้งทำไมเขาเธอเหมือนเราจัง หากมองเข้าใจใน3ลัก ในเรื่องเวรกรรมที่ต้องมารับมาชดใช้ เหตุนี้จิต1จักมารับมาชดใช้หมดต้องใช้เวลานานโข จิตจึงต้องแบ่งมาเพื่อรับชดใช้ รูป1มาฐานะ1รวยสุดรวยระดับกลางจนอนาถาสุด หล่อรากดินขี้เหล่สุด พิการ ล้วนมาเพื่อรับชดใช้นั่นเอง กระทั่งเจ้าเวรนายกรรมที่โคจรมาพบตามวาระวิถี อาจจักรายใหม่หรือตัวในตนเองเพื่อรับชดใช้ มิตินี้จึงเป็นแดนฝึกตนด้วยปัญญา บททดสอบมากมายแยบยลนัก เหตุนี้ถึงต้องมาแก้ไขด้วยปัญญา ล้วนเป็น1เดียวกับธรรมชาติ รูปใดพบก่อนรอดพ้นในส่วนตนส่วนนั้น ส่วนอื่นรับเล่นบทซ้ำไปมาตามแรงกรรมของรูปนั้นไป หมุนตามวงล้อทางเกวียนสัญญาเดิม ความคิดเป็นกับดักที่แยบยลยิ่งเผลอหลงเล่นด้วยไม่เท่าทันเผาไหม้กลับทางเดิม ทุกสิ่งที่เกิดล้วนมีเหตุ ถึงจุด1การหมดสิ้นจักมาล้าง ใจดีใจเมตตานำทางพ้นจากทางเกวียนเดิม ทาน ศีล มรรค ปล่อยวาง(สักแต่ .. ล้วน3ลัก) ปัญญา หนทางนี้เดินลำพัง สาธุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม
    ความมีอยู่ว่า

    ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ”
    เวยเวยตะลึงไป
    ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน
    “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ...

    - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน

    ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้?

    “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว

    องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี

    มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง

    จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่

    ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ

    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com
    https://www.sohu.com/a/350631198_120260771

    #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม ความมีอยู่ว่า ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ” เวยเวยตะลึงไป ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ... - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้? “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่ ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ Credit เนื้อหารวบรวมจาก: https://baike.baidu.com https://www.sohu.com/a/350631198_120260771 #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    百度百科_全球领先的中文百科全书
    百度百科是一部内容开放、自由的网络百科全书,旨在创造一个涵盖所有领域知识,服务所有互联网用户的中文知识性百科全书。在这里你可以参与词条编辑,分享贡献你的知识。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าไม่พูดถึงความรักก็จะดูตกเทรนด์ วันนี้เลยขอพูดถึงวลีคลาสสิคที่โด่งดังจากปากของเทพธิดาไหมแดงลี้มกโช้ว

    ความมีอยู่ว่า
    ... ทันใดนั้น ในอัคคีเพลิงบังเกิดเสียงเพลงอันเกรี้ยวกราดโหยหวนดังออกมาว่า
    “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด
    จึงมอบให้แก่กันและกันด้วยชีวิต
    วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ...” ...

    - จากเรื่อง <เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี> ผู้แต่ง กิมย้ง แปลและเรียบเรียงโดย น.นพรัตน์
    (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ)

    มีคนวิเคราะห์ไปแล้วมากมายถึงบทกวีนี้และเรื่องราวความรักของตัวละครต่างๆ ของกิมย้ง Storyฯ จะไม่กล่าวซ้ำ แต่ Storyฯ เชื่อว่าคงมีลูกเพจไม่น้อยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวเบื้องหลังของบทกวีนี้ ไม่ใช่เรื่องราวความรักของคน

    บทกวีนี้ปรากฎในยุคสมัยราชวงศ์จินโดยอัจฉริยะกวีและนักประวัติศาสตร์หยวนฮ่าวเวิ่น (ปีค.ศ. 1190-1297) ว่ากันว่า หยวนฮ่าวเวิ่นเมื่อครั้งยังอายุเพียง 16 ปี ได้เดินทางไปกับเพื่อนร่วมชั้นเพื่อไปสอบ ระหว่างทางพบนายพรานคนหนึ่งกำลังรำพึงรำพันกับซากศพห่านป่าคู่หนึ่ง พรานเล่าให้ฟังว่าห่านป่าคู่นี้ ตัวหนึ่งโดนดักจับตาย อีกตัวหนึ่งบินหลุดรอดไปได้ แต่มันไม่หนีไป กลับบินวนส่งเสียงร้องไห้โหยหวน สุดท้ายพุ่งตัวดิ่งลงมาชนพื้นตายอยู่ข้างๆ คู่ของมัน

    หยวนฮ่าวเวิ่นรู้สึกโดนใจกับเรื่องราวของห่านป่าคู่นี้ จึงซื้อมันแล้วนำไปฝังไว้ด้วยกันที่ริมน้ำและตั้งชื่อหลุมฝังศพนั้นว่า “เนินห่านป่า” (เยี่ยนชิว หรือ 雁丘) เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนกลุ่มนี้ต่างแต่งบทกลอนขึ้นมา โดยหยวนฮ่าวเวินแต่งกลอนเนินห่านป่าบทนี้ขึ้น ต่อมามีการปรับปรุงเพิ่มเติมและเอาไปรวมอยู่ในชุดกลอน “ลูบคลำปลาน้อย” (ม้ออวี๋เอ่อร์ หรือ 摸鱼儿) ที่มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบหกอักษร โดยเรียกกลอนวรรคนี้ว่า “ลูบคลำปลาน้อย: บทกวีเนินห่านป่า” (摸鱼儿.雁丘词)

    เข้าใจที่มาและเรื่องราวเบื้องหลังแล้ว ลองอ่านบทกวีเต็มๆ อีกทีนะคะว่า เห็นเงาร่างของห่านฟ้าคู่นี้ในบทกวีกันบ้างไหม

    “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงมอบให้แก่กันด้วยชีวิต วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ เทียบปีกบินโผผินกี่ฤดูกาล ร่วมหรรษาเริงรื่น ขื่นขมยามพลัดพรากหาย กอปรด้วยบุตรธิดางมงาย ท่านพึงหมายจำนรรจา ชั้นเฆฆาสูงหมื่นลี้ ทัศนีย์พันภูพาไศล เงาเดียวดายดำรงอยู่ได้อย่างไร”

    Credit รูปภาพจาก: https://board.postjung.com/796272
    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com
    https://zhidao.baidu.com/question/621016209188011772.html
    https://m.sohu.com/a/434620154_99929216/?pvid=000115_3w_a

    #กิมย้ง #เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    ถ้าไม่พูดถึงความรักก็จะดูตกเทรนด์ วันนี้เลยขอพูดถึงวลีคลาสสิคที่โด่งดังจากปากของเทพธิดาไหมแดงลี้มกโช้ว ความมีอยู่ว่า ... ทันใดนั้น ในอัคคีเพลิงบังเกิดเสียงเพลงอันเกรี้ยวกราดโหยหวนดังออกมาว่า “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงมอบให้แก่กันและกันด้วยชีวิต วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ...” ... - จากเรื่อง <เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี> ผู้แต่ง กิมย้ง แปลและเรียบเรียงโดย น.นพรัตน์ (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ) มีคนวิเคราะห์ไปแล้วมากมายถึงบทกวีนี้และเรื่องราวความรักของตัวละครต่างๆ ของกิมย้ง Storyฯ จะไม่กล่าวซ้ำ แต่ Storyฯ เชื่อว่าคงมีลูกเพจไม่น้อยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวเบื้องหลังของบทกวีนี้ ไม่ใช่เรื่องราวความรักของคน บทกวีนี้ปรากฎในยุคสมัยราชวงศ์จินโดยอัจฉริยะกวีและนักประวัติศาสตร์หยวนฮ่าวเวิ่น (ปีค.ศ. 1190-1297) ว่ากันว่า หยวนฮ่าวเวิ่นเมื่อครั้งยังอายุเพียง 16 ปี ได้เดินทางไปกับเพื่อนร่วมชั้นเพื่อไปสอบ ระหว่างทางพบนายพรานคนหนึ่งกำลังรำพึงรำพันกับซากศพห่านป่าคู่หนึ่ง พรานเล่าให้ฟังว่าห่านป่าคู่นี้ ตัวหนึ่งโดนดักจับตาย อีกตัวหนึ่งบินหลุดรอดไปได้ แต่มันไม่หนีไป กลับบินวนส่งเสียงร้องไห้โหยหวน สุดท้ายพุ่งตัวดิ่งลงมาชนพื้นตายอยู่ข้างๆ คู่ของมัน หยวนฮ่าวเวิ่นรู้สึกโดนใจกับเรื่องราวของห่านป่าคู่นี้ จึงซื้อมันแล้วนำไปฝังไว้ด้วยกันที่ริมน้ำและตั้งชื่อหลุมฝังศพนั้นว่า “เนินห่านป่า” (เยี่ยนชิว หรือ 雁丘) เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนกลุ่มนี้ต่างแต่งบทกลอนขึ้นมา โดยหยวนฮ่าวเวินแต่งกลอนเนินห่านป่าบทนี้ขึ้น ต่อมามีการปรับปรุงเพิ่มเติมและเอาไปรวมอยู่ในชุดกลอน “ลูบคลำปลาน้อย” (ม้ออวี๋เอ่อร์ หรือ 摸鱼儿) ที่มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบหกอักษร โดยเรียกกลอนวรรคนี้ว่า “ลูบคลำปลาน้อย: บทกวีเนินห่านป่า” (摸鱼儿.雁丘词) เข้าใจที่มาและเรื่องราวเบื้องหลังแล้ว ลองอ่านบทกวีเต็มๆ อีกทีนะคะว่า เห็นเงาร่างของห่านฟ้าคู่นี้ในบทกวีกันบ้างไหม “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงมอบให้แก่กันด้วยชีวิต วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ เทียบปีกบินโผผินกี่ฤดูกาล ร่วมหรรษาเริงรื่น ขื่นขมยามพลัดพรากหาย กอปรด้วยบุตรธิดางมงาย ท่านพึงหมายจำนรรจา ชั้นเฆฆาสูงหมื่นลี้ ทัศนีย์พันภูพาไศล เงาเดียวดายดำรงอยู่ได้อย่างไร” Credit รูปภาพจาก: https://board.postjung.com/796272 Credit เนื้อหารวบรวมจาก: https://baike.baidu.com https://zhidao.baidu.com/question/621016209188011772.html https://m.sohu.com/a/434620154_99929216/?pvid=000115_3w_a #กิมย้ง #เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    BOARD.POSTJUNG.COM
    ลี้ม๊กโช้ว เทพธิดาไหมแดง
    ลี้ม๊กโช้ว เทพธิดาไหมแดง ลี้มกโช้ว เป็นตัวละครใน นิยายกำลังภายในของกิมย้ง เรื่องมังกรหยก ลี้มกโช้ว เป็นศิษย์สำนักสุสานโบราณ รุ่นที่ 3 ฉายา เทพธิดาไหมแดง ..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระสมเด็จหลวงพ่อพุฒ 93 ปี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม จ.อุทัยธานี
    พระสมเด็จพระราชอุทัยกวี หลวงพ่อพุฒ 93 ปี เนื้อผงพุทธคุณ วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม จ.อุทัยธานี ปี2532 //พระดีพิธีใหญ๋ ที่ระลึกครบรอบวันเกิด ๙ ธันวาคม ๒๕๓๒ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน อาทิ เมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด และชีวิตประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง อุดมด้วย ลาภ ยศ ความเจริญรุ่งเรืองดีนักแล”

    ** พระราชอุทัยกวี (พ่อพุฒ) วัดมณีสถิตฯ เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ปัจจุบันพระสมเด็จหลวงพ่อพุฒ ค่อนข้างหาได้ยาก เป็นพระผงพุทธคุณ มีผู้ที่นำไปบูชาแล้วได้รับประสบการณ์มากมาย โดยใช้ผงพุทธคุณจากการจารอักขระเลขยันต์แล้วลบเอาผงจากกระดานชนวนมาเป็นส่วนผสมในการสร้างพระ ซึ่งหลวงพ่อพุฒ ท่านปลุกเสกเดี่ยว >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระสมเด็จหลวงพ่อพุฒ 93 ปี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม จ.อุทัยธานี พระสมเด็จพระราชอุทัยกวี หลวงพ่อพุฒ 93 ปี เนื้อผงพุทธคุณ วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม จ.อุทัยธานี ปี2532 //พระดีพิธีใหญ๋ ที่ระลึกครบรอบวันเกิด ๙ ธันวาคม ๒๕๓๒ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน อาทิ เมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด และชีวิตประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง อุดมด้วย ลาภ ยศ ความเจริญรุ่งเรืองดีนักแล” ** พระราชอุทัยกวี (พ่อพุฒ) วัดมณีสถิตฯ เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ปัจจุบันพระสมเด็จหลวงพ่อพุฒ ค่อนข้างหาได้ยาก เป็นพระผงพุทธคุณ มีผู้ที่นำไปบูชาแล้วได้รับประสบการณ์มากมาย โดยใช้ผงพุทธคุณจากการจารอักขระเลขยันต์แล้วลบเอาผงจากกระดานชนวนมาเป็นส่วนผสมในการสร้างพระ ซึ่งหลวงพ่อพุฒ ท่านปลุกเสกเดี่ยว >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความอกหักรักหายมันร้ายกาจ สุดจะคาดคำนวณประมวลหมาย ผลของมันนั้นหนักอย่างมากมาย โถมทำร้ายฤดีทุกวี่วัน
    https://youtu.be/AziR8B_sqQ0
    ความอกหักรักหายมันร้ายกาจ สุดจะคาดคำนวณประมวลหมาย ผลของมันนั้นหนักอย่างมากมาย โถมทำร้ายฤดีทุกวี่วัน https://youtu.be/AziR8B_sqQ0
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เสร็จนาฆ่าโคถึก"

    อิตามาร์ เบน-กวีร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล เรียกร้องให้กำจัดโจลานี ผู้ปกครองซีเรีย โดยอ้างเพื่อปกป้องชาวดรูซในสไวดา (Sweida)
    "เสร็จนาฆ่าโคถึก" อิตามาร์ เบน-กวีร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล เรียกร้องให้กำจัดโจลานี ผู้ปกครองซีเรีย โดยอ้างเพื่อปกป้องชาวดรูซในสไวดา (Sweida)
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ผ่านมาหลายสัปดาห์กับสาระทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยเรื่องประเพณีงานแต่งงานและชุดเจ้าสาว วันนี้พักเปลี่ยนแนวกับการคุยกันเบาๆ ว่าด้วยเรื่องบทกวี

    ความมีอยู่ว่า
    ... เทพจิ้งจอกเข้ามาจับแขนข้าอีกครั้งแล้วกล่าว “มิทราบว่านามของเซียนน้อยจิ่นมี่ท่าน ใช่สะกดด้วย ‘มี่’ เดียวกับคำว่า ‘มี่ถาง’ (แปลว่าน้ำผึ้ง) หรือไม่?”
    ข้าตอบ “มิใช่ มิใช่”
    “เช่นนั้นเป็นคำว่า ‘มี่’ ใด?” เทพจิ้งจอกถามต่ออย่างตั้งใจ
    ข้ากำลังจะกล่าวตอบ หากแต่เฟิ่งหวงกลับเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “เห็นทีจะเป็น ‘สวินมี่’ (แปลว่าตามหา) กระมัง” ...

    - จากเรื่อง <มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง> ผู้แต่ง เตี้ยนเสี้ยน
    (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่อง <เถ้ามธุรส> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องชื่อของนางเอกของเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ “จิ่นมี่”

    ในหนังสือไม่ได้เน้นถึง แต่ในละครมีหลายครั้งที่ย้ำถึงวลีหนึ่ง เป็นการเกริ่นว่าชื่อของนางมาจากบทกวีวรรคนี้ ซึ่งวรรคเต็มๆ ก็คือ “繁花似锦觅安宁, 淡云流水度此生” (ฝานฮวาสื้อจิ่นมี่อันหนิง, ต้านหวินหลิวสุ่ยตู้ฉื่อเซิง) เป็นวรรคหนึ่งในบทกวีของหวงจิ้งเหยวี่ยน (นักประพันธ์ยุคปัจจุบัน) Storyฯ พยายามแปลให้ได้ใจความตามนี้ค่ะ:

    ฝานฮวาสื้อจิ่น – ตระการตาภาพบุปผาดารดาษ
    มี่อันหนิง – แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ
    ต้านหวินหลิวสุ่ย – เมฆพลิ้วจางสายนทีรินผ่าน
    ตู้ฉื่อเซิง – เฉกนี้ ตราบชีวาวางวาย

    อักษร 14 ตัว แต่สามารถสะท้อนความรู้สึกของคนที่ต้องการละทิ้งความฟุ้งเฟ้อทางโลก เพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย

    ไม่ทราบว่ามีเพื่อนเพจคนไหนที่ดูละครจนจบแล้วคิดเหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า ความนัยของเนื้อเรื่องและปรัชญาชีวิตของตัวละครหลักหลายคนได้ถูกแฝงไว้ในวลีนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ

    ป.ล. เพื่อนเพจท่านใดแปลได้สละสลวยกว่านี้ เชิญแบ่งปันกันเข้ามาเลยค่ะ
    ป.ล. 2 ท่านที่อ่านภาษาจีนได้ สามารถดูบทกวีเต็มๆ ได้ที่ https://www.mingyantong.com/article/798209 (แต่กรุณาอย่าให้ Storyฯ แปลให้เลย... ไม่สามารถ... ยากจริงๆ)

    Credit รูปภาพส่วนหนึ่งจาก: https://www.soompi.com/article/1221415wpp/mesmerizing-fantasy-world-3-reasons-watch-ashes-love
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhidao.baidu.com/question/139053549.html
    http://www.360doc.com/content/19/0312/11/4344390_820925177.shtml

    #มธุรสหวานล้ำ #เถ้ามธุรส #กวีจีน #จิ่นมี่ #StoryfromStory
    ผ่านมาหลายสัปดาห์กับสาระทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยเรื่องประเพณีงานแต่งงานและชุดเจ้าสาว วันนี้พักเปลี่ยนแนวกับการคุยกันเบาๆ ว่าด้วยเรื่องบทกวี ความมีอยู่ว่า ... เทพจิ้งจอกเข้ามาจับแขนข้าอีกครั้งแล้วกล่าว “มิทราบว่านามของเซียนน้อยจิ่นมี่ท่าน ใช่สะกดด้วย ‘มี่’ เดียวกับคำว่า ‘มี่ถาง’ (แปลว่าน้ำผึ้ง) หรือไม่?” ข้าตอบ “มิใช่ มิใช่” “เช่นนั้นเป็นคำว่า ‘มี่’ ใด?” เทพจิ้งจอกถามต่ออย่างตั้งใจ ข้ากำลังจะกล่าวตอบ หากแต่เฟิ่งหวงกลับเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “เห็นทีจะเป็น ‘สวินมี่’ (แปลว่าตามหา) กระมัง” ... - จากเรื่อง <มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง> ผู้แต่ง เตี้ยนเสี้ยน (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่อง <เถ้ามธุรส> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) วันนี้เรามาคุยกันเรื่องชื่อของนางเอกของเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ “จิ่นมี่” ในหนังสือไม่ได้เน้นถึง แต่ในละครมีหลายครั้งที่ย้ำถึงวลีหนึ่ง เป็นการเกริ่นว่าชื่อของนางมาจากบทกวีวรรคนี้ ซึ่งวรรคเต็มๆ ก็คือ “繁花似锦觅安宁, 淡云流水度此生” (ฝานฮวาสื้อจิ่นมี่อันหนิง, ต้านหวินหลิวสุ่ยตู้ฉื่อเซิง) เป็นวรรคหนึ่งในบทกวีของหวงจิ้งเหยวี่ยน (นักประพันธ์ยุคปัจจุบัน) Storyฯ พยายามแปลให้ได้ใจความตามนี้ค่ะ: ฝานฮวาสื้อจิ่น – ตระการตาภาพบุปผาดารดาษ มี่อันหนิง – แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ต้านหวินหลิวสุ่ย – เมฆพลิ้วจางสายนทีรินผ่าน ตู้ฉื่อเซิง – เฉกนี้ ตราบชีวาวางวาย อักษร 14 ตัว แต่สามารถสะท้อนความรู้สึกของคนที่ต้องการละทิ้งความฟุ้งเฟ้อทางโลก เพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ไม่ทราบว่ามีเพื่อนเพจคนไหนที่ดูละครจนจบแล้วคิดเหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า ความนัยของเนื้อเรื่องและปรัชญาชีวิตของตัวละครหลักหลายคนได้ถูกแฝงไว้ในวลีนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ ป.ล. เพื่อนเพจท่านใดแปลได้สละสลวยกว่านี้ เชิญแบ่งปันกันเข้ามาเลยค่ะ ป.ล. 2 ท่านที่อ่านภาษาจีนได้ สามารถดูบทกวีเต็มๆ ได้ที่ https://www.mingyantong.com/article/798209 (แต่กรุณาอย่าให้ Storyฯ แปลให้เลย... ไม่สามารถ... ยากจริงๆ) Credit รูปภาพส่วนหนึ่งจาก: https://www.soompi.com/article/1221415wpp/mesmerizing-fantasy-world-3-reasons-watch-ashes-love Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhidao.baidu.com/question/139053549.html http://www.360doc.com/content/19/0312/11/4344390_820925177.shtml #มธุรสหวานล้ำ #เถ้ามธุรส #กวีจีน #จิ่นมี่ #StoryfromStory
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่คงถึงรู้สึกเศร้า หวนมาสู่ทางสว่าง ใจหนอใจในทางเกวียน
    นี่คงถึงรู้สึกเศร้า หวนมาสู่ทางสว่าง ใจหนอใจในทางเกวียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษาว่าทุกข์โทษที่เกิดจากกาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 311
    ชื่อบทธรรม :- ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม
    --ภิกษุ ท. ! โทษของกามทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพศิลปะใด ๆ เช่น
    ศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ,
    ศิลปะแห่งการคำนวณ,
    ศิลปะแห่งการพยากรณ์,
    การทำกสิกรรม พาณิชยกรรม และโครักขกรรม,
    ศิลปะแห่งศัสตราวุธ,
    และการทำราชการ และศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ;
    เพราะการประกอบอาชีพนั้น ๆ เขาต้องเผชิญหน้าต่อความหนาว ความร้อน
    เผชิญหน้าด้วย เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสด้วยสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
    ซูบผอมอยู่ หิวระหายอยู่ เพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา.
    --ภิกษุ ท. ! นี้ เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายามอยู่อย่างนี้,
    โภคทรัพย์ ก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา,
    เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ ถึงความมืดมัวอยู่ ว่า
    “ความขยันของเรา เป็นหมันหนอ,
    ความพยายามของเราไร้ผลหนอ”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายาม อยู่อย่างนี้,
    โภคทรัพย์ ก็สำเร็จแก่เขาด้วย เขา ก็จะต้องเสวยทุกข์ โทมนัส
    เพราะการอารักขาโภคทรัพย์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ ด้วยหวังอยู่ ว่า
    “พระราชาจะไม่ริบทรัพย์เหล่านั้นไป,
    โจร จะไม่ปล้นทรัพย์เหล่านั้นไป,
    ไฟ จะไม่ไหม้ทรัพย์เหล่านั้น,
    น้ำ จะไม่ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้น ;
    ทายาทที่ไม่พอใจ จะไม่ยื้อแย่งทรัพย์เหล่านั้นไป”
    ดังนี้.
    เมื่อกุลบุตรนั้น ทำการอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้
    พระราชา ริบเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม,
    โจร ปล้นเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม,
    ไฟ ไหม้ทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม,
    น้ำ ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม,
    หรือทายาทที่ไม่พอใจ ยื้อแย่งเอาทรัพย์เหล่านั้นไปได้ก็ตาม,
    เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอกร่ำไห้ ถึงความมืดมัวรำพันอยู่ ว่า
    “ ทรัพย์ใดได้มีแล้วแก่เรา ทรัพย์นั้นไม่มีเสียแล้ว”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย
    เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    :พระราชา ย่อมวิวาทกับพระราชาบ้าง,
    กษัตริย์ย่อมวิวาทกับกษัตริย์บ้าง,
    พราหมณ์ย่อมวิวาทกับพราหมณ์บ้าง,
    คฤหบดีย่อมวิวาทกับคฤหบดีบ้าง,
    มารดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง,
    บุตรย่อมวิวาทกับมารดาบ้าง,
    บิดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง,
    บุตรย่อมวิวาทกับบิดาบ้าง,
    พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง,
    พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องหญิงบ้าง,
    พี่น้องหญิงย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง,
    สหายย่อมวิวาทกับสหายบ้าง ;
    คนเหล่านั้น ทำการทะเลาะ วิวาท บาดหมางกันแล้ว
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยมือบ้าง,
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยก้อนดินบ้าง,
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยท่อนไม้บ้าง,
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยศัสตราบ้าง, อยู่ในที่นั้นๆ.
    เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุ เพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร แบ่งกันเป็นสองกองทัพ
    พุ่งเข้าทำสงครามกัน.
    เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่,
    คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง,
    ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษ ของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร วิ่งขึ้นปีนเชิงเทิน (เพื่อปล้นเอาเมือง), เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่,
    คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง,
    ราดกันด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง.
    ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง,
    ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้นย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.
    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว

    : คนทั้งหลาย ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว
    คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น.
    พระราชา จับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้ลงกรรมกรณ์หลายวิธีด้วยกัน
    เช่นเฆี่ยนด้วยหวายบ้าง, หวดด้วยเชือกหนังบ้าง, ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง, ตัดมือเสียบ้าง,
    ตัดเท้าเสียบ้าง, ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง, ตัดหูบ้าง, ตัดจมูกบ้าง, ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง,
    ยอมทำโทษโดยวิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม-๑ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ขอดสังข์๒ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ปากราหู-๓ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี มาลัยไฟ-๔ บ้าง.
    ย่อมทำโทษ โดยวิธี คบมือ-๕ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ริ้วส่าย-๖ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี นุ่งเปลือกไม้-๗ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ยืนกวาง-๘ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด-๙ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี เหรียญกษปณ์-๑๐ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ทาเกลือบ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี แปรงแสบ-๑๑ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี กางเกวียน-๑๒ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ตั่งฟาง๑๓ บ้าง,
    ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง,
    ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง-๑๔ บ้าง,
    ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง,
    ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง.
    เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย
    เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ
    เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    : คนทั้งหลาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ.
    ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว,
    เขาเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย
    เพราะการแตกสลายแห่งกาย.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย
    เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองมีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว,.
    ดังนี้แล.-

    ! --
    ©หมายเหตุ ตามนัยอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม.อำไพจริต.
    -๑. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไปให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้น เหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.-
    -๒. ขอดสังข์ คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุ ยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกระโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์.-
    -๓. ปากราหู คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.-
    -๔. มาลัยไฟ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ-
    -๕. คบมือ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั่วสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ.-
    -๖. ริ้วส่าย คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบริ้วหนังของตัวล้มลุกคลุกคลานไปกว่าจะตาย-
    -๗. นุ่งเปลือกไม้ คือเชือดหนังเป็นริ้ว ๆ อย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้-
    -๘. ยืนกวาง คือใช้ห่วงเหล็กรัดศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนไปกว่าจะตาย.-
    -๙. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด.-
    -๑๐. เหรียญกษาปณ์ คือใช้มีดคมเชือดเนื้อออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.-
    -๑๑. แปรงแสบ คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้หนังเนื้อเอ็น ขาดหลุดออกมาหมด เหลือแต่กระดูก.-
    -๑๒. กางเกวียน คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองยกเดินเวียน.-
    -๑๓. ตั่งฟาง คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนดั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า.-
    -๑๔. ให้สุนัขทึ้ง คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก.
    ---!

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/116/198.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/116/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๖๙/๑๙๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/169/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม..
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21&id=311
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21
    ลำดับสาธยายธรรม : 21 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_21.mp3
    อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษาว่าทุกข์โทษที่เกิดจากกาม สัทธรรมลำดับที่ : 311 ชื่อบทธรรม :- ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311 เนื้อความทั้งหมด :- --ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม --ภิกษุ ท. ! โทษของกามทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพศิลปะใด ๆ เช่น ศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ, ศิลปะแห่งการคำนวณ, ศิลปะแห่งการพยากรณ์, การทำกสิกรรม พาณิชยกรรม และโครักขกรรม, ศิลปะแห่งศัสตราวุธ, และการทำราชการ และศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ; เพราะการประกอบอาชีพนั้น ๆ เขาต้องเผชิญหน้าต่อความหนาว ความร้อน เผชิญหน้าด้วย เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสด้วยสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ซูบผอมอยู่ หิวระหายอยู่ เพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. --ภิกษุ ท. ! นี้ เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายามอยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ ถึงความมืดมัวอยู่ ว่า “ความขยันของเรา เป็นหมันหนอ, ความพยายามของเราไร้ผลหนอ” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายาม อยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็สำเร็จแก่เขาด้วย เขา ก็จะต้องเสวยทุกข์ โทมนัส เพราะการอารักขาโภคทรัพย์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ ด้วยหวังอยู่ ว่า “พระราชาจะไม่ริบทรัพย์เหล่านั้นไป, โจร จะไม่ปล้นทรัพย์เหล่านั้นไป, ไฟ จะไม่ไหม้ทรัพย์เหล่านั้น, น้ำ จะไม่ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้น ; ทายาทที่ไม่พอใจ จะไม่ยื้อแย่งทรัพย์เหล่านั้นไป” ดังนี้. เมื่อกุลบุตรนั้น ทำการอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชา ริบเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, โจร ปล้นเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, ไฟ ไหม้ทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, น้ำ ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, หรือทายาทที่ไม่พอใจ ยื้อแย่งเอาทรัพย์เหล่านั้นไปได้ก็ตาม, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอกร่ำไห้ ถึงความมืดมัวรำพันอยู่ ว่า “ ทรัพย์ใดได้มีแล้วแก่เรา ทรัพย์นั้นไม่มีเสียแล้ว” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว :พระราชา ย่อมวิวาทกับพระราชาบ้าง, กษัตริย์ย่อมวิวาทกับกษัตริย์บ้าง, พราหมณ์ย่อมวิวาทกับพราหมณ์บ้าง, คฤหบดีย่อมวิวาทกับคฤหบดีบ้าง, มารดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง, บุตรย่อมวิวาทกับมารดาบ้าง, บิดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง, บุตรย่อมวิวาทกับบิดาบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องหญิงบ้าง, พี่น้องหญิงย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, สหายย่อมวิวาทกับสหายบ้าง ; คนเหล่านั้น ทำการทะเลาะ วิวาท บาดหมางกันแล้ว ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยมือบ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยก้อนดินบ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยท่อนไม้บ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยศัสตราบ้าง, อยู่ในที่นั้นๆ. เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุ เพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร แบ่งกันเป็นสองกองทัพ พุ่งเข้าทำสงครามกัน. เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษ ของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร วิ่งขึ้นปีนเชิงเทิน (เพื่อปล้นเอาเมือง), เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ราดกันด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง. ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้นย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. พระราชา จับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้ลงกรรมกรณ์หลายวิธีด้วยกัน เช่นเฆี่ยนด้วยหวายบ้าง, หวดด้วยเชือกหนังบ้าง, ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง, ตัดมือเสียบ้าง, ตัดเท้าเสียบ้าง, ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง, ตัดหูบ้าง, ตัดจมูกบ้าง, ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง, ยอมทำโทษโดยวิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม-๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ขอดสังข์๒ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ปากราหู-๓ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี มาลัยไฟ-๔ บ้าง. ย่อมทำโทษ โดยวิธี คบมือ-๕ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ริ้วส่าย-๖ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี นุ่งเปลือกไม้-๗ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ยืนกวาง-๘ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด-๙ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี เหรียญกษปณ์-๑๐ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ทาเกลือบ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี แปรงแสบ-๑๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี กางเกวียน-๑๒ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ตั่งฟาง๑๓ บ้าง, ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง, ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง-๑๔ บ้าง, ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง, ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง. เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ. ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, เขาเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย เพราะการแตกสลายแห่งกาย. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองมีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว,. ดังนี้แล.- ! -- ©หมายเหตุ ตามนัยอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม.อำไพจริต. -๑. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไปให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้น เหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.- -๒. ขอดสังข์ คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุ ยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกระโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์.- -๓. ปากราหู คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.- -๔. มาลัยไฟ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ- -๕. คบมือ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั่วสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ.- -๖. ริ้วส่าย คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบริ้วหนังของตัวล้มลุกคลุกคลานไปกว่าจะตาย- -๗. นุ่งเปลือกไม้ คือเชือดหนังเป็นริ้ว ๆ อย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้- -๘. ยืนกวาง คือใช้ห่วงเหล็กรัดศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนไปกว่าจะตาย.- -๙. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด.- -๑๐. เหรียญกษาปณ์ คือใช้มีดคมเชือดเนื้อออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.- -๑๑. แปรงแสบ คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้หนังเนื้อเอ็น ขาดหลุดออกมาหมด เหลือแต่กระดูก.- -๑๒. กางเกวียน คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองยกเดินเวียน.- -๑๓. ตั่งฟาง คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนดั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า.- -๑๔. ให้สุนัขทึ้ง คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก. ---! #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/116/198. http://etipitaka.com/read/thai/12/116/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๖๙/๑๙๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/169/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม.. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21&id=311 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21 ลำดับสาธยายธรรม : 21 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_21.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (เรื่องนี้ควรจะอยู่ในหมวดนิโรธ แต่นำมาใส่ไว้ต่อท้ายเรื่องนี้ซึ่งเป็นหมวดสมุทัยก็เพื่อความสะดวกแก่การศึกษา คือศึกษาพร้อมกัน อันจะเป็นการง่าย ได้ผลดีกว่าที่จะแยกกัน.
    -(เรื่องนี้ควรจะอยู่ในหมวดนิโรธ แต่นำมาใส่ไว้ต่อท้ายเรื่องนี้ซึ่งเป็นหมวดสมุทัยก็เพื่อความสะดวกแก่การศึกษา คือศึกษาพร้อมกัน อันจะเป็นการง่าย ได้ผลดีกว่าที่จะแยกกัน. แต่ยังมีลักษณะแห่งจิตของผู้ที่เรียกว่าอยู่คนเดียวที่ลึกซึ้งกว่า ประณีตกว่าเรื่องนี้ในหมวดนิโรธ หรือภาค ๓ ขอให้ดูจากที่นั้น ที่หน้า ๖๙๕ โดยหัวข้อว่า “ผู้อยู่คนเดียวคือผู้ไม่ข้องติดอยู่ในธรรมทั้งปวง”). ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม ภิกษุ ท. ! โทษของกามทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพศิลปะใด ๆ เช่นศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ, ศิลปะแห่งการคำนวณ, ศิลปะแห่งการพยากรณ์, การทำกสิกรรม พาณิชยกรรม และโครักขกรรม, ศิลปะแห่งศัสตราวุธ, และการทำราชการ และศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ; เพราะการประกอบอาชีพนั้น ๆ เขาต้องเผชิญหน้าต่อความหนาว ความร้อน เผชิญหน้าด้วย เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสด้วยสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ซูบผอมอยู่ หิวระหายอยู่ เพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. ภิกษุ ท. ! นี้ เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายามอยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ ถึงความมืดมัวอยู่ ว่า “ความขยันของเรา เป็นหมันหนอ, ความพยายามของเราไร้ผลหนอ” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายาม อยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็สำเร็จแก่เขาด้วย เขา ก็จะต้องเสวยทุกข์ โทมนัสเพราะการอารักขาโภคทรัพย์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ ด้วยหวังอยู่ ว่า “พระราชาจะไม่ริบทรัพย์เหล่านั้นไป, โจร จะไม่ปล้นทรัพย์เหล่านั้นไป, ไฟ จะไม่ไหม้ทรัพย์เหล่านั้น, น้ำ จะไม่ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้น ; ทายาทที่ไม่พอใจ จะไม่ยื้อแย่งทรัพย์เหล่านั้นไป” ดังนี้. เมื่อกุลบุตรนั้น ทำการอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชา ริบเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, โจร ปล้นเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, ไฟ ไหม้ทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, น้ำ ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, หรือทายาทที่ไม่พอใจ ยื้อแย่งเอาทรัพย์เหล่านั้นไปได้ก็ตาม, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอกร่ำไห้ ถึงความมืดมัวรำพันอยู่ ว่า “ ทรัพย์ใดได้มีแล้วแก่เรา ทรัพย์นั้นไม่มีเสียแล้ว” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : พระราชา ย่อมวิวาทกับพระราชาบ้าง, กษัตริย์ย่อมวิวาทกับกษัตริย์บ้าง, พราหมณ์ย่อมวิวาทกับพราหมณ์บ้าง, คฤหบดีย่อมวิวาทกับคฤหบดีบ้าง, มารดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง, บุตรย่อมวิวาทกับมารดาบ้าง, บิดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง. บุตรย่อมวิวาทกับบิดาบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องหญิงบ้าง, พี่น้องหญิงย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, สหายย่อมวิวาทกับสหายบ้าง ; คนเหล่านั้น ทำการทะเลาะ วิวาท บาดหมางกันแล้ว ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยมือบ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยก้อนดินบ้าง ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยท่อนไม้บ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยศัสตราบ้าง, อยู่ในที่นั้นๆ. เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุ เพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร แบ่งกันเป็นสองกองทัพ พุ่งเข้าทำสงครามกัน. เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษ ของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร วิ่งขึ้นปีนเชิงเทิน (เพื่อปล้นเอาเมือง), เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ราดกันด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง. ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้นย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. พระราชา จับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้ลงกรรมกรณ์หลายวิธีด้วยกัน เช่นเฆี่ยนด้วยหวายบ้าง, หวดด้วยเชือกหนังบ้าง, ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง, ตัดมือเสียบ้าง, ตัดเท้าเสียบ้าง, ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง, ตัดหูบ้าง, ตัดจมูกบ้าง, ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง, ยอมทำโทษโดยวิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ขอดสังข์๒ บ้าง. ย่อมทำโทษ ๑. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไปให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้น เหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ. ๒. ขอดสังข์ คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุ ยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกระโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์. โดยวิธี ปากราหู๓ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี มาลัยไฟ๔ บ้าง. ย่อมทำโทษ โดยวิธีคบมือ๕ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ริ้วส่าย๖ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี นุ่งเปลือกไม้๗ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ยืนกวาง๘ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธีเกี่ยวเหยื่อเบ็ด๙ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี เหรียญกษปณ์๑๐ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ทาเกลือบ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี แปรงแสบ๑๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี กางเกวียน๑๒ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ตั่งฟาง๑๓ บ้าง, ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง, ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง๑๔ บ้าง, ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง, ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง. เขาเหล่านั้น ย่อม ๓. ปากราหู คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู. ๔. มาลัยไฟ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ ๕. คบมือ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั่วสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ. ๖. ริ้วส่าย คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบริ้วหนังของตัวล้มลุกคลุกคลานไปกว่าจะตาย ๗. นุ่งเปลือกไม้ คือเชือดหนังเป็นริ้ว ๆ อย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้ ๘. ยืนกวาง คือใช้ห่วงเหล็กรัดศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนไปกว่าจะตาย. ๙. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด. ๑๐. เหรียญกษาปณ์ คือใช้มีดคมเชือดเนื้อออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย. ๑๑. แปรงแสบ คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้หนังเนื้อเอ็น ขาดหลุดออกมาหมด เหลือแต่กระดูก. ๑๒. างเกวียน คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองยกเดินเวียน. ๑๓. ตั่งฟาง คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนดั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า. ๑๔. ให้สุนัขทึ้ง คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก, -นัยอรรถกถา และพระไตรปิฎกแปลของ ม.อำไพจริต. ถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ. ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, เขาเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย เพราะการแตกสลายแห่งกาย. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองมีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว, ดังนี้แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • วลีรักจาก <จันทราอัสดง>

    สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก

    วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl)

    แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร?

    ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน

    “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้

    เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น

    หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง

    เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี

    วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx
    https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804
    https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502
    http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html
    https://www.621seo.cn/a/83.html

    #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    วลีรักจาก <จันทราอัสดง> สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl) แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร? ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้ เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00 https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804 https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502 http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html https://www.621seo.cn/a/83.html #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • รหัสลับบทกวีจีนจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก>

    Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยาย/ซีรีส์จีนจริงๆ ไม่ทราบว่ามีใครที่ดูซีรีส์เรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> แล้วรู้สึกสะดุดหูกับจังหวะจะโคนของรหัสลับที่องครักษ์ชุดแดงใช้ยืนยันตัวตนกันหรือไม่? สำหรับ Storyฯ แล้วมันเตะหูพอสมควร เพราะรหัสลับเหล่านี้ล้วนเป็นวลีจากบทกวีจีนโบราณ

    รหัสลับที่ยกตัวอย่างมาคุยกันวันนี้ คือตอนที่หรูอี้ให้คนปลอมตัวไปหาองครักษ์ชุดแดงเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าหลินหลงตาย รหัสลับถามตอบนี้คือ ‘ซานสือลิ่วกงถู่ฮวาปี้’ (三十六宫土花碧) และ ‘เทียนรั่วโหย่วฉิงเทียนอี้เหล่า’ (天若有情天亦老) Storyฯ ขอแปลว่า ‘สามสิบหกพระตำหนัก ตะไคร่คลุมธรณี / หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’

    ฟังแล้วคงไม่ได้ใจความนัก เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่วรรคที่ต่อเนื่องกัน แต่ทั้งสองวรรคนี้ปรากฏอยู่ในบทกวีเดียวกันที่มีชื่อว่า ‘จินถงเซียนเหรินฉือฮั่นเกอ’ (金铜仙人辞汉歌 แปลได้ประมาณว่า ลำนำเซียนจินถงลาจากแดนฮั่น) เป็นผลงานของหลี่เฮ่อ (ค.ศ. 790-816) สี่สุดยอดกวีแห่งสมัยถัง และนี่เป็นหนึ่งในบทกวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของเขา มันเป็นบทกวียาวที่กล่าวถึงการล่มสลายของอาณาจักรฮั่นที่ครั้งหนึ่งเคยเรืองรอง แต่กลับเหลือเพียงพระตำหนักที่ว่างร้างจนตะไคร่ปกคลุม เทพเซียนร่ำไห้ลาจาก จนถึงขนาดว่าถ้าฟ้ามีจิตใจรักได้เหมือนคน ก็คงรู้สึกอนาจใจเศร้าจนแก่ชราไปเช่นคน บทกวีนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าอาดูรและแค้นใจในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงสภาพจิตใจของหลี่เฮ่อในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์ถังอ่อนแอ และเขาเองจำเป็นต้องลาออกจากราชการและเดินทางจากนครฉางอันไปด้วยอาการป่วย

    แต่ที่ Storyฯ รู้สึกว่าน่าสนใจมากก็คือ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นโจทย์ในการดวลบทกวีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับซีรีส์และนิยายจีนโบราณคงเคยผ่านตาว่า การดวลบทกวีนี้ เป็นการต่อกลอนคู่ โดยคนหนึ่งตั้งโจทย์วรรคแรก อีกคนมาแต่งวรรคต่อให้จบ ซึ่งวรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้เป็นวรรคแรกของกลอนคู่โดยไม่มีใครสามารถต่อวรรคท้ายได้อย่างสมบูรณ์มากว่าสองร้อยปี! ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับยุคสมัยที่มีนักอักษรและนักประพันธ์มากมายอย่างสมัยถัง

    อนึ่ง การต่อวรรคคู่ที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่มีจำนวนอักษรเท่ากันและมีเสียงสูงเสียงต่ำคล้องจองกันเท่านั้น แต่ต้องมีความลงตัวในหลายด้าน เป็นต้นว่า 1) มีบริบทใกล้เคียง เช่น กล่าวถึงวัตถุที่จับต้องได้เหมือนกัน หรือจับต้องไม่ได้เหมือนกัน เป็นวัตถุที่สื่อความหมายในเชิงเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่วรรคแรกกล่าวถึงดอกไม้ วรรคหลังพูดถึงโต๊ะ อะไรอย่างนี้; 2) คุณศัพท์ที่ขยายนามหรืออารมณ์ที่สื่อต้องเหมือนกันหรือตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงเพื่อแสดงความขัดแย้งบางอย่าง เช่น ฝนตกหนักกับแดดแรงจ้า หรือ ฝนตกหนักกับหยดน้ำเล็ก; ฯลฯ

    วรรค ‘หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ นี้มีคนต่อวรรคหลังมากมาย แต่ไม่มีความลงตัวอย่างสมบูรณ์จวบจนสมัยราชวงศ์ซ่ง ผู้ที่ต่อวรรคหลังนี้คือสือเหยียนเหนียน (ค.ศ. 994-1041) นักอักษรและกวีสมัยซ่งเหนือ ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากดื่มสุราไปหลายกรึ๊บ ในยามกึ่งเมากึ่งมีสตินั้น เขาได้ยินคนรอบข้างต่อวรรค ‘หากฟ้ามีใจฯ’ นี้กันอยู่ จึงโพล่งวรรคต่อออกมาในทันใด ซึ่งก็คือ ‘หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง’ (月如无恨月长圆 / เยวี่ยหรูอู๋เฮิ่นเยวี่ยฉางเหยวียน) เป็นการต่อวรรคที่สมบูรณ์จนคนตะลึง เพราะไม่เพียงอักขระ คำบรรยายและบริบทลงตัว หากแต่ความหมายแฝงที่สื่อถึงสัจธรรมแห่งชีวิตยังสอดคล้องอีกด้วย

    ... หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน ...
    ... หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง ...

    วรรคต้นที่ไม่มีใครต่อวรรคได้มากว่าสองร้อยปี เกิดวรรคต่อที่สะเทือนวงการนักอักษรในสมัยนั้นจนถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เพื่อนเพจอ่านและตีความแล้วได้ความรู้สึกอย่างไรคะ? เห็นความเป็น ‘กลอนคู่’ ของมันหรือไม่?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_25539972
    https://k.sina.cn/article_6502395912_18392b008001004rs9.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_33199885635a.aspx
    https://baike.baidu.com/金铜仙人辞汉歌/1659854
    https://www.sohu.com/a/484704098_100135144
    https://www.workercn.cn/c/2024-02-06/8143503.shtml

    #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #หลี่เฮ่อ #กวีถัง #หากฟ้ามีใจรัก #สือเหยียนเหนียน
    รหัสลับบทกวีจีนจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยาย/ซีรีส์จีนจริงๆ ไม่ทราบว่ามีใครที่ดูซีรีส์เรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> แล้วรู้สึกสะดุดหูกับจังหวะจะโคนของรหัสลับที่องครักษ์ชุดแดงใช้ยืนยันตัวตนกันหรือไม่? สำหรับ Storyฯ แล้วมันเตะหูพอสมควร เพราะรหัสลับเหล่านี้ล้วนเป็นวลีจากบทกวีจีนโบราณ รหัสลับที่ยกตัวอย่างมาคุยกันวันนี้ คือตอนที่หรูอี้ให้คนปลอมตัวไปหาองครักษ์ชุดแดงเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าหลินหลงตาย รหัสลับถามตอบนี้คือ ‘ซานสือลิ่วกงถู่ฮวาปี้’ (三十六宫土花碧) และ ‘เทียนรั่วโหย่วฉิงเทียนอี้เหล่า’ (天若有情天亦老) Storyฯ ขอแปลว่า ‘สามสิบหกพระตำหนัก ตะไคร่คลุมธรณี / หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ ฟังแล้วคงไม่ได้ใจความนัก เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่วรรคที่ต่อเนื่องกัน แต่ทั้งสองวรรคนี้ปรากฏอยู่ในบทกวีเดียวกันที่มีชื่อว่า ‘จินถงเซียนเหรินฉือฮั่นเกอ’ (金铜仙人辞汉歌 แปลได้ประมาณว่า ลำนำเซียนจินถงลาจากแดนฮั่น) เป็นผลงานของหลี่เฮ่อ (ค.ศ. 790-816) สี่สุดยอดกวีแห่งสมัยถัง และนี่เป็นหนึ่งในบทกวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของเขา มันเป็นบทกวียาวที่กล่าวถึงการล่มสลายของอาณาจักรฮั่นที่ครั้งหนึ่งเคยเรืองรอง แต่กลับเหลือเพียงพระตำหนักที่ว่างร้างจนตะไคร่ปกคลุม เทพเซียนร่ำไห้ลาจาก จนถึงขนาดว่าถ้าฟ้ามีจิตใจรักได้เหมือนคน ก็คงรู้สึกอนาจใจเศร้าจนแก่ชราไปเช่นคน บทกวีนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าอาดูรและแค้นใจในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงสภาพจิตใจของหลี่เฮ่อในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์ถังอ่อนแอ และเขาเองจำเป็นต้องลาออกจากราชการและเดินทางจากนครฉางอันไปด้วยอาการป่วย แต่ที่ Storyฯ รู้สึกว่าน่าสนใจมากก็คือ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นโจทย์ในการดวลบทกวีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับซีรีส์และนิยายจีนโบราณคงเคยผ่านตาว่า การดวลบทกวีนี้ เป็นการต่อกลอนคู่ โดยคนหนึ่งตั้งโจทย์วรรคแรก อีกคนมาแต่งวรรคต่อให้จบ ซึ่งวรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้เป็นวรรคแรกของกลอนคู่โดยไม่มีใครสามารถต่อวรรคท้ายได้อย่างสมบูรณ์มากว่าสองร้อยปี! ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับยุคสมัยที่มีนักอักษรและนักประพันธ์มากมายอย่างสมัยถัง อนึ่ง การต่อวรรคคู่ที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่มีจำนวนอักษรเท่ากันและมีเสียงสูงเสียงต่ำคล้องจองกันเท่านั้น แต่ต้องมีความลงตัวในหลายด้าน เป็นต้นว่า 1) มีบริบทใกล้เคียง เช่น กล่าวถึงวัตถุที่จับต้องได้เหมือนกัน หรือจับต้องไม่ได้เหมือนกัน เป็นวัตถุที่สื่อความหมายในเชิงเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่วรรคแรกกล่าวถึงดอกไม้ วรรคหลังพูดถึงโต๊ะ อะไรอย่างนี้; 2) คุณศัพท์ที่ขยายนามหรืออารมณ์ที่สื่อต้องเหมือนกันหรือตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงเพื่อแสดงความขัดแย้งบางอย่าง เช่น ฝนตกหนักกับแดดแรงจ้า หรือ ฝนตกหนักกับหยดน้ำเล็ก; ฯลฯ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ นี้มีคนต่อวรรคหลังมากมาย แต่ไม่มีความลงตัวอย่างสมบูรณ์จวบจนสมัยราชวงศ์ซ่ง ผู้ที่ต่อวรรคหลังนี้คือสือเหยียนเหนียน (ค.ศ. 994-1041) นักอักษรและกวีสมัยซ่งเหนือ ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากดื่มสุราไปหลายกรึ๊บ ในยามกึ่งเมากึ่งมีสตินั้น เขาได้ยินคนรอบข้างต่อวรรค ‘หากฟ้ามีใจฯ’ นี้กันอยู่ จึงโพล่งวรรคต่อออกมาในทันใด ซึ่งก็คือ ‘หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง’ (月如无恨月长圆 / เยวี่ยหรูอู๋เฮิ่นเยวี่ยฉางเหยวียน) เป็นการต่อวรรคที่สมบูรณ์จนคนตะลึง เพราะไม่เพียงอักขระ คำบรรยายและบริบทลงตัว หากแต่ความหมายแฝงที่สื่อถึงสัจธรรมแห่งชีวิตยังสอดคล้องอีกด้วย ... หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน ... ... หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง ... วรรคต้นที่ไม่มีใครต่อวรรคได้มากว่าสองร้อยปี เกิดวรรคต่อที่สะเทือนวงการนักอักษรในสมัยนั้นจนถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เพื่อนเพจอ่านและตีความแล้วได้ความรู้สึกอย่างไรคะ? เห็นความเป็น ‘กลอนคู่’ ของมันหรือไม่? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_25539972 https://k.sina.cn/article_6502395912_18392b008001004rs9.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://so.gushiwen.cn/shiwenv_33199885635a.aspx https://baike.baidu.com/金铜仙人辞汉歌/1659854 https://www.sohu.com/a/484704098_100135144 https://www.workercn.cn/c/2024-02-06/8143503.shtml #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #หลี่เฮ่อ #กวีถัง #หากฟ้ามีใจรัก #สือเหยียนเหนียน
    《一念关山》:刘诗诗更适合“独美”
    澎湃,澎湃新闻,澎湃新闻网,新闻与思想,澎湃是植根于中国上海的时政思想类互联网平台,以最活跃的原创新闻与最冷静的思想分析为两翼,是互联网技术创新与新闻价值传承的结合体,致力于问答式新闻与新闻追踪功能的实践。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 0 รีวิว
  • TOR 2003 และการประชุม JBC ที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชา มีผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้:


    ---

    ช่วงการลงนาม TOR 2003

    18 มิถุนายน 2546 (พ.ศ. 2003)

    นายกรัฐมนตรี: พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ:
    นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย

    ผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทย:
    นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล – เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา (ในขณะนั้น)



    ---

    ช่วง JBC ระยอง (พ.ย. 2551) – รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

    นายกรัฐมนตรี: นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

    รมว.ต่างประเทศ: นายสมพงษ์ สระกวี

    เป็นการประชุมที่ยืนยันดำเนินการตาม TOR 2003



    ---

    JBC ช่วงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552–2554)

    นายกรัฐมนตรี: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

    รมว.ต่างประเทศ: นายกษิต ภิรมย์

    ประธาน JBC ฝ่ายไทย:
    นายธานี ทองภักดี (ในบางช่วงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ)

    JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567)
    นายกรัฐมนตรี: นายเศษฐา ทวีสิน
    จุดเริ่มต้นการผลักดันและนำ JTSC JWG TOR2003 กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง

    ---

    JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) – ล่าสุด
    นายกรัฐมนตรี: น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
    รมว.ต่างประเทศ: ยังไม่เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ (อาจเปลี่ยนมือระหว่างปี)

    ประธาน JBC ฝ่ายไทย:
    นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย – ที่ปรึกษาด้านเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ


    สรุป:
    ช่วงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ฟื้นฟูการดำเนินการ JTSC อย่างเป็นทางการ”
    โดยมีความเคลื่อนไหวสำคัญคือการยอมรับผลการสำรวจ 45 จุด และเปิดทางให้จัดทำ TI
    ซึ่งจะมีผลทางกฎหมายในรัฐบาลถัดมา (แพทองธาร)


    --พฤติกรรมของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึง การดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน และใช้เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยืนยันสิทธิในดินแดนโดย:


    ---

    วิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมา

    1. ใช้ TOR 2003 เป็นฐานเจรจา โดยไม่เปลี่ยนกรอบการตีความ


    2. พยายามบรรจุแนวเขตตามแผนที่ 1:200,000 ลงในกระบวนการทางเทคนิค เช่น TI / Orthophoto


    3. ยืนยันพิกัดรายหลักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ไทย “ลงนามรับรองร่วม”


    4. เก็บหลักฐานการยอมรับจากฝ่ายไทย เพื่อนำไปใช้ในเวทีระหว่างประเทศ




    ---

    สิ่งที่ “กัมพูชาอาจทำต่อไป”:

    ลำดับ กลยุทธ์ที่เป็นไปได้ เป้าหมาย

    1 เร่งผลักดันให้ไทยลงนาม TI อย่างเป็นทางการ ล็อกแนวเขตให้สอดคล้องกับแผนที่ 1:200,000
    2 จัดเก็บข้อมูลพิกัดที่ไทยร่วมลงนามไว้เป็นหลักฐาน ใช้ยืนยันต่อ ICJ หรือในเวที UN
    3 ขอให้ไทยร่วมแผนปักเสาเขตร่วมในพื้นที่พิพาท สร้าง “แนวเส้นที่เกิดจากการรับรองร่วม”
    4 ไม่หารือในพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนฯ ผ่าน JBC เพื่อบังคับไทยเข้าสู่ ICJ ในภายหลัง
    5 ขอความช่วยเหลือจากชาติสมาชิกอาเซียน / UNESCO ใช้ soft power หนุนสถานะทางประวัติศาสตร์และสิทธิในดินแดน



    ---

    ความเสี่ยง:

    หากไทย “ลงนามรับรอง TI / พิกัด” โดยไม่เปิดเผยให้รัฐสภา-ประชาชนตรวจสอบ
    → จะถูกตีความว่า “ยอมรับเขตแดนร่วมแล้ว”

    หากไทยเงียบและไม่แสดงจุดยืน → กัมพูชาจะใช้ “หลักฐานความนิ่งเฉย” โจมตีในเวทีสากล

    เมื่อแนวเขตปรากฏในเอกสารระหว่างประเทศ → ไทยจะฟ้องกลับภายหลัง ยากมาก


    TOR 2003 และการประชุม JBC ที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชา มีผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้: --- 📌 ช่วงการลงนาม TOR 2003 📅 18 มิถุนายน 2546 (พ.ศ. 2003) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 🕴️ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ: นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย 📌 ผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทย: นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล – เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา (ในขณะนั้น) --- 📌 ช่วง JBC ระยอง (พ.ย. 2551) – รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: นายสมพงษ์ สระกวี 🧾 เป็นการประชุมที่ยืนยันดำเนินการตาม TOR 2003 --- 📌 JBC ช่วงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552–2554) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: นายกษิต ภิรมย์ 🎙️ ประธาน JBC ฝ่ายไทย: นายธานี ทองภักดี (ในบางช่วงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ) 📌 JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายเศษฐา ทวีสิน จุดเริ่มต้นการผลักดันและนำ JTSC JWG TOR2003 กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง --- 📌 JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) – ล่าสุด 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: ยังไม่เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ (อาจเปลี่ยนมือระหว่างปี) 🎙️ ประธาน JBC ฝ่ายไทย: นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย – ที่ปรึกษาด้านเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ 📍 สรุป: ช่วงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ฟื้นฟูการดำเนินการ JTSC อย่างเป็นทางการ” โดยมีความเคลื่อนไหวสำคัญคือการยอมรับผลการสำรวจ 45 จุด และเปิดทางให้จัดทำ TI ซึ่งจะมีผลทางกฎหมายในรัฐบาลถัดมา (แพทองธาร) --พฤติกรรมของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึง การดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน และใช้เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยืนยันสิทธิในดินแดนโดย: --- ✅ วิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมา 1. ใช้ TOR 2003 เป็นฐานเจรจา โดยไม่เปลี่ยนกรอบการตีความ 2. พยายามบรรจุแนวเขตตามแผนที่ 1:200,000 ลงในกระบวนการทางเทคนิค เช่น TI / Orthophoto 3. ยืนยันพิกัดรายหลักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ไทย “ลงนามรับรองร่วม” 4. เก็บหลักฐานการยอมรับจากฝ่ายไทย เพื่อนำไปใช้ในเวทีระหว่างประเทศ --- 📌 สิ่งที่ “กัมพูชาอาจทำต่อไป”: ลำดับ กลยุทธ์ที่เป็นไปได้ เป้าหมาย 1 เร่งผลักดันให้ไทยลงนาม TI อย่างเป็นทางการ ล็อกแนวเขตให้สอดคล้องกับแผนที่ 1:200,000 2 จัดเก็บข้อมูลพิกัดที่ไทยร่วมลงนามไว้เป็นหลักฐาน ใช้ยืนยันต่อ ICJ หรือในเวที UN 3 ขอให้ไทยร่วมแผนปักเสาเขตร่วมในพื้นที่พิพาท สร้าง “แนวเส้นที่เกิดจากการรับรองร่วม” 4 ไม่หารือในพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนฯ ผ่าน JBC เพื่อบังคับไทยเข้าสู่ ICJ ในภายหลัง 5 ขอความช่วยเหลือจากชาติสมาชิกอาเซียน / UNESCO ใช้ soft power หนุนสถานะทางประวัติศาสตร์และสิทธิในดินแดน --- 🚨 ความเสี่ยง: หากไทย “ลงนามรับรอง TI / พิกัด” โดยไม่เปิดเผยให้รัฐสภา-ประชาชนตรวจสอบ → จะถูกตีความว่า “ยอมรับเขตแดนร่วมแล้ว” หากไทยเงียบและไม่แสดงจุดยืน → กัมพูชาจะใช้ “หลักฐานความนิ่งเฉย” โจมตีในเวทีสากล เมื่อแนวเขตปรากฏในเอกสารระหว่างประเทศ → ไทยจะฟ้องกลับภายหลัง ยากมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิตามาร์ เบน กวีร์ รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล นักการเมืองชาตินิยมหัวรุนแรง ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (3 กรกฎาคม 2025) ประกาศไม่ยอมรับข้อตกลงสันติภาพใดๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับฮามาสอย่างแข็งขัน พร้อมยืนยันจะยึดครองดินแดนในฉนวนกาซา
    อิตามาร์ เบน กวีร์ รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล นักการเมืองชาตินิยมหัวรุนแรง ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (3 กรกฎาคม 2025) ประกาศไม่ยอมรับข้อตกลงสันติภาพใดๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับฮามาสอย่างแข็งขัน พร้อมยืนยันจะยึดครองดินแดนในฉนวนกาซา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร รุ่น1 วัดถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ปี2543
    เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร รุ่น1 ถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ปี2543 //พระดีพิธีใหญ่ เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกและเพื่อความเป็นสิริมงคล // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเมตตามหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาด มหาโภคทรัพย์ จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >>

    ** "ถ้ำวัวแดง" ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตย์แห่งพญานาค บารมีธรรมหลวงปู่เทพโลกอุดร!! ถ้ำศักดิ์สิทธิ์เต็มด้วยพลังทิพย์ ใน จ.ชัยภูมิ ถ้ำแห่งนี้ ต.บ้านเจียง อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ ที่ภายในถ้ำมีหลังคาเหมือนประทุนล้อเกวียน ชาวบ้านเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ถ้ำประทุน" เป็นถ้ำที่เหมาะกับการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม วัดถ้ำวัวแดง หรือถ้ำประทุน ค้นพบโดยพระบรมครูหลวงปู่เทพโลกอุดร ราวพุทธศักราช 2363 ปัจจุบันได้มี หลวงพ่อกุหลาบ อุตตมธัมโม ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัด >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร รุ่น1 วัดถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ปี2543 เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร รุ่น1 ถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ปี2543 //พระดีพิธีใหญ่ เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกและเพื่อความเป็นสิริมงคล // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเมตตามหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาด มหาโภคทรัพย์ จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >> ** "ถ้ำวัวแดง" ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตย์แห่งพญานาค บารมีธรรมหลวงปู่เทพโลกอุดร!! ถ้ำศักดิ์สิทธิ์เต็มด้วยพลังทิพย์ ใน จ.ชัยภูมิ ถ้ำแห่งนี้ ต.บ้านเจียง อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ ที่ภายในถ้ำมีหลังคาเหมือนประทุนล้อเกวียน ชาวบ้านเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ถ้ำประทุน" เป็นถ้ำที่เหมาะกับการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม วัดถ้ำวัวแดง หรือถ้ำประทุน ค้นพบโดยพระบรมครูหลวงปู่เทพโลกอุดร ราวพุทธศักราช 2363 ปัจจุบันได้มี หลวงพ่อกุหลาบ อุตตมธัมโม ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัด >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พี่คนดี' ร่ายกลอนสอนพวกอ้าง 'นิติสงคราม'
    https://www.thai-tai.tv/news/19938/
    .
    #นิติสงคราม #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #พี่คนดีกวีสมัครเล่น #ตุลาการ #ดุลอำนาจ #ประชาธิปไตย #การเมืองไทย #วิกฤตศรัทธา #คนขายชาติ
    'พี่คนดี' ร่ายกลอนสอนพวกอ้าง 'นิติสงคราม' https://www.thai-tai.tv/news/19938/ . #นิติสงคราม #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #พี่คนดีกวีสมัครเล่น #ตุลาการ #ดุลอำนาจ #ประชาธิปไตย #การเมืองไทย #วิกฤตศรัทธา #คนขายชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา
    สัทธรรมลำดับที่ : 302
    ชื่อบทธรรม :- อาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=302
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีปกติเห็นโดยความเป็นอัสสาทะ (น่ารักน่ายินดี)
    ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน (อุปาทานิยธรรม) อยู่,
    ตัณหาย่อมเจริญอย่างทั่วถึง,
    เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;
    เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ;
    เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย,
    ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :
    #ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/102/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนไฟกองใหญ่
    พึงลุกโพลงด้วยไม้สิบเล่มเกวียนบ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง
    สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง.
    บุรุษพึงเติมหญ้าแห้งบ้าง มูลโคแห้งบ้าง ไม้แห้งบ้าง ลงไปในกองไฟนั้น
    ตลอดเวลาที่ควรเติม อยู่เป็นระยะๆ.
    --ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้แล ไฟกองใหญ่ซึ่งมีเครื่องหล่อเลี้ยงอย่างนั้น
    มีเชื้อเพลิงอย่างนั้น ก็จะพึงลุกโพลงตลอดกาลยาวนาน, ข้อนี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีปกติเห็นโดยความเป็นอัสสาทะ (น่ารักน่ายินดี)
    ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานอยู่.
    ตัณหาย่อมเจริญอย่างทั่วถึง ฉันนั้นเหมือนกัน.
    เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;
    เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ;
    เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย,
    ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :
    ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
    แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/84/196-197.
    https://etipitaka.com/read/thai/16/84/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๒/๑๙๖-๑๙๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/102/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%96
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=302
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20&id=302
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20
    ลำดับสาธยายธรรม : 20 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_20.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา สัทธรรมลำดับที่ : 302 ชื่อบทธรรม :- อาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=302 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีปกติเห็นโดยความเป็นอัสสาทะ (น่ารักน่ายินดี) ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน (อุปาทานิยธรรม) อยู่, ตัณหาย่อมเจริญอย่างทั่วถึง, เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : #ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้. http://etipitaka.com/read/pali/16/102/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนไฟกองใหญ่ พึงลุกโพลงด้วยไม้สิบเล่มเกวียนบ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง. บุรุษพึงเติมหญ้าแห้งบ้าง มูลโคแห้งบ้าง ไม้แห้งบ้าง ลงไปในกองไฟนั้น ตลอดเวลาที่ควรเติม อยู่เป็นระยะๆ. --ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้แล ไฟกองใหญ่ซึ่งมีเครื่องหล่อเลี้ยงอย่างนั้น มีเชื้อเพลิงอย่างนั้น ก็จะพึงลุกโพลงตลอดกาลยาวนาน, ข้อนี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีปกติเห็นโดยความเป็นอัสสาทะ (น่ารักน่ายินดี) ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานอยู่. ตัณหาย่อมเจริญอย่างทั่วถึง ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/84/196-197. https://etipitaka.com/read/thai/16/84/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๒/๑๙๖-๑๙๗. http://etipitaka.com/read/pali/16/102/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=302 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20&id=302 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20 ลำดับสาธยายธรรม : 20 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_20.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา
    -อาการที่ทุกข์เกิดมาจากตัณหา ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีปกติเห็นโดยความเป็นอัสสาทะ (น่ารักน่ายินดี) ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน (อุปาทานิยธรรม) อยู่, ตัณหาย่อมเจริญอย่างทั่วถึง, เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนไฟกองใหญ่ พึงลุกโพลงด้วยไม้สิบเล่มเกวียนบ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง. บุรุษพึงเติมหญ้าแห้งบ้าง มูลโคแห้งบ้าง ไม้แห้งบ้าง ลงไปในกองไฟนั้น ตลอดเวลาที่ควรเติม อยู่เป็นระยะๆ. ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้แล ไฟกองใหญ่ซึ่งมีเครื่องหล่อเลี้ยงอย่างนั้น มีเชื้อเพลิงอย่างนั้น ก็จะพึงลุกโพลงตลอดกาลยาวนาน, ข้อนี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีปกติเห็นโดยความเป็นอัสสาทะ (น่ารักน่ายินดี) ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานอยู่. ตัณหาย่อมเจริญอย่างทั่วถึง ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึง มีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ

    กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

    การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก

    สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา

    ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด

    "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์"

    #Newskit
    ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์" #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด...
    - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง
    (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง

    แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง

    แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน

    นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น

    เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/
    https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html
    https://www.gaohaipeng.com/1868.html
    https://m.sohu.com/n/469737945/
    https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html

    #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้ ความมีอยู่ว่า ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด... - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/ https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html https://www.gaohaipeng.com/1868.html https://m.sohu.com/n/469737945/ https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    DRAMASLOT.COM
    Love And Redemption Review - Best Drama For 2020?
    Love And Redemption has plenty of fans and many have compared it to Ashes Of Love and other epic dramas. Is it really that good? Read review here.
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟชั่นทรงผมของจีนโบราณนั้นหลากหลาย โดยเฉพาะที่เพื่อนเพจได้เคยเห็นในละคร/หนังจีนพีเรียดที่ดูอลังการงานสร้างมาก (รูปประกอบจากเรื่อง <หงส์ขังรัก>) ทำให้ Storyฯ คิดสงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่ทุกคนจะใช้ผมจริงทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่า สมัยโบราณนั้นมีใช้วิกผมหรือผมปลอมหรือไม่?

    หาคำตอบมาแล้ว คือมีแน่นอนจ้า

    ว่ากันว่าการใช้ผมปลอมมีมาแต่ยุคสมัยจ้านกั๋ว (ประมาณ 475-403 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่ไม่ใช่ใครๆ จะมีผมปลอมใส่เพราะเป็นของแพง เริ่มแรกจึงมีใช้กันเฉพาะในวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 265–420) จึงมีการใช้กันในระดับสามัญชนในแวดวงคนมีอันจะกิน และมาเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907)

    ผมปลอมที่ใช้กันนี้ก็มีทั้งที่ทำมาจากขนสัตว์ย้อมสีดำ หรือถ้าแพงหน่อยก็จะทำจากผมจากคนจริงๆ โดยมีที่มาจากสามแหล่งหลักคือ ก) นักโทษที่โดนลงทัณฑ์อย่างรุนแรงจะถูกโกนหัว ข) ผู้ที่ปลงผมเพื่อบวช และ ค) คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกประกาศตัดผมขายเพื่อเอาเงินมาใช้

    เดิมวิธีใช้ผมปลอมก็คือเอามาทอรวมกับผมจริงตอนเกล้าผม ต่อมาเมื่อแฟชั่นทรงผมสตรีมีลูกเล่นมากขึ้น จึงเริ่มมีวิกผมสำเร็จรูปเกล้าเป็นทรงต่างๆ โดยใช้มวยปลอมสอดไส้ ซึ่งมวยปลอมก็จะทำจากวัสดุอื่นๆ เช่นไม้หรือหมอนผ้า จากนั้นก็ใช้ผมปลอมถักคลุมปกปิดให้ดูเนียน

    แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า คนที่ใช้ผมปลอมจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ชาย!

    กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ถังนามว่าหลี่ไป๋เคยประพันธ์ไว้ถึงตนเองยามท้อแท้ว่า “ยามเมื่อชีวิตคนเราล้มเหลวมิได้ดั่งใจ จะทำอันใดได้นอกจากปล่อยผมรุงรังล่องเรือตามยถากรรม” เห็นได้ว่าการปล่อยผมสยายเป็นการแสดงออกถึงความไม่สำรวม ไม่สุภาพ

    ดังนั้น สุภาพชนชายชาตรีสมัยโบราณต้องเกล้าผมปักปิ่นหรือครอบมงกุฎผมให้เนี๊ยบ ตอนหนุ่มๆ คงไม่เป็นปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้นและผมน้อยลงตามการเวลา การมีผมไม่พอเกล้าจึงเป็นเรื่องชวนทุกข์ใจนัก เลยต้องพึ่งพาผมปลอมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี

    ต่อมา สมัยราชวงศ์ชิงมีชายจีนไปเรียนต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่ตัดหางเปียออกเพื่อให้เข้ากับธรรมเนียมชาติตะวันตก เมื่อกลับมาจีนแผ่นดินใหญ่จึงต้องหาวิกหางเปียมาสวม บางคนใช้สวมหมวกที่มีหางเปียถักติดไว้เพื่อความสะดวก แบบที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยเห็นในหนังเรื่องหวงเฟยหงนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jianshu.com/p/a042b95ee3ec
    https://www.163.com/ent/article/DD0TB8JN000380EO.html
    https://y.qichejiashi.com/tupian/1926174.html

    Credit ข้อมูลจาก:
    http://m.qulishi.com/article/201910/367225.html
    http://www.qulishi.com/article/202002/391814.html
    http://xn--fiq4m90j.com/Index/detail/catid/10/artid/04eb9650-68c6-44a2-897a-da8ebf712a5e/userid/bd2f4e82-9f87-452c-9f2d-7b290b6b006d
    https://www.guhanfu.com/60933.html

    #ทรงผมจีนโบราณ #ผมปลอม #วัฒนธรรมจีน
    แฟชั่นทรงผมของจีนโบราณนั้นหลากหลาย โดยเฉพาะที่เพื่อนเพจได้เคยเห็นในละคร/หนังจีนพีเรียดที่ดูอลังการงานสร้างมาก (รูปประกอบจากเรื่อง <หงส์ขังรัก>) ทำให้ Storyฯ คิดสงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่ทุกคนจะใช้ผมจริงทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่า สมัยโบราณนั้นมีใช้วิกผมหรือผมปลอมหรือไม่? หาคำตอบมาแล้ว คือมีแน่นอนจ้า ว่ากันว่าการใช้ผมปลอมมีมาแต่ยุคสมัยจ้านกั๋ว (ประมาณ 475-403 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่ไม่ใช่ใครๆ จะมีผมปลอมใส่เพราะเป็นของแพง เริ่มแรกจึงมีใช้กันเฉพาะในวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 265–420) จึงมีการใช้กันในระดับสามัญชนในแวดวงคนมีอันจะกิน และมาเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907) ผมปลอมที่ใช้กันนี้ก็มีทั้งที่ทำมาจากขนสัตว์ย้อมสีดำ หรือถ้าแพงหน่อยก็จะทำจากผมจากคนจริงๆ โดยมีที่มาจากสามแหล่งหลักคือ ก) นักโทษที่โดนลงทัณฑ์อย่างรุนแรงจะถูกโกนหัว ข) ผู้ที่ปลงผมเพื่อบวช และ ค) คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกประกาศตัดผมขายเพื่อเอาเงินมาใช้ เดิมวิธีใช้ผมปลอมก็คือเอามาทอรวมกับผมจริงตอนเกล้าผม ต่อมาเมื่อแฟชั่นทรงผมสตรีมีลูกเล่นมากขึ้น จึงเริ่มมีวิกผมสำเร็จรูปเกล้าเป็นทรงต่างๆ โดยใช้มวยปลอมสอดไส้ ซึ่งมวยปลอมก็จะทำจากวัสดุอื่นๆ เช่นไม้หรือหมอนผ้า จากนั้นก็ใช้ผมปลอมถักคลุมปกปิดให้ดูเนียน แต่เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า คนที่ใช้ผมปลอมจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ชาย! กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ถังนามว่าหลี่ไป๋เคยประพันธ์ไว้ถึงตนเองยามท้อแท้ว่า “ยามเมื่อชีวิตคนเราล้มเหลวมิได้ดั่งใจ จะทำอันใดได้นอกจากปล่อยผมรุงรังล่องเรือตามยถากรรม” เห็นได้ว่าการปล่อยผมสยายเป็นการแสดงออกถึงความไม่สำรวม ไม่สุภาพ ดังนั้น สุภาพชนชายชาตรีสมัยโบราณต้องเกล้าผมปักปิ่นหรือครอบมงกุฎผมให้เนี๊ยบ ตอนหนุ่มๆ คงไม่เป็นปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้นและผมน้อยลงตามการเวลา การมีผมไม่พอเกล้าจึงเป็นเรื่องชวนทุกข์ใจนัก เลยต้องพึ่งพาผมปลอมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ต่อมา สมัยราชวงศ์ชิงมีชายจีนไปเรียนต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่ตัดหางเปียออกเพื่อให้เข้ากับธรรมเนียมชาติตะวันตก เมื่อกลับมาจีนแผ่นดินใหญ่จึงต้องหาวิกหางเปียมาสวม บางคนใช้สวมหมวกที่มีหางเปียถักติดไว้เพื่อความสะดวก แบบที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยเห็นในหนังเรื่องหวงเฟยหงนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.jianshu.com/p/a042b95ee3ec https://www.163.com/ent/article/DD0TB8JN000380EO.html https://y.qichejiashi.com/tupian/1926174.html Credit ข้อมูลจาก: http://m.qulishi.com/article/201910/367225.html http://www.qulishi.com/article/202002/391814.html http://xn--fiq4m90j.com/Index/detail/catid/10/artid/04eb9650-68c6-44a2-897a-da8ebf712a5e/userid/bd2f4e82-9f87-452c-9f2d-7b290b6b006d https://www.guhanfu.com/60933.html #ทรงผมจีนโบราณ #ผมปลอม #วัฒนธรรมจีน
    WWW.JIANSHU.COM
    电视剧《凤囚凰》观看第一集和第二集之后的说说
    在看《凤囚凰》这部电视剧的之前。我是带着挑剔的眼光去看的。看看于正到底有多么烂。网上吐槽凤囚凰被于正拍槽点很多,好先来看一看有那些被吐槽的点。 第一点,缝纫机头。 网上说的缝...
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้คุยกันเรื่องสำนวนจีน พร้อมกับลงรูปรวมฮิตนางร้าย/นางรองในหลายละครจีนที่มีฝีไม้ลายมือประทับใจ Storyฯ เพราะเราจะคุยกันเรื่องวลีที่บรรยายถึงความอกหักรักคุด เป็นวลียอดนิยมในนิยายจีนที่อาจไม่มีการแปลตรงตัวออกมาเป็นบทพูดในละครนัก

    “ลั่วฮวาโหย่วอี้ หลิวสุ่ยอู๋ฉิง / 落花有意 流水无情” เพื่อนเพจแฟนนิยายจีนอาจเคยอ่านคำแปลหลากหลาย แต่ Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงเองว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี” วลีนี้มีความหมายว่าหลงรักเขาข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้ว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า

    เป็นประโยคที่นิยมใช้ในนิยายจีนมากมาย เพียงหลับตาก็เห็นภาพทิวทัศน์ แต่เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงวรรคย่อของบทประพันธ์โดยกวีเอกสมัยราชวงศ์หมิงนามว่าเฝิงเมิ่งหลง (ค.ศ. 1574-1646) โดยมีวรรคเต็มแปลได้ว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจติดตามวารี สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรีเมินรักบุษบา” (落花有意随流水,流水无情恋落花)

    ด้วยคำบรรยายกล่าวถึงดอกไม้พยายามเข้าหาสายน้ำ ฟังดูได้อารมณ์ฝ่ายหญิงอกหักจากการหลงรักชายฝ่ายเดียว แล้วถ้าเป็นฝ่ายชายหลงรักฝ่ายหญิงแต่ข้างเดียวล่ะ? จริงๆ แล้วใช้วลีนี้ก็ไม่ผิดและใช้กันค่อนข้างแพร่หลาย แต่แฟนนิยายจีนทั้งหลายทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกวลีที่มีใจความคล้ายคลึงแต่ฟังดู “แมน” มากกว่า?

    เป็นวลีจากบทกวีจากสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) โดยกวีเอกเกาหมิง ใจความว่า “อั๋วเปิ่นเจียงซินเซี่ยงหมิงเยวี่ย ไน่เหอหมิงเยวี่ยเจ้าโกวฉวี / 我本将心向明月,奈何明月照沟渠" แปลได้ว่า “เดิมข้าฝากใจใฝ่จันทรา แต่จนใจจันทิราทอแสงส่องคูน้ำ” ความเดิมหมายถึงความรักความใส่ใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแต่ลูกไม่ใยดี แต่กาลเวลาผ่านไปวลีนี้กลับถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์หลากหลายจนกลายเป็นคำบรรยายถึงชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก แต่หญิงกลับเพิกเฉยไม่ใส่ใจ

    แต่ไม่ว่าจะเป็นวลีใด Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณมีความโรแมนติกเพราะมักอาศัยคำบรรยายถึงทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามมาเปรียบเปรย ทีแรกที่อ่านถึงสองวลีนี้ ก็นึกถึงบทกลอนของบ้านเราที่ว่า “รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก ต้องนอนกลิ้งนอนเกลือกจนเหงือกแห้ง...” แต่ก็รู้สึกว่าเปรียบเทียบกันตรงๆ ไม่ได้เพราะมันคนละอรรถรสกันเลย เพื่อนเพจว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/culture/5ab4ezk.html
    http://en.linkeddb.com/movie/59f3095d198c38001385e9ef/
    https://dramapearls.com/2019/03/23/princess-agents-chinese-drama-review-episode-guide/
    https://dramapanda.com/2016/12/character-posters-for-three-lives-three.html
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://zhidao.baidu.com/question/539564315.html
    https://www.guwenxuexi.com/classical/21912.html
    https://www.163.com/dy/article/EEQV7LO70544511W.html
    วันนี้คุยกันเรื่องสำนวนจีน พร้อมกับลงรูปรวมฮิตนางร้าย/นางรองในหลายละครจีนที่มีฝีไม้ลายมือประทับใจ Storyฯ เพราะเราจะคุยกันเรื่องวลีที่บรรยายถึงความอกหักรักคุด เป็นวลียอดนิยมในนิยายจีนที่อาจไม่มีการแปลตรงตัวออกมาเป็นบทพูดในละครนัก “ลั่วฮวาโหย่วอี้ หลิวสุ่ยอู๋ฉิง / 落花有意 流水无情” เพื่อนเพจแฟนนิยายจีนอาจเคยอ่านคำแปลหลากหลาย แต่ Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงเองว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี” วลีนี้มีความหมายว่าหลงรักเขาข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้ว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า เป็นประโยคที่นิยมใช้ในนิยายจีนมากมาย เพียงหลับตาก็เห็นภาพทิวทัศน์ แต่เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงวรรคย่อของบทประพันธ์โดยกวีเอกสมัยราชวงศ์หมิงนามว่าเฝิงเมิ่งหลง (ค.ศ. 1574-1646) โดยมีวรรคเต็มแปลได้ว่า “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจติดตามวารี สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรีเมินรักบุษบา” (落花有意随流水,流水无情恋落花) ด้วยคำบรรยายกล่าวถึงดอกไม้พยายามเข้าหาสายน้ำ ฟังดูได้อารมณ์ฝ่ายหญิงอกหักจากการหลงรักชายฝ่ายเดียว แล้วถ้าเป็นฝ่ายชายหลงรักฝ่ายหญิงแต่ข้างเดียวล่ะ? จริงๆ แล้วใช้วลีนี้ก็ไม่ผิดและใช้กันค่อนข้างแพร่หลาย แต่แฟนนิยายจีนทั้งหลายทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกวลีที่มีใจความคล้ายคลึงแต่ฟังดู “แมน” มากกว่า? เป็นวลีจากบทกวีจากสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) โดยกวีเอกเกาหมิง ใจความว่า “อั๋วเปิ่นเจียงซินเซี่ยงหมิงเยวี่ย ไน่เหอหมิงเยวี่ยเจ้าโกวฉวี / 我本将心向明月,奈何明月照沟渠" แปลได้ว่า “เดิมข้าฝากใจใฝ่จันทรา แต่จนใจจันทิราทอแสงส่องคูน้ำ” ความเดิมหมายถึงความรักความใส่ใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแต่ลูกไม่ใยดี แต่กาลเวลาผ่านไปวลีนี้กลับถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์หลากหลายจนกลายเป็นคำบรรยายถึงชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก แต่หญิงกลับเพิกเฉยไม่ใส่ใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นวลีใด Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณมีความโรแมนติกเพราะมักอาศัยคำบรรยายถึงทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามมาเปรียบเปรย ทีแรกที่อ่านถึงสองวลีนี้ ก็นึกถึงบทกลอนของบ้านเราที่ว่า “รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก ต้องนอนกลิ้งนอนเกลือกจนเหงือกแห้ง...” แต่ก็รู้สึกว่าเปรียบเทียบกันตรงๆ ไม่ได้เพราะมันคนละอรรถรสกันเลย เพื่อนเพจว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/culture/5ab4ezk.html http://en.linkeddb.com/movie/59f3095d198c38001385e9ef/ https://dramapearls.com/2019/03/23/princess-agents-chinese-drama-review-episode-guide/ https://dramapanda.com/2016/12/character-posters-for-three-lives-three.html Credit ข้อมูลจาก: https://zhidao.baidu.com/question/539564315.html https://www.guwenxuexi.com/classical/21912.html https://www.163.com/dy/article/EEQV7LO70544511W.html
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ผีบ้าไปโจมตีทำร้ายเขาก่อน,คนบริสุทธิ์ในอิสราเอลซวยทั้งประเทศ,อนาคตอิหร่านยังมีอีกตรึม,ไม่รวมที่จีน รัสเชียสนับสนุนอีก,นี้คือความพ่ายแพ้ของdeep stateที่มุกทรัมป์และพันธมิตรทรัมป์วางสนุ๊ครอไว้.,แต่คนบริสุทธิ์ไม่สมควรต้องโดนกระทำด้วย,ประชาชนชาวอิสราเอลต้องออกมาจัดการถามหาความรับผิดชอบของผู้นำตัวเอง,ตัวเองแค่ประเทศเล็กๆเสือกจะไปทำสงครามกับประเทศอิหร่านที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าตนเองบวกมีจีนมีรัสเชียช่วยทางลับอีก,deep stateโลกกำลังล่มสลายบวกสมุนขี้ข้ารับใช้ต่างๆทั่วโลกด้วย,หาแดกหากินดิ้นรนเอาเองเพราะกูเองฝ่ายแสงก็ยึดทรัพย์สินเงินทองกูไปแล้วไม่น้อย จะโอนตังมาให้มรึงทั่วโลกแบบเดิมๆคงยากแล้ว.
    ..
    ..ช็อกและโทษกันเองในเทลอาวีฟ: หัวหน้าหน่วยข่าวกรองอิสราเอลยอมรับว่าประเมินขีปนาวุธของอิหร่านต่ำเกินไป

    วิดีโอที่รั่วไหลเผยให้เห็นการสนทนาที่ตึงเครียดระหว่างอิตามาร์ เบน-กวีร์ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงภายในของอิสราเอล และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองอิสราเอล ท่ามกลางซากปรักหักพังของย่านเทลอาวีฟที่ถูกขีปนาวุธโจมตีเมื่อไม่นานนี้

    หัวหน้าหน่วยข่าวกรองอิสราเอลยอมรับด้วยท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดว่าอิหร่านมีเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนี้ “ศักยภาพขีปนาวุธของอิหร่านทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจ ฉันไม่นึกว่าพวกเขามีเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนี้”

    เบน-กวีร์โกรธจัดกับความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงโจมตีว่า “ใครให้สิทธิ์คุณยั่วยุอิหร่านและทำให้ประเทศต้องประสบกับการโจมตีเช่นนี้ เป็นความผิดของคุณที่อิหร่านโจมตีเทลอาวีฟ!”

    วิดีโอดังกล่าวเผยให้เห็นไม่เพียงแต่ความเสียหายเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นระดับการคำนวณที่ผิดพลาดอย่างน่าตกใจของหน่วยข่าวกรองอิสราเอลระดับสูงอีกด้วย.
    ..ผีบ้าไปโจมตีทำร้ายเขาก่อน,คนบริสุทธิ์ในอิสราเอลซวยทั้งประเทศ,อนาคตอิหร่านยังมีอีกตรึม,ไม่รวมที่จีน รัสเชียสนับสนุนอีก,นี้คือความพ่ายแพ้ของdeep stateที่มุกทรัมป์และพันธมิตรทรัมป์วางสนุ๊ครอไว้.,แต่คนบริสุทธิ์ไม่สมควรต้องโดนกระทำด้วย,ประชาชนชาวอิสราเอลต้องออกมาจัดการถามหาความรับผิดชอบของผู้นำตัวเอง,ตัวเองแค่ประเทศเล็กๆเสือกจะไปทำสงครามกับประเทศอิหร่านที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าตนเองบวกมีจีนมีรัสเชียช่วยทางลับอีก,deep stateโลกกำลังล่มสลายบวกสมุนขี้ข้ารับใช้ต่างๆทั่วโลกด้วย,หาแดกหากินดิ้นรนเอาเองเพราะกูเองฝ่ายแสงก็ยึดทรัพย์สินเงินทองกูไปแล้วไม่น้อย จะโอนตังมาให้มรึงทั่วโลกแบบเดิมๆคงยากแล้ว. .. ..ช็อกและโทษกันเองในเทลอาวีฟ: หัวหน้าหน่วยข่าวกรองอิสราเอลยอมรับว่าประเมินขีปนาวุธของอิหร่านต่ำเกินไป วิดีโอที่รั่วไหลเผยให้เห็นการสนทนาที่ตึงเครียดระหว่างอิตามาร์ เบน-กวีร์ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงภายในของอิสราเอล และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองอิสราเอล ท่ามกลางซากปรักหักพังของย่านเทลอาวีฟที่ถูกขีปนาวุธโจมตีเมื่อไม่นานนี้ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองอิสราเอลยอมรับด้วยท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดว่าอิหร่านมีเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนี้ “ศักยภาพขีปนาวุธของอิหร่านทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจ ฉันไม่นึกว่าพวกเขามีเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนี้” เบน-กวีร์โกรธจัดกับความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงโจมตีว่า “ใครให้สิทธิ์คุณยั่วยุอิหร่านและทำให้ประเทศต้องประสบกับการโจมตีเช่นนี้ เป็นความผิดของคุณที่อิหร่านโจมตีเทลอาวีฟ!” วิดีโอดังกล่าวเผยให้เห็นไม่เพียงแต่ความเสียหายเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นระดับการคำนวณที่ผิดพลาดอย่างน่าตกใจของหน่วยข่าวกรองอิสราเอลระดับสูงอีกด้วย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • **ชื่อเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> กับวลีจีนโบราณ**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเรื่องชื่อนิยายและซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> ที่ Storyฯ รู้สึกว่าชื่อไทยแปลได้อรรถรสของชื่อจีนดีมาก

    ชื่อจีนของเรื่องนี้คือ ‘เจ๋อเยา’ (折腰) แปลตรงตัวว่าหักเอว ซึ่งมาจากการโค้งคำนับต่ำมากเพื่อแสดงถึงความเคารพอย่างยิ่งยวด แต่คำว่า ‘เจ๋อเยา’ ไม่ได้เป็นชื่อเรียกท่าโค้งคำนับ หากแต่มีความหมายว่ายอมจำนนหรือยอมสยบต่ออำนาจหรืออิทธิพลที่เหนือกว่า และมันมีที่มาจากวลีจีนโบราณ ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’

    วลีนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น (晋书) ส่วนที่บันทึกเรื่องราวบุคคลสำคัญในบรรพที่ชื่อว่า ‘เถาเฉียนจ้วน’ (陶潜传 / ตำนานเถาเฉียน) และเจ้าของวลีคือเถายวนหมิง หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เถาเฉียน เขาเป็นกวีและนักประพันธ์ชื่อดังในสมัยจิ้นตะวันออก (ค.ศ. 317-420) มีผลงานเลื่องชื่อมากมาย เช่น วรรณกรรมเรื่อง ‘บันทึกดินแดนดอกท้อ’ เกี่ยวกับดินแดนดอกท้ออันเป็นตัวแทนของดินแดนหรือสังคมในอุดมคติหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Utopia ที่มนุษย์แสวงหา (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงแล้ว ย้อนอ่านได้ที่ลิ้งค์ใต้บทความ)

    เถายวนหมิงมีพื้นเพมาจากตระกูลขุนนางเก่าซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี ปู่ทวดเป็นมหาเสนาบดีกลาโหม ปู่เป็นผู้ว่าราชการมณฑล เขาจึงได้รับการศึกษาอย่างดีมาแต่เด็ก ต่อมาฐานะครอบครัวตกต่ำลงจนถึงขั้นยากจนหลังจากบิดาเสียชีวิตไปเมื่อเขาอายุได้แปดขวบ แต่เขาก็ยังหมั่นเพียรขยันศึกษาจนต่อมาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากลัทธิเต๋า

    ในช่วงอายุ 29 – 40 ปี เถายวนหมิงเคยเข้ารับราชการเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่ก็ต้องลาออกเพราะไม่ชอบการพินอบพิเทาเจ้านายและไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีทางการเมือง แต่แล้วก็เข้ารับราชการใหม่ เป็นเช่นนี้หลายครั้งครา ทั้งนี้เพราะเขามีใจใฝ่ความสงบของธรรมชาติ รักมัธยัสถ์ ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดี ต่อมาจึงตัดสินใจลาออกจากราชการอย่างถาวรและหันไปทำไร่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็สุขใจสามารถร่ำสุราแต่งกลอนตามใจอยากและได้สร้างผลงานวรรณกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยผลงานของเขาล้วนแฝงด้วยจิตวิญญาณของธรรมชาติ ความเรียบง่าย และพลังแห่งชีวิต และต่อมาเถายวนหมิงได้ถูกยกย่องเป็นต้นแบบของการละทิ้งลาภยศชื่อเสียงและการใช้ชีวิตอย่างสมถะตามหลักปรัชญาแห่งเต๋า

    วลี ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’ นี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเถายวนหมิงอายุสี่สิบปี เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ว่าการเขตเผิงเจ๋อ (ตั้งอยู่ทางเหนือของมณฑลเจียงซี) อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ตรวจการมาตรวจงาน เสมียนหลวงบอกเขาว่าควรแต่งตัวให้เรียบร้อยอย่างเป็นทางการไปต้อนรับผู้ตรวจการ เขาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและกล่าววลีนี้ออกมา และเมื่อกล่าวเสร็จเขาก็ยื่นใบลาออกหลังจากรับราชการมาได้เพียงแปดสิบเอ็ดวัน และหลังจากนั้นก็ไม่เข้ารับราชการอีกเลย

    แล้วทำไมต้อง ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ ?

    ประเด็นนี้มีการตีความกันหลากหลาย แต่โดยส่วนใหญ่จะตีความว่า ข้าวสารห้าโต่วคือค่าจ้างของขุนนางระดับผู้ว่าการเขตในสมัยนั้น (หนึ่งโต่วในสมัยนั้นคือประมาณเจ็ดลิตร) ซึ่งฟังดูน้อยนิดเมื่อคำนวณเทียบกับบันทึกโบราณว่าด้วยเงินเดือนข้าราชการ บ้างก็ว่าเป็นเงินเดือนแต่ยังไม่รวมค่าตอบแทนอื่น เช่นผ้าไหม บ้างก็ว่าคิดได้เป็นค่าจ้างรายวันเท่านั้น บ้างก็ว่าเป็นปริมาณข้าวสารที่พอเพียงสำหรับหนึ่งคนในหนึ่งเดือน

    แต่ไม่ว่า ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ จะมีความหมายที่แท้จริงอย่างไร เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้และกล่าวถึงอย่างยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการละทิ้งยศศักดิ์ และวลีนี้ได้กลายมาเป็นสำนวนจีนที่ถูกใช้ผ่านกาลเวลาหลายยุคสมัยเพื่อแปลว่า ไม่ยอมละทิ้งจิตวิญญาณของตนเพื่อยอมสยบให้กับอำนาจหรืออิทธิพล

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    บทความเก่า:
    ดินแดนดอกท้อ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/525898876205076

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.yangtse.com/news/wy/202506/t20250603_215987.html
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_2197713
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/陶渊明/53944
    https://baike.baidu.com/item/陶潜传/75756
    https://k.sina.cn/article_5044281310_12ca99fde020004fcq.html

    #ปรปักษ์จำนน #เจ๋อเยา #เถาเฉียน #เถายวนหมิง #สาระจีน
    **ชื่อเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> กับวลีจีนโบราณ** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเรื่องชื่อนิยายและซีรีส์ <ปรปักษ์จำนน> ที่ Storyฯ รู้สึกว่าชื่อไทยแปลได้อรรถรสของชื่อจีนดีมาก ชื่อจีนของเรื่องนี้คือ ‘เจ๋อเยา’ (折腰) แปลตรงตัวว่าหักเอว ซึ่งมาจากการโค้งคำนับต่ำมากเพื่อแสดงถึงความเคารพอย่างยิ่งยวด แต่คำว่า ‘เจ๋อเยา’ ไม่ได้เป็นชื่อเรียกท่าโค้งคำนับ หากแต่มีความหมายว่ายอมจำนนหรือยอมสยบต่ออำนาจหรืออิทธิพลที่เหนือกว่า และมันมีที่มาจากวลีจีนโบราณ ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’ วลีนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น (晋书) ส่วนที่บันทึกเรื่องราวบุคคลสำคัญในบรรพที่ชื่อว่า ‘เถาเฉียนจ้วน’ (陶潜传 / ตำนานเถาเฉียน) และเจ้าของวลีคือเถายวนหมิง หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เถาเฉียน เขาเป็นกวีและนักประพันธ์ชื่อดังในสมัยจิ้นตะวันออก (ค.ศ. 317-420) มีผลงานเลื่องชื่อมากมาย เช่น วรรณกรรมเรื่อง ‘บันทึกดินแดนดอกท้อ’ เกี่ยวกับดินแดนดอกท้ออันเป็นตัวแทนของดินแดนหรือสังคมในอุดมคติหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Utopia ที่มนุษย์แสวงหา (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงแล้ว ย้อนอ่านได้ที่ลิ้งค์ใต้บทความ) เถายวนหมิงมีพื้นเพมาจากตระกูลขุนนางเก่าซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี ปู่ทวดเป็นมหาเสนาบดีกลาโหม ปู่เป็นผู้ว่าราชการมณฑล เขาจึงได้รับการศึกษาอย่างดีมาแต่เด็ก ต่อมาฐานะครอบครัวตกต่ำลงจนถึงขั้นยากจนหลังจากบิดาเสียชีวิตไปเมื่อเขาอายุได้แปดขวบ แต่เขาก็ยังหมั่นเพียรขยันศึกษาจนต่อมาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากลัทธิเต๋า ในช่วงอายุ 29 – 40 ปี เถายวนหมิงเคยเข้ารับราชการเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่ก็ต้องลาออกเพราะไม่ชอบการพินอบพิเทาเจ้านายและไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีทางการเมือง แต่แล้วก็เข้ารับราชการใหม่ เป็นเช่นนี้หลายครั้งครา ทั้งนี้เพราะเขามีใจใฝ่ความสงบของธรรมชาติ รักมัธยัสถ์ ไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดี ต่อมาจึงตัดสินใจลาออกจากราชการอย่างถาวรและหันไปทำไร่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็สุขใจสามารถร่ำสุราแต่งกลอนตามใจอยากและได้สร้างผลงานวรรณกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยผลงานของเขาล้วนแฝงด้วยจิตวิญญาณของธรรมชาติ ความเรียบง่าย และพลังแห่งชีวิต และต่อมาเถายวนหมิงได้ถูกยกย่องเป็นต้นแบบของการละทิ้งลาภยศชื่อเสียงและการใช้ชีวิตอย่างสมถะตามหลักปรัชญาแห่งเต๋า วลี ‘ไม่ยอมสยบ (หักเอว) เพื่อข้าวสารห้าโต่ว’ นี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเถายวนหมิงอายุสี่สิบปี เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ว่าการเขตเผิงเจ๋อ (ตั้งอยู่ทางเหนือของมณฑลเจียงซี) อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ตรวจการมาตรวจงาน เสมียนหลวงบอกเขาว่าควรแต่งตัวให้เรียบร้อยอย่างเป็นทางการไปต้อนรับผู้ตรวจการ เขาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและกล่าววลีนี้ออกมา และเมื่อกล่าวเสร็จเขาก็ยื่นใบลาออกหลังจากรับราชการมาได้เพียงแปดสิบเอ็ดวัน และหลังจากนั้นก็ไม่เข้ารับราชการอีกเลย แล้วทำไมต้อง ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ ? ประเด็นนี้มีการตีความกันหลากหลาย แต่โดยส่วนใหญ่จะตีความว่า ข้าวสารห้าโต่วคือค่าจ้างของขุนนางระดับผู้ว่าการเขตในสมัยนั้น (หนึ่งโต่วในสมัยนั้นคือประมาณเจ็ดลิตร) ซึ่งฟังดูน้อยนิดเมื่อคำนวณเทียบกับบันทึกโบราณว่าด้วยเงินเดือนข้าราชการ บ้างก็ว่าเป็นเงินเดือนแต่ยังไม่รวมค่าตอบแทนอื่น เช่นผ้าไหม บ้างก็ว่าคิดได้เป็นค่าจ้างรายวันเท่านั้น บ้างก็ว่าเป็นปริมาณข้าวสารที่พอเพียงสำหรับหนึ่งคนในหนึ่งเดือน แต่ไม่ว่า ‘ข้าวสารห้าโต่ว’ จะมีความหมายที่แท้จริงอย่างไร เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้และกล่าวถึงอย่างยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการละทิ้งยศศักดิ์ และวลีนี้ได้กลายมาเป็นสำนวนจีนที่ถูกใช้ผ่านกาลเวลาหลายยุคสมัยเพื่อแปลว่า ไม่ยอมละทิ้งจิตวิญญาณของตนเพื่อยอมสยบให้กับอำนาจหรืออิทธิพล (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) บทความเก่า: ดินแดนดอกท้อ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/525898876205076 Credit รูปภาพจาก: https://www.yangtse.com/news/wy/202506/t20250603_215987.html https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_2197713 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/陶渊明/53944 https://baike.baidu.com/item/陶潜传/75756 https://k.sina.cn/article_5044281310_12ca99fde020004fcq.html #ปรปักษ์จำนน #เจ๋อเยา #เถาเฉียน #เถายวนหมิง #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล อิตามาร์ เบน กวีร์ เดินทางมาถึงเพื่อตรวจสอบความเสียหายที่บริเวณที่อิหร่านโจมตีด้วยขีปนาวุธในบีเนย์ บราค (Bnei Brak) อิสราเอลตอนกลาง
    รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล อิตามาร์ เบน กวีร์ เดินทางมาถึงเพื่อตรวจสอบความเสียหายที่บริเวณที่อิหร่านโจมตีด้วยขีปนาวุธในบีเนย์ บราค (Bnei Brak) อิสราเอลตอนกลาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์

    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย!

    ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย! ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทาน พค.2568
    รูปมากมายล้วนมีทุกข์มีกรรมตนผูก1000มัดแน่นตามวาระ ด้วยพลาดผิดที่วาจากายใจฝังแค้นต่อกัน

    วันเวลาผ่านไปหนี้นี้สางไม่หมดชดใช้ไม่สิ้นเป็นเวรกรรมต่อกันผ่านภพชาติครั้งแล้วครั้งเล่า เธอทำฉัน ฉันทำเธอ ไร้อภัยด้วยใจตน

    วัน1ด้วยบังเอิญพบผู้ใจดีเมตตา นำน้ำอมฤตจำนวนน้อยนิดเทลงพื้นลงสายน้ำเป็นกระแสนำพบ

    ก่อเหตุการณ์สื่อขอความช่วยเหลือ พลังงานนำพามีนามบอก มีการพบช่วยเหลือเหตุชุนละมุน แสนเหนื่อนัก

    ท้ายสุดแค่หยุดเฉพาะหน้าด้วยกรรมนั้นมีผล ตนเองต้องรับต้องชดใช้ต่อกัน อภัยด้วยใจตนเท่านั้น

    หยาดน้ำบารมีส่งผลเปลี่ยนภพภูมิ แต่ผลแห่งกรรมยังคงมีต้องชดใช้ต่อกัน อภัยต่อกันจนครบ อภัยด้วยใจตน

    ชีวิตนี้ใครกำหนดขีดเขียนบทละคร ใครคือผู้เล่นแสดง

    ไม่มีรูปใดอมตะ ไม่มีรูปใดพ้นผลกรรมที่ตนก่อ รอยทางเกวียนคงเดินหมุนตามผลกรรมเช่นนี้

    รูปมากมายมีทุกข์รับโทษในเขตแดนที่กำหนดจากผลที่ตนก่อ น่าสงสารนัก ร้องไห้น้ำตานองขอแก้ไข ย่อมไม่ได้ ชีวิตหลังความตาย ผลส่ง รับ ชดใช้ตามที่ตนสร้างก่อสิ้น

    ความประมาทหลงเล่นไฟพบทางเกวียนตน
    นิทาน พค.2568 รูปมากมายล้วนมีทุกข์มีกรรมตนผูก1000มัดแน่นตามวาระ ด้วยพลาดผิดที่วาจากายใจฝังแค้นต่อกัน วันเวลาผ่านไปหนี้นี้สางไม่หมดชดใช้ไม่สิ้นเป็นเวรกรรมต่อกันผ่านภพชาติครั้งแล้วครั้งเล่า เธอทำฉัน ฉันทำเธอ ไร้อภัยด้วยใจตน วัน1ด้วยบังเอิญพบผู้ใจดีเมตตา นำน้ำอมฤตจำนวนน้อยนิดเทลงพื้นลงสายน้ำเป็นกระแสนำพบ ก่อเหตุการณ์สื่อขอความช่วยเหลือ พลังงานนำพามีนามบอก มีการพบช่วยเหลือเหตุชุนละมุน แสนเหนื่อนัก ท้ายสุดแค่หยุดเฉพาะหน้าด้วยกรรมนั้นมีผล ตนเองต้องรับต้องชดใช้ต่อกัน อภัยด้วยใจตนเท่านั้น หยาดน้ำบารมีส่งผลเปลี่ยนภพภูมิ แต่ผลแห่งกรรมยังคงมีต้องชดใช้ต่อกัน อภัยต่อกันจนครบ อภัยด้วยใจตน ชีวิตนี้ใครกำหนดขีดเขียนบทละคร ใครคือผู้เล่นแสดง ไม่มีรูปใดอมตะ ไม่มีรูปใดพ้นผลกรรมที่ตนก่อ รอยทางเกวียนคงเดินหมุนตามผลกรรมเช่นนี้ รูปมากมายมีทุกข์รับโทษในเขตแดนที่กำหนดจากผลที่ตนก่อ น่าสงสารนัก ร้องไห้น้ำตานองขอแก้ไข ย่อมไม่ได้ ชีวิตหลังความตาย ผลส่ง รับ ชดใช้ตามที่ตนสร้างก่อสิ้น ความประมาทหลงเล่นไฟพบทางเกวียนตน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts