• โปรโมชัน “Free Internet Forever” ของ Charter Communications

    Charter Communications Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเบื้องหลังบริการ Spectrum ได้สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวโปรโมชันที่ไม่เหมือนใคร ลูกค้าที่สมัคร 4 สายมือถือ ในราคา US$120 ต่อเดือน จะได้รับ อินเทอร์เน็ตบ้านฟรีตลอดชีพ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องย้ายสายจากผู้ให้บริการคู่แข่ง และหากยกเลิกสายมือถือก็จะเสียสิทธิ์อินเทอร์เน็ตฟรีทันที

    โปรโมชันนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้ให้บริการเคเบิลและผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายแบบดั้งเดิม Charter ใช้เครือข่ายของ Verizon ในการให้บริการมือถือ และพยายามดึงลูกค้ากลับมาหลังจากสูญเสียผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบ้านไปยังบริการ Fiber และ 5G Home Internet ของคู่แข่ง

    นอกจากอินเทอร์เน็ตฟรี Charter ยังเสริมความน่าสนใจด้วยการ รวมบริการสตรีมมิงฟรี และเสนอ บริการมือถือฟรี 1 ปี ให้กับลูกค้าอินเทอร์เน็ตเดิม เพื่อสร้างความคุ้มค่าและรักษาฐานลูกค้า ขณะที่คู่แข่งอย่าง Comcast ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกันในการรวมบริการเพื่อดึงดูดผู้ใช้

    แม้โปรโมชันนี้จะดูน่าสนใจ แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ความเร็วอินเทอร์เน็ตถูกจำกัด และเหมาะกับลูกค้าที่พร้อมจะเปลี่ยนมาใช้บริการมือถือของ Charter ทั้ง 4 สายในคราวเดียว ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ไม่ใช่ทุกครัวเรือนจะทำได้ง่าย ๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Charter เปิดโปรโมชัน Free Internet Forever
    สมัคร 4 สายมือถือในราคา US$120/เดือน ได้อินเทอร์เน็ตบ้านฟรีตลอดชีพ

    ใช้เครือข่าย Verizon ในการให้บริการมือถือ
    เป็นการผนึกกำลังเพื่อแข่งขันกับผู้ให้บริการ Fiber และ 5G Home Internet

    เสริมด้วยบริการสตรีมมิงและมือถือฟรี 1 ปี
    เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มความคุ้มค่า

    Comcast ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน
    รวมบริการเพื่อดึงดูดลูกค้าในตลาดที่แข่งขันสูง

    อินเทอร์เน็ตฟรีมีข้อจำกัดด้านความเร็ว
    ไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็วสูงสุด

    ต้องสมัครครบ 4 สายมือถือจากคู่แข่ง
    อาจไม่สะดวกสำหรับครัวเรือนที่ไม่ต้องการหลายสาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/free-internet-forever-us-company039s-pitch-to-win-mobile-customers
    📡 โปรโมชัน “Free Internet Forever” ของ Charter Communications Charter Communications Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเบื้องหลังบริการ Spectrum ได้สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวโปรโมชันที่ไม่เหมือนใคร ลูกค้าที่สมัคร 4 สายมือถือ ในราคา US$120 ต่อเดือน จะได้รับ อินเทอร์เน็ตบ้านฟรีตลอดชีพ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องย้ายสายจากผู้ให้บริการคู่แข่ง และหากยกเลิกสายมือถือก็จะเสียสิทธิ์อินเทอร์เน็ตฟรีทันที โปรโมชันนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้ให้บริการเคเบิลและผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายแบบดั้งเดิม Charter ใช้เครือข่ายของ Verizon ในการให้บริการมือถือ และพยายามดึงลูกค้ากลับมาหลังจากสูญเสียผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบ้านไปยังบริการ Fiber และ 5G Home Internet ของคู่แข่ง นอกจากอินเทอร์เน็ตฟรี Charter ยังเสริมความน่าสนใจด้วยการ รวมบริการสตรีมมิงฟรี และเสนอ บริการมือถือฟรี 1 ปี ให้กับลูกค้าอินเทอร์เน็ตเดิม เพื่อสร้างความคุ้มค่าและรักษาฐานลูกค้า ขณะที่คู่แข่งอย่าง Comcast ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกันในการรวมบริการเพื่อดึงดูดผู้ใช้ แม้โปรโมชันนี้จะดูน่าสนใจ แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ความเร็วอินเทอร์เน็ตถูกจำกัด และเหมาะกับลูกค้าที่พร้อมจะเปลี่ยนมาใช้บริการมือถือของ Charter ทั้ง 4 สายในคราวเดียว ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ไม่ใช่ทุกครัวเรือนจะทำได้ง่าย ๆ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Charter เปิดโปรโมชัน Free Internet Forever ➡️ สมัคร 4 สายมือถือในราคา US$120/เดือน ได้อินเทอร์เน็ตบ้านฟรีตลอดชีพ ✅ ใช้เครือข่าย Verizon ในการให้บริการมือถือ ➡️ เป็นการผนึกกำลังเพื่อแข่งขันกับผู้ให้บริการ Fiber และ 5G Home Internet ✅ เสริมด้วยบริการสตรีมมิงและมือถือฟรี 1 ปี ➡️ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มความคุ้มค่า ✅ Comcast ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน ➡️ รวมบริการเพื่อดึงดูดลูกค้าในตลาดที่แข่งขันสูง ‼️ อินเทอร์เน็ตฟรีมีข้อจำกัดด้านความเร็ว ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็วสูงสุด ‼️ ต้องสมัครครบ 4 สายมือถือจากคู่แข่ง ⛔ อาจไม่สะดวกสำหรับครัวเรือนที่ไม่ต้องการหลายสาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/free-internet-forever-us-company039s-pitch-to-win-mobile-customers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Free Internet forever: US company's pitch to win mobile customers
    Charter Communications Inc, the company behind the Spectrum cable service, is making an unusual offer to attract new mobile-phone customers: Sign up for four wireless lines and get free home internet service for life.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 1 – 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ”
    ตอน 1
    เดือนกรกฏา มาถึงแล้ว ถึงไม่เรียกก็มา ไม่อยากให้มา ก็มาถึงอยู่ดี
    สำหรับผู้ที่สนใจติดตามชะตาโลก เดือนนี้ไม่ติดตามไม่ได้เพราะเป็นเดือนที่จะมีการตัดสินใจ สำคัญหลายเรื่อง แต่ละเรื่องจะกระทบเฉพาะถิ่นของที่ผู้ตัดสินใจหรืออาจจะกระเทือนไปไกลค่อนโลกก็เป็นได้
    สำหรับชาวกรีก จะตัดสินใจตัดโซ่ แหกคอก หรือตายซากคาคอก วันที่ 5 กค นี่คงรู้กัน แต่คงยังไม่จบกัน หนังมาเป็นตอน เล่นยาวเป็นซีซั่น ซีซั่นนี้ จะจบแบบไหนต้องลุ้นกันหน่อย อย่าให้หนังขาด หรือเลิกเล่นกันหมดก็แล้วกัน
    ส่วนชาวอิหร่าน วันที่ 7 กค. นี้ การเจรจาที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี ของ Iran Nuclear Deal ที่เลื่อนวันเส้นตายมาจาก 30 มิย. มาเป็น 7 กค. จะเจรจาจบไหม หรือจะเลื่อนเส้นให้ตายช้าต่อไปอีก อิหร่านพร้อมจะยกเลิกการพัฒนานิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตรของอเมริกากับพวกหรือไม่ อเมริกาพร้อมจะยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านแน่จริงหรือไม่
    เรื่องอิหร่านเป็นเรื่องใหญ่ ผลกระทบอาจไปไกล และแรง
    นอกจากเรื่องใหญ่ๆ 2 เรื่อง ยังมีเรื่องนิดเรื่องหน่อย ที่จะทยอยเกิดขึ้น เดือนนี้คงได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นเป็นระลอก เป็นเหตุการณ์ ที่อาจจะมีผลกระทบกับความเป็นไปในโลก เปลี่ยนแปลง จนเราตามกันแทบไม่ทัน หรือตามทันรู้ แต่ไม่เข้าใจเหตุ
    เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเส้นตาย ว่าการเจรจากับอิหร่านเรื่องพัฒนา นิวเคลียร์ ต้องตกลงกันให้เสร็จสิ้น ปรากฏว่า ตกไม่ลง ค้างเติ่ง ต้องเลื่อนเวลา แต่ที่น่าสนใจ นายโอบามา ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ ให้เริ่มและลุ้น การเจรจานี้มาตลอดเวลา ดันทำหน้าเฉย ให้สัมภาษณ์สื่อ แถมส่งเสียงเหมือนขู่….
    ” I will walk away” … ขึ้นต้น ยังกะเพลงรักหักอก ตอนพระเอกกำลังจะทิ้งนางเอก จะแค่หันหลังเดินออกประตูไป หรือจะถึงขนาดมีการตบตีส่งท้าย
    …. ถ้าอิหร่านไม่เจรจาตามกรอบ ที่ตกลง ที่เมืองโลซานน์ เมื่อเดือน เมษายน ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ มันจะเป็นปัญหา เพราะผมบอกตั้งแต่เริ่มเจรจาแล้วว่า ผมจะเลิกเจรจา ถ้ามันกลายเป็นข้อตกลงที่ห่วย …
    I have said from the start I will walk away from negotiations if, in fact, it’s a bad deal…”
    ข่าวบอกว่า คำขู่ฟ่อ ของพณฯใบตองแห้ง เป็นการตอบโต้ คำคัดค้านของท่านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน Ayatollah Ali Khamenei ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการตรวจสอบการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่จะปฏิบัติเสมือนเป็นการรุกล้ำอิหร่าน
    แต่ พณฯใบตองแห้งยืนยัน
    “…จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของอิหร่าน ไอ้ที่จะมีแค่คำแถลงของอิหร่าน และมีคนมาเดินไป เดินมา ตรวจสอบแบบนานๆทีมา อย่างนั้น คงไม่ได้ … มันต้องมีกระบวนการที่เข้มงวด เอาจริงเอาจัง มาทำการตรวจสอบอย่างพิสูจน์ได้ และผมคิดว่า นั่นจะเป็นการทดสอบว่า เราตกลงกันได้จริงหรือไม่
    ..Given past behavior on the part of Iran, that simply can’t be a declaration by Iran and a few inspectors wandering around every once in a while … that’s going to have to be serious, rigorous verification mechanism. And that, I think, is going to be the test as to whether we get a deal or not…. ”
    พณฯใบตองแห้งเล่นอิหร่านแรงนะ แล้วแบบนี้ มันคุยกันรู้เรื่องจริงหรือ ผมรู้สึกหวั่นใจแทนจัง
    ฝ่ายอิหร่านบอก เราเดินตามกรอบของโลซานน์นะ ไม่ได้ใช้กรอบอื่นเลย เราว่า อเมริกาต่างหากที่ต้องการเปลี่ยนกรอบ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน Mohammad Javad Zarif บินกลับมาเวียนนา หลังจากบินกลับไปที่เตหะรานเพื่อไปหารือบางประเด็น เขาบอกว่า .. ผมไม่ได้ไปขอรับคำสั่งในการตกลงจากประมุขประเทศ ผมได้รับอนุญาตเต็มใบในการเจรจาอยู่แล้ว ผมกลับมาเวียนนาเพื่อมาเจรจาขั้นสุดท้าย ซึ่งเราน่าจะทำสำเร็จ
    นาย Zarif ไม่ได้กลับมาคนเดียว เขามาพร้อมกับ Ali Akbar Salehi หัวหน้าใหญ่ขององค์การ Atomic Energy ของอิหร่าน Salehi ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด .,,แปลว่าอิหร่านเอาจริงกับการเจรจาใช่ไหม ไม่งั้นไม่หอบเอาคนป่วยมาด้วยหรอก นาย Zarif บอกกับนักข่าว
    ข่าวบอกว่า คณะเจรจาโดยเฉพาะอเมริกา ต้องการให้การเจรจาเสร็จต้นเดือนนี้ เพื่อส่งเรื่องให้ฝ่ายรัฐสภาพิจาร ณา ให้เสร็จภายในเวลา 30 วัน ถ้าส่งช้ากว่านั้น สภาปิดไปแล้ว ฝ่ายรัฐสภาจะมีเวลาพิจารณา เพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน แถมมีเวลาในการหว่านล้อมเสียง ฝ่ายที่เห็นต่างกันอีกด้วย... นี่ ก็เหมือนอเมริกาเอาจริงนะ ถูกใจ ก็ให้สภาผ่าน ไม่ถูกใจ สภาก็ไม่ผ่านให้….เล่นไม่ยาก
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 2
    ในการประชุมที่โลซานน์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างอิหร่าน กับ กลุ่มที่เรียกว่า P5+1 (อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน + เยอรมัน) เป็นการกำหนด
    ” กรอบ การดำเนินการ” สำหรับทั้งด้านอเมริกา และอิหร่าน
    การดำเนินการที่สำคัญ ประการหนึ่งคือ กระบวนการยกเลิก sanction การคว่ำบาตรอิหร่าน คว่ำมานานหลายสิบปี จนนึกวิธีหงายไม่ออกว่าจะต้องทำยังไงบ้าง แสดงว่าคนช่วยคว่ำคงแยะ และการคว่ำคงมีสาระพัดวิธี
    คุยกันเรื่องนี้ ตั้งแต่โลซานน์มาถึงเวียนนาว่า จะต้องมีการประกาศ (Declaration) เมื่อตกลงกันได้แล้ว โดยไม่มีการลงนามพันธสัญญา หลังจากนั้น ทุกฝ่ายก็จะให้ UN Security Council (UNSC) เป็นผู้ประทับตรารับรองการประกาศ และก็ออกมติที่จะทำให้การคว่ำบาตร ไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป ส่วนถ้อยคำของตัวมตินี่ ยังเจรจากันอยู่
    และเป็นเรื่องที่เสียวไสว่า กว่าจะเจรจาจบ คนเจรจาคงหืดขึ้นคอ หรือเจรจาไม่จบ เพราะพระเอกเล่นร้องเพลงลา... ล่วงหน้า
    ทุกฝ่าย ยกเว้นรัฐบาลของพณฯใบตองแห้ง ต้องการให้ส่งเรื่องไปที่ UNSC เร็วที่สุด แตอเมริกายังสงวนท่าที ไม่มีคำตอบให้
    ผู้เจรจาฝ่ายอิหร่านบอกอย่างชัดเจนระหว่างการเจราว่า อิหร่าน จะเริ่มดำเนินการตามข้อตกลงเกี่ยว กับนิวเคลียร์ทันที รื้อถอนเครื่องแยก รื้อถอนเครื่องปฏิกรณ์ ทำลายสต๊อกแร่ยูเรเนียม รื้อมันหมดทุกอย่าง ฯลฯ ทันที และให้ไอ้เอกับอีเอ IAEA มาตรวจสอบทันที ว่าอิหร่านปฏิบัติตามรายการถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
    แต่ทั้งหมดข้างต้น ต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการยกเลิก การคว่ำบาตร โดยอเมริกาและอียู จะต้องลงมือไปพร้อมกันว่า ได้จัดการหงายบาตรของใคร ที่ไหน อย่างไรแล้ว และ ต้องให้ UNSC ประทับตรารับรองการกระทำด้วย มันถึงจะเป็นธรรม จะให้ด้านหนึ่งทุบทิ้ง แต่อีกด้านยืนอมยิ้มกอดอกเฉยได้ไง
    ที่บรรยายมาทั้งหมดเข้างต้น เป็นเรื่องที่ได้ “ตกลงกันไปแล้ว” ที่โลซานน์ ระหว่างนาย Zarif รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านกับคุณสาวน้อย Federica Mogherini ผู้แทนของอียู….
    แต่แล้วก็ข่าวรั่วเกี่ยวกับเรื่องกรอบ สวย ไม่สวยขนาดไหน ใครต้องการให้ชัดเจนอย่างไร อย่างที่เล่าข้างต้น สื่อเข้ามาช่วยปั่น แถมเพิ่มสีให้น่าตื่นเต้น อันที่จริงไม่ต้องเพิ่มก็น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว ถ้าคิดให้ลึกๆ ยิ่งคิด โต๊ะเจรจาก็ยิ่งสั่น โดยเฉพาะมีความเห็นแย้งจากมุมมอง ด้านกองทัพ possible military dimensions (PMD) ที่สะท้อนกลับ …. แล้วนี่จะพิสูจน์อย่างไร หากตกลงกันเรียบร้อยว่า ให้อิหร่านพัฒนาอะไรได้บ้าง สิ่งที่อิหร่าน “จะไปพัฒนาต่อ” มันจะกลายเป็นอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ เขาว่าไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ ก็พอนึกออกว่า มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก กว่าจะพิสูจน์ได้ โน่นแนะ ดอกเห็ดงอกขึ้นมาแล้ว ทำนองนั้น…. เฮ้ย… แบบนี้ก็ต้องรีบขยายเวลาเจรจาสินะ ให้จบแบบนี้ไม่ได้…
    อ้อพอเข้าใจแล้ว
    แต่ข่าวได้ฟุ้งกระจายเรียบร้อย ไปทั่วสถานที่เจรจา Palais Coburg เวียนนา ว่า ขณะนี้ พณฯใบตองแห้ง ชักลังเลที่จะยกเลิกการคว่ำบาตร…..สงสัยสถานการณ์เปลี่ยน แผนเจรจาเลยอาจต้องเปลี่ยน ตอนนี้คนที่หน้าเครียด เดินเข้าไปจับเข่าคุยทีละข้าง กับเจ้าของเข่าที่ละคน คือ นายKerry รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ไร้เสน่ห์ในการเจรจาอย่างที่สุดนั่นเอง แล้วมันจะคุยสำเร็จละหรือ
    อย่าลืมว่า ใน P5+1 มีรัสเซียกับจีน ที่รู้ๆ กันอยู่ว่า จับมือจับไม้เห็นใจอิหร่านมานานแล้ว และนอกจากจับมือแล้ว ดูเหมือนจะส่งหีบห่อไปช่วยเหลืออิหร่านสาระพัด แถมเมื่อเร็วๆนี้ ยังมีข่าวว่า จะรับอิหร่านเป็นสมาชิกก่อต้ัง ไอ้อิบ AIIB สถาบันการเงินที่กำลังหอมกรุ่น
    ยังไม่ถึงวันเส้นตาย ก็ต้องดื้นกันตายไปก่อน แล้วพณฯ ใบตองแห้ง ก็รีบหยิบบท ….I will walk away ออกมาครวญไปพลางๆ ระหว่างนี้ คุณไร้เสน่ห์ Kerry ก็สั่งเด็กๆ ให้ช่วยกันหาเหตุ ช่วยกันโหมหน่อย…. อิหร่านต่างหาก ที่ ทำท่าจะเบี้ยว เข้า
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ” ตอน 1 เดือนกรกฏา มาถึงแล้ว ถึงไม่เรียกก็มา ไม่อยากให้มา ก็มาถึงอยู่ดี สำหรับผู้ที่สนใจติดตามชะตาโลก เดือนนี้ไม่ติดตามไม่ได้เพราะเป็นเดือนที่จะมีการตัดสินใจ สำคัญหลายเรื่อง แต่ละเรื่องจะกระทบเฉพาะถิ่นของที่ผู้ตัดสินใจหรืออาจจะกระเทือนไปไกลค่อนโลกก็เป็นได้ สำหรับชาวกรีก จะตัดสินใจตัดโซ่ แหกคอก หรือตายซากคาคอก วันที่ 5 กค นี่คงรู้กัน แต่คงยังไม่จบกัน หนังมาเป็นตอน เล่นยาวเป็นซีซั่น ซีซั่นนี้ จะจบแบบไหนต้องลุ้นกันหน่อย อย่าให้หนังขาด หรือเลิกเล่นกันหมดก็แล้วกัน ส่วนชาวอิหร่าน วันที่ 7 กค. นี้ การเจรจาที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี ของ Iran Nuclear Deal ที่เลื่อนวันเส้นตายมาจาก 30 มิย. มาเป็น 7 กค. จะเจรจาจบไหม หรือจะเลื่อนเส้นให้ตายช้าต่อไปอีก อิหร่านพร้อมจะยกเลิกการพัฒนานิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตรของอเมริกากับพวกหรือไม่ อเมริกาพร้อมจะยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านแน่จริงหรือไม่ เรื่องอิหร่านเป็นเรื่องใหญ่ ผลกระทบอาจไปไกล และแรง นอกจากเรื่องใหญ่ๆ 2 เรื่อง ยังมีเรื่องนิดเรื่องหน่อย ที่จะทยอยเกิดขึ้น เดือนนี้คงได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นเป็นระลอก เป็นเหตุการณ์ ที่อาจจะมีผลกระทบกับความเป็นไปในโลก เปลี่ยนแปลง จนเราตามกันแทบไม่ทัน หรือตามทันรู้ แต่ไม่เข้าใจเหตุ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเส้นตาย ว่าการเจรจากับอิหร่านเรื่องพัฒนา นิวเคลียร์ ต้องตกลงกันให้เสร็จสิ้น ปรากฏว่า ตกไม่ลง ค้างเติ่ง ต้องเลื่อนเวลา แต่ที่น่าสนใจ นายโอบามา ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ ให้เริ่มและลุ้น การเจรจานี้มาตลอดเวลา ดันทำหน้าเฉย ให้สัมภาษณ์สื่อ แถมส่งเสียงเหมือนขู่…. ” I will walk away” … ขึ้นต้น ยังกะเพลงรักหักอก ตอนพระเอกกำลังจะทิ้งนางเอก จะแค่หันหลังเดินออกประตูไป หรือจะถึงขนาดมีการตบตีส่งท้าย …. ถ้าอิหร่านไม่เจรจาตามกรอบ ที่ตกลง ที่เมืองโลซานน์ เมื่อเดือน เมษายน ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ มันจะเป็นปัญหา เพราะผมบอกตั้งแต่เริ่มเจรจาแล้วว่า ผมจะเลิกเจรจา ถ้ามันกลายเป็นข้อตกลงที่ห่วย … I have said from the start I will walk away from negotiations if, in fact, it’s a bad deal…” ข่าวบอกว่า คำขู่ฟ่อ ของพณฯใบตองแห้ง เป็นการตอบโต้ คำคัดค้านของท่านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน Ayatollah Ali Khamenei ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการตรวจสอบการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่จะปฏิบัติเสมือนเป็นการรุกล้ำอิหร่าน แต่ พณฯใบตองแห้งยืนยัน “…จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของอิหร่าน ไอ้ที่จะมีแค่คำแถลงของอิหร่าน และมีคนมาเดินไป เดินมา ตรวจสอบแบบนานๆทีมา อย่างนั้น คงไม่ได้ … มันต้องมีกระบวนการที่เข้มงวด เอาจริงเอาจัง มาทำการตรวจสอบอย่างพิสูจน์ได้ และผมคิดว่า นั่นจะเป็นการทดสอบว่า เราตกลงกันได้จริงหรือไม่ ..Given past behavior on the part of Iran, that simply can’t be a declaration by Iran and a few inspectors wandering around every once in a while … that’s going to have to be serious, rigorous verification mechanism. And that, I think, is going to be the test as to whether we get a deal or not…. ” พณฯใบตองแห้งเล่นอิหร่านแรงนะ แล้วแบบนี้ มันคุยกันรู้เรื่องจริงหรือ ผมรู้สึกหวั่นใจแทนจัง ฝ่ายอิหร่านบอก เราเดินตามกรอบของโลซานน์นะ ไม่ได้ใช้กรอบอื่นเลย เราว่า อเมริกาต่างหากที่ต้องการเปลี่ยนกรอบ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน Mohammad Javad Zarif บินกลับมาเวียนนา หลังจากบินกลับไปที่เตหะรานเพื่อไปหารือบางประเด็น เขาบอกว่า .. ผมไม่ได้ไปขอรับคำสั่งในการตกลงจากประมุขประเทศ ผมได้รับอนุญาตเต็มใบในการเจรจาอยู่แล้ว ผมกลับมาเวียนนาเพื่อมาเจรจาขั้นสุดท้าย ซึ่งเราน่าจะทำสำเร็จ นาย Zarif ไม่ได้กลับมาคนเดียว เขามาพร้อมกับ Ali Akbar Salehi หัวหน้าใหญ่ขององค์การ Atomic Energy ของอิหร่าน Salehi ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด .,,แปลว่าอิหร่านเอาจริงกับการเจรจาใช่ไหม ไม่งั้นไม่หอบเอาคนป่วยมาด้วยหรอก นาย Zarif บอกกับนักข่าว ข่าวบอกว่า คณะเจรจาโดยเฉพาะอเมริกา ต้องการให้การเจรจาเสร็จต้นเดือนนี้ เพื่อส่งเรื่องให้ฝ่ายรัฐสภาพิจาร ณา ให้เสร็จภายในเวลา 30 วัน ถ้าส่งช้ากว่านั้น สภาปิดไปแล้ว ฝ่ายรัฐสภาจะมีเวลาพิจารณา เพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน แถมมีเวลาในการหว่านล้อมเสียง ฝ่ายที่เห็นต่างกันอีกด้วย... นี่ ก็เหมือนอเมริกาเอาจริงนะ ถูกใจ ก็ให้สภาผ่าน ไม่ถูกใจ สภาก็ไม่ผ่านให้….เล่นไม่ยาก ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 2 ในการประชุมที่โลซานน์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างอิหร่าน กับ กลุ่มที่เรียกว่า P5+1 (อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน + เยอรมัน) เป็นการกำหนด ” กรอบ การดำเนินการ” สำหรับทั้งด้านอเมริกา และอิหร่าน การดำเนินการที่สำคัญ ประการหนึ่งคือ กระบวนการยกเลิก sanction การคว่ำบาตรอิหร่าน คว่ำมานานหลายสิบปี จนนึกวิธีหงายไม่ออกว่าจะต้องทำยังไงบ้าง แสดงว่าคนช่วยคว่ำคงแยะ และการคว่ำคงมีสาระพัดวิธี คุยกันเรื่องนี้ ตั้งแต่โลซานน์มาถึงเวียนนาว่า จะต้องมีการประกาศ (Declaration) เมื่อตกลงกันได้แล้ว โดยไม่มีการลงนามพันธสัญญา หลังจากนั้น ทุกฝ่ายก็จะให้ UN Security Council (UNSC) เป็นผู้ประทับตรารับรองการประกาศ และก็ออกมติที่จะทำให้การคว่ำบาตร ไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป ส่วนถ้อยคำของตัวมตินี่ ยังเจรจากันอยู่ และเป็นเรื่องที่เสียวไสว่า กว่าจะเจรจาจบ คนเจรจาคงหืดขึ้นคอ หรือเจรจาไม่จบ เพราะพระเอกเล่นร้องเพลงลา... ล่วงหน้า ทุกฝ่าย ยกเว้นรัฐบาลของพณฯใบตองแห้ง ต้องการให้ส่งเรื่องไปที่ UNSC เร็วที่สุด แตอเมริกายังสงวนท่าที ไม่มีคำตอบให้ ผู้เจรจาฝ่ายอิหร่านบอกอย่างชัดเจนระหว่างการเจราว่า อิหร่าน จะเริ่มดำเนินการตามข้อตกลงเกี่ยว กับนิวเคลียร์ทันที รื้อถอนเครื่องแยก รื้อถอนเครื่องปฏิกรณ์ ทำลายสต๊อกแร่ยูเรเนียม รื้อมันหมดทุกอย่าง ฯลฯ ทันที และให้ไอ้เอกับอีเอ IAEA มาตรวจสอบทันที ว่าอิหร่านปฏิบัติตามรายการถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ แต่ทั้งหมดข้างต้น ต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการยกเลิก การคว่ำบาตร โดยอเมริกาและอียู จะต้องลงมือไปพร้อมกันว่า ได้จัดการหงายบาตรของใคร ที่ไหน อย่างไรแล้ว และ ต้องให้ UNSC ประทับตรารับรองการกระทำด้วย มันถึงจะเป็นธรรม จะให้ด้านหนึ่งทุบทิ้ง แต่อีกด้านยืนอมยิ้มกอดอกเฉยได้ไง ที่บรรยายมาทั้งหมดเข้างต้น เป็นเรื่องที่ได้ “ตกลงกันไปแล้ว” ที่โลซานน์ ระหว่างนาย Zarif รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านกับคุณสาวน้อย Federica Mogherini ผู้แทนของอียู…. แต่แล้วก็ข่าวรั่วเกี่ยวกับเรื่องกรอบ สวย ไม่สวยขนาดไหน ใครต้องการให้ชัดเจนอย่างไร อย่างที่เล่าข้างต้น สื่อเข้ามาช่วยปั่น แถมเพิ่มสีให้น่าตื่นเต้น อันที่จริงไม่ต้องเพิ่มก็น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว ถ้าคิดให้ลึกๆ ยิ่งคิด โต๊ะเจรจาก็ยิ่งสั่น โดยเฉพาะมีความเห็นแย้งจากมุมมอง ด้านกองทัพ possible military dimensions (PMD) ที่สะท้อนกลับ …. แล้วนี่จะพิสูจน์อย่างไร หากตกลงกันเรียบร้อยว่า ให้อิหร่านพัฒนาอะไรได้บ้าง สิ่งที่อิหร่าน “จะไปพัฒนาต่อ” มันจะกลายเป็นอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ เขาว่าไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ ก็พอนึกออกว่า มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก กว่าจะพิสูจน์ได้ โน่นแนะ ดอกเห็ดงอกขึ้นมาแล้ว ทำนองนั้น…. เฮ้ย… แบบนี้ก็ต้องรีบขยายเวลาเจรจาสินะ ให้จบแบบนี้ไม่ได้… อ้อพอเข้าใจแล้ว แต่ข่าวได้ฟุ้งกระจายเรียบร้อย ไปทั่วสถานที่เจรจา Palais Coburg เวียนนา ว่า ขณะนี้ พณฯใบตองแห้ง ชักลังเลที่จะยกเลิกการคว่ำบาตร…..สงสัยสถานการณ์เปลี่ยน แผนเจรจาเลยอาจต้องเปลี่ยน ตอนนี้คนที่หน้าเครียด เดินเข้าไปจับเข่าคุยทีละข้าง กับเจ้าของเข่าที่ละคน คือ นายKerry รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ไร้เสน่ห์ในการเจรจาอย่างที่สุดนั่นเอง แล้วมันจะคุยสำเร็จละหรือ อย่าลืมว่า ใน P5+1 มีรัสเซียกับจีน ที่รู้ๆ กันอยู่ว่า จับมือจับไม้เห็นใจอิหร่านมานานแล้ว และนอกจากจับมือแล้ว ดูเหมือนจะส่งหีบห่อไปช่วยเหลืออิหร่านสาระพัด แถมเมื่อเร็วๆนี้ ยังมีข่าวว่า จะรับอิหร่านเป็นสมาชิกก่อต้ัง ไอ้อิบ AIIB สถาบันการเงินที่กำลังหอมกรุ่น ยังไม่ถึงวันเส้นตาย ก็ต้องดื้นกันตายไปก่อน แล้วพณฯ ใบตองแห้ง ก็รีบหยิบบท ….I will walk away ออกมาครวญไปพลางๆ ระหว่างนี้ คุณไร้เสน่ห์ Kerry ก็สั่งเด็กๆ ให้ช่วยกันหาเหตุ ช่วยกันโหมหน่อย…. อิหร่านต่างหาก ที่ ทำท่าจะเบี้ยว เข้า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ก.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷
    #20251118 #techradar

    Google เปิดตัว AI พยากรณ์อากาศใหม่ WeatherNext 2
    Google พัฒนาโมเดล AI ชื่อ WeatherNext 2 ที่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้เร็วและแม่นยำกว่าระบบเดิมถึง 8 เท่า ภายในเวลาไม่ถึงนาที AI นี้ไม่ได้ให้แค่ผลลัพธ์เดียว แต่สร้าง “หลายความเป็นไปได้” ของสภาพอากาศ ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมว่ามีโอกาสเกิดอะไรบ้าง เช่น ฝนตกหรือแดดออกในช่วงเวลาใด นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน Google Search, Pixel Weather และ Google Maps เพื่อช่วยให้การวางแผนชีวิตประจำวันและการจัดการพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    OWC Helios 5S: เพิ่มพลังให้ Mac เล็ก ๆ ด้วย Thunderbolt 5
    OWC เปิดตัว Helios 5S กล่องขยาย PCIe สำหรับเครื่อง Mac ขนาดเล็กที่ใช้ Thunderbolt 5 ความเร็วสูงถึง 80Gb/s ทำให้สามารถต่อการ์ด PCIe 4.0 และอุปกรณ์เสริมความเร็วสูงได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับจอ 8K ได้ถึง 3 จอ เหมาะสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้น แม้จะไม่รองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง แต่ก็ถือเป็นการยกระดับเครื่องเล็กให้ใกล้เคียงเวิร์กสเตชัน

    Samsung ขยาย “The Wall” จอ LED ยักษ์สำหรับองค์กร
    Samsung เปิดตัวรุ่นใหม่ของ The Wall จอ LED ขนาดมหึมาที่ออกแบบมาเพื่อสำนักงานและพื้นที่ธุรกิจ ใช้ชิปประมวลผล AI Gen2 ที่ช่วยปรับภาพให้คมชัด ลดสัญญาณรบกวน และอัปสเกลภาพให้ใกล้เคียง 8K จุดเด่นคือความสว่างสูงถึง 1,000 nits และเทคโนโลยี Black Seal ที่ทำให้สีดำลึกขึ้น เหมาะกับการใช้งานในห้องประชุมใหญ่หรือพื้นที่ที่ต้องการภาพคมชัดต่อเนื่อง

    สัมภาษณ์พิเศษ Sundar Pichai: Running The Google Empire
    BBC จัดสัมภาษณ์พิเศษกับ Sundar Pichai CEO ของ Google ที่พูดถึงการนำบริษัทผ่านยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก เขาเล่าถึงความท้าทายของการลงทุนมหาศาลใน AI ผลกระทบต่อการจ้างงาน และบทบาทของ Google ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายการนี้สามารถรับชมฟรีผ่าน BBC iPlayer

    Amazon พบการโจมตี npm ครั้งใหญ่กว่า 150,000 แพ็กเกจ
    นักวิจัยจาก Amazon ตรวจพบการแพร่กระจายแพ็กเกจ npm กว่า 150,000 ตัว ที่ถูกใช้ในแผนการหลอกลวงเพื่อสร้างรายได้จากโทเคน TEA แม้แพ็กเกจเหล่านี้จะไม่ขโมยข้อมูลโดยตรง แต่มีพฤติกรรม “self-replicating” และอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นอันตรายได้ เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการโจมตีซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โอเพ่นซอร์ส

    OpenAI ทดลองให้ ChatGPT เข้าร่วมแชทกลุ่ม
    OpenAI เปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ ChatGPT เข้าร่วมการสนทนาแบบกลุ่ม โดย AI จะเลือกเองว่าจะตอบเมื่อใด หรือผู้ใช้สามารถเรียกด้วยการแท็ก ฟีเจอร์นี้กำลังทดสอบในญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน รองรับผู้เข้าร่วมสูงสุด 20 คน จุดประสงค์คือช่วยให้การระดมสมองและวางแผนร่วมกันสะดวกขึ้น

    Google AI ช่วยวางแผนทริปได้ครบวงจร
    Google เปิดตัวเครื่องมือ AI สำหรับการท่องเที่ยว 3 อย่าง ได้แก่
    Canvas for Travel: สร้างแผนการเดินทางแบบกำหนดเอง
    Flight Deals: ค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกทั่วโลก
    Agentic Booking: จองร้านอาหารและกิจกรรมได้โดยตรงจาก Search ทั้งหมดนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเปิดหลายแท็บและเปรียบเทียบข้อมูล ทำให้การวางแผนทริปง่ายขึ้นมาก

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ JSON ซ่อนมัลแวร์
    กลุ่ม Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกพบว่าใช้บริการเก็บข้อมูล JSON เช่น JSON Keeper และ JSON Silo เพื่อซ่อนมัลแวร์ในแคมเปญ “Contagious Interview” โดยหลอกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผ่าน LinkedIn ให้ดาวน์โหลดโปรเจกต์ที่แฝงโค้ดอันตราย มัลแวร์เหล่านี้สามารถขโมยข้อมูล กระเป๋าเงินคริปโต และใช้เครื่องเหยื่อขุดเหรียญ Monero ได้

    Logitech ยืนยันถูกเจาะระบบ แต่ยังไม่รู้ข้อมูลที่หายไป
    Logitech รายงานการถูกโจมตีไซเบอร์ผ่านช่องโหว่ zero-day ของซอฟต์แวร์ภายนอก โดยกลุ่ม Cl0p ransomware อ้างว่าขโมยข้อมูลไปกว่า 1.8TB แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลที่สูญหาย “น่าจะมีเพียงบางส่วน” ของพนักงานและลูกค้า แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีข้อมูลสำคัญรั่วไหลหรือไม่

    LinkedIn เพิ่มฟีเจอร์ค้นหาคนด้วย AI
    LinkedIn เปิดตัวระบบค้นหาคนด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้พิมพ์คำอธิบายเชิงธรรมชาติ เช่น “นักลงทุนด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ FDA” โดยไม่ต้องกรองด้วยตำแหน่งงานแบบเดิม ฟีเจอร์นี้เริ่มให้บริการกับผู้ใช้ Premium ในสหรัฐฯ ก่อน และจะขยายไปทั่วโลกในอนาคต

    ศาลสหราชอาณาจักรตัดสิน Microsoft แพ้คดีห้ามขายต่อไลเซนส์
    ศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักรตัดสินว่า Microsoft ไม่สามารถห้ามลูกค้าขายต่อไลเซนส์ซอฟต์แวร์แบบถาวรได้ บริษัท ValueLicensing ซึ่งเป็นคู่กรณีสามารถดำเนินธุรกิจขายต่อไลเซนส์ต่อไป และยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 270 ล้านปอนด์จาก Microsoft ขณะที่ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ต่อ

    ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    📌🪛🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷🪛📌 #20251118 #techradar 🌦️ Google เปิดตัว AI พยากรณ์อากาศใหม่ WeatherNext 2 Google พัฒนาโมเดล AI ชื่อ WeatherNext 2 ที่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้เร็วและแม่นยำกว่าระบบเดิมถึง 8 เท่า ภายในเวลาไม่ถึงนาที AI นี้ไม่ได้ให้แค่ผลลัพธ์เดียว แต่สร้าง “หลายความเป็นไปได้” ของสภาพอากาศ ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมว่ามีโอกาสเกิดอะไรบ้าง เช่น ฝนตกหรือแดดออกในช่วงเวลาใด นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน Google Search, Pixel Weather และ Google Maps เพื่อช่วยให้การวางแผนชีวิตประจำวันและการจัดการพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ⚡ OWC Helios 5S: เพิ่มพลังให้ Mac เล็ก ๆ ด้วย Thunderbolt 5 OWC เปิดตัว Helios 5S กล่องขยาย PCIe สำหรับเครื่อง Mac ขนาดเล็กที่ใช้ Thunderbolt 5 ความเร็วสูงถึง 80Gb/s ทำให้สามารถต่อการ์ด PCIe 4.0 และอุปกรณ์เสริมความเร็วสูงได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับจอ 8K ได้ถึง 3 จอ เหมาะสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้น แม้จะไม่รองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง แต่ก็ถือเป็นการยกระดับเครื่องเล็กให้ใกล้เคียงเวิร์กสเตชัน 🖥️ Samsung ขยาย “The Wall” จอ LED ยักษ์สำหรับองค์กร Samsung เปิดตัวรุ่นใหม่ของ The Wall จอ LED ขนาดมหึมาที่ออกแบบมาเพื่อสำนักงานและพื้นที่ธุรกิจ ใช้ชิปประมวลผล AI Gen2 ที่ช่วยปรับภาพให้คมชัด ลดสัญญาณรบกวน และอัปสเกลภาพให้ใกล้เคียง 8K จุดเด่นคือความสว่างสูงถึง 1,000 nits และเทคโนโลยี Black Seal ที่ทำให้สีดำลึกขึ้น เหมาะกับการใช้งานในห้องประชุมใหญ่หรือพื้นที่ที่ต้องการภาพคมชัดต่อเนื่อง 🎤 สัมภาษณ์พิเศษ Sundar Pichai: Running The Google Empire BBC จัดสัมภาษณ์พิเศษกับ Sundar Pichai CEO ของ Google ที่พูดถึงการนำบริษัทผ่านยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก เขาเล่าถึงความท้าทายของการลงทุนมหาศาลใน AI ผลกระทบต่อการจ้างงาน และบทบาทของ Google ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายการนี้สามารถรับชมฟรีผ่าน BBC iPlayer 🛡️ Amazon พบการโจมตี npm ครั้งใหญ่กว่า 150,000 แพ็กเกจ นักวิจัยจาก Amazon ตรวจพบการแพร่กระจายแพ็กเกจ npm กว่า 150,000 ตัว ที่ถูกใช้ในแผนการหลอกลวงเพื่อสร้างรายได้จากโทเคน TEA แม้แพ็กเกจเหล่านี้จะไม่ขโมยข้อมูลโดยตรง แต่มีพฤติกรรม “self-replicating” และอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นอันตรายได้ เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการโจมตีซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โอเพ่นซอร์ส 💬 OpenAI ทดลองให้ ChatGPT เข้าร่วมแชทกลุ่ม OpenAI เปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ ChatGPT เข้าร่วมการสนทนาแบบกลุ่ม โดย AI จะเลือกเองว่าจะตอบเมื่อใด หรือผู้ใช้สามารถเรียกด้วยการแท็ก ฟีเจอร์นี้กำลังทดสอบในญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน รองรับผู้เข้าร่วมสูงสุด 20 คน จุดประสงค์คือช่วยให้การระดมสมองและวางแผนร่วมกันสะดวกขึ้น ✈️ Google AI ช่วยวางแผนทริปได้ครบวงจร Google เปิดตัวเครื่องมือ AI สำหรับการท่องเที่ยว 3 อย่าง ได้แก่ 🧩 Canvas for Travel: สร้างแผนการเดินทางแบบกำหนดเอง 🧩 Flight Deals: ค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกทั่วโลก 🧩 Agentic Booking: จองร้านอาหารและกิจกรรมได้โดยตรงจาก Search ทั้งหมดนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเปิดหลายแท็บและเปรียบเทียบข้อมูล ทำให้การวางแผนทริปง่ายขึ้นมาก 🕵️‍♂️ แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ JSON ซ่อนมัลแวร์ กลุ่ม Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกพบว่าใช้บริการเก็บข้อมูล JSON เช่น JSON Keeper และ JSON Silo เพื่อซ่อนมัลแวร์ในแคมเปญ “Contagious Interview” โดยหลอกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผ่าน LinkedIn ให้ดาวน์โหลดโปรเจกต์ที่แฝงโค้ดอันตราย มัลแวร์เหล่านี้สามารถขโมยข้อมูล กระเป๋าเงินคริปโต และใช้เครื่องเหยื่อขุดเหรียญ Monero ได้ 🔒 Logitech ยืนยันถูกเจาะระบบ แต่ยังไม่รู้ข้อมูลที่หายไป Logitech รายงานการถูกโจมตีไซเบอร์ผ่านช่องโหว่ zero-day ของซอฟต์แวร์ภายนอก โดยกลุ่ม Cl0p ransomware อ้างว่าขโมยข้อมูลไปกว่า 1.8TB แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลที่สูญหาย “น่าจะมีเพียงบางส่วน” ของพนักงานและลูกค้า แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีข้อมูลสำคัญรั่วไหลหรือไม่ 👥 LinkedIn เพิ่มฟีเจอร์ค้นหาคนด้วย AI LinkedIn เปิดตัวระบบค้นหาคนด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้พิมพ์คำอธิบายเชิงธรรมชาติ เช่น “นักลงทุนด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ FDA” โดยไม่ต้องกรองด้วยตำแหน่งงานแบบเดิม ฟีเจอร์นี้เริ่มให้บริการกับผู้ใช้ Premium ในสหรัฐฯ ก่อน และจะขยายไปทั่วโลกในอนาคต ⚖️ ศาลสหราชอาณาจักรตัดสิน Microsoft แพ้คดีห้ามขายต่อไลเซนส์ ศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักรตัดสินว่า Microsoft ไม่สามารถห้ามลูกค้าขายต่อไลเซนส์ซอฟต์แวร์แบบถาวรได้ บริษัท ValueLicensing ซึ่งเป็นคู่กรณีสามารถดำเนินธุรกิจขายต่อไลเซนส์ต่อไป และยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 270 ล้านปอนด์จาก Microsoft ขณะที่ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ต่อ ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • NetworkManager 1.54.2 เพิ่มการตั้งค่า HSR Protocol

    ทีมพัฒนา NetworkManager ได้ปล่อย เวอร์ชัน 1.54.2 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 1.54 โดยมีการเพิ่มการรองรับการตั้งค่า HSR (High-availability Seamless Redundancy) Protocol Version ผ่าน property ใหม่ hsr.protocol-version รวมถึงการตั้งค่า HSR Interlink Port ผ่าน hsr.interlink สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของเครือข่ายที่ต้องการความทนทานสูงได้อย่างละเอียดมากขึ้น

    HSR คืออะไร?
    HSR เป็น Layer 2 redundancy protocol ที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEC 62439-3 ใช้ในระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมและระบบที่ต้องความเสถียรสูง เช่น substation automation (IEC 61850), ระบบไฟฟ้า, การขนส่ง, โรงงานที่ต้อง real-time communication

    หัวใจของ HSR คือ:
    การทำงานแบบ Ring redundancy โดยไม่มีเวลาสลับเส้นทาง (0 ms recovery)
    อุปกรณ์ HSR จะเชื่อมต่อกันเป็นวง (ring) และ ทุกเฟรมที่ส่งออกมาจะถูกส่งสองทางพร้อมกัน — วิ่งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา หากทางใดทางหนึ่งขาด ระบบจะยังคงรับข้อมูลจากอีกทางหนึ่งทันที จึงไม่มี Downtime แม้เกิด failure

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานกับค่า sriov.vfs โดยสามารถ reapply ได้หากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้การจัดการ Virtual Functions บน SR-IOV มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ต้องรีสตาร์ทระบบเครือข่ายทั้งหมด

    แม้จะเป็นการอัปเดตเล็ก แต่ NetworkManager 1.54.2 ถือเป็นการต่อยอดจากเวอร์ชัน 1.54 ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น การรองรับการตั้งค่า IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์, การเพิ่มการจัดการ OCI Baremetal ใน nm-cloud-setup และการปรับปรุง UI ของ nmtui ให้รองรับการตั้งค่า Loopback Interface

    ขณะเดียวกัน ทีมพัฒนากำลังเดินหน้าสู่ NetworkManager 1.56 ซึ่งจะเป็นการอัปเดตใหญ่ โดยมีแผนเพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli, รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร และการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบเครือข่าย

    สรุปสาระสำคัญ
    การอัปเดตใหม่ใน NetworkManager 1.54.2
    รองรับการตั้งค่า HSR Protocol Version (hsr.protocol-version)
    รองรับการตั้งค่า HSR Interlink Port (hsr.interlink)

    การปรับปรุง SR-IOV
    สามารถ reapply ค่า sriov.vfs ได้
    ไม่ต้องรีสตาร์ทระบบหากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยน

    การต่อยอดจาก NetworkManager 1.54
    เพิ่ม IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์
    รองรับ OCI Baremetal และปรับปรุง UI ของ nmtui

    แผนใน NetworkManager 1.56
    เพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli
    รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร
    ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC

    ข้อควรระวัง
    การตั้งค่า HSR ต้องใช้กับระบบที่รองรับเท่านั้น
    หาก SR-IOV ถูกตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบเครือข่ายไม่เสถียร

    https://9to5linux.com/networkmanager-1-54-2-adds-support-for-configuring-the-hsr-protocol-version
    🌐 NetworkManager 1.54.2 เพิ่มการตั้งค่า HSR Protocol ทีมพัฒนา NetworkManager ได้ปล่อย เวอร์ชัน 1.54.2 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 1.54 โดยมีการเพิ่มการรองรับการตั้งค่า HSR (High-availability Seamless Redundancy) Protocol Version ผ่าน property ใหม่ hsr.protocol-version รวมถึงการตั้งค่า HSR Interlink Port ผ่าน hsr.interlink สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของเครือข่ายที่ต้องการความทนทานสูงได้อย่างละเอียดมากขึ้น ✅ HSR คืออะไร? HSR เป็น Layer 2 redundancy protocol ที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEC 62439-3 ใช้ในระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมและระบบที่ต้องความเสถียรสูง เช่น substation automation (IEC 61850), ระบบไฟฟ้า, การขนส่ง, โรงงานที่ต้อง real-time communication 💖 หัวใจของ HSR คือ: 🔁 การทำงานแบบ Ring redundancy โดยไม่มีเวลาสลับเส้นทาง (0 ms recovery) อุปกรณ์ HSR จะเชื่อมต่อกันเป็นวง (ring) และ ทุกเฟรมที่ส่งออกมาจะถูกส่งสองทางพร้อมกัน — วิ่งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา หากทางใดทางหนึ่งขาด ระบบจะยังคงรับข้อมูลจากอีกทางหนึ่งทันที จึงไม่มี Downtime แม้เกิด failure นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานกับค่า sriov.vfs โดยสามารถ reapply ได้หากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้การจัดการ Virtual Functions บน SR-IOV มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ต้องรีสตาร์ทระบบเครือข่ายทั้งหมด แม้จะเป็นการอัปเดตเล็ก แต่ NetworkManager 1.54.2 ถือเป็นการต่อยอดจากเวอร์ชัน 1.54 ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น การรองรับการตั้งค่า IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์, การเพิ่มการจัดการ OCI Baremetal ใน nm-cloud-setup และการปรับปรุง UI ของ nmtui ให้รองรับการตั้งค่า Loopback Interface ขณะเดียวกัน ทีมพัฒนากำลังเดินหน้าสู่ NetworkManager 1.56 ซึ่งจะเป็นการอัปเดตใหญ่ โดยมีแผนเพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli, รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร และการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบเครือข่าย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การอัปเดตใหม่ใน NetworkManager 1.54.2 ➡️ รองรับการตั้งค่า HSR Protocol Version (hsr.protocol-version) ➡️ รองรับการตั้งค่า HSR Interlink Port (hsr.interlink) ✅ การปรับปรุง SR-IOV ➡️ สามารถ reapply ค่า sriov.vfs ได้ ➡️ ไม่ต้องรีสตาร์ทระบบหากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยน ✅ การต่อยอดจาก NetworkManager 1.54 ➡️ เพิ่ม IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์ ➡️ รองรับ OCI Baremetal และปรับปรุง UI ของ nmtui ✅ แผนใน NetworkManager 1.56 ➡️ เพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli ➡️ รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร ➡️ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การตั้งค่า HSR ต้องใช้กับระบบที่รองรับเท่านั้น ⛔ หาก SR-IOV ถูกตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบเครือข่ายไม่เสถียร https://9to5linux.com/networkmanager-1-54-2-adds-support-for-configuring-the-hsr-protocol-version
    9TO5LINUX.COM
    NetworkManager 1.54.2 Adds Support for Configuring the HSR Protocol Version - 9to5Linux
    NetworkManager 1.54.2 open-source network connection manager is now available for downlaoad with various new features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • HP ปล่อย HPLIP 3.25.8 รองรับเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่

    HP ได้ประกาศเปิดตัว HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) เวอร์ชัน 3.25.8 โดยมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ในตระกูล HP LaserJet Enterprise หลายรุ่น เช่น MFP 5601dn, 6500dn, Flow MFP 8601z และรุ่น X-series ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การอัปเดตนี้ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งการพิมพ์ สแกน และการจัดการเอกสารในระบบเครือข่าย

    แม้จะมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ใหม่ แต่ HPLIP 3.25.8 ไม่ได้เพิ่มการรองรับดิสโทร Linux รุ่นล่าสุด เช่น Ubuntu หรือ Fedora รุ่นใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาวิธีการติดตั้งแบบ manual หรือใช้เวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยเพิ่มการรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6 ซึ่งสะท้อนว่า HP ยังคงทยอยปรับปรุงการรองรับดิสโทรที่ใช้ในองค์กร

    อีกประเด็นที่สำคัญคือ HP ได้ปรับปรุง ระบบ Digital Certificate Verification ในการติดตั้ง HPLIP เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการดาวน์โหลดและใช้งาน ผู้ใช้จึงควรตรวจสอบขั้นตอนการติดตั้งอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการยืนยันตัวตนที่อาจทำให้การติดตั้งไม่สมบูรณ์

    นอกจากนี้ HPLIP ยังคงเป็นโครงการที่รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart ไปจนถึง LaserJet Enterprise ซึ่งทำให้ Linux ยังคงเป็นระบบที่สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์ HP ได้อย่างกว้างขวาง แม้จะมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องการรองรับดิสโทรใหม่ ๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การอัปเดต HPLIP 3.25.8
    รองรับเครื่องพิมพ์ HP LaserJet Enterprise รุ่นใหม่หลายรุ่น
    ครอบคลุมการใช้งานทั้งการพิมพ์และสแกน

    การรองรับดิสโทร Linux
    ไม่มีการเพิ่มการรองรับดิสโทรใหม่ในเวอร์ชันนี้
    เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6

    ระบบ Digital Certificate Verification
    มีการปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    ผู้ใช้ต้องทำตามขั้นตอนการติดตั้งอย่างเคร่งครัด

    ความครอบคลุมของ HPLIP
    รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น
    ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart จนถึง LaserJet Enterprise

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ผู้ใช้ดิสโทร Linux รุ่นใหม่อาจพบปัญหาการติดตั้ง
    หากไม่ตรวจสอบ Digital Certificate อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/hp-linux-imaging-and-printing-hplip-3-25-8-adds-support-for-new-printers
    🖨️ HP ปล่อย HPLIP 3.25.8 รองรับเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ HP ได้ประกาศเปิดตัว HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) เวอร์ชัน 3.25.8 โดยมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ในตระกูล HP LaserJet Enterprise หลายรุ่น เช่น MFP 5601dn, 6500dn, Flow MFP 8601z และรุ่น X-series ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การอัปเดตนี้ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งการพิมพ์ สแกน และการจัดการเอกสารในระบบเครือข่าย แม้จะมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ใหม่ แต่ HPLIP 3.25.8 ไม่ได้เพิ่มการรองรับดิสโทร Linux รุ่นล่าสุด เช่น Ubuntu หรือ Fedora รุ่นใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาวิธีการติดตั้งแบบ manual หรือใช้เวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยเพิ่มการรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6 ซึ่งสะท้อนว่า HP ยังคงทยอยปรับปรุงการรองรับดิสโทรที่ใช้ในองค์กร อีกประเด็นที่สำคัญคือ HP ได้ปรับปรุง ระบบ Digital Certificate Verification ในการติดตั้ง HPLIP เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการดาวน์โหลดและใช้งาน ผู้ใช้จึงควรตรวจสอบขั้นตอนการติดตั้งอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการยืนยันตัวตนที่อาจทำให้การติดตั้งไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ HPLIP ยังคงเป็นโครงการที่รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart ไปจนถึง LaserJet Enterprise ซึ่งทำให้ Linux ยังคงเป็นระบบที่สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์ HP ได้อย่างกว้างขวาง แม้จะมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องการรองรับดิสโทรใหม่ ๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การอัปเดต HPLIP 3.25.8 ➡️ รองรับเครื่องพิมพ์ HP LaserJet Enterprise รุ่นใหม่หลายรุ่น ➡️ ครอบคลุมการใช้งานทั้งการพิมพ์และสแกน ✅ การรองรับดิสโทร Linux ➡️ ไม่มีการเพิ่มการรองรับดิสโทรใหม่ในเวอร์ชันนี้ ➡️ เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6 ✅ ระบบ Digital Certificate Verification ➡️ มีการปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ ผู้ใช้ต้องทำตามขั้นตอนการติดตั้งอย่างเคร่งครัด ✅ ความครอบคลุมของ HPLIP ➡️ รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น ➡️ ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart จนถึง LaserJet Enterprise ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ผู้ใช้ดิสโทร Linux รุ่นใหม่อาจพบปัญหาการติดตั้ง ⛔ หากไม่ตรวจสอบ Digital Certificate อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย https://9to5linux.com/hp-linux-imaging-and-printing-hplip-3-25-8-adds-support-for-new-printers
    9TO5LINUX.COM
    HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) 3.25.8 Adds Support for New Printers - 9to5Linux
    HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) 3.25.8 drivers are now available for download with support for new HP printers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • Veil: ส่วนขยายใหม่เพื่อจัดการ GNOME Panel

    Veil ถูกพัฒนาโดย Dagim G. Astatkie นักพัฒนาจากเอธิโอเปีย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ GNOME หลายคนเจอ คือแถบด้านบนที่เต็มไปด้วย system indicators และ status icons จนดูรกและใช้งานไม่สะดวก Veil จึงเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าไอคอนใดจะถูกซ่อนหรือแสดง พร้อมทั้งมีฟีเจอร์เสริม เช่น การซ่อนอัตโนมัติแบบตั้งเวลา, แอนิเมชันลื่นไหล, และการปรับแต่งไอคอนลูกศร สำหรับเปิด/ปิดการแสดงผล

    ประสบการณ์ใช้งานจริง
    ผู้เขียนบทความได้ทดลองติดตั้ง Veil บน Ubuntu 25.10 ผ่าน Extension Manager และพบว่าการใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา เพียงคลิกที่ลูกศรด้านบนขวา ไอคอนต่าง ๆ เช่น Network Stats, Tiling Shell Switcher และ System Monitor ก็หายไปทันที ทำให้แถบด้านบนสะอาดตา นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ในแท็บ General เช่น การบันทึกสถานะ, ตั้งค่า default visibility, และกำหนดเวลา auto-hide

    ความสำคัญต่อผู้ใช้ GNOME
    Veil ไม่เพียงช่วยให้หน้าจอสะอาดขึ้น แต่ยังเพิ่ม ความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัว ให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะ power users ที่ต้องจัดการหลาย extension พร้อมกัน การมีเครื่องมือที่สามารถควบคุมการแสดงผลได้ละเอียดจึงช่วยลดความวุ่นวาย และทำให้การทำงานบน GNOME มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Veil ยังเปิดซอร์สโค้ดบน GitHub เพื่อให้ผู้สนใจสามารถร่วมพัฒนาได้ต่อไป

    สรุปสาระสำคัญ
    Veil Extension บน GNOME
    พัฒนาโดย Dagim G. Astatkie จากเอธิโอเปีย
    ช่วยซ่อนและจัดการไอคอนบนแถบด้านบน

    ฟีเจอร์หลักของ Veil
    Auto-hide แบบตั้งเวลา
    แอนิเมชันลื่นไหล และปรับแต่งไอคอนลูกศร

    ประสบการณ์ใช้งานจริง
    ติดตั้งง่ายผ่าน Extension Manager
    ทำให้แถบด้านบนสะอาดและปรับแต่งได้ตามต้องการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดตหรือปรับแต่งอย่างถูกต้อง อาจทำให้บางไอคอนสำคัญหายไปโดยไม่ตั้งใจ
    ผู้ใช้ใหม่ที่ไม่คุ้นกับ GNOME Extensions อาจต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนใช้งาน

    https://itsfoss.com/veil-gnome-extension/
    🖥️ Veil: ส่วนขยายใหม่เพื่อจัดการ GNOME Panel Veil ถูกพัฒนาโดย Dagim G. Astatkie นักพัฒนาจากเอธิโอเปีย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ GNOME หลายคนเจอ คือแถบด้านบนที่เต็มไปด้วย system indicators และ status icons จนดูรกและใช้งานไม่สะดวก Veil จึงเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าไอคอนใดจะถูกซ่อนหรือแสดง พร้อมทั้งมีฟีเจอร์เสริม เช่น การซ่อนอัตโนมัติแบบตั้งเวลา, แอนิเมชันลื่นไหล, และการปรับแต่งไอคอนลูกศร สำหรับเปิด/ปิดการแสดงผล ⚡ ประสบการณ์ใช้งานจริง ผู้เขียนบทความได้ทดลองติดตั้ง Veil บน Ubuntu 25.10 ผ่าน Extension Manager และพบว่าการใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา เพียงคลิกที่ลูกศรด้านบนขวา ไอคอนต่าง ๆ เช่น Network Stats, Tiling Shell Switcher และ System Monitor ก็หายไปทันที ทำให้แถบด้านบนสะอาดตา นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ในแท็บ General เช่น การบันทึกสถานะ, ตั้งค่า default visibility, และกำหนดเวลา auto-hide 🌍 ความสำคัญต่อผู้ใช้ GNOME Veil ไม่เพียงช่วยให้หน้าจอสะอาดขึ้น แต่ยังเพิ่ม ความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัว ให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะ power users ที่ต้องจัดการหลาย extension พร้อมกัน การมีเครื่องมือที่สามารถควบคุมการแสดงผลได้ละเอียดจึงช่วยลดความวุ่นวาย และทำให้การทำงานบน GNOME มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Veil ยังเปิดซอร์สโค้ดบน GitHub เพื่อให้ผู้สนใจสามารถร่วมพัฒนาได้ต่อไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Veil Extension บน GNOME ➡️ พัฒนาโดย Dagim G. Astatkie จากเอธิโอเปีย ➡️ ช่วยซ่อนและจัดการไอคอนบนแถบด้านบน ✅ ฟีเจอร์หลักของ Veil ➡️ Auto-hide แบบตั้งเวลา ➡️ แอนิเมชันลื่นไหล และปรับแต่งไอคอนลูกศร ✅ ประสบการณ์ใช้งานจริง ➡️ ติดตั้งง่ายผ่าน Extension Manager ➡️ ทำให้แถบด้านบนสะอาดและปรับแต่งได้ตามต้องการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดตหรือปรับแต่งอย่างถูกต้อง อาจทำให้บางไอคอนสำคัญหายไปโดยไม่ตั้งใจ ⛔ ผู้ใช้ใหม่ที่ไม่คุ้นกับ GNOME Extensions อาจต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนใช้งาน https://itsfoss.com/veil-gnome-extension/
    ITSFOSS.COM
    Clean Up Your GNOME Panel With This New Extension
    Hide unwanted panel icons automatically with Veil.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน W3 Total Cache (CVE-2025-9501)

    มีการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับ Critical ในปลั๊กอิน W3 Total Cache (W3TC) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบน WordPress โดยมีการติดตั้งมากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-9501 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 9.0 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดที่อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน

    รายละเอียดช่องโหว่
    ปัญหานี้เกิดจากการจัดการที่ไม่ถูกต้องในฟังก์ชันภายในของปลั๊กอินชื่อ _parse_dynamic_mfunc ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคอมเมนต์ที่มี payload อันตราย เมื่อระบบทำการ parse คอมเมนต์นั้น เว็บไซต์จะรันโค้ด PHP ที่ผู้โจมตีใส่เข้ามา ส่งผลให้สามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ เช่น การขโมยข้อมูล, ติดตั้ง backdoor, หรือกระจายมัลแวร์

    การแพตช์และการป้องกัน
    ช่องโหว่นี้ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน W3 Total Cache 2.8.13 ผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคนถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี เนื่องจากการโจมตีนี้ไม่ต้องใช้สิทธิ์ใด ๆ และสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่โพสต์คอมเมนต์บนเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้แพตช์

    ผลกระทบและแนวโน้ม
    ด้วยจำนวนการติดตั้งที่มากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ แม้เพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้อัปเดต ก็สามารถสร้าง attack surface ขนาดใหญ่ ให้กับผู้โจมตีที่ใช้เครื่องมืออัตโนมัติในการสแกนและโจมตีเว็บไซต์ WordPress ที่ยังมีช่องโหว่ การเปิดเผย Proof-of-Concept (PoC) ถูกกำหนดไว้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพื่อให้ผู้ดูแลมีเวลาอัปเดตก่อนที่โค้ดโจมตีจะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-9501
    เกิดจากฟังก์ชัน _parse_dynamic_mfunc ใน W3TC
    เปิดทางให้โจมตีแบบ Remote Code Execution โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    การแพตช์ที่ปลอดภัย
    แก้ไขแล้วใน W3 Total Cache เวอร์ชัน 2.8.13
    ผู้ดูแลเว็บไซต์ควรอัปเดตทันที

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การเข้าควบคุมเว็บไซต์เต็มรูปแบบ
    การขโมยข้อมูลและติดตั้ง backdoor

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    เว็บไซต์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอัตโนมัติ
    PoC จะถูกเผยแพร่ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีจำนวนมาก

    https://securityonline.info/critical-w3-total-cache-flaw-cve-2025-9501-cvss-9-0-risks-unauthenticated-rce-on-1-million-wordpress-sites/
    ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน W3 Total Cache (CVE-2025-9501) มีการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับ Critical ในปลั๊กอิน W3 Total Cache (W3TC) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบน WordPress โดยมีการติดตั้งมากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-9501 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 9.0 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดที่อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน 🛠️ รายละเอียดช่องโหว่ ปัญหานี้เกิดจากการจัดการที่ไม่ถูกต้องในฟังก์ชันภายในของปลั๊กอินชื่อ _parse_dynamic_mfunc ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคอมเมนต์ที่มี payload อันตราย เมื่อระบบทำการ parse คอมเมนต์นั้น เว็บไซต์จะรันโค้ด PHP ที่ผู้โจมตีใส่เข้ามา ส่งผลให้สามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ เช่น การขโมยข้อมูล, ติดตั้ง backdoor, หรือกระจายมัลแวร์ 🔒 การแพตช์และการป้องกัน ช่องโหว่นี้ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน W3 Total Cache 2.8.13 ผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคนถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี เนื่องจากการโจมตีนี้ไม่ต้องใช้สิทธิ์ใด ๆ และสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่โพสต์คอมเมนต์บนเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้แพตช์ 🌍 ผลกระทบและแนวโน้ม ด้วยจำนวนการติดตั้งที่มากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ แม้เพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้อัปเดต ก็สามารถสร้าง attack surface ขนาดใหญ่ ให้กับผู้โจมตีที่ใช้เครื่องมืออัตโนมัติในการสแกนและโจมตีเว็บไซต์ WordPress ที่ยังมีช่องโหว่ การเปิดเผย Proof-of-Concept (PoC) ถูกกำหนดไว้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพื่อให้ผู้ดูแลมีเวลาอัปเดตก่อนที่โค้ดโจมตีจะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-9501 ➡️ เกิดจากฟังก์ชัน _parse_dynamic_mfunc ใน W3TC ➡️ เปิดทางให้โจมตีแบบ Remote Code Execution โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ การแพตช์ที่ปลอดภัย ➡️ แก้ไขแล้วใน W3 Total Cache เวอร์ชัน 2.8.13 ➡️ ผู้ดูแลเว็บไซต์ควรอัปเดตทันที ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การเข้าควบคุมเว็บไซต์เต็มรูปแบบ ➡️ การขโมยข้อมูลและติดตั้ง backdoor ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ เว็บไซต์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอัตโนมัติ ⛔ PoC จะถูกเผยแพร่ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีจำนวนมาก https://securityonline.info/critical-w3-total-cache-flaw-cve-2025-9501-cvss-9-0-risks-unauthenticated-rce-on-1-million-wordpress-sites/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical W3 Total Cache Flaw (CVE-2025-9501, CVSS 9.0) Risks Unauthenticated RCE on 1 Million WordPress Sites
    A Critical (CVSS 9.0) flaw in W3 Total Cache (CVE-2025-9501) allows unauthenticated attackers to execute arbitrary PHP code via a crafted comment. 1M+ sites are at risk. Update to v2.8.13.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้

    Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้

    การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ

    ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค

    นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญ
    ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox
    เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้
    เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads

    จุดเด่นของ AccuKnox
    มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture
    เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
    เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้
    Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้

    ความท้าทายและคำเตือน
    ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง

    https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    🌐 Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้ Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้ การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox ➡️ เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้ ➡️ เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ✅ จุดเด่นของ AccuKnox ➡️ มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture ➡️ เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ✅ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ➡️ เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ ➡️ Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้ ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ⛔ การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • Alice Blue จับมือ AccuKnox เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแล

    Alice Blue บริษัทด้านการเงินและโบรกเกอร์ชั้นนำของอินเดีย ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายการเงิน โดยความร่วมมือนี้ดำเนินการผ่านพันธมิตร Airowire ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโซลูชันด้านความปลอดภัยสู่ตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด

    การตัดสินใจเลือก AccuKnox เกิดขึ้นหลังจาก Alice Blue ได้ทำการประเมินผู้ให้บริการหลายราย โดยพบว่าแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP ของ AccuKnox มีความโดดเด่นในด้านการทำงานแบบ Agentless ลดภาระการดูแลระบบ และสามารถปรับใช้ได้รวดเร็ว พร้อมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานสำคัญ เช่น RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักในอุตสาหกรรมการเงินของอินเดีย

    นอกจากการเสริมความปลอดภัยแล้ว ความร่วมมือนี้ยังช่วยให้ Alice Blue สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยระบบที่มีการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับโค้ดไปจนถึงการทำงานจริงในระบบคลาวด์และ AI workloads อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการในตลาดการเงินที่แข่งขันสูง

    ในมุมมองที่กว้างขึ้น ความร่วมมือเช่นนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินทั่วโลกกำลังหันมาใช้แนวคิด Zero Trust และ CNAPP เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานบนระบบคลาวด์และ AI มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์อีกด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    ความร่วมมือ Alice Blue – AccuKnox
    เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแลในระบบการเงินอินเดีย
    ใช้ Zero Trust CNAPP แบบ Agentless ลดภาระการจัดการ

    มาตรฐานการกำกับดูแลที่รองรับ
    สอดคล้องกับ RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2
    เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ลงทุน

    ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากความร่วมมือ
    การตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง
    ลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน

    ความท้าทายและคำเตือน
    ภัยคุกคามไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาจต้องปรับปรุงระบบตลอดเวลา
    การพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์และ AI ทำให้ต้องเผชิญความเสี่ยงใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://securityonline.info/alice-blue-partners-with-accuknox-for-regulatory-compliance/
    🛡️ Alice Blue จับมือ AccuKnox เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแล Alice Blue บริษัทด้านการเงินและโบรกเกอร์ชั้นนำของอินเดีย ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายการเงิน โดยความร่วมมือนี้ดำเนินการผ่านพันธมิตร Airowire ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโซลูชันด้านความปลอดภัยสู่ตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด การตัดสินใจเลือก AccuKnox เกิดขึ้นหลังจาก Alice Blue ได้ทำการประเมินผู้ให้บริการหลายราย โดยพบว่าแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP ของ AccuKnox มีความโดดเด่นในด้านการทำงานแบบ Agentless ลดภาระการดูแลระบบ และสามารถปรับใช้ได้รวดเร็ว พร้อมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานสำคัญ เช่น RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักในอุตสาหกรรมการเงินของอินเดีย นอกจากการเสริมความปลอดภัยแล้ว ความร่วมมือนี้ยังช่วยให้ Alice Blue สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยระบบที่มีการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับโค้ดไปจนถึงการทำงานจริงในระบบคลาวด์และ AI workloads อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการในตลาดการเงินที่แข่งขันสูง ในมุมมองที่กว้างขึ้น ความร่วมมือเช่นนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินทั่วโลกกำลังหันมาใช้แนวคิด Zero Trust และ CNAPP เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานบนระบบคลาวด์และ AI มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์อีกด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความร่วมมือ Alice Blue – AccuKnox ➡️ เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแลในระบบการเงินอินเดีย ➡️ ใช้ Zero Trust CNAPP แบบ Agentless ลดภาระการจัดการ ✅ มาตรฐานการกำกับดูแลที่รองรับ ➡️ สอดคล้องกับ RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ➡️ เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ลงทุน ✅ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากความร่วมมือ ➡️ การตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ➡️ ลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ภัยคุกคามไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาจต้องปรับปรุงระบบตลอดเวลา ⛔ การพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์และ AI ทำให้ต้องเผชิญความเสี่ยงใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น https://securityonline.info/alice-blue-partners-with-accuknox-for-regulatory-compliance/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVMe Destroyinator: เครื่องลบข้อมูลความเร็วสูง

    อุปกรณ์ NVMe Destroyinator ถูกออกแบบมาเพื่อการ ลบข้อมูลอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยสามารถจัดการไดรฟ์หลายประเภท เช่น M.2, E1.S EDSFF และไดรฟ์ 2.5 นิ้ว ทั้งแบบ SATA, SAS และ NVMe จุดเด่นคือสามารถลบข้อมูลได้พร้อมกันถึง 16 ไดรฟ์ในเวลาเดียวกัน และสร้าง ใบรับรองการลบข้อมูล (tamper-proof certificates) เพื่อยืนยันการทำงานตามมาตรฐานสากล เช่น HIPAA, NIST 800-88 และ U.S. DoD

    ความเร็วและฟีเจอร์
    Destroyinator ใช้ระบบที่ติดตั้ง Linux Mint และซอฟต์แวร์ KillDisk ทำให้สามารถลบข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 64 GB/s พร้อมฟังก์ชัน Hot-swap ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนไดรฟ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง นอกจากนี้ยังมีระบบอัตโนมัติในการพิมพ์ใบรับรองและการโคลนไดรฟ์เพื่อการใช้งานต่อ

    การใช้งานในตลาด
    อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับ บริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที (IT e-recyclers) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูล ที่ต้องการลบข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและตรวจสอบได้ นอกจากการทำลายข้อมูลแล้ว ยังช่วยให้สามารถนำไดรฟ์ไปขายต่อได้โดยไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล

    ข้อควรระวัง
    แม้ Destroyinator จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากราคาสูงและการใช้งานที่ซับซ้อน ผู้ใช้ทั่วไปอาจเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบ DIY หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญแทน

    สรุปสาระสำคัญ
    คุณสมบัติหลักของ NVMe Destroyinator
    ลบข้อมูลได้พร้อมกันสูงสุด 16 ไดรฟ์
    ความเร็วสูงสุด 64 GB/s
    รองรับ NVMe, SATA และ SAS

    ฟีเจอร์เสริม
    สร้างใบรับรองการลบข้อมูลที่ตรวจสอบได้
    ระบบ Hot-swap และการโคลนไดรฟ์
    ใช้ Linux Mint และ KillDisk

    การใช้งานในตลาด
    เหมาะสำหรับบริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที
    ช่วยให้สามารถขายต่อไดรฟ์ได้โดยปลอดภัย

    ข้อควรระวัง
    ราคาสูง ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
    การใช้งานซับซ้อน ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    ผู้ใช้ทั่วไปควรเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบอื่นที่ง่ายกว่า

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/the-nvme-destroyinator-can-wipe-16-nvme-drives-simultaneously-at-speeds-up-to-64-gb-s-it-could-be-the-data-shredder-of-your-dreams-or-nightmares
    🗜️ NVMe Destroyinator: เครื่องลบข้อมูลความเร็วสูง อุปกรณ์ NVMe Destroyinator ถูกออกแบบมาเพื่อการ ลบข้อมูลอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยสามารถจัดการไดรฟ์หลายประเภท เช่น M.2, E1.S EDSFF และไดรฟ์ 2.5 นิ้ว ทั้งแบบ SATA, SAS และ NVMe จุดเด่นคือสามารถลบข้อมูลได้พร้อมกันถึง 16 ไดรฟ์ในเวลาเดียวกัน และสร้าง ใบรับรองการลบข้อมูล (tamper-proof certificates) เพื่อยืนยันการทำงานตามมาตรฐานสากล เช่น HIPAA, NIST 800-88 และ U.S. DoD ⚡ ความเร็วและฟีเจอร์ Destroyinator ใช้ระบบที่ติดตั้ง Linux Mint และซอฟต์แวร์ KillDisk ทำให้สามารถลบข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 64 GB/s พร้อมฟังก์ชัน Hot-swap ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนไดรฟ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง นอกจากนี้ยังมีระบบอัตโนมัติในการพิมพ์ใบรับรองและการโคลนไดรฟ์เพื่อการใช้งานต่อ 🌍 การใช้งานในตลาด อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับ บริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที (IT e-recyclers) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูล ที่ต้องการลบข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและตรวจสอบได้ นอกจากการทำลายข้อมูลแล้ว ยังช่วยให้สามารถนำไดรฟ์ไปขายต่อได้โดยไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ⚠️ ข้อควรระวัง แม้ Destroyinator จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากราคาสูงและการใช้งานที่ซับซ้อน ผู้ใช้ทั่วไปอาจเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบ DIY หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญแทน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คุณสมบัติหลักของ NVMe Destroyinator ➡️ ลบข้อมูลได้พร้อมกันสูงสุด 16 ไดรฟ์ ➡️ ความเร็วสูงสุด 64 GB/s ➡️ รองรับ NVMe, SATA และ SAS ✅ ฟีเจอร์เสริม ➡️ สร้างใบรับรองการลบข้อมูลที่ตรวจสอบได้ ➡️ ระบบ Hot-swap และการโคลนไดรฟ์ ➡️ ใช้ Linux Mint และ KillDisk ✅ การใช้งานในตลาด ➡️ เหมาะสำหรับบริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที ➡️ ช่วยให้สามารถขายต่อไดรฟ์ได้โดยปลอดภัย ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคาสูง ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การใช้งานซับซ้อน ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปควรเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบอื่นที่ง่ายกว่า https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/the-nvme-destroyinator-can-wipe-16-nvme-drives-simultaneously-at-speeds-up-to-64-gb-s-it-could-be-the-data-shredder-of-your-dreams-or-nightmares
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MP944 – ไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ถูกซ่อนอยู่ใน F-14 Tomcat”

    ไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรประมาณ 25 คน นำโดย Steve Geller และ Ray Holt เพื่อใช้ใน Central Air Data Computer (CADC) ของเครื่องบินรบ F-14 Tomcat จุดเด่นคือสามารถคำนวณพารามิเตอร์การบินแบบเรียลไทม์ เช่น ความสูง ความเร็ว และ Mach number เพื่อควบคุมระบบปีกกวาดของ F-14 ได้อย่างแม่นยำ

    สิ่งที่ทำให้ MP944 น่าทึ่งคือมันถูกสร้างขึ้น ก่อน Intel 4004 กว่าหนึ่งปี โดยเริ่มใช้งานจริงในเดือนมิถุนายน 1970 ขณะที่ Intel 4004 เปิดตัวเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 1971 และยังมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยสามารถทำงานได้เร็วกว่า 8 เท่า เพื่อรองรับการคำนวณเชิงซับซ้อนของระบบการบิน

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นโครงการลับทางทหาร ข้อมูลของ MP944 ถูกปิดเป็นความลับจนถึงปี 1998 เมื่อเอกสารถูกปลดชั้นความลับ ทำให้โลกเพิ่งรู้ว่ามีไมโครโปรเซสเซอร์ที่เกิดขึ้นก่อน Intel 4004 และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน

    คุณสมบัติทางเทคนิคที่โดดเด่น
    ใช้สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel multi-microprocessor
    ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 375 kHz
    ประสิทธิภาพการประมวลผล 9,375 คำสั่งต่อวินาที
    ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -55°C ถึง +125°C
    มีระบบ self-diagnosis และสามารถสลับไปยังหน่วยสำรองภายใน 1/18 วินาทีเมื่อพบความผิดพลาด

    สรุปสาระสำคัญ
    การพัฒนาและการใช้งาน
    พัฒนาโดย Steve Geller และ Ray Holt สำหรับ F-14 Tomcat
    เริ่มใช้งานจริงในปี 1970 ก่อน Intel 4004

    ความเหนือกว่า Intel 4004
    เร็วกว่าถึง 8 เท่า
    รองรับการคำนวณซับซ้อนของระบบการบิน

    คุณสมบัติพิเศษ
    สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel
    ระบบ self-diagnosis และสลับหน่วยสำรองอัตโนมัติ

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ถูกเก็บเป็นความลับทางทหารนานกว่า 25 ปี
    ไม่ถูกนับรวมในประวัติศาสตร์เชิงพาณิชย์ของไมโครโปรเซสเซอร์
    หากถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้น อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อาจมีเส้นทางพัฒนาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/the-mp944-was-the-real-worlds-first-microprocessor-and-key-to-the-flight-of-the-f-14-tomcat-but-it-lived-in-the-shadow-of-the-intel-4004-for-nearly-30-years
    ✈️ “MP944 – ไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ถูกซ่อนอยู่ใน F-14 Tomcat” ไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรประมาณ 25 คน นำโดย Steve Geller และ Ray Holt เพื่อใช้ใน Central Air Data Computer (CADC) ของเครื่องบินรบ F-14 Tomcat จุดเด่นคือสามารถคำนวณพารามิเตอร์การบินแบบเรียลไทม์ เช่น ความสูง ความเร็ว และ Mach number เพื่อควบคุมระบบปีกกวาดของ F-14 ได้อย่างแม่นยำ สิ่งที่ทำให้ MP944 น่าทึ่งคือมันถูกสร้างขึ้น ก่อน Intel 4004 กว่าหนึ่งปี โดยเริ่มใช้งานจริงในเดือนมิถุนายน 1970 ขณะที่ Intel 4004 เปิดตัวเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 1971 และยังมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยสามารถทำงานได้เร็วกว่า 8 เท่า เพื่อรองรับการคำนวณเชิงซับซ้อนของระบบการบิน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นโครงการลับทางทหาร ข้อมูลของ MP944 ถูกปิดเป็นความลับจนถึงปี 1998 เมื่อเอกสารถูกปลดชั้นความลับ ทำให้โลกเพิ่งรู้ว่ามีไมโครโปรเซสเซอร์ที่เกิดขึ้นก่อน Intel 4004 และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน 🔧 คุณสมบัติทางเทคนิคที่โดดเด่น 🔰 ใช้สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel multi-microprocessor 🔰 ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 375 kHz 🔰 ประสิทธิภาพการประมวลผล 9,375 คำสั่งต่อวินาที 🔰 ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -55°C ถึง +125°C 🔰 มีระบบ self-diagnosis และสามารถสลับไปยังหน่วยสำรองภายใน 1/18 วินาทีเมื่อพบความผิดพลาด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพัฒนาและการใช้งาน ➡️ พัฒนาโดย Steve Geller และ Ray Holt สำหรับ F-14 Tomcat ➡️ เริ่มใช้งานจริงในปี 1970 ก่อน Intel 4004 ✅ ความเหนือกว่า Intel 4004 ➡️ เร็วกว่าถึง 8 เท่า ➡️ รองรับการคำนวณซับซ้อนของระบบการบิน ✅ คุณสมบัติพิเศษ ➡️ สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel ➡️ ระบบ self-diagnosis และสลับหน่วยสำรองอัตโนมัติ ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ถูกเก็บเป็นความลับทางทหารนานกว่า 25 ปี ⛔ ไม่ถูกนับรวมในประวัติศาสตร์เชิงพาณิชย์ของไมโครโปรเซสเซอร์ ⛔ หากถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้น อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อาจมีเส้นทางพัฒนาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/the-mp944-was-the-real-worlds-first-microprocessor-and-key-to-the-flight-of-the-f-14-tomcat-but-it-lived-in-the-shadow-of-the-intel-4004-for-nearly-30-years
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The MP944 was the ‘real’ world’s first microprocessor, but it was top secret for nearly 30 years — F-14 Tomcat's chip lived in the shadow of the Intel 4004, but was eight times faster
    This pioneering microprocessor was a classified military secret from 1970 to 1989, as a vital part of an advanced fighter aircraft’s control systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI และโซเชียลมีเดีย กำลังทำให้สมองเสื่อมคุณภาพ (‘Brain Rot’)”

    งานวิจัยจาก Wharton และ MIT พบว่า การใช้ AI Chatbot และ AI Search Tools ทำให้ผู้ใช้ผลิตเนื้อหาที่ ซ้ำซากและไร้ความลึก เมื่อเทียบกับการค้นหาข้อมูลแบบดั้งเดิม เช่น Google Search ผู้ใช้ที่พึ่งพา AI มักไม่สามารถจดจำสิ่งที่เขียนเองได้ และมีการทำงานของสมองต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด

    คำว่า “Brain Rot” ถูก Oxford English Dictionary ยกให้เป็นคำแห่งปี 2024 หมายถึงสภาวะที่สมองเสื่อมคุณภาพจากการเสพคอนเทนต์สั้น ๆ เช่น TikTok และ Instagram ซึ่งทำให้ผู้ใช้ติดการเลื่อนหน้าจอโดยไม่สร้างการเรียนรู้เชิงลึก ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อผนวกกับการใช้ AI ที่ทำให้การค้นคว้ากลายเป็นกระบวนการแบบ Passive

    ข้อมูลจากการสอบ National Assessment of Educational Progress (NAEP) ในสหรัฐฯ ชี้ว่า คะแนนการอ่านของนักเรียนมัธยมต้นและปลายตกต่ำที่สุดในรอบหลายปีหลังโควิด-19 ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับการใช้โซเชียลมีเดียและการพึ่งพา AI ในการเรียนรู้

    แม้จะมีข้อกังวล แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางว่า การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น เริ่มต้นด้วยการคิดเองก่อน แล้วใช้ AI เพื่อตรวจสอบหรือปรับปรุงงาน จะช่วยให้สมองยังคงทำงานเชิงรุก และลดผลกระทบของ “Brain Rot” ได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการวิจัยเกี่ยวกับ AI
    ผู้ใช้ Chatbot ผลิตเนื้อหาที่ซ้ำซากและไร้ความลึก
    การทำงานของสมองลดลงเมื่อพึ่งพา AI
    ผู้ใช้ไม่สามารถจดจำสิ่งที่เขียนเองได้

    ผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย
    TikTok และ Instagram ทำให้ผู้ใช้ติดคอนเทนต์สั้น ๆ
    “Brain Rot” ถูกยกเป็นคำแห่งปี 2024
    การเสพคอนเทนต์แบบ Passive ลดการเรียนรู้เชิงลึก

    ผลต่อเยาวชนและการศึกษา
    คะแนนการอ่านของนักเรียนสหรัฐฯ ตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี
    นักวิจัยเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับการใช้โซเชียลมีเดียและ AI

    คำเตือนจากบทความ
    การพึ่งพา AI และโซเชียลมีเดียมากเกินไปอาจทำให้สมองเสื่อมคุณภาพ
    เยาวชนเสี่ยงต่อการสูญเสียทักษะการคิดวิเคราะห์และการจดจำ
    หากไม่ปรับการใช้เทคโนโลยี อาจกระทบต่อระบบการศึกษาและคุณภาพแรงงานในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/17/how-ai-and-social-media-contribute-to-brain-rot
    🧠 “AI และโซเชียลมีเดีย กำลังทำให้สมองเสื่อมคุณภาพ (‘Brain Rot’)” งานวิจัยจาก Wharton และ MIT พบว่า การใช้ AI Chatbot และ AI Search Tools ทำให้ผู้ใช้ผลิตเนื้อหาที่ ซ้ำซากและไร้ความลึก เมื่อเทียบกับการค้นหาข้อมูลแบบดั้งเดิม เช่น Google Search ผู้ใช้ที่พึ่งพา AI มักไม่สามารถจดจำสิ่งที่เขียนเองได้ และมีการทำงานของสมองต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด คำว่า “Brain Rot” ถูก Oxford English Dictionary ยกให้เป็นคำแห่งปี 2024 หมายถึงสภาวะที่สมองเสื่อมคุณภาพจากการเสพคอนเทนต์สั้น ๆ เช่น TikTok และ Instagram ซึ่งทำให้ผู้ใช้ติดการเลื่อนหน้าจอโดยไม่สร้างการเรียนรู้เชิงลึก ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อผนวกกับการใช้ AI ที่ทำให้การค้นคว้ากลายเป็นกระบวนการแบบ Passive ข้อมูลจากการสอบ National Assessment of Educational Progress (NAEP) ในสหรัฐฯ ชี้ว่า คะแนนการอ่านของนักเรียนมัธยมต้นและปลายตกต่ำที่สุดในรอบหลายปีหลังโควิด-19 ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับการใช้โซเชียลมีเดียและการพึ่งพา AI ในการเรียนรู้ แม้จะมีข้อกังวล แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางว่า การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น เริ่มต้นด้วยการคิดเองก่อน แล้วใช้ AI เพื่อตรวจสอบหรือปรับปรุงงาน จะช่วยให้สมองยังคงทำงานเชิงรุก และลดผลกระทบของ “Brain Rot” ได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการวิจัยเกี่ยวกับ AI ➡️ ผู้ใช้ Chatbot ผลิตเนื้อหาที่ซ้ำซากและไร้ความลึก ➡️ การทำงานของสมองลดลงเมื่อพึ่งพา AI ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถจดจำสิ่งที่เขียนเองได้ ✅ ผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย ➡️ TikTok และ Instagram ทำให้ผู้ใช้ติดคอนเทนต์สั้น ๆ ➡️ “Brain Rot” ถูกยกเป็นคำแห่งปี 2024 ➡️ การเสพคอนเทนต์แบบ Passive ลดการเรียนรู้เชิงลึก ✅ ผลต่อเยาวชนและการศึกษา ➡️ คะแนนการอ่านของนักเรียนสหรัฐฯ ตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี ➡️ นักวิจัยเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับการใช้โซเชียลมีเดียและ AI ‼️ คำเตือนจากบทความ ⛔ การพึ่งพา AI และโซเชียลมีเดียมากเกินไปอาจทำให้สมองเสื่อมคุณภาพ ⛔ เยาวชนเสี่ยงต่อการสูญเสียทักษะการคิดวิเคราะห์และการจดจำ ⛔ หากไม่ปรับการใช้เทคโนโลยี อาจกระทบต่อระบบการศึกษาและคุณภาพแรงงานในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/17/how-ai-and-social-media-contribute-to-brain-rot
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How AI and social media contribute to 'brain rot'
    A.I. search tools, chatbots and social media are associated with lower cognitive performance, studies say. What to do?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Selective Agency – ทำไมเราถึงไม่พยายามจริงในบางเรื่องของชีวิต”

    บทความเริ่มจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Cate Hall ที่เผชิญกับการถูกสตอล์กออนไลน์อย่างรุนแรง เธอเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” อยู่หลายปี แม้จะมีความสามารถและทรัพยากรในการแก้ปัญหา แต่กลับไม่ลงมือจริงจัง จนกระทั่งสามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจต่างประเทศ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า ที่ผ่านมาเธอไม่ได้ “Actually Trying” หรือพยายามจริง ๆ

    Cate อธิบายว่า คนเรามักจะมี Selective Agency คือมีความสามารถสูงในบางด้าน เช่น การทำงานหรือการสร้างนวัตกรรม แต่กลับใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ไม่ก้าวหน้าในอีกด้านหนึ่ง เช่น ความสัมพันธ์หรือสุขภาพจิต เรามักจะติดอยู่กับแนวทางที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ และไม่กลับมาทบทวนใหม่เมื่อเรามีศักยภาพมากขึ้น

    เธอยกตัวอย่างว่า หลายคนที่เป็นนักนวัตกรรมเก่ง ๆ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลก แต่กลับบ่นว่า “ไม่มีคนดี ๆ ในแอปหาคู่” หรือคนที่เคยลองบำบัดเมื่ออายุ 20 แล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับว่า “ฉันเป็นคนวิตกกังวลตลอดไป” โดยไม่กลับมาลองวิธีใหม่ ๆ ทั้งที่ในงาน พวกเขาใช้ความพยายามและความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง

    แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ Alexander Technique เรื่อง “Faulty sensory appreciation” ที่บอกว่า สิ่งที่เรารู้สึกว่า “ถูกต้อง” อาจเป็นเพียงความเคยชินที่ผิด เช่น การเกร็งร่างกายจนรู้สึกเหมือนยืนตัวตรง ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน ความพยายามที่ใช้แรงใจมาก ๆ อาจทำให้เราหลงคิดว่าเรากำลัง “พยายามจริง” ทั้งที่จริงแล้วเรายังไม่ได้ใช้ทรัพยากรและความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่เต็มที่

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Selective Agency
    คนเรามีความสามารถสูงในบางด้าน แต่ไม่ใช้ศักยภาพเต็มที่ในอีกด้าน
    มักติดอยู่กับวิธีแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่

    ตัวอย่างจากชีวิตจริง
    Cate Hall ถูกสตอล์กออนไลน์ แต่เลือกนิ่งเฉยหลายปี
    สามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจ ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย

    การเปรียบเทียบกับชีวิตคนทั่วไป
    นักนวัตกรรมเก่ง ๆ แต่ไม่พยายามจริงในความสัมพันธ์
    คนที่เคยลองบำบัดแล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับปัญหาเป็นนิสัยถาวร

    คำเตือนและข้อคิด
    ความรู้สึกว่า “พยายามแล้ว” อาจเป็นเพียงการใช้แรงใจ ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรจริง
    การไม่กลับมาทบทวนวิธีแก้ปัญหาใหม่ อาจทำให้เราติดอยู่กับปัญหาเดิมไปตลอด

    https://usefulfictions.substack.com/p/maybe-youre-not-actually-trying
    📰 “Selective Agency – ทำไมเราถึงไม่พยายามจริงในบางเรื่องของชีวิต” บทความเริ่มจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Cate Hall ที่เผชิญกับการถูกสตอล์กออนไลน์อย่างรุนแรง เธอเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” อยู่หลายปี แม้จะมีความสามารถและทรัพยากรในการแก้ปัญหา แต่กลับไม่ลงมือจริงจัง จนกระทั่งสามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจต่างประเทศ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า ที่ผ่านมาเธอไม่ได้ “Actually Trying” หรือพยายามจริง ๆ Cate อธิบายว่า คนเรามักจะมี Selective Agency คือมีความสามารถสูงในบางด้าน เช่น การทำงานหรือการสร้างนวัตกรรม แต่กลับใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ไม่ก้าวหน้าในอีกด้านหนึ่ง เช่น ความสัมพันธ์หรือสุขภาพจิต เรามักจะติดอยู่กับแนวทางที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ และไม่กลับมาทบทวนใหม่เมื่อเรามีศักยภาพมากขึ้น เธอยกตัวอย่างว่า หลายคนที่เป็นนักนวัตกรรมเก่ง ๆ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลก แต่กลับบ่นว่า “ไม่มีคนดี ๆ ในแอปหาคู่” หรือคนที่เคยลองบำบัดเมื่ออายุ 20 แล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับว่า “ฉันเป็นคนวิตกกังวลตลอดไป” โดยไม่กลับมาลองวิธีใหม่ ๆ ทั้งที่ในงาน พวกเขาใช้ความพยายามและความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ Alexander Technique เรื่อง “Faulty sensory appreciation” ที่บอกว่า สิ่งที่เรารู้สึกว่า “ถูกต้อง” อาจเป็นเพียงความเคยชินที่ผิด เช่น การเกร็งร่างกายจนรู้สึกเหมือนยืนตัวตรง ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน ความพยายามที่ใช้แรงใจมาก ๆ อาจทำให้เราหลงคิดว่าเรากำลัง “พยายามจริง” ทั้งที่จริงแล้วเรายังไม่ได้ใช้ทรัพยากรและความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่เต็มที่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Selective Agency ➡️ คนเรามีความสามารถสูงในบางด้าน แต่ไม่ใช้ศักยภาพเต็มที่ในอีกด้าน ➡️ มักติดอยู่กับวิธีแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ ✅ ตัวอย่างจากชีวิตจริง ➡️ Cate Hall ถูกสตอล์กออนไลน์ แต่เลือกนิ่งเฉยหลายปี ➡️ สามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจ ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย ✅ การเปรียบเทียบกับชีวิตคนทั่วไป ➡️ นักนวัตกรรมเก่ง ๆ แต่ไม่พยายามจริงในความสัมพันธ์ ➡️ คนที่เคยลองบำบัดแล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับปัญหาเป็นนิสัยถาวร ‼️ คำเตือนและข้อคิด ⛔ ความรู้สึกว่า “พยายามแล้ว” อาจเป็นเพียงการใช้แรงใจ ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรจริง ⛔ การไม่กลับมาทบทวนวิธีแก้ปัญหาใหม่ อาจทำให้เราติดอยู่กับปัญหาเดิมไปตลอด https://usefulfictions.substack.com/p/maybe-youre-not-actually-trying
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครบรอบ 16 ปีของ Go

    เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ทีม Go ได้ฉลองครบรอบ 16 ปีของการเปิดซอร์ส Go โดยในปีนี้มีการออกเวอร์ชัน Go 1.24 และ Go 1.25 ซึ่งยังคงรักษาจังหวะการออกเวอร์ชันที่สม่ำเสมอ จุดเด่นคือการเพิ่ม API ใหม่เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเบื้องหลังที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น.

    ฟีเจอร์ใหม่ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์
    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ testing/synctest package ที่ช่วยให้การทดสอบโค้ด asynchronous และ concurrent ง่ายขึ้น โดยสามารถ “virtualize time” ทำให้การทดสอบที่เคยช้าและไม่เสถียร กลายเป็นรวดเร็วและเชื่อถือได้ นอกจากนี้ Go 1.25 ยังเปิดตัว container-aware scheduling ที่ปรับการทำงานของ workload ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์โดยอัตโนมัติ ลดปัญหา CPU throttling และเพิ่มความพร้อมใช้งานในระดับ production.

    ความปลอดภัยและมาตรฐานใหม่
    Go ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัท Trail of Bits โดยพบเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อย และยังได้รับการรับรอง CAVP ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การรับรอง FIPS 140-3 ที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด อีกทั้งยังมี API ใหม่อย่าง os.Root ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่ควรเข้าถึง ทำให้ระบบมีความปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น.

    Green Tea Garbage Collector และอนาคต
    Go 1.25 เปิดตัว Green Tea garbage collector ที่ลด overhead ได้ 10–40% และใน Go 1.26 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น พร้อมรองรับ AVX-512 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10% นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา gopls language server และ automatic code modernizers ที่ช่วยให้นักพัฒนาปรับโค้ดให้ทันสมัยโดยอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับ Anthropic และ Google เพื่อสร้าง Go MCP SDK และ ADK Go สำหรับการพัฒนา multi-agent applications.

    สรุปสาระสำคัญ
    ครบรอบ 16 ปีของ Go
    เปิดตัว Go 1.24 และ Go 1.25 พร้อมฟีเจอร์ใหม่
    เน้นความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ

    ฟีเจอร์ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์
    synctest package ทำให้การทดสอบ concurrent ง่ายขึ้น
    container-aware scheduling ลด CPU throttling

    ความปลอดภัยและมาตรฐาน
    ผ่านการตรวจสอบจาก Trail of Bits
    เตรียมรับรอง FIPS 140-3 และเพิ่ม os.Root API

    Green Tea Garbage Collector
    ลด overhead ได้สูงสุด 40%
    จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้นใน Go 1.26

    Ecosystem และอนาคต
    gopls language server พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    มี automatic code modernizers และ Go MCP SDK

    ความท้าทาย
    ต้องรักษาความเข้ากันได้กับโค้ดเก่าและ idioms เดิม
    ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ AI และ hardware รุ่นใหม่

    https://go.dev/blog/16years
    🎉 ครบรอบ 16 ปีของ Go เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ทีม Go ได้ฉลองครบรอบ 16 ปีของการเปิดซอร์ส Go โดยในปีนี้มีการออกเวอร์ชัน Go 1.24 และ Go 1.25 ซึ่งยังคงรักษาจังหวะการออกเวอร์ชันที่สม่ำเสมอ จุดเด่นคือการเพิ่ม API ใหม่เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเบื้องหลังที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น. 🧪 ฟีเจอร์ใหม่ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์ หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ testing/synctest package ที่ช่วยให้การทดสอบโค้ด asynchronous และ concurrent ง่ายขึ้น โดยสามารถ “virtualize time” ทำให้การทดสอบที่เคยช้าและไม่เสถียร กลายเป็นรวดเร็วและเชื่อถือได้ นอกจากนี้ Go 1.25 ยังเปิดตัว container-aware scheduling ที่ปรับการทำงานของ workload ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์โดยอัตโนมัติ ลดปัญหา CPU throttling และเพิ่มความพร้อมใช้งานในระดับ production. 🔐 ความปลอดภัยและมาตรฐานใหม่ Go ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัท Trail of Bits โดยพบเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อย และยังได้รับการรับรอง CAVP ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การรับรอง FIPS 140-3 ที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด อีกทั้งยังมี API ใหม่อย่าง os.Root ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่ควรเข้าถึง ทำให้ระบบมีความปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น. 🍵 Green Tea Garbage Collector และอนาคต Go 1.25 เปิดตัว Green Tea garbage collector ที่ลด overhead ได้ 10–40% และใน Go 1.26 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น พร้อมรองรับ AVX-512 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10% นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา gopls language server และ automatic code modernizers ที่ช่วยให้นักพัฒนาปรับโค้ดให้ทันสมัยโดยอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับ Anthropic และ Google เพื่อสร้าง Go MCP SDK และ ADK Go สำหรับการพัฒนา multi-agent applications. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ครบรอบ 16 ปีของ Go ➡️ เปิดตัว Go 1.24 และ Go 1.25 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เน้นความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ ✅ ฟีเจอร์ด้านการทดสอบและคอนเทนเนอร์ ➡️ synctest package ทำให้การทดสอบ concurrent ง่ายขึ้น ➡️ container-aware scheduling ลด CPU throttling ✅ ความปลอดภัยและมาตรฐาน ➡️ ผ่านการตรวจสอบจาก Trail of Bits ➡️ เตรียมรับรอง FIPS 140-3 และเพิ่ม os.Root API ✅ Green Tea Garbage Collector ➡️ ลด overhead ได้สูงสุด 40% ➡️ จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้นใน Go 1.26 ✅ Ecosystem และอนาคต ➡️ gopls language server พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ มี automatic code modernizers และ Go MCP SDK ‼️ ความท้าทาย ⛔ ต้องรักษาความเข้ากันได้กับโค้ดเก่าและ idioms เดิม ⛔ ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ AI และ hardware รุ่นใหม่ https://go.dev/blog/16years
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลรั่วไหลจาก AIPAC – กระทบผู้ใช้งานหลายร้อยราย

    องค์กร AIPAC (American Israel Public Affairs Committee) เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล (data breach) หลังมีการเข้าถึงระบบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2025 และพบว่ามีการเข้าถึงไฟล์ตั้งแต่ ตุลาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025

    รายละเอียดการรั่วไหล
    ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูลระบุตัวบุคคล (Personally Identifiable Information – PII) เช่น ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัตรประชาชน, พาสปอร์ต, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลธนาคาร รวมถึงข้อมูลที่อาจใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือการปลอมแปลงตัวตน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน 810 คน โดยมีผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐ Maine รวมอยู่ด้วย

    การตอบสนองของ AIPAC
    องค์กรได้เริ่มแจ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 และยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย AIPAC ได้เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ผ่าน IDX เป็นเวลา 12 เดือน ครอบคลุมการตรวจสอบเครดิต, CyberScan monitoring, ประกันภัย และบริการกู้คืนตัวตน

    มาตรการเสริมความปลอดภัย
    หลังเหตุการณ์นี้ AIPAC ได้เพิ่มมาตรการใหม่ เช่น posture controls, non-human identity controls, email data loss prevention, Microsoft 365 access controls, privilege alerts, geolocation restrictions และ audit functions เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก

    รายละเอียดเหตุการณ์
    เกิดการเข้าถึงไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่าง ต.ค. 2024 – ก.พ. 2025
    ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง PII และข้อมูลทางการเงิน
    ผู้ได้รับผลกระทบรวม 810 คน

    การตอบสนองของ AIPAC
    แจ้งผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 13 พ.ย. 2025
    เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ฟรี 12 เดือน

    มาตรการใหม่เพื่อความปลอดภัย
    เพิ่มระบบตรวจสอบสิทธิ์, การป้องกันข้อมูลสูญหาย และการจำกัดการเข้าถึง

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือปลอมแปลงตัวตน
    แม้ยังไม่พบการใช้งานข้อมูล แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่
    ผู้ได้รับผลกระทบควรตรวจสอบเครดิตและธุรกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง

    https://hackread.com/aipac-data-breach-hundreds-affected/
    🔓 ข้อมูลรั่วไหลจาก AIPAC – กระทบผู้ใช้งานหลายร้อยราย องค์กร AIPAC (American Israel Public Affairs Committee) เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล (data breach) หลังมีการเข้าถึงระบบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2025 และพบว่ามีการเข้าถึงไฟล์ตั้งแต่ ตุลาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025 📑 รายละเอียดการรั่วไหล ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูลระบุตัวบุคคล (Personally Identifiable Information – PII) เช่น ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัตรประชาชน, พาสปอร์ต, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลธนาคาร รวมถึงข้อมูลที่อาจใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือการปลอมแปลงตัวตน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน 810 คน โดยมีผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐ Maine รวมอยู่ด้วย 🛡️ การตอบสนองของ AIPAC องค์กรได้เริ่มแจ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 และยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย AIPAC ได้เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ผ่าน IDX เป็นเวลา 12 เดือน ครอบคลุมการตรวจสอบเครดิต, CyberScan monitoring, ประกันภัย และบริการกู้คืนตัวตน 🔧 มาตรการเสริมความปลอดภัย หลังเหตุการณ์นี้ AIPAC ได้เพิ่มมาตรการใหม่ เช่น posture controls, non-human identity controls, email data loss prevention, Microsoft 365 access controls, privilege alerts, geolocation restrictions และ audit functions เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ✅ รายละเอียดเหตุการณ์ ➡️ เกิดการเข้าถึงไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่าง ต.ค. 2024 – ก.พ. 2025 ➡️ ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง PII และข้อมูลทางการเงิน ➡️ ผู้ได้รับผลกระทบรวม 810 คน ✅ การตอบสนองของ AIPAC ➡️ แจ้งผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 13 พ.ย. 2025 ➡️ เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ฟรี 12 เดือน ✅ มาตรการใหม่เพื่อความปลอดภัย ➡️ เพิ่มระบบตรวจสอบสิทธิ์, การป้องกันข้อมูลสูญหาย และการจำกัดการเข้าถึง ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือปลอมแปลงตัวตน ⛔ แม้ยังไม่พบการใช้งานข้อมูล แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่ ⛔ ผู้ได้รับผลกระทบควรตรวจสอบเครดิตและธุรกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง https://hackread.com/aipac-data-breach-hundreds-affected/
    HACKREAD.COM
    AIPAC Discloses Data Breach, Says Hundreds Affected
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน pgAdmin เสี่ยง RCE ผ่าน Dump Files

    ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่กระทบต่อเวอร์ชัน ≤ 9.9 โดยช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-12762 (CVSS 9.1) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ pgAdmin ทำงานใน server mode และผู้ใช้ทำการ restore ไฟล์ PostgreSQL dump แบบ PLAIN-format หากไฟล์ถูกปรับแต่งโดยผู้โจมตี จะสามารถฝังคำสั่งระบบและรันบนเซิร์ฟเวอร์ได้ทันที ส่งผลให้เกิดการ ยึดครองระบบเต็มรูปแบบ

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกเปิดเผยพร้อมกัน เช่น

    CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows เนื่องจากการใช้ shell=True ในการ backup/restore

    CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ในขั้นตอน authentication ทำให้เกิด DoS

    CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass ใน LDAP ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่เหล่านี้กระทบต่อ ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 และมีผลต่อทั้ง Windows และระบบที่ใช้ LDAP authentication หากไม่อัปเดต อาจทำให้ข้อมูลในฐานข้อมูลถูกขโมยหรือระบบถูกควบคุมจากระยะไกล

    ทีมพัฒนาแนะนำให้อัปเดตเป็น pgAdmin v9.10 ทันที เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด และองค์กรที่ใช้ LDAP หรือ Windows environment ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบใน pgAdmin
    CVE-2025-12762 (CVSS 9.1): RCE ผ่าน PLAIN-format dump files
    CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows
    CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ทำให้เกิด DoS
    CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการถูกยึดครองเซิร์ฟเวอร์
    ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือถูกแก้ไข
    LDAP และ Windows environment มีความเสี่ยงสูง

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 ได้รับผลกระทบ
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ RCE หรือ MITM
    องค์กรที่ใช้ LDAP authentication ต้องเร่งอัปเดตเพื่อป้องกันการรั่วไหลของ credentials

    https://securityonline.info/critical-pgadmin-flaws-cve-2025-12762-cvss-9-1-allow-remote-code-execution-via-postgresql-dump-files/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน pgAdmin เสี่ยง RCE ผ่าน Dump Files ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่กระทบต่อเวอร์ชัน ≤ 9.9 โดยช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-12762 (CVSS 9.1) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ pgAdmin ทำงานใน server mode และผู้ใช้ทำการ restore ไฟล์ PostgreSQL dump แบบ PLAIN-format หากไฟล์ถูกปรับแต่งโดยผู้โจมตี จะสามารถฝังคำสั่งระบบและรันบนเซิร์ฟเวอร์ได้ทันที ส่งผลให้เกิดการ ยึดครองระบบเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกเปิดเผยพร้อมกัน เช่น CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows เนื่องจากการใช้ shell=True ในการ backup/restore CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ในขั้นตอน authentication ทำให้เกิด DoS CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass ใน LDAP ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่เหล่านี้กระทบต่อ ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 และมีผลต่อทั้ง Windows และระบบที่ใช้ LDAP authentication หากไม่อัปเดต อาจทำให้ข้อมูลในฐานข้อมูลถูกขโมยหรือระบบถูกควบคุมจากระยะไกล ทีมพัฒนาแนะนำให้อัปเดตเป็น pgAdmin v9.10 ทันที เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด และองค์กรที่ใช้ LDAP หรือ Windows environment ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบใน pgAdmin ➡️ CVE-2025-12762 (CVSS 9.1): RCE ผ่าน PLAIN-format dump files ➡️ CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows ➡️ CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ทำให้เกิด DoS ➡️ CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกยึดครองเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือถูกแก้ไข ➡️ LDAP และ Windows environment มีความเสี่ยงสูง ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 ได้รับผลกระทบ ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ RCE หรือ MITM ⛔ องค์กรที่ใช้ LDAP authentication ต้องเร่งอัปเดตเพื่อป้องกันการรั่วไหลของ credentials https://securityonline.info/critical-pgadmin-flaws-cve-2025-12762-cvss-9-1-allow-remote-code-execution-via-postgresql-dump-files/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical pgAdmin Flaws (CVE-2025-12762, CVSS 9.1) Allow Remote Code Execution via PostgreSQL Dump Files
    pgAdmin patched four flaws. The Critical RCE (CVE-2025-12762) risks arbitrary code execution via malicious PostgreSQL dump files. LDAP Injection (CVE-2025-12764) and TLS Bypass were also fixed. Update to v9.10.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน Lynx+ Gateway

    หน่วยงาน Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่หลายรายการในอุปกรณ์ Lynx+ Gateway ที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมและ OT (Operational Technology) โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-58083 ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุด มีคะแนน CVSS 10.0 เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในฟังก์ชันสำคัญ ทำให้ผู้โจมตีสามารถ รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลได้ทันที

    นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ เช่น
    CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): การตั้งรหัสผ่านที่อ่อนแอ เสี่ยงต่อการ brute-force
    CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ขาดการตรวจสอบสิทธิ์ในการดึงข้อมูล ทำให้เข้าถึงข้อมูลภายในได้
    CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): การส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านและข้อมูลได้

    สิ่งที่น่ากังวลคือ GIC ไม่ตอบสนองต่อการประสานงานกับ CISA ทำให้ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น การจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย, ใช้ firewall, และตรวจสอบ traffic อย่างเข้มงวด เนื่องจากอุปกรณ์นี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบควบคุมอุตสาหกรรม การโจมตีอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ

    ในภาพรวม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ IoT และ OT devices ที่มักมีการออกแบบโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และเมื่อผู้ผลิตไม่ตอบสนองต่อการแก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้จะกลายเป็นภัยถาวรที่องค์กรต้องรับมือเอง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบใน Lynx+ Gateway
    CVE-2025-58083 (CVSS 10.0): รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): รหัสผ่านอ่อนแอ เสี่ยง brute-force
    CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ดึงข้อมูลภายในโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): ส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext

    ผลกระทบต่อระบบอุตสาหกรรม
    เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต
    ข้อมูลภายในและ credentials อาจถูกขโมย

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ผู้ผลิต GIC ไม่ตอบสนองต่อการเปิดเผยช่องโหว่
    ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น firewall และ network segmentation
    ช่องโหว่ใน IoT/OT devices มักถูกละเลยด้านความปลอดภัย ทำให้เป็นเป้าหมายโจมตีถาวร

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-lynx-gateway-flaw-cvss-10-0-allows-unauthenticated-remote-reset-vendor-non-responsive/
    ⚠️ ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน Lynx+ Gateway หน่วยงาน Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่หลายรายการในอุปกรณ์ Lynx+ Gateway ที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมและ OT (Operational Technology) โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-58083 ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุด มีคะแนน CVSS 10.0 เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในฟังก์ชันสำคัญ ทำให้ผู้โจมตีสามารถ รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลได้ทันที นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ เช่น 🪲 CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): การตั้งรหัสผ่านที่อ่อนแอ เสี่ยงต่อการ brute-force 🪲 CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ขาดการตรวจสอบสิทธิ์ในการดึงข้อมูล ทำให้เข้าถึงข้อมูลภายในได้ 🪲 CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): การส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านและข้อมูลได้ สิ่งที่น่ากังวลคือ GIC ไม่ตอบสนองต่อการประสานงานกับ CISA ทำให้ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น การจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย, ใช้ firewall, และตรวจสอบ traffic อย่างเข้มงวด เนื่องจากอุปกรณ์นี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบควบคุมอุตสาหกรรม การโจมตีอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ ในภาพรวม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ IoT และ OT devices ที่มักมีการออกแบบโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และเมื่อผู้ผลิตไม่ตอบสนองต่อการแก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้จะกลายเป็นภัยถาวรที่องค์กรต้องรับมือเอง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบใน Lynx+ Gateway ➡️ CVE-2025-58083 (CVSS 10.0): รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): รหัสผ่านอ่อนแอ เสี่ยง brute-force ➡️ CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ดึงข้อมูลภายในโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): ส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ✅ ผลกระทบต่อระบบอุตสาหกรรม ➡️ เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต ➡️ ข้อมูลภายในและ credentials อาจถูกขโมย ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ผู้ผลิต GIC ไม่ตอบสนองต่อการเปิดเผยช่องโหว่ ⛔ ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น firewall และ network segmentation ⛔ ช่องโหว่ใน IoT/OT devices มักถูกละเลยด้านความปลอดภัย ทำให้เป็นเป้าหมายโจมตีถาวร https://securityonline.info/cisa-warns-critical-lynx-gateway-flaw-cvss-10-0-allows-unauthenticated-remote-reset-vendor-non-responsive/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical Lynx+ Gateway Flaw (CVSS 10.0) Allows Unauthenticated Remote Reset; Vendor Non-Responsive
    CISA warned of four flaws in Lynx+ Gateway. The Critical (CVSS 10.0) Auth Bypass allows unauthenticated remote reset and cleartext credential theft. Vendor GIC has not responded to CISA.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • NSM ผนึกสมาคมวิทย์ฯ เปิดเวทีประชุมนานาชาติ , ชูประเด็น “การสื่อสารวิทยาศาสตร์แนวหน้าในยุคแห่งความท้าทาย” แลกเปลี่ยนองค์ความรู้–เทคโนโลยี รับมือโลกดิจิทัล ดึงผู้เชี่ยวชาญ 5 ประเทศร่วมเสวนา

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109463

    #News1live #News1 #NSM #วิทยาศาสตร์ #การสื่อสารวิทยาศาสตร์ #STT51 #ประชุมวิชาการ #นวัตกรรม #sciencecommunication #newsupdate
    NSM ผนึกสมาคมวิทย์ฯ เปิดเวทีประชุมนานาชาติ , ชูประเด็น “การสื่อสารวิทยาศาสตร์แนวหน้าในยุคแห่งความท้าทาย” แลกเปลี่ยนองค์ความรู้–เทคโนโลยี รับมือโลกดิจิทัล ดึงผู้เชี่ยวชาญ 5 ประเทศร่วมเสวนา • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109463 • #News1live #News1 #NSM #วิทยาศาสตร์ #การสื่อสารวิทยาศาสตร์ #STT51 #ประชุมวิชาการ #นวัตกรรม #sciencecommunication #newsupdate
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • Rust-based CLI Tools: ทางเลือกใหม่แทนคำสั่งดั้งเดิม

    เครื่องมือ CLI ดั้งเดิมของ Linux เช่น ls, cat, และ du แม้จะทำงานได้ดี แต่ขาดความสามารถด้านการแสดงผลที่ทันสมัย เช่น สี ไอคอน หรือการจัดรูปแบบที่อ่านง่าย ภาษา Rust จึงเข้ามาเติมเต็มด้วยเครื่องมือใหม่ที่ทั้ง เร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่าย โดยมี UX ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน

    ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น
    exa (แทน ls): เพิ่มสี ไอคอน และการเชื่อมต่อกับ Git
    bat (แทน cat): มี syntax highlighting และเลขบรรทัด
    dust (แทน du): แสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์แบบกราฟิกอ่านง่าย
    ripgrep (แทน grep): ค้นหาไฟล์ได้เร็วขึ้น พร้อมสีและรองรับ .gitignore
    duf (แทน df): แสดงข้อมูลดิสก์ในรูปแบบตารางที่ชัดเจน
    procs (แทน ps): แสดง process แบบ color-coded อ่านง่าย
    tldr (แทน man): คู่มือสั้น กระชับ พร้อมตัวอย่างการใช้งาน

    ประสบการณ์ใช้งานที่ทันสมัย
    เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังทำให้การใช้ terminal สนุกและสะดวกกว่าเดิม เช่น bottom ที่แทน top ด้วยการแสดงผลแบบกราฟสีสันสดใส หรือ hyperfine ที่ช่วย benchmark คำสั่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย การใช้งานจึงไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของ ความพึงพอใจและความสวยงาม

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ
    แม้เครื่องมือ Rust-based จะน่าสนใจ แต่บทความเตือนว่า ผู้ดูแลระบบ (sysadmin) ไม่ควรพึ่งพาเครื่องมือเหล่านี้บนเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากไม่ใช่ทุกระบบที่จะติดตั้งได้ง่าย และอาจไม่พร้อมใช้งานในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง เครื่องมือเหล่านี้เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัวที่ผู้ใช้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้เต็มที่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Rust-based CLI Tools เป็นทางเลือกใหม่แทนคำสั่ง Linux ดั้งเดิม
    เน้นความเร็ว ความปลอดภัย และ UX ที่ทันสมัย

    ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น
    exa, bat, dust, ripgrep, duf, procs, tldr, broot, zoxide, lsd, bottom, hyperfine, xplr

    เพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่สนุกและสะดวกกว่าเดิม
    รองรับสี ไอคอน กราฟ และการเชื่อมต่อกับ Git

    ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์จริง
    ผู้ดูแลระบบอาจไม่สามารถติดตั้งหรือใช้งานได้ทุกระบบ

    เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัว
    เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมและติดตั้งเครื่องมือได้ตามต้องการ

    https://itsfoss.com/rust-alternative-cli-tools/
    ⚙️ Rust-based CLI Tools: ทางเลือกใหม่แทนคำสั่งดั้งเดิม เครื่องมือ CLI ดั้งเดิมของ Linux เช่น ls, cat, และ du แม้จะทำงานได้ดี แต่ขาดความสามารถด้านการแสดงผลที่ทันสมัย เช่น สี ไอคอน หรือการจัดรูปแบบที่อ่านง่าย ภาษา Rust จึงเข้ามาเติมเต็มด้วยเครื่องมือใหม่ที่ทั้ง เร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่าย โดยมี UX ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน 🌈 ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น 💠 exa (แทน ls): เพิ่มสี ไอคอน และการเชื่อมต่อกับ Git 💠 bat (แทน cat): มี syntax highlighting และเลขบรรทัด 💠 dust (แทน du): แสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์แบบกราฟิกอ่านง่าย 💠 ripgrep (แทน grep): ค้นหาไฟล์ได้เร็วขึ้น พร้อมสีและรองรับ .gitignore 💠 duf (แทน df): แสดงข้อมูลดิสก์ในรูปแบบตารางที่ชัดเจน 💠 procs (แทน ps): แสดง process แบบ color-coded อ่านง่าย 💠 tldr (แทน man): คู่มือสั้น กระชับ พร้อมตัวอย่างการใช้งาน 🚀 ประสบการณ์ใช้งานที่ทันสมัย เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังทำให้การใช้ terminal สนุกและสะดวกกว่าเดิม เช่น bottom ที่แทน top ด้วยการแสดงผลแบบกราฟสีสันสดใส หรือ hyperfine ที่ช่วย benchmark คำสั่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย การใช้งานจึงไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของ ความพึงพอใจและความสวยงาม ⚠️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ แม้เครื่องมือ Rust-based จะน่าสนใจ แต่บทความเตือนว่า ผู้ดูแลระบบ (sysadmin) ไม่ควรพึ่งพาเครื่องมือเหล่านี้บนเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากไม่ใช่ทุกระบบที่จะติดตั้งได้ง่าย และอาจไม่พร้อมใช้งานในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง เครื่องมือเหล่านี้เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัวที่ผู้ใช้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้เต็มที่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Rust-based CLI Tools เป็นทางเลือกใหม่แทนคำสั่ง Linux ดั้งเดิม ➡️ เน้นความเร็ว ความปลอดภัย และ UX ที่ทันสมัย ✅ ตัวอย่างเครื่องมือที่โดดเด่น ➡️ exa, bat, dust, ripgrep, duf, procs, tldr, broot, zoxide, lsd, bottom, hyperfine, xplr ✅ เพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่สนุกและสะดวกกว่าเดิม ➡️ รองรับสี ไอคอน กราฟ และการเชื่อมต่อกับ Git ‼️ ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์จริง ⛔ ผู้ดูแลระบบอาจไม่สามารถติดตั้งหรือใช้งานได้ทุกระบบ ‼️ เหมาะกับการใช้งานบนเครื่องส่วนตัว ⛔ เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมและติดตั้งเครื่องมือได้ตามต้องการ https://itsfoss.com/rust-alternative-cli-tools/
    ITSFOSS.COM
    Better Than Original? 14 Rust-based Alternative CLI Tools to Classic Linux Commands
    Hyped on the Rust wagon? How about using these Rust-based, modern, easier to use, better-looking alternatives to the classic Linux commands.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • Doxing, Sealioning, and Rage Farming: The Language of Online Harassment and Disinformation

    We know all too well that the internet isn’t all fun memes and hamster videos. The darker side of online life is home to trolls, spammers, and many varieties of toxic behavior, spanning from tactics intended to harass one person to nefarious attempts to spread harmful disinformation as widely as possible. For many of the practices that play out exclusively online, specialized terms have emerged, allowing us to name and shine a light on some of these actions—and their real-life consequences.

    sealioning
    Sealioning is a specific type of trolling. The general term trolling refers to harassing someone online with the intent of getting a (negative) reaction out of them. In the case of sealioning, a troll will relentlessly harass someone with questions or requests for evidence in an attempt to upset them and make their position or viewpoint seem weak or unreasonable. Sealioning is often disguised as earnest curiosity or interest in debate, but the real goal is to troll someone until they get angry or upset.

    Sealioning is a common trolling tactic used on social media. For example, a Twitter user might say that they support a higher minimum wage. In response, a sealioning troll might repeatedly and relentlessly ask them for sources that would prove the merits of higher pay scales or demand that they write detailed explanations of how increased wages have affected the economies of the world. The troll will not stop until the other person angrily lashes out (or blocks them), thus allowing the troll to paint themselves as the victim and then claim to have won the “debate” over the issue. Those who engage in sealioning are never actually interested in legitimately debating—the point is to harass and attempt to diminish.

    doxing
    Doxing, or doxxing, is the act of publishing someone’s personal information or revealing their identity without their consent. The term comes from the word docs (short for documents). Doxing is often done in an attempt to intimidate someone by invading their privacy and causing them to fear for their safety, especially due to the threats they often receive after having been doxed.

    In many cases, doxing involves revealing the identity and information of people who were otherwise anonymous or using an alias. For example, a hacker might post the real name and home address of a popular streamer or influencer who is otherwise known by a fake name. Sometimes, celebrities are the target of doxing. In one prominent incident in 2013, several high-profile celebrities, including Beyoncé and Kim Kardashian, were the victims of doxing after a hacker publicly revealed their addresses, social security numbers, and financial documents online. In a more recent instance, a Twitch gaming streamer known online as XQc was doxed and then repeatedly targeted with the practice known as swatting.

    swatting
    The term swatting refers to the practice of initiating a law enforcement response on an unsuspecting victim. Though swatting results in real-world actions, it often originates online or with the aid of digital means, such as by using software to anonymously contact 911 and report a threat or illegal activity at the target’s residence. The practice is especially used to target public figures. The word is based on the term SWAT, referring to the special police tactical units that respond to emergencies. Obviously, swatting is extremely dangerous due to the unpredictable nature of such scenarios, when law enforcement officials believe they are entering a highly dangerous situation.

    brigading
    In online contexts, the word brigading refers to a practice in which people join together to perform a coordinated action, such as rigging an online poll, downvoting or disliking content, or harassing a specific individual or group. Brigading is similar to the online practice known as dogpiling, which involves many people joining in on the act of insulting or harassing someone. Unlike dogpiling, which may be spontaneous, brigading typically follows a coordinated plan.

    Both the practice and the name for it are often traced to the forum website Reddit, where brigading (which is explicitly against the site’s rules) typically involves one community joining together to mass downvote content or to disrupt a community by posting a large amount of spam, abuse, or trolling comments. For example, a person who posts a negative review of a TV show may be targeted by users of that show’s fan forum, whose brigading might consist of messaging the original poster with abusive comments.

    firehosing
    Firehosing is a propaganda tactic that involves releasing a large amount of false information in a very short amount of time. Due to the resources often needed to pull off such an expansive disinformation strategy, the term firehosing is most often used to refer to the alleged actions of large organizations or governments.

    For example, the term firehosing has been used to describe Russian propaganda during the 2014 annexation of Crimea and the 2022 invasion of Ukraine; Chinese propaganda in response to reporting on Uyghur Muslims in 2021; and numerous incidents in which President Donald Trump and members of his administration were accused of spreading false information.

    astroturfing
    Astroturfing is a deception tactic in which an organized effort is used to create the illusion of widespread, spontaneous support for something. The goal of astroturfing is to give the false impression that something has wide support from a passionate grassroots campaign when in reality the effort is (secretly) motivated by a person or group’s personal interest. Like firehosing, the term astroturfing is often used in the context of large organizations and governments due to the resources needed to perform it.

    For example, the term has been repeatedly applied to the deceptive information practices allegedly used by the Russian government, such as attempts to create the perception of universal support for Russian president Vladimir Putin or to create the illusion of widespread opposition to Ukrainian president Volodymyr Zelenskyy during the 2022 Russian invasion of Ukraine. Elsewhere, astroturfing has been used by the media and public figures to describe attempts by businesses and special interest groups to falsely create the impression of popular support, such as for fracking, vaping, and denial of the existence of climate change.

    rage farming
    Rage farming is a slang term that refers to the practice of posting intentionally provocative political content in order to take advantage of a negative reaction that garners exposure and media attention.

    The term rage farming emerged in early 2022, first being used to describe a social media tactic used by conservative groups, such as the Texas Republican Party. The term was applied to the practice of purposefully posting provocative memes and other content in order to anger liberal opponents. The word farming in the term refers to its apparent goal of generating a large amount of critical and angry comments in hopes that the negative response draws media exposure and attention and attracts support—and donations—from like-minded people.

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    Doxing, Sealioning, and Rage Farming: The Language of Online Harassment and Disinformation We know all too well that the internet isn’t all fun memes and hamster videos. The darker side of online life is home to trolls, spammers, and many varieties of toxic behavior, spanning from tactics intended to harass one person to nefarious attempts to spread harmful disinformation as widely as possible. For many of the practices that play out exclusively online, specialized terms have emerged, allowing us to name and shine a light on some of these actions—and their real-life consequences. sealioning Sealioning is a specific type of trolling. The general term trolling refers to harassing someone online with the intent of getting a (negative) reaction out of them. In the case of sealioning, a troll will relentlessly harass someone with questions or requests for evidence in an attempt to upset them and make their position or viewpoint seem weak or unreasonable. Sealioning is often disguised as earnest curiosity or interest in debate, but the real goal is to troll someone until they get angry or upset. Sealioning is a common trolling tactic used on social media. For example, a Twitter user might say that they support a higher minimum wage. In response, a sealioning troll might repeatedly and relentlessly ask them for sources that would prove the merits of higher pay scales or demand that they write detailed explanations of how increased wages have affected the economies of the world. The troll will not stop until the other person angrily lashes out (or blocks them), thus allowing the troll to paint themselves as the victim and then claim to have won the “debate” over the issue. Those who engage in sealioning are never actually interested in legitimately debating—the point is to harass and attempt to diminish. doxing Doxing, or doxxing, is the act of publishing someone’s personal information or revealing their identity without their consent. The term comes from the word docs (short for documents). Doxing is often done in an attempt to intimidate someone by invading their privacy and causing them to fear for their safety, especially due to the threats they often receive after having been doxed. In many cases, doxing involves revealing the identity and information of people who were otherwise anonymous or using an alias. For example, a hacker might post the real name and home address of a popular streamer or influencer who is otherwise known by a fake name. Sometimes, celebrities are the target of doxing. In one prominent incident in 2013, several high-profile celebrities, including Beyoncé and Kim Kardashian, were the victims of doxing after a hacker publicly revealed their addresses, social security numbers, and financial documents online. In a more recent instance, a Twitch gaming streamer known online as XQc was doxed and then repeatedly targeted with the practice known as swatting. swatting The term swatting refers to the practice of initiating a law enforcement response on an unsuspecting victim. Though swatting results in real-world actions, it often originates online or with the aid of digital means, such as by using software to anonymously contact 911 and report a threat or illegal activity at the target’s residence. The practice is especially used to target public figures. The word is based on the term SWAT, referring to the special police tactical units that respond to emergencies. Obviously, swatting is extremely dangerous due to the unpredictable nature of such scenarios, when law enforcement officials believe they are entering a highly dangerous situation. brigading In online contexts, the word brigading refers to a practice in which people join together to perform a coordinated action, such as rigging an online poll, downvoting or disliking content, or harassing a specific individual or group. Brigading is similar to the online practice known as dogpiling, which involves many people joining in on the act of insulting or harassing someone. Unlike dogpiling, which may be spontaneous, brigading typically follows a coordinated plan. Both the practice and the name for it are often traced to the forum website Reddit, where brigading (which is explicitly against the site’s rules) typically involves one community joining together to mass downvote content or to disrupt a community by posting a large amount of spam, abuse, or trolling comments. For example, a person who posts a negative review of a TV show may be targeted by users of that show’s fan forum, whose brigading might consist of messaging the original poster with abusive comments. firehosing Firehosing is a propaganda tactic that involves releasing a large amount of false information in a very short amount of time. Due to the resources often needed to pull off such an expansive disinformation strategy, the term firehosing is most often used to refer to the alleged actions of large organizations or governments. For example, the term firehosing has been used to describe Russian propaganda during the 2014 annexation of Crimea and the 2022 invasion of Ukraine; Chinese propaganda in response to reporting on Uyghur Muslims in 2021; and numerous incidents in which President Donald Trump and members of his administration were accused of spreading false information. astroturfing Astroturfing is a deception tactic in which an organized effort is used to create the illusion of widespread, spontaneous support for something. The goal of astroturfing is to give the false impression that something has wide support from a passionate grassroots campaign when in reality the effort is (secretly) motivated by a person or group’s personal interest. Like firehosing, the term astroturfing is often used in the context of large organizations and governments due to the resources needed to perform it. For example, the term has been repeatedly applied to the deceptive information practices allegedly used by the Russian government, such as attempts to create the perception of universal support for Russian president Vladimir Putin or to create the illusion of widespread opposition to Ukrainian president Volodymyr Zelenskyy during the 2022 Russian invasion of Ukraine. Elsewhere, astroturfing has been used by the media and public figures to describe attempts by businesses and special interest groups to falsely create the impression of popular support, such as for fracking, vaping, and denial of the existence of climate change. rage farming Rage farming is a slang term that refers to the practice of posting intentionally provocative political content in order to take advantage of a negative reaction that garners exposure and media attention. The term rage farming emerged in early 2022, first being used to describe a social media tactic used by conservative groups, such as the Texas Republican Party. The term was applied to the practice of purposefully posting provocative memes and other content in order to anger liberal opponents. The word farming in the term refers to its apparent goal of generating a large amount of critical and angry comments in hopes that the negative response draws media exposure and attention and attracts support—and donations—from like-minded people. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cisco เตือนช่องโหว่ Privilege Escalation (CVE-2025-20341)

    Cisco ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับช่องโหว่ใหม่ใน Catalyst Center Virtual Appliance ที่ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-20341 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 8.8 ถือว่าอยู่ในระดับสูง ช่องโหว่นี้เกิดจากการ ตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้ส่งเข้ามาไม่เพียงพอ ทำให้ผู้โจมตีที่มีบัญชีผู้ใช้ระดับต่ำ (Observer) สามารถส่ง HTTP Request ที่ถูกปรับแต่งพิเศษ เพื่อยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น Administrator ได้

    หากการโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถทำการแก้ไขระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การสร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่, การปรับสิทธิ์ของตนเอง หรือการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเครือข่ายองค์กรโดยตรง

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Catalyst Center เวอร์ชัน 2.3.7.3-VA และใหม่กว่า แต่ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.3.7.10-VA ขณะที่เวอร์ชัน 3.1 ไม่ได้รับผลกระทบ Cisco ยืนยันว่า ณ วันที่ประกาศยังไม่มีหลักฐานว่าช่องโหว่นี้ถูกนำไปใช้โจมตีจริง แต่แนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันที

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความสำคัญของการ Patch Management และการตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้อย่างเข้มงวด เพราะแม้ผู้โจมตีจะมีสิทธิ์ต่ำ แต่หากมีช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ยกระดับสิทธิ์ ก็สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อระบบได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-20341
    เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้ไม่เพียงพอ
    ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ Observer สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น Administrator ได้

    ผลกระทบ
    อาจสร้างบัญชีใหม่, ปรับสิทธิ์, หรือแก้ไขการตั้งค่าระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
    มีคะแนน CVSS 8.8 ระดับ High Severity

    การแก้ไข
    Cisco ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2.3.7.10-VA
    Catalyst Center 3.1 ไม่ได้รับผลกระทบ

    คำเตือนต่อองค์กร
    หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียการควบคุมระบบ
    การละเลยการจัดการ Patch Management อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบเครือข่ายทั้งหมด

    https://securityonline.info/cisco-warns-of-high-severity-privilege-escalation-flaw-cve-2025-20341-in-catalyst-center-virtual-appliance/
    🔐 Cisco เตือนช่องโหว่ Privilege Escalation (CVE-2025-20341) Cisco ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับช่องโหว่ใหม่ใน Catalyst Center Virtual Appliance ที่ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-20341 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 8.8 ถือว่าอยู่ในระดับสูง ช่องโหว่นี้เกิดจากการ ตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้ส่งเข้ามาไม่เพียงพอ ทำให้ผู้โจมตีที่มีบัญชีผู้ใช้ระดับต่ำ (Observer) สามารถส่ง HTTP Request ที่ถูกปรับแต่งพิเศษ เพื่อยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น Administrator ได้ หากการโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถทำการแก้ไขระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การสร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่, การปรับสิทธิ์ของตนเอง หรือการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเครือข่ายองค์กรโดยตรง ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Catalyst Center เวอร์ชัน 2.3.7.3-VA และใหม่กว่า แต่ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.3.7.10-VA ขณะที่เวอร์ชัน 3.1 ไม่ได้รับผลกระทบ Cisco ยืนยันว่า ณ วันที่ประกาศยังไม่มีหลักฐานว่าช่องโหว่นี้ถูกนำไปใช้โจมตีจริง แต่แนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันที เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความสำคัญของการ Patch Management และการตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้อย่างเข้มงวด เพราะแม้ผู้โจมตีจะมีสิทธิ์ต่ำ แต่หากมีช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ยกระดับสิทธิ์ ก็สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อระบบได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-20341 ➡️ เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้ไม่เพียงพอ ➡️ ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ Observer สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น Administrator ได้ ✅ ผลกระทบ ➡️ อาจสร้างบัญชีใหม่, ปรับสิทธิ์, หรือแก้ไขการตั้งค่าระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ มีคะแนน CVSS 8.8 ระดับ High Severity ✅ การแก้ไข ➡️ Cisco ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2.3.7.10-VA ➡️ Catalyst Center 3.1 ไม่ได้รับผลกระทบ ‼️ คำเตือนต่อองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียการควบคุมระบบ ⛔ การละเลยการจัดการ Patch Management อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบเครือข่ายทั้งหมด https://securityonline.info/cisco-warns-of-high-severity-privilege-escalation-flaw-cve-2025-20341-in-catalyst-center-virtual-appliance/
    SECURITYONLINE.INFO
    Cisco Warns of High-Severity Privilege Escalation Flaw (CVE-2025-20341) in Catalyst Center Virtual Appliance
    Cisco patched a High-severity EoP flaw (CVE-2025-20341) in Catalyst Center Virtual Appliance. A low-privileged Observer user can remotely elevate privileges to Administrator via a crafted HTTP request.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qualcomm เปิดตัว Dragonwing IQ-X: พลัง AI 45 TOPS สำหรับโรงงานอัจฉริยะ

    Qualcomm ประกาศเปิดตัวซีรีส์ Dragonwing IQ-X ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อ Industrial PCs (IPCs) และระบบควบคุมในโรงงาน โดยใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU ที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งการทำงานแบบ Single-thread และ Multi-thread จุดเด่นคือการรวม Neural Processing Unit (NPU) ที่สามารถประมวลผล AI ได้สูงสุดถึง 45 TOPS ทำให้สามารถรันงาน AI ได้โดยตรงบนอุปกรณ์โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud

    ซีรีส์นี้ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm และมีคอร์ประสิทธิภาพสูง 8–12 คอร์ รองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่รุนแรง โดยสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C นอกจากนี้ยังรองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC และเครื่องมือมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น Qt, CODESYS และ EtherCAT

    Qualcomm เน้นว่าการออกแบบ Dragonwing IQ-X ใช้ COM form factor ทำให้สามารถนำไปใช้แทนบอร์ดเดิมได้ทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มโมดูล AI หรือมัลติมีเดียภายนอก ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับใช้ในระบบอุตสาหกรรม

    ผู้ผลิตรายใหญ่หลายราย เช่น Advantech, NEXCOM, Portwell, Congatec, Kontron, Tria และ SECO ได้เริ่มนำ Dragonwing IQ-X ไปใช้ในผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคาดว่าอุปกรณ์เชิงพาณิชย์ที่ใช้ซีรีส์นี้จะเริ่มวางจำหน่ายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Dragonwing IQ-X เปิดตัวเพื่อ Industrial PCs
    ใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU พร้อม NPU 45 TOPS
    รองรับงาน AI เช่น Predictive Maintenance และ Defect Detection

    คุณสมบัติทางเทคนิค
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm
    มีคอร์ 8–12 คอร์ และรองรับอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C

    การรองรับซอฟต์แวร์
    รองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC
    ใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น Qt, CODESYS, EtherCAT

    การนำไปใช้จริง
    ใช้ COM form factor ลดต้นทุน BOM
    ผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายเริ่มนำไปใช้แล้ว

    คำเตือนต่อผู้ใช้งานอุตสาหกรรม
    หากไม่อัปเดตระบบให้รองรับ AI อาจเสียเปรียบด้านประสิทธิภาพและต้นทุน
    การละเลยการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่อาจทำให้ระบบโรงงานล้าหลังในการแข่งขัน

    https://securityonline.info/qualcomm-launches-dragonwing-iq-x-oryon-cpu-brings-45-tops-edge-ai-to-factory-pcs/
    ⚙️ Qualcomm เปิดตัว Dragonwing IQ-X: พลัง AI 45 TOPS สำหรับโรงงานอัจฉริยะ Qualcomm ประกาศเปิดตัวซีรีส์ Dragonwing IQ-X ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อ Industrial PCs (IPCs) และระบบควบคุมในโรงงาน โดยใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU ที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งการทำงานแบบ Single-thread และ Multi-thread จุดเด่นคือการรวม Neural Processing Unit (NPU) ที่สามารถประมวลผล AI ได้สูงสุดถึง 45 TOPS ทำให้สามารถรันงาน AI ได้โดยตรงบนอุปกรณ์โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud ซีรีส์นี้ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm และมีคอร์ประสิทธิภาพสูง 8–12 คอร์ รองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่รุนแรง โดยสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C นอกจากนี้ยังรองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC และเครื่องมือมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น Qt, CODESYS และ EtherCAT Qualcomm เน้นว่าการออกแบบ Dragonwing IQ-X ใช้ COM form factor ทำให้สามารถนำไปใช้แทนบอร์ดเดิมได้ทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มโมดูล AI หรือมัลติมีเดียภายนอก ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับใช้ในระบบอุตสาหกรรม ผู้ผลิตรายใหญ่หลายราย เช่น Advantech, NEXCOM, Portwell, Congatec, Kontron, Tria และ SECO ได้เริ่มนำ Dragonwing IQ-X ไปใช้ในผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคาดว่าอุปกรณ์เชิงพาณิชย์ที่ใช้ซีรีส์นี้จะเริ่มวางจำหน่ายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Dragonwing IQ-X เปิดตัวเพื่อ Industrial PCs ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU พร้อม NPU 45 TOPS ➡️ รองรับงาน AI เช่น Predictive Maintenance และ Defect Detection ✅ คุณสมบัติทางเทคนิค ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm ➡️ มีคอร์ 8–12 คอร์ และรองรับอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C ✅ การรองรับซอฟต์แวร์ ➡️ รองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC ➡️ ใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น Qt, CODESYS, EtherCAT ✅ การนำไปใช้จริง ➡️ ใช้ COM form factor ลดต้นทุน BOM ➡️ ผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายเริ่มนำไปใช้แล้ว ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งานอุตสาหกรรม ⛔ หากไม่อัปเดตระบบให้รองรับ AI อาจเสียเปรียบด้านประสิทธิภาพและต้นทุน ⛔ การละเลยการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่อาจทำให้ระบบโรงงานล้าหลังในการแข่งขัน https://securityonline.info/qualcomm-launches-dragonwing-iq-x-oryon-cpu-brings-45-tops-edge-ai-to-factory-pcs/
    SECURITYONLINE.INFO
    Qualcomm Launches Dragonwing IQ-X: Oryon CPU Brings 45 TOPS Edge AI to Factory PCs
    Qualcomm launches Dragonwing IQ-X, its first industrial PC processor with Oryon CPUs, 45 TOPS of AI power, and a rugged design for factory edge controllers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DSL Router (CVE-2025-59367)

    ASUS ได้ประกาศเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับช่องโหว่ Authentication Bypass ในเราเตอร์ตระกูล DSL ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-59367 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.3 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ทำให้สามารถแก้ไขการตั้งค่า, ดักจับข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือแม้กระทั่งนำอุปกรณ์ไปเข้าร่วมใน Botnet

    ASUS ได้ออกเฟิร์มแวร์ใหม่เพื่อแก้ไขปัญหานี้สำหรับรุ่นที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้า Support ของ ASUS เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    สำหรับรุ่นที่หมดอายุการสนับสนุน (EOL) ASUS แนะนำให้ผู้ใช้ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access, Port Forwarding, DDNS, VPN Server, DMZ และ FTP เพื่อจำกัดความเสี่ยง แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดโอกาสการถูกโจมตีลง

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการจัดการความปลอดภัยในอุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก เพราะการละเลยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลหรือการถูกควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-59367
    เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่เปิดให้เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    มีคะแนน CVSS 9.3 ระดับ Critical

    การแก้ไขจาก ASUS
    ออกเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับรุ่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750
    ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    คำแนะนำสำหรับรุ่น EOL
    ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access และ Port Forwarding
    ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกับบริการอื่น

    คำเตือนต่อผู้ใช้งาน
    หากไม่อัปเดตหรือไม่ปิดบริการเสี่ยง อุปกรณ์อาจถูกโจมตีและเข้าร่วม Botnet
    การละเลยการจัดการความปลอดภัยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลและการถูกควบคุมระบบ

    https://securityonline.info/critical-asus-dsl-router-flaw-cve-2025-59367-cvss-9-3-allows-unauthenticated-remote-access/
    🚨 ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DSL Router (CVE-2025-59367) ASUS ได้ประกาศเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับช่องโหว่ Authentication Bypass ในเราเตอร์ตระกูล DSL ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-59367 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.3 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ทำให้สามารถแก้ไขการตั้งค่า, ดักจับข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือแม้กระทั่งนำอุปกรณ์ไปเข้าร่วมใน Botnet ASUS ได้ออกเฟิร์มแวร์ใหม่เพื่อแก้ไขปัญหานี้สำหรับรุ่นที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้า Support ของ ASUS เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น สำหรับรุ่นที่หมดอายุการสนับสนุน (EOL) ASUS แนะนำให้ผู้ใช้ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access, Port Forwarding, DDNS, VPN Server, DMZ และ FTP เพื่อจำกัดความเสี่ยง แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดโอกาสการถูกโจมตีลง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการจัดการความปลอดภัยในอุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก เพราะการละเลยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลหรือการถูกควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-59367 ➡️ เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่เปิดให้เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ➡️ มีคะแนน CVSS 9.3 ระดับ Critical ✅ การแก้ไขจาก ASUS ➡️ ออกเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับรุ่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ คำแนะนำสำหรับรุ่น EOL ➡️ ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access และ Port Forwarding ➡️ ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกับบริการอื่น ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งาน ⛔ หากไม่อัปเดตหรือไม่ปิดบริการเสี่ยง อุปกรณ์อาจถูกโจมตีและเข้าร่วม Botnet ⛔ การละเลยการจัดการความปลอดภัยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลและการถูกควบคุมระบบ https://securityonline.info/critical-asus-dsl-router-flaw-cve-2025-59367-cvss-9-3-allows-unauthenticated-remote-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical ASUS DSL Router Flaw (CVE-2025-59367, CVSS 9.3) Allows Unauthenticated Remote Access
    ASUS released an urgent patch for a Critical (CVSS 9.3) Auth Bypass flaw (CVE-2025-59367) in its DSL Series Routers. The bug allows remote attackers to gain unauthorized access without credentials. Update firmware immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

    การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก

    สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ

    Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb
    เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้

    Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ
    ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2

    Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ
    กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่

    ความเสี่ยงจากการโจมตี
    มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง

    องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า
    เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ

    https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb ➡️ เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้ ✅ Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ➡️ ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2 ✅ Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ ➡️ กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่ ‼️ ความเสี่ยงจากการโจมตี ⛔ มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง ‼️ องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    ZERO-DAY ATTACK WARNING: Fortinet FortiWeb Exploit Grants Unauthenticated Admin Access!
    Cybersecurity firms warn of a Critical, actively exploited FortiWeb flaw that allows unauthenticated attackers to create a new administrator account on the FortiWeb Manager panel. Update to v8.0.2 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • Checkout.com ยืนหยัดต่อกรกับการขู่กรรโชกไซเบอร์

    Checkout.com บริษัทด้านการชำระเงินระดับโลกออกแถลงการณ์ว่าเพิ่งถูกกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ “ShinyHunters” พยายามขู่กรรโชก โดยเจาะเข้าระบบเก็บไฟล์เก่าที่เคยใช้ในปี 2020 แต่ไม่ได้ปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ แม้ข้อมูลบางส่วนของลูกค้าอาจได้รับผลกระทบ แต่ระบบประมวลผลการชำระเงินสดใหม่ยังปลอดภัย ไม่ถูกแตะต้อง และไม่มีเงินหรือข้อมูลบัตรเครดิตรั่วไหล

    สิ่งที่น่าสนใจคือบริษัทเลือกที่จะไม่จ่ายค่าไถ่ แต่กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม

    จากข้อมูลเพิ่มเติมในโลกไซเบอร์ปี 2025 กลุ่ม ShinyHunters ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่มีการจับมือกับกลุ่ม Scattered Spider และ LAPSUS$ เพื่อทำการโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรม (social engineering) เช่นการโทรหลอก (vishing) และสร้างแอปปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูล สิ่งนี้สะท้อนว่าการโจมตีไซเบอร์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น

    สรุป
    เหตุการณ์การขู่กรรโชก
    กลุ่ม ShinyHunters เจาะระบบไฟล์เก่า ไม่กระทบระบบจ่ายเงินสดใหม่

    การตอบสนองของบริษัท
    ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่บริจาคเงินเพื่อวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์

    ความเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์
    ShinyHunters จับมือกับกลุ่มอื่น ใช้เทคนิค vishing และ phishing ที่ซับซ้อน

    คำเตือน
    ธุรกิจที่ยังใช้ระบบเก่าโดยไม่ปิดอย่างถูกต้องเสี่ยงต่อการถูกเจาะข้อมูล
    การโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรมกำลังเป็นภัยที่ยากต่อการป้องกัน

    https://www.checkout.com/blog/protecting-our-merchants-standing-up-to-extortion
    🛡️ Checkout.com ยืนหยัดต่อกรกับการขู่กรรโชกไซเบอร์ Checkout.com บริษัทด้านการชำระเงินระดับโลกออกแถลงการณ์ว่าเพิ่งถูกกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ “ShinyHunters” พยายามขู่กรรโชก โดยเจาะเข้าระบบเก็บไฟล์เก่าที่เคยใช้ในปี 2020 แต่ไม่ได้ปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ แม้ข้อมูลบางส่วนของลูกค้าอาจได้รับผลกระทบ แต่ระบบประมวลผลการชำระเงินสดใหม่ยังปลอดภัย ไม่ถูกแตะต้อง และไม่มีเงินหรือข้อมูลบัตรเครดิตรั่วไหล สิ่งที่น่าสนใจคือบริษัทเลือกที่จะไม่จ่ายค่าไถ่ แต่กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม จากข้อมูลเพิ่มเติมในโลกไซเบอร์ปี 2025 กลุ่ม ShinyHunters ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่มีการจับมือกับกลุ่ม Scattered Spider และ LAPSUS$ เพื่อทำการโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรม (social engineering) เช่นการโทรหลอก (vishing) และสร้างแอปปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูล สิ่งนี้สะท้อนว่าการโจมตีไซเบอร์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น 📌 สรุป ✅ เหตุการณ์การขู่กรรโชก ➡️ กลุ่ม ShinyHunters เจาะระบบไฟล์เก่า ไม่กระทบระบบจ่ายเงินสดใหม่ ✅ การตอบสนองของบริษัท ➡️ ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่บริจาคเงินเพื่อวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ ความเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์ ➡️ ShinyHunters จับมือกับกลุ่มอื่น ใช้เทคนิค vishing และ phishing ที่ซับซ้อน ‼️ คำเตือน ⛔ ธุรกิจที่ยังใช้ระบบเก่าโดยไม่ปิดอย่างถูกต้องเสี่ยงต่อการถูกเจาะข้อมูล ⛔ การโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรมกำลังเป็นภัยที่ยากต่อการป้องกัน https://www.checkout.com/blog/protecting-our-merchants-standing-up-to-extortion
    WWW.CHECKOUT.COM
    Protecting our Merchants: Standing up to Extortion
    Our statement detailing an incident concerning a legacy system. We outline our commitment to transparency, accountability, and planned investment in cyber security research.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts