เมื่อก่อนหลายองค์กรชอบแนวคิด “มัลติคลาวด์” — ใช้ทั้ง AWS, Azure, Google Cloud หรืออื่น ๆ พร้อมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลี่ยง vendor lock-in
แต่ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ การใช้หลายคลาวด์มีต้นทุนสูงมาก, ทั้งในด้านเงิน, ทักษะทีม, และความปลอดภัย เช่น:
- ทีมไอทีต้องเชี่ยวชาญคลาวด์หลายเจ้าพร้อมกัน (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้)
- นโยบายความปลอดภัยทำให้ต้องเขียนแยกกันทุกคลาวด์
- ระบบ billing ของคลาวด์อ่านยากเหมือนงบการเงินรวมกับเกมโชว์
องค์กรจึงเริ่ม หันไปใช้คลาวด์เจ้าเดียวหรือแค่ 1–2 เจ้าเท่านั้น, เพื่อคุมต้นทุน และลดความซับซ้อน
บางองค์กรถึงขั้น “ย้ายกลับมาใช้ระบบภายใน” เช่น Zoom ที่ซื้อ GPU มาติดตั้งเอง เพราะควบคุมความเร็วและต้นทุนได้มากกว่า
อีกเทรนด์คือการหันไปใช้ container (คอนเทนเนอร์) แทน VM แบบเก่า เพราะยืดหยุ่นกว่า และเคลื่อนย้ายระหว่างคลาวด์ได้ง่ายขึ้น — แต่ต้องจัดการ security เฉพาะทางของ container ด้วย
✅ หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อควบคุมความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย
• จากเดิมที่ใช้ 3–4 เจ้า เหลือแค่ 1–2 รายหลัก เช่น AWS + Azure
✅ “มัลติคลาวด์” เพิ่มภาระทีมไอทีและเสี่ยง security policy ไม่สอดคล้องกัน
• วิศวกรคลาวด์มักถนัดแค่ 1–2 แพลตฟอร์มเท่านั้น
• การทำ automation หรือ IaC ข้ามคลาวด์ทำได้ยากมาก
✅ ต้นทุนของคลาวด์มีความไม่แน่นอนสูง และระบบคิดเงินเข้าใจยาก
• มีค่า data transfer, failover, pricing models ที่เปลี่ยนบ่อย
• เรียกว่า “cloud sticker shock” เมื่อต้องเจอบิลรายเดือนครั้งแรก
✅ บางองค์กรเลือก repatriation – ย้ายกลับมาใช้งาน on-premises หรือ hybrid cloud แทน
• เช่น Zoom และบริษัทที่ต้องใช้ GPU หนัก ๆ สำหรับ AI
✅ คอนเทนเนอร์กลายเป็นทางเลือกหลัก
• ทำให้การโยก workload ง่ายขึ้น
• แต่ต้องเข้าใจ security model สำหรับ container เป็นพิเศษ
✅ เครื่องมืออย่าง CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) ช่วยรวม policy ความปลอดภัยจากหลายคลาวด์
• ลดปัญหา “tool sprawl” และความสับสนในทีม security
✅ แนะนำให้เริ่มจาก risk analysis ชัดเจนก่อนเลือก tool
• ใช้เครื่องมือพื้นฐานของคลาวด์เจ้าเดิมก่อนซื้อของแพงจาก third-party
https://www.csoonline.com/article/4010489/how-to-make-your-multicloud-security-more-effective.html
แต่ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ การใช้หลายคลาวด์มีต้นทุนสูงมาก, ทั้งในด้านเงิน, ทักษะทีม, และความปลอดภัย เช่น:
- ทีมไอทีต้องเชี่ยวชาญคลาวด์หลายเจ้าพร้อมกัน (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้)
- นโยบายความปลอดภัยทำให้ต้องเขียนแยกกันทุกคลาวด์
- ระบบ billing ของคลาวด์อ่านยากเหมือนงบการเงินรวมกับเกมโชว์
องค์กรจึงเริ่ม หันไปใช้คลาวด์เจ้าเดียวหรือแค่ 1–2 เจ้าเท่านั้น, เพื่อคุมต้นทุน และลดความซับซ้อน
บางองค์กรถึงขั้น “ย้ายกลับมาใช้ระบบภายใน” เช่น Zoom ที่ซื้อ GPU มาติดตั้งเอง เพราะควบคุมความเร็วและต้นทุนได้มากกว่า
อีกเทรนด์คือการหันไปใช้ container (คอนเทนเนอร์) แทน VM แบบเก่า เพราะยืดหยุ่นกว่า และเคลื่อนย้ายระหว่างคลาวด์ได้ง่ายขึ้น — แต่ต้องจัดการ security เฉพาะทางของ container ด้วย
✅ หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อควบคุมความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย
• จากเดิมที่ใช้ 3–4 เจ้า เหลือแค่ 1–2 รายหลัก เช่น AWS + Azure
✅ “มัลติคลาวด์” เพิ่มภาระทีมไอทีและเสี่ยง security policy ไม่สอดคล้องกัน
• วิศวกรคลาวด์มักถนัดแค่ 1–2 แพลตฟอร์มเท่านั้น
• การทำ automation หรือ IaC ข้ามคลาวด์ทำได้ยากมาก
✅ ต้นทุนของคลาวด์มีความไม่แน่นอนสูง และระบบคิดเงินเข้าใจยาก
• มีค่า data transfer, failover, pricing models ที่เปลี่ยนบ่อย
• เรียกว่า “cloud sticker shock” เมื่อต้องเจอบิลรายเดือนครั้งแรก
✅ บางองค์กรเลือก repatriation – ย้ายกลับมาใช้งาน on-premises หรือ hybrid cloud แทน
• เช่น Zoom และบริษัทที่ต้องใช้ GPU หนัก ๆ สำหรับ AI
✅ คอนเทนเนอร์กลายเป็นทางเลือกหลัก
• ทำให้การโยก workload ง่ายขึ้น
• แต่ต้องเข้าใจ security model สำหรับ container เป็นพิเศษ
✅ เครื่องมืออย่าง CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) ช่วยรวม policy ความปลอดภัยจากหลายคลาวด์
• ลดปัญหา “tool sprawl” และความสับสนในทีม security
✅ แนะนำให้เริ่มจาก risk analysis ชัดเจนก่อนเลือก tool
• ใช้เครื่องมือพื้นฐานของคลาวด์เจ้าเดิมก่อนซื้อของแพงจาก third-party
https://www.csoonline.com/article/4010489/how-to-make-your-multicloud-security-more-effective.html
เมื่อก่อนหลายองค์กรชอบแนวคิด “มัลติคลาวด์” — ใช้ทั้ง AWS, Azure, Google Cloud หรืออื่น ๆ พร้อมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลี่ยง vendor lock-in
แต่ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ การใช้หลายคลาวด์มีต้นทุนสูงมาก, ทั้งในด้านเงิน, ทักษะทีม, และความปลอดภัย เช่น:
- ทีมไอทีต้องเชี่ยวชาญคลาวด์หลายเจ้าพร้อมกัน (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้)
- นโยบายความปลอดภัยทำให้ต้องเขียนแยกกันทุกคลาวด์
- ระบบ billing ของคลาวด์อ่านยากเหมือนงบการเงินรวมกับเกมโชว์
องค์กรจึงเริ่ม หันไปใช้คลาวด์เจ้าเดียวหรือแค่ 1–2 เจ้าเท่านั้น, เพื่อคุมต้นทุน และลดความซับซ้อน
บางองค์กรถึงขั้น “ย้ายกลับมาใช้ระบบภายใน” เช่น Zoom ที่ซื้อ GPU มาติดตั้งเอง เพราะควบคุมความเร็วและต้นทุนได้มากกว่า
อีกเทรนด์คือการหันไปใช้ container (คอนเทนเนอร์) แทน VM แบบเก่า เพราะยืดหยุ่นกว่า และเคลื่อนย้ายระหว่างคลาวด์ได้ง่ายขึ้น — แต่ต้องจัดการ security เฉพาะทางของ container ด้วย
✅ หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อควบคุมความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย
• จากเดิมที่ใช้ 3–4 เจ้า เหลือแค่ 1–2 รายหลัก เช่น AWS + Azure
✅ “มัลติคลาวด์” เพิ่มภาระทีมไอทีและเสี่ยง security policy ไม่สอดคล้องกัน
• วิศวกรคลาวด์มักถนัดแค่ 1–2 แพลตฟอร์มเท่านั้น
• การทำ automation หรือ IaC ข้ามคลาวด์ทำได้ยากมาก
✅ ต้นทุนของคลาวด์มีความไม่แน่นอนสูง และระบบคิดเงินเข้าใจยาก
• มีค่า data transfer, failover, pricing models ที่เปลี่ยนบ่อย
• เรียกว่า “cloud sticker shock” เมื่อต้องเจอบิลรายเดือนครั้งแรก
✅ บางองค์กรเลือก repatriation – ย้ายกลับมาใช้งาน on-premises หรือ hybrid cloud แทน
• เช่น Zoom และบริษัทที่ต้องใช้ GPU หนัก ๆ สำหรับ AI
✅ คอนเทนเนอร์กลายเป็นทางเลือกหลัก
• ทำให้การโยก workload ง่ายขึ้น
• แต่ต้องเข้าใจ security model สำหรับ container เป็นพิเศษ
✅ เครื่องมืออย่าง CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) ช่วยรวม policy ความปลอดภัยจากหลายคลาวด์
• ลดปัญหา “tool sprawl” และความสับสนในทีม security
✅ แนะนำให้เริ่มจาก risk analysis ชัดเจนก่อนเลือก tool
• ใช้เครื่องมือพื้นฐานของคลาวด์เจ้าเดิมก่อนซื้อของแพงจาก third-party
https://www.csoonline.com/article/4010489/how-to-make-your-multicloud-security-more-effective.html
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
22 มุมมอง
0 รีวิว