• โมเดลแห่งความสุข กับโทสต์สุดอร่อยกับเราที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲

    𝐎𝐮𝐫 𝐭𝐨𝐚𝐬𝐭, 𝐚 𝐭𝐫𝐮𝐞 𝐦𝐨𝐝𝐞𝐥 𝐨𝐟 𝐡𝐚𝐩𝐩𝐢𝐧𝐞𝐬𝐬 𝐨𝐧 𝐩𝐥𝐚𝐭𝐞!

    ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylove
    โมเดลแห่งความสุข กับโทสต์สุดอร่อยกับเราที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲⛱️ 𝐎𝐮𝐫 𝐭𝐨𝐚𝐬𝐭, 𝐚 𝐭𝐫𝐮𝐞 𝐦𝐨𝐝𝐞𝐥 𝐨𝐟 𝐡𝐚𝐩𝐩𝐢𝐧𝐞𝐬𝐬 𝐨𝐧 𝐩𝐥𝐚𝐭𝐞! 🥞🍒 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylove
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • แสงสุดท้ายของเย็นนี้ที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲

    𝐖𝐞 𝐡𝐚𝐯𝐞 𝐚 𝐬𝐧𝐚𝐩𝐬𝐡𝐨𝐭 𝐟𝐨𝐫 𝐲𝐨𝐮

    ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    🌅 แสงสุดท้ายของเย็นนี้ที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲 ⛱️ 𝐖𝐞 𝐡𝐚𝐯𝐞 𝐚 𝐬𝐧𝐚𝐩𝐬𝐡𝐨𝐭 𝐟𝐨𝐫 𝐲𝐨𝐮 📷 🧡 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก GNOME 3.18 ถึง GNOME 49: เมื่อ Dash to Panel กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผู้ใช้เลือกเองได้

    Dash to Panel ซึ่งเป็นหนึ่งใน GNOME Shell Extension ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้ออกเวอร์ชันใหม่ v69 ที่รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่น ความฉลาด และการปรับแต่งที่ลึกขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมหน้าจอของตนเองแบบละเอียด

    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระบบ intellihide ได้แก่ reveal delay, hide from window on monitor, และ disable cursor reveal ซึ่งช่วยให้การซ่อน/แสดงแผงควบคุมมีความแม่นยำและไม่รบกวนการใช้งาน

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านการจัดการหน้าต่าง เช่น การเพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอนแบบไม่ grouped, การแสดงหมายเลข workspace บน preview, และการ sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation

    Dash to Panel v69 ยังแก้ไขบั๊กจำนวนมาก เช่น shortcut Super+V และ Super+S ที่ไม่ทำงานเมื่อแผงถูกซ่อนไว้, ปัญหา intellihide ที่บล็อก input, การเปลี่ยน primary monitor เมื่อถอดสาย, และการ scroll preview ที่ไม่เสถียร

    ที่น่าสนใจคือการเพิ่มระบบติดตั้งแบบ system-wide และการปรับแต่งขอบแผง (panel border styling) ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ deploy ได้ง่ายขึ้นในองค์กรหรือสภาพแวดล้อมที่มีผู้ใช้หลายคน

    การรองรับ GNOME 49
    Dash to Panel v69 รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ
    ปรับปรุงให้ทำงานได้เสถียรกับ desktop environment รุ่นล่าสุด

    ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ Intellihide
    เพิ่ม reveal delay เพื่อควบคุมเวลาการแสดงแผง
    เพิ่ม hide from window on monitor เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงแผงเมื่อมีหน้าต่างอยู่
    เพิ่ม disable cursor reveal เพื่อป้องกันการแสดงแผงโดยไม่ตั้งใจ

    การจัดการหน้าต่างและ workspace
    เพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอน
    แสดงหมายเลข workspace บน window preview
    sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation เพื่อความสอดคล้อง

    การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ
    แก้ปัญหา shortcut Super+V และ Super+S ไม่ทำงาน
    แก้ปัญหา intellihide บล็อก input และ scroll preview ไม่เสถียร
    แก้ปัญหาการเปลี่ยน primary monitor และ animation บน unlock

    การปรับปรุงด้าน deployment และ UI
    รองรับการติดตั้งแบบ system-wide สำหรับองค์กร
    เพิ่ม panel border styling เพื่อปรับแต่งขอบแผง
    ยกเลิก GTK4 FileChooser และเพิ่มข้อความขอบคุณ Zorin OS

    https://9to5linux.com/dash-to-panel-gnome-shell-extension-gets-gnome-49-support-and-new-features
    🎙️ เรื่องเล่าจาก GNOME 3.18 ถึง GNOME 49: เมื่อ Dash to Panel กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผู้ใช้เลือกเองได้ Dash to Panel ซึ่งเป็นหนึ่งใน GNOME Shell Extension ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้ออกเวอร์ชันใหม่ v69 ที่รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่น ความฉลาด และการปรับแต่งที่ลึกขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมหน้าจอของตนเองแบบละเอียด ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระบบ intellihide ได้แก่ reveal delay, hide from window on monitor, และ disable cursor reveal ซึ่งช่วยให้การซ่อน/แสดงแผงควบคุมมีความแม่นยำและไม่รบกวนการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านการจัดการหน้าต่าง เช่น การเพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอนแบบไม่ grouped, การแสดงหมายเลข workspace บน preview, และการ sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation Dash to Panel v69 ยังแก้ไขบั๊กจำนวนมาก เช่น shortcut Super+V และ Super+S ที่ไม่ทำงานเมื่อแผงถูกซ่อนไว้, ปัญหา intellihide ที่บล็อก input, การเปลี่ยน primary monitor เมื่อถอดสาย, และการ scroll preview ที่ไม่เสถียร ที่น่าสนใจคือการเพิ่มระบบติดตั้งแบบ system-wide และการปรับแต่งขอบแผง (panel border styling) ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ deploy ได้ง่ายขึ้นในองค์กรหรือสภาพแวดล้อมที่มีผู้ใช้หลายคน ✅ การรองรับ GNOME 49 ➡️ Dash to Panel v69 รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ ➡️ ปรับปรุงให้ทำงานได้เสถียรกับ desktop environment รุ่นล่าสุด ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ Intellihide ➡️ เพิ่ม reveal delay เพื่อควบคุมเวลาการแสดงแผง ➡️ เพิ่ม hide from window on monitor เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงแผงเมื่อมีหน้าต่างอยู่ ➡️ เพิ่ม disable cursor reveal เพื่อป้องกันการแสดงแผงโดยไม่ตั้งใจ ✅ การจัดการหน้าต่างและ workspace ➡️ เพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอน ➡️ แสดงหมายเลข workspace บน window preview ➡️ sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation เพื่อความสอดคล้อง ✅ การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ ➡️ แก้ปัญหา shortcut Super+V และ Super+S ไม่ทำงาน ➡️ แก้ปัญหา intellihide บล็อก input และ scroll preview ไม่เสถียร ➡️ แก้ปัญหาการเปลี่ยน primary monitor และ animation บน unlock ✅ การปรับปรุงด้าน deployment และ UI ➡️ รองรับการติดตั้งแบบ system-wide สำหรับองค์กร ➡️ เพิ่ม panel border styling เพื่อปรับแต่งขอบแผง ➡️ ยกเลิก GTK4 FileChooser และเพิ่มข้อความขอบคุณ Zorin OS https://9to5linux.com/dash-to-panel-gnome-shell-extension-gets-gnome-49-support-and-new-features
    9TO5LINUX.COM
    Dash to Panel GNOME Shell Extension Gets GNOME 49 Support and New Features - 9to5Linux
    GNOME Shell extension Dash to Panel gets a major update with new features, bug fixes, and support for the GNOME 49 desktop environment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DOOMQL: เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — เมื่อฐานข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือสร้างโลก 3D”

    ใครจะคิดว่า SQL ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้จัดการฐานข้อมูล จะสามารถใช้สร้างเกมยิงแบบ DOOM ได้ ล่าสุด Lukas Vogel นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และผู้ร่วมก่อตั้ง CedarDB ได้สร้างเกมชื่อ “DOOMQL” ซึ่งเป็นเกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย “pure SQL” ทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนระหว่างการลาคลอด

    DOOMQL ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตจากผู้เล่นและแสดงภาพ ส่วนการประมวลผลทั้งหมด — ตั้งแต่การเรนเดอร์ภาพ 3D, การเคลื่อนไหวของศัตรู, ไปจนถึงการจัดการสถานะเกม — ถูกเขียนด้วย SQL ล้วน ๆ บนฐานข้อมูล CedarDB ซึ่งทำให้เกมสามารถรันได้ที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล

    ความพิเศษของ DOOMQL คือการใช้ฐานข้อมูลเป็น “เซิร์ฟเวอร์เกม” โดยอาศัยคุณสมบัติของ SQL เช่น transaction isolation เพื่อให้ผู้เล่นแต่ละคนเห็นสถานะเกมที่สอดคล้องกัน แม้จะมีผู้เล่นหลายคนพร้อมกัน และยังสามารถ “โกง” ได้โดยการส่งคำสั่ง SQL ตรงเข้าไปในฐานข้อมูล

    Vogel ได้แรงบันดาลใจจากโปรเจกต์ DuckDB-DOOM ซึ่งใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript ในการเรนเดอร์ภาพ แต่เขามองว่าการใช้ JavaScript เป็น “การโกง” และต้องการพิสูจน์ว่า SQL เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างเกมได้จริง แม้จะยอมรับว่า “มันอาจจะเป็นไอเดียที่แย่” ในแง่ของการดูแลรักษาและดีบัก

    จุดเด่นของ DOOMQL
    เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — ไม่มี JavaScript หรือ engine ภายนอก
    ใช้ CedarDB เป็นฐานข้อมูลหลักในการจัดการสถานะและเรนเดอร์ภาพ
    รันที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล — เร็วกว่ารุ่น DuckDB ที่รันได้เพียง 8 FPS
    ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตและแสดงภาพ

    สถาปัตยกรรมของเกม
    ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในตาราง SQL เช่น map, players, mobs, inputs, sprites
    การเรนเดอร์ใช้ stack ของ SQL views ที่ทำ raycasting และ sprite projection
    game loop เป็น shell script ที่รัน SQL file ประมาณ 30 ครั้งต่อวินาที
    ผู้เล่นสามารถส่งคำสั่ง SQL เพื่อเปลี่ยนสถานะเกมหรือ “โกง” ได้โดยตรง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DuckDB-DOOM เป็นโปรเจกต์ก่อนหน้า ที่ใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript และ WebAssembly
    DOOMQL ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและนักวิจัยด้านฐานข้อมูล
    CedarDB เป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงในการ query แบบ real-time
    Vogel วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ เช่น power-ups, อาวุธหลายแบบ, AI ฝ่ายตรงข้าม และระบบ sprite ที่ดีขึ้น

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/doom-multiplayer-tribute-gets-coded-in-pure-sql-and-runs-at-30fps-made-from-just-150-lines-of-code-in-less-than-a-month
    🧠 “DOOMQL: เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — เมื่อฐานข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือสร้างโลก 3D” ใครจะคิดว่า SQL ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้จัดการฐานข้อมูล จะสามารถใช้สร้างเกมยิงแบบ DOOM ได้ ล่าสุด Lukas Vogel นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และผู้ร่วมก่อตั้ง CedarDB ได้สร้างเกมชื่อ “DOOMQL” ซึ่งเป็นเกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย “pure SQL” ทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนระหว่างการลาคลอด DOOMQL ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตจากผู้เล่นและแสดงภาพ ส่วนการประมวลผลทั้งหมด — ตั้งแต่การเรนเดอร์ภาพ 3D, การเคลื่อนไหวของศัตรู, ไปจนถึงการจัดการสถานะเกม — ถูกเขียนด้วย SQL ล้วน ๆ บนฐานข้อมูล CedarDB ซึ่งทำให้เกมสามารถรันได้ที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล ความพิเศษของ DOOMQL คือการใช้ฐานข้อมูลเป็น “เซิร์ฟเวอร์เกม” โดยอาศัยคุณสมบัติของ SQL เช่น transaction isolation เพื่อให้ผู้เล่นแต่ละคนเห็นสถานะเกมที่สอดคล้องกัน แม้จะมีผู้เล่นหลายคนพร้อมกัน และยังสามารถ “โกง” ได้โดยการส่งคำสั่ง SQL ตรงเข้าไปในฐานข้อมูล Vogel ได้แรงบันดาลใจจากโปรเจกต์ DuckDB-DOOM ซึ่งใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript ในการเรนเดอร์ภาพ แต่เขามองว่าการใช้ JavaScript เป็น “การโกง” และต้องการพิสูจน์ว่า SQL เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างเกมได้จริง แม้จะยอมรับว่า “มันอาจจะเป็นไอเดียที่แย่” ในแง่ของการดูแลรักษาและดีบัก ✅ จุดเด่นของ DOOMQL ➡️ เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — ไม่มี JavaScript หรือ engine ภายนอก ➡️ ใช้ CedarDB เป็นฐานข้อมูลหลักในการจัดการสถานะและเรนเดอร์ภาพ ➡️ รันที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล — เร็วกว่ารุ่น DuckDB ที่รันได้เพียง 8 FPS ➡️ ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตและแสดงภาพ ✅ สถาปัตยกรรมของเกม ➡️ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในตาราง SQL เช่น map, players, mobs, inputs, sprites ➡️ การเรนเดอร์ใช้ stack ของ SQL views ที่ทำ raycasting และ sprite projection ➡️ game loop เป็น shell script ที่รัน SQL file ประมาณ 30 ครั้งต่อวินาที ➡️ ผู้เล่นสามารถส่งคำสั่ง SQL เพื่อเปลี่ยนสถานะเกมหรือ “โกง” ได้โดยตรง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DuckDB-DOOM เป็นโปรเจกต์ก่อนหน้า ที่ใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript และ WebAssembly ➡️ DOOMQL ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและนักวิจัยด้านฐานข้อมูล ➡️ CedarDB เป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงในการ query แบบ real-time ➡️ Vogel วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ เช่น power-ups, อาวุธหลายแบบ, AI ฝ่ายตรงข้าม และระบบ sprite ที่ดีขึ้น https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/doom-multiplayer-tribute-gets-coded-in-pure-sql-and-runs-at-30fps-made-from-just-150-lines-of-code-in-less-than-a-month
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตแบบ ‘เปิดสวิตช์’ พร้อม ISO สำหรับนักทดสอบ แต่ยังไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น”

    Microsoft ปล่อยไฟล์ ISO สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 แล้วในวันที่ 10 กันยายน 2025 หลังจากมีความล่าช้าเล็กน้อย โดยเปิดให้ดาวน์โหลดผ่านหน้า Windows Insider สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งแบบ clean install หรืออัปเกรดด้วยตนเองก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Windows 11 25H2 ไม่ใช่การอัปเดตแบบเปลี่ยนระบบทั้งหมด แต่เป็น “enablement package” หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ที่ถูกฝังไว้แล้วในเวอร์ชัน 24H2 โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้การอัปเดตเร็วขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง และไม่กระทบกับระบบหลัก

    แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น แต่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น การลบเครื่องมือเก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMIC ออกจากระบบ รวมถึงการเปิดให้ผู้ดูแลระบบในองค์กรสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น เพื่อให้การจัดการเครื่องในองค์กรง่ายขึ้น

    สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การอัปเดตนี้อาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 และยังไม่มีฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ยกเว้นในเครื่องที่รองรับ Copilot+ ซึ่งต้องใช้ NPU ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 40 TOPS

    รายละเอียดของ Windows 11 25H2
    ปล่อย ISO สำหรับนักทดสอบเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025
    ใช้รูปแบบ “enablement package” — เปิดฟีเจอร์ที่ฝังไว้ใน 24H2
    อัปเดตเร็วขึ้น ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด และใช้พื้นที่น้อย
    Build 26200.5074 อยู่ใน Release Preview Channel

    การเปลี่ยนแปลงในระบบ
    ลบเครื่องมือเก่า เช่น PowerShell 2.0 และ WMIC
    ผู้ดูแลระบบสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2
    รองรับการอัปเดตแบบ in-place หรือ clean install ผ่าน ISO

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟีเจอร์ใหม่ถูกฝังไว้ใน 24H2 แล้ว — 25H2 แค่เปิดใช้งาน
    การอัปเดตแบบนี้เคยใช้ใน Windows 10 ระหว่าง 1903 กับ 1909
    เครื่องที่ใช้ Copilot+ จะได้ฟีเจอร์ AI เพิ่มเติม แต่ต้องมี NPU 40+ TOPS
    การอัปเดตนี้จะรีเซ็ตรอบการสนับสนุนใหม่ — 24 เดือนสำหรับทั่วไป, 36 เดือนสำหรับองค์กร

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-25h2-isos-released
    🖥️ “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตแบบ ‘เปิดสวิตช์’ พร้อม ISO สำหรับนักทดสอบ แต่ยังไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น” Microsoft ปล่อยไฟล์ ISO สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 แล้วในวันที่ 10 กันยายน 2025 หลังจากมีความล่าช้าเล็กน้อย โดยเปิดให้ดาวน์โหลดผ่านหน้า Windows Insider สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งแบบ clean install หรืออัปเกรดด้วยตนเองก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ Windows 11 25H2 ไม่ใช่การอัปเดตแบบเปลี่ยนระบบทั้งหมด แต่เป็น “enablement package” หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ที่ถูกฝังไว้แล้วในเวอร์ชัน 24H2 โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้การอัปเดตเร็วขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง และไม่กระทบกับระบบหลัก แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น แต่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น การลบเครื่องมือเก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMIC ออกจากระบบ รวมถึงการเปิดให้ผู้ดูแลระบบในองค์กรสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น เพื่อให้การจัดการเครื่องในองค์กรง่ายขึ้น สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การอัปเดตนี้อาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 และยังไม่มีฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ยกเว้นในเครื่องที่รองรับ Copilot+ ซึ่งต้องใช้ NPU ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 40 TOPS ✅ รายละเอียดของ Windows 11 25H2 ➡️ ปล่อย ISO สำหรับนักทดสอบเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ➡️ ใช้รูปแบบ “enablement package” — เปิดฟีเจอร์ที่ฝังไว้ใน 24H2 ➡️ อัปเดตเร็วขึ้น ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด และใช้พื้นที่น้อย ➡️ Build 26200.5074 อยู่ใน Release Preview Channel ✅ การเปลี่ยนแปลงในระบบ ➡️ ลบเครื่องมือเก่า เช่น PowerShell 2.0 และ WMIC ➡️ ผู้ดูแลระบบสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 ➡️ รองรับการอัปเดตแบบ in-place หรือ clean install ผ่าน ISO ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ถูกฝังไว้ใน 24H2 แล้ว — 25H2 แค่เปิดใช้งาน ➡️ การอัปเดตแบบนี้เคยใช้ใน Windows 10 ระหว่าง 1903 กับ 1909 ➡️ เครื่องที่ใช้ Copilot+ จะได้ฟีเจอร์ AI เพิ่มเติม แต่ต้องมี NPU 40+ TOPS ➡️ การอัปเดตนี้จะรีเซ็ตรอบการสนับสนุนใหม่ — 24 เดือนสำหรับทั่วไป, 36 เดือนสำหรับองค์กร https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-25h2-isos-released
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Windows 11 25H2 ISOs released after delays — upgrade switches on some features, now available for insiders
    Microsoft's fall update is now just a download away, but support won’t be available until general availability later this year.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • “มัลแวร์ยุคใหม่ไม่ต้องคลิก — เมื่อ AI ถูกหลอกด้วยคำสั่งซ่อนในไฟล์ Word และแมโคร”

    ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอย่างเงียบ ๆ และน่ากลัวกว่าที่เคย เมื่อผู้โจมตีเริ่มใช้เทคนิค “AI Prompt Injection” ผ่านไฟล์เอกสารทั่วไป เช่น Word, PDF หรือแม้แต่เรซูเม่ โดยฝังคำสั่งลับไว้ในแมโครหรือ metadata เพื่อหลอกให้ระบบ AI ที่ใช้วิเคราะห์ไฟล์หรือช่วยงานอัตโนมัติทำตามคำสั่งของผู้โจมตีโดยไม่รู้ตัว

    รายงานล่าสุดจาก CSO Online เปิดเผยว่าเทคนิคนี้ถูกใช้จริงแล้วในหลายกรณี เช่น ช่องโหว่ EchoLeak (CVE-2025-32711) ที่พบใน Microsoft 365 Copilot ซึ่งสามารถฝังคำสั่งในอีเมลหรือไฟล์ Word ให้ Copilot ประมวลผลและรันคำสั่งโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคลิกหรือเปิดไฟล์เลยด้วยซ้ำ — นี่คือ “zero-click prompt injection” ที่แท้จริง

    อีกกรณีคือ CurXecute (CVE-2025-54135) ซึ่งโจมตี Cursor IDE โดยใช้ prompt injection ผ่านไฟล์ config ที่ถูกเขียนใหม่แบบเงียบ ๆ เพื่อรันคำสั่งในเครื่องของนักพัฒนาโดยไม่รู้ตัว และ Skynet malware ที่ใช้เทคนิค “Jedi mind trick” เพื่อหลอก AI scanner ให้มองข้ามมัลแวร์

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า prompt injection ไม่ใช่แค่เรื่องของการหลอกให้ AI ตอบผิด — แต่มันคือการควบคุมพฤติกรรมของระบบ AI ทั้งชุด เช่น การสั่งให้เปิดช่องหลัง, ส่งข้อมูลลับ, หรือแม้แต่รันโค้ดอันตราย โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้เลยว่ามีคำสั่งซ่อนอยู่ในไฟล์

    รูปแบบการโจมตีแบบใหม่ด้วย AI Prompt Injection
    ฝังคำสั่งในแมโคร, VBA script หรือ metadata ของไฟล์ เช่น DOCX, PDF, EXIF
    เมื่อ AI parser อ่านไฟล์ จะรันคำสั่งโดยไม่ต้องคลิกหรือเปิดไฟล์
    ใช้เทคนิค ASCII smuggling, ฟอนต์ขนาดเล็ก, สีพื้นหลังกลืนกับข้อความ
    ตัวอย่างเช่น EchoLeak ใน Microsoft 365 Copilot และ CurXecute ใน Cursor IDE

    ผลกระทบต่อระบบ AI และองค์กร
    AI ถูกหลอกให้ส่งข้อมูลลับ, เปิดช่องทางเข้าระบบ หรือรันโค้ดอันตราย
    Skynet malware ใช้ prompt injection เพื่อหลอก AI scanner ให้มองข้ามมัลแวร์
    ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งในเรซูเม่เพื่อให้ AI job portal ดันขึ้นอันดับต้น
    การโจมตีแบบนี้ไม่ต้องใช้ payload แบบเดิม — ใช้คำสั่งแทน

    แนวทางป้องกันที่แนะนำ
    ตรวจสอบไฟล์จากแหล่งที่ไม่เชื่อถือด้วย sandbox และ static analysis
    ใช้ Content Disarm & Reconstruction (CDR) เพื่อลบเนื้อหาที่ฝังคำสั่ง
    แยกการรันแมโครออกจากระบบหลัก เช่น ใช้ protected view หรือ sandbox
    สร้างระบบ AI ที่มี guardrails และการตรวจสอบ input/output อย่างเข้มงวด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Prompt injection เคยเป็นแค่การทดลอง แต่ตอนนี้เริ่มถูกใช้จริงในมัลแวร์
    ช่องโหว่แบบ zero-click ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกโจมตี
    AI agent ที่เชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น Slack, GitHub, database ยิ่งเสี่ย
    นักวิจัยแนะนำให้องค์กรปฏิบัติต่อ AI pipeline เหมือน CI/CD pipeline — ต้องมี Zero Trust

    https://www.csoonline.com/article/4053107/ai-prompt-injection-gets-real-with-macros-the-latest-hidden-threat.html
    🧠 “มัลแวร์ยุคใหม่ไม่ต้องคลิก — เมื่อ AI ถูกหลอกด้วยคำสั่งซ่อนในไฟล์ Word และแมโคร” ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอย่างเงียบ ๆ และน่ากลัวกว่าที่เคย เมื่อผู้โจมตีเริ่มใช้เทคนิค “AI Prompt Injection” ผ่านไฟล์เอกสารทั่วไป เช่น Word, PDF หรือแม้แต่เรซูเม่ โดยฝังคำสั่งลับไว้ในแมโครหรือ metadata เพื่อหลอกให้ระบบ AI ที่ใช้วิเคราะห์ไฟล์หรือช่วยงานอัตโนมัติทำตามคำสั่งของผู้โจมตีโดยไม่รู้ตัว รายงานล่าสุดจาก CSO Online เปิดเผยว่าเทคนิคนี้ถูกใช้จริงแล้วในหลายกรณี เช่น ช่องโหว่ EchoLeak (CVE-2025-32711) ที่พบใน Microsoft 365 Copilot ซึ่งสามารถฝังคำสั่งในอีเมลหรือไฟล์ Word ให้ Copilot ประมวลผลและรันคำสั่งโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคลิกหรือเปิดไฟล์เลยด้วยซ้ำ — นี่คือ “zero-click prompt injection” ที่แท้จริง อีกกรณีคือ CurXecute (CVE-2025-54135) ซึ่งโจมตี Cursor IDE โดยใช้ prompt injection ผ่านไฟล์ config ที่ถูกเขียนใหม่แบบเงียบ ๆ เพื่อรันคำสั่งในเครื่องของนักพัฒนาโดยไม่รู้ตัว และ Skynet malware ที่ใช้เทคนิค “Jedi mind trick” เพื่อหลอก AI scanner ให้มองข้ามมัลแวร์ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า prompt injection ไม่ใช่แค่เรื่องของการหลอกให้ AI ตอบผิด — แต่มันคือการควบคุมพฤติกรรมของระบบ AI ทั้งชุด เช่น การสั่งให้เปิดช่องหลัง, ส่งข้อมูลลับ, หรือแม้แต่รันโค้ดอันตราย โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้เลยว่ามีคำสั่งซ่อนอยู่ในไฟล์ ✅ รูปแบบการโจมตีแบบใหม่ด้วย AI Prompt Injection ➡️ ฝังคำสั่งในแมโคร, VBA script หรือ metadata ของไฟล์ เช่น DOCX, PDF, EXIF ➡️ เมื่อ AI parser อ่านไฟล์ จะรันคำสั่งโดยไม่ต้องคลิกหรือเปิดไฟล์ ➡️ ใช้เทคนิค ASCII smuggling, ฟอนต์ขนาดเล็ก, สีพื้นหลังกลืนกับข้อความ ➡️ ตัวอย่างเช่น EchoLeak ใน Microsoft 365 Copilot และ CurXecute ใน Cursor IDE ✅ ผลกระทบต่อระบบ AI และองค์กร ➡️ AI ถูกหลอกให้ส่งข้อมูลลับ, เปิดช่องทางเข้าระบบ หรือรันโค้ดอันตราย ➡️ Skynet malware ใช้ prompt injection เพื่อหลอก AI scanner ให้มองข้ามมัลแวร์ ➡️ ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งในเรซูเม่เพื่อให้ AI job portal ดันขึ้นอันดับต้น ➡️ การโจมตีแบบนี้ไม่ต้องใช้ payload แบบเดิม — ใช้คำสั่งแทน ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำ ➡️ ตรวจสอบไฟล์จากแหล่งที่ไม่เชื่อถือด้วย sandbox และ static analysis ➡️ ใช้ Content Disarm & Reconstruction (CDR) เพื่อลบเนื้อหาที่ฝังคำสั่ง ➡️ แยกการรันแมโครออกจากระบบหลัก เช่น ใช้ protected view หรือ sandbox ➡️ สร้างระบบ AI ที่มี guardrails และการตรวจสอบ input/output อย่างเข้มงวด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Prompt injection เคยเป็นแค่การทดลอง แต่ตอนนี้เริ่มถูกใช้จริงในมัลแวร์ ➡️ ช่องโหว่แบบ zero-click ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกโจมตี ➡️ AI agent ที่เชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น Slack, GitHub, database ยิ่งเสี่ย ➡️ นักวิจัยแนะนำให้องค์กรปฏิบัติต่อ AI pipeline เหมือน CI/CD pipeline — ต้องมี Zero Trust https://www.csoonline.com/article/4053107/ai-prompt-injection-gets-real-with-macros-the-latest-hidden-threat.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    AI prompt injection gets real — with macros the latest hidden threat
    Attackers are evolving their malware delivery tactics by weaponing malicious prompts embedded in document macros to hack AI systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KDE Gear 25.08.1 อัปเดตชุดแอป KDE ครั้งใหญ่ — แก้บั๊ก เสริมฟีเจอร์ พร้อมรองรับ Wayland และ GPU AMD ดีขึ้น”

    KDE Gear 25.08.1 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตบำรุงรักษาชุดแอป KDE ประจำเดือนกันยายน 2025 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายแอปยอดนิยม เช่น Dolphin, Kdenlive, Kate, Ark, Dragon Player, KMail และอีกมากมาย

    หนึ่งในการแก้ไขสำคัญคือการปรับปรุง Dolphin ให้แก้ปัญหา scroll ซ้ำซ้อน และการแครชเมื่อใช้งานโหมดเลือกไฟล์ร่วมกับการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ ส่วน Kdenlive ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง

    Kate แก้ปัญหา loop ไม่สิ้นสุดเมื่อใช้ git blame ในเวอร์ชัน Flatpak และ Ark ปรับ API ให้ซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้นได้อย่างถูกต้อง Dragon Player ได้รับ workaround สำหรับปัญหา texture บน GPU AMD และ ffmpegthumbs ได้รับการ backport จาก FFmpeg 8.0 เพื่อแก้ปัญหา build

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในแอปอื่น ๆ เช่น Gwenview แก้ fade-out bug ในโหมดเปรียบเทียบวิดีโอ, Umbrello ป้องกันการแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสารที่แก้ไข, Konqueror ปรับเมนู sidebar ให้ทำงานบน Wayland ได้ดีขึ้น และ KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น

    แอปอื่น ๆ ที่ได้รับการอัปเดตในเวอร์ชันนี้ ได้แก่ AudioTube, Kamoso, KDevelop, Kleopatra, KolourPaint, KOrganizer, Merkuro, NeoChat, KRDC, Kontact และ KTouch รวมถึงไลบรารีและคอมโพเนนต์ที่เกี่ยวข้อง

    การปรับปรุงแอปหลักใน KDE Gear 25.08.1
    Dolphin แก้ปัญหา scroll ซ้ำและแครชจากโหมดเลือกไฟล์
    Kdenlive รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง
    Kate แก้ loop ไม่สิ้นสุดจาก git blame ในเวอร์ชัน Flatpak
    Ark ใช้ API ที่ถูกต้องในการซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้น

    การแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านระบบและ GPU
    Dragon Player ได้ workaround สำหรับ texture บน GPU AMD
    ffmpegthumbs ได้รับ build fix จาก FFmpeg 8.0
    Gwenview แก้ fade-out bug ใน video player controls
    Umbrello ป้องกันแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสาร

    การปรับปรุงด้าน UI และ Wayland
    Konqueror ปรับ sidebar context menu ให้ทำงานบน Wayland
    KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น
    เพิ่มความเสถียรในการใช้งาน screencast และการแสดงผล
    ปรับปรุงการแสดงผลข้อมูลใน status bar และ export file

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KDE Gear เป็นชุดแอปที่ปล่อยพร้อม KDE Plasma แต่สามารถใช้แยกได้
    การรองรับ Wayland ดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน KDE Gear เวอร์ชันใหม่
    Flatpak ยังมีข้อจำกัดด้าน integration กับระบบไฟล์และ session
    KDE Gear 25.08.1 รองรับ Linux distros หลัก เช่น Fedora, Arch, openSUSE

    https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-1-released-with-more-improvements-for-your-favorite-kde-apps
    🛠️ “KDE Gear 25.08.1 อัปเดตชุดแอป KDE ครั้งใหญ่ — แก้บั๊ก เสริมฟีเจอร์ พร้อมรองรับ Wayland และ GPU AMD ดีขึ้น” KDE Gear 25.08.1 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตบำรุงรักษาชุดแอป KDE ประจำเดือนกันยายน 2025 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายแอปยอดนิยม เช่น Dolphin, Kdenlive, Kate, Ark, Dragon Player, KMail และอีกมากมาย หนึ่งในการแก้ไขสำคัญคือการปรับปรุง Dolphin ให้แก้ปัญหา scroll ซ้ำซ้อน และการแครชเมื่อใช้งานโหมดเลือกไฟล์ร่วมกับการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ ส่วน Kdenlive ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง Kate แก้ปัญหา loop ไม่สิ้นสุดเมื่อใช้ git blame ในเวอร์ชัน Flatpak และ Ark ปรับ API ให้ซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้นได้อย่างถูกต้อง Dragon Player ได้รับ workaround สำหรับปัญหา texture บน GPU AMD และ ffmpegthumbs ได้รับการ backport จาก FFmpeg 8.0 เพื่อแก้ปัญหา build นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในแอปอื่น ๆ เช่น Gwenview แก้ fade-out bug ในโหมดเปรียบเทียบวิดีโอ, Umbrello ป้องกันการแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสารที่แก้ไข, Konqueror ปรับเมนู sidebar ให้ทำงานบน Wayland ได้ดีขึ้น และ KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น แอปอื่น ๆ ที่ได้รับการอัปเดตในเวอร์ชันนี้ ได้แก่ AudioTube, Kamoso, KDevelop, Kleopatra, KolourPaint, KOrganizer, Merkuro, NeoChat, KRDC, Kontact และ KTouch รวมถึงไลบรารีและคอมโพเนนต์ที่เกี่ยวข้อง ✅ การปรับปรุงแอปหลักใน KDE Gear 25.08.1 ➡️ Dolphin แก้ปัญหา scroll ซ้ำและแครชจากโหมดเลือกไฟล์ ➡️ Kdenlive รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง ➡️ Kate แก้ loop ไม่สิ้นสุดจาก git blame ในเวอร์ชัน Flatpak ➡️ Ark ใช้ API ที่ถูกต้องในการซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้น ✅ การแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านระบบและ GPU ➡️ Dragon Player ได้ workaround สำหรับ texture บน GPU AMD ➡️ ffmpegthumbs ได้รับ build fix จาก FFmpeg 8.0 ➡️ Gwenview แก้ fade-out bug ใน video player controls ➡️ Umbrello ป้องกันแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสาร ✅ การปรับปรุงด้าน UI และ Wayland ➡️ Konqueror ปรับ sidebar context menu ให้ทำงานบน Wayland ➡️ KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มความเสถียรในการใช้งาน screencast และการแสดงผล ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลข้อมูลใน status bar และ export file ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KDE Gear เป็นชุดแอปที่ปล่อยพร้อม KDE Plasma แต่สามารถใช้แยกได้ ➡️ การรองรับ Wayland ดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน KDE Gear เวอร์ชันใหม่ ➡️ Flatpak ยังมีข้อจำกัดด้าน integration กับระบบไฟล์และ session ➡️ KDE Gear 25.08.1 รองรับ Linux distros หลัก เช่น Fedora, Arch, openSUSE https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-1-released-with-more-improvements-for-your-favorite-kde-apps
    9TO5LINUX.COM
    KDE Gear 25.08.1 Released with More Improvements for Your Favorite KDE Apps - 9to5Linux
    KDE Gear 25.08.1 is now available as the first maintenance update to the latest KDE Gear 25.08 open-source software suite series with fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Arc Pro B50 พลิกเกมเวิร์กสเตชัน — แซงหน้า Nvidia RTX A1000 ทั้งด้าน AI และงานสร้างสรรค์ ด้วยราคาที่จับต้องได้”

    Intel สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเวิร์กสเตชันด้วยการเปิดตัว Arc Pro B50 การ์ดจอระดับมืออาชีพรุ่นใหม่ที่แม้จะมีขนาดเล็กและราคาย่อมเยา แต่กลับสามารถเอาชนะ Nvidia RTX A1000 ได้ในหลายด้าน ทั้งงาน AI, การเรนเดอร์ Blender และแอป Adobe ที่ใช้ GPU หนัก ๆ

    Arc Pro B50 ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับซีรีส์ Battlemage สำหรับผู้บริโภค โดยมี 16 Xe2 cores และ 128 XMX matrix engines พร้อมหน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ที่มีเพียง 8GB และให้แบนด์วิดท์สูงถึง 224GB/s

    การ์ดนี้ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กเพียง 168 มม. ใช้พลังงานแค่ 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม และมาพร้อมพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 ถึง 4 ช่อง ซึ่งเหนือกว่าพอร์ต 1.4a ของ A1000 อย่างชัดเจน

    ในการทดสอบจริง Arc Pro B50 ทำคะแนนเหนือกว่า A1000 ในหลายแอป เช่น Photoshop (ดีกว่า 7%), Premiere Pro (ดีกว่า 20%) และ Blender (ดีกว่า 20%) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ Nvidia เคยครองตลาดมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังทำคะแนนสูงกว่าใน MLPerf และ Procyon AI benchmarks โดยเฉพาะด้าน computer vision และ text generation

    แม้จะมีจุดอ่อนในบางแอป เช่น Revit และ Inventor ที่ A1000 ยังทำงานได้เร็วกว่า แต่ในภาพรวม Arc Pro B50 ถือเป็นการ์ดที่ให้ความคุ้มค่าสูงมากในราคาเพียง $350 และได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ

    จุดเด่นของ Intel Arc Pro B50
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 พร้อม 16 Xe2 cores และ 128 XMX engines
    หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ถึง 2 เท่า
    แบนด์วิดท์ 224GB/s และ FP8 compute สูงถึง 170 TOPS
    ขนาดเล็ก 168 มม. ใช้พลังงานเพียง 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม

    ประสิทธิภาพในการใช้งานจริง
    Photoshop ดีกว่า A1000 ประมาณ 7% โดยเฉพาะงาน GPU-heavy
    Premiere Pro ดีกว่าเกือบ 20% ในงานตัดต่อวิดีโอ
    Blender เรนเดอร์เร็วกว่า A1000 ถึง 20% — พลิกเกมจากเดิมที่ Nvidia ครอง
    MLPerf และ Procyon AI แสดงผลลัพธ์ดีกว่าในงาน computer vision และ text generation

    ความเหมาะสมกับงานมืออาชีพ
    ได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ เช่น Adobe, Autodesk
    มีพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 จำนวน 4 ช่อง — รองรับจอความละเอียดสูง
    เหมาะกับงาน CAD, การตัดต่อ, โมเดล AI ขนาดเล็ก และงานสร้างสรรค์
    ราคาขายเพียง $350 — คุ้มค่ากว่าการ์ดระดับเดียวกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Xe2 cores รองรับ SIMD16 — ดีกว่ารุ่นก่อนที่รองรับแค่ SIMD8
    มี dual media engine รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอ 8K 10-bit
    มีการพัฒนา containerized Linux สำหรับงาน LLM โดยเฉพาะ
    Arc Pro B50 ใช้ GPU BMG-G21 ที่ Intel ปรับแต่งให้เหมาะกับต้นทุน

    https://www.techradar.com/pro/an-impressive-little-gpu-reviewers-surprised-by-intel-arc-pro-b50-gpus-superior-display-against-nvidias-rtx-a1000
    🎨 “Intel Arc Pro B50 พลิกเกมเวิร์กสเตชัน — แซงหน้า Nvidia RTX A1000 ทั้งด้าน AI และงานสร้างสรรค์ ด้วยราคาที่จับต้องได้” Intel สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเวิร์กสเตชันด้วยการเปิดตัว Arc Pro B50 การ์ดจอระดับมืออาชีพรุ่นใหม่ที่แม้จะมีขนาดเล็กและราคาย่อมเยา แต่กลับสามารถเอาชนะ Nvidia RTX A1000 ได้ในหลายด้าน ทั้งงาน AI, การเรนเดอร์ Blender และแอป Adobe ที่ใช้ GPU หนัก ๆ Arc Pro B50 ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับซีรีส์ Battlemage สำหรับผู้บริโภค โดยมี 16 Xe2 cores และ 128 XMX matrix engines พร้อมหน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ที่มีเพียง 8GB และให้แบนด์วิดท์สูงถึง 224GB/s การ์ดนี้ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กเพียง 168 มม. ใช้พลังงานแค่ 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม และมาพร้อมพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 ถึง 4 ช่อง ซึ่งเหนือกว่าพอร์ต 1.4a ของ A1000 อย่างชัดเจน ในการทดสอบจริง Arc Pro B50 ทำคะแนนเหนือกว่า A1000 ในหลายแอป เช่น Photoshop (ดีกว่า 7%), Premiere Pro (ดีกว่า 20%) และ Blender (ดีกว่า 20%) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ Nvidia เคยครองตลาดมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังทำคะแนนสูงกว่าใน MLPerf และ Procyon AI benchmarks โดยเฉพาะด้าน computer vision และ text generation แม้จะมีจุดอ่อนในบางแอป เช่น Revit และ Inventor ที่ A1000 ยังทำงานได้เร็วกว่า แต่ในภาพรวม Arc Pro B50 ถือเป็นการ์ดที่ให้ความคุ้มค่าสูงมากในราคาเพียง $350 และได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ ✅ จุดเด่นของ Intel Arc Pro B50 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 พร้อม 16 Xe2 cores และ 128 XMX engines ➡️ หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ถึง 2 เท่า ➡️ แบนด์วิดท์ 224GB/s และ FP8 compute สูงถึง 170 TOPS ➡️ ขนาดเล็ก 168 มม. ใช้พลังงานเพียง 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม ✅ ประสิทธิภาพในการใช้งานจริง ➡️ Photoshop ดีกว่า A1000 ประมาณ 7% โดยเฉพาะงาน GPU-heavy ➡️ Premiere Pro ดีกว่าเกือบ 20% ในงานตัดต่อวิดีโอ ➡️ Blender เรนเดอร์เร็วกว่า A1000 ถึง 20% — พลิกเกมจากเดิมที่ Nvidia ครอง ➡️ MLPerf และ Procyon AI แสดงผลลัพธ์ดีกว่าในงาน computer vision และ text generation ✅ ความเหมาะสมกับงานมืออาชีพ ➡️ ได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ เช่น Adobe, Autodesk ➡️ มีพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 จำนวน 4 ช่อง — รองรับจอความละเอียดสูง ➡️ เหมาะกับงาน CAD, การตัดต่อ, โมเดล AI ขนาดเล็ก และงานสร้างสรรค์ ➡️ ราคาขายเพียง $350 — คุ้มค่ากว่าการ์ดระดับเดียวกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Xe2 cores รองรับ SIMD16 — ดีกว่ารุ่นก่อนที่รองรับแค่ SIMD8 ➡️ มี dual media engine รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอ 8K 10-bit ➡️ มีการพัฒนา containerized Linux สำหรับงาน LLM โดยเฉพาะ ➡️ Arc Pro B50 ใช้ GPU BMG-G21 ที่ Intel ปรับแต่งให้เหมาะกับต้นทุน https://www.techradar.com/pro/an-impressive-little-gpu-reviewers-surprised-by-intel-arc-pro-b50-gpus-superior-display-against-nvidias-rtx-a1000
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Honor Magic V5: มือถือพับได้ที่บางที่สุดในโลก พร้อมแบต 5,820mAh และกล้อง 100x — แต่ยังเข้าอเมริกาไม่ได้!”

    ถ้าคุณกำลังมองหามือถือพับได้ที่ไม่ใช่แค่ “พับได้” แต่ยังบางเฉียบ แบตอึด กล้องแรง และใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้แบบลื่นไหล — Honor Magic V5 คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 แม้จะยังไม่วางขายในสหรัฐฯ ก็ตาม

    Magic V5 เปิดตัวในยุโรปและเอเชีย พร้อมสเปกระดับเรือธง: ชิป Snapdragon 8 Elite, RAM 16GB, ความจุ 512GB และแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 5,820mAh ที่ใช้งานได้ถึง 2 วันเต็ม รองรับชาร์จเร็ว 66W และชาร์จไร้สาย 50W พร้อม reverse charging ด้วย

    หน้าจอด้านในขนาด 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ส่วนหน้าจอด้านนอกขนาด 6.43 นิ้ว ก็ยังรองรับ HDR และ Dolby Vision ทั้งคู่มีรีเฟรชเรต 120Hz และรองรับปากกา Stylus พร้อมเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอยขีดข่วน

    กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว: กล้องหลัก 50MP, กล้อง Ultra-wide 50MP และกล้อง Telephoto 64MP ที่ซูมได้ 3.5x แบบออปติคอล และสูงสุด 100x แบบดิจิทัล พร้อมระบบกันสั่น OIS และ AI Zoom ที่ช่วยให้ภาพคมชัดแม้ในระยะไกล ส่วนกล้องหน้า 20MP มีทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K

    จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ multitasking แบบใหม่ที่เรียกว่า “Quick Layout” ซึ่งให้ผู้ใช้เปิด 2–3 แอปพร้อมกันได้ทันที โดยใช้การจัดวางแบบ 90/10 หรือแบบแยกแนวตั้งแนวนอน เหมาะกับการทำงานหรือดูคอนเทนต์หลายอย่างพร้อมกัน

    ตัวเครื่องบางเพียง 8.8 มม. เมื่อพับ และ 4.1 มม. เมื่อกางออก น้ำหนัก 217 กรัม พร้อมบอดี้ที่ทนทานระดับ IP58/IP59 กันน้ำและฝุ่นได้ดีเยี่ยม มีให้เลือก 4 สี: Ivory White, Black, Dawn Gold และ Reddish Brown

    สเปกหลักของ Honor Magic V5
    ชิป Snapdragon 8 Elite + GPU Adreno 830
    RAM 16GB + ROM 512GB
    แบตเตอรี่ 5,820mAh รองรับชาร์จเร็ว 66W และไร้สาย 50W
    รองรับ reverse charging และระบบจัดการพลังงานแบบใหม่

    หน้าจอและดีไซน์
    หน้าจอด้านใน 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความละเอียด 2172×2352
    หน้าจอด้านนอก 6.43 นิ้ว OLED ความละเอียด 2376×1060
    ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ทั้งสองจอ
    รองรับ Stylus และเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอย

    กล้องและการถ่ายภาพ
    กล้องหลัก 50MP f/1.6 + Ultra-wide 50MP f/2.0 + Telephoto 64MP f/2.5
    ซูมออปติคอล 3.5x และดิจิทัลสูงสุด 100x
    กล้องหน้า 20MP ทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K
    ระบบ AI Zoom, Motion Sensing Capture และ Enhanced Portraits

    ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์
    รัน Android 15 + MagicOS 9.0.1
    รองรับ multitasking แบบ Quick Layout เปิด 2–3 แอปพร้อมกัน
    มีฟีเจอร์ AI เช่น real-time translation, transcription, image-to-video
    รองรับ Google Gemini AI และระบบ Multi-Flex

    ความทนทานและการออกแบบ
    ตัวเครื่องบาง 8.8 มม. (พับ) / 4.1 มม. (กาง) น้ำหนัก 217 กรัม
    กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP58/IP59
    บานพับ Super Steel Hinge รองรับการพับมากกว่า 500,000 ครั้ง
    มีให้เลือก 4 สี พร้อมดีไซน์แบบหนังเทียมและโลหะพรีเมียม

    ราคาและการวางจำหน่าย
    วางขายในยุโรปและเอเชีย ราคาเริ่มต้น £1,699.99 / €1,999.90
    ยังไม่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ
    มีจำหน่ายผ่าน Honor Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก

    https://www.slashgear.com/1963624/honor-magic-v5-review-foldable/
    📱 “Honor Magic V5: มือถือพับได้ที่บางที่สุดในโลก พร้อมแบต 5,820mAh และกล้อง 100x — แต่ยังเข้าอเมริกาไม่ได้!” ถ้าคุณกำลังมองหามือถือพับได้ที่ไม่ใช่แค่ “พับได้” แต่ยังบางเฉียบ แบตอึด กล้องแรง และใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้แบบลื่นไหล — Honor Magic V5 คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 แม้จะยังไม่วางขายในสหรัฐฯ ก็ตาม Magic V5 เปิดตัวในยุโรปและเอเชีย พร้อมสเปกระดับเรือธง: ชิป Snapdragon 8 Elite, RAM 16GB, ความจุ 512GB และแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 5,820mAh ที่ใช้งานได้ถึง 2 วันเต็ม รองรับชาร์จเร็ว 66W และชาร์จไร้สาย 50W พร้อม reverse charging ด้วย หน้าจอด้านในขนาด 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ส่วนหน้าจอด้านนอกขนาด 6.43 นิ้ว ก็ยังรองรับ HDR และ Dolby Vision ทั้งคู่มีรีเฟรชเรต 120Hz และรองรับปากกา Stylus พร้อมเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอยขีดข่วน กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว: กล้องหลัก 50MP, กล้อง Ultra-wide 50MP และกล้อง Telephoto 64MP ที่ซูมได้ 3.5x แบบออปติคอล และสูงสุด 100x แบบดิจิทัล พร้อมระบบกันสั่น OIS และ AI Zoom ที่ช่วยให้ภาพคมชัดแม้ในระยะไกล ส่วนกล้องหน้า 20MP มีทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ multitasking แบบใหม่ที่เรียกว่า “Quick Layout” ซึ่งให้ผู้ใช้เปิด 2–3 แอปพร้อมกันได้ทันที โดยใช้การจัดวางแบบ 90/10 หรือแบบแยกแนวตั้งแนวนอน เหมาะกับการทำงานหรือดูคอนเทนต์หลายอย่างพร้อมกัน ตัวเครื่องบางเพียง 8.8 มม. เมื่อพับ และ 4.1 มม. เมื่อกางออก น้ำหนัก 217 กรัม พร้อมบอดี้ที่ทนทานระดับ IP58/IP59 กันน้ำและฝุ่นได้ดีเยี่ยม มีให้เลือก 4 สี: Ivory White, Black, Dawn Gold และ Reddish Brown ✅ สเปกหลักของ Honor Magic V5 ➡️ ชิป Snapdragon 8 Elite + GPU Adreno 830 ➡️ RAM 16GB + ROM 512GB ➡️ แบตเตอรี่ 5,820mAh รองรับชาร์จเร็ว 66W และไร้สาย 50W ➡️ รองรับ reverse charging และระบบจัดการพลังงานแบบใหม่ ✅ หน้าจอและดีไซน์ ➡️ หน้าจอด้านใน 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความละเอียด 2172×2352 ➡️ หน้าจอด้านนอก 6.43 นิ้ว OLED ความละเอียด 2376×1060 ➡️ ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ทั้งสองจอ ➡️ รองรับ Stylus และเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอย ✅ กล้องและการถ่ายภาพ ➡️ กล้องหลัก 50MP f/1.6 + Ultra-wide 50MP f/2.0 + Telephoto 64MP f/2.5 ➡️ ซูมออปติคอล 3.5x และดิจิทัลสูงสุด 100x ➡️ กล้องหน้า 20MP ทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K ➡️ ระบบ AI Zoom, Motion Sensing Capture และ Enhanced Portraits ✅ ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ ➡️ รัน Android 15 + MagicOS 9.0.1 ➡️ รองรับ multitasking แบบ Quick Layout เปิด 2–3 แอปพร้อมกัน ➡️ มีฟีเจอร์ AI เช่น real-time translation, transcription, image-to-video ➡️ รองรับ Google Gemini AI และระบบ Multi-Flex ✅ ความทนทานและการออกแบบ ➡️ ตัวเครื่องบาง 8.8 มม. (พับ) / 4.1 มม. (กาง) น้ำหนัก 217 กรัม ➡️ กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP58/IP59 ➡️ บานพับ Super Steel Hinge รองรับการพับมากกว่า 500,000 ครั้ง ➡️ มีให้เลือก 4 สี พร้อมดีไซน์แบบหนังเทียมและโลหะพรีเมียม ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ วางขายในยุโรปและเอเชีย ราคาเริ่มต้น £1,699.99 / €1,999.90 ➡️ ยังไม่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ ➡️ มีจำหน่ายผ่าน Honor Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก https://www.slashgear.com/1963624/honor-magic-v5-review-foldable/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Honor Magic V5: Better Value And A Monster Battery, But Can It Beat The Competition? - SlashGear
    Honor Magic V5 delivers the best big foldable smartphone yet, complete with performance to beat most -- but is it worth the cash?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่

    ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง

    AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ

    การเติบโตของ AI Data Center
    Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย
    Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026
    รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์
    ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี
    คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4%

    ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น
    โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering
    side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU
    ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025
    TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง
    GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU
    ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain
    การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0
    การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย
    ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน
    การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง

    แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา
    ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด
    ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack
    ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor
    ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์
    คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ

    https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    🏭 “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่ ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ ✅ การเติบโตของ AI Data Center ➡️ Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย ➡️ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ➡️ ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี ➡️ คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4% ✅ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ➡️ โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering ➡️ side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU ➡️ ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง ➡️ GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU ➡️ ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing ✅ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain ➡️ การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0 ➡️ การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ➡️ ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน ➡️ การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง ✅ แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา ➡️ ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด ➡️ ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack ➡️ ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor ➡️ ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์ ➡️ คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The importance of reviewing AI data centers’ policies
    As the race to invest in AI tools, technologies and capabilities continues, it is critical for cybersecurity leaders to not only look at whether the AI-embedded software is secure but also to scrutinize whether the AI data centers are secure as well.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sitecore โดนเจาะ! ช่องโหว่ ViewState เปิดทางให้มัลแวร์ WEEPSTEEL ยึดระบบแบบเงียบๆ”

    ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้ดูแลระบบของเว็บไซต์องค์กรที่ใช้ Sitecore ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการเนื้อหายอดนิยมระดับโลก แล้วจู่ๆ มีแฮกเกอร์แอบเข้ามาในระบบโดยที่คุณไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะโค้ดมีบั๊ก แต่เพราะคุณใช้ “คีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือที่ Sitecore เคยเผยแพร่ไว้ตั้งแต่ปี 2017!

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-53690 ซึ่งเกิดจากการใช้ machine key ที่ไม่ปลอดภัยในฟีเจอร์ ViewState ของ ASP.NET โดย ViewState เป็นกลไกที่ช่วยให้เว็บจำสถานะของผู้ใช้ระหว่างการใช้งาน แต่หากคีย์ที่ใช้ในการเข้ารหัส ViewState ถูกเปิดเผย แฮกเกอร์สามารถสร้าง payload ปลอมที่ดูเหมือนถูกต้อง และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้รันโค้ดอันตรายได้ทันที — นี่คือ Remote Code Execution (RCE) แบบเต็มรูปแบบ

    มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญนี้ชื่อว่า WEEPSTEEL ซึ่งเป็น backdoor ที่ออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลภายในระบบ เช่น รายชื่อผู้ใช้, โครงสร้างเครือข่าย, และไฟล์ config สำคัญ จากนั้นแฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สอย่าง EARTHWORM, DWAGENT และ SHARPHOUND เพื่อขยายการควบคุมระบบ สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ และขโมยข้อมูลแบบเงียบๆ

    สิ่งที่น่ากลัวคือ ช่องโหว่นี้ไม่ได้เกิดจากโค้ดของ ASP.NET แต่เกิดจาก “การคัดลอกคีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือมาใช้จริงใน production ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หลายองค์กรทำโดยไม่รู้ตัว

    แม้ว่า Sitecore จะออกอัปเดตใหม่ที่สร้างคีย์แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ และแจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ผลกระทบที่แท้จริงยังไม่ปรากฏ” และอาจมีการโจมตีเพิ่มเติมในอนาคต หากองค์กรไม่รีบแก้ไข

    ช่องโหว่ CVE-2025-53690 ใน Sitecore
    เกิดจากการใช้ machine key ตัวอย่างจากเอกสารคู่มือก่อนปี 2017
    เป็นช่องโหว่ ViewState deserialization ที่เปิดทางให้ Remote Code Execution (RCE)
    ส่งผลกระทบต่อ Sitecore XM, XP, XC และ Managed Cloud ที่ใช้คีย์แบบ static
    ไม่กระทบต่อ XM Cloud, Content Hub, CDP, Personalize, OrderCloud และ Commerce Server
    ViewState ถูกใช้ใน ASP.NET เพื่อเก็บสถานะของผู้ใช้ใน hidden field
    หาก machine key ถูกเปิดเผย เซิร์ฟเวอร์จะไม่สามารถแยกแยะ payload ที่ถูกต้องกับมัลแวร์ได้

    การโจมตีและมัลแวร์ WEEPSTEEL
    เริ่มจากการ probe หน้า /sitecore/blocked.aspx ที่มี ViewState แบบไม่ต้องล็อกอิน
    ใช้ ViewState payload ที่ฝัง WEEPSTEEL เพื่อเก็บข้อมูลระบบ
    ใช้ EARTHWORM สำหรับสร้าง tunnel, DWAGENT สำหรับ remote access, SHARPHOUND สำหรับสำรวจ Active Directory
    สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ เช่น asp$ และ sawadmin เพื่อขโมย credentials
    dump ข้อมูลจาก SAM และ SYSTEM hives เพื่อขยายการเข้าถึง
    ใช้ GoTokenTheft เพื่อขโมย token และเปิดทางให้ RDP access
    ลบบัญชีที่สร้างไว้หลังจากได้สิทธิ์จากบัญชีอื่น เพื่อหลบการตรวจสอบ

    การตอบสนองและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    Sitecore ออกอัปเดตใหม่ที่สร้าง machine key แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ
    แนะนำให้ผู้ดูแลระบบเปลี่ยนคีย์ทั้งหมดใน web.config และเข้ารหัส <machineKey>
    ควรหมุนเวียน machine key เป็นประจำเพื่อความปลอดภัย
    ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาสัญญาณการเจาะระบบ

    https://hackread.com/zero-day-sitecore-exploited-deploy-weepsteel-malware/
    🛡️ “Sitecore โดนเจาะ! ช่องโหว่ ViewState เปิดทางให้มัลแวร์ WEEPSTEEL ยึดระบบแบบเงียบๆ” ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้ดูแลระบบของเว็บไซต์องค์กรที่ใช้ Sitecore ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการเนื้อหายอดนิยมระดับโลก แล้วจู่ๆ มีแฮกเกอร์แอบเข้ามาในระบบโดยที่คุณไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะโค้ดมีบั๊ก แต่เพราะคุณใช้ “คีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือที่ Sitecore เคยเผยแพร่ไว้ตั้งแต่ปี 2017! ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-53690 ซึ่งเกิดจากการใช้ machine key ที่ไม่ปลอดภัยในฟีเจอร์ ViewState ของ ASP.NET โดย ViewState เป็นกลไกที่ช่วยให้เว็บจำสถานะของผู้ใช้ระหว่างการใช้งาน แต่หากคีย์ที่ใช้ในการเข้ารหัส ViewState ถูกเปิดเผย แฮกเกอร์สามารถสร้าง payload ปลอมที่ดูเหมือนถูกต้อง และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้รันโค้ดอันตรายได้ทันที — นี่คือ Remote Code Execution (RCE) แบบเต็มรูปแบบ มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญนี้ชื่อว่า WEEPSTEEL ซึ่งเป็น backdoor ที่ออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลภายในระบบ เช่น รายชื่อผู้ใช้, โครงสร้างเครือข่าย, และไฟล์ config สำคัญ จากนั้นแฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สอย่าง EARTHWORM, DWAGENT และ SHARPHOUND เพื่อขยายการควบคุมระบบ สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ และขโมยข้อมูลแบบเงียบๆ สิ่งที่น่ากลัวคือ ช่องโหว่นี้ไม่ได้เกิดจากโค้ดของ ASP.NET แต่เกิดจาก “การคัดลอกคีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือมาใช้จริงใน production ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หลายองค์กรทำโดยไม่รู้ตัว แม้ว่า Sitecore จะออกอัปเดตใหม่ที่สร้างคีย์แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ และแจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ผลกระทบที่แท้จริงยังไม่ปรากฏ” และอาจมีการโจมตีเพิ่มเติมในอนาคต หากองค์กรไม่รีบแก้ไข ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-53690 ใน Sitecore ➡️ เกิดจากการใช้ machine key ตัวอย่างจากเอกสารคู่มือก่อนปี 2017 ➡️ เป็นช่องโหว่ ViewState deserialization ที่เปิดทางให้ Remote Code Execution (RCE) ➡️ ส่งผลกระทบต่อ Sitecore XM, XP, XC และ Managed Cloud ที่ใช้คีย์แบบ static ➡️ ไม่กระทบต่อ XM Cloud, Content Hub, CDP, Personalize, OrderCloud และ Commerce Server ➡️ ViewState ถูกใช้ใน ASP.NET เพื่อเก็บสถานะของผู้ใช้ใน hidden field ➡️ หาก machine key ถูกเปิดเผย เซิร์ฟเวอร์จะไม่สามารถแยกแยะ payload ที่ถูกต้องกับมัลแวร์ได้ ✅ การโจมตีและมัลแวร์ WEEPSTEEL ➡️ เริ่มจากการ probe หน้า /sitecore/blocked.aspx ที่มี ViewState แบบไม่ต้องล็อกอิน ➡️ ใช้ ViewState payload ที่ฝัง WEEPSTEEL เพื่อเก็บข้อมูลระบบ ➡️ ใช้ EARTHWORM สำหรับสร้าง tunnel, DWAGENT สำหรับ remote access, SHARPHOUND สำหรับสำรวจ Active Directory ➡️ สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ เช่น asp$ และ sawadmin เพื่อขโมย credentials ➡️ dump ข้อมูลจาก SAM และ SYSTEM hives เพื่อขยายการเข้าถึง ➡️ ใช้ GoTokenTheft เพื่อขโมย token และเปิดทางให้ RDP access ➡️ ลบบัญชีที่สร้างไว้หลังจากได้สิทธิ์จากบัญชีอื่น เพื่อหลบการตรวจสอบ ✅ การตอบสนองและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Sitecore ออกอัปเดตใหม่ที่สร้าง machine key แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ ➡️ แนะนำให้ผู้ดูแลระบบเปลี่ยนคีย์ทั้งหมดใน web.config และเข้ารหัส <machineKey> ➡️ ควรหมุนเวียน machine key เป็นประจำเพื่อความปลอดภัย ➡️ ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาสัญญาณการเจาะระบบ https://hackread.com/zero-day-sitecore-exploited-deploy-weepsteel-malware/
    HACKREAD.COM
    Zero-Day in Sitecore Exploited to Deploy WEEPSTEEL Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล

    Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ

    ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น

    Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก

    แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า

    Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา

    จุดเด่นของ Zen Browser
    พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium
    เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก
    มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น

    ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป
    ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน
    Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน
    Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ
    Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar

    ความสัมพันธ์กับ Arc Browser
    มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces
    Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security
    Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง

    ความโปร่งใสและการสนับสนุน
    ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้
    พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง
    เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส

    https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา ✅ จุดเด่นของ Zen Browser ➡️ พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium ➡️ เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก ➡️ มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ✅ ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป ➡️ ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน ➡️ Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน ➡️ Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ ➡️ Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar ✅ ความสัมพันธ์กับ Arc Browser ➡️ มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces ➡️ Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security ➡️ Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง ✅ ความโปร่งใสและการสนับสนุน ➡️ ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ ➡️ พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง ➡️ เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Many People Are Switching To This Web Browser - Here's Why - SlashGear
    Zen is a beautiful Free and Open Source Firefox-based alternative to Google Chrome, but has some limitations such as the inability to play DRM-protected media.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Raycast ถึง Sonner: เมื่อแอนิเมชันไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีเสมอไป

    Emil Kowalski วิศวกรออกแบบจาก Linear ได้เขียนบทความที่ชวนให้เราตั้งคำถามว่า “เราจำเป็นต้องมีแอนิเมชันจริงหรือ?” เขาเสนอว่าแอนิเมชันที่ดีควรมี “เป้าหมายที่ชัดเจน” ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่ต้องช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เฟซได้ดีขึ้น

    ตัวอย่างเช่น แอนิเมชันที่ Linear ใช้เพื่ออธิบายฟีเจอร์ Product Intelligence ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจฟังก์ชันได้ทันทีจาก viewport แรก โดยไม่ต้องอ่านคำอธิบายยาว ๆ หรือคลิกเพิ่ม

    อีกตัวอย่างคือ Sonner ซึ่งเป็น toast component ที่ใช้แอนิเมชันเพื่อให้การปรากฏและหายไปของข้อความแจ้งเตือนดูเป็นธรรมชาติ และสร้าง “spatial consistency” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจทิศทางของการ dismiss ได้ง่ายขึ้น

    แต่ Emil ก็เตือนว่า แอนิเมชันที่ใช้บ่อยเกินไป เช่น morphing feedback หรือ hover effects ที่เกิดทุกครั้งที่ผู้ใช้เลื่อนเมาส์ อาจกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญได้ หากผู้ใช้ต้องเจอวันละหลายร้อยครั้ง

    เขายกตัวอย่าง Raycast ซึ่งเป็นแอปที่เขาใช้วันละหลายร้อยครั้ง—และไม่มีแอนิเมชันเลย เพราะเป้าหมายของผู้ใช้คือ “ทำงานให้เสร็จ” ไม่ใช่ “รู้สึกว้าว” ทุกครั้งที่เปิดเมนู

    นอกจากนี้ ความเร็วของแอนิเมชันก็สำคัญมาก แอนิเมชันที่เร็วเกินไปอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าช้าเกินไปก็จะทำให้รู้สึกว่าระบบตอบสนองช้า เช่น dropdown ที่ใช้เวลา 180ms จะรู้สึก responsive กว่าแบบ 400ms อย่างชัดเจน

    สุดท้าย Emil สรุปว่า “บางครั้งแอนิเมชันที่ดีที่สุดคือไม่มีแอนิเมชันเลย” และการตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ ต้องพิจารณาจากความถี่ในการใช้งาน เป้าหมายของผู้ใช้ และความเร็วของการตอบสนอง

    https://emilkowal.ski/ui/you-dont-need-animations
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Raycast ถึง Sonner: เมื่อแอนิเมชันไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีเสมอไป Emil Kowalski วิศวกรออกแบบจาก Linear ได้เขียนบทความที่ชวนให้เราตั้งคำถามว่า “เราจำเป็นต้องมีแอนิเมชันจริงหรือ?” เขาเสนอว่าแอนิเมชันที่ดีควรมี “เป้าหมายที่ชัดเจน” ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่ต้องช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เฟซได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น แอนิเมชันที่ Linear ใช้เพื่ออธิบายฟีเจอร์ Product Intelligence ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจฟังก์ชันได้ทันทีจาก viewport แรก โดยไม่ต้องอ่านคำอธิบายยาว ๆ หรือคลิกเพิ่ม อีกตัวอย่างคือ Sonner ซึ่งเป็น toast component ที่ใช้แอนิเมชันเพื่อให้การปรากฏและหายไปของข้อความแจ้งเตือนดูเป็นธรรมชาติ และสร้าง “spatial consistency” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจทิศทางของการ dismiss ได้ง่ายขึ้น แต่ Emil ก็เตือนว่า แอนิเมชันที่ใช้บ่อยเกินไป เช่น morphing feedback หรือ hover effects ที่เกิดทุกครั้งที่ผู้ใช้เลื่อนเมาส์ อาจกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญได้ หากผู้ใช้ต้องเจอวันละหลายร้อยครั้ง เขายกตัวอย่าง Raycast ซึ่งเป็นแอปที่เขาใช้วันละหลายร้อยครั้ง—และไม่มีแอนิเมชันเลย เพราะเป้าหมายของผู้ใช้คือ “ทำงานให้เสร็จ” ไม่ใช่ “รู้สึกว้าว” ทุกครั้งที่เปิดเมนู นอกจากนี้ ความเร็วของแอนิเมชันก็สำคัญมาก แอนิเมชันที่เร็วเกินไปอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าช้าเกินไปก็จะทำให้รู้สึกว่าระบบตอบสนองช้า เช่น dropdown ที่ใช้เวลา 180ms จะรู้สึก responsive กว่าแบบ 400ms อย่างชัดเจน สุดท้าย Emil สรุปว่า “บางครั้งแอนิเมชันที่ดีที่สุดคือไม่มีแอนิเมชันเลย” และการตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ ต้องพิจารณาจากความถี่ในการใช้งาน เป้าหมายของผู้ใช้ และความเร็วของการตอบสนอง https://emilkowal.ski/ui/you-dont-need-animations
    EMILKOWAL.SKI
    You Don't Need Animations
    Why you are animating more often than you should.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล่องเรือสำราญ Crown Princess ตะลุยแดนใต้ของออสเตรเลียไปกับเส้นทาง Southern Australia Explorer
    สัมผัสความงามของธรรมชาติและเมืองชายฝั่งชื่อดัง พร้อมบริการเหนือระดับจากหัวหน้าทัวร์ไทยตลอดทริป

    🛳 แพ็คเกจล่องเรือ Crown Princess – 8 วัน 6 คืน

    เดินทาง: 18 – 25 ตุลาคม 2568

    เส้นทาง: เมลเบิร์น – โฮบาร์ต – แทสเมเนีย – ซิดนีย์

    ราคาเริ่มต้นเพียง ฿143,800 / ท่าน

    รวมครบ
    ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
    ค่าธรรมเนียมวีซ่าออสเตรเลีย
    ทัวร์ชายฝั่งตามโปรแกรม
    หัวหน้าทัวร์คนไทยดูแลตลอดทริป

    รหัสแพ็คเกจ : PRIT-TG-8D6N-MEL-SYD-2510181
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e78734

    ดูเรือ Princess Cruises ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/1ab7e0

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือPrincessCruises #เรือMSC #MSC #MSCSeaview #Mediterranean #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #Florence #Italy #Sagradafamilia #Spain #Pisa #CruiseDomain
    🌊 ล่องเรือสำราญ Crown Princess ตะลุยแดนใต้ของออสเตรเลียไปกับเส้นทาง Southern Australia Explorer สัมผัสความงามของธรรมชาติและเมืองชายฝั่งชื่อดัง พร้อมบริการเหนือระดับจากหัวหน้าทัวร์ไทยตลอดทริป 🇦🇺💼 🛳 แพ็คเกจล่องเรือ Crown Princess – 8 วัน 6 คืน 📅 เดินทาง: 18 – 25 ตุลาคม 2568 📍 เส้นทาง: เมลเบิร์น – โฮบาร์ต – แทสเมเนีย – ซิดนีย์ 💰 ราคาเริ่มต้นเพียง ฿143,800 / ท่าน รวมครบ ✅ ✈️ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 🛂 ค่าธรรมเนียมวีซ่าออสเตรเลีย 🚐 ทัวร์ชายฝั่งตามโปรแกรม 👨‍✈️ หัวหน้าทัวร์คนไทยดูแลตลอดทริป ➡️ รหัสแพ็คเกจ : PRIT-TG-8D6N-MEL-SYD-2510181 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e78734 ดูเรือ Princess Cruises ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/1ab7e0 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือPrincessCruises #เรือMSC #MSC #MSCSeaview #Mediterranean #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #Florence #Italy #Sagradafamilia #Spain #Pisa #CruiseDomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Sanity: เมื่อ AI กลายเป็นทีมงานที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า แต่ยังช่วยให้เราส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า

    Vincent Quigley วิศวกรอาวุโสจาก Sanity ได้แชร์ประสบการณ์ 6 สัปดาห์ในการใช้ Claude Code ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะใน Zed editor ที่รองรับ Claude แบบ native แล้ว

    เขาเปรียบ Claude Code ว่าเป็น “นักพัฒนาฝึกหัดที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า” และนั่นคือเหตุผลที่ workflow ของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง: ไม่ใช่การรอให้ AI สร้างโค้ดที่สมบูรณ์ในครั้งเดียว แต่คือการทำงานร่วมกันแบบ iterative ที่เริ่มจาก “95% ขยะ” แล้วค่อย ๆ refine จนกลายเป็นโค้ดที่ใช้ได้จริง

    Vincent ใช้ Claude.md เป็นไฟล์บริบทที่รวม architecture, pattern, gotchas และลิงก์เอกสาร เพื่อให้ Claude เริ่มต้นจาก attempt ที่สองแทนที่จะต้องอธิบายใหม่ทุกครั้ง และยังเชื่อม Claude เข้ากับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only เพื่อให้ AI เข้าใจระบบได้ลึกขึ้น

    เขายังใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา และใช้ multibuffer ใน Zed เพื่อ review โค้ดแบบ granular—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk พร้อม task list ที่แสดงใน sidebar แบบ real-time

    แม้ Claude จะช่วย review โค้ดได้ดี แต่ Vincent ย้ำว่า “วิศวกรต้องรับผิดชอบโค้ดที่ตัวเองส่ง” ไม่ว่าจะเขียนเองหรือ AI เขียนให้ และการไม่มี emotional attachment กับโค้ดที่ไม่ได้พิมพ์เอง กลับทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น

    วิธีทำงานร่วมกับ Claude Code
    ใช้ Claude.md เพื่อสร้างบริบทให้ AI เข้าใจระบบ
    เชื่อม Claude กับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only
    ใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา

    การทำงานใน Zed ผ่าน ACP
    Claude Code ทำงานแบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP)
    รองรับ multibuffer review, syntax highlight, และ task list ใน sidebar
    สามารถใช้ slash command เพื่อสร้าง workflow แบบกำหนดเอง

    กระบวนการ iterative ที่ใช้ Claude
    Attempt แรก: 95% ขยะ แต่ช่วยให้เข้าใจระบบ
    Attempt สอง: เริ่มมีโครงสร้างที่ใช้ได้
    Attempt สาม: ได้โค้ดที่สามารถนำไป iterate ต่อได้จริง

    การ review โค้ดที่ AI สร้าง
    Claude ช่วยตรวจ test coverage, bug และเสนอ improvement
    วิศวกรต้อง review และรับผิดชอบโค้ดที่ส่ง
    ไม่มี emotional attachment ทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบมากขึ้น

    ผลลัพธ์และต้นทุน
    ส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า
    ลดเวลาทำ boilerplate และงานซ้ำ
    ค่าใช้จ่ายประมาณ $1000–1500 ต่อเดือนต่อวิศวกรที่ใช้ AI เต็มรูปแบบ

    https://www.sanity.io/blog/first-attempt-will-be-95-garbage
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Sanity: เมื่อ AI กลายเป็นทีมงานที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า แต่ยังช่วยให้เราส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า Vincent Quigley วิศวกรอาวุโสจาก Sanity ได้แชร์ประสบการณ์ 6 สัปดาห์ในการใช้ Claude Code ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะใน Zed editor ที่รองรับ Claude แบบ native แล้ว เขาเปรียบ Claude Code ว่าเป็น “นักพัฒนาฝึกหัดที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า” และนั่นคือเหตุผลที่ workflow ของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง: ไม่ใช่การรอให้ AI สร้างโค้ดที่สมบูรณ์ในครั้งเดียว แต่คือการทำงานร่วมกันแบบ iterative ที่เริ่มจาก “95% ขยะ” แล้วค่อย ๆ refine จนกลายเป็นโค้ดที่ใช้ได้จริง Vincent ใช้ Claude.md เป็นไฟล์บริบทที่รวม architecture, pattern, gotchas และลิงก์เอกสาร เพื่อให้ Claude เริ่มต้นจาก attempt ที่สองแทนที่จะต้องอธิบายใหม่ทุกครั้ง และยังเชื่อม Claude เข้ากับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only เพื่อให้ AI เข้าใจระบบได้ลึกขึ้น เขายังใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา และใช้ multibuffer ใน Zed เพื่อ review โค้ดแบบ granular—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk พร้อม task list ที่แสดงใน sidebar แบบ real-time แม้ Claude จะช่วย review โค้ดได้ดี แต่ Vincent ย้ำว่า “วิศวกรต้องรับผิดชอบโค้ดที่ตัวเองส่ง” ไม่ว่าจะเขียนเองหรือ AI เขียนให้ และการไม่มี emotional attachment กับโค้ดที่ไม่ได้พิมพ์เอง กลับทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น ✅ วิธีทำงานร่วมกับ Claude Code ➡️ ใช้ Claude.md เพื่อสร้างบริบทให้ AI เข้าใจระบบ ➡️ เชื่อม Claude กับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only ➡️ ใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา ✅ การทำงานใน Zed ผ่าน ACP ➡️ Claude Code ทำงานแบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ➡️ รองรับ multibuffer review, syntax highlight, และ task list ใน sidebar ➡️ สามารถใช้ slash command เพื่อสร้าง workflow แบบกำหนดเอง ✅ กระบวนการ iterative ที่ใช้ Claude ➡️ Attempt แรก: 95% ขยะ แต่ช่วยให้เข้าใจระบบ ➡️ Attempt สอง: เริ่มมีโครงสร้างที่ใช้ได้ ➡️ Attempt สาม: ได้โค้ดที่สามารถนำไป iterate ต่อได้จริง ✅ การ review โค้ดที่ AI สร้าง ➡️ Claude ช่วยตรวจ test coverage, bug และเสนอ improvement ➡️ วิศวกรต้อง review และรับผิดชอบโค้ดที่ส่ง ➡️ ไม่มี emotional attachment ทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบมากขึ้น ✅ ผลลัพธ์และต้นทุน ➡️ ส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า ➡️ ลดเวลาทำ boilerplate และงานซ้ำ ➡️ ค่าใช้จ่ายประมาณ $1000–1500 ต่อเดือนต่อวิศวกรที่ใช้ AI เต็มรูปแบบ https://www.sanity.io/blog/first-attempt-will-be-95-garbage
    WWW.SANITY.IO
    First attempt will be 95% garbage: A staff engineer's 6-week journey with Claude Code | Sanity
    This started as an internal Sanity workshop where I demoed how I actually use AI. Spoiler: it's running multiple agents like a small team with daily amnesia.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากศาลยุโรป: เมื่อการส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรต้องผ่านด่านความเป็นส่วนตัว

    ย้อนกลับไปในปี 2023 สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ลงนามในข้อตกลงใหม่ชื่อว่า “Trans-Atlantic Data Privacy Framework” เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ เช่นธนาคาร, ผู้ผลิตรถยนต์, และผู้ให้บริการคลาวด์สามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลของชาวยุโรปไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่ข้อตกลงก่อนหน้าอย่าง Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกศาลยุโรปตัดสินว่าไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัว

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินให้ข้อตกลงใหม่นี้ “มีผลบังคับใช้ต่อไป” โดยปฏิเสธคำร้องของนักการเมืองฝรั่งเศส Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ยังไม่เป็นอิสระ และการเก็บข้อมูลยังเป็นแบบ “ครอบคลุมเกินไป”

    ศาลระบุว่า หน่วยงาน Data Protection Review Court (DPRC) ของสหรัฐฯ มีโครงสร้างที่มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระ เช่น ผู้พิพากษาไม่สามารถถูกถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล และหน่วยข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานได้โดยตรง

    แม้จะเป็นชัยชนะของข้อตกลงนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ยังไม่จบ” เพราะนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว เช่น Max Schrems และองค์กร NYOB อาจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป (CJEU) ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงนี้ในอนาคตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Privacy Shield

    การตัดสินของศาลทั่วไป EU
    รับรองความถูกต้องของข้อตกลง Trans-Atlantic Data Privacy Framework
    ปฏิเสธคำร้องของ Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระ
    ระบุว่า DPRC มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระและไม่ถูกแทรกแซงจากหน่วยข่าวกรอง

    ความสำคัญของข้อตกลงนี้ต่อธุรกิจ
    ช่วยให้บริษัทสามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลจาก EU ไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย
    ส่งผลต่อธุรกิจที่ใช้คลาวด์, ระบบเงินเดือน, และการวิเคราะห์ข้อมูลข้ามประเทศ
    ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายสำหรับบริษัทที่ดำเนินงานแบบข้ามพรมแดน

    โครงสร้างของ DPRC
    ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งพร้อมเงื่อนไขที่ป้องกันการถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล
    หน่วยงานข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานของศาลได้
    มีระบบร้องเรียนสำหรับพลเมืองยุโรปที่ข้อมูลถูกใช้งานโดยบริษัทสหรัฐฯ

    ความเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว
    Max Schrems และองค์กร NYOB เคยยื่นฟ้องจน Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกยกเลิก
    มีแนวโน้มว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล CJEU เพื่อทบทวนข้อตกลงใหม่
    องค์กรต่าง ๆ ควรเตรียมแผนสำรอง เช่น Standard Contractual Clauses (SCCs)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/eu-court-backs-latest-data-transfer-deal-agreed-by-us-and-eu
    🎙️ เรื่องเล่าจากศาลยุโรป: เมื่อการส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรต้องผ่านด่านความเป็นส่วนตัว ย้อนกลับไปในปี 2023 สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ลงนามในข้อตกลงใหม่ชื่อว่า “Trans-Atlantic Data Privacy Framework” เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ เช่นธนาคาร, ผู้ผลิตรถยนต์, และผู้ให้บริการคลาวด์สามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลของชาวยุโรปไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่ข้อตกลงก่อนหน้าอย่าง Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกศาลยุโรปตัดสินว่าไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัว ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินให้ข้อตกลงใหม่นี้ “มีผลบังคับใช้ต่อไป” โดยปฏิเสธคำร้องของนักการเมืองฝรั่งเศส Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ยังไม่เป็นอิสระ และการเก็บข้อมูลยังเป็นแบบ “ครอบคลุมเกินไป” ศาลระบุว่า หน่วยงาน Data Protection Review Court (DPRC) ของสหรัฐฯ มีโครงสร้างที่มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระ เช่น ผู้พิพากษาไม่สามารถถูกถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล และหน่วยข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานได้โดยตรง แม้จะเป็นชัยชนะของข้อตกลงนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ยังไม่จบ” เพราะนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว เช่น Max Schrems และองค์กร NYOB อาจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป (CJEU) ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงนี้ในอนาคตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Privacy Shield ✅ การตัดสินของศาลทั่วไป EU ➡️ รับรองความถูกต้องของข้อตกลง Trans-Atlantic Data Privacy Framework ➡️ ปฏิเสธคำร้องของ Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระ ➡️ ระบุว่า DPRC มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระและไม่ถูกแทรกแซงจากหน่วยข่าวกรอง ✅ ความสำคัญของข้อตกลงนี้ต่อธุรกิจ ➡️ ช่วยให้บริษัทสามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลจาก EU ไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย ➡️ ส่งผลต่อธุรกิจที่ใช้คลาวด์, ระบบเงินเดือน, และการวิเคราะห์ข้อมูลข้ามประเทศ ➡️ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายสำหรับบริษัทที่ดำเนินงานแบบข้ามพรมแดน ✅ โครงสร้างของ DPRC ➡️ ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งพร้อมเงื่อนไขที่ป้องกันการถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล ➡️ หน่วยงานข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานของศาลได้ ➡️ มีระบบร้องเรียนสำหรับพลเมืองยุโรปที่ข้อมูลถูกใช้งานโดยบริษัทสหรัฐฯ ✅ ความเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ Max Schrems และองค์กร NYOB เคยยื่นฟ้องจน Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกยกเลิก ➡️ มีแนวโน้มว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล CJEU เพื่อทบทวนข้อตกลงใหม่ ➡️ องค์กรต่าง ๆ ควรเตรียมแผนสำรอง เช่น Standard Contractual Clauses (SCCs) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/eu-court-backs-latest-data-transfer-deal-agreed-by-us-and-eu
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU court backs latest data transfer deal agreed by US and EU
    BRUSSELS (Reuters) -A data transfer deal agreed by the European Union and the United States two years ago to replace two previous pacts rejected by a higher tribunal was given the green light by Europe's second-highest court on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Flight 10: เมื่อจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับสู่โลกพร้อมรอยไหม้และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

    ปลายเดือนสิงหาคม 2025 SpaceX ปล่อยภาพชุดใหม่จากการทดสอบ Starship Flight 10 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ โดยภาพที่ปล่อยออกมาแสดงให้เห็นการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา, รอยไหม้สีส้มบน heat shield และความเสียหายที่ชัดเจนบริเวณ flaps ด้านท้ายของยาน

    แม้ Elon Musk จะออกมาอธิบายว่า “สีแดง” ที่เห็นนั้นเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile แบบใหม่ ซึ่ง SpaceX ตั้งใจทดสอบโดยเว้นบางจุดไว้โดยไม่มีฉนวน แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ “เหตุการณ์พลังงานสูง” ในห้องเครื่อง และ “อาการวูบ” ของ grid fin บน Super Heavy booster ที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวผิดปกติระหว่างการลงจอด

    Flight 10 ถือเป็นก้าวกระโดดจาก Flight 7–9 ที่ล้มเหลวในการกลับสู่โลก โดยเฉพาะการทดสอบ heat shield ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรุ่นที่สองของ Starship ซึ่ง SpaceX ใช้แผ่นฉนวนที่ผลิตเองจำนวนหลายหมื่นชิ้นเพื่อรองรับการใช้งานซ้ำแบบรวดเร็ว

    แม้จะมีความเสียหาย แต่ยานสามารถลงจอดในมหาสมุทรอินเดียได้ภายในระยะห่างเพียง 3 เมตรจากจุดเป้าหมาย และยังสามารถทำ flip maneuver และ landing burn ได้สำเร็จ ซึ่งแสดงถึงความแม่นยำของระบบควบคุมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    ความสำเร็จของ Starship Flight 10
    เป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ
    ทำ flip maneuver และ landing burn ได้แม่นยำภายใน 3 เมตรจากเป้าหมาย
    ทดสอบ heat shield tile แบบใหม่ที่ผลิตโดย SpaceX เอง

    ภาพและข้อมูลที่ SpaceX ปล่อยออกมา
    แสดงการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา
    เห็นรอยไหม้สีส้มและความเสียหายที่ flaps ด้านท้าย
    grid fin ของ booster มีอาการวูบระหว่างการลงจอด

    คำอธิบายจาก Elon Musk
    สีแดงเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile
    จุดสีขาวเกิดจากบริเวณที่ไม่มีฉนวนตามแผนการทดสอบ
    ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์พลังงานสูงในห้องเครื่อง

    ความสำคัญของ heat shield ในการใช้งานซ้ำ
    เป็นหัวใจของการทำให้ Starship สามารถบินซ้ำได้รวดเร็ว
    Flight 10 เป็นครั้งแรกที่สามารถทดสอบ heat shield ได้จริง
    ใช้แผ่นฉนวนหลายหมื่นชิ้นที่ผลิตในโรงงานของ SpaceX

    https://wccftech.com/spacexs-red-hot-starship-mars-rocket-images-share-stunning-flight-10-views-but-dont-answer-key-questions-related-to-the-mega-test-flight/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Flight 10: เมื่อจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับสู่โลกพร้อมรอยไหม้และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ปลายเดือนสิงหาคม 2025 SpaceX ปล่อยภาพชุดใหม่จากการทดสอบ Starship Flight 10 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ โดยภาพที่ปล่อยออกมาแสดงให้เห็นการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา, รอยไหม้สีส้มบน heat shield และความเสียหายที่ชัดเจนบริเวณ flaps ด้านท้ายของยาน แม้ Elon Musk จะออกมาอธิบายว่า “สีแดง” ที่เห็นนั้นเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile แบบใหม่ ซึ่ง SpaceX ตั้งใจทดสอบโดยเว้นบางจุดไว้โดยไม่มีฉนวน แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ “เหตุการณ์พลังงานสูง” ในห้องเครื่อง และ “อาการวูบ” ของ grid fin บน Super Heavy booster ที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวผิดปกติระหว่างการลงจอด Flight 10 ถือเป็นก้าวกระโดดจาก Flight 7–9 ที่ล้มเหลวในการกลับสู่โลก โดยเฉพาะการทดสอบ heat shield ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรุ่นที่สองของ Starship ซึ่ง SpaceX ใช้แผ่นฉนวนที่ผลิตเองจำนวนหลายหมื่นชิ้นเพื่อรองรับการใช้งานซ้ำแบบรวดเร็ว แม้จะมีความเสียหาย แต่ยานสามารถลงจอดในมหาสมุทรอินเดียได้ภายในระยะห่างเพียง 3 เมตรจากจุดเป้าหมาย และยังสามารถทำ flip maneuver และ landing burn ได้สำเร็จ ซึ่งแสดงถึงความแม่นยำของระบบควบคุมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ✅ ความสำเร็จของ Starship Flight 10 ➡️ เป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ ➡️ ทำ flip maneuver และ landing burn ได้แม่นยำภายใน 3 เมตรจากเป้าหมาย ➡️ ทดสอบ heat shield tile แบบใหม่ที่ผลิตโดย SpaceX เอง ✅ ภาพและข้อมูลที่ SpaceX ปล่อยออกมา ➡️ แสดงการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา ➡️ เห็นรอยไหม้สีส้มและความเสียหายที่ flaps ด้านท้าย ➡️ grid fin ของ booster มีอาการวูบระหว่างการลงจอด ✅ คำอธิบายจาก Elon Musk ➡️ สีแดงเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile ➡️ จุดสีขาวเกิดจากบริเวณที่ไม่มีฉนวนตามแผนการทดสอบ ➡️ ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์พลังงานสูงในห้องเครื่อง ✅ ความสำคัญของ heat shield ในการใช้งานซ้ำ ➡️ เป็นหัวใจของการทำให้ Starship สามารถบินซ้ำได้รวดเร็ว ➡️ Flight 10 เป็นครั้งแรกที่สามารถทดสอบ heat shield ได้จริง ➡️ ใช้แผ่นฉนวนหลายหมื่นชิ้นที่ผลิตในโรงงานของ SpaceX https://wccftech.com/spacexs-red-hot-starship-mars-rocket-images-share-stunning-flight-10-views-but-dont-answer-key-questions-related-to-the-mega-test-flight/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX's Red Hot Starship Mars Rocket Images Share Stunning Flight 10 Views But Don't Answer Key Questions Related To The Mega Test Flight
    SpaceX released new images from Starship Flight 10, showcasing its heat shield and grid fin during reentry, marking significant test progress.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล

    ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด

    ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ

    นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently.

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว

    https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently. เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    HACKREAD.COM
    Hidden Commands in Images Exploit AI Chatbots and Steal Data
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามการตลาด: เมื่อ AI ไม่แค่ค้นหา แต่ “สร้างคำตอบ” เอง

    ในอดีต การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google ผ่านการใช้คีย์เวิร์ด การสร้างลิงก์ และการปรับ metadata แต่ในปี 2025 โลกออนไลน์กำลังเปลี่ยนอย่างเงียบ ๆ เพราะผู้คนไม่ได้ “คลิกหา” คำตอบอีกต่อไป—พวกเขา “ถาม” AI แล้วได้คำตอบทันที

    Generative Engine Optimisation (GEO) จึงกลายเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่การทำให้เว็บติดอันดับ แต่ต้องทำให้เนื้อหาของคุณ “ถูกเลือก” และ “ถูกอ้างอิง” โดย AI อย่าง ChatGPT, Claude, Perplexity หรือ Google AI Overviews

    GEO ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นการเข้าใจว่า AI “อ่าน” และ “สังเคราะห์” ข้อมูลอย่างไร แล้วปรับเนื้อหาให้เหมาะกับการใช้งานของโมเดลเหล่านั้น เช่น การเขียนให้กระชับ ใช้ภาษาธรรมชาติ และจัดโครงสร้างข้อมูลให้ชัดเจน

    และเพราะ AI ไม่ได้แค่ดึงข้อมูล แต่ “สร้างคำตอบใหม่” จากหลายแหล่ง การทำ GEO จึงต้องเข้าใจ semantic structure, ความสัมพันธ์ของแนวคิด และวิธีที่โมเดลเลือกแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งต่างจาก SEO แบบเดิมโดยสิ้นเชิง

    ความหมายของ Generative Engine Optimisation (GEO)
    เป็นการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับการใช้งานของ AI ที่สร้างคำตอบจากหลายแหล่ง
    เน้นการเขียนที่เข้าใจง่าย มีโครงสร้างชัดเจน และสอดคล้องกับการสังเคราะห์ของโมเดล
    ไม่ใช่แค่การใช้คีย์เวิร์ด แต่ต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของแนวคิดและบริบท

    ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้
    ผู้ใช้หันไปถาม AI แทนการค้นหาผ่าน Google หรือ Bing โดยตรง
    60% ของการค้นหาใน Google จบลงโดยไม่มีการคลิก เพราะคำตอบอยู่ใน AI overview
    แบรนด์ที่ไม่ปรับตัวจะถูกมองข้าม แม้จะมีเนื้อหาดีแค่ไหนก็ตาม

    ความสำคัญของการร่วมงานกับ GEO agency
    GEO ต้องใช้ความเข้าใจลึกในโมเดล AI และการจัดโครงสร้างข้อมูล
    เอเจนซี่สามารถช่วยวิเคราะห์ช่องว่างของเนื้อหาและปรับให้ AI-friendly
    มีการติดตามเทรนด์ AI และปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
    ช่วยลดการลองผิดลองถูก และเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงโดย AI

    คุณสมบัติของ GEO agency ที่ดี
    ต้องมีความรู้ทั้ง SEO แบบเดิมและเทคโนโลยี AI content
    ต้องโปร่งใสในการวัดผลและอธิบายกลยุทธ์
    ต้องปรับกลยุทธ์ตามอุตสาหกรรมและเป้าหมายเฉพาะของแต่ละธุรกิจ
    ต้องใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่เทคนิคทั่วไป

    https://hackread.com/generative-engine-optimisation-what-it-is-why-need-it/
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามการตลาด: เมื่อ AI ไม่แค่ค้นหา แต่ “สร้างคำตอบ” เอง ในอดีต การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google ผ่านการใช้คีย์เวิร์ด การสร้างลิงก์ และการปรับ metadata แต่ในปี 2025 โลกออนไลน์กำลังเปลี่ยนอย่างเงียบ ๆ เพราะผู้คนไม่ได้ “คลิกหา” คำตอบอีกต่อไป—พวกเขา “ถาม” AI แล้วได้คำตอบทันที Generative Engine Optimisation (GEO) จึงกลายเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่การทำให้เว็บติดอันดับ แต่ต้องทำให้เนื้อหาของคุณ “ถูกเลือก” และ “ถูกอ้างอิง” โดย AI อย่าง ChatGPT, Claude, Perplexity หรือ Google AI Overviews GEO ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นการเข้าใจว่า AI “อ่าน” และ “สังเคราะห์” ข้อมูลอย่างไร แล้วปรับเนื้อหาให้เหมาะกับการใช้งานของโมเดลเหล่านั้น เช่น การเขียนให้กระชับ ใช้ภาษาธรรมชาติ และจัดโครงสร้างข้อมูลให้ชัดเจน และเพราะ AI ไม่ได้แค่ดึงข้อมูล แต่ “สร้างคำตอบใหม่” จากหลายแหล่ง การทำ GEO จึงต้องเข้าใจ semantic structure, ความสัมพันธ์ของแนวคิด และวิธีที่โมเดลเลือกแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งต่างจาก SEO แบบเดิมโดยสิ้นเชิง ✅ ความหมายของ Generative Engine Optimisation (GEO) ➡️ เป็นการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับการใช้งานของ AI ที่สร้างคำตอบจากหลายแหล่ง ➡️ เน้นการเขียนที่เข้าใจง่าย มีโครงสร้างชัดเจน และสอดคล้องกับการสังเคราะห์ของโมเดล ➡️ ไม่ใช่แค่การใช้คีย์เวิร์ด แต่ต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของแนวคิดและบริบท ✅ ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้หันไปถาม AI แทนการค้นหาผ่าน Google หรือ Bing โดยตรง ➡️ 60% ของการค้นหาใน Google จบลงโดยไม่มีการคลิก เพราะคำตอบอยู่ใน AI overview ➡️ แบรนด์ที่ไม่ปรับตัวจะถูกมองข้าม แม้จะมีเนื้อหาดีแค่ไหนก็ตาม ✅ ความสำคัญของการร่วมงานกับ GEO agency ➡️ GEO ต้องใช้ความเข้าใจลึกในโมเดล AI และการจัดโครงสร้างข้อมูล ➡️ เอเจนซี่สามารถช่วยวิเคราะห์ช่องว่างของเนื้อหาและปรับให้ AI-friendly ➡️ มีการติดตามเทรนด์ AI และปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ➡️ ช่วยลดการลองผิดลองถูก และเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงโดย AI ✅ คุณสมบัติของ GEO agency ที่ดี ➡️ ต้องมีความรู้ทั้ง SEO แบบเดิมและเทคโนโลยี AI content ➡️ ต้องโปร่งใสในการวัดผลและอธิบายกลยุทธ์ ➡️ ต้องปรับกลยุทธ์ตามอุตสาหกรรมและเป้าหมายเฉพาะของแต่ละธุรกิจ ➡️ ต้องใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่เทคนิคทั่วไป https://hackread.com/generative-engine-optimisation-what-it-is-why-need-it/
    HACKREAD.COM
    Generative Engine Optimisation: What It Is and Why You Need an Agency for It
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⭕️ดีมากค่ะ ทริปเซี่ยงไฮ้ หางโจว  ดูแลดี บริการดี อาหารอร่อย ที่พักดีมากค่ะ ⭕️

    #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #หางโจว #เซี่ยงไฮ้ จากคุณนงนภัสนะคะ เมื่อวันที่ 7-11 ส.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ
    ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ

    ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ
    ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ
    แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า

    Travel License: 11/11450
    โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น

    #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    ⭕️ดีมากค่ะ ทริปเซี่ยงไฮ้ หางโจว  ดูแลดี บริการดี อาหารอร่อย ที่พักดีมากค่ะ ⭕️ 💜 #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #หางโจว #เซี่ยงไฮ้ จากคุณนงนภัสนะคะ💜 เมื่อวันที่ 7-11 ส.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 📸 ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ 🌈✨ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า 💼✈️ ✔️Travel License: 11/11450 ✔️โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง 💙 ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชมวิวพระอาทิตย์ตก ที่ Ao Luek Ocean View สวยแบบไม่มีเบื่อเลย
    เวลาพระอาทิตย์ตก โดยประมาณ 18.38 น.

    𝐒𝐮𝐧𝐬𝐞𝐭𝐬 𝐚𝐫𝐞 𝐧𝐞𝐯𝐞𝐫 𝐛𝐨𝐫𝐢𝐧𝐠 𝐚𝐭 𝐨𝐮𝐫 𝐜𝐚𝐟é. 𝐂𝐨𝐦𝐞 𝐟𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐞 𝐦𝐚𝐠𝐢𝐜 𝐯𝐢𝐞𝐰, 𝐬𝐭𝐚𝐲 𝐟𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐞𝐫𝐟𝐞𝐜𝐭 𝐯𝐢𝐛𝐞𝐬.

    ขอบคุณภาพสวยๆ จากคุณลูกค้าทุกท่านนะคะ

    ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylove
    ชมวิวพระอาทิตย์ตก ที่ Ao Luek Ocean View ⛱️ สวยแบบไม่มีเบื่อเลย 🌅 เวลาพระอาทิตย์ตก โดยประมาณ 18.38 น. 𝐒𝐮𝐧𝐬𝐞𝐭𝐬 𝐚𝐫𝐞 𝐧𝐞𝐯𝐞𝐫 𝐛𝐨𝐫𝐢𝐧𝐠 𝐚𝐭 𝐨𝐮𝐫 𝐜𝐚𝐟é. 𝐂𝐨𝐦𝐞 𝐟𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐞 𝐦𝐚𝐠𝐢𝐜 𝐯𝐢𝐞𝐰, 𝐬𝐭𝐚𝐲 𝐟𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐞𝐫𝐟𝐞𝐜𝐭 𝐯𝐢𝐛𝐞𝐬.🌿 🙏ขอบคุณภาพสวยๆ จากคุณลูกค้าทุกท่านนะคะ 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylove
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพบรรยากาศบางส่วนของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา (SiPEP68) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    🙏🏻 ภาควิชาสรีรวิทยาขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในการอบรมครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งในการอบรมครั้งต่อไป
    สามารถเข้าชมภาพบรรยากาศของการอบรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1?authuser=0

    #SiPEP #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology
    📸 ภาพบรรยากาศบางส่วนของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา (SiPEP68) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 🙏🏻 ภาควิชาสรีรวิทยาขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในการอบรมครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งในการอบรมครั้งต่อไป 📬 สามารถเข้าชมภาพบรรยากาศของการอบรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1?authuser=0 #SiPEP #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อินเดีย ชัยปุระ - อัครา 17,999

    🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน
    ✈ FD-แอร์เอเชีย
    พักโรงแรม

    ทัชมาฮาล
    อัคราฟอร์ท
    แอมเบอร์ฟอร์ท
    พระราชวังกลางน้ำ
    City Palace
    ฮาวามาฮาล
    Wind View Cafe
    ประตูปาตริกา

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์อินเดีย #ชัยปุระ #อัครา #india #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #อินเดีย ชัยปุระ - อัครา 🥰17,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน ✈ FD-แอร์เอเชีย 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 ทัชมาฮาล 📍 อัคราฟอร์ท 📍 แอมเบอร์ฟอร์ท 📍 พระราชวังกลางน้ำ 📍 City Palace 📍 ฮาวามาฮาล 📍 Wind View Cafe 📍 ประตูปาตริกา รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์อินเดีย #ชัยปุระ #อัครา #india #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ภาพบรรยากาศบางส่วนของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา (SiPEP68) ในวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ณ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

    🙏🏻 ภาควิชาสรีรวิทยาขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในการอบรมครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งในการอบรมครั้งต่อไป

    สามารถเข้าชมภาพบรรยากาศของการอบรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1?authuser=0

    #SiPEP #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology
    📸 ภาพบรรยากาศบางส่วนของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา (SiPEP68) ในวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ณ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 🙏🏻 ภาควิชาสรีรวิทยาขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในการอบรมครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งในการอบรมครั้งต่อไป 📬 สามารถเข้าชมภาพบรรยากาศของการอบรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1?authuser=0 #SiPEP #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพบรรยากาศบางส่วนของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา (SiPEP68) ในวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    🙏🏻 ภาควิชาสรีรวิทยาขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในการอบรมครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งในการอบรมครั้งต่อไป
    สามารถเข้าชมภาพบรรยากาศของการอบรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1?authuser=0

    #SiPEP #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology
    📸 ภาพบรรยากาศบางส่วนของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา (SiPEP68) ในวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 🙏🏻 ภาควิชาสรีรวิทยาขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในการอบรมครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งในการอบรมครั้งต่อไป 📬 สามารถเข้าชมภาพบรรยากาศของการอบรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1?authuser=0 #SiPEP #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts