• “ห้ามใช้ชิปต่างชาติ” — จีนเดินหน้าควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วยนโยบายใหม่

    รัฐบาลจีนออกคำสั่งห้ามใช้ชิป AI จากต่างประเทศในศูนย์ข้อมูลที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ โดยมีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า ชิปจาก Nvidia, AMD และ Intel ที่ติดตั้งไปแล้วอาจต้องถูกถอดออก

    คำสั่งนี้ยังรวมถึงชิปที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ เช่น Nvidia H20 ก็ถูกห้ามใช้งานเช่นกัน แม้จะเคยได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้

    ผลักดันชิปในประเทศเต็มรูปแบบ
    จีนกำหนดให้ใช้เฉพาะชิปที่ผลิตในประเทศ เช่นจาก Huawei, Cambricon และ Enflame ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยข้อมูล” ที่เน้นการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภายในประเทศ

    แม้ผู้ผลิตจีนจะมีความก้าวหน้า แต่ยังตามหลัง Nvidia และ AMD ในด้าน ซอฟต์แวร์และความหนาแน่นของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Huawei Ascend ที่ยังไม่สามารถเทียบเท่า CUDA stack ได้อย่างเต็มที่

    การลงทุนกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนลงทุนมากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ AI ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับจังหวัดและระดับชาติ ซึ่งทำให้คำสั่งนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    คำสั่งห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูลรัฐ
    มีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังไม่เสร็จ
    ชิปจาก Nvidia, AMD, Intel ต้องถูกถอดออก

    ชิปที่ถูกห้ามแม้จะผ่านข้อจำกัดเดิม
    Nvidia H20, H200, B200 ถูกห้ามใช้งาน
    แม้จะออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ

    การผลักดันชิปในประเทศ
    ใช้ชิปจาก Huawei, Cambricon, Enflame
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยข้อมูล

    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    มากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปี
    เน้นการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีในประเทศ

    ผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด
    โอกาสกลับเข้าสู่ตลาดจีนลดลงอย่างมาก

    ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
    โครงการที่ใช้ชิปต่างชาติอาจต้องยกเลิกหรือปรับเปลี่ยน
    ความไม่แน่นอนว่าจะขยายไปถึงโครงการเอกชนหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-bans-foreign-ai-chips-from-state-funded-data-centers
    🏛️⚠️ “ห้ามใช้ชิปต่างชาติ” — จีนเดินหน้าควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วยนโยบายใหม่ รัฐบาลจีนออกคำสั่งห้ามใช้ชิป AI จากต่างประเทศในศูนย์ข้อมูลที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ โดยมีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า ชิปจาก Nvidia, AMD และ Intel ที่ติดตั้งไปแล้วอาจต้องถูกถอดออก คำสั่งนี้ยังรวมถึงชิปที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ เช่น Nvidia H20 ก็ถูกห้ามใช้งานเช่นกัน แม้จะเคยได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้ 🇨🇳 ผลักดันชิปในประเทศเต็มรูปแบบ จีนกำหนดให้ใช้เฉพาะชิปที่ผลิตในประเทศ เช่นจาก Huawei, Cambricon และ Enflame ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยข้อมูล” ที่เน้นการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภายในประเทศ แม้ผู้ผลิตจีนจะมีความก้าวหน้า แต่ยังตามหลัง Nvidia และ AMD ในด้าน ซอฟต์แวร์และความหนาแน่นของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Huawei Ascend ที่ยังไม่สามารถเทียบเท่า CUDA stack ได้อย่างเต็มที่ 💸 การลงทุนกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนลงทุนมากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ AI ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับจังหวัดและระดับชาติ ซึ่งทำให้คำสั่งนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ✅ คำสั่งห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูลรัฐ ➡️ มีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังไม่เสร็จ ➡️ ชิปจาก Nvidia, AMD, Intel ต้องถูกถอดออก ✅ ชิปที่ถูกห้ามแม้จะผ่านข้อจำกัดเดิม ➡️ Nvidia H20, H200, B200 ถูกห้ามใช้งาน ➡️ แม้จะออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ ✅ การผลักดันชิปในประเทศ ➡️ ใช้ชิปจาก Huawei, Cambricon, Enflame ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยข้อมูล ✅ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ➡️ มากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปี ➡️ เน้นการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีในประเทศ ‼️ ผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ ⛔ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด ⛔ โอกาสกลับเข้าสู่ตลาดจีนลดลงอย่างมาก ‼️ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ⛔ โครงการที่ใช้ชิปต่างชาติอาจต้องยกเลิกหรือปรับเปลี่ยน ⛔ ความไม่แน่นอนว่าจะขยายไปถึงโครงการเอกชนหรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-bans-foreign-ai-chips-from-state-funded-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Blackwell สำหรับอเมริกาเท่านั้น! รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ย้ำชัด จีนต้องรอจนชิปตกยุค”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันระดับโลก สหรัฐฯ ยังคงเดินเกมควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยล่าสุด Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับประธานาธิบดี Donald Trump ว่า “ชิป AI ระดับสูงสุดจาก Nvidia จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ภายในประเทศเท่านั้น”

    Bessent กล่าวผ่าน CNBC ว่า Blackwell — ชิป AI รุ่นล่าสุดจาก Nvidia — เป็น “อัญมณีแห่งเทคโนโลยี” และจะไม่ถูกส่งออกไปยังจีนจนกว่าจะตกยุค โดยอาจใช้เวลาราว 12–24 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัว Vera Rubin รุ่นถัดไปในปีหน้า

    แม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว แต่คำพูดของ Bessent สะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการค้า

    ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เตรียมเปิดตัวรุ่น “ลดสเปก” สำหรับจีนในชื่อ B30A ซึ่งจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากมีการขายในจีน

    สหรัฐฯ ยืนยันไม่ส่งออกชิป Blackwell ไปจีนในช่วงแรก
    Scott Bessent ระบุว่า Blackwell จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ในประเทศ
    อาจใช้เวลาราว 12–24 เดือนก่อนจะอนุญาตให้ส่งออก

    ความเห็นสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี Trump
    Trump เคยกล่าวว่า “จีนจะไม่ได้รับชิปที่ดีที่สุดจาก Nvidia”
    เป็นการควบคุมเทคโนโลยีเพื่อรักษาความได้เปรียบด้าน AI

    Nvidia เตรียมเปิดตัวรุ่นลดสเปกสำหรับจีน
    รุ่น B30A มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน
    หากขายในจีน ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ

    การพัฒนาในอนาคต
    Blackwell จะถูกแทนที่ด้วย Vera Rubin ในปีหน้า
    เมื่อ Blackwell ตกรุ่น อาจถูกอนุญาตให้ส่งออกไปยังจีน

    คำเตือนด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    การจำกัดการส่งออกอาจกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยี
    จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    คำเตือนด้านการละเมิดข้อจำกัด
    มีรายงานว่าชิป Blackwell ยังหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางสีเทา
    การนำเข้าแบบผิดกฎหมายอาจสร้างความตึงเครียดทางการค้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/echoing-trumps-sentiments-americas-finance-chief-bessent-says-the-most-advanced-ai-gpus-are-restricted-to-home-soil-china-can-have-blackwell-chips-once-theyre-outdated
    🇺🇸🚫 “Blackwell สำหรับอเมริกาเท่านั้น! รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ย้ำชัด จีนต้องรอจนชิปตกยุค” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันระดับโลก สหรัฐฯ ยังคงเดินเกมควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยล่าสุด Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับประธานาธิบดี Donald Trump ว่า “ชิป AI ระดับสูงสุดจาก Nvidia จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ภายในประเทศเท่านั้น” Bessent กล่าวผ่าน CNBC ว่า Blackwell — ชิป AI รุ่นล่าสุดจาก Nvidia — เป็น “อัญมณีแห่งเทคโนโลยี” และจะไม่ถูกส่งออกไปยังจีนจนกว่าจะตกยุค โดยอาจใช้เวลาราว 12–24 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัว Vera Rubin รุ่นถัดไปในปีหน้า แม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว แต่คำพูดของ Bessent สะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการค้า ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เตรียมเปิดตัวรุ่น “ลดสเปก” สำหรับจีนในชื่อ B30A ซึ่งจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากมีการขายในจีน ✅ สหรัฐฯ ยืนยันไม่ส่งออกชิป Blackwell ไปจีนในช่วงแรก ➡️ Scott Bessent ระบุว่า Blackwell จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ในประเทศ ➡️ อาจใช้เวลาราว 12–24 เดือนก่อนจะอนุญาตให้ส่งออก ✅ ความเห็นสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี Trump ➡️ Trump เคยกล่าวว่า “จีนจะไม่ได้รับชิปที่ดีที่สุดจาก Nvidia” ➡️ เป็นการควบคุมเทคโนโลยีเพื่อรักษาความได้เปรียบด้าน AI ✅ Nvidia เตรียมเปิดตัวรุ่นลดสเปกสำหรับจีน ➡️ รุ่น B30A มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน ➡️ หากขายในจีน ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ✅ การพัฒนาในอนาคต ➡️ Blackwell จะถูกแทนที่ด้วย Vera Rubin ในปีหน้า ➡️ เมื่อ Blackwell ตกรุ่น อาจถูกอนุญาตให้ส่งออกไปยังจีน ‼️ คำเตือนด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ⛔ การจำกัดการส่งออกอาจกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยี ⛔ จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนด้านการละเมิดข้อจำกัด ⛔ มีรายงานว่าชิป Blackwell ยังหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางสีเทา ⛔ การนำเข้าแบบผิดกฎหมายอาจสร้างความตึงเครียดทางการค้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/echoing-trumps-sentiments-americas-finance-chief-bessent-says-the-most-advanced-ai-gpus-are-restricted-to-home-soil-china-can-have-blackwell-chips-once-theyre-outdated
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนแจกส่วนลดไฟฟ้าให้บริษัท AI — ถ้าใช้ชิปผลิตในประเทศ!”

    ในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก จีนกำลังเดินเกมรุกเพื่อสร้างอิสรภาพด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ ล่าสุดหลายมณฑลในจีน เช่น กานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ได้เสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าอุตสาหกรรมสูงถึง 50% ให้กับศูนย์ข้อมูล AI — แต่มีเงื่อนไขสำคัญ: ต้องใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีนเท่านั้น ห้ามใช้ของ Nvidia หรือ AMD

    นอกจากส่วนลดค่าไฟแล้ว ยังมีเงินสนับสนุนโดยตรงที่เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี โดยราคาค่าไฟต่อหน่วยลดลงเหลือเพียง 0.4 หยวน หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคชายฝั่ง

    แม้ชิปจีนยังไม่สามารถเทียบเคียงกับ Nvidia H20 หรือ Blackwell ได้ในด้านประสิทธิภาพ แต่รัฐบาลจีนก็ผลักดันให้เกิดการใช้งานอย่างจริงจัง โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เข้าร่วมผลิต AI accelerators โดย Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนสั่งแบนการใช้งานชิป AI จาก Nvidia โดยตรง ซึ่งทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น 30–50% เนื่องจากชิปจีนยังด้อยกว่าด้านประสิทธิภาพ

    จีนเสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าให้ศูนย์ข้อมูล AI
    มณฑลกานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ลดค่าไฟลง 50%
    เหลือเพียง 0.4 หยวนต่อ kWh หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ

    เงื่อนไขคือต้องใช้ชิปที่ผลิตในจีน
    ห้ามใช้ชิปจาก Nvidia หรือ AMD
    เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายผลักดันการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี

    รัฐบาลจีนสนับสนุนเงินทุนโดยตรง
    เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี
    ส่งเสริมการตั้งศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีพลังงานเหลือเฟือ

    บริษัทจีนเร่งพัฒนาชิป AI
    Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เป็นผู้ผลิตหลัก
    Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C

    คำเตือนด้านประสิทธิภาพของชิปจีน
    ประสิทธิภาพยังด้อยกว่าชิป Nvidia H20 และ Blackwell
    ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 30–50%

    คำเตือนด้านการแข่งขันระดับโลก
    การแบนชิปต่างชาติอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
    การพึ่งพาชิปภายในอาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันคู่แข่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/chinese-provinces-offer-steep-power-discounts-to-ai-companies-using-china-made-chips-country-continues-its-aggressive-push-towards-ai-independence-and-homegrown-silicon
    ⚡🇨🇳 “จีนแจกส่วนลดไฟฟ้าให้บริษัท AI — ถ้าใช้ชิปผลิตในประเทศ!” ในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก จีนกำลังเดินเกมรุกเพื่อสร้างอิสรภาพด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ ล่าสุดหลายมณฑลในจีน เช่น กานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ได้เสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าอุตสาหกรรมสูงถึง 50% ให้กับศูนย์ข้อมูล AI — แต่มีเงื่อนไขสำคัญ: ต้องใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีนเท่านั้น ห้ามใช้ของ Nvidia หรือ AMD นอกจากส่วนลดค่าไฟแล้ว ยังมีเงินสนับสนุนโดยตรงที่เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี โดยราคาค่าไฟต่อหน่วยลดลงเหลือเพียง 0.4 หยวน หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคชายฝั่ง แม้ชิปจีนยังไม่สามารถเทียบเคียงกับ Nvidia H20 หรือ Blackwell ได้ในด้านประสิทธิภาพ แต่รัฐบาลจีนก็ผลักดันให้เกิดการใช้งานอย่างจริงจัง โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เข้าร่วมผลิต AI accelerators โดย Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนสั่งแบนการใช้งานชิป AI จาก Nvidia โดยตรง ซึ่งทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น 30–50% เนื่องจากชิปจีนยังด้อยกว่าด้านประสิทธิภาพ ✅ จีนเสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าให้ศูนย์ข้อมูล AI ➡️ มณฑลกานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ลดค่าไฟลง 50% ➡️ เหลือเพียง 0.4 หยวนต่อ kWh หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ ✅ เงื่อนไขคือต้องใช้ชิปที่ผลิตในจีน ➡️ ห้ามใช้ชิปจาก Nvidia หรือ AMD ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายผลักดันการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ✅ รัฐบาลจีนสนับสนุนเงินทุนโดยตรง ➡️ เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี ➡️ ส่งเสริมการตั้งศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีพลังงานเหลือเฟือ ✅ บริษัทจีนเร่งพัฒนาชิป AI ➡️ Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เป็นผู้ผลิตหลัก ➡️ Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C ‼️ คำเตือนด้านประสิทธิภาพของชิปจีน ⛔ ประสิทธิภาพยังด้อยกว่าชิป Nvidia H20 และ Blackwell ⛔ ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 30–50% ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขันระดับโลก ⛔ การแบนชิปต่างชาติอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ⛔ การพึ่งพาชิปภายในอาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันคู่แข่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/chinese-provinces-offer-steep-power-discounts-to-ai-companies-using-china-made-chips-country-continues-its-aggressive-push-towards-ai-independence-and-homegrown-silicon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Storm-1849” แฮกเกอร์จีนเจาะระบบไฟร์วอลล์ Cisco ทั่วโลก

    รายงานล่าสุดจาก Palo Alto Networks’ Unit 42 เผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่ถูกติดตามในชื่อ Storm-1849 หรือ UAT4356 กำลังโจมตีอุปกรณ์ Cisco Adaptive Security Appliance (ASA) ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐบาล สถาบันกลาโหม และบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย

    แม้ Cisco และ CISA ยังไม่ระบุว่าเป็นฝีมือของจีนอย่างเป็นทางการ แต่บริษัท Censys เคยพบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับการโจมตีในปี 2024 ที่มีลักษณะคล้ายกัน

    กลุ่มแฮกเกอร์ Storm-1849
    ถูกติดตามในชื่อ UAT4356 โดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย
    โจมตีอุปกรณ์ Cisco ASA ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์สำคัญในระบบรัฐบาลและองค์กร

    ขอบเขตการโจมตี
    พบการโจมตีในสหรัฐฯ ต่อ IP ของหน่วยงานรัฐบาลกลางและท้องถิ่น
    ขยายไปยังประเทศอื่น เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ
    มีช่วงหยุดโจมตีระหว่าง 1–8 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันหยุด Golden Week ของจีน

    ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี
    CVE-2025-30333 (CVSS 9.9): ผู้โจมตีที่มี VPN credentials สามารถรันโค้ดบนอุปกรณ์ได้
    CVE-2025-20362 (CVSS 6.5): ผู้โจมตีที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสามารถเข้าถึงพื้นที่จำกัดได้
    การโจมตีแบบ chain ทำให้ควบคุมอุปกรณ์ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    James Maude: ต้อง patch ช่องโหว่ทันที และรีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน
    Heath Renfrow: อุปกรณ์ edge กลายเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่แค่โครงสร้างรอง
    ต้องตรวจสอบ credential ทั้งหมดและรีวิว log อย่างละเอียด

    https://hackread.com/china-hackers-target-cisco-firewalls/
    📰 “Storm-1849” แฮกเกอร์จีนเจาะระบบไฟร์วอลล์ Cisco ทั่วโลก รายงานล่าสุดจาก Palo Alto Networks’ Unit 42 เผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่ถูกติดตามในชื่อ Storm-1849 หรือ UAT4356 กำลังโจมตีอุปกรณ์ Cisco Adaptive Security Appliance (ASA) ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐบาล สถาบันกลาโหม และบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย แม้ Cisco และ CISA ยังไม่ระบุว่าเป็นฝีมือของจีนอย่างเป็นทางการ แต่บริษัท Censys เคยพบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับการโจมตีในปี 2024 ที่มีลักษณะคล้ายกัน ✅ กลุ่มแฮกเกอร์ Storm-1849 ➡️ ถูกติดตามในชื่อ UAT4356 โดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย ➡️ โจมตีอุปกรณ์ Cisco ASA ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์สำคัญในระบบรัฐบาลและองค์กร ✅ ขอบเขตการโจมตี ➡️ พบการโจมตีในสหรัฐฯ ต่อ IP ของหน่วยงานรัฐบาลกลางและท้องถิ่น ➡️ ขยายไปยังประเทศอื่น เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ ➡️ มีช่วงหยุดโจมตีระหว่าง 1–8 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันหยุด Golden Week ของจีน ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี ➡️ CVE-2025-30333 (CVSS 9.9): ผู้โจมตีที่มี VPN credentials สามารถรันโค้ดบนอุปกรณ์ได้ ➡️ CVE-2025-20362 (CVSS 6.5): ผู้โจมตีที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสามารถเข้าถึงพื้นที่จำกัดได้ ➡️ การโจมตีแบบ chain ทำให้ควบคุมอุปกรณ์ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ James Maude: ต้อง patch ช่องโหว่ทันที และรีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน ➡️ Heath Renfrow: อุปกรณ์ edge กลายเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่แค่โครงสร้างรอง ➡️ ต้องตรวจสอบ credential ทั้งหมดและรีวิว log อย่างละเอียด https://hackread.com/china-hackers-target-cisco-firewalls/
    HACKREAD.COM
    China-Linked Hackers Target Cisco Firewalls in Global Campaign
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • เที่ยวเฉิงตู ภูเขาหิมะวาวู่ ❄ เดือน พ.ย. 10,999

    🗓 จำนวนวัน 4วัน 3คืน
    ✈ 3U-เสฉวน แอร์ไลน์
    พักโรงแรม

    ภูเขาหิมะวาวู่
    ซอยกว้างซอยแคบ
    วัดต้าฉือ
    ถนนคนเดินไท่กู่หลี่
    ถนนคนเดินชุนซีลู่
    แพนด้ายักษ์ปีนตึก IFS
    ชมแสงสี SKP

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวเฉิงตู ภูเขาหิมะวาวู่ ❄ เดือน พ.ย. 😍🔥 10,999 🔥😘 🗓 จำนวนวัน 4วัน 3คืน ✈ 3U-เสฉวน แอร์ไลน์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 ภูเขาหิมะวาวู่ 📍 ซอยกว้างซอยแคบ 📍 วัดต้าฉือ 📍 ถนนคนเดินไท่กู่หลี่ 📍 ถนนคนเดินชุนซีลู่ 📍 แพนด้ายักษ์ปีนตึก IFS 📍 ชมแสงสี SKP รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • NVIDIA หันหลังให้จีน ส่งชิป AI สู่ UAE — Microsoft ได้ไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมลงทุนกว่า $7.9 พันล้านดอลลาร์

    บทความจาก Wccftech เผยว่า Microsoft ได้รับใบอนุญาตส่งออกชิป AI ของ NVIDIA ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งถือเป็นการเปิดตลาดใหม่หลังจากความตึงเครียดกับจีน โดย Brad Smith ประธาน Microsoft ระบุว่าการอนุมัตินี้เกิดขึ้นหลังผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลสหรัฐฯ.

    หลังจากที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนอย่างเข้มงวด NVIDIA จึงมองหาตลาดใหม่ และ UAE กลายเป็นเป้าหมายสำคัญ โดย Microsoft กลายเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายแรกที่ได้รับสิทธิ์ในการส่งออกชิปเหล่านี้ พร้อมแผนลงทุนในภูมิภาคสูงถึง $7.9 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2026–2029

    การเปลี่ยนทิศนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดี Donald Trump เดินทางเยือนกลุ่มประเทศอ่าว และมีการลงนามข้อตกลงระหว่าง NVIDIA กับองค์กรรัฐในภูมิภาค เช่น G42 และ HUMAIN AI ซึ่งสะท้อนว่าอุตสาหกรรม AI กำลังขยายตัวสู่ตะวันออกกลางอย่างจริงจัง

    Microsoft ได้รับใบอนุญาตส่งออกชิป AI ของ NVIDIA ไปยัง UAE
    ผ่านการตรวจสอบด้าน cybersecurity และ physical security จากรัฐบาลสหรัฐฯ

    Microsoft เตรียมลงทุน $7.9 พันล้านดอลลาร์ใน UAE
    ระหว่างปี 2026–2029 เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI

    NVIDIA เซ็นสัญญากับองค์กรรัฐในอ่าว เช่น G42 และ HUMAIN AI
    หลังการเยือนของประธานาธิบดี Trump

    ตลาดตะวันออกกลางกลายเป็นโอกาสใหม่ของ NVIDIA
    หลังจากเผชิญข้อจำกัดในการส่งออกไปจีน

    UAE อาจกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของเทคโนโลยี AI
    ด้วยการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก

    ความสัมพันธ์กับจีนยังคงตึงเครียด
    การส่งออกชิป AI ไปจีนยังถูกจำกัดอย่างเข้มงวด

    การลงทุนในภูมิภาคใหม่ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
    ต้องจับตาความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายในตะวันออกกลาง

    https://wccftech.com/forget-china-nvidia-ai-chips-are-now-going-to-the-uae/
    🇦🇪 NVIDIA หันหลังให้จีน ส่งชิป AI สู่ UAE — Microsoft ได้ไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมลงทุนกว่า $7.9 พันล้านดอลลาร์ บทความจาก Wccftech เผยว่า Microsoft ได้รับใบอนุญาตส่งออกชิป AI ของ NVIDIA ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งถือเป็นการเปิดตลาดใหม่หลังจากความตึงเครียดกับจีน โดย Brad Smith ประธาน Microsoft ระบุว่าการอนุมัตินี้เกิดขึ้นหลังผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลสหรัฐฯ. หลังจากที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนอย่างเข้มงวด NVIDIA จึงมองหาตลาดใหม่ และ UAE กลายเป็นเป้าหมายสำคัญ โดย Microsoft กลายเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายแรกที่ได้รับสิทธิ์ในการส่งออกชิปเหล่านี้ พร้อมแผนลงทุนในภูมิภาคสูงถึง $7.9 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2026–2029 การเปลี่ยนทิศนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดี Donald Trump เดินทางเยือนกลุ่มประเทศอ่าว และมีการลงนามข้อตกลงระหว่าง NVIDIA กับองค์กรรัฐในภูมิภาค เช่น G42 และ HUMAIN AI ซึ่งสะท้อนว่าอุตสาหกรรม AI กำลังขยายตัวสู่ตะวันออกกลางอย่างจริงจัง ✅ Microsoft ได้รับใบอนุญาตส่งออกชิป AI ของ NVIDIA ไปยัง UAE ➡️ ผ่านการตรวจสอบด้าน cybersecurity และ physical security จากรัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Microsoft เตรียมลงทุน $7.9 พันล้านดอลลาร์ใน UAE ➡️ ระหว่างปี 2026–2029 เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ NVIDIA เซ็นสัญญากับองค์กรรัฐในอ่าว เช่น G42 และ HUMAIN AI ➡️ หลังการเยือนของประธานาธิบดี Trump ✅ ตลาดตะวันออกกลางกลายเป็นโอกาสใหม่ของ NVIDIA ➡️ หลังจากเผชิญข้อจำกัดในการส่งออกไปจีน ✅ UAE อาจกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของเทคโนโลยี AI ➡️ ด้วยการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ‼️ ความสัมพันธ์กับจีนยังคงตึงเครียด ⛔ การส่งออกชิป AI ไปจีนยังถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ‼️ การลงทุนในภูมิภาคใหม่ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ ต้องจับตาความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายในตะวันออกกลาง https://wccftech.com/forget-china-nvidia-ai-chips-are-now-going-to-the-uae/
    WCCFTECH.COM
    Forget China — NVIDIA’s AI Chips Are Now Heading to the UAE as Microsoft Receives ‘Pivotal’ Approval from the Trump Administration
    NVIDIA's AI chips are now heading to the UAE, as, according to a new report, Microsoft has received the required export license.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น”

    จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต.

    ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม

    เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก

    แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้
    ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว

    ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95%
    ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด

    ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล
    ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน

    กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต

    ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15
    ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป

    ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน
    เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง
    ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ

    ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
    ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว

    การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล
    อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    🌊💻 หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น” จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต. ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว ✅ ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95% ➡️ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด ✅ ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล ➡️ ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ✅ กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต ✅ ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15 ➡️ ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป ✅ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน ➡️ เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering ‼️ การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง ⛔ ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ ‼️ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ⛔ ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว ‼️ การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล ⛔ อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    WWW.TECHRADAR.COM
    China’s underwater data center takes computing to new depths
    Offshore wind provides up to 95% of the energy powering the submerged servers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “จีนทุบสถิติโลก! โชว์โดรนเกือบ 16,000 ลำกลางฟ้า – ศิลปะดิจิทัลที่แทนพลุได้อย่างน่าทึ่ง”

    จีนจัดแสดงโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองหลิ่วหยาง ด้วยจำนวนโดรนถึง 15,947 ลำ พร้อมคว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด และเปลี่ยนภาพจำของการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ.

    เมืองหลิ่วหยาง ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งพลุ” ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการจัดโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้โดรนเกือบ 16,000 ลำบินพร้อมกันในรูปแบบแสงสีที่ออกแบบด้วยซอฟต์แวร์แทนการจุดพลุแบบดั้งเดิม

    โชว์นี้มีชื่อว่า “A Firework Belonging to Me” ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี RTK (Real-Time Kinematic) และระบบ mesh networking เพื่อควบคุมโดรนให้บินตามเส้นทางที่แม่นยำแบบเรียลไทม์ สร้างภาพต่างๆ เช่น “Sky Tree” ดอกไม้ และหอคอยลอยฟ้า

    นอกจากความงดงามแล้ว โชว์นี้ยังคว้าสองสถิติโลก ได้แก่:
    จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวมากที่สุด
    จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ)

    แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่โชว์ลักษณะนี้ก็มีความเสี่ยง เช่น การสื่อสารผิดพลาดหรือสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเคยเกิดเหตุโดรนตกใส่ผู้ชมในโชว์ก่อนหน้านี้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่ใช้ในโชว์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่น เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือแม้แต่การใช้งานทางทหาร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการควบคุมแบบรวมศูนย์ในระดับมหภาค

    จีนจัดโชว์โดรนใหญ่ที่สุดในโลกที่เมืองหลิ่วหยาง
    ใช้โดรน 15,947 ลำบินพร้อมกันในโชว์ “A Firework Belonging to Me”

    คว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด
    จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เดียวมากที่สุด
    จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ)

    ใช้เทคโนโลยี RTK และ mesh networking เพื่อควบคุมแบบเรียลไทม์
    เพิ่มความแม่นยำในการบินและลดความผิดพลาด

    เปลี่ยนการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัล
    ลดมลพิษทางอากาศและเสียงจากการจุดพลุ

    มีการออกแบบภาพลอยฟ้า เช่น Sky Tree และดอกไม้
    สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมด้วยศิลปะดิจิทัล

    เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในงานอื่นๆ ได้
    เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือการใช้งานทางทหาร

    https://www.techradar.com/pro/china-smashes-drone-display-world-record-nearly-16-000-drones-take-to-the-sky-in-incredible-display
    🇨🇳🚁 หัวข้อข่าว: “จีนทุบสถิติโลก! โชว์โดรนเกือบ 16,000 ลำกลางฟ้า – ศิลปะดิจิทัลที่แทนพลุได้อย่างน่าทึ่ง” จีนจัดแสดงโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองหลิ่วหยาง ด้วยจำนวนโดรนถึง 15,947 ลำ พร้อมคว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด และเปลี่ยนภาพจำของการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ. เมืองหลิ่วหยาง ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งพลุ” ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการจัดโชว์โดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้โดรนเกือบ 16,000 ลำบินพร้อมกันในรูปแบบแสงสีที่ออกแบบด้วยซอฟต์แวร์แทนการจุดพลุแบบดั้งเดิม โชว์นี้มีชื่อว่า “A Firework Belonging to Me” ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี RTK (Real-Time Kinematic) และระบบ mesh networking เพื่อควบคุมโดรนให้บินตามเส้นทางที่แม่นยำแบบเรียลไทม์ สร้างภาพต่างๆ เช่น “Sky Tree” ดอกไม้ และหอคอยลอยฟ้า นอกจากความงดงามแล้ว โชว์นี้ยังคว้าสองสถิติโลก ได้แก่: 🎗️ จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวมากที่สุด 🎗️ จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ) แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่โชว์ลักษณะนี้ก็มีความเสี่ยง เช่น การสื่อสารผิดพลาดหรือสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเคยเกิดเหตุโดรนตกใส่ผู้ชมในโชว์ก่อนหน้านี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีที่ใช้ในโชว์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่น เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือแม้แต่การใช้งานทางทหาร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการควบคุมแบบรวมศูนย์ในระดับมหภาค ✅ จีนจัดโชว์โดรนใหญ่ที่สุดในโลกที่เมืองหลิ่วหยาง ➡️ ใช้โดรน 15,947 ลำบินพร้อมกันในโชว์ “A Firework Belonging to Me” ✅ คว้าสองสถิติกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด ➡️ จำนวนโดรนที่ควบคุมจากคอมพิวเตอร์เดียวมากที่สุด ➡️ จำนวนโดรนที่ปล่อยพลุพร้อมกันมากที่สุด (7,496 ลำ) ✅ ใช้เทคโนโลยี RTK และ mesh networking เพื่อควบคุมแบบเรียลไทม์ ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการบินและลดความผิดพลาด ✅ เปลี่ยนการเฉลิมฉลองจากพลุสู่แสงดิจิทัล ➡️ ลดมลพิษทางอากาศและเสียงจากการจุดพลุ ✅ มีการออกแบบภาพลอยฟ้า เช่น Sky Tree และดอกไม้ ➡️ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมด้วยศิลปะดิจิทัล ✅ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในงานอื่นๆ ได้ ➡️ เช่น การทำแผนที่ การส่งสัญญาณ หรือการใช้งานทางทหาร https://www.techradar.com/pro/china-smashes-drone-display-world-record-nearly-16-000-drones-take-to-the-sky-in-incredible-display
    WWW.TECHRADAR.COM
    China lit the sky with 16,000 drones, fusing art, software, and precision
    16,000 drones followed a precise RTK-guided path for real-time accuracy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์

    ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน

    Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น”

    แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm
    สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
    การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ

    จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park
    พร้อมข้อความ “There is but one China in the world”
    ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน

    ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป
    เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ
    มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center

    ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์
    99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน
    หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก

    การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร
    มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี
    เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ

    ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน
    การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน
    การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป
    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก
    ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    🛰️ ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์ ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น” แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ 💡 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: 💠 TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm 💠 สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 💠 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ ✅ จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park ➡️ พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ➡️ ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน ✅ ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป ➡️ เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ ➡️ มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center ✅ ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน ➡️ หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก ✅ การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ➡️ มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี ➡️ เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ‼️ ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ⛔ การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน ⛔ การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร ‼️ ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป ⛔ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก ⛔ ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก 🌏💥 https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวนาแดนมังกรสร้างเรือดำน้ำใช้งานได้จริงด้วยงบแค่ $5,570! ความฝันที่กลายเป็นจริงของ Zhang Shengwu

    เรื่องราวสุดเหลือเชื่อของ Zhang Shengwu ชาวนาจากมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำส่วนตัวชื่อ “Big Black Fish” ด้วยงบประมาณเพียงประมาณ 5,570 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกว่า “ความฝันไม่จำกัดด้วยอาชีพหรือเงินทุน”.

    Zhang เติบโตริมแม่น้ำแยงซี เคยทำงานเป็นชาวนา ช่างไม้ ช่างเชื่อม และในอุตสาหกรรมขนส่ง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรือดำน้ำเลย จนกระทั่งปี 2014 เขาเห็นเรือดำน้ำครั้งแรกจากรายการโทรทัศน์ และตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเองจากเศษเหล็ก แบตเตอรี่ และเครื่องยนต์

    หลังจากต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่ว Zhang พัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ และเคยใช้เรือดำน้ำนี้ช่วยค้นหาอวนหายจนได้รับค่าจ้างถึง $417

    เรื่องราวของ Zhang ไม่ใช่แค่การสร้างเรือดำน้ำ แต่คือการพิสูจน์ว่า “ความฝันสามารถเป็นจริงได้” หากมีความมุ่งมั่นและความพยายาม

    Zhang Shengwu ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำเอง
    เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากรายการโทรทัศน์ในปี 2014

    งบประมาณทั้งหมดเพียงประมาณ $5,570
    ใช้กับวัสดุและการก่อสร้างทั้งหมด

    เรือดำน้ำชื่อ “Big Black Fish” มีขนาด 22 ฟุต ยาว 5.9 ฟุต สูง
    ดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน

    ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ
    เคยใช้ช่วยค้นหาอวนหายและได้รับค่าจ้าง $417

    เสริมความมั่นคงด้วยคอนกรีตเกือบ 2 ตันและถังถ่วงน้ำ
    ใช้ซิลิโคนเสริมรอยเชื่อม และมีแผงควบคุมเรืองแสงสีฟ้า

    ได้รับสิทธิบัตรระดับประเทศจากต้นแบบเรือดำน้ำ
    และอีกหนึ่งสิทธิบัตรจากเรือผิวน้ำที่สร้างคลื่นน้อย

    ต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่วเมื่ออยู่ใต้น้ำ
    ทำให้ต้องพัฒนาใหม่เป็นเรือผิวน้ำก่อนกลับมาสร้างเรือดำน้ำอีกครั้ง

    การสร้างเรือดำน้ำต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยสูง
    อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านช่างหรือการออกแบบโครงสร้าง

    https://www.slashgear.com/2010050/china-farmer-homemade-submarine-zhang-shengwu/
    🌊 ชาวนาแดนมังกรสร้างเรือดำน้ำใช้งานได้จริงด้วยงบแค่ $5,570! ความฝันที่กลายเป็นจริงของ Zhang Shengwu เรื่องราวสุดเหลือเชื่อของ Zhang Shengwu ชาวนาจากมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำส่วนตัวชื่อ “Big Black Fish” ด้วยงบประมาณเพียงประมาณ 5,570 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกว่า “ความฝันไม่จำกัดด้วยอาชีพหรือเงินทุน”. Zhang เติบโตริมแม่น้ำแยงซี เคยทำงานเป็นชาวนา ช่างไม้ ช่างเชื่อม และในอุตสาหกรรมขนส่ง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรือดำน้ำเลย จนกระทั่งปี 2014 เขาเห็นเรือดำน้ำครั้งแรกจากรายการโทรทัศน์ และตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเองจากเศษเหล็ก แบตเตอรี่ และเครื่องยนต์ หลังจากต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่ว Zhang พัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ และเคยใช้เรือดำน้ำนี้ช่วยค้นหาอวนหายจนได้รับค่าจ้างถึง $417 เรื่องราวของ Zhang ไม่ใช่แค่การสร้างเรือดำน้ำ แต่คือการพิสูจน์ว่า “ความฝันสามารถเป็นจริงได้” หากมีความมุ่งมั่นและความพยายาม 💪 ✅ Zhang Shengwu ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำเอง ➡️ เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากรายการโทรทัศน์ในปี 2014 ✅ งบประมาณทั้งหมดเพียงประมาณ $5,570 ➡️ ใช้กับวัสดุและการก่อสร้างทั้งหมด ✅ เรือดำน้ำชื่อ “Big Black Fish” มีขนาด 22 ฟุต ยาว 5.9 ฟุต สูง ➡️ ดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ✅ ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ ➡️ เคยใช้ช่วยค้นหาอวนหายและได้รับค่าจ้าง $417 ✅ เสริมความมั่นคงด้วยคอนกรีตเกือบ 2 ตันและถังถ่วงน้ำ ➡️ ใช้ซิลิโคนเสริมรอยเชื่อม และมีแผงควบคุมเรืองแสงสีฟ้า ✅ ได้รับสิทธิบัตรระดับประเทศจากต้นแบบเรือดำน้ำ ➡️ และอีกหนึ่งสิทธิบัตรจากเรือผิวน้ำที่สร้างคลื่นน้อย ‼️ ต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่วเมื่ออยู่ใต้น้ำ ⛔ ทำให้ต้องพัฒนาใหม่เป็นเรือผิวน้ำก่อนกลับมาสร้างเรือดำน้ำอีกครั้ง ‼️ การสร้างเรือดำน้ำต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยสูง ⛔ อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านช่างหรือการออกแบบโครงสร้าง https://www.slashgear.com/2010050/china-farmer-homemade-submarine-zhang-shengwu/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Chinese Farmer Has A Unique Hobby – He Built A Working Submarine - SlashGear
    A Chinese Farmer living near the Yangtze River in the Anhui province built a working submarine, investing a surprisingly low sum of around $5,570.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดราม่าชิปโลกสะเทือน: Nexperia ได้ไฟเขียวส่งออกจากจีน หลังผู้นำสองชาติจับมือเจรจา

    เรื่องนี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับเนเธอร์แลนด์ ที่ลุกลามไปถึงสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก เมื่อจีนประกาศแบนการส่งออกชิปจากบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปยานยนต์รายใหญ่ที่ถือครองตลาดถึง 40% โดยเฉพาะในรถยนต์ที่ใช้ชิปกว่า 1,500 ตัวต่อคัน การหยุดส่งออกจึงเท่ากับหยุดสายการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ

    แต่หลังจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเวที APEC ที่ปูซาน จีนก็เปิดช่องให้บริษัทต่างชาติสามารถขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง โดยต้องผ่านการพิจารณาแบบกรณีต่อกรณีจากกระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM)

    อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบ เพราะสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ยังคงหยุดส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานในจีน ทำให้แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก แต่การผลิตก็ยังติดขัดอยู่ดี

    นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องกฎใหม่ของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปแล้ว

    จีนเปิดให้บริษัทต่างชาติขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง
    ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนแบบกรณีต่อกรณี
    เป็นผลจากการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในเวที APEC

    Nexperia ถือครองตลาดชิปยานยนต์ถึง 40%
    รถยนต์หนึ่งคันใช้ชิปเฉลี่ย 1,500 ตัว
    การหยุดส่งออกส่งผลให้สายการผลิตทั่วโลกหยุดชะงัก

    สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ
    Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ถูกขึ้นบัญชีดำ
    ส่งผลให้ Nexperia เสี่ยงสูญเสียการเข้าถึงเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ

    โรงงาน Nexperia ในจีนผลิตชิปถึง 70% ของกำลังการผลิตทั่วโลก
    แต่ยังขาดวัตถุดิบจากสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์
    ทำให้การผลิตยังไม่สามารถกลับมาเต็มรูปแบบได้

    ความขัดแย้งระหว่างจีน-เนเธอร์แลนด์ยังไม่คลี่คลาย
    สำนักงานใหญ่ของ Nexperia ยังไม่ส่งวัตถุดิบไปจีน
    อาจทำให้การผลิตชิปยังติดขัด แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก

    กฎใหม่ของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก
    บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในบัญชีดำต้องปรับโครงสร้าง
    อาจต้องหาซัพพลายเชนใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ชิป” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง


    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nexperia-allowed-to-resume-exports-from-china-following-trump-xi-talks-companies-may-seek-exemptions-from-the-ministry-of-commerce-to-restart-international-deliveries
    🧩 ดราม่าชิปโลกสะเทือน: Nexperia ได้ไฟเขียวส่งออกจากจีน หลังผู้นำสองชาติจับมือเจรจา เรื่องนี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับเนเธอร์แลนด์ ที่ลุกลามไปถึงสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก เมื่อจีนประกาศแบนการส่งออกชิปจากบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปยานยนต์รายใหญ่ที่ถือครองตลาดถึง 40% โดยเฉพาะในรถยนต์ที่ใช้ชิปกว่า 1,500 ตัวต่อคัน การหยุดส่งออกจึงเท่ากับหยุดสายการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ แต่หลังจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเวที APEC ที่ปูซาน จีนก็เปิดช่องให้บริษัทต่างชาติสามารถขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง โดยต้องผ่านการพิจารณาแบบกรณีต่อกรณีจากกระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบ เพราะสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ยังคงหยุดส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานในจีน ทำให้แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก แต่การผลิตก็ยังติดขัดอยู่ดี นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องกฎใหม่ของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปแล้ว ✅ จีนเปิดให้บริษัทต่างชาติขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง ➡️ ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนแบบกรณีต่อกรณี ➡️ เป็นผลจากการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในเวที APEC ✅ Nexperia ถือครองตลาดชิปยานยนต์ถึง 40% ➡️ รถยนต์หนึ่งคันใช้ชิปเฉลี่ย 1,500 ตัว ➡️ การหยุดส่งออกส่งผลให้สายการผลิตทั่วโลกหยุดชะงัก ✅ สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ➡️ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ถูกขึ้นบัญชีดำ ➡️ ส่งผลให้ Nexperia เสี่ยงสูญเสียการเข้าถึงเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ✅ โรงงาน Nexperia ในจีนผลิตชิปถึง 70% ของกำลังการผลิตทั่วโลก ➡️ แต่ยังขาดวัตถุดิบจากสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ➡️ ทำให้การผลิตยังไม่สามารถกลับมาเต็มรูปแบบได้ ‼️ ความขัดแย้งระหว่างจีน-เนเธอร์แลนด์ยังไม่คลี่คลาย ⛔ สำนักงานใหญ่ของ Nexperia ยังไม่ส่งวัตถุดิบไปจีน ⛔ อาจทำให้การผลิตชิปยังติดขัด แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก ‼️ กฎใหม่ของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ⛔ บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในบัญชีดำต้องปรับโครงสร้าง ⛔ อาจต้องหาซัพพลายเชนใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ชิป” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nexperia-allowed-to-resume-exports-from-china-following-trump-xi-talks-companies-may-seek-exemptions-from-the-ministry-of-commerce-to-restart-international-deliveries
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก

    ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่

    Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป

    หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที

    ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia

    ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

    เหตุการณ์หลักจากข่าว
    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน
    สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน
    Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน
    อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์
    ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี
    กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes
    Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
    ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน

    ความสำคัญของ Nexperia
    ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์
    แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    🚗💥 Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่ Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ✅ เหตุการณ์หลักจากข่าว ➡️ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน ➡️ สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน ➡️ Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน ➡️ อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ➡️ ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี ➡️ กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes ➡️ Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ➡️ ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน ✅ ความสำคัญของ Nexperia ➡️ ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์ ➡️ แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ–จีนตกลงพักศึกภาษี 1 ปี พร้อมคลี่คลายปมแร่หายากและชิป AI แต่อนาคต Nvidia ยังไม่ชัดเจน

    ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี พร้อมข้อตกลงด้านแร่หายากที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการขายชิป AI ของ Nvidia ให้จีน

    การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นำไปสู่ข้อตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี โดยทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจากเดิม 20% และจีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์

    แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ประเด็นเรื่องชิป AI ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ โดยเฉพาะชิป Blackwell ของ Nvidia ที่ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง” ในการเจรจา แม้ก่อนหน้านี้จะเคยกล่าวว่าจะหารือเรื่องนี้

    สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ทำให้บริษัทอย่าง AMD และ Nvidia ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก ขณะที่ฝั่งจีนไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์เลยในการสรุปผลการประชุม

    นักลงทุนอาจพอใจในระยะสั้นจากการคลี่คลายปัญหาแร่หายาก แต่ความไม่แน่นอนเรื่องชิป AI และการควบคุมเทคโนโลยียังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา

    สหรัฐฯ–จีนตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี
    ทรัมป์ลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจาก 20%
    จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก

    ความสำคัญของแร่หายาก
    ใช้ในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์
    การควบคุมส่งออกส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก

    ประเด็นชิป AI ยังไม่ชัดเจน
    สหรัฐฯ จำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน
    Nvidia และ AMD ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนด
    ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง Blackwell” ในการเจรจา

    ปฏิกิริยาจากจีน
    รายงานสรุปของจีนไม่กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์
    ท่าทีของจีนยังคงระมัดระวังและไม่เปิดเผยรายละเอียด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-and-china-agree-on-one-year-tariff-truce-including-semiconductor-and-rare-earth-breakthroughs-the-future-of-nvidia-ai-chip-sales-to-the-nation-remains-murky
    🌏🤝 สหรัฐฯ–จีนตกลงพักศึกภาษี 1 ปี พร้อมคลี่คลายปมแร่หายากและชิป AI แต่อนาคต Nvidia ยังไม่ชัดเจน ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี พร้อมข้อตกลงด้านแร่หายากที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการขายชิป AI ของ Nvidia ให้จีน การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นำไปสู่ข้อตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี โดยทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจากเดิม 20% และจีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ประเด็นเรื่องชิป AI ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ โดยเฉพาะชิป Blackwell ของ Nvidia ที่ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง” ในการเจรจา แม้ก่อนหน้านี้จะเคยกล่าวว่าจะหารือเรื่องนี้ สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ทำให้บริษัทอย่าง AMD และ Nvidia ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก ขณะที่ฝั่งจีนไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์เลยในการสรุปผลการประชุม นักลงทุนอาจพอใจในระยะสั้นจากการคลี่คลายปัญหาแร่หายาก แต่ความไม่แน่นอนเรื่องชิป AI และการควบคุมเทคโนโลยียังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา ✅ สหรัฐฯ–จีนตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี ➡️ ทรัมป์ลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจาก 20% ➡️ จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ✅ ความสำคัญของแร่หายาก ➡️ ใช้ในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ การควบคุมส่งออกส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ✅ ประเด็นชิป AI ยังไม่ชัดเจน ➡️ สหรัฐฯ จำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ➡️ Nvidia และ AMD ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนด ➡️ ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง Blackwell” ในการเจรจา ✅ ปฏิกิริยาจากจีน ➡️ รายงานสรุปของจีนไม่กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ท่าทีของจีนยังคงระมัดระวังและไม่เปิดเผยรายละเอียด https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-and-china-agree-on-one-year-tariff-truce-including-semiconductor-and-rare-earth-breakthroughs-the-future-of-nvidia-ai-chip-sales-to-the-nation-remains-murky
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก

    ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว!

    เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

    แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต

    จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990
    เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์
    ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย
    โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024
    โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่

    ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า
    รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์
    อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์
    แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์
    สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน

    สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก
    การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์
    ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน

    https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report
    🌳 จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว! 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต ✅ จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990 ➡️ เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์ ➡️ ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย ➡️ โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024 ➡️ โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่ ✅ ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า ➡️ รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์ ➡️ อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์ ➡️ แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์ ➡️ สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน ✅ สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก ➡️ การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์ ➡️ ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เที่ยวเฉิงตู ภูเขาหิมะวาวู่ ❄ เดือน พ.ย. 9,999

    🗓 จำนวนวัน 4วัน 3คืน
    ✈ 3U-เสฉวน แอร์ไลน์
    พักโรงแรม

    ภูเขาหิมะวาวู่
    ชมแสงสี SKP
    วัดต้าฉือ
    ซอยกว้างซอยแคบ
    ถนนคนเดินไท่กู่หลี่
    แพนด้ายักษ์ปีนตึก IFS
    ถนนคนเดินชุนซีลู่

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวเฉิงตู ภูเขาหิมะวาวู่ ❄ เดือน พ.ย. 😍🔥 9,999 🔥 🗓 จำนวนวัน 4วัน 3คืน ✈ 3U-เสฉวน แอร์ไลน์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 ภูเขาหิมะวาวู่ 📍 ชมแสงสี SKP 📍 วัดต้าฉือ 📍 ซอยกว้างซอยแคบ 📍 ถนนคนเดินไท่กู่หลี่ 📍 แพนด้ายักษ์ปีนตึก IFS 📍 ถนนคนเดินชุนซีลู่ รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “สหรัฐ–ญี่ปุ่นจับมือสลายอิทธิพลจีนในตลาดแร่หายาก พร้อมเร่งพลังงานนิวเคลียร์รับยุค AI”

    ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ณ กรุงโตเกียว โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดการกลั่นและผลิตแม่เหล็กจากแร่หายากกว่า 85% ของโลก แม้จีนจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแร่หายากดิบทั่วโลก แต่กลับควบคุมกระบวนการผลิตที่สำคัญเกือบทั้งหมด

    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการสร้างเส้นทางใหม่ด้านทรัพยากรและพลังงาน โดยเฉพาะแร่ neodymium และ praseodymium ที่จำเป็นต่อการผลิตแม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV และฮาร์ดไดรฟ์

    นอกจากแร่หายากแล้ว ข้อตกลงยังรวมถึงความร่วมมือในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยเฉพาะแบบ BWRX-300 ที่พัฒนาโดย GE Vernova และ Hitachi ซึ่งได้รับอนุมัติให้สร้างในอเมริกาเหนือแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft ที่ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สหรัฐและญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์
    เป้าหมายคือลดการพึ่งพาจีนที่ครองตลาดการกลั่นแร่หายากกว่า 85%
    เน้นแร่ neodymium และ praseodymium สำหรับแม่เหล็กถาวร
    ข้อตกลงเกิดก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง

    ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์
    เน้นการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)
    แบบ BWRX-300 ได้รับอนุมัติแล้วในอเมริกาเหนือ
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับ AI

    ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    OpenAI, xAI และ TSMC Arizona ต้องการพลังงานเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล
    พลังงานนิวเคลียร์กลายเป็น “ปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์” สำหรับการสร้าง GPU และเซิร์ฟเวอร์ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-and-japan-move-to-pry-rare-earths-from-chinas-grip
    🌏 “สหรัฐ–ญี่ปุ่นจับมือสลายอิทธิพลจีนในตลาดแร่หายาก พร้อมเร่งพลังงานนิวเคลียร์รับยุค AI” ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ณ กรุงโตเกียว โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดการกลั่นและผลิตแม่เหล็กจากแร่หายากกว่า 85% ของโลก แม้จีนจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณแร่หายากดิบทั่วโลก แต่กลับควบคุมกระบวนการผลิตที่สำคัญเกือบทั้งหมด ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการสร้างเส้นทางใหม่ด้านทรัพยากรและพลังงาน โดยเฉพาะแร่ neodymium และ praseodymium ที่จำเป็นต่อการผลิตแม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV และฮาร์ดไดรฟ์ นอกจากแร่หายากแล้ว ข้อตกลงยังรวมถึงความร่วมมือในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โดยเฉพาะแบบ BWRX-300 ที่พัฒนาโดย GE Vernova และ Hitachi ซึ่งได้รับอนุมัติให้สร้างในอเมริกาเหนือแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft ที่ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อรองรับการประมวลผล AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สหรัฐและญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงด้านแร่หายากและพลังงานนิวเคลียร์ ➡️ เป้าหมายคือลดการพึ่งพาจีนที่ครองตลาดการกลั่นแร่หายากกว่า 85% ➡️ เน้นแร่ neodymium และ praseodymium สำหรับแม่เหล็กถาวร ➡️ ข้อตกลงเกิดก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ✅ ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ➡️ เน้นการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ➡️ แบบ BWRX-300 ได้รับอนุมัติแล้วในอเมริกาเหนือ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับ AI ✅ ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ OpenAI, xAI และ TSMC Arizona ต้องการพลังงานเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ พลังงานนิวเคลียร์กลายเป็น “ปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์” สำหรับการสร้าง GPU และเซิร์ฟเวอร์ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-and-japan-move-to-pry-rare-earths-from-chinas-grip
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    US and Japan move to loosen China’s rare earths grip — nations partner to build alternative pathways to power, resource independence
    Tokyo pact pairs magnet supply chain resilience with new nuclear cooperation, days before Trump meets Xi.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน”

    OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล

    นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง

    OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ

    ข้อเสนอหลักจาก OpenAI
    สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี
    ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน
    ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน
    ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม

    เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน
    จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว
    สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ
    โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล

    ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI
    จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก
    ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ
    สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม

    สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ ..

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    ⚡ หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน” OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ ✅ ข้อเสนอหลักจาก OpenAI ➡️ สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี ➡️ ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน ➡️ ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน ➡️ ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ✅ เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน ➡️ จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว ➡️ สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ ➡️ โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล ✅ ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI ➡️ จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก ➡️ ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ ➡️ สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ .. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตชิปใกล้ระเบิดอีกครั้ง! ข้อพิพาทจีน–เนเธอร์แลนด์อาจทำให้การผลิตรถยนต์ทั่วโลกหยุดชะงัก

    บทความจาก SlashGear เผยว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหม่จากการขาดแคลนชิป หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งควบคุมการส่งออก — และชิปที่ถูกแบนคือส่วนสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุม Nexperia เพื่อปกป้องเทคโนโลยีของยุโรป
    Nexperia เป็นบริษัทผลิตชิปในเนเธอร์แลนด์ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีนชื่อ Wingtech
    เนเธอร์แลนด์ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่จีนไม่พอใจ

    จีนตอบโต้ด้วยการห้ามส่งออกชิ้นส่วนจาก Nexperia China
    กระทรวงพาณิชย์จีนออกประกาศควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากจีน
    รวมถึงชิปที่ใช้ในระบบควบคุมรถยนต์ (ECU)

    องค์กรอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกออกมาเตือนถึงผลกระทบ
    Alliance for Automotive Innovation (สหรัฐฯ) ระบุว่า “จะกระทบการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ”
    Japan Automobile Manufacturers Association เตือนว่า “จะส่งผลร้ายแรงต่อการผลิตทั่วโลก”
    สมาคม VDA ของเยอรมนีถึงขั้นระบุว่า “อาจหยุดการผลิตได้”

    Nexperia กำลังหาทางแก้ไขทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ
    พยายามหาช่องทางทางกฎหมายเพื่อให้สามารถส่งออกได้ต่อ
    แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแน่ชัด

    การขาดแคลนชิปอาจเริ่มกระทบการผลิตตั้งแต่พฤศจิกายน 2025
    ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มเตรียมแผนรับมือ
    อาจเกิดการเลื่อนส่งมอบรถยนต์หรือหยุดสายการผลิตชั่วคราว

    ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น
    ชิปไม่ได้ใช้แค่ในรถยนต์ แต่ยังอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
    หากข้อพิพาทไม่คลี่คลาย อาจเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่

    https://www.slashgear.com/2009471/2025-chip-shortage-automaker-impact/
    🚗💥 วิกฤตชิปใกล้ระเบิดอีกครั้ง! ข้อพิพาทจีน–เนเธอร์แลนด์อาจทำให้การผลิตรถยนต์ทั่วโลกหยุดชะงัก บทความจาก SlashGear เผยว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหม่จากการขาดแคลนชิป หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งควบคุมการส่งออก — และชิปที่ถูกแบนคือส่วนสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์ ✅ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุม Nexperia เพื่อปกป้องเทคโนโลยีของยุโรป ➡️ Nexperia เป็นบริษัทผลิตชิปในเนเธอร์แลนด์ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจีนชื่อ Wingtech ➡️ เนเธอร์แลนด์ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่จีนไม่พอใจ ✅ จีนตอบโต้ด้วยการห้ามส่งออกชิ้นส่วนจาก Nexperia China ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนออกประกาศควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากจีน ➡️ รวมถึงชิปที่ใช้ในระบบควบคุมรถยนต์ (ECU) ✅ องค์กรอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกออกมาเตือนถึงผลกระทบ ➡️ Alliance for Automotive Innovation (สหรัฐฯ) ระบุว่า “จะกระทบการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ” ➡️ Japan Automobile Manufacturers Association เตือนว่า “จะส่งผลร้ายแรงต่อการผลิตทั่วโลก” ➡️ สมาคม VDA ของเยอรมนีถึงขั้นระบุว่า “อาจหยุดการผลิตได้” ✅ Nexperia กำลังหาทางแก้ไขทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ ➡️ พยายามหาช่องทางทางกฎหมายเพื่อให้สามารถส่งออกได้ต่อ ➡️ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแน่ชัด ‼️ การขาดแคลนชิปอาจเริ่มกระทบการผลิตตั้งแต่พฤศจิกายน 2025 ⛔ ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มเตรียมแผนรับมือ ⛔ อาจเกิดการเลื่อนส่งมอบรถยนต์หรือหยุดสายการผลิตชั่วคราว ‼️ ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ⛔ ชิปไม่ได้ใช้แค่ในรถยนต์ แต่ยังอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ⛔ หากข้อพิพาทไม่คลี่คลาย อาจเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ https://www.slashgear.com/2009471/2025-chip-shortage-automaker-impact/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Another Chip Shortage Is Coming, And It Could Seriously Mess With Automakers - SlashGear
    Chipmaker Nexperia, which supplies many of the world's automakers, is under export restrictions amidst a tug-of-war between the Dutch and Chinese governments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา!

    นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป

    จุดเด่นของ BIE-1
    ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง
    ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก
    ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง
    ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป
    มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90%
    อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่
    เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่

    เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง
    ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง
    เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล

    ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม
    เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่
    BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU
    ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90%

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ
    ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
    ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    🧠🧊 จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา! นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป 📦 จุดเด่นของ BIE-1 💠 ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง 💠 ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก 💠 ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB 💠 ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 💠 รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง ➡️ ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป ➡️ มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90% ➡️ อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่ ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่ ✅ เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง ➡️ ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง ➡️ เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล ✅ ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม ➡️ เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ➡️ BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90% ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ⛔ ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022

    แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ

    หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง

    DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว

    Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน”

    โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek
    พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ
    เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ

    การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน
    พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ
    มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100
    อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม

    ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ
    ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN
    DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง

    มุมมองจาก Nvidia
    การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่
    ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ
    การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง
    การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    🇨🇳 จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022 แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน” ✅ โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek ➡️ พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ ➡️ เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ ✅ การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน ➡️ พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ ➡️ มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100 ➡️ อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม ✅ ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ ➡️ ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ➡️ DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง ✅ มุมมองจาก Nvidia ➡️ การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่ ➡️ ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง ⛔ การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ–จีนบรรลุกรอบข้อตกลงการค้า – อาจหลีกเลี่ยงภาษี 100% และควบคุมแร่หายาก

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อพัดลม CPU หรือเมนบอร์ดจากจีน แล้วจู่ๆ ราคาพุ่งขึ้น 100% เพราะภาษีนำเข้า – นั่นคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีตามแผนเดิม แต่ตอนนี้มีข่าวดีว่าอาจไม่ต้องเจอเหตุการณ์นั้นแล้ว

    สหรัฐฯ และจีนกำลังเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี 100% สำหรับสินค้าจากจีน เช่น เคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น ที่ยังผลิตโดยจีนเป็นหลัก แม้ว่า GPU และ CPU จะเริ่มกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่นแล้ว

    อีกประเด็นสำคัญคือ “แร่หายาก” เช่น นีโอไดเมียม, เซอเรียม, แลนทานัม และดิสโพรเซียม ที่ใช้ในพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา ซึ่งจีนควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก ไม่ใช่แค่แร่ดิบ

    ข้อตกลงใหม่นี้อาจช่วยให้จีน “ผ่อนปรน” การควบคุมแร่หายากชั่วคราว และลดแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกำลังเตรียมเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่ปลายปี

    อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ต้องรอการอนุมัติจากประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำจีน สี จิ้นผิง ในการประชุมระดับสูงที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

    ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน
    อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการอนุมัติ
    อาจช่วยหลีกเลี่ยงภาษี 100% สำหรับสินค้าจีน
    รวมถึงเคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น

    การควบคุมแร่หายากของจีน
    ขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก
    ส่งผลต่อพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา
    จีนอาจผ่อนปรนการควบคุมชั่วคราวตามข้อตกลง

    ความสำคัญของแร่หายาก
    ใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น พัดลม CPU, HDD, PSU
    จีนครองตลาดการแปรรูปแร่หายากกว่า 80%
    ไม่มีทางเลือกอื่นในระยะสั้นสำหรับผู้ผลิตทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-china-trade-framework-could-avoid-tariffs-and-rare-earth-curbs
    🌐 สหรัฐฯ–จีนบรรลุกรอบข้อตกลงการค้า – อาจหลีกเลี่ยงภาษี 100% และควบคุมแร่หายาก ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อพัดลม CPU หรือเมนบอร์ดจากจีน แล้วจู่ๆ ราคาพุ่งขึ้น 100% เพราะภาษีนำเข้า – นั่นคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีตามแผนเดิม แต่ตอนนี้มีข่าวดีว่าอาจไม่ต้องเจอเหตุการณ์นั้นแล้ว สหรัฐฯ และจีนกำลังเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี 100% สำหรับสินค้าจากจีน เช่น เคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น ที่ยังผลิตโดยจีนเป็นหลัก แม้ว่า GPU และ CPU จะเริ่มกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่นแล้ว อีกประเด็นสำคัญคือ “แร่หายาก” เช่น นีโอไดเมียม, เซอเรียม, แลนทานัม และดิสโพรเซียม ที่ใช้ในพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา ซึ่งจีนควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก ไม่ใช่แค่แร่ดิบ ข้อตกลงใหม่นี้อาจช่วยให้จีน “ผ่อนปรน” การควบคุมแร่หายากชั่วคราว และลดแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกำลังเตรียมเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่ปลายปี อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ต้องรอการอนุมัติจากประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำจีน สี จิ้นผิง ในการประชุมระดับสูงที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ✅ ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน ➡️ อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการอนุมัติ ➡️ อาจช่วยหลีกเลี่ยงภาษี 100% สำหรับสินค้าจีน ➡️ รวมถึงเคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น ✅ การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ ขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก ➡️ ส่งผลต่อพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา ➡️ จีนอาจผ่อนปรนการควบคุมชั่วคราวตามข้อตกลง ✅ ความสำคัญของแร่หายาก ➡️ ใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น พัดลม CPU, HDD, PSU ➡️ จีนครองตลาดการแปรรูปแร่หายากกว่า 80% ➡️ ไม่มีทางเลือกอื่นในระยะสั้นสำหรับผู้ผลิตทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-china-trade-framework-could-avoid-tariffs-and-rare-earth-curbs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    US–China reach trade framework that could avert 100% tariffs and pause rare-earth curbs — development comes as Trump and Xi prepare to meet this week
    US and Chinese trade negotiators say they’ve reached a framework agreement that, if approved by both governments this week, would roll back proposed 100% tariffs on Chinese imports and pause Beijing’s escalating export restrictions on rare-earth materials.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • ByteDance เตรียมเปิดตัว GameTop – แพลตฟอร์มเกมใหม่ชน Steam พร้อมฟีเจอร์ AI และโซเชียล

    จำได้ไหมว่าเมื่อก่อน Steam คือเจ้าตลาดเกม PC แบบไร้คู่แข่ง? ตอนนี้ ByteDance กำลังจะเข้ามาเขย่าบัลลังก์นั้นด้วย GameTop แพลตฟอร์มใหม่ที่ไม่ใช่แค่ร้านขายเกม แต่ยังเป็นพื้นที่โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI

    GameTop จะเปิดให้ผู้ใช้ซื้อเกม ดาวน์โหลด และเล่นได้เหมือน Steam หรือ Epic Games Store แต่ที่น่าสนใจคือมันจะมีระบบ “โปรไฟล์ผู้ใช้” ป้ายรางวัล ระบบแต้ม และฟีเจอร์โซเชียลที่คล้ายกับ TikTok รวมถึงเครื่องมือสร้างคอนเทนต์แบบ UGC (User-Generated Content) ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้เล่นสร้างคลิป แชร์รีวิว หรือแม้แต่สร้างเกมเล็กๆ ได้เอง

    การพัฒนา GameTop เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน ByteDance โดยทีมเกมของบริษัทหันมาเน้นการจัดจำหน่ายมากกว่าการพัฒนาเกมเอง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า GameTop จะเปิดตัวเมื่อไร แต่การจ้างงานในจีนที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มนี้เริ่มขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปิดให้บริการในหลายประเทศ

    ByteDance พัฒนา GameTop
    เป็นแพลตฟอร์มเกม PC ที่เน้นตลาดต่างประเทศ
    มีระบบจัดจำหน่ายเกมเหมือน Steam
    มีฟีเจอร์โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI

    จุดเด่นของ GameTop
    ระบบโปรไฟล์ ป้ายรางวัล และแต้มสะสม
    ฟีเจอร์ UGC ที่ใช้ AI ช่วยสร้างคลิปหรือเกม
    คล้ายกับ TikTok แต่เน้นเกมเป็นหลัก

    การปรับโครงสร้างภายใน ByteDance
    หันมาเน้นการจัดจำหน่ายเกมแทนการพัฒนาเอง
    ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    นำโดย Zhang Yunfan ผู้บริหารสายเกมคนใหม่

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/chinas-bytedance-reportedly-building-a-steam-competitor-gametop-for-overseas-markets-will-distribute-and-publish-games-like-any-other-store-while-harboring-a-social-space-with-ai-assisted-creator-tools
    🎮 ByteDance เตรียมเปิดตัว GameTop – แพลตฟอร์มเกมใหม่ชน Steam พร้อมฟีเจอร์ AI และโซเชียล จำได้ไหมว่าเมื่อก่อน Steam คือเจ้าตลาดเกม PC แบบไร้คู่แข่ง? ตอนนี้ ByteDance กำลังจะเข้ามาเขย่าบัลลังก์นั้นด้วย GameTop แพลตฟอร์มใหม่ที่ไม่ใช่แค่ร้านขายเกม แต่ยังเป็นพื้นที่โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI GameTop จะเปิดให้ผู้ใช้ซื้อเกม ดาวน์โหลด และเล่นได้เหมือน Steam หรือ Epic Games Store แต่ที่น่าสนใจคือมันจะมีระบบ “โปรไฟล์ผู้ใช้” ป้ายรางวัล ระบบแต้ม และฟีเจอร์โซเชียลที่คล้ายกับ TikTok รวมถึงเครื่องมือสร้างคอนเทนต์แบบ UGC (User-Generated Content) ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้เล่นสร้างคลิป แชร์รีวิว หรือแม้แต่สร้างเกมเล็กๆ ได้เอง การพัฒนา GameTop เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน ByteDance โดยทีมเกมของบริษัทหันมาเน้นการจัดจำหน่ายมากกว่าการพัฒนาเกมเอง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า GameTop จะเปิดตัวเมื่อไร แต่การจ้างงานในจีนที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มนี้เริ่มขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปิดให้บริการในหลายประเทศ ✅ ByteDance พัฒนา GameTop ➡️ เป็นแพลตฟอร์มเกม PC ที่เน้นตลาดต่างประเทศ ➡️ มีระบบจัดจำหน่ายเกมเหมือน Steam ➡️ มีฟีเจอร์โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI ✅ จุดเด่นของ GameTop ➡️ ระบบโปรไฟล์ ป้ายรางวัล และแต้มสะสม ➡️ ฟีเจอร์ UGC ที่ใช้ AI ช่วยสร้างคลิปหรือเกม ➡️ คล้ายกับ TikTok แต่เน้นเกมเป็นหลัก ✅ การปรับโครงสร้างภายใน ByteDance ➡️ หันมาเน้นการจัดจำหน่ายเกมแทนการพัฒนาเอง ➡️ ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ นำโดย Zhang Yunfan ผู้บริหารสายเกมคนใหม่ https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/chinas-bytedance-reportedly-building-a-steam-competitor-gametop-for-overseas-markets-will-distribute-and-publish-games-like-any-other-store-while-harboring-a-social-space-with-ai-assisted-creator-tools
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • เที่ยวเฉิงตู ภูเขาหิมะวาวู่ ❄ เดือน ธ.ค. 12,900

    🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน
    ✈ FD-แอร์เอเชีย
    พักโรงแรม

    ภูเขาหิมะวาวู่
    ถนนโบราณจิ๋นหลี่
    แพนด้ายักษ์ปีนตึก IFS
    ถนนคนเดินชุนซีลู่
    ถนนคนเดินไท่กู่หลี่
    ชมแสงสี SKP
    ตึกแฝดเฉิงตู

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวเฉิงตู ภูเขาหิมะวาวู่ ❄ เดือน ธ.ค. 😍🔥 12,900 🔥 🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน ✈ FD-แอร์เอเชีย 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 ภูเขาหิมะวาวู่ 📍 ถนนโบราณจิ๋นหลี่ 📍 แพนด้ายักษ์ปีนตึก IFS 📍 ถนนคนเดินชุนซีลู่ 📍 ถนนคนเดินไท่กู่หลี่ 📍 ชมแสงสี SKP 📍 ตึกแฝดเฉิงตู รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei – จีนใกล้ปลดล็อกคอขวดชิป AI

    จีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI ที่ใช้ในการประมวลผลขนาดใหญ่ เช่นในระบบปัญญาประดิษฐ์และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    ที่ผ่านมา Huawei และบริษัทอื่นๆ ต้องพึ่งพาสต็อก HBM ที่มีอยู่ก่อนการควบคุมการส่งออกจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้ CXMT ได้พัฒนาตัวอย่าง HBM3 ได้สำเร็จ และส่งให้ Huawei ทดสอบแล้ว ซึ่งถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการผลิตในประเทศ

    แม้ CXMT ยังล้าหลังบริษัทระดับโลกอย่าง SK hynix อยู่ประมาณ 3–4 ปี แต่ก็มีความสามารถในการผลิต DRAM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะผลิตได้ถึง 280,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปีนี้

    นอกจากนี้ CXMT ยังเริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และเตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกของปี 2026 เพื่อระดมทุนขยายกำลังการผลิต

    CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei
    เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาคอขวดด้านชิป AI
    อาจนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายในปีนี้

    ความสามารถในการผลิตของ CXMT
    มีสายการผลิต DRAM ที่กำลังขยายตัว
    คาดว่าจะผลิตได้ 230,000–280,000 เวเฟอร์ต่อเดือน
    เริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว

    ความเคลื่อนไหวของบริษัทหน่วยความจำจีน
    YMTC เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ DRAM เพื่อช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ
    CXMT เตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกปี 2026

    ความล้าหลังด้านเทคโนโลยี
    CXMT ยังตามหลัง SK hynix ประมาณ 3–4 ปี
    HBM3E จะเข้าสู่จีนในปี 2027 ขณะที่ HBM4 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่

    https://wccftech.com/china-cxmt-ships-out-pivotal-hbm3-samples-to-huawei/
    🇨🇳 CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei – จีนใกล้ปลดล็อกคอขวดชิป AI จีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI ที่ใช้ในการประมวลผลขนาดใหญ่ เช่นในระบบปัญญาประดิษฐ์และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ผ่านมา Huawei และบริษัทอื่นๆ ต้องพึ่งพาสต็อก HBM ที่มีอยู่ก่อนการควบคุมการส่งออกจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้ CXMT ได้พัฒนาตัวอย่าง HBM3 ได้สำเร็จ และส่งให้ Huawei ทดสอบแล้ว ซึ่งถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการผลิตในประเทศ แม้ CXMT ยังล้าหลังบริษัทระดับโลกอย่าง SK hynix อยู่ประมาณ 3–4 ปี แต่ก็มีความสามารถในการผลิต DRAM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะผลิตได้ถึง 280,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปีนี้ นอกจากนี้ CXMT ยังเริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และเตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกของปี 2026 เพื่อระดมทุนขยายกำลังการผลิต ✅ CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาคอขวดด้านชิป AI ➡️ อาจนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายในปีนี้ ✅ ความสามารถในการผลิตของ CXMT ➡️ มีสายการผลิต DRAM ที่กำลังขยายตัว ➡️ คาดว่าจะผลิตได้ 230,000–280,000 เวเฟอร์ต่อเดือน ➡️ เริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว ✅ ความเคลื่อนไหวของบริษัทหน่วยความจำจีน ➡️ YMTC เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ DRAM เพื่อช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ ➡️ CXMT เตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกปี 2026 ‼️ ความล้าหลังด้านเทคโนโลยี ⛔ CXMT ยังตามหลัง SK hynix ประมาณ 3–4 ปี ⛔ HBM3E จะเข้าสู่จีนในปี 2027 ขณะที่ HBM4 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ https://wccftech.com/china-cxmt-ships-out-pivotal-hbm3-samples-to-huawei/
    WCCFTECH.COM
    China's CXMT Ships Out HBM3 Samples to Huawei, Potentially Sorting Out a Massive Bottleneck in the Domestic AI Supply Chain
    China's CXMT has reportedly achieved a significant breakthrough by shipping HBM3 samples to domestic AI giants.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเร่งผลิต “เรดาร์ควอนตัม” – เทคโนโลยีใหม่ที่อาจลบล้างยุคเครื่องบินล่องหน

    เรดาร์แบบเดิมใช้คลื่นวิทยุสะท้อนจากวัตถุเพื่อวัดตำแหน่งและความเร็ว แต่เครื่องบินล่องหนอย่าง F-22 Raptor ถูกออกแบบมาเพื่อลดการสะท้อนคลื่น ทำให้เรดาร์ทั่วไปตรวจจับได้ยาก

    จีนจึงหันมาใช้ “เรดาร์ควอนตัม” ที่อาศัยหลักการพัวพันควอนตัม (quantum entanglement) โดยสร้างคู่โฟตอนที่ฝังข้อมูลร่วมกันไว้ โฟตอนหนึ่งถูกส่งออกไป ส่วนอีกตัวเก็บไว้ในหน่วยความจำควอนตัม หากโฟตอนที่สะท้อนกลับมาตรงกับตัวที่เก็บไว้ แสดงว่ามีวัตถุอยู่ตรงนั้นแน่นอน

    ปัญหาคือการสร้างโฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังทำได้ยาก และการเก็บรักษาความพัวพันต้องใช้สภาพแวดล้อมที่เย็นจัดใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ ซึ่งยังไม่เหมาะกับการใช้งานภาคสนาม

    อย่างไรก็ตาม จีนได้เริ่มผลิต “เครื่องจับโฟตอน” ที่สามารถตรวจจับโฟตอนเดียวในทะเลของสัญญาณรบกวนได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเรดาร์ควอนตัม โดยเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย และเริ่มผลิตในเดือนตุลาคม 2025

    แม้ยังไม่มีระบบเรดาร์ควอนตัมที่ใช้งานได้จริง แต่ความก้าวหน้าของจีนทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มวิตก เพราะหากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ อาจทำให้เครื่องบินล่องหนของสหรัฐฯ และพันธมิตรหมดความได้เปรียบในสนามรบ

    วิธีการทำงานของเรดาร์ควอนตัมโดยใช้ Quantum Entanglement
    ยิงโฟตอนที่พัวพันกันออกไป
    ระบบจะสร้างโฟตอนเป็นคู่:
      • ตัวหนึ่งเรียกว่า signal photon ถูกยิงออกไปในอากาศ
      • อีกตัวเรียกว่า idler photon ถูกเก็บไว้ในระบบเรดาร์

    ถ้า signal photon สะท้อนกลับจากวัตถุ (เช่น เครื่องบินล่องหน)
    ระบบจะตรวจสอบว่าโฟตอนที่กลับมามี “ลายเซ็นควอนตัม” ตรงกับ idler photon หรือไม่
    ถ้าตรงกัน แสดงว่าโฟตอนนั้นสะท้อนจากวัตถุจริง ไม่ใช่สัญญาณรบกวน

    ผลลัพธ์คือสามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินล่องหนได้
    แม้เครื่องบินจะสะท้อนคลื่นน้อยมาก แต่โฟตอนที่พัวพันกันจะยังคงมีความสัมพันธ์เฉพาะ
    ทำให้เรดาร์สามารถ “รู้” ได้ว่าโฟตอนที่กลับมาเป็นของตัวเอง ไม่ใช่สัญญาณสุ่ม

    สรุปเนื้อหาจากข่าวและสาระเพิ่มเติม
    ความก้าวหน้าของจีน
    เริ่มผลิตเครื่องจับโฟตอนในเดือนตุลาคม 2025
    พัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย
    เครื่องจับโฟตอนสามารถแยกโฟตอนเดียวจากสัญญาณรบกวนได้

    ความท้าทายทางเทคนิค
    โฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังสร้างได้ยาก
    ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์
    ยังไม่มีระบบที่ใช้งานได้จริงในสนามรบ

    https://www.slashgear.com/2003308/china-building-world-first-quantum-radar-track-stealth-fighter-jets/
    🛰️ จีนเร่งผลิต “เรดาร์ควอนตัม” – เทคโนโลยีใหม่ที่อาจลบล้างยุคเครื่องบินล่องหน เรดาร์แบบเดิมใช้คลื่นวิทยุสะท้อนจากวัตถุเพื่อวัดตำแหน่งและความเร็ว แต่เครื่องบินล่องหนอย่าง F-22 Raptor ถูกออกแบบมาเพื่อลดการสะท้อนคลื่น ทำให้เรดาร์ทั่วไปตรวจจับได้ยาก จีนจึงหันมาใช้ “เรดาร์ควอนตัม” ที่อาศัยหลักการพัวพันควอนตัม (quantum entanglement) โดยสร้างคู่โฟตอนที่ฝังข้อมูลร่วมกันไว้ โฟตอนหนึ่งถูกส่งออกไป ส่วนอีกตัวเก็บไว้ในหน่วยความจำควอนตัม หากโฟตอนที่สะท้อนกลับมาตรงกับตัวที่เก็บไว้ แสดงว่ามีวัตถุอยู่ตรงนั้นแน่นอน ปัญหาคือการสร้างโฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังทำได้ยาก และการเก็บรักษาความพัวพันต้องใช้สภาพแวดล้อมที่เย็นจัดใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ ซึ่งยังไม่เหมาะกับการใช้งานภาคสนาม อย่างไรก็ตาม จีนได้เริ่มผลิต “เครื่องจับโฟตอน” ที่สามารถตรวจจับโฟตอนเดียวในทะเลของสัญญาณรบกวนได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเรดาร์ควอนตัม โดยเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย และเริ่มผลิตในเดือนตุลาคม 2025 แม้ยังไม่มีระบบเรดาร์ควอนตัมที่ใช้งานได้จริง แต่ความก้าวหน้าของจีนทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มวิตก เพราะหากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ อาจทำให้เครื่องบินล่องหนของสหรัฐฯ และพันธมิตรหมดความได้เปรียบในสนามรบ 🧠 วิธีการทำงานของเรดาร์ควอนตัมโดยใช้ Quantum Entanglement ✅ ยิงโฟตอนที่พัวพันกันออกไป ➡️ ระบบจะสร้างโฟตอนเป็นคู่:   • ตัวหนึ่งเรียกว่า signal photon ถูกยิงออกไปในอากาศ   • อีกตัวเรียกว่า idler photon ถูกเก็บไว้ในระบบเรดาร์ ✅ ถ้า signal photon สะท้อนกลับจากวัตถุ (เช่น เครื่องบินล่องหน) ➡️ ระบบจะตรวจสอบว่าโฟตอนที่กลับมามี “ลายเซ็นควอนตัม” ตรงกับ idler photon หรือไม่ ➡️ ถ้าตรงกัน แสดงว่าโฟตอนนั้นสะท้อนจากวัตถุจริง ไม่ใช่สัญญาณรบกวน ✅ ผลลัพธ์คือสามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินล่องหนได้ ➡️ แม้เครื่องบินจะสะท้อนคลื่นน้อยมาก แต่โฟตอนที่พัวพันกันจะยังคงมีความสัมพันธ์เฉพาะ ➡️ ทำให้เรดาร์สามารถ “รู้” ได้ว่าโฟตอนที่กลับมาเป็นของตัวเอง ไม่ใช่สัญญาณสุ่ม 📌 สรุปเนื้อหาจากข่าวและสาระเพิ่มเติม ✅ ความก้าวหน้าของจีน ➡️ เริ่มผลิตเครื่องจับโฟตอนในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ พัฒนาโดยศูนย์วิจัยในมณฑลอานฮุย ➡️ เครื่องจับโฟตอนสามารถแยกโฟตอนเดียวจากสัญญาณรบกวนได้ ✅ ความท้าทายทางเทคนิค ➡️ โฟตอนพัวพันที่เดินทางไกลยังสร้างได้ยาก ➡️ ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ ➡️ ยังไม่มีระบบที่ใช้งานได้จริงในสนามรบ https://www.slashgear.com/2003308/china-building-world-first-quantum-radar-track-stealth-fighter-jets/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    China Is Attempting To Mass Produce 'World-First' Quantum Radars For This One Purpose - SlashGear
    China has managed to produce a key component of quantum radar, meaning the US's stealth fleet could be rendered virtually obsolete overnight.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts