• รอง ผบช.ก.เผย"สามารถ"ใช้บัญชีม้ารับโอนเงินนับร้อยล้าน กองปราบบุกสอบบอสดิไอคอนในเรือนจำ เตรียมพิจารณาขอหมายเรียก-หมายจับ "ฟิล์ม รัฐภูมิ"

    วันนี้ (25 พ.ย. ) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุม นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และมารดาในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีเงินเข้าบัญชี นายสามารถ รวมกว่า 110 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีเงิน 3 ล้านบาท ที่มาจาก “ดิไอคอน” ผ่านบัญชีม้า ซึ่งเป็นบัญชีที่ นายสามารถดูแล และในบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีของมารดา ก่อนเงินจำนวนดังกล่าวจะส่งต่อกลับมายังบัญชี นายสามารถ อีกครั้ง

    พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่านอกจากนี้ ยังตรวจพบเส้นเงินใหม่มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ที่มาจากบุคคล 9-10 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าว เนื่องจากมีการโอนเงินผ่านบัญชีอื่นหลายขั้นตอนก่อนจะถึงปลายทางที่บัญชี นายสามารถ เบื้องต้นเชื่อว่าเงินเหล่านี้อาจมีที่มาจากแหล่งเงินสีเทา แต่ยังคงต้องมีการสืบสวนเพิ่มเติม

    "ในช่วงปีใหม่นี้ผมเตรียมมอบกุญแจมือเป็นของขวัญให้บรรดา อินฟลูเอนเซอร์ นักร้อง คนดัง และผู้ดูแลเพจโซเชียลต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี โดยจะส่งทุกคนไปพักห้องวีไอพีในเรือนจำ หากพบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีอย่างแน่นอน"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000113316

    #MGROnline #สามารถ #บัญชีม้า #ฟิล์มรัฐภูมิ
    รอง ผบช.ก.เผย"สามารถ"ใช้บัญชีม้ารับโอนเงินนับร้อยล้าน กองปราบบุกสอบบอสดิไอคอนในเรือนจำ เตรียมพิจารณาขอหมายเรียก-หมายจับ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" • วันนี้ (25 พ.ย. ) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุม นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และมารดาในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีเงินเข้าบัญชี นายสามารถ รวมกว่า 110 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีเงิน 3 ล้านบาท ที่มาจาก “ดิไอคอน” ผ่านบัญชีม้า ซึ่งเป็นบัญชีที่ นายสามารถดูแล และในบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีของมารดา ก่อนเงินจำนวนดังกล่าวจะส่งต่อกลับมายังบัญชี นายสามารถ อีกครั้ง • พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่านอกจากนี้ ยังตรวจพบเส้นเงินใหม่มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ที่มาจากบุคคล 9-10 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าว เนื่องจากมีการโอนเงินผ่านบัญชีอื่นหลายขั้นตอนก่อนจะถึงปลายทางที่บัญชี นายสามารถ เบื้องต้นเชื่อว่าเงินเหล่านี้อาจมีที่มาจากแหล่งเงินสีเทา แต่ยังคงต้องมีการสืบสวนเพิ่มเติม • "ในช่วงปีใหม่นี้ผมเตรียมมอบกุญแจมือเป็นของขวัญให้บรรดา อินฟลูเอนเซอร์ นักร้อง คนดัง และผู้ดูแลเพจโซเชียลต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี โดยจะส่งทุกคนไปพักห้องวีไอพีในเรือนจำ หากพบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีอย่างแน่นอน" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000113316 • #MGROnline #สามารถ #บัญชีม้า #ฟิล์มรัฐภูมิ
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • ลือหึ่ง “ทนายสายหยุด” ถอนตัวคดีตั้ม อับอายถูกสังคมบูลลี่ เป็นทนายไร้จริยธรรม.วันนี้ (24 พ.ย.) ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ ได้รับการประสานจาก นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือทนายปาเกียว ทนายความคู่ใจที่ได้รับการมอบหมายจาก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นผู้ทำคดีฉ้อโกง “มาดามอ้อย” จำนวน 71 ล้านบาท และคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่า วันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.) จะเดินทางไปที่ห้องส่งรายการโหนกระแส เพื่อแถลงข่าวกับหนุ่มกรรชัย ให้สังคมรับทราบว่า จะขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความ ของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เนื่องจากขณะนี้รู้สึกตัวว่า ตนเองถูกหลอก โดยเฉพาะพยานหลักฐานที่ นายษิทรา ตระเตรียมไว้ให้ ล้วนเป็นพยานหลักฐานเท็จ อาทิ สัญญาการว่าจ้างทำ app สลากออนไลน์ ที่เป็นเพียงฉบับร่าง ตอนนี้เอกสารในมือทนายความไม่มีลายเซ็นผู้ใดแม้แต่รายเดียว ประกอบกับได้ทำการสืบสวนในทางลับแล้วว่า เฉพาะสัญญาฉบับนี้ มีการดัดแปลงแต่งเติมแก้ไข จากคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงานกฎหมายของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด มาจำนวนหลายครั้ง ก่อนที่จะส่งถึงมือตนเอง นั่นหมายถึง นายษิทรา พยายามปิดบังข้อเท็จจริงทำให้รับไม่ได้ที่จะทำงานให้ต่อไปอีก,#ทนายสายหยุด #ทนายปาเกียว #หนุ่มกรรชัย #โหนกระแส #มาดามอ้อย #คดีฉ้อโกง #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายตั้ม
    ลือหึ่ง “ทนายสายหยุด” ถอนตัวคดีตั้ม อับอายถูกสังคมบูลลี่ เป็นทนายไร้จริยธรรม.วันนี้ (24 พ.ย.) ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ ได้รับการประสานจาก นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือทนายปาเกียว ทนายความคู่ใจที่ได้รับการมอบหมายจาก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นผู้ทำคดีฉ้อโกง “มาดามอ้อย” จำนวน 71 ล้านบาท และคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่า วันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.) จะเดินทางไปที่ห้องส่งรายการโหนกระแส เพื่อแถลงข่าวกับหนุ่มกรรชัย ให้สังคมรับทราบว่า จะขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความ ของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เนื่องจากขณะนี้รู้สึกตัวว่า ตนเองถูกหลอก โดยเฉพาะพยานหลักฐานที่ นายษิทรา ตระเตรียมไว้ให้ ล้วนเป็นพยานหลักฐานเท็จ อาทิ สัญญาการว่าจ้างทำ app สลากออนไลน์ ที่เป็นเพียงฉบับร่าง ตอนนี้เอกสารในมือทนายความไม่มีลายเซ็นผู้ใดแม้แต่รายเดียว ประกอบกับได้ทำการสืบสวนในทางลับแล้วว่า เฉพาะสัญญาฉบับนี้ มีการดัดแปลงแต่งเติมแก้ไข จากคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงานกฎหมายของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด มาจำนวนหลายครั้ง ก่อนที่จะส่งถึงมือตนเอง นั่นหมายถึง นายษิทรา พยายามปิดบังข้อเท็จจริงทำให้รับไม่ได้ที่จะทำงานให้ต่อไปอีก,#ทนายสายหยุด #ทนายปาเกียว #หนุ่มกรรชัย #โหนกระแส #มาดามอ้อย #คดีฉ้อโกง #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลลาวออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่วังเวียง ยืนยันหาสาเหตุและนำตัวผู้ทำผิดมาลงโทษ

    เช้าวันนี้ (23 พ.ย.) สำนักข่าวสารประเทศลาว ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของรัฐบาลลาว กรณีการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทน์ มีเนื้อหาดังนี้ (อ่านข่าวประกอบ >> ตายแล้ว 5! นักท่องเที่ยวฝรั่งดื่มเหล้าปนเปื้อนเสียชีวิตที่วังเวียง ลาวเร่งตรวจสอบละเอียด ; https://mgronline.com/indochina/detail/9670000112504)

    รัฐบาลแห่ง สปป.ลาว แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทน์ และขอแสดงความเห็นอกเห็นใจ และเศร้าสลดใจอย่างจริงใจต่อครอบครัวของนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิตดังกล่าว

    รัฐบาลแห่ง สปป.ลาว ได้ดำเนินการสืบสวน-สอบสวน เพื่อหาสาเหตุ และนำเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษตามระเบียบกฏหมาย

    รัฐบาลแห่ง สปป.ลาว ขอยืนยันว่า จะให้ความสำคัญ และเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทั้งภายใน และต่างประเทศตลอดเวลา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/indochina/detail/9670000112754

    #MGROnline #ลาว
    รัฐบาลลาวออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่วังเวียง ยืนยันหาสาเหตุและนำตัวผู้ทำผิดมาลงโทษ • เช้าวันนี้ (23 พ.ย.) สำนักข่าวสารประเทศลาว ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของรัฐบาลลาว กรณีการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทน์ มีเนื้อหาดังนี้ (อ่านข่าวประกอบ >> ตายแล้ว 5! นักท่องเที่ยวฝรั่งดื่มเหล้าปนเปื้อนเสียชีวิตที่วังเวียง ลาวเร่งตรวจสอบละเอียด ; https://mgronline.com/indochina/detail/9670000112504) • รัฐบาลแห่ง สปป.ลาว แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทน์ และขอแสดงความเห็นอกเห็นใจ และเศร้าสลดใจอย่างจริงใจต่อครอบครัวของนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิตดังกล่าว • รัฐบาลแห่ง สปป.ลาว ได้ดำเนินการสืบสวน-สอบสวน เพื่อหาสาเหตุ และนำเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษตามระเบียบกฏหมาย • รัฐบาลแห่ง สปป.ลาว ขอยืนยันว่า จะให้ความสำคัญ และเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทั้งภายใน และต่างประเทศตลอดเวลา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9670000112754 • #MGROnline #ลาว
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • “เจ๊หนิง-สามีตำรวจ-หลานชาย” ยังไม่เดินทางมามอบตัวกับตำรวจ สน.พระโขนง หลังถูกออกหมายจับคดีแจ้งความเท็จภรรยา “บิ๊กโจ๊ก”

    จากกรณี น.ส.ธณัฏฐา หรือ หนิง อาจารย์สอนพิเศษ รร.นายร้อยตำรวจ ที่ร้องทุกข์กล่าวโทษภรรยาของอดีตนายพลตํารวจ คดีลักทรัพย์ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ ภายหลังภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจ ได้ประกันตัวชั้นพนักงานสอบสวน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น และแจ้งความกลับข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้โทษรับทางอาญา

    ต่อมามื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ได้ขอศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับนางสาวธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง และนายภีมพจน์ ซึ่งเป็นสามีตำรวจ และนายพงษ์พัฒน์ ซึ่งเป็นหลานเจ๊หนิง ในข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้นตาทที่เสนอข่าวนั้น

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (23 พ.ย.) ที่ สน.พระโขนง เมื่อเวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวมีดารโทรสอบถาม น.ส.ธณัฏฐา เรื่องหมายจับ ได้รับคำตอบว่า น.ส.ธณัฏฐา กับพวกจะเดินทางเข้ามอบตัววันนี้เวลา 09.00 น. แต่ถึงเวลานัดหมายกลับ ไม่พบวี่แววทั้ง 3 คนเข้ามอบตัว นอกจากนี้ผู้สื่อข่าว พยายามโทรติดต่อ น.ส.ธณัฏฐาหลายครั้ง เพื่อสอบถามว่าวันนี้ทั้ง 3 คนจะเดินทางเข้ามามอบตัวที่ สน.พระโขนงหรือไม่ แต่น.ส.ธณัฏฐาไม่รับสาย

    ด้าน พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับการประสานหรือติดต่อจากเจ๊หนิง ว่า จะเข้ามอบตัววันนี้ ทราบจากสื่อที่เสนอเหมือนกันว่าจะเข้ามอบตัววันนี้ แต่เมื่อมีหมายจับบุคคลทั้ง 3 แล้ว เจ้าหน้าที่จะต้องออกสืบสวนจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

    #MGROnline #เจ๊หนิง #สามีตำรวจ #หลานชาย #คดีแจ้งความเท็จ #ภรรยาบิ๊กโจ๊ก
    “เจ๊หนิง-สามีตำรวจ-หลานชาย” ยังไม่เดินทางมามอบตัวกับตำรวจ สน.พระโขนง หลังถูกออกหมายจับคดีแจ้งความเท็จภรรยา “บิ๊กโจ๊ก” • จากกรณี น.ส.ธณัฏฐา หรือ หนิง อาจารย์สอนพิเศษ รร.นายร้อยตำรวจ ที่ร้องทุกข์กล่าวโทษภรรยาของอดีตนายพลตํารวจ คดีลักทรัพย์ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ ภายหลังภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจ ได้ประกันตัวชั้นพนักงานสอบสวน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น และแจ้งความกลับข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้โทษรับทางอาญา • ต่อมามื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ได้ขอศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับนางสาวธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง และนายภีมพจน์ ซึ่งเป็นสามีตำรวจ และนายพงษ์พัฒน์ ซึ่งเป็นหลานเจ๊หนิง ในข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้นตาทที่เสนอข่าวนั้น • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (23 พ.ย.) ที่ สน.พระโขนง เมื่อเวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวมีดารโทรสอบถาม น.ส.ธณัฏฐา เรื่องหมายจับ ได้รับคำตอบว่า น.ส.ธณัฏฐา กับพวกจะเดินทางเข้ามอบตัววันนี้เวลา 09.00 น. แต่ถึงเวลานัดหมายกลับ ไม่พบวี่แววทั้ง 3 คนเข้ามอบตัว นอกจากนี้ผู้สื่อข่าว พยายามโทรติดต่อ น.ส.ธณัฏฐาหลายครั้ง เพื่อสอบถามว่าวันนี้ทั้ง 3 คนจะเดินทางเข้ามามอบตัวที่ สน.พระโขนงหรือไม่ แต่น.ส.ธณัฏฐาไม่รับสาย • ด้าน พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับการประสานหรือติดต่อจากเจ๊หนิง ว่า จะเข้ามอบตัววันนี้ ทราบจากสื่อที่เสนอเหมือนกันว่าจะเข้ามอบตัววันนี้ แต่เมื่อมีหมายจับบุคคลทั้ง 3 แล้ว เจ้าหน้าที่จะต้องออกสืบสวนจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป • #MGROnline #เจ๊หนิง #สามีตำรวจ #หลานชาย #คดีแจ้งความเท็จ #ภรรยาบิ๊กโจ๊ก
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • จากกรณีที่เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกรายการสนธิเล่าเรื่อง เพื่อเปิดโปงพฤติกรรมของ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ที่ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้เพื่อกู้เงินผ่านเอเย่นต์ จนได้รับความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท รวมถึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีผู้เสียหายที่ถูกนายแพทย์คนดัง ฉ้อโกงฯ เงิน ผ่านกลโกงการทำธุรกรรม ชักชวนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อีกหลายราย จนอาจทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างนับหมื่นล้าน กระทั่งมีรายงานด้วยว่าขณะนี้ นายแพทย์บุญ วนาสิน น่าจะหลบหนีคดีไปยังต่างประเทศแล้ว.ความคืบหน้าเมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 22 พ.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 และ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง บก.น.1 ที่ 285/2567 ลงวันที่ 11 พ.ย.67 ไปขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา จนสามารถนำมาสู่การออกหมายจับ นายแพทย์บุญ วนาสิน รวมถึงผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการ และมีพฤติการณ์ เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ได้ 9 คน ได้แก่.1.นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5645/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน, ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธไม่ให้ใช้เงินตามเช็คนั้น.2.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี เลขาส่วนตัว นายแพทย์บุญ ซี่งเป็นผู้จัดการเรื่องการเงิน และการบัญชีสัญญากู้เงินทั้งหมด ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5646/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.3.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับเอกสาร สัญญาต่างๆ และจัดการด้านการเงิน ตามคำสั่ง น.ส.จิดาภา อาทิ การจ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย เป็นผู้จ่ายเช็ค พร้อมทั้งติดต่อตัวแทนต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5647/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.4.นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค เป็นผู้ถือหุ้น THG ซึ่งนำมาค้ำประกันในสัญญากู้ต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5648/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.5.น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ และ นางจารุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ และ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5649/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.6.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด เป็นผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน และมอบหมายให้คนนำสัญญากู้ยืม ทำสัญญาค้ำประกัน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5650/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.7.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด ร่วมกับนางอัจจิมา เป็นผู้ประสานงานให้คำปรึกษา ชักชวนลงทุน ผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5651/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.8.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นนายหน้า และผู้ชักชวนแนะนำการลงทุน เป็นผู้จัดทำเอกสารเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน หนังสือส่งมอบเช็ค สัญญาซื้อและขายหุ้นคืนและหนังสือชำระหนี้ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5652/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.9.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นตัวแทนติดต่อชักชวนผู้เสียหาย เป็นผู้จัดทำสัญญา ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และเป็นผู้นำสัญญามามอบให้ผู้เสียหาย ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5653/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เนื่องจากก่อนหน้านี้ ในห้วงวันที่ 2-4 ก.พ.66 นายแพทย์บุญ ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง โดยออกสื่อสารธารณะแพร่ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์สาธารณะ โดยกล่าวอ้างการลงทุนที่น่าสนใจ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ .1.โครงการสร้างศูนย์มะเร็ง ย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่ งบลงทุน 4,๐๐๐ ล้านบาท (ทันสมัยที่สุดในเอเชีย) 2.โครงการเวสเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ 5 ไร่เศษ งบลงทุนประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท (อาคารที่พักสูง 52 ชั้น รองรับผู้สูงวัย 400 ห้อง).3.โครงการสร้างโรงพยาบาลใน สปป.ลาว จำนวน 3 แห่ง (ในเวียงจันทร์ 2 แห่ง, จำปาสัก 1 แห่ง) 4.โครงการเข้าร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน ประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท และ 5.โครงการสร้างเมดิคอล อินเทลลิเจน (Medical Intelligen) ซึ่งทำหน้าที่ด้านไอที ใช้งบประมาณ 1๐๐ ล้านบาท โดยหากมีการร่วมลงทุน ในปี 66 อ้างว่าจะได้กำไร 7๐๐ ล้านบาท และในปี 67 อ้างว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น  1,000 ล้านบาท.จากนั้นจึงมีผู้เสียหายซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรวงการแพทย์ หลายร้อยราย หลงเชื่อเพราะ นายแพทย์บุญ และครอบครัว มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่ง จึงเข้าร่วมลงทุน ผ่านการติดต่อจากตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ เป็นตัวแทนการระดมเงินลงทุน ให้นายแพทย์บุญ และครอบครัว.ตลอดจนการลงทุนในลักษณะโครงการที่เสนอให้ลงทุนในรูปแบบที่ นายแพทย์บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยกับผู้เสียหาย และได้จ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ พร้อมทั้งเช็คเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า ในชื่อนายแพทย์บุญ วนาสิน พร้อมทั้งมี นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน บุคคลในครอบครัวเป็น ผู้ค้ำประกันตามสัญญา.นอกจากนี้ นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน ทั้งสองคนยังเซ็นต์สลักหลังในเช็คทุกใบของนายแพทย์บุญ วนาสิน มอบให้แก่ผู้ให้กู้ โดยในช่วงแรกมีการให้ดอกเบี้ย แต่ต่อมาไม่มีการชำระแต่อย่างใด ในส่วนเช็คที่ออกไว้ เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จนกระทั่งต่อมาจากการตรวจสอบพบว่า นายแพทย์บุญ ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทย ในวันที่ 29 ก.ย.67 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาร์เธฯออกไปประเทศจีน โดยมีพฤติการณ์หลบหนี.ซึ่งในกรณี ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.66 – ต.ค.67 มีกลุ่มผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แล้วจำนวน 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 7,564,433,637 บาท (เจ็ดพันห้าร้อยหกสิบสี่ล้านสี่แสนสามหมื่นสามพันหกร้อยสามสิบเจ็ดบาท) โดยในทันทีที่ศาลอนุมติหมายจับ ผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จึงได้เร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา เอาไว้ได้แล้ว จำนวน 6 ราย  คือ.1.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี 2.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี 3.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี 4.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี 5.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี และ 6.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ยังเหลือที่ยังหลบหนีไปได้อีก 3 ราย คือ นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ กับ นางจารุวรรณ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลเห็นควรอนุมัติให้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวนี้ไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ DSI เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ โดยจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบอย่างเป็นทางการต่อไป (จบ 3/3)......Sondhi X
    จากกรณีที่เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกรายการสนธิเล่าเรื่อง เพื่อเปิดโปงพฤติกรรมของ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ที่ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้เพื่อกู้เงินผ่านเอเย่นต์ จนได้รับความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท รวมถึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีผู้เสียหายที่ถูกนายแพทย์คนดัง ฉ้อโกงฯ เงิน ผ่านกลโกงการทำธุรกรรม ชักชวนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อีกหลายราย จนอาจทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างนับหมื่นล้าน กระทั่งมีรายงานด้วยว่าขณะนี้ นายแพทย์บุญ วนาสิน น่าจะหลบหนีคดีไปยังต่างประเทศแล้ว.ความคืบหน้าเมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 22 พ.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 และ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง บก.น.1 ที่ 285/2567 ลงวันที่ 11 พ.ย.67 ไปขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา จนสามารถนำมาสู่การออกหมายจับ นายแพทย์บุญ วนาสิน รวมถึงผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการ และมีพฤติการณ์ เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ได้ 9 คน ได้แก่.1.นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5645/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน, ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธไม่ให้ใช้เงินตามเช็คนั้น.2.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี เลขาส่วนตัว นายแพทย์บุญ ซี่งเป็นผู้จัดการเรื่องการเงิน และการบัญชีสัญญากู้เงินทั้งหมด ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5646/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.3.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับเอกสาร สัญญาต่างๆ และจัดการด้านการเงิน ตามคำสั่ง น.ส.จิดาภา อาทิ การจ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย เป็นผู้จ่ายเช็ค พร้อมทั้งติดต่อตัวแทนต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5647/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.4.นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค เป็นผู้ถือหุ้น THG ซึ่งนำมาค้ำประกันในสัญญากู้ต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5648/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.5.น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ และ นางจารุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ และ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5649/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.6.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด เป็นผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน และมอบหมายให้คนนำสัญญากู้ยืม ทำสัญญาค้ำประกัน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5650/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.7.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด ร่วมกับนางอัจจิมา เป็นผู้ประสานงานให้คำปรึกษา ชักชวนลงทุน ผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5651/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.8.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นนายหน้า และผู้ชักชวนแนะนำการลงทุน เป็นผู้จัดทำเอกสารเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน หนังสือส่งมอบเช็ค สัญญาซื้อและขายหุ้นคืนและหนังสือชำระหนี้ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5652/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.9.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นตัวแทนติดต่อชักชวนผู้เสียหาย เป็นผู้จัดทำสัญญา ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และเป็นผู้นำสัญญามามอบให้ผู้เสียหาย ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5653/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เนื่องจากก่อนหน้านี้ ในห้วงวันที่ 2-4 ก.พ.66 นายแพทย์บุญ ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง โดยออกสื่อสารธารณะแพร่ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์สาธารณะ โดยกล่าวอ้างการลงทุนที่น่าสนใจ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ .1.โครงการสร้างศูนย์มะเร็ง ย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่ งบลงทุน 4,๐๐๐ ล้านบาท (ทันสมัยที่สุดในเอเชีย) 2.โครงการเวสเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ 5 ไร่เศษ งบลงทุนประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท (อาคารที่พักสูง 52 ชั้น รองรับผู้สูงวัย 400 ห้อง).3.โครงการสร้างโรงพยาบาลใน สปป.ลาว จำนวน 3 แห่ง (ในเวียงจันทร์ 2 แห่ง, จำปาสัก 1 แห่ง) 4.โครงการเข้าร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน ประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท และ 5.โครงการสร้างเมดิคอล อินเทลลิเจน (Medical Intelligen) ซึ่งทำหน้าที่ด้านไอที ใช้งบประมาณ 1๐๐ ล้านบาท โดยหากมีการร่วมลงทุน ในปี 66 อ้างว่าจะได้กำไร 7๐๐ ล้านบาท และในปี 67 อ้างว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น  1,000 ล้านบาท.จากนั้นจึงมีผู้เสียหายซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรวงการแพทย์ หลายร้อยราย หลงเชื่อเพราะ นายแพทย์บุญ และครอบครัว มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่ง จึงเข้าร่วมลงทุน ผ่านการติดต่อจากตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ เป็นตัวแทนการระดมเงินลงทุน ให้นายแพทย์บุญ และครอบครัว.ตลอดจนการลงทุนในลักษณะโครงการที่เสนอให้ลงทุนในรูปแบบที่ นายแพทย์บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยกับผู้เสียหาย และได้จ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ พร้อมทั้งเช็คเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า ในชื่อนายแพทย์บุญ วนาสิน พร้อมทั้งมี นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน บุคคลในครอบครัวเป็น ผู้ค้ำประกันตามสัญญา.นอกจากนี้ นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน ทั้งสองคนยังเซ็นต์สลักหลังในเช็คทุกใบของนายแพทย์บุญ วนาสิน มอบให้แก่ผู้ให้กู้ โดยในช่วงแรกมีการให้ดอกเบี้ย แต่ต่อมาไม่มีการชำระแต่อย่างใด ในส่วนเช็คที่ออกไว้ เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จนกระทั่งต่อมาจากการตรวจสอบพบว่า นายแพทย์บุญ ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทย ในวันที่ 29 ก.ย.67 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาร์เธฯออกไปประเทศจีน โดยมีพฤติการณ์หลบหนี.ซึ่งในกรณี ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.66 – ต.ค.67 มีกลุ่มผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แล้วจำนวน 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 7,564,433,637 บาท (เจ็ดพันห้าร้อยหกสิบสี่ล้านสี่แสนสามหมื่นสามพันหกร้อยสามสิบเจ็ดบาท) โดยในทันทีที่ศาลอนุมติหมายจับ ผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จึงได้เร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา เอาไว้ได้แล้ว จำนวน 6 ราย  คือ.1.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี 2.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี 3.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี 4.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี 5.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี และ 6.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ยังเหลือที่ยังหลบหนีไปได้อีก 3 ราย คือ นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ กับ นางจารุวรรณ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลเห็นควรอนุมัติให้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวนี้ไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ DSI เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ โดยจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบอย่างเป็นทางการต่อไป (จบ 3/3)......Sondhi X
    Like
    Yay
    3
    0 Comments 0 Shares 663 Views 0 Reviews
  • "เอก สายไหมต้องรอด" มอบตัว หลังศาลออกหมายจับ โพสต์ข้อมูลเท็จคดีดิไอคอนฯ
    .
    "เอกภพ เหลืองประเสริฐ" ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท. หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับ ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอนกรุ๊ป
    .
    วันนี้ (22 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือ เอก สายไหมต้องรอด นักการเมืองเขตสายไหม กรุงเทพฯ และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และศาลได้อนุมัติหมายจับในเวลาต่อมา
    .
    ทันทีที่มีการออกหมายจับ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปทางนายเอกภพ เจ้าตัวได้เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบเรื่องหมายจับ และขณะนี้กำลังเดินทางมาเพื่อให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำเชิญในเวลา 15.00 น.
    .
    ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า คดีนายเอกภพนั้น ทางชุดสืบสวนมีการนัดนายเอกภพมาให้ถ้อยคำในวันนี้ ช่วงเวลา 15.00 น. เนื่องจากชุดสืบสวนยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอยู่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเรียกนายเอกภพมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พ.ย. และวันอังคารที่ 19 พ.ย. ผ่านมา แต่นายเอกภพอ้างว่าติดธุระ เดี๋ยวจะมาพร้อมกับทนายความ ซึ่งกรณีนายเอกภพก็จะเข้าข่ายความผิดเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. นายเอกภพได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท.แล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังนำตัวผู้ต้องหาเข้ามายัง บก.ปอท. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    "เอก สายไหมต้องรอด" มอบตัว หลังศาลออกหมายจับ โพสต์ข้อมูลเท็จคดีดิไอคอนฯ . "เอกภพ เหลืองประเสริฐ" ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท. หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับ ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอนกรุ๊ป . วันนี้ (22 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือ เอก สายไหมต้องรอด นักการเมืองเขตสายไหม กรุงเทพฯ และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และศาลได้อนุมัติหมายจับในเวลาต่อมา . ทันทีที่มีการออกหมายจับ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปทางนายเอกภพ เจ้าตัวได้เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบเรื่องหมายจับ และขณะนี้กำลังเดินทางมาเพื่อให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำเชิญในเวลา 15.00 น. . ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า คดีนายเอกภพนั้น ทางชุดสืบสวนมีการนัดนายเอกภพมาให้ถ้อยคำในวันนี้ ช่วงเวลา 15.00 น. เนื่องจากชุดสืบสวนยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอยู่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเรียกนายเอกภพมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พ.ย. และวันอังคารที่ 19 พ.ย. ผ่านมา แต่นายเอกภพอ้างว่าติดธุระ เดี๋ยวจะมาพร้อมกับทนายความ ซึ่งกรณีนายเอกภพก็จะเข้าข่ายความผิดเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ . ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. นายเอกภพได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท.แล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังนำตัวผู้ต้องหาเข้ามายัง บก.ปอท. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 988 Views 1 Reviews
  • ทรัมป์เลือก "แพม บอนดี" อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐคนใหม่แทนที่ "แมตต์ เกตซ์" ที่ประกาศถอนตัว

    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากแมตต์ เกตซ์ถอนตัวจากการพิจารณา ทรัมป์ได้เสนอชื่อแพม บอนดี อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดแห่งสหรัฐอมเริกา (ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม)

    ทางด้าน แมตต์ เกตซ์ สส.วัย 42 ปี ประกาศถอนตัวหลังจากเข้าร่วมประชุมกับสมาชิกวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวมาตลอดว่าวุฒิสมาชิกจะไม่ยกมือสนับสนุนเขา

    ทั้งนี้เกตซ์ถูกกล่าวหาหลายกรณีก่อนที่ทรัมป์เสนอชื่อเขาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา (รัฐมนตรียุติธรรม) เช่น กระผิดทางเพศและใช้ยาเสพติด และคณะกรรมาธิการจริยธรรมของสภาผู้แทนฯ ได้ดำเนินการสืบสวนหาความจริงมาระยะหนึ่งเเล้ว จนกระทั้งเกตซ์ลาออกจากการเป็นส.ส. เพื่อเตรียมเข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา ซึ่งการลาออกของเขาทำให้การสืบสวนของคณะกรรมาธิการยุติลง
    ทรัมป์เลือก "แพม บอนดี" อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐคนใหม่แทนที่ "แมตต์ เกตซ์" ที่ประกาศถอนตัว ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากแมตต์ เกตซ์ถอนตัวจากการพิจารณา ทรัมป์ได้เสนอชื่อแพม บอนดี อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดแห่งสหรัฐอมเริกา (ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม) ทางด้าน แมตต์ เกตซ์ สส.วัย 42 ปี ประกาศถอนตัวหลังจากเข้าร่วมประชุมกับสมาชิกวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวมาตลอดว่าวุฒิสมาชิกจะไม่ยกมือสนับสนุนเขา ทั้งนี้เกตซ์ถูกกล่าวหาหลายกรณีก่อนที่ทรัมป์เสนอชื่อเขาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา (รัฐมนตรียุติธรรม) เช่น กระผิดทางเพศและใช้ยาเสพติด และคณะกรรมาธิการจริยธรรมของสภาผู้แทนฯ ได้ดำเนินการสืบสวนหาความจริงมาระยะหนึ่งเเล้ว จนกระทั้งเกตซ์ลาออกจากการเป็นส.ส. เพื่อเตรียมเข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา ซึ่งการลาออกของเขาทำให้การสืบสวนของคณะกรรมาธิการยุติลง
    0 Comments 0 Shares 379 Views 0 Reviews
  • พฤติกรรมทักษิณ ตัดอายุรัฐบาลเพื่อไทย : คนเคาะข่าว 21-11-67
    : อ.คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีต ผอ.ฝ่ายวินิจฉัยด้านกิจการสืบสวนสอบสวน กกต.
    : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ
    พฤติกรรมทักษิณ ตัดอายุรัฐบาลเพื่อไทย : คนเคาะข่าว 21-11-67 : อ.คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีต ผอ.ฝ่ายวินิจฉัยด้านกิจการสืบสวนสอบสวน กกต. : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ
    Like
    3
    0 Comments 1 Shares 1061 Views 6 0 Reviews
  • "รอง เอนก" เผยคดี "แอม ไซยาไนด์" ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์นำมาถอดบทเรียนใช้เป็นแนวทางสืบสวนสอบสวนของวงการตำรวจได้เป็นอย่างดี ส่วนอีก 14 คดีที่เหลือนัดส่งสำนวนให้อัยการ 26 พ.ย.นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000111755

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "รอง เอนก" เผยคดี "แอม ไซยาไนด์" ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์นำมาถอดบทเรียนใช้เป็นแนวทางสืบสวนสอบสวนของวงการตำรวจได้เป็นอย่างดี ส่วนอีก 14 คดีที่เหลือนัดส่งสำนวนให้อัยการ 26 พ.ย.นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000111755 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    16
    0 Comments 0 Shares 1178 Views 0 Reviews
  • "พี่อ้อย" โร่ให้ให้ปากคำกองปราบคดีถูก "ทนายตั้ม"โกงเพิ่มเติม ตำรวจเตรียมสอบประเด็นพินัยกรรมสอดไส้ ด้าน รอง ผบช.ก.เผยสอบครั้งนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนของคดี

    วันนี้ ( 20 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญ น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือ "พี่อ้อย" มาให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีเงิน 71 ล้านบาท ที่ถูก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ฉ้อโกง โดยเน้นตรวจสอบคำให้การก่อนหน้านี้ว่ามีส่วนใดขาดตกบกพร่อง และเพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์และสำหรับประเด็นเรื่องพินัยกรรมที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ในการสืบสวนที่ผ่านมาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในวันนี้อาจมีการสอบถามเพิ่มเติมว่าพินัยกรรมเกี่ยวข้องกับคดีในส่วนใดหรือไม่ ทั้งนี้ การเชิญให้ปากคำวันนี้มีเพียงพี่อ้อยที่ตำรวจนัดหมายมาเพียงคนเดียวเท่านั้น การให้ปากคำครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนในคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินการ

    ต่อมาเมื่อเวลา 10.15 น. พี่อ้อย พร้อมผู้ติดตาม อีก 3 คน เดินทางมาถึงยัง บก.ป. โดยเข้าทางด้านหลังของอาคาร ผ่านลานจอดรถชั้น 2 ก่อนเข้าสู่ห้องพนักงานสอบสวน ซึ่งตัวของพี่อ้อยปรากฏตัวในชุดแจ็คเก็ตสีขาวและหมวกสีชมพู โดยผู้ติดตาม 3 คน ยังถือถุงอาหารจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าเตรียมไว้สำหรับการรับประทานระหว่างการสอบปากคำ เนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง

    #MGROnline #พี่อ้อย #ทนายตั้ม #พินัยกรรม
    "พี่อ้อย" โร่ให้ให้ปากคำกองปราบคดีถูก "ทนายตั้ม"โกงเพิ่มเติม ตำรวจเตรียมสอบประเด็นพินัยกรรมสอดไส้ ด้าน รอง ผบช.ก.เผยสอบครั้งนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนของคดี • วันนี้ ( 20 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญ น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือ "พี่อ้อย" มาให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีเงิน 71 ล้านบาท ที่ถูก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ฉ้อโกง โดยเน้นตรวจสอบคำให้การก่อนหน้านี้ว่ามีส่วนใดขาดตกบกพร่อง และเพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์และสำหรับประเด็นเรื่องพินัยกรรมที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ในการสืบสวนที่ผ่านมาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในวันนี้อาจมีการสอบถามเพิ่มเติมว่าพินัยกรรมเกี่ยวข้องกับคดีในส่วนใดหรือไม่ ทั้งนี้ การเชิญให้ปากคำวันนี้มีเพียงพี่อ้อยที่ตำรวจนัดหมายมาเพียงคนเดียวเท่านั้น การให้ปากคำครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนในคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินการ • ต่อมาเมื่อเวลา 10.15 น. พี่อ้อย พร้อมผู้ติดตาม อีก 3 คน เดินทางมาถึงยัง บก.ป. โดยเข้าทางด้านหลังของอาคาร ผ่านลานจอดรถชั้น 2 ก่อนเข้าสู่ห้องพนักงานสอบสวน ซึ่งตัวของพี่อ้อยปรากฏตัวในชุดแจ็คเก็ตสีขาวและหมวกสีชมพู โดยผู้ติดตาม 3 คน ยังถือถุงอาหารจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าเตรียมไว้สำหรับการรับประทานระหว่างการสอบปากคำ เนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง • #MGROnline #พี่อ้อย #ทนายตั้ม #พินัยกรรม
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • ## Teaser นรกแตก...!!! ##
    ..
    ..
    ลุงสนธิมาฉาย Teaser ก่อน "วันนรกแตก"
    .
    สรุปเรื่อง และ ประเด็น ทั้งหมด "คดีทนายตั้ม"
    .
    งานนี้ ลุงสนธิ เปิด Teaser ลากไส้ 18 ขดของทนายตั้มออกมาจนหมด
    .
    หากเปลี่ยนเราเป็น คุณอ้อย คงจะเศร้าใจมาก รู้สึกแย่มากๆ จิตตกมากๆ...
    .
    เหมือนที่เราดูหนัง ทุกอย่างมันค่อยๆเฉลยออกมาเรื่อยๆ เพราะการสืบสวนสอบสวน ของทั้ง ตำรวจ และ เหล่าสื่อมวลชน รวมทั้ง คณะทำงานของ "สำนักบ้านพระอาทิตย์"...
    .
    นี่ขนาดแค่ Teaser ยังมันส์หยดขนาดนี้ ของแท้จะขนาดไหน...???
    .
    แต่...ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียง Teaser ก็ตาม อย่าได้พลาดครับ...
    .
    ดู Teaser จบแล้ว มาลุ้นกัน "ของแท้" วันศุกร์ที่ 22 นี้...
    .
    "วันนรกแตก"
    .

    😎😎😎😎
    .
    https://www.youtube.com/live/8H3MeO9sBmc?si=UeN58VN2q6PvkK07
    ## Teaser นรกแตก...!!! ## .. .. ลุงสนธิมาฉาย Teaser ก่อน "วันนรกแตก" . สรุปเรื่อง และ ประเด็น ทั้งหมด "คดีทนายตั้ม" . งานนี้ ลุงสนธิ เปิด Teaser ลากไส้ 18 ขดของทนายตั้มออกมาจนหมด . หากเปลี่ยนเราเป็น คุณอ้อย คงจะเศร้าใจมาก รู้สึกแย่มากๆ จิตตกมากๆ... . เหมือนที่เราดูหนัง ทุกอย่างมันค่อยๆเฉลยออกมาเรื่อยๆ เพราะการสืบสวนสอบสวน ของทั้ง ตำรวจ และ เหล่าสื่อมวลชน รวมทั้ง คณะทำงานของ "สำนักบ้านพระอาทิตย์"... . นี่ขนาดแค่ Teaser ยังมันส์หยดขนาดนี้ ของแท้จะขนาดไหน...??? . แต่...ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียง Teaser ก็ตาม อย่าได้พลาดครับ... . ดู Teaser จบแล้ว มาลุ้นกัน "ของแท้" วันศุกร์ที่ 22 นี้... . "วันนรกแตก" . 😎😎😎😎 . https://www.youtube.com/live/8H3MeO9sBmc?si=UeN58VN2q6PvkK07
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • ชาจีน CHAGEE ฉาว ทุจริตรางวัล Tear & Win

    CHAGEE (ชาจี) ร้านเครื่องดื่มชาจีนระดับพรีเมียมที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีสาขาในบางประเทศ หนึ่งในนั้นคือมาเลเซีย กำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 7 ปี จัดโปรโมชัน Tear & Win ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. เมื่อลูกค้าซื้อชาอู่หลงพีชขาวแก้วใหญ่ หรือชานมมะลิแก้วใหญ่ แกะตามรอยปรุที่กระดาษครอบแก้วเครื่องดื่มเพื่อลุ้นรับรางวัลทั้งแมคบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน แอปเปิ้ลวอตซ์ สินค้าลักชัวรีอย่างกระเป๋าแบรนด์เนม ลิปสติก น้ำหอม และของรางวัลอีกมากมาย

    ปรากฎว่ามีชาวเน็ตมาเลเซียรายหนึ่ง ถ่ายวีดีโอคลิปขณะที่พนักงานร้านรายหนึ่ง กำลังแยกแก้วโดยการเขย่ากระดาษครอบแก้ว เพื่อดูว่ามีสิ่งของอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นของรางวัลชิ้นเล็ก เช่น ลิปสติก น้ำหอม ฯลฯ หรือไม่ และถอดกระดาษครอบแก้วออกจากแก้วเครื่องดื่มเพื่อส่องดูคูปองว่าเป็นรางวัลอะไร ก่อนจะนำแก้วที่คัดแยกแล้วไปไว้ด้านหลังร้าน

    เมื่อมีการโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์ม X ชื่อ naquib กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ได้รับของรางวัลมูลค่าสูงมีแต่อินฟลูเอนเซอร์ และคาดว่าอาจมีแต่ครอบครัวและเพื่อนพนักงานเท่านั้นที่ได้รับรางวัล ส่วนลูกค้าตัวจริงที่รอคิวนานเป็นชั่วโมงกลับได้รางวัลมูลค่าต่ำที่สุด เช่น คูปองซื้อ 1 แถม 1 คูปองฟรีชาผลไม้ 1 แก้ว หรือคูปองส่วนลด 50%

    ต่อมาบริษัทชาจี มาเลเซีย ทักเข้ามาในกล่องข้อความของ naquib ร้องขอให้ลบวีดีโอคลิปดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย อ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ทำให้จำต้องลบวีดีโอคลิปทิ้ง แต่ไม่พ้นชาวเน็ตมาเลเซียคนอื่นๆ ก็อปปี้แล้วอัปโหลดวีดีโอคลิปนี้ต่อ มองว่าการที่ชาจี มาเลเซียข่มขู่ให้ลบคลิปไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง

    เมื่อกระแสคว่ำบาตรชาจีในมาเลเซียเริ่มเกิดขึ้น ในที่สุด ชาจี มาเลเซีย ก็ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขออภัยสำหรับความผิดหวังหรือความกังวลที่เกิดจากวีดีโอดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์เชิงลบกับทางร้าน ขณะนี้กำลังสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดและจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างเหมาะสม อีกทั้งตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 ทางร้านจะเปลี่ยนจากสินค้าจริงเป็นสลิปรหัส QR เพื่อดูผลการจับสลากรางวัลได้อย่างสะดวกและราบรื่น

    ขณะเดียวกัน มีลูกค้าเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรม @my.chagee ว่า แม้จะเปลี่ยนเป็นรหัส QR ปัญหาเดียวกันจะยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากพนักงานสามารถเข้าถึงคูปองได้โดยการถอดแก้วออก แล้วแอบสแกน QR ได้เหมือนกัน พร้อมเสนอว่าให้ลองปิดผนึกแก้วแทน หรือทำเป็นสติกเกอร์ ทำเป็นขูดแก้วแล้วรับรางวัลจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

    #Newskit #Chagee #CHAGEEMY
    ชาจีน CHAGEE ฉาว ทุจริตรางวัล Tear & Win CHAGEE (ชาจี) ร้านเครื่องดื่มชาจีนระดับพรีเมียมที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีสาขาในบางประเทศ หนึ่งในนั้นคือมาเลเซีย กำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 7 ปี จัดโปรโมชัน Tear & Win ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. เมื่อลูกค้าซื้อชาอู่หลงพีชขาวแก้วใหญ่ หรือชานมมะลิแก้วใหญ่ แกะตามรอยปรุที่กระดาษครอบแก้วเครื่องดื่มเพื่อลุ้นรับรางวัลทั้งแมคบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน แอปเปิ้ลวอตซ์ สินค้าลักชัวรีอย่างกระเป๋าแบรนด์เนม ลิปสติก น้ำหอม และของรางวัลอีกมากมาย ปรากฎว่ามีชาวเน็ตมาเลเซียรายหนึ่ง ถ่ายวีดีโอคลิปขณะที่พนักงานร้านรายหนึ่ง กำลังแยกแก้วโดยการเขย่ากระดาษครอบแก้ว เพื่อดูว่ามีสิ่งของอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นของรางวัลชิ้นเล็ก เช่น ลิปสติก น้ำหอม ฯลฯ หรือไม่ และถอดกระดาษครอบแก้วออกจากแก้วเครื่องดื่มเพื่อส่องดูคูปองว่าเป็นรางวัลอะไร ก่อนจะนำแก้วที่คัดแยกแล้วไปไว้ด้านหลังร้าน เมื่อมีการโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์ม X ชื่อ naquib กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ได้รับของรางวัลมูลค่าสูงมีแต่อินฟลูเอนเซอร์ และคาดว่าอาจมีแต่ครอบครัวและเพื่อนพนักงานเท่านั้นที่ได้รับรางวัล ส่วนลูกค้าตัวจริงที่รอคิวนานเป็นชั่วโมงกลับได้รางวัลมูลค่าต่ำที่สุด เช่น คูปองซื้อ 1 แถม 1 คูปองฟรีชาผลไม้ 1 แก้ว หรือคูปองส่วนลด 50% ต่อมาบริษัทชาจี มาเลเซีย ทักเข้ามาในกล่องข้อความของ naquib ร้องขอให้ลบวีดีโอคลิปดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย อ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ทำให้จำต้องลบวีดีโอคลิปทิ้ง แต่ไม่พ้นชาวเน็ตมาเลเซียคนอื่นๆ ก็อปปี้แล้วอัปโหลดวีดีโอคลิปนี้ต่อ มองว่าการที่ชาจี มาเลเซียข่มขู่ให้ลบคลิปไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง เมื่อกระแสคว่ำบาตรชาจีในมาเลเซียเริ่มเกิดขึ้น ในที่สุด ชาจี มาเลเซีย ก็ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขออภัยสำหรับความผิดหวังหรือความกังวลที่เกิดจากวีดีโอดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์เชิงลบกับทางร้าน ขณะนี้กำลังสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดและจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างเหมาะสม อีกทั้งตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 ทางร้านจะเปลี่ยนจากสินค้าจริงเป็นสลิปรหัส QR เพื่อดูผลการจับสลากรางวัลได้อย่างสะดวกและราบรื่น ขณะเดียวกัน มีลูกค้าเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรม @my.chagee ว่า แม้จะเปลี่ยนเป็นรหัส QR ปัญหาเดียวกันจะยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากพนักงานสามารถเข้าถึงคูปองได้โดยการถอดแก้วออก แล้วแอบสแกน QR ได้เหมือนกัน พร้อมเสนอว่าให้ลองปิดผนึกแก้วแทน หรือทำเป็นสติกเกอร์ ทำเป็นขูดแก้วแล้วรับรางวัลจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า #Newskit #Chagee #CHAGEEMY
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 517 Views 0 Reviews
  • ไฟดูดบนรถบัส เรื่องเล็กอย่าปล่อยผ่าน

    สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถโดยสาร หรือรถทัวร์ที่ได้รับความนิยม นอกจากเบาะนั่งนุ่มๆ กับห้องน้ำภายในรถแล้ว ยังมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้ผู้โดยสารชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา ถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้โดยสารอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

    เมื่อไม่นานมานี้้เหตุผู้โดยสารรถทัวร์ในประเทศมาเลเซีย ถูกไฟดูดเสียชีวิตระหว่างเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือ เมื่อเวลา 18.10 น. ของวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจรับแจ้งว่าพบคนหมดสติภายในรถทัวร์ ที่สถานีขนส่งปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ระหว่างเสียบปลั๊กภายในรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือ จากการตรวจสอบพบว่าผู้โดยสารเป็นชายวัย 18 ปี ตำรวจตรวจสอบสภาพศพมีรอยไหม้ที่นิ้วมือซ้าย ปลายสายชาร์จโทรศัพท์มือถือละลาย และโทรศัพท์มือถืออุ่นขึ้น สาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

    ตามรายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารนั่งอยู่บนรถบัส กำลังจะออกเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ส่งเสียงกรีดร้องและมีน้ำลายฟูมปาก คนขับรถจึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลมาถึงปรากฎว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว

    เรื่องนี้ทำให้นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย สั่งระงับการเดินรถคันดังกล่าวทันที และตั้งหน่วยเฉพาะกิจพิเศษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งทางบก (RTD) หน่วยงานระบบขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) และสถาบันวิจัยความปลอดภัยทางถนนมาเลเซีย เพื่อสืบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงสอบสวนหาสาเหตุดังกล่าว และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

    กระทั่งวันที่ 7 พ.ย. กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้ปลั๊กไฟบนรถทัวร์ และรถโดยสารทุกคันที่มีปลั๊กไฟถูกห้ามใช้ชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ผู้ประกอบการรถทัวร์ในมาเลเซีย ต่างขอความร่วมมือผู้โดยสาร งดใช้ปลั๊กไฟบนรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือชั่วคราว เช่น Causeway Link Express ผู้ประกอบการเดินรถระหว่างรัฐยะโฮร์กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประกาศระงับใช้ปลั๊กไฟภายในรถชั่วคราว จนกว่าจะมีมาตรการด้านความปลอดภัยออกมา

    อย่างไรก็ตาม สำหรับปลั๊กไฟบนเครื่องบินและรถไฟ ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

    ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีรถโดยสารทั้งที่เป็นรถประจำทาง (รถทัวร์) และรถรับจ้างไม่ประจำทาง (รถ 30) ผู้ประกอบการบางรายมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้บริการแก่ผู้โดยสาร หากกรมการขนส่งทางบกยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา วันหนึ่งเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์สลดใจเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้

    #Newskit
    ไฟดูดบนรถบัส เรื่องเล็กอย่าปล่อยผ่าน สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถโดยสาร หรือรถทัวร์ที่ได้รับความนิยม นอกจากเบาะนั่งนุ่มๆ กับห้องน้ำภายในรถแล้ว ยังมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้ผู้โดยสารชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา ถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้โดยสารอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต เมื่อไม่นานมานี้้เหตุผู้โดยสารรถทัวร์ในประเทศมาเลเซีย ถูกไฟดูดเสียชีวิตระหว่างเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือ เมื่อเวลา 18.10 น. ของวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจรับแจ้งว่าพบคนหมดสติภายในรถทัวร์ ที่สถานีขนส่งปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ระหว่างเสียบปลั๊กภายในรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือ จากการตรวจสอบพบว่าผู้โดยสารเป็นชายวัย 18 ปี ตำรวจตรวจสอบสภาพศพมีรอยไหม้ที่นิ้วมือซ้าย ปลายสายชาร์จโทรศัพท์มือถือละลาย และโทรศัพท์มือถืออุ่นขึ้น สาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ตามรายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารนั่งอยู่บนรถบัส กำลังจะออกเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ส่งเสียงกรีดร้องและมีน้ำลายฟูมปาก คนขับรถจึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลมาถึงปรากฎว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว เรื่องนี้ทำให้นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย สั่งระงับการเดินรถคันดังกล่าวทันที และตั้งหน่วยเฉพาะกิจพิเศษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งทางบก (RTD) หน่วยงานระบบขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) และสถาบันวิจัยความปลอดภัยทางถนนมาเลเซีย เพื่อสืบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงสอบสวนหาสาเหตุดังกล่าว และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก กระทั่งวันที่ 7 พ.ย. กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้ปลั๊กไฟบนรถทัวร์ และรถโดยสารทุกคันที่มีปลั๊กไฟถูกห้ามใช้ชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ผู้ประกอบการรถทัวร์ในมาเลเซีย ต่างขอความร่วมมือผู้โดยสาร งดใช้ปลั๊กไฟบนรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือชั่วคราว เช่น Causeway Link Express ผู้ประกอบการเดินรถระหว่างรัฐยะโฮร์กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประกาศระงับใช้ปลั๊กไฟภายในรถชั่วคราว จนกว่าจะมีมาตรการด้านความปลอดภัยออกมา อย่างไรก็ตาม สำหรับปลั๊กไฟบนเครื่องบินและรถไฟ ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีรถโดยสารทั้งที่เป็นรถประจำทาง (รถทัวร์) และรถรับจ้างไม่ประจำทาง (รถ 30) ผู้ประกอบการบางรายมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้บริการแก่ผู้โดยสาร หากกรมการขนส่งทางบกยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา วันหนึ่งเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์สลดใจเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้ #Newskit
    Like
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 359 Views 0 Reviews
  • จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน.เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ .ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน.พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท.ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา.ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น.ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย.ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน.เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ .ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน.พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท.ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา.ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น.ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย.ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 508 Views 0 Reviews
  • จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน
    .
    เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ
    .
    ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน
    .
    พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท
    .
    ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
    .
    ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
    .
    ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย
    .
    ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน . เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ . ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน . พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท . ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา . ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น . ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย . ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    Like
    Love
    7
    0 Comments 1 Shares 946 Views 0 Reviews
  • เรื่องราวของ CPU AMD Ryzen 7 9800X3D ไหม้ ที่เกิดขึ้น 2 เคส ดูเหมือนทุกฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าเป็นเพราะผู้ใช้งานใส่ CPU ไม่ตรงล็อคก่อนหนีบนะครับ แต่ยังไงก็ตาม MSI ผู้เป็นผู้ผลิต mainboard ที่เป็นข่าว จะตำเนินการสืบสวนหาสาเหตุต่อไป

    https://wccf.tech/1filk
    เรื่องราวของ CPU AMD Ryzen 7 9800X3D ไหม้ ที่เกิดขึ้น 2 เคส ดูเหมือนทุกฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าเป็นเพราะผู้ใช้งานใส่ CPU ไม่ตรงล็อคก่อนหนีบนะครับ แต่ยังไงก็ตาม MSI ผู้เป็นผู้ผลิต mainboard ที่เป็นข่าว จะตำเนินการสืบสวนหาสาเหตุต่อไป https://wccf.tech/1filk
    WCCF.TECH
    MSI Releases Official Statement On Burnt X870 Motherboard Socket & AMD Ryzen 7 9800X3D
    MSI has begun investigating the root cause of the burnt MAG X870 Tomahawk motherboard & the AMD Ryzen 7 9800X3D.
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • "ดูดีขึ้นมาหน่อย!"

    ทรัมป์ประกาศแต่งตั้ง Tulsi Gabbard ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence)

    หลังจากมีการประกาศรายชื่อรัฐมนตรีและทีมงานของทรัมป์ผ่านมาได้สองสามวัน ยังไม่ถูกใจชาวโปรรัสเซียสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้คงพอยิ้มได้ เมื่อทรัมป์ประกาศรายชื่อ "ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ" คนใหม่ คือ "พันตรีหญิง ทูลซี แกบบาร์ด"

    ทูลซี่ แกบบาร์ด เป็นอดีต สส.พรรคเดโมแครตจากรัฐฮาวาย และทหารผ่านศึกในสงครามซีเรีย เธอลาออกจากพรรคเดโมแครตในปี 2022 โดยให้เหตุผลว่า "พรรคกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมโดยสมบูรณ์ของกลุ่มผู้กระหายสงคราม"

    แกบบาร์ด หันมาสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งอยู่พรรครีพับลิกันอย่างเต็มตัว ในการสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ เธอกล่าวชื่นชมนโยบายต่างประเทศที่เป็นเอกเทศและไม่ไปวุ่นวายกับภูมิรัฐศาสตร์โลกของทรัมป์ โดยระบุว่า “เราเห็นสิ่งนี้ผ่านวาระแรกของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาไม่เพียงแต่ไม่ก่อสงครามใหม่ใดๆ แต่ยังลงมือปฏิบัติเพื่อลดระดับความรุนแรงและป้องกันสงครามอีกด้วย”

    เธอยังวิจารณ์ รัฐบาลไบเดนว่า “ทำให้สหรัฐต้องเผชิญกับสงครามหลายครั้งในหลายแนวรบในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก… และโลกเข้าใกล้การเกิดสงครามนิวเคลียร์ไปทุกขณะอย่างที่ไม่เคยเป็นก่อน”

    แกบบาร์ด ต่อต้านนโยบายการให้เงินทุนแก่กองทัพยูเครนของประธานาธิบดี โจ ไบเดน มาโดยตลอด และยังวิจารณ์ไบเดนว่า สามารถป้องกันไม่ให้กิดสงครามในยูเครนได้ตั้งแต่แรก เพียงแค่บอกกับเซเลนสกีไปตรงๆว่า ยูเครนจะไม่มีโอกาสเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพราะความจริงคือยูเครนไม่มีโอกาสสักนิดเดียวที่จะเข้าใกล้การเป็นสมาชิกนาโต แต่ไบเดนเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ในความจริงผู้นำนาโตและสหรัฐอาจต้องการให้รัสเซียบุกยูเครน เพียงเพื่อต้องการใช้มาตรการคว่ำบาตรมหาโหดต่อรัสเซีย เพียงเพื่อต้องการหยุดรัสเซียไม่ให้พัฒนาไปได้เร็วเท่าทุกวันนี้

    นอกจากนี้เธอยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกคือ:
    - มีจุดยืนต่อต้านสงครามในตะวันออกกลาง อย่างชัดเจน
    - เธอเดินทางไปประเทศซีเรีย เพื่อสืบสวนว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนจริงหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่าไม่เป็นความจริง จนตัวเธอถูกสื่อกระแสหลักในสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเข้าข้าง “รัฐบาลเผด็จการซีเรีย”
    - เมื่อปี 2017 เธอออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่า รัฐบาลสหรัฐฯคือผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มไอซิส กลุ่มอัลเคด้า และกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆในซีเรีย
    - เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว Tulsi Gabbard ถูกรัฐบาล Biden/Harris จัดให้อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังการก่อการร้ายภายในประเทศ และตอนนี้ เธอเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติคนต่อไปเรียบร้อยแล้ว 🔥
    - เธออยู่ในรายชื่อบนเว็บไซต์ Myrotvorets ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของยูเครน ซึ่งมักจะระบุรายชื่อบุคคลที่ต่อต้านยูเครน และเป็นที่ต้องการตัวในยูเครน โดยถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นสายลับของรัสเซีย
    - ก่อนสงครามยูเครน-รัสเซียจะเริ่มต้นขึ้น เธอเคยวิจารณ์รัฐบาลยูเครนอย่างรุนแรง โดยเรียกเซเลนสกีว่าเป็น "เผด็จ" และเรียกร้องให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย เธอยังคงยืนยันคำพูดของเธอ แม้ว่ารัสเซียเริ่มบุกยูเครนไปแล้วก็ตาม
    "ดูดีขึ้นมาหน่อย!" ทรัมป์ประกาศแต่งตั้ง Tulsi Gabbard ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence) หลังจากมีการประกาศรายชื่อรัฐมนตรีและทีมงานของทรัมป์ผ่านมาได้สองสามวัน ยังไม่ถูกใจชาวโปรรัสเซียสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้คงพอยิ้มได้ เมื่อทรัมป์ประกาศรายชื่อ "ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ" คนใหม่ คือ "พันตรีหญิง ทูลซี แกบบาร์ด" ทูลซี่ แกบบาร์ด เป็นอดีต สส.พรรคเดโมแครตจากรัฐฮาวาย และทหารผ่านศึกในสงครามซีเรีย เธอลาออกจากพรรคเดโมแครตในปี 2022 โดยให้เหตุผลว่า "พรรคกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมโดยสมบูรณ์ของกลุ่มผู้กระหายสงคราม" แกบบาร์ด หันมาสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งอยู่พรรครีพับลิกันอย่างเต็มตัว ในการสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ เธอกล่าวชื่นชมนโยบายต่างประเทศที่เป็นเอกเทศและไม่ไปวุ่นวายกับภูมิรัฐศาสตร์โลกของทรัมป์ โดยระบุว่า “เราเห็นสิ่งนี้ผ่านวาระแรกของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาไม่เพียงแต่ไม่ก่อสงครามใหม่ใดๆ แต่ยังลงมือปฏิบัติเพื่อลดระดับความรุนแรงและป้องกันสงครามอีกด้วย” เธอยังวิจารณ์ รัฐบาลไบเดนว่า “ทำให้สหรัฐต้องเผชิญกับสงครามหลายครั้งในหลายแนวรบในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก… และโลกเข้าใกล้การเกิดสงครามนิวเคลียร์ไปทุกขณะอย่างที่ไม่เคยเป็นก่อน” แกบบาร์ด ต่อต้านนโยบายการให้เงินทุนแก่กองทัพยูเครนของประธานาธิบดี โจ ไบเดน มาโดยตลอด และยังวิจารณ์ไบเดนว่า สามารถป้องกันไม่ให้กิดสงครามในยูเครนได้ตั้งแต่แรก เพียงแค่บอกกับเซเลนสกีไปตรงๆว่า ยูเครนจะไม่มีโอกาสเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพราะความจริงคือยูเครนไม่มีโอกาสสักนิดเดียวที่จะเข้าใกล้การเป็นสมาชิกนาโต แต่ไบเดนเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ในความจริงผู้นำนาโตและสหรัฐอาจต้องการให้รัสเซียบุกยูเครน เพียงเพื่อต้องการใช้มาตรการคว่ำบาตรมหาโหดต่อรัสเซีย เพียงเพื่อต้องการหยุดรัสเซียไม่ให้พัฒนาไปได้เร็วเท่าทุกวันนี้ นอกจากนี้เธอยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกคือ: - มีจุดยืนต่อต้านสงครามในตะวันออกกลาง อย่างชัดเจน - เธอเดินทางไปประเทศซีเรีย เพื่อสืบสวนว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนจริงหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่าไม่เป็นความจริง จนตัวเธอถูกสื่อกระแสหลักในสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเข้าข้าง “รัฐบาลเผด็จการซีเรีย” - เมื่อปี 2017 เธอออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่า รัฐบาลสหรัฐฯคือผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มไอซิส กลุ่มอัลเคด้า และกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆในซีเรีย - เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว Tulsi Gabbard ถูกรัฐบาล Biden/Harris จัดให้อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังการก่อการร้ายภายในประเทศ และตอนนี้ เธอเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติคนต่อไปเรียบร้อยแล้ว 🔥 - เธออยู่ในรายชื่อบนเว็บไซต์ Myrotvorets ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของยูเครน ซึ่งมักจะระบุรายชื่อบุคคลที่ต่อต้านยูเครน และเป็นที่ต้องการตัวในยูเครน โดยถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นสายลับของรัสเซีย - ก่อนสงครามยูเครน-รัสเซียจะเริ่มต้นขึ้น เธอเคยวิจารณ์รัฐบาลยูเครนอย่างรุนแรง โดยเรียกเซเลนสกีว่าเป็น "เผด็จ" และเรียกร้องให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย เธอยังคงยืนยันคำพูดของเธอ แม้ว่ารัสเซียเริ่มบุกยูเครนไปแล้วก็ตาม
    0 Comments 0 Shares 375 Views 0 Reviews
  • อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 391 Views 0 Reviews
  • อธิบดีดีเอสไอ เผย ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ตามรวบ 2 ผู้ต้องหาเกี่ยวข้องขบวนการนำเข้ารถหรู รวม 34 คัน ทำรัฐเสียหายกว่า 98 ล้านบาท ส่งดำเนินคดี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000109417

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    อธิบดีดีเอสไอ เผย ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ตามรวบ 2 ผู้ต้องหาเกี่ยวข้องขบวนการนำเข้ารถหรู รวม 34 คัน ทำรัฐเสียหายกว่า 98 ล้านบาท ส่งดำเนินคดี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000109417 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Wow
    Love
    48
    2 Comments 0 Shares 1962 Views 1 Reviews
  • ฝากนิยายด้วยนะคะ
    อัพตอนที่ 19 ค่ะ อัพทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ที่ readAwrite นะคะ
    The Boundary เขตแดนพิศวง แนว ชญ ลึกลับ แฟนตาซี สืบสวนแบบเหนือธรรมชาติ
    Writer : Cirrus Halo
    มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่น และรับคำร้องจากคนที่เดือดร้อนเพราะเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ เอวากับนาชาญเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์จึงมีหน้าที่ต้องลงไปตรวจสอบและแก้ไขปริศนาเบื้องหลังความลึกลับของตำนานสยองขวัญและความเชื่อที่แปลกประหลาด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภพภูมิทั้งสี่ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาค และคนธรรพ์ การเดินทางจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง โปรดติดตามได้ใน The Boundary เขตแดนพิศวงค่ะ

    https://www.readawrite.com/a/Zbrlo9-The-Boundary-40%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7?r=search_article
    ฝากนิยายด้วยนะคะ อัพตอนที่ 19 ค่ะ อัพทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ที่ readAwrite นะคะ The Boundary เขตแดนพิศวง แนว ชญ ลึกลับ แฟนตาซี สืบสวนแบบเหนือธรรมชาติ Writer : Cirrus Halo มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่น และรับคำร้องจากคนที่เดือดร้อนเพราะเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ เอวากับนาชาญเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์จึงมีหน้าที่ต้องลงไปตรวจสอบและแก้ไขปริศนาเบื้องหลังความลึกลับของตำนานสยองขวัญและความเชื่อที่แปลกประหลาด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภพภูมิทั้งสี่ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาค และคนธรรพ์ การเดินทางจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง โปรดติดตามได้ใน The Boundary เขตแดนพิศวงค่ะ https://www.readawrite.com/a/Zbrlo9-The-Boundary-40%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7?r=search_article
    WWW.READAWRITE.COM
    The Boundary (เขตแดนพิศวง): ลึกลับ
    มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำหน้าที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อท้องถิ่นและตำนานอาถรรพ์ บางครั้งก็มีคำร
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • ใครชอบนิยายแนวสืบสวนสอบสวน สามารถแวะเข้ามาอ่านเรื่องนี้ได้นะคะ

    The Momento แนว ชญ สืบสวน Sci-fi แฟนตาซี
    Writer : Cirrus Halo
    ร้านปริศนาที่เต็มไปด้วยเบาะแสของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า การสืบสวนคดีอาชญากรรมที่นำไปสู่การเปิดโปงอิทธิพลมืด ปลายทาางของการสืบสวนจะนำไปสู่ความจริงรูปแบบใด ติดตามอ่านได้ในนิยายเรื่อง The Momento แนวสืบสวน Sci-fi แฟนตาซี ที่เว็บนิยายออนไลน์ Dreame เท่านั้นค่ะ
    ใครชอบนิยายแนวสืบสวนสอบสวน สามารถแวะเข้ามาอ่านเรื่องนี้ได้นะคะ The Momento แนว ชญ สืบสวน Sci-fi แฟนตาซี Writer : Cirrus Halo ร้านปริศนาที่เต็มไปด้วยเบาะแสของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า การสืบสวนคดีอาชญากรรมที่นำไปสู่การเปิดโปงอิทธิพลมืด ปลายทาางของการสืบสวนจะนำไปสู่ความจริงรูปแบบใด ติดตามอ่านได้ในนิยายเรื่อง The Momento แนวสืบสวน Sci-fi แฟนตาซี ที่เว็บนิยายออนไลน์ Dreame เท่านั้นค่ะ
    0 Comments 0 Shares 152 Views 75 0 Reviews
  • คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย

    กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท

    และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท

    ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566

    ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ

    #Newskit
    คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ #Newskit
    Like
    9
    0 Comments 1 Shares 596 Views 0 Reviews
  • เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่

    วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ

    ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107762

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ • วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ • ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107762 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่

    วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ

    ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ

    ที่มา https://news1live.com/detail/9670000107762?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iXwb9ON8aU3X3XL1RhD5qegiYxWu6i-YIScRH-x92UCQuyMexMytrKM0_aem_iLW5Ap2lhIsRejtdWfs-Hg

    #Thaitimes
    เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ ที่มา https://news1live.com/detail/9670000107762?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iXwb9ON8aU3X3XL1RhD5qegiYxWu6i-YIScRH-x92UCQuyMexMytrKM0_aem_iLW5Ap2lhIsRejtdWfs-Hg #Thaitimes
    NEWS1LIVE.COM
    เผย "ทนายตั้ม" รีบโยกทรัพย์ก่อนถูกจับ ลบข้อมูลในโทรศัพท์เกลี้ยง เชื่อมีกาคาบข่าวบอก
    เผยทนายตั้มโยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายคอยกระซิบบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 749 Views 0 Reviews
  • ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร
    .
    เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
    .
    คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่
    .
    1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
    .
    2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
    .
    3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
    .
    การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
    .
    1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
    .
    2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
    .
    ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    .
    ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
    .
    ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
    .
    จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
    .
    และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
    .
    ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร . เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม . วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 . คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ . 1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท . 2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท . 3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท . การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้ . 1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 . 2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง . ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา . ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ . ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน . จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น . และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ . ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย . ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 931 Views 0 Reviews
More Results