• ทุกการเดินทาง ย่อมมีก้าวที่หนึ่ง

    ครบรอบ 1 ปี สำหรับเพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร

    นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงปัจจุบัน Newskit เผยแพร่เรื่องราวไปแล้ว 240 ตอน มากกว่า 360 เรื่อง (บางวันมี 2 เรื่อง) ยอดผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 1,147 ราย เฟซบุ๊ก 294 ราย นอกจากนี้ยังได้โพสต์เรื่องราวในอินสตาแกรม @newskit.th สามารถติดตามกันได้

    หลังเว้นวรรคจากคอลัมนิสต์ประจำ ที่ผ่านมาการทำเพจของเรา เดินทางด้วยใจล้วนๆ แม้จะมีอุปสรรคทั้งเรื่องหน้าที่การงานภารกิจ และปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องลาหยุดผู้อ่านไปบ้าง แต่ทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็พยายามพบกันให้เหมือนกับหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่สมัยก่อนวางแผงแต่เช้าตรู่ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่หน้าจอมือถือ

    และเมื่อเดินทางด้วยใจล้วนๆ นี่เอง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่มีรายได้จากการทำเพจเลย จะมีก็แต่ครั้งหนึ่งที่เคยเล่นกิมมิกกับ THAI QR PAYMENT แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เยอะมาก ถึงกระนั้นเรายังคงใช้หัวใจทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราพบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่การงานหนักขึ้น นับแต่นี้ต่อไปอาจจะไม่ได้พบกับคุณผู้อ่านบ่อยครั้งทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ แต่จะพยายามพบกับคุณผู้อ่านให้ได้มากที่สุดตามแต่โอกาส จนกว่าหน้าที่การงานจะลงตัว อาจจะได้พบกันทุกวันตราบเท่าที่เรายังพอไหว เพราะด้วยอายุมากขึ้น การปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance) ย่อมจำเป็น ขออภัยในความไม่สะดวก ณ ที่นี้

    ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามและให้การสนับสนุนเพจ Newskit มาโดยตลอด เราอาจเป็นเพจเล็กในซอยลึก ที่คนอ่านมีไม่เยอะ แต่สิ่งที่เรายึดมั่นตั้งใจมาโดยตลอด คือ พยายามแสวงหาเรื่องราวที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของความจริง

    กิตตินันท์ นาคทอง
    ผู้ก่อตั้งเพจ Newskit

    #Newskit
    ทุกการเดินทาง ย่อมมีก้าวที่หนึ่ง ครบรอบ 1 ปี สำหรับเพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงปัจจุบัน Newskit เผยแพร่เรื่องราวไปแล้ว 240 ตอน มากกว่า 360 เรื่อง (บางวันมี 2 เรื่อง) ยอดผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 1,147 ราย เฟซบุ๊ก 294 ราย นอกจากนี้ยังได้โพสต์เรื่องราวในอินสตาแกรม @newskit.th สามารถติดตามกันได้ หลังเว้นวรรคจากคอลัมนิสต์ประจำ ที่ผ่านมาการทำเพจของเรา เดินทางด้วยใจล้วนๆ แม้จะมีอุปสรรคทั้งเรื่องหน้าที่การงานภารกิจ และปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องลาหยุดผู้อ่านไปบ้าง แต่ทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็พยายามพบกันให้เหมือนกับหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่สมัยก่อนวางแผงแต่เช้าตรู่ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่หน้าจอมือถือ และเมื่อเดินทางด้วยใจล้วนๆ นี่เอง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่มีรายได้จากการทำเพจเลย จะมีก็แต่ครั้งหนึ่งที่เคยเล่นกิมมิกกับ THAI QR PAYMENT แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เยอะมาก ถึงกระนั้นเรายังคงใช้หัวใจทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราพบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่การงานหนักขึ้น นับแต่นี้ต่อไปอาจจะไม่ได้พบกับคุณผู้อ่านบ่อยครั้งทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ แต่จะพยายามพบกับคุณผู้อ่านให้ได้มากที่สุดตามแต่โอกาส จนกว่าหน้าที่การงานจะลงตัว อาจจะได้พบกันทุกวันตราบเท่าที่เรายังพอไหว เพราะด้วยอายุมากขึ้น การปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance) ย่อมจำเป็น ขออภัยในความไม่สะดวก ณ ที่นี้ ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามและให้การสนับสนุนเพจ Newskit มาโดยตลอด เราอาจเป็นเพจเล็กในซอยลึก ที่คนอ่านมีไม่เยอะ แต่สิ่งที่เรายึดมั่นตั้งใจมาโดยตลอด คือ พยายามแสวงหาเรื่องราวที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของความจริง กิตตินันท์ นาคทอง ผู้ก่อตั้งเพจ Newskit #Newskit
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • นับหนึ่งไล่อุ๊งอิ๊ง จุดเปราะบางชินวัตร

    การชุมนุมของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) ซึ่งมีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. กองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนอีกหลายภาคส่วน มีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และ 3. ยืนเคียงข้างทหาร ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติ หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติ ทำลายความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร

    แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวหาว่าเป็นข้ออ้างไปสู่รัฐประหาร แต่ก็เป็นเพียงการประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ผู้นำเหล่าทัพในยุค พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ไม่ได้มีท่าทีแสดงออกอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม ถึงกระนั้นพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านทำได้แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โดยไม่ได้ใช้วิธียื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายทักษิณ ชินวัตร

    ทิศทางข่าวในวันอังคารที่จะถึงนี้ (1 ก.ค.) ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติรับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งหรือไม่ กรณีคลิปเสียงกับ ฮุน เซน และจะมีมติให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายเศรษฐา ทวีสิน แม้ น.ส.แพทองธารจะใช้วิธีให้ตัวเองดำรงตำแหน่งควบ รมว.วัฒนธรรม เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก็ตาม ซึ่งกลุ่ม คปท. จะมีการประชุมเพื่อประเมินว่าจะยกระดับการชุมนุมไปในทิศทางใด โดยมีจุดยืนเดิม คือ นายกรัฐมนตรีลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว

    อีกด้านหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณกรณีชั้น 14 จำนวน 6 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ศาลอาญานัดสืบพยานคดีมาตรา 112 จากกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2558 จำนวน 7 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้เช่นกัน ซึ่งท่าทีนายทักษิณขณะนี้ นับตั้งแต่คลิปเสียงลูกสาวกับฮุน เซน ปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยว ถือเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางช่วงหนึ่งของตระกูลชินวัตร

    #Newskit
    นับหนึ่งไล่อุ๊งอิ๊ง จุดเปราะบางชินวัตร การชุมนุมของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) ซึ่งมีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. กองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนอีกหลายภาคส่วน มีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และ 3. ยืนเคียงข้างทหาร ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติ หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติ ทำลายความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวหาว่าเป็นข้ออ้างไปสู่รัฐประหาร แต่ก็เป็นเพียงการประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ผู้นำเหล่าทัพในยุค พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ไม่ได้มีท่าทีแสดงออกอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม ถึงกระนั้นพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านทำได้แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โดยไม่ได้ใช้วิธียื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายทักษิณ ชินวัตร ทิศทางข่าวในวันอังคารที่จะถึงนี้ (1 ก.ค.) ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติรับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งหรือไม่ กรณีคลิปเสียงกับ ฮุน เซน และจะมีมติให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายเศรษฐา ทวีสิน แม้ น.ส.แพทองธารจะใช้วิธีให้ตัวเองดำรงตำแหน่งควบ รมว.วัฒนธรรม เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก็ตาม ซึ่งกลุ่ม คปท. จะมีการประชุมเพื่อประเมินว่าจะยกระดับการชุมนุมไปในทิศทางใด โดยมีจุดยืนเดิม คือ นายกรัฐมนตรีลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว อีกด้านหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณกรณีชั้น 14 จำนวน 6 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ศาลอาญานัดสืบพยานคดีมาตรา 112 จากกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2558 จำนวน 7 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้เช่นกัน ซึ่งท่าทีนายทักษิณขณะนี้ นับตั้งแต่คลิปเสียงลูกสาวกับฮุน เซน ปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยว ถือเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางช่วงหนึ่งของตระกูลชินวัตร #Newskit
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร
    แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46

    ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า

    1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย]

    วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า:

    "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม"

    เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ

    2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม

    , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้

    3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

    Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

    กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC"

    Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2)

    Bora Touch ทนายความ

    The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates:

    1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.

    Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises:

    "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam"

    Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ.

    Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia.

    Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid.

    Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand.

    Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land.

    Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC."

    Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46 ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า 1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า: "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม" เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ 2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้ 3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC" Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2) Bora Touch ทนายความ The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates: 1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand].. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand] (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand]. Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises: "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand] set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam" Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ. Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia. Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid. Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand. Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land. Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC." Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • ภาพการไล่ล่ารถลำเลียงพลหุ้มเกราะ(APC)ของยูเครนจากโดรน FPV ของรัสเซียที่ต้องใช้มากถึง 6 ลำในการหยุดการหลบหนี ในทิศทางใกล้หมู่บ้าน Kotlyarivka บนชายแดนของภูมิภาค Dnipropetrovsk

    ช่วงสุดท้ายของวิดีโอ จะเห็นทหารยูเครนพยายามหลบหนีออกจาก APC แต่ก็ไม่ทันการ
    ภาพการไล่ล่ารถลำเลียงพลหุ้มเกราะ(APC)ของยูเครนจากโดรน FPV ของรัสเซียที่ต้องใช้มากถึง 6 ลำในการหยุดการหลบหนี ในทิศทางใกล้หมู่บ้าน Kotlyarivka บนชายแดนของภูมิภาค Dnipropetrovsk ช่วงสุดท้ายของวิดีโอ จะเห็นทหารยูเครนพยายามหลบหนีออกจาก APC แต่ก็ไม่ทันการ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้:

    1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:**
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
    * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น
    * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ

    2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:**
    * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
    * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี

    3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:**
    * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
    * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ)
    * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา

    4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:**
    * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน
    * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ

    5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:**
    * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ
    * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20)

    6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:**
    * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี
    * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน

    7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:**
    * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ)
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย)

    8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:**
    * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ
    * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด

    9. **การแก้ไขวิกฤต:**
    * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ

    10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:**
    * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร

    **หมายเหตุ:**
    * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ
    * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี
    * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย

    สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้: 1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:** * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ 2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:** * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี 3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:** * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ) * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา 4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:** * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ 5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:** * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20) 6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:** * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน 7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:** * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ) * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย) 8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:** * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด 9. **การแก้ไขวิกฤต:** * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ 10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:** * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร **หมายเหตุ:** * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • Ares ยามรณะ 2016
    Ares ยามรณะ 2016
    0 Comments 0 Shares 26 Views 2 0 Reviews
  • ยูเครนสูญเสียเครื่องบิน F-16 พร้อมนักบิน ระหว่างการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนขนาดใหญ่ของรัสเซียเมื่อคืนนี้ ในภูมิภาค Chernihiv ดินแดนยูเครน

    ในแถลงการณ์จากกองทัพอากาศยืนยันว่า เครื่องบิน F-16 ของพันโทมักซิม อุสติเมนโก (Maksym Ustymenko) วัย 32 ปี ได้รับความเสียหายขณะที่เขาพยายามยิงสกัดโดรนของรัสเซีย และสูญเสียการควบคุมทำให้ตกลงในที่สุด นักบินประจำไม่สามารถดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ และเสียชีวิตในที่สุด

    เซเลนสกี กล่าวยอมรับถึงการสูญเสียชีวิตของนักบิน และเครื่องบิน F-16 ในครั้งนี้แล้ว

    ยังมีอีกรายงานของสื่อที่ระบุว่า เครื่องบิน F-16 ของกองทัพอากาศยูเครนอาจถูกยิงตกโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย หรืออาจจะเป็นเครื่องบิน Su-57 ซึ่งได้รับการระบุตำแหน่งโดยเครื่องบินตรวจการณ์ A-50
    ยูเครนสูญเสียเครื่องบิน F-16 พร้อมนักบิน ระหว่างการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนขนาดใหญ่ของรัสเซียเมื่อคืนนี้ ในภูมิภาค Chernihiv ดินแดนยูเครน ในแถลงการณ์จากกองทัพอากาศยืนยันว่า เครื่องบิน F-16 ของพันโทมักซิม อุสติเมนโก (Maksym Ustymenko) วัย 32 ปี ได้รับความเสียหายขณะที่เขาพยายามยิงสกัดโดรนของรัสเซีย และสูญเสียการควบคุมทำให้ตกลงในที่สุด นักบินประจำไม่สามารถดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ และเสียชีวิตในที่สุด เซเลนสกี กล่าวยอมรับถึงการสูญเสียชีวิตของนักบิน และเครื่องบิน F-16 ในครั้งนี้แล้ว ยังมีอีกรายงานของสื่อที่ระบุว่า เครื่องบิน F-16 ของกองทัพอากาศยูเครนอาจถูกยิงตกโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย หรืออาจจะเป็นเครื่องบิน Su-57 ซึ่งได้รับการระบุตำแหน่งโดยเครื่องบินตรวจการณ์ A-50
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • ที่ปรึกษาของคาเมเนอีพูดหลังจากรอดชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอล: “พวกเขารู้ว่าทำไมถึงมาหาฉัน”

    อาลี ชัมคานี ที่ปรึกษาอาวุโสของคาเมเนอี เพิ่งให้สัมภาษณ์ทางทีวีเป็นครั้งแรกหลังจากรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารของอิสราเอล

    เขาเล่าย้อนเหตุการณ์ว่าเขาถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังเป็นเวลา 3 ชั่วโมงและได้รับบาดเจ็บซี่โครงหัก ในตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นแค่แผ่นดินไหว

    ชัมคานี กล่าวต่ออีกว่า “พวกไซออนิสต์รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเล็งเป้าผม และผมก็รู้เช่นกัน ผมทำให้ชีวิตพวกเขา(ไซออนิสต์)ต้องทุกข์ยาก”

    ภาพในวิดีโอแสดงให้เห็นว่าเขาใช้เครื่องช่วยหายใจแบบใช้ออกซิเจนเพื่อฟื้นฟูการทำงานของปอด

    เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ชัมคานีถูกประกาศว่าเสียชีวิตจากการลอบสังหารของอิสราเอล
    ที่ปรึกษาของคาเมเนอีพูดหลังจากรอดชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอล: “พวกเขารู้ว่าทำไมถึงมาหาฉัน” อาลี ชัมคานี ที่ปรึกษาอาวุโสของคาเมเนอี เพิ่งให้สัมภาษณ์ทางทีวีเป็นครั้งแรกหลังจากรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารของอิสราเอล เขาเล่าย้อนเหตุการณ์ว่าเขาถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังเป็นเวลา 3 ชั่วโมงและได้รับบาดเจ็บซี่โครงหัก ในตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นแค่แผ่นดินไหว ชัมคานี กล่าวต่ออีกว่า “พวกไซออนิสต์รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเล็งเป้าผม และผมก็รู้เช่นกัน ผมทำให้ชีวิตพวกเขา(ไซออนิสต์)ต้องทุกข์ยาก” ภาพในวิดีโอแสดงให้เห็นว่าเขาใช้เครื่องช่วยหายใจแบบใช้ออกซิเจนเพื่อฟื้นฟูการทำงานของปอด เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ชัมคานีถูกประกาศว่าเสียชีวิตจากการลอบสังหารของอิสราเอล
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • “Boom Boom Tel Aviv” กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตทันที มียอดเข้าชมหลายล้านครั้งบนโซเชียลมีเดีย เพลงนี้แสดงให้เห็นว่าโลกเกลียดชังระบอบไซออนิสต์และการกระทำอันโหดร้ายของพวกเขาขนาดไหน

    ล่าสุดมีรายงานว่าทางการอิสราเอลกำลังพยายามหาทางลบเพลงนี้ออกจากอินเทอร์เน็ต
    “Boom Boom Tel Aviv” กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตทันที มียอดเข้าชมหลายล้านครั้งบนโซเชียลมีเดีย เพลงนี้แสดงให้เห็นว่าโลกเกลียดชังระบอบไซออนิสต์และการกระทำอันโหดร้ายของพวกเขาขนาดไหน ล่าสุดมีรายงานว่าทางการอิสราเอลกำลังพยายามหาทางลบเพลงนี้ออกจากอินเทอร์เน็ต
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 106 Views 44 0 Reviews
  • 🪷 "ไม่ต้องฝืนรัก แค่ยอมรับว่าเกลียดให้ได้ก่อน"

    บางคนเราต้องเจอทุกวัน
    แต่แค่เห็นหน้าก็รู้สึกแน่นในอก
    ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่อยากสบตา

    หลายคนพยายาม "ฝืนแผ่เมตตา"
    แต่ยิ่งฝืน ยิ่งรู้สึกว่าคนนั้นเป็น ภาระทางใจ
    ยิ่งรู้สึกผิด ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเกลียดซ้อนทับ

    "อย่าฝืนมีเมตตา เพราะความฝืน คือการสร้างภาระใหม่"
    แต่ให้ยอมรับไปตามจริง
    ว่า… “เราเกลียดเขา”
    เกลียดมาก เกลียดน้อย เกลียดกลางๆ
    วัดไปเลยตามตรง

    จากนั้น...

    แค่รู้สึกถึงอารมณ์นั้นเฉยๆ ไม่ผลัก ไม่ดัน ไม่โต้ตอบ
    คุณจะเห็นของวิเศษที่ซ่อนอยู่ในอารมณ์ลบ —
    คือ "ความไม่เที่ยง"

    อารมณ์เกลียดที่เคยแน่นอก
    ก็จางลงเอง
    โดยที่คุณไม่ต้องพยายามไล่มันเลย

    ✨ และทุกครั้งที่คุณเห็นว่า
    “ความเกลียด” ไม่ใช่ของถาวร
    เมตตาแบบอ่อนๆ จะผลิบานขึ้นในใจคุณ
    โดยไม่ต้องบังคับ

    เป็นเมตตาที่ไม่ใช่เพราะคนอื่นดี
    แต่เพราะ คุณเห็นธรรมะในใจตัวเอง

    🤍 สุดท้าย...
    คนที่เราไม่ชอบ
    จะกลายเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่
    สอนให้เราเห็นธรรมะในชีวิตประจำวัน
    แบบไม่ต้องท่องจำจากหนังสือธรรมะแม้แต่บรรทัดเดียว

    #ฝึกใจทุกครั้งที่รู้สึกลบ
    #ไม่ต้องฝืนแผ่เมตตา
    #แค่รู้ว่าอารมณ์เกลียดก็ไม่เที่ยง
    #เจริญสติกลางความไม่ชอบ
    🪷 "ไม่ต้องฝืนรัก แค่ยอมรับว่าเกลียดให้ได้ก่อน" บางคนเราต้องเจอทุกวัน แต่แค่เห็นหน้าก็รู้สึกแน่นในอก ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่อยากสบตา หลายคนพยายาม "ฝืนแผ่เมตตา" แต่ยิ่งฝืน ยิ่งรู้สึกว่าคนนั้นเป็น ภาระทางใจ ยิ่งรู้สึกผิด ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเกลียดซ้อนทับ "อย่าฝืนมีเมตตา เพราะความฝืน คือการสร้างภาระใหม่" แต่ให้ยอมรับไปตามจริง ว่า… “เราเกลียดเขา” เกลียดมาก เกลียดน้อย เกลียดกลางๆ วัดไปเลยตามตรง จากนั้น... แค่รู้สึกถึงอารมณ์นั้นเฉยๆ ไม่ผลัก ไม่ดัน ไม่โต้ตอบ คุณจะเห็นของวิเศษที่ซ่อนอยู่ในอารมณ์ลบ — คือ "ความไม่เที่ยง" อารมณ์เกลียดที่เคยแน่นอก ก็จางลงเอง โดยที่คุณไม่ต้องพยายามไล่มันเลย ✨ และทุกครั้งที่คุณเห็นว่า “ความเกลียด” ไม่ใช่ของถาวร เมตตาแบบอ่อนๆ จะผลิบานขึ้นในใจคุณ โดยไม่ต้องบังคับ เป็นเมตตาที่ไม่ใช่เพราะคนอื่นดี แต่เพราะ คุณเห็นธรรมะในใจตัวเอง 🤍 สุดท้าย... คนที่เราไม่ชอบ จะกลายเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ สอนให้เราเห็นธรรมะในชีวิตประจำวัน แบบไม่ต้องท่องจำจากหนังสือธรรมะแม้แต่บรรทัดเดียว #ฝึกใจทุกครั้งที่รู้สึกลบ #ไม่ต้องฝืนแผ่เมตตา #แค่รู้ว่าอารมณ์เกลียดก็ไม่เที่ยง #เจริญสติกลางความไม่ชอบ
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • ..นายกฯลาออกก็จบแล้ว,โทนี่ไปติดคุกก็ด้วย,ไม่เสียหายอะไรเลย แค่ทำเพื่อชาติ,ดีต่อชาติเสียอีก,พ้นโทษก็เดินเชิดหน้าชูตาปกติได้อีก,แปลกทำไมไม่ทำตั้งแต่เดินเข้ามาประเทศไทย,กลับมาเลี้ยงหลานก็ไม่มีเรื่องราวอะไรเลย,ฟ้าก็ให้อภัยโทษแน่นอน.,คือไม่สนใจว่าทั้งหมดคือแผนของอีลิทdeep stateหรอกนะคือวางสนุ๊ควางหมากเรื่องนี้ไว้รอแล้วระหว่างฮุนเซนกับไทยนี้ในนามรัฐบาลลูกโทนี่,คือทั้งหมดสองฝ่ายคือคนของdeep stateทั้งหมด,สั่งละครแบบไหนควบคุมได้หมด,เผลออาจฟันกำไรในราคาหุ้นขึ้นลงด้วยหรือกินส่วนต่างทำกำไรส่วนที่เก็งราคาปั่นกระแสของข่าวได้ตังมหาศาลนั้นเอง,เช่นอิสราเอลยิงระเบิดใส่อิหร่านนั้นล่ะ,มีใครหลายคนทั่วโลกฟันตังฟันเงินส่วนต่างได้อย่างมากมายมหาศาลแน่นอนที่เกิดสงครามกันในระยะเวลาอันสั้น.
    ..แกนนำทั้งบนเวทีและล่างเวทีสามารถตั้งทีมบริหารรัฐบาลในอนาคตของภาคประชาชนได้สบายเลยก็ว่า,สามารถเอาไปละลายพฤติกรรมปรับจูนพลังงานบวกเชิงมหาทีมเพื่องานใหญ่เพื่อชาติบ้านเมืองได้สบาย,สลายใจเก่ารวมเป็นใจใหม่ใจดวงเดียวกันของจริง,จะสิ้นคำว่าหวาดระแวงขณะทำงานของใครของหน้าที่ใครมันเพื่อชาติเพื่อประชาชนอย่างง่ายสบายใจกันทันที,ส่วนตัวสร้างระบบดีรองรับจะเดินก้าวอย่างก้าวกระโดดเลย,เช่นปัจจุบัน สำนักงานประสานงานเข้าถึงปัญหาทางตรงแก่ประชาชนไม่มีเพื่อแก้ไขปัญหาให้ทันเวลาทันกาลไม่มีก็ทำให้มีเสีย,มีสำนักงานประจำทุกๆหมู่บ้านทันที,ประสานงานกับส่วนกลางทางตรง,ยุบอบต.อบจ.ตังก็มีสร้างเพียงพอเลยแค่7-8หมื่นกมู่บ้านชุมชนเอง,รับเรื่องร้องทุกข์ต่างๆของประชาชนเราทางตรงจะเข้าถึงทุกๆปัญหาประชาชนอย่างเรียลไทม์เลย,แล้วเรื่องอื่นๆจะง่ายทั้งหมดทันที,เช่นเขมรรุกล้ำชายแดน ชาวบ้านส่งเรื่องสายตรง ส่วนกลางก็เข้าถึงพื้นที่ทันทีแก้ไขปัญหาตรงจุดตัดตอนได้ทันกาลด้วยเป็นต้น,อัดเงินงบประมาณช่วยเหลือก็ลงผ่านสำนักงานนี้ได้ทันที,เราจะอัพเรเวลยามของแผ่นดินไทยไปในตัวด้วยและสาระพัดคุณต่างๆอีกมากมาย,
    ..ประเทศไทยเรานักปกครองไม่มีจิตสำนึกรับผิดชอบ ไม่มีแอ็คชั่นลาออกใดๆเพื่อรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ที่ผิดพลาด,ญี่ปุ่นถ้าผิดพลาดเขาจะแสดงความรับผิดชอบลาออกทันที,ชนชั้นปกครองเรากากกระจอกเรื่องนี้มากจริงๆไม่หัดปลูกฝังใส่สมองในหมู่มันเลย ถ้าฝึกหัดสร้างสภาวะให้เป็นเช่นนั้นก็จะเป็นมาตราฐานให้คนรุ่นต่อไปพึ่งสำนึกในใจทันทีว่าถ้าทำผิดพลาดต่อบ้านต่อเมืองต่อแผ่นดินต่อประชาชนต้องลาออกไปทันที,ให้คนเก่งดีมีความรู้มีฝือมือมีความสามารถมาทำแทนตน,ญี่ปุ่นเจอระเบิดนิวเคลียร์ลง จึงสำนึกว่าความผิดพลาดเราแม้นิดเดียวอาจนำพาหายนะใหญ่หลวงเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติตนเองได้,คนดีคนเก่งมีความสามารถต้องขึ้นมาแทนเราในทันที เราต้องลาออกเพื่อดำรงชาติเราให้คงอยู่ไว้ หรือก่อหายนะน้อยที่สุดคือลาออกไปทันทีดีที่สุด,คนอื่นต้องแก้ไขได้ดีกว่าตนแน่นอนหรือคนต่อๆไปอีก จนเจอผู้นั้นจริง.ทีมนั่นๆจริง,นี้อะไรประเทศไทยเรา,พื้นฐานสำนึกยังไม่มีแต่ก็สามารถมามีสถานะบริบททางการเมืองการปกครองประเทศได้,นี้คือวิถีปกครองที่ล้มเหลว แม้แต่ผู้นำผู้ปกครองประเทศนี้ยังไม่มีสำนึกอะไรจากจิตใจที่สมควรดีงามจริงๆเลยได้,เราจึงต้องปฏิวัติการปกครองจริงๆ,
    ..ยุคลงถนนชุดนี้ต้องสุดซอยคือจัดตั้งเป็นรัฐบาลเองเลยโดยภาคประชาชนเราปกครองขึ้นเองนั้นเอง,พอกันที่ไปชุมนุนแล้วยกให้คนอื่นเป็นนายกแทนตนเองขึ้นปกครอง,เชิญคนนั้นคนนี้มาปกครองแทนตนเองที่ลงถนนประท้วงขับไล่ด้วยมือตนเองแต่ยกอำนาจให้คนอื่นที่ไม่มีจิตวิญญาณต่อสู้เพื่อประชาชนจริงจังอะไร,สู้ในห้องแอร์หรู,อย่าเอาคนประเภทนี้มาเป็นนายกฯเชิญมาเป็นนายกฯเด็ดขาด,แม่ทัพเมื่อชนะศึกต้องขึ้นปกครองเอง,เพราะความหมายคุณค่าการต่อสู้ที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องทหารประชาชนตนเองจะเป็นแรงบันดาลมหาศาลว่าทำไมพี่น้องประชาชนเราจึงต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีจริง,มิใช่มโนแค่ผ่านออกมาทางปากเพื่อขึ้นปกครองแบบนักการเมืองระยำบัดสบที่เคยๆเป็นมาผ่านๆมา.
    ..
    ..https://youtu.be/PnHZBK4r7Ak?si=tg_OQjWtHrmEwZeK
    ..นายกฯลาออกก็จบแล้ว,โทนี่ไปติดคุกก็ด้วย,ไม่เสียหายอะไรเลย แค่ทำเพื่อชาติ,ดีต่อชาติเสียอีก,พ้นโทษก็เดินเชิดหน้าชูตาปกติได้อีก,แปลกทำไมไม่ทำตั้งแต่เดินเข้ามาประเทศไทย,กลับมาเลี้ยงหลานก็ไม่มีเรื่องราวอะไรเลย,ฟ้าก็ให้อภัยโทษแน่นอน.,คือไม่สนใจว่าทั้งหมดคือแผนของอีลิทdeep stateหรอกนะคือวางสนุ๊ควางหมากเรื่องนี้ไว้รอแล้วระหว่างฮุนเซนกับไทยนี้ในนามรัฐบาลลูกโทนี่,คือทั้งหมดสองฝ่ายคือคนของdeep stateทั้งหมด,สั่งละครแบบไหนควบคุมได้หมด,เผลออาจฟันกำไรในราคาหุ้นขึ้นลงด้วยหรือกินส่วนต่างทำกำไรส่วนที่เก็งราคาปั่นกระแสของข่าวได้ตังมหาศาลนั้นเอง,เช่นอิสราเอลยิงระเบิดใส่อิหร่านนั้นล่ะ,มีใครหลายคนทั่วโลกฟันตังฟันเงินส่วนต่างได้อย่างมากมายมหาศาลแน่นอนที่เกิดสงครามกันในระยะเวลาอันสั้น. ..แกนนำทั้งบนเวทีและล่างเวทีสามารถตั้งทีมบริหารรัฐบาลในอนาคตของภาคประชาชนได้สบายเลยก็ว่า,สามารถเอาไปละลายพฤติกรรมปรับจูนพลังงานบวกเชิงมหาทีมเพื่องานใหญ่เพื่อชาติบ้านเมืองได้สบาย,สลายใจเก่ารวมเป็นใจใหม่ใจดวงเดียวกันของจริง,จะสิ้นคำว่าหวาดระแวงขณะทำงานของใครของหน้าที่ใครมันเพื่อชาติเพื่อประชาชนอย่างง่ายสบายใจกันทันที,ส่วนตัวสร้างระบบดีรองรับจะเดินก้าวอย่างก้าวกระโดดเลย,เช่นปัจจุบัน สำนักงานประสานงานเข้าถึงปัญหาทางตรงแก่ประชาชนไม่มีเพื่อแก้ไขปัญหาให้ทันเวลาทันกาลไม่มีก็ทำให้มีเสีย,มีสำนักงานประจำทุกๆหมู่บ้านทันที,ประสานงานกับส่วนกลางทางตรง,ยุบอบต.อบจ.ตังก็มีสร้างเพียงพอเลยแค่7-8หมื่นกมู่บ้านชุมชนเอง,รับเรื่องร้องทุกข์ต่างๆของประชาชนเราทางตรงจะเข้าถึงทุกๆปัญหาประชาชนอย่างเรียลไทม์เลย,แล้วเรื่องอื่นๆจะง่ายทั้งหมดทันที,เช่นเขมรรุกล้ำชายแดน ชาวบ้านส่งเรื่องสายตรง ส่วนกลางก็เข้าถึงพื้นที่ทันทีแก้ไขปัญหาตรงจุดตัดตอนได้ทันกาลด้วยเป็นต้น,อัดเงินงบประมาณช่วยเหลือก็ลงผ่านสำนักงานนี้ได้ทันที,เราจะอัพเรเวลยามของแผ่นดินไทยไปในตัวด้วยและสาระพัดคุณต่างๆอีกมากมาย, ..ประเทศไทยเรานักปกครองไม่มีจิตสำนึกรับผิดชอบ ไม่มีแอ็คชั่นลาออกใดๆเพื่อรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ที่ผิดพลาด,ญี่ปุ่นถ้าผิดพลาดเขาจะแสดงความรับผิดชอบลาออกทันที,ชนชั้นปกครองเรากากกระจอกเรื่องนี้มากจริงๆไม่หัดปลูกฝังใส่สมองในหมู่มันเลย ถ้าฝึกหัดสร้างสภาวะให้เป็นเช่นนั้นก็จะเป็นมาตราฐานให้คนรุ่นต่อไปพึ่งสำนึกในใจทันทีว่าถ้าทำผิดพลาดต่อบ้านต่อเมืองต่อแผ่นดินต่อประชาชนต้องลาออกไปทันที,ให้คนเก่งดีมีความรู้มีฝือมือมีความสามารถมาทำแทนตน,ญี่ปุ่นเจอระเบิดนิวเคลียร์ลง จึงสำนึกว่าความผิดพลาดเราแม้นิดเดียวอาจนำพาหายนะใหญ่หลวงเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติตนเองได้,คนดีคนเก่งมีความสามารถต้องขึ้นมาแทนเราในทันที เราต้องลาออกเพื่อดำรงชาติเราให้คงอยู่ไว้ หรือก่อหายนะน้อยที่สุดคือลาออกไปทันทีดีที่สุด,คนอื่นต้องแก้ไขได้ดีกว่าตนแน่นอนหรือคนต่อๆไปอีก จนเจอผู้นั้นจริง.ทีมนั่นๆจริง,นี้อะไรประเทศไทยเรา,พื้นฐานสำนึกยังไม่มีแต่ก็สามารถมามีสถานะบริบททางการเมืองการปกครองประเทศได้,นี้คือวิถีปกครองที่ล้มเหลว แม้แต่ผู้นำผู้ปกครองประเทศนี้ยังไม่มีสำนึกอะไรจากจิตใจที่สมควรดีงามจริงๆเลยได้,เราจึงต้องปฏิวัติการปกครองจริงๆ, ..ยุคลงถนนชุดนี้ต้องสุดซอยคือจัดตั้งเป็นรัฐบาลเองเลยโดยภาคประชาชนเราปกครองขึ้นเองนั้นเอง,พอกันที่ไปชุมนุนแล้วยกให้คนอื่นเป็นนายกแทนตนเองขึ้นปกครอง,เชิญคนนั้นคนนี้มาปกครองแทนตนเองที่ลงถนนประท้วงขับไล่ด้วยมือตนเองแต่ยกอำนาจให้คนอื่นที่ไม่มีจิตวิญญาณต่อสู้เพื่อประชาชนจริงจังอะไร,สู้ในห้องแอร์หรู,อย่าเอาคนประเภทนี้มาเป็นนายกฯเชิญมาเป็นนายกฯเด็ดขาด,แม่ทัพเมื่อชนะศึกต้องขึ้นปกครองเอง,เพราะความหมายคุณค่าการต่อสู้ที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องทหารประชาชนตนเองจะเป็นแรงบันดาลมหาศาลว่าทำไมพี่น้องประชาชนเราจึงต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีจริง,มิใช่มโนแค่ผ่านออกมาทางปากเพื่อขึ้นปกครองแบบนักการเมืองระยำบัดสบที่เคยๆเป็นมาผ่านๆมา. .. ..https://youtu.be/PnHZBK4r7Ak?si=tg_OQjWtHrmEwZeK
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • "สนธิ“ ประกาศชุมนุมนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าจำเป็นต้องลงถนนในอนาคต ลั่น ไม่เคยคิด 20 ปีก่อนไล่ "ทักษิณ"มาวันนี้ ไล่ "ลูกสาว" ชี้ ไม่ได้ยุให้ทหารปฏิวัติ

    วันนี้(28 มิ.ย. 68) เวลาประมาณ 18.15 น. ในการชุมนุมรวมพลังแผ่นดิน บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปรึกษามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ขึ้นปราศรัยบนเวทีในกิจกรรมดังกล่าว ระบุว่า ปี พ.ศ. 2548 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผ่านมาจนถึง ปี พ.ศ. 2568 ตนเจอนายวีระ สมความคิด บอกว่า “ครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว” ตนจึงบอกว่า “ผมนี่ 73 แล้ว ไม่ครั้งสุดท้ายตนก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”

    นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันนี้ตนเจอเพื่อนเก่าเยอะมาก ถ้าฝนไม่หยุด ตนจะยืนท่ามกลางสายฝน เพื่อรำลึกผู้ที่เคยประท้วงครั้งแรกกับตน จำได้หรือไม่ เราประท้วงครั้งแรกบนรถบรรทุก ฝนตกลงมาเต็มที่ เปียกเนื้อเปียกตัวไปหมด

    “ฮุน เซน” พูดถึงในเฟซบุ๊ก 2 เรื่อง ตนดูแล้วบางเรื่องจริง แต่บางเรื่องนั้นไม่จริง เรื่องที่ฮุน เซน บอกว่า “ทักษิณ” เวลาเมาไวน์แล้วจะพูดถึงสถาบัน ตนไม่เถียงเพราะรู้มานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ทักษิณไปทำบุญที่วัดพระแก้ว จากการจัดการของนายวิษณุ เครืองาม ซึ่งในประเทศไทย มีตนที่กล้านำเรื่องนี้มาตีแผ่ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000060993

    #Thaitimes #MGROnline #ฮุนเซน #สนธิ #ทักษิณ #ม็อบ28มิถุนา #รวมพลังแผ่นดิน #อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ #คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย #แพทองธารชินวัตร
    "สนธิ“ ประกาศชุมนุมนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าจำเป็นต้องลงถนนในอนาคต ลั่น ไม่เคยคิด 20 ปีก่อนไล่ "ทักษิณ"มาวันนี้ ไล่ "ลูกสาว" ชี้ ไม่ได้ยุให้ทหารปฏิวัติ • วันนี้(28 มิ.ย. 68) เวลาประมาณ 18.15 น. ในการชุมนุมรวมพลังแผ่นดิน บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปรึกษามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ขึ้นปราศรัยบนเวทีในกิจกรรมดังกล่าว ระบุว่า ปี พ.ศ. 2548 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผ่านมาจนถึง ปี พ.ศ. 2568 ตนเจอนายวีระ สมความคิด บอกว่า “ครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว” ตนจึงบอกว่า “ผมนี่ 73 แล้ว ไม่ครั้งสุดท้ายตนก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” • นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันนี้ตนเจอเพื่อนเก่าเยอะมาก ถ้าฝนไม่หยุด ตนจะยืนท่ามกลางสายฝน เพื่อรำลึกผู้ที่เคยประท้วงครั้งแรกกับตน จำได้หรือไม่ เราประท้วงครั้งแรกบนรถบรรทุก ฝนตกลงมาเต็มที่ เปียกเนื้อเปียกตัวไปหมด • “ฮุน เซน” พูดถึงในเฟซบุ๊ก 2 เรื่อง ตนดูแล้วบางเรื่องจริง แต่บางเรื่องนั้นไม่จริง เรื่องที่ฮุน เซน บอกว่า “ทักษิณ” เวลาเมาไวน์แล้วจะพูดถึงสถาบัน ตนไม่เถียงเพราะรู้มานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ทักษิณไปทำบุญที่วัดพระแก้ว จากการจัดการของนายวิษณุ เครืองาม ซึ่งในประเทศไทย มีตนที่กล้านำเรื่องนี้มาตีแผ่ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000060993 • #Thaitimes #MGROnline #ฮุนเซน #สนธิ #ทักษิณ #ม็อบ28มิถุนา #รวมพลังแผ่นดิน #อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ #คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย #แพทองธารชินวัตร
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • 28/6/68
    ภาพประวัติศาสตร์จารึกไว้บนแผ่นดินสยาม
    28/6/68 ภาพประวัติศาสตร์จารึกไว้บนแผ่นดินสยาม
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด...
    - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง
    (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง

    แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง

    แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน

    นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น

    เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/
    https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html
    https://www.gaohaipeng.com/1868.html
    https://m.sohu.com/n/469737945/
    https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html

    #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้ ความมีอยู่ว่า ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด... - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/ https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html https://www.gaohaipeng.com/1868.html https://m.sohu.com/n/469737945/ https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    DRAMASLOT.COM
    Love And Redemption Review - Best Drama For 2020?
    Love And Redemption has plenty of fans and many have compared it to Ashes Of Love and other epic dramas. Is it really that good? Read review here.
    3 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • 'ปานเทพ' ชวนจับตา ‘สนธิ‘ ปราศรัย ลั่นรอดูจบคืนนี้แล้วรัฐบาลมีสำนึกหรือไม่ ชี้ยอดเงินบริจาค 24 ล้าน สะท้อนการชุมนุมไม่มีนายทุน จะยกระดับการชุมนุมหรือไม่ ให้รอฟัง 'จตุพร-ทนายนกเขา' กล่าวปิด

    วันนี้ (28 มิ.ย. 68) ที่เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ปละประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นปราศรัยถึงการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคณะรวมพลังแผ่นดินในวันนี้ ว่า มีประชาชน เดินทางมาตั้งแต่ช่วง 12:00 น. เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา วันนี้ก็เดินทางกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า ถือว่ามาก่อนกำหนดเวลาที่คิดเอาไว้เยอะมาก ส่วนหนึ่งทยอยมาจากต่างจังหวัด ซึ่งหลายจังหวัดรายงานว่าอยู่ระหว่างการเดินทาง บางส่วนจะมาให้ทันก่อนการเคารพธงชาติร่วมกันในเวลา 18:00 น. เชื่อว่าสถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า มีประชาชนให้การสนับสนุนการชุมนุมครั้งนี้ ด้วยความหลากหลายของผู้คนมากสีเสื้อ

    ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียงในกรุงเทพมหานครอย่างเดียวแล้ว เหล่าทราบว่าหลายจังหวัดมีการจัดกิจกรรมบริเวณหน้าศาลาการจังหวัดด้วย ภาพรวมถือว่าน่าพอใจ วันนี้ไม่มีอะไรกังวล ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ส่วนการขึ้นปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ขอให้รอติดตามว่า นายสนธิจะส่งสารอย่างไร เพราะนายสนธิไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัยมานานมากแล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000060960

    #Thaitimes #MGROnline #ปานเทพ #สนธิ #ม็อบ28มิถุนา #รวมพลังแผ่นดิน #อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ #คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย #แพทองธารชินวัตร
    'ปานเทพ' ชวนจับตา ‘สนธิ‘ ปราศรัย ลั่นรอดูจบคืนนี้แล้วรัฐบาลมีสำนึกหรือไม่ ชี้ยอดเงินบริจาค 24 ล้าน สะท้อนการชุมนุมไม่มีนายทุน จะยกระดับการชุมนุมหรือไม่ ให้รอฟัง 'จตุพร-ทนายนกเขา' กล่าวปิด • วันนี้ (28 มิ.ย. 68) ที่เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ปละประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นปราศรัยถึงการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคณะรวมพลังแผ่นดินในวันนี้ ว่า มีประชาชน เดินทางมาตั้งแต่ช่วง 12:00 น. เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา วันนี้ก็เดินทางกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า ถือว่ามาก่อนกำหนดเวลาที่คิดเอาไว้เยอะมาก ส่วนหนึ่งทยอยมาจากต่างจังหวัด ซึ่งหลายจังหวัดรายงานว่าอยู่ระหว่างการเดินทาง บางส่วนจะมาให้ทันก่อนการเคารพธงชาติร่วมกันในเวลา 18:00 น. เชื่อว่าสถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า มีประชาชนให้การสนับสนุนการชุมนุมครั้งนี้ ด้วยความหลากหลายของผู้คนมากสีเสื้อ • ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียงในกรุงเทพมหานครอย่างเดียวแล้ว เหล่าทราบว่าหลายจังหวัดมีการจัดกิจกรรมบริเวณหน้าศาลาการจังหวัดด้วย ภาพรวมถือว่าน่าพอใจ วันนี้ไม่มีอะไรกังวล ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ส่วนการขึ้นปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ขอให้รอติดตามว่า นายสนธิจะส่งสารอย่างไร เพราะนายสนธิไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัยมานานมากแล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000060960 • #Thaitimes #MGROnline #ปานเทพ #สนธิ #ม็อบ28มิถุนา #รวมพลังแผ่นดิน #อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ #คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย #แพทองธารชินวัตร
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • เกิดเหตุชายนิรนามพกมีดพับพยายามเจ้าพื้นที่ชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ เจ้าหน้าที่เทศกิจพยายามเข้าห้ามและดึงมีดออก ถูกต่อยเข้าที่หน้า

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000060921

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เกิดเหตุชายนิรนามพกมีดพับพยายามเจ้าพื้นที่ชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ เจ้าหน้าที่เทศกิจพยายามเข้าห้ามและดึงมีดออก ถูกต่อยเข้าที่หน้า อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000060921 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    4
    0 Comments 0 Shares 421 Views 0 Reviews
  • ยังมีสมาชิกบางท่าน เพิกเฉยต่อบทบาทของ CIA ที่มีต่อประเทศไทย
    อยู่ นี่คือการสรุปย่อๆเท่าที่หามาได้ ในอนาคตจะพูดเรื่องความสำคัญของไทยในสายตา CIA

    การเคลื่อนไหวของ CIA ในประเทศไทย เป็นเรื่องที่มีทั้งข้อมูลที่เปิดเผยและข้อมูลที่เป็นความลับมาก ซึ่งบางส่วนถูกเปิดโปงผ่านเอกสารประวัติศาสตร์ หรือแหล่งข่าวอย่าง Wikileaks, บันทึกของนักข่าวสายความมั่นคง และงานวิชาการ



    🔍 สรุป “การเคลื่อนไหวของ CIA ในไทย” แบ่งเป็น 3 ยุคหลัก



    🇺🇸 1. ยุคสงครามเย็น (1950s–1980s): ฐานข่าวกรอง-ฐานทัพลับ

    จุดประสงค์หลัก: ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    • 🇹🇭 ไทย = พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค
    • CIA ใช้ไทยเป็น “ฐานปฏิบัติการลับ (covert ops base)” เพื่อ:
    • สนับสนุนฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ใน ลาว–เวียดนาม–กัมพูชา
    • ส่งกำลังทางอากาศ ลำเลียงข่าวกรอง และฝึกกองกำลังลับ

    💥 ตัวอย่างที่เป็นที่รู้กัน:
    • ฐานทัพ อุดรธานี (เรียกในบางวงว่า “Udon CIA base”) ใช้เป็นที่ตั้งของ Air America สายการบินลับของ CIA
    • การฝึก “กองกำลังเงา” ในลาว-เขมร โดยมีเจ้าหน้าที่ CIA ประจำที่ไทย
    • ปฏิบัติการ Operation Cold Chop / Operation Hardnose: ส่งสายลับเข้าไปในจีนตอนใต้จากชายแดนไทย-พม่า



    🕵️‍♂️ 2. ยุคหลังสงครามเย็น – 9/11 (1990s–2000s): ข่าวกรองและต่อต้านก่อการร้าย

    จุดประสงค์หลัก: ปราบก่อการร้าย-เครือข่ายอิสลามหัวรุนแรง
    • หลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐฯ เริ่มจับตาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะแหล่งกบดานของกลุ่มหัวรุนแรง
    • CIA ร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด เช่น:
    • แลกเปลี่ยนข่าวกรองกับตำรวจไทยและหน่วยข่าวทหาร
    • ติดตามเครือข่ายอัลกออิดะห์ในเอเชีย
    • ปฏิบัติการลับเพื่อจับกุมหรือสอบสวนผู้ต้องสงสัย

    💣 กรณีที่ถูกเปิดเผย:
    • ปี 2002–2003: CIA ใช้สถานที่ลับในไทยเป็น “black site” (คุกลับนอกอเมริกา) เพื่อสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย เช่น อับู ซูไบดะห์ (Abu Zubaydah)
    • สถานที่นี้เชื่อกันว่าอยู่ทางภาคตะวันออกของไทย
    • ถูกเปิดเผยในรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯ ปี 2014 ว่าใช้ “enhanced interrogation techniques” (การทรมาน)
    • CIA มีบทบาทร่วมในการล่าและส่งตัวผู้ต้องสงสัยจากไทยไปยังประเทศที่สาม (extraordinary rendition)



    🌐 3. ยุคใหม่ (2010s–ปัจจุบัน): แข่งอิทธิพลจีน-ไซเบอร์-การเมือง

    จุดประสงค์หลัก:
    1. จับตาจีนในไทย (BRI, 5G, การทหาร, ดิจิทัล)
    2. สกัดรัสเซียในเอเชีย
    3. ติดตามการเคลื่อนไหวทางการเมือง–กลุ่มเคลื่อนไหว
    4. ร่วมมือด้านไซเบอร์/ต่อต้านการแทรกแซง

    รูปแบบที่ปรากฏ:
    • การติดต่อกับนักการเมือง-นักเคลื่อนไหว ที่สนับสนุนเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน (เช่น NGO, นักศึกษาบางกลุ่ม)
    • ติดตามการลงทุนของจีน ในโครงการอย่างรถไฟความเร็วสูง, EEC, ท่าเรือน้ำลึก
    • ใช้ สถานทูตและหน่วยงานต่างประเทศ (USAID, IRI, NED) เป็นช่องทางซัพพอร์ตทางอ้อม
    • ปี 2020s: สื่อรายงานว่ารัสเซียและจีนพยายามตั้ง “สถานีดักฟัง” และ CIA พยายามห้ามไทยอนุญาต



    🧭 มุมที่คนไทยหลายคนอาจไม่รู้:
    • CIA ไม่จำเป็นต้อง “ลงมือ” เองทุกครั้ง แต่ใช้ Soft Power + ปฏิบัติการผ่านหน่วยงานในพื้นที่
    • ความร่วมมือข่าวกรองไทย–สหรัฐฯ เข้มแข็งต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับ สันติบาล, หน่วยข่าวทหาร, ปอท.
    • CIA ในไทยมักมี “เจ้าหน้าที่ภายใต้สถานทูต” (official cover) ซึ่งไม่ได้แสดงตัวเป็น CIA โดยตรง



    ✅ สรุปภาพรวม:

    CIA เคยมีและอาจยังคงมีบทบาทในไทย
    โดยเป้าหมายเปลี่ยนไปตามยุคสมัย:
    🔸 ยุคคอมมิวนิสต์ → ต่อต้านพรรคแดงในอินโดจีน
    🔸 ยุคหลัง 9/11 → ก่อการร้าย-จับผู้ต้องสงสัย
    🔸 ยุคปัจจุบัน → แข่งกับจีน-รัสเซีย, ไซเบอร์, การเมืองภายในไทย
    ยังมีสมาชิกบางท่าน เพิกเฉยต่อบทบาทของ CIA ที่มีต่อประเทศไทย อยู่ นี่คือการสรุปย่อๆเท่าที่หามาได้ ในอนาคตจะพูดเรื่องความสำคัญของไทยในสายตา CIA การเคลื่อนไหวของ CIA ในประเทศไทย เป็นเรื่องที่มีทั้งข้อมูลที่เปิดเผยและข้อมูลที่เป็นความลับมาก ซึ่งบางส่วนถูกเปิดโปงผ่านเอกสารประวัติศาสตร์ หรือแหล่งข่าวอย่าง Wikileaks, บันทึกของนักข่าวสายความมั่นคง และงานวิชาการ ⸻ 🔍 สรุป “การเคลื่อนไหวของ CIA ในไทย” แบ่งเป็น 3 ยุคหลัก ⸻ 🇺🇸 1. ยุคสงครามเย็น (1950s–1980s): ฐานข่าวกรอง-ฐานทัพลับ จุดประสงค์หลัก: ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ • 🇹🇭 ไทย = พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค • CIA ใช้ไทยเป็น “ฐานปฏิบัติการลับ (covert ops base)” เพื่อ: • สนับสนุนฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ใน ลาว–เวียดนาม–กัมพูชา • ส่งกำลังทางอากาศ ลำเลียงข่าวกรอง และฝึกกองกำลังลับ 💥 ตัวอย่างที่เป็นที่รู้กัน: • ฐานทัพ อุดรธานี (เรียกในบางวงว่า “Udon CIA base”) ใช้เป็นที่ตั้งของ Air America สายการบินลับของ CIA • การฝึก “กองกำลังเงา” ในลาว-เขมร โดยมีเจ้าหน้าที่ CIA ประจำที่ไทย • ปฏิบัติการ Operation Cold Chop / Operation Hardnose: ส่งสายลับเข้าไปในจีนตอนใต้จากชายแดนไทย-พม่า ⸻ 🕵️‍♂️ 2. ยุคหลังสงครามเย็น – 9/11 (1990s–2000s): ข่าวกรองและต่อต้านก่อการร้าย จุดประสงค์หลัก: ปราบก่อการร้าย-เครือข่ายอิสลามหัวรุนแรง • หลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐฯ เริ่มจับตาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะแหล่งกบดานของกลุ่มหัวรุนแรง • CIA ร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด เช่น: • แลกเปลี่ยนข่าวกรองกับตำรวจไทยและหน่วยข่าวทหาร • ติดตามเครือข่ายอัลกออิดะห์ในเอเชีย • ปฏิบัติการลับเพื่อจับกุมหรือสอบสวนผู้ต้องสงสัย 💣 กรณีที่ถูกเปิดเผย: • ปี 2002–2003: CIA ใช้สถานที่ลับในไทยเป็น “black site” (คุกลับนอกอเมริกา) เพื่อสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย เช่น อับู ซูไบดะห์ (Abu Zubaydah) • สถานที่นี้เชื่อกันว่าอยู่ทางภาคตะวันออกของไทย • ถูกเปิดเผยในรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯ ปี 2014 ว่าใช้ “enhanced interrogation techniques” (การทรมาน) • CIA มีบทบาทร่วมในการล่าและส่งตัวผู้ต้องสงสัยจากไทยไปยังประเทศที่สาม (extraordinary rendition) ⸻ 🌐 3. ยุคใหม่ (2010s–ปัจจุบัน): แข่งอิทธิพลจีน-ไซเบอร์-การเมือง จุดประสงค์หลัก: 1. จับตาจีนในไทย (BRI, 5G, การทหาร, ดิจิทัล) 2. สกัดรัสเซียในเอเชีย 3. ติดตามการเคลื่อนไหวทางการเมือง–กลุ่มเคลื่อนไหว 4. ร่วมมือด้านไซเบอร์/ต่อต้านการแทรกแซง รูปแบบที่ปรากฏ: • การติดต่อกับนักการเมือง-นักเคลื่อนไหว ที่สนับสนุนเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน (เช่น NGO, นักศึกษาบางกลุ่ม) • ติดตามการลงทุนของจีน ในโครงการอย่างรถไฟความเร็วสูง, EEC, ท่าเรือน้ำลึก • ใช้ สถานทูตและหน่วยงานต่างประเทศ (USAID, IRI, NED) เป็นช่องทางซัพพอร์ตทางอ้อม • ปี 2020s: สื่อรายงานว่ารัสเซียและจีนพยายามตั้ง “สถานีดักฟัง” และ CIA พยายามห้ามไทยอนุญาต ⸻ 🧭 มุมที่คนไทยหลายคนอาจไม่รู้: • CIA ไม่จำเป็นต้อง “ลงมือ” เองทุกครั้ง แต่ใช้ Soft Power + ปฏิบัติการผ่านหน่วยงานในพื้นที่ • ความร่วมมือข่าวกรองไทย–สหรัฐฯ เข้มแข็งต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับ สันติบาล, หน่วยข่าวทหาร, ปอท. • CIA ในไทยมักมี “เจ้าหน้าที่ภายใต้สถานทูต” (official cover) ซึ่งไม่ได้แสดงตัวเป็น CIA โดยตรง ⸻ ✅ สรุปภาพรวม: CIA เคยมีและอาจยังคงมีบทบาทในไทย โดยเป้าหมายเปลี่ยนไปตามยุคสมัย: 🔸 ยุคคอมมิวนิสต์ → ต่อต้านพรรคแดงในอินโดจีน 🔸 ยุคหลัง 9/11 → ก่อการร้าย-จับผู้ต้องสงสัย 🔸 ยุคปัจจุบัน → แข่งกับจีน-รัสเซีย, ไซเบอร์, การเมืองภายในไทย
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • ปี 2548-49 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) ชุมนุมใหญ่ขับไล่“ ทักษิณ ชินวัตร” ออกไป โดยมูลเหตุทักษิณคอร์รัปชัน, แทรกแซงองค์กรอิสระ, ละเมิดสถาบัน, ใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ตนเอง (ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กโดยไม่เสียภาษี)ปี 2556-2557 กปปส.ชุมนุมขับไล่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยมีมูลเหตุพยายามออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย ซึ่งจะล้างความผิดให้ทักษิณ / ข้อกล่าวหาเรื่องหุ่นเชิด, ทุจริตโครงการจำนำข้าว ล่าสุด 28 มิถุนายน 2568 กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ชุมนุมขับไล่ “แพทองธาร ชินวัตร” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลเหตุจากคลิปปล่อย17 นาทีของฮุนเซนแฉแพทองธารขายชาติ
    ปี 2548-49 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) ชุมนุมใหญ่ขับไล่“ ทักษิณ ชินวัตร” ออกไป โดยมูลเหตุทักษิณคอร์รัปชัน, แทรกแซงองค์กรอิสระ, ละเมิดสถาบัน, ใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ตนเอง (ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กโดยไม่เสียภาษี)ปี 2556-2557 กปปส.ชุมนุมขับไล่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยมีมูลเหตุพยายามออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย ซึ่งจะล้างความผิดให้ทักษิณ / ข้อกล่าวหาเรื่องหุ่นเชิด, ทุจริตโครงการจำนำข้าว ล่าสุด 28 มิถุนายน 2568 กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ชุมนุมขับไล่ “แพทองธาร ชินวัตร” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลเหตุจากคลิปปล่อย17 นาทีของฮุนเซนแฉแพทองธารขายชาติ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ
    สัทธรรมลำดับที่ : 1035
    ชื่อบทธรรม :- ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1035
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ
    --ถปติ ! เราบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ(สัมมัตตะสิบ)​ ว่าเป็นผู้
    มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการบรรลุอันอุดม
    อันใครๆ รบให้แพ้ไม่ได้.
    สิบประการ นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
    ที่บุคคลประกอบพร้อมแล้ว เราบัญญัติว่าเขาเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง
    http://etipitaka.com/read/pali/13/346/?keywords=อกุสลา+สีลา
    เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการ บรรลุอันอุดม อันใคร ๆ รบให้แพ้ไม่ได้ ?
    --ถปติ ! ภิกษุในกรณีนี้ :-
    ๑--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอเสขะ
    ๒--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาสังกัปปะ อันเป็นอเสขะ
    ๓--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาวาจา อันเป็นอเสขะ
    ๔--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมากัมมันตะ อันเป็นอเสขะ
    ๕--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาอาชีวะ อันเป็นอเสขะ
    ๖--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาวายามะ อันเป็นอเสขะ
    ๗--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาสติ อันเป็นอเสขะ
    ๘--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาสมาธิ อันเป็นอเสขะ.
    ๙--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาญาณะ อันเป็นอเสขะ
    ๑๐--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาวิมุติ อันเป็นอเสขะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/351/?keywords=สมฺมาวิมุตฺติยา
    --ถปติ ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ เหล่านี้แล
    http://etipitaka.com/read/pali/13/351/?keywords=ทสหิ+ธมฺเมหิ
    เราบัญญัติว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง
    #เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการบรรลุอันอุดม อันใคร ๆ รบให้แพ้ไม่ได้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/265, 269/361, 366.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/265/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๓๔๖, ๓๕๑/๓๖๑, ๓๖๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/346/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1035
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90&id=1035
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90
    ลำดับสาธยายธรรม : 90 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_90.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ สัทธรรมลำดับที่ : 1035 ชื่อบทธรรม :- ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1035 เนื้อความทั้งหมด :- --ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ --ถปติ ! เราบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ(สัมมัตตะสิบ)​ ว่าเป็นผู้ มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการบรรลุอันอุดม อันใครๆ รบให้แพ้ไม่ได้. สิบประการ นั้นเป็นอย่างไรเล่า? ที่บุคคลประกอบพร้อมแล้ว เราบัญญัติว่าเขาเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง http://etipitaka.com/read/pali/13/346/?keywords=อกุสลา+สีลา เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการ บรรลุอันอุดม อันใคร ๆ รบให้แพ้ไม่ได้ ? --ถปติ ! ภิกษุในกรณีนี้ :- ๑--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอเสขะ ๒--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาสังกัปปะ อันเป็นอเสขะ ๓--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาวาจา อันเป็นอเสขะ ๔--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมากัมมันตะ อันเป็นอเสขะ ๕--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาอาชีวะ อันเป็นอเสขะ ๖--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาวายามะ อันเป็นอเสขะ ๗--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาสติ อันเป็นอเสขะ ๘--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาสมาธิ อันเป็นอเสขะ. ๙--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาญาณะ อันเป็นอเสขะ ๑๐--เป็นผู้ประกอบด้วย สัมมาวิมุติ อันเป็นอเสขะ. http://etipitaka.com/read/pali/13/351/?keywords=สมฺมาวิมุตฺติยา --ถปติ ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ เหล่านี้แล http://etipitaka.com/read/pali/13/351/?keywords=ทสหิ+ธมฺเมหิ เราบัญญัติว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง #เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการบรรลุอันอุดม อันใคร ๆ รบให้แพ้ไม่ได้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/265, 269/361, 366. http://etipitaka.com/read/thai/13/265/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๓๔๖, ๓๕๑/๓๖๑, ๓๖๖. http://etipitaka.com/read/pali/13/346/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1035 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90&id=1035 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90 ลำดับสาธยายธรรม : 90 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_90.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ
    -(ผู้ศึกษาพึงคำนวณดูเองโดยปฏิปักขนัย ว่า จักต้องมีองค์แห่งมรรคที่เป็นอเสขะ ที่เป็นองค์มรรคของพระอรหันต์.) ประโยชน์อันสูงสุดของสัมมัตตะสิบ ถปติ ! เราบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ว่าเป็นผู้ มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการบรรลุอันอุดม อันใครๆ รบให้แพ้ไม่ได้. สิบประการ นั้นเป็นอย่างไรเล่า ที่บุคคลประกอบพร้อมแล้ว เราบัญญัติว่าเขาเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการ บรรลุอันอุดม อันใคร ๆ รบให้แพ้ไม่ได้ ? ถปติ ! ภิกษุในกรณีนี้ : เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิอันเป็นอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาสังกัปปะอันเป็นอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาวาจาอันเป็นอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมากัมมันตะอันเป็นอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาอาชีวะอันเป็นอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาวายามะอันเป็นอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาสติอันเป็นอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาสมาธิอันเป็นอเสขะ. ถปติ ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ เหล่านี้แล เราบัญญัติว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะผู้บรรลุถึงการบรรลุอันอุดม อันใคร ๆ รบให้แพ้ไม่ได้.
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่าการ​เจริญสติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    สัทธรรมลำดับที่ : 667
    ชื่อบทธรรม :- สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    --ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร
    ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงทำสติปัฎฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้ ?

    [หมวดกายานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว ดังนี้, หรือว่า
    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ก็ดี;
    [๒] เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้าสั้น ดังนี้, หรือว่า
    เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น ดังนี้ก็ดี ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +-ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=กาเย+กายานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
    ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น.

    [หมวดเวทนานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=เวทนาสุ+เวทนานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดีต่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
    ทั้งหลาย ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่ง ๆ ในเวทนาทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น.

    [หมวดจิตตานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=จิตฺเต+จิตฺตานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว
    ไม่มีสัมปชัญญะ.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น.

    [หมวดธัมมานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ ตามเห็นซึ่งความจางคลาย อยู่เป็นประจำจักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลือ อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออกดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืน อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=ธมฺเมสุ+ธมฺมานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
    ในสมัยนั้น.

    +--ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
    ชื่อว่าทำ #สติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ ได้.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=จตฺตาโร+สติปฏฺฐาเน

    #สัมมาวายามะ #สัมมาสติ#สัมมาสมาธิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/195/289.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/156/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/195/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47&id=667
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47
    ลำดับสาธยายธรรม : 47 ฟังเสียง..
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_47.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่าการ​เจริญสติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ สัทธรรมลำดับที่ : 667 ชื่อบทธรรม :- สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667 เนื้อความทั้งหมด :- --สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ --ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงทำสติปัฎฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้ ? [หมวดกายานุปัสสนา] --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ก็ดี; [๒] เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้าสั้น ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น ดังนี้ก็ดี ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; +-ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=กาเย+กายานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดเวทนานุปัสสนา] --ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=เวทนาสุ+เวทนานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดีต่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทั้งหลาย ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่ง ๆ ในเวทนาทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดจิตตานุปัสสนา] --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=จิตฺเต+จิตฺตานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดธัมมานุปัสสนา] --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ตามเห็นซึ่งความจางคลาย อยู่เป็นประจำจักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลือ อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออกดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืน อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=ธมฺเมสุ+ธมฺมานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. +--ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าทำ #สติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ ได้.- http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=จตฺตาโร+สติปฏฺฐาเน #สัมมาวายามะ #สัมมาสติ​ #สัมมาสมาธิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/195/289. http://etipitaka.com/read/thai/14/156/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙. http://etipitaka.com/read/pali/14/195/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47&id=667 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47 ลำดับสาธยายธรรม : 47 ฟังเสียง.. http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_47.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    -(ข้อปฏิบัติระบบนี้ ใช้ได้แม้แก่ผู้ตั้งต้นบำเพ็ญวิมุตติ ; และใช้ได้แก่ผู้บำเพ็ญวิมุตติแล้วแต่ยังไม่สุกรอบ คือเพิ่มข้อปฏิบัติชื่อเดียวกันเหล่านี้ให้ยิ่งขึ้นไป. นับว่าเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญมาก ควรแก่การสนใจอย่างยิ่ง. ธรรมะ ๕ ประการแห่งสูตรนี้เรียกในสูตรนี้ว่า “เครื่องบ่มวิมุตติ” ในสูตรอื่น (นวก. อํ. ๒๓/๓๖๔/๒๐๕) เรียกว่า “ที่ตั้งอาศัยแห่งการเจริญสัมโพธิปักขิยธรรม” ก็มี). สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงทำสติปัฎฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้ ? [หมวดกายานุปัสสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ก็ดี; [๒] เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้าสั้น ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น ดังนี้ก็ดี ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดเวทนานุปัสสนา] ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดีต่อลมหายใจเข้า และลมหายใจออกทั้งหลาย ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่ง ๆ ในเวทนาทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดจิตตานุปัสสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็น ผู้ ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดธัมมานุปัสสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ตามเห็นซึ่งความจางคลาย อยู่เป็นประจำจักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลือ อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืน อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าทำสติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้.
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • **อ่าวไทย** มีทั้งผลกระทบทางบวกและลบต่อ**ประเทศจีน** โดยขึ้นอยู่กับมุมมองทางเศรษฐกิจ การเมือง และยุทธศาสตร์ ดังนี้:

    ---

    ### **ผลกระทบทางบวก (ประโยชน์ต่อจีน):**
    1. **เส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ:**
    - อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ซึ่งจีนพึ่งพาเพื่อการค้าและนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง/แอฟริกา (กว่า 80% ของน้ำมันดิบของจีนขนส่งทางทะเลผ่านช่องแคบมะละกา)
    - โครงการพัฒนาคลองกระ (Kra Canal) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (แม้ยังไม่มีความชัดเจน) อาจช่วยลดระยะทางขนส่งและลด "กับดักช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นจุดอ่อนยุทธศาสตร์ของจีนได้

    2. **ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ:**
    - จีนลงทุนมหาศาลในประเทศรอบอ่าวไทย (ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม) ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เช่น ท่าเรือน้ำลึกศรีราชา (ไทย) เขตเศรษฐกิจพิเศษเสียมราฐ (กัมพูชา)
    - อ่าวไทยเป็นแหล่งประมงและพลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญ ซึ่งจีนมีส่วนร่วมในการสำรวจและพัฒนา

    3. **ความมั่นคงในภูมิภาค:**
    - จีนร่วมมือกับกองทัพเรือไทย/กัมพูชา ผ่านการฝึกรบร่วมและการสนับสนุนด้านเทคนิค เพื่อรักษาเสถียรภาพในอ่าวไทย ซึ่งส่งผลดีต่อความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือ

    ---

    ### **ผลกระทบทางลบ (ความท้าทายต่อจีน):**
    1. **ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้:**
    - แม้อ่าวไทยไม่ใช่พื้นที่พิพาทโดยตรง แต่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ (โดยเฉพาะกับเวียดนาม) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของอ่าวไทย

    2. **อิทธิพลของสหรัฐฯ:**
    - ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ การมีฐานทัพเรืออู่ตะเภาและการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) อาจทำให้จีนกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในอ่าวไทย

    3. **ภัยคุกคามทางทะเล:**
    - การโจรกรรมทางทะเล การค้ามนุษย์ และการลักลอบทำประมงผิดกฎหมายในอ่าวไทยอาจกระทบต่อเรือสินค้าของจีน

    4. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม:**
    - มลภาวะและการกัดเซาะชายฝั่งในอ่าวไทยอาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่จีนมีส่วนได้ส่วนเสีย เนื่องจากจีนลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง

    ---

    ### **สรุป:**
    อ่าวไทยมี**ผลดีต่อจีน**ในด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางทะเล แต่ก็มี**ความเสี่ยง**ด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ โดยจีนพยายามสร้างสมดุลผ่าน:
    - ✅ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
    - ✅ ความร่วมมือทางทหารกับประเทศอ่าวไทย
    - ✅ การส่งเสริม BRI เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ

    ทั้งนี้ ผลกระทบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับ**นโยบายของจีน** และ**สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้** โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับไทย เวียดนาม และกัมพูชา
    **อ่าวไทย** มีทั้งผลกระทบทางบวกและลบต่อ**ประเทศจีน** โดยขึ้นอยู่กับมุมมองทางเศรษฐกิจ การเมือง และยุทธศาสตร์ ดังนี้: --- ### **ผลกระทบทางบวก (ประโยชน์ต่อจีน):** 1. **เส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ:** - อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ซึ่งจีนพึ่งพาเพื่อการค้าและนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง/แอฟริกา (กว่า 80% ของน้ำมันดิบของจีนขนส่งทางทะเลผ่านช่องแคบมะละกา) - โครงการพัฒนาคลองกระ (Kra Canal) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (แม้ยังไม่มีความชัดเจน) อาจช่วยลดระยะทางขนส่งและลด "กับดักช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นจุดอ่อนยุทธศาสตร์ของจีนได้ 2. **ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ:** - จีนลงทุนมหาศาลในประเทศรอบอ่าวไทย (ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม) ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เช่น ท่าเรือน้ำลึกศรีราชา (ไทย) เขตเศรษฐกิจพิเศษเสียมราฐ (กัมพูชา) - อ่าวไทยเป็นแหล่งประมงและพลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญ ซึ่งจีนมีส่วนร่วมในการสำรวจและพัฒนา 3. **ความมั่นคงในภูมิภาค:** - จีนร่วมมือกับกองทัพเรือไทย/กัมพูชา ผ่านการฝึกรบร่วมและการสนับสนุนด้านเทคนิค เพื่อรักษาเสถียรภาพในอ่าวไทย ซึ่งส่งผลดีต่อความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือ --- ### **ผลกระทบทางลบ (ความท้าทายต่อจีน):** 1. **ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้:** - แม้อ่าวไทยไม่ใช่พื้นที่พิพาทโดยตรง แต่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ (โดยเฉพาะกับเวียดนาม) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของอ่าวไทย 2. **อิทธิพลของสหรัฐฯ:** - ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ การมีฐานทัพเรืออู่ตะเภาและการฝึกคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) อาจทำให้จีนกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในอ่าวไทย 3. **ภัยคุกคามทางทะเล:** - การโจรกรรมทางทะเล การค้ามนุษย์ และการลักลอบทำประมงผิดกฎหมายในอ่าวไทยอาจกระทบต่อเรือสินค้าของจีน 4. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม:** - มลภาวะและการกัดเซาะชายฝั่งในอ่าวไทยอาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่จีนมีส่วนได้ส่วนเสีย เนื่องจากจีนลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง --- ### **สรุป:** อ่าวไทยมี**ผลดีต่อจีน**ในด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางทะเล แต่ก็มี**ความเสี่ยง**ด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ โดยจีนพยายามสร้างสมดุลผ่าน: - ✅ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน - ✅ ความร่วมมือทางทหารกับประเทศอ่าวไทย - ✅ การส่งเสริม BRI เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ผลกระทบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับ**นโยบายของจีน** และ**สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้** โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับไทย เวียดนาม และกัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกรณีนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ไลฟ์สดเรื่องประเทศไทย เป็นเรื่องของรัฐบาล ส่วนกองทัพดูแลความมั่นคงเป็นหลัก โดยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เราก็ตรึงกำลังเพราะเขายังไม่ถอนกำลัง เพื่อรอการเจรจาและความชัดเจนจากผู้นำทั้งสองประเทศ ถ้าตกลงกันได้ก็จะดีขึ้น ฝากประชาชนคนไทย ปัญหาชายแดนยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สถานการณ์ยังปกติสามารถควบคุมได้ กองทัพทั้งสองประเทศพยายามพูดคุยกันในระดับผู้ปฏิบัติให้หลีกเลี่ยงการใช้อาวุธ และขอความร่วมมืองดการแสดงออกที่ล่อแหลมบริเวณปราสาทตาเมือนธม

    -บินรบพร้อมขึ้นใน 5 นาที
    -เฝ้าระวังโดรนชายแดน
    -ขำกัมพูชายิงไกลถึง กทม.
    -ลุงอัดหลานเข้าข่ายกบฏ
    พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกรณีนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ไลฟ์สดเรื่องประเทศไทย เป็นเรื่องของรัฐบาล ส่วนกองทัพดูแลความมั่นคงเป็นหลัก โดยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เราก็ตรึงกำลังเพราะเขายังไม่ถอนกำลัง เพื่อรอการเจรจาและความชัดเจนจากผู้นำทั้งสองประเทศ ถ้าตกลงกันได้ก็จะดีขึ้น ฝากประชาชนคนไทย ปัญหาชายแดนยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สถานการณ์ยังปกติสามารถควบคุมได้ กองทัพทั้งสองประเทศพยายามพูดคุยกันในระดับผู้ปฏิบัติให้หลีกเลี่ยงการใช้อาวุธ และขอความร่วมมืองดการแสดงออกที่ล่อแหลมบริเวณปราสาทตาเมือนธม -บินรบพร้อมขึ้นใน 5 นาที -เฝ้าระวังโดรนชายแดน -ขำกัมพูชายิงไกลถึง กทม. -ลุงอัดหลานเข้าข่ายกบฏ
    Love
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 569 Views 32 0 Reviews
  • Uncle จำลอง ส่งกำลังใจให้มวลชน 27/06/68 #ลุงจำลอง #มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน #คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย #ชุมนุม 28 มิถุนายน #อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
    Uncle จำลอง ส่งกำลังใจให้มวลชน 27/06/68 #ลุงจำลอง #มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน #คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย #ชุมนุม 28 มิถุนายน #อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
    Love
    Like
    7
    0 Comments 1 Shares 501 Views 54 1 Reviews
  • รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาตัวแทนคู่บ่าวสาว แจ้งความตำรวจ บก.สอท.1 ถูกช่างแต่งหน้าหลอกรับเงินมัดจำ แล้วเบี้ยวไม่มาตามนัด

    วันนี้ (27 มิ.ย.) นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วย น.ส.ชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ฯ พาตัวแทนคู่บ่าวสาวผู้เสียหายกว่า 40 คน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 กรณีถูกช่างแต่งหน้าเจ้าของรางวัลรองชนะเลิศเวทีประกวดช่างแต่งหน้าหลอกลวงรับเงินมัดจำค่าแต่งหน้าแล้วเบี้ยวไม่มาแต่งให้ตามนัด

    ตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า เห็นผลงานของช่างแต่งหน้าดังกล่าวจากเฟซบุ๊กจึงได้ติดต่อสอบถาม เนื่องจากมีการจัดโปรโมชั่นอยู่ที่ 35,900 บาท และจ่ายค่ามัดจําเป็นเงิน 13,000 บาท จากนั้นได้มีการพูดคุยกับเพื่อนจนทราบว่าช่างแต่งหน้าดังกล่าวเป็นคนเดียวกับที่มีการหลอกเอาเงินค่ามัดจําผู้เสียหายรายอื่น แต่โชคดีที่ทราบก่อนวันแต่งงาน 3 อาทิตย์ จึงมีการหาช่างแต่งหน้าสํารองไว้ อีกทั้งวันที่นัดแต่งหน้า ตนเองเพิ่งทราบทีหลังว่ามีการรับงานซ้อนอีกด้วยทั้งที่ตนเองจ้างทั้งวัน อย่างไรก็ตามตนเองและผู้เสียหายคู่อื่นๆพยายามติดต่อเพื่อขอเงินคืนแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000060531

    #Thaitimes #MGROnline #คู่บ่าวสาว #ช่างแต่งหน้า
    รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาตัวแทนคู่บ่าวสาว แจ้งความตำรวจ บก.สอท.1 ถูกช่างแต่งหน้าหลอกรับเงินมัดจำ แล้วเบี้ยวไม่มาตามนัด • วันนี้ (27 มิ.ย.) นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วย น.ส.ชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ฯ พาตัวแทนคู่บ่าวสาวผู้เสียหายกว่า 40 คน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 กรณีถูกช่างแต่งหน้าเจ้าของรางวัลรองชนะเลิศเวทีประกวดช่างแต่งหน้าหลอกลวงรับเงินมัดจำค่าแต่งหน้าแล้วเบี้ยวไม่มาแต่งให้ตามนัด • ตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า เห็นผลงานของช่างแต่งหน้าดังกล่าวจากเฟซบุ๊กจึงได้ติดต่อสอบถาม เนื่องจากมีการจัดโปรโมชั่นอยู่ที่ 35,900 บาท และจ่ายค่ามัดจําเป็นเงิน 13,000 บาท จากนั้นได้มีการพูดคุยกับเพื่อนจนทราบว่าช่างแต่งหน้าดังกล่าวเป็นคนเดียวกับที่มีการหลอกเอาเงินค่ามัดจําผู้เสียหายรายอื่น แต่โชคดีที่ทราบก่อนวันแต่งงาน 3 อาทิตย์ จึงมีการหาช่างแต่งหน้าสํารองไว้ อีกทั้งวันที่นัดแต่งหน้า ตนเองเพิ่งทราบทีหลังว่ามีการรับงานซ้อนอีกด้วยทั้งที่ตนเองจ้างทั้งวัน อย่างไรก็ตามตนเองและผู้เสียหายคู่อื่นๆพยายามติดต่อเพื่อขอเงินคืนแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000060531 • #Thaitimes #MGROnline #คู่บ่าวสาว #ช่างแต่งหน้า
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • 🌿 อย่าทำบาปกับพ่อแม่ แล้วหวังให้ชีวิตเป็นบุญ

    หลายคนเผลอคิดว่า
    ‘แค่ไม่ทำร้ายใครก็ไม่เป็นไร’
    แต่กลับลืมไปว่า
    จงใจทำให้คนที่รักเรามากที่สุดเสียใจ
    คือ อกุศลจิตระดับลึก
    ที่เปิดทางให้ชีวิตชักนำอัปมงคลทั้งหลายเข้ามาไม่หยุด

    🔻 รู้ว่าท่านเป็นห่วง
    ก็ยิ่งทำให้เขาห่วงให้สะใจ
    พาเพื่อนแย่ๆ มาให้ดู
    กินเหล้าเมาก่อนขับรถให้ท่านเห็น
    พอท่านเตือน ก็แทงใจดำกลับ
    อ้างว่า “ไม่อยากเกิดมาในบ้านโกโรโกโส”
    นี่แหละ…จิตที่เห็นผิดเป็นชอบ
    และดึงดูดเวรกรรมให้ตามติดไปทุกทาง

    👣 เพราะพ่อแม่คือ รากของชีวิต
    ถ้าแกล้งทำร้ายราก
    อย่าหวังว่าลำต้นจะมั่นคง
    ผลไม้แห่งชีวิตจะหวานชื่นได้เลย

    ✨ ในทางตรงข้าม
    ถ้าจงใจทำให้ท่านเป็นสุขด้วยสติ
    แม้จะไม่ตามใจในทางผิด
    แต่หาทางที่ละมุนละม่อม
    พยายามพูดดีๆ ให้เลิกของมึนเมา
    เลือกทางที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง
    แม้โดนด่า โดนเหน็บ ก็ให้ระลึกไว้เสมอว่า...

    "เจตนากุศลของเราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด"
    เพราะนี่คือการทำดีโดยไม่ปรุงหวังให้ใครพอใจ
    แต่ปรารถนาให้ท่านพ้นทุกข์จริงๆ

    🧘‍♂️ หากจะขัดใจพ่อแม่เพื่อเลือกทางธรรม
    เพื่อคนรักที่ดี
    เพื่ออนาคตที่ไม่ผิดศีลธรรม
    แล้วท่านไม่พอใจ
    จงแยกให้ออกว่า
    เราผิดเพราะขัดใจท่านในทางผิด
    หรือ
    ท่านผิดเพราะอยากให้เราตามใจในทางผิด

    🔍 ดูให้ดีๆ ว่า
    วาจาเราเคยแทงใจดำท่านด้วยอารมณ์หรือไม่?
    ถ้าไม่…
    แต่ท่านยังทุกข์เพราะเราไม่ตามใจ
    ให้รู้ว่าเป็น กรรมของท่านที่ยึด
    ไม่ใช่กรรมของเราที่ชั่ว

    🙏 พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    การตอบแทนคุณพ่อแม่ คือบุญสูงสุด
    ไม่ใช่ตามใจไปในทางเสื่อม
    แต่คือการช่วยท่าน พลิกจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ
    ให้ท่านตื่นจากโมหะ แล้วเห็นว่าชีวิตมีทางดีให้เลือกได้

    🕯️ จงจำไว้ว่า…
    ใครที่ทำพ่อแม่ทุกข์ด้วยความสะใจ
    ชีวิตเขาจะมีแต่เรื่องมืดๆ ดึงให้เขว ให้หลง
    แต่ใครที่ทำพ่อแม่สุขด้วยสติ
    แม้เดินทางลำบาก ก็จะไม่หลงผิด
    แม้พลาด ก็มีแรงกลับขึ้นเสมอ

    #ธรรมะครอบครัว
    #กตัญญูคือรากแห่งบุญ
    #ทำบุญกับพ่อแม่ให้ถูกทาง
    #ไม่ใช่แค่ตามใจ แต่คือดึงขึ้นจากความหลง
    🌿 อย่าทำบาปกับพ่อแม่ แล้วหวังให้ชีวิตเป็นบุญ หลายคนเผลอคิดว่า ‘แค่ไม่ทำร้ายใครก็ไม่เป็นไร’ แต่กลับลืมไปว่า จงใจทำให้คนที่รักเรามากที่สุดเสียใจ คือ อกุศลจิตระดับลึก ที่เปิดทางให้ชีวิตชักนำอัปมงคลทั้งหลายเข้ามาไม่หยุด 🔻 รู้ว่าท่านเป็นห่วง ก็ยิ่งทำให้เขาห่วงให้สะใจ พาเพื่อนแย่ๆ มาให้ดู กินเหล้าเมาก่อนขับรถให้ท่านเห็น พอท่านเตือน ก็แทงใจดำกลับ อ้างว่า “ไม่อยากเกิดมาในบ้านโกโรโกโส” นี่แหละ…จิตที่เห็นผิดเป็นชอบ และดึงดูดเวรกรรมให้ตามติดไปทุกทาง 👣 เพราะพ่อแม่คือ รากของชีวิต ถ้าแกล้งทำร้ายราก อย่าหวังว่าลำต้นจะมั่นคง ผลไม้แห่งชีวิตจะหวานชื่นได้เลย ✨ ในทางตรงข้าม ถ้าจงใจทำให้ท่านเป็นสุขด้วยสติ แม้จะไม่ตามใจในทางผิด แต่หาทางที่ละมุนละม่อม พยายามพูดดีๆ ให้เลิกของมึนเมา เลือกทางที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง แม้โดนด่า โดนเหน็บ ก็ให้ระลึกไว้เสมอว่า... "เจตนากุศลของเราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด" เพราะนี่คือการทำดีโดยไม่ปรุงหวังให้ใครพอใจ แต่ปรารถนาให้ท่านพ้นทุกข์จริงๆ 🧘‍♂️ หากจะขัดใจพ่อแม่เพื่อเลือกทางธรรม เพื่อคนรักที่ดี เพื่ออนาคตที่ไม่ผิดศีลธรรม แล้วท่านไม่พอใจ จงแยกให้ออกว่า เราผิดเพราะขัดใจท่านในทางผิด หรือ ท่านผิดเพราะอยากให้เราตามใจในทางผิด 🔍 ดูให้ดีๆ ว่า วาจาเราเคยแทงใจดำท่านด้วยอารมณ์หรือไม่? ถ้าไม่… แต่ท่านยังทุกข์เพราะเราไม่ตามใจ ให้รู้ว่าเป็น กรรมของท่านที่ยึด ไม่ใช่กรรมของเราที่ชั่ว 🙏 พระพุทธเจ้าตรัสว่า การตอบแทนคุณพ่อแม่ คือบุญสูงสุด ไม่ใช่ตามใจไปในทางเสื่อม แต่คือการช่วยท่าน พลิกจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ ให้ท่านตื่นจากโมหะ แล้วเห็นว่าชีวิตมีทางดีให้เลือกได้ 🕯️ จงจำไว้ว่า… ใครที่ทำพ่อแม่ทุกข์ด้วยความสะใจ ชีวิตเขาจะมีแต่เรื่องมืดๆ ดึงให้เขว ให้หลง แต่ใครที่ทำพ่อแม่สุขด้วยสติ แม้เดินทางลำบาก ก็จะไม่หลงผิด แม้พลาด ก็มีแรงกลับขึ้นเสมอ #ธรรมะครอบครัว #กตัญญูคือรากแห่งบุญ #ทำบุญกับพ่อแม่ให้ถูกทาง #ไม่ใช่แค่ตามใจ แต่คือดึงขึ้นจากความหลง
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
More Results