• บรรยากาศโศกเศร้าที่ จ.กาฬสินธุ์ แม่ ภรรยา และลูก ๆ ร่ำไห้รับศพ “สิบเอกอภิสิทธิ์ บุนนาค” นายสิบพยาบาลทหารเสนารักษ์ วีรชนผู้สละชีพกลางสมรภูมิภูมะเขือ ขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนทหาร
    .
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พวงมาลาพระราชทาน และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ นับเป็นเกียรติสูงสุดแก่ครอบครัวผู้เสียสละ
    .
    พิธีรับศพจัดขึ้นที่วัดป่าพุทธภาวัน อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ท่ามกลางน้ำตา ความอาลัย และความภาคภูมิใจของญาติ ผู้บังคับบัญชา หน่วยงานรัฐ และประชาชนในพื้นที่
    .
    ครอบครัวเผย แม้การจากไปจะสร้างความเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ทุกคนภูมิใจที่ “หมู่ตี๋” ได้ทำหน้าที่ของทหารจนวินาทีสุดท้าย เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย
    .
    สิบเอกอภิสิทธิ์ จะได้รับการปูนบำเหน็จ เลื่อนยศเป็นร้อยตรี พร้อมสิทธิช่วยเหลือตามระเบียบทุกประการ ขณะที่พิธีสวดพระอภิธรรมจะมีถึงวันที่ 19 ธ.ค. และพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 20 ธ.ค.นี้
    .
    อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121163
    .
    #News1live #News1 #สิบเอกอภิสิทธิ์ #ทหารกล้า #สละชีพเพื่อชาติ #พระบรมราชานุเคราะห์
    บรรยากาศโศกเศร้าที่ จ.กาฬสินธุ์ แม่ ภรรยา และลูก ๆ ร่ำไห้รับศพ “สิบเอกอภิสิทธิ์ บุนนาค” นายสิบพยาบาลทหารเสนารักษ์ วีรชนผู้สละชีพกลางสมรภูมิภูมะเขือ ขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนทหาร . พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พวงมาลาพระราชทาน และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ นับเป็นเกียรติสูงสุดแก่ครอบครัวผู้เสียสละ . พิธีรับศพจัดขึ้นที่วัดป่าพุทธภาวัน อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ท่ามกลางน้ำตา ความอาลัย และความภาคภูมิใจของญาติ ผู้บังคับบัญชา หน่วยงานรัฐ และประชาชนในพื้นที่ . ครอบครัวเผย แม้การจากไปจะสร้างความเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ทุกคนภูมิใจที่ “หมู่ตี๋” ได้ทำหน้าที่ของทหารจนวินาทีสุดท้าย เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย . สิบเอกอภิสิทธิ์ จะได้รับการปูนบำเหน็จ เลื่อนยศเป็นร้อยตรี พร้อมสิทธิช่วยเหลือตามระเบียบทุกประการ ขณะที่พิธีสวดพระอภิธรรมจะมีถึงวันที่ 19 ธ.ค. และพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ . อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121163 . #News1live #News1 #สิบเอกอภิสิทธิ์ #ทหารกล้า #สละชีพเพื่อชาติ #พระบรมราชานุเคราะห์
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • พรรคประชาชน ยืนยันไม่ปกป้องกรณี “จิรัฏฐ์” อดีต สส. ฉะเชิงเทรา ปลอมใบ สด.43 ระบุเป็นสิทธิของเจ้าตัวในการพิสูจน์ตนเองตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมย้ำพรรคไม่แทรกแซงคดี
    .
    วันนี้ (16 ธ.ค.) เมื่อวานนี้ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ อดีต สส. พรรคประชาชน 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมและนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พรรคประชาชนแถลงจุดยืนว่า เรื่องดังกล่าวเป็นกระบวนการยุติธรรมที่เจ้าตัวต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง โดยยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์และฎีกาต่อไป
    .
    พรรคยืนยันจะไม่เข้าไปปกป้องหรือแทรกแซงทางคดี พร้อมระบุว่า นายจิรัฏฐ์ ตัดสินใจมานานแล้วว่าจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. ในครั้งต่อไป
    .
    อย่างไรก็ตาม พรรคเผยว่า ภรรยาของนายจิรัฏฐ์ ซึ่งทำงานช่วยเหลือประชาชนและลงพื้นที่ร่วมกับพรรคมาโดยตลอด แสดงความสนใจสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาชน โดยจะต้องเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกตามขั้นตอนปกติ และไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ
    .
    อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121088
    .
    #News1live #News1 #จิรัฏฐ์ #สด43ปลอม #พรรคประชาชน #การเมืองไทย #กระบวนการยุติธรรม
    พรรคประชาชน ยืนยันไม่ปกป้องกรณี “จิรัฏฐ์” อดีต สส. ฉะเชิงเทรา ปลอมใบ สด.43 ระบุเป็นสิทธิของเจ้าตัวในการพิสูจน์ตนเองตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมย้ำพรรคไม่แทรกแซงคดี . วันนี้ (16 ธ.ค.) เมื่อวานนี้ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ อดีต สส. พรรคประชาชน 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมและนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พรรคประชาชนแถลงจุดยืนว่า เรื่องดังกล่าวเป็นกระบวนการยุติธรรมที่เจ้าตัวต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง โดยยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์และฎีกาต่อไป . พรรคยืนยันจะไม่เข้าไปปกป้องหรือแทรกแซงทางคดี พร้อมระบุว่า นายจิรัฏฐ์ ตัดสินใจมานานแล้วว่าจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. ในครั้งต่อไป . อย่างไรก็ตาม พรรคเผยว่า ภรรยาของนายจิรัฏฐ์ ซึ่งทำงานช่วยเหลือประชาชนและลงพื้นที่ร่วมกับพรรคมาโดยตลอด แสดงความสนใจสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาชน โดยจะต้องเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกตามขั้นตอนปกติ และไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ . อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121088 . #News1live #News1 #จิรัฏฐ์ #สด43ปลอม #พรรคประชาชน #การเมืองไทย #กระบวนการยุติธรรม
    0 Comments 0 Shares 159 Views 0 Reviews
  • อีกหนึ่งความสูญเสียของประเทศชาติ ญาติและชาวบ้านใน จ.กาฬสินธุ์ เตรียมรับศพ “หมู่ตี๋” สิบเอกอภิสิทธิ์ บุนนาค อายุ 33 ปี นายสิบพยาบาลทหารเสนารักษ์ สังกัด พัน.ร.11 ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บกลางสมรภูมิภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จากการโจมตีด้วยจรวด BM-21 ของฝ่ายกัมพูชา
    .
    บรรยากาศที่บ้านพักเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ญาติ เพื่อนบ้าน และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันจัดเตรียมสถานที่รอรับศพ ท่ามกลางความอาลัยของภรรยาและลูกทั้งสองคน แม้หัวใจจะเจ็บปวดจากการสูญเสีย แต่ครอบครัวยืนยันความภาคภูมิใจในความเสียสละของ “หมู่ตี๋” ที่ทำหน้าที่ทหารหมอช่วยชีวิตเพื่อนทหารจนวินาทีสุดท้าย
    .
    ภรรยาเผยว่า สามีไม่ได้ถืออาวุธต่อสู้ แต่ทำหน้าที่เสนารักษ์ช่วยผู้บาดเจ็บตามอุดมการณ์ความเป็นทหารอย่างเต็มกำลัง ก่อนจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ถือเป็นการสูญเสียทหารกล้ารายที่ 16 จากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา
    .
    ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และขอสดุดีในความกล้าหาญ เสียสละ เพื่อชาติบ้านเมืองของทหารกล้าผู้ล่วงลับ
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120542
    .
    #News1live #News1 #ขอแสดงความเสียใจ #ทหารกล้า #เสนารักษ์ #ภูมะเขือ #ชายแดนไทยกัมพูชา #วีรบุรุษของชาติ
    อีกหนึ่งความสูญเสียของประเทศชาติ ญาติและชาวบ้านใน จ.กาฬสินธุ์ เตรียมรับศพ “หมู่ตี๋” สิบเอกอภิสิทธิ์ บุนนาค อายุ 33 ปี นายสิบพยาบาลทหารเสนารักษ์ สังกัด พัน.ร.11 ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บกลางสมรภูมิภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จากการโจมตีด้วยจรวด BM-21 ของฝ่ายกัมพูชา . บรรยากาศที่บ้านพักเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ญาติ เพื่อนบ้าน และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันจัดเตรียมสถานที่รอรับศพ ท่ามกลางความอาลัยของภรรยาและลูกทั้งสองคน แม้หัวใจจะเจ็บปวดจากการสูญเสีย แต่ครอบครัวยืนยันความภาคภูมิใจในความเสียสละของ “หมู่ตี๋” ที่ทำหน้าที่ทหารหมอช่วยชีวิตเพื่อนทหารจนวินาทีสุดท้าย . ภรรยาเผยว่า สามีไม่ได้ถืออาวุธต่อสู้ แต่ทำหน้าที่เสนารักษ์ช่วยผู้บาดเจ็บตามอุดมการณ์ความเป็นทหารอย่างเต็มกำลัง ก่อนจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ถือเป็นการสูญเสียทหารกล้ารายที่ 16 จากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา . ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และขอสดุดีในความกล้าหาญ เสียสละ เพื่อชาติบ้านเมืองของทหารกล้าผู้ล่วงลับ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120542 . #News1live #News1 #ขอแสดงความเสียใจ #ทหารกล้า #เสนารักษ์ #ภูมะเขือ #ชายแดนไทยกัมพูชา #วีรบุรุษของชาติ
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • "หนึ่งหญิงสองชาย" ไวรัลสะใภ้มาเลเซีย

    กลายเป็นที่ฮือฮาแก่ชาวเน็ตมาเลเซีย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Ekin Derahim (เอคิน เดราฮิม) ออกมาโพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ระบุว่า น้องสะใภ้ของตน ซึ่งมาจากรัฐตรังกานู แต่งงานกับพี่ชายอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน และอยู่กินฉันสามีภรรยามา 3 ปีแล้ว แต่กลับพบว่าน้องสะใภ้ไปอยู่กับชายอื่น ที่แต่งงานด้วยกันที่จังหวัดสงขลา ประเทศไทย เป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน โดยสลับไปอยู่บ้านชายอื่นที่บ้านเช่าในรัฐยะโฮร์ตอนกลางวัน เมื่อพี่ชายออกไปทำงาน แล้วกลับมาอยู่บ้านพี่ชายเวลากลางคืน ซึ่งห่างกัน 19 กิโลเมตร

    เธอกล่าวว่า แม้จะถูกจับได้ น้องสะใภ้ก็ยังคงหลอกลวงและเล่นเกมกับครอบครัวตน อีกทั้งยังไปแจ้งความเท็จใส่ร้าย กล่าวหาว่าไปรบกวน ส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างหนัก ส่วนพี่ชายกลับเชื่อคำพูดของน้องสะใภ้ เพราะคอยอ้อนวอนและโทรศัพท์หาพี่ชายอยู่ตลอด ถามว่าทำไมตลอดระยะเวลา 1 ปี 1 เดือน น้องสะใภ้ถึงโกหกพี่ชายและครอบครัวโดยไม่พูดความจริงตั้งแต่แรก? ขอความกรุณาช่วยอธิษฐานให้พี่ชายกลับคืนสู่ครอบครัวด้วย ตอนนี้น้องสะใภ้ยังดื้อดึงไม่ยอมออกจากบ้านพี่ชาย และผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากสำนักงานศาสนาเลย

    โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์จากบรรดาชาวเน็ตมาเลเซียและวิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศต่างนำเสนอข่าวนี้ เนื่องจากตามบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามของมาเลเซีย แม้จะสามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คน แต่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสคนแรก แต่ที่ผ่านมา คนที่มีความสัมพันธ์ซ้อนกันโดยคู่สมรสคนแรกไม่ยินยอม หรือไปมีคนรักใหม่โดยไม่อยากทำเรื่องหย่าให้ยุ่งยาก มักจะใช้วิธีข้ามพรมแดนไปประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบพิธีนิกะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตแต่งงาน หรือหย่าร้างที่ไม่ได้รับการรับรองในมาเลเซีย

    กรมกิจการศาสนาอิสลามของรัฐกลันตัน ระบุเมื่อวันอาทิตย์ (14 ธ.ค.) ว่า ได้สอบปากคำหญิงรายดังกล่าวแล้ว ที่สำนักงานศาสนาเขตตันห์เมอราห์ เพื่อประกอบการสอบสวน ด้านกรมกิจการศาสนาแห่งรัฐตรังกานู กำลังอยู่ในระหว่างเรียกสองสามีภรรยามาชี้แจง ส่วนชาวเน็ตมาเลเซียวิจารณ์ว่าการแต่งงานลักษณะเช่นนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือเป็นบาปต่อศาสนา

    อนึ่ง ตามกฎหมายครอบครัวอิสลามของมาเลเซีย หญิงชาวมุสลิมที่แต่งงานกับชายอื่นในขณะที่ยังมีสถานะสมรสตามกฎหมาย อาจต้องรับโทษทางอาญา ส่วนชายชาวมุสลิมต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากศาลชารีอะห์ หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับหลายพันริงกิต จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

    #Newskit
    "หนึ่งหญิงสองชาย" ไวรัลสะใภ้มาเลเซีย กลายเป็นที่ฮือฮาแก่ชาวเน็ตมาเลเซีย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Ekin Derahim (เอคิน เดราฮิม) ออกมาโพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ระบุว่า น้องสะใภ้ของตน ซึ่งมาจากรัฐตรังกานู แต่งงานกับพี่ชายอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน และอยู่กินฉันสามีภรรยามา 3 ปีแล้ว แต่กลับพบว่าน้องสะใภ้ไปอยู่กับชายอื่น ที่แต่งงานด้วยกันที่จังหวัดสงขลา ประเทศไทย เป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน โดยสลับไปอยู่บ้านชายอื่นที่บ้านเช่าในรัฐยะโฮร์ตอนกลางวัน เมื่อพี่ชายออกไปทำงาน แล้วกลับมาอยู่บ้านพี่ชายเวลากลางคืน ซึ่งห่างกัน 19 กิโลเมตร เธอกล่าวว่า แม้จะถูกจับได้ น้องสะใภ้ก็ยังคงหลอกลวงและเล่นเกมกับครอบครัวตน อีกทั้งยังไปแจ้งความเท็จใส่ร้าย กล่าวหาว่าไปรบกวน ส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างหนัก ส่วนพี่ชายกลับเชื่อคำพูดของน้องสะใภ้ เพราะคอยอ้อนวอนและโทรศัพท์หาพี่ชายอยู่ตลอด ถามว่าทำไมตลอดระยะเวลา 1 ปี 1 เดือน น้องสะใภ้ถึงโกหกพี่ชายและครอบครัวโดยไม่พูดความจริงตั้งแต่แรก? ขอความกรุณาช่วยอธิษฐานให้พี่ชายกลับคืนสู่ครอบครัวด้วย ตอนนี้น้องสะใภ้ยังดื้อดึงไม่ยอมออกจากบ้านพี่ชาย และผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากสำนักงานศาสนาเลย โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์จากบรรดาชาวเน็ตมาเลเซียและวิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศต่างนำเสนอข่าวนี้ เนื่องจากตามบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามของมาเลเซีย แม้จะสามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คน แต่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสคนแรก แต่ที่ผ่านมา คนที่มีความสัมพันธ์ซ้อนกันโดยคู่สมรสคนแรกไม่ยินยอม หรือไปมีคนรักใหม่โดยไม่อยากทำเรื่องหย่าให้ยุ่งยาก มักจะใช้วิธีข้ามพรมแดนไปประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบพิธีนิกะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตแต่งงาน หรือหย่าร้างที่ไม่ได้รับการรับรองในมาเลเซีย กรมกิจการศาสนาอิสลามของรัฐกลันตัน ระบุเมื่อวันอาทิตย์ (14 ธ.ค.) ว่า ได้สอบปากคำหญิงรายดังกล่าวแล้ว ที่สำนักงานศาสนาเขตตันห์เมอราห์ เพื่อประกอบการสอบสวน ด้านกรมกิจการศาสนาแห่งรัฐตรังกานู กำลังอยู่ในระหว่างเรียกสองสามีภรรยามาชี้แจง ส่วนชาวเน็ตมาเลเซียวิจารณ์ว่าการแต่งงานลักษณะเช่นนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือเป็นบาปต่อศาสนา อนึ่ง ตามกฎหมายครอบครัวอิสลามของมาเลเซีย หญิงชาวมุสลิมที่แต่งงานกับชายอื่นในขณะที่ยังมีสถานะสมรสตามกฎหมาย อาจต้องรับโทษทางอาญา ส่วนชายชาวมุสลิมต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากศาลชารีอะห์ หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับหลายพันริงกิต จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ #Newskit
    Love
    1
    1 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 2

    “ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 2
    กษัตริย์องค์แรก ที่เป็นต้นราชวงศ์ซาอูด ( และเป็นพ่อของกษัตริย์ คนต่อๆมา) คือ กษัตริย์ Abdul-Aziz bin Saud หรือที่พวกตะวันตก เรียกกันว่า อิบน์ ซาอูด Ibn Saud ซึ่งนำทัพของเผ่า เข้ามามีอำนาจในเมืองริยาร์ด ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 และในปี ค.ศ.1930 กว่า ก็ยึดคาบสมุทรอารเบีย ตั้งแต่ทะเลแดง ยาวไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่รวมทั้งเมืองศักดิสิทธิ์ เมกกะ และเมดินาด้วย
    อิบน์ ซาอูด มีภรรยา 22 คน และมีลูกซึ่งได้รับการยอมรับ 44 คน ตั้งแต่สิ้นพระชนม์ ในปี ค.ศ.1953 ลูกชายของ อิบน์ ซาอูด ก็ขึ้นครองราชย์ ติดต่อกันมา 6 คนแล้ว และลูกชายคนที่ 23 คือ เจ้าชายนาเยฟ Nayef bin Abdul-Aziz หรือ the Black Prince พ่อของ MBN คือ ผู้ที่อยู่ในอันดับ 2 ที่จะได้ครองราชย์ ต่อจากกษัตริย์ อับดุลลา แต่บังเอิญ เจ้าชายนาเยฟ สิ้นพระชนม์เสียก่อนในปี ค.ศ. 2012
    The Black Prince เจ้าชายนาเยฟ เกิดในปี ค.ศ.1934 เรียนหนังสือในโรงเรียนสำหรับพวกราชวงศ์ ที่นครริยาร์ด โดยมีครูสอนเป็นนักบวชพวกวาฮาบี ในนิกายอิสลามสุนนี
    ความผูกพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซาอูดกับวาฮาบี ย้อนหลังไปกว่า 300 ปี ราวปี ค.ศ.1744 เมื่อ
    มูฮะหมัด อัล-ซาอูด กับ นักบวช ชื่อ มูฮะหมัด อัล วาฮับ ร่วมมือกันสร้างราชอาณาจักรซาอุดิ
    อารเบียขึ้นมา อัล -ซาอูด ดูแลบ้านเมืองและความมั่นคง ส่วน อัล-วาฮับ ก็ดูแลเรื่องจิตวิญญาณความเชื่อของประชาชน ตามแนวความเชื่อศาสนาอย่างเคร่งครัด ของ อัล-วาฮับ
    ความผูกพันธ์ระหว่าง ราชวงศ์ กับศาสนา ที่เริ่มต้นมาเช่นนี้ ทำให้ศาสนาตามความเชื่อของ อัล-วาฮับ จึงเป็นส่วนสำคัญของสังคมซาอุดิอารเบีย และอยู่ในการทำงานร่วมกัน กับกระทรวงมหาดไทยของซาอุดิ อารเบีย
    ในปี ค.ศ.1970 เจ้าชายฟาหด พี่ชายแท้ๆของเจ้าชายนาเยฟ ได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย เขาเลยตั้งเจ้าชายนาเยฟ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี และเมื่อ เจ้าชายฟาหด ได้เป็นมงกุฏราชกุมาร ในปี ค.ศ.1975 เจ้าชายนาเยฟ ก็ได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรี แทนที่พี่ชาย
    ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย เจ้าชายนาเยฟ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นพวกขวาจัด เคร่งศาสนา เป็นแนวร่วมกับฝ่ายศาสนา ที่คัดค้านการการแสดงออกอย่างเสรี และเข้มงวดกับพวกนอกศาสนา แถมมองว่า พวกนอกศาสนาเป็นพลเมืองชั้น 2 ของประเทศ เมื่อมีคนถามว่า ทำไมเจ้าชายถึงคัดค้านการที่จะเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนัก the Black Prince ตอบว่า “ฉันยังไม่อยากเป็นพระราชินีเอลิซาเบธนี่”
    นโยบายของเจ้าชายนาเยฟ ต่อชาวต่างด้าว โดยเฉพาะพวกตะวันตก ที่เข้ามาทำงานในซาอุดิอารเบีย เข้มงวด และออกแนวโหด จึงเป็นที่มาของสมญา the Black Prince ซึ่งชาวตะวันตก ที่อยู่ในนครริยาร์ด เป็นผู้ตั้งให้
    พอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมฝรั่งถึงเรียก the Black Prince สงสัยเพจลุงนิทาน ก็คงถูกเรียกว่า the black page เหมือนกัน ฮา
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    18 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 2 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 2 กษัตริย์องค์แรก ที่เป็นต้นราชวงศ์ซาอูด ( และเป็นพ่อของกษัตริย์ คนต่อๆมา) คือ กษัตริย์ Abdul-Aziz bin Saud หรือที่พวกตะวันตก เรียกกันว่า อิบน์ ซาอูด Ibn Saud ซึ่งนำทัพของเผ่า เข้ามามีอำนาจในเมืองริยาร์ด ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 และในปี ค.ศ.1930 กว่า ก็ยึดคาบสมุทรอารเบีย ตั้งแต่ทะเลแดง ยาวไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่รวมทั้งเมืองศักดิสิทธิ์ เมกกะ และเมดินาด้วย อิบน์ ซาอูด มีภรรยา 22 คน และมีลูกซึ่งได้รับการยอมรับ 44 คน ตั้งแต่สิ้นพระชนม์ ในปี ค.ศ.1953 ลูกชายของ อิบน์ ซาอูด ก็ขึ้นครองราชย์ ติดต่อกันมา 6 คนแล้ว และลูกชายคนที่ 23 คือ เจ้าชายนาเยฟ Nayef bin Abdul-Aziz หรือ the Black Prince พ่อของ MBN คือ ผู้ที่อยู่ในอันดับ 2 ที่จะได้ครองราชย์ ต่อจากกษัตริย์ อับดุลลา แต่บังเอิญ เจ้าชายนาเยฟ สิ้นพระชนม์เสียก่อนในปี ค.ศ. 2012 The Black Prince เจ้าชายนาเยฟ เกิดในปี ค.ศ.1934 เรียนหนังสือในโรงเรียนสำหรับพวกราชวงศ์ ที่นครริยาร์ด โดยมีครูสอนเป็นนักบวชพวกวาฮาบี ในนิกายอิสลามสุนนี ความผูกพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซาอูดกับวาฮาบี ย้อนหลังไปกว่า 300 ปี ราวปี ค.ศ.1744 เมื่อ มูฮะหมัด อัล-ซาอูด กับ นักบวช ชื่อ มูฮะหมัด อัล วาฮับ ร่วมมือกันสร้างราชอาณาจักรซาอุดิ อารเบียขึ้นมา อัล -ซาอูด ดูแลบ้านเมืองและความมั่นคง ส่วน อัล-วาฮับ ก็ดูแลเรื่องจิตวิญญาณความเชื่อของประชาชน ตามแนวความเชื่อศาสนาอย่างเคร่งครัด ของ อัล-วาฮับ ความผูกพันธ์ระหว่าง ราชวงศ์ กับศาสนา ที่เริ่มต้นมาเช่นนี้ ทำให้ศาสนาตามความเชื่อของ อัล-วาฮับ จึงเป็นส่วนสำคัญของสังคมซาอุดิอารเบีย และอยู่ในการทำงานร่วมกัน กับกระทรวงมหาดไทยของซาอุดิ อารเบีย ในปี ค.ศ.1970 เจ้าชายฟาหด พี่ชายแท้ๆของเจ้าชายนาเยฟ ได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย เขาเลยตั้งเจ้าชายนาเยฟ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี และเมื่อ เจ้าชายฟาหด ได้เป็นมงกุฏราชกุมาร ในปี ค.ศ.1975 เจ้าชายนาเยฟ ก็ได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรี แทนที่พี่ชาย ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย เจ้าชายนาเยฟ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นพวกขวาจัด เคร่งศาสนา เป็นแนวร่วมกับฝ่ายศาสนา ที่คัดค้านการการแสดงออกอย่างเสรี และเข้มงวดกับพวกนอกศาสนา แถมมองว่า พวกนอกศาสนาเป็นพลเมืองชั้น 2 ของประเทศ เมื่อมีคนถามว่า ทำไมเจ้าชายถึงคัดค้านการที่จะเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนัก the Black Prince ตอบว่า “ฉันยังไม่อยากเป็นพระราชินีเอลิซาเบธนี่” นโยบายของเจ้าชายนาเยฟ ต่อชาวต่างด้าว โดยเฉพาะพวกตะวันตก ที่เข้ามาทำงานในซาอุดิอารเบีย เข้มงวด และออกแนวโหด จึงเป็นที่มาของสมญา the Black Prince ซึ่งชาวตะวันตก ที่อยู่ในนครริยาร์ด เป็นผู้ตั้งให้ พอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมฝรั่งถึงเรียก the Black Prince สงสัยเพจลุงนิทาน ก็คงถูกเรียกว่า the black page เหมือนกัน ฮา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 18 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • “คนแปลกหน้าผู้ช่วยชีวิต – ความทรงจำที่ไม่เคยลืม”

    ผู้เขียนเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อกว่า 25 ปีก่อน ขณะกำลังปั่นจักรยานอย่างเพลิดเพลิน แต่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนกระเด็นตกจากจักรยานและบาดเจ็บสาหัส ทั้งหมดเกิดขึ้นกลางถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปมา โชคดีที่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นทันที เขาเป็นแพทย์ฉุกเฉินที่บังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดี เขาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น โทรเรียกรถพยาบาล และแจ้งภรรยาของผู้เขียนอย่างใจเย็น ทำให้ผู้เขียนรอดพ้นจากสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายกว่านี้

    เมื่อถึงโรงพยาบาล ผู้เขียนได้รับการดูแลอย่างดี ได้รับยาแก้ปวดและการรักษาที่เหมาะสม แม้จะต้องผ่าตัดและทำกายภาพบำบัด แต่ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดคือความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าผู้มีเมตตา ซึ่งผู้เขียนเปรียบเสมือน “เทวดา” ที่มาช่วยในเวลาที่ต้องการที่สุด

    นอกจากเหตุการณ์นั้น ผู้เขียนยังเล่าถึงประสบการณ์อื่น ๆ ที่ได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้า เช่น การได้รับเงิน 100 ดอลลาร์จากชายคนหนึ่งเพื่อไปทานอาหารดี ๆ ระหว่างการเดินทางไกล การได้รับความช่วยเหลือพาไปโรงพยาบาลเมื่อภรรยามีแมลงบินเข้าไปในหู หรือการได้รถรับส่งในวันที่ฝนตกหนัก ทั้งหมดนี้เป็นความทรงจำที่ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าโลกยังเต็มไปด้วยคนดี

    เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในวันที่รู้สึกสิ้นหวังหรือหมดกำลังใจ การระลึกถึงความเมตตาที่เคยได้รับจากคนแปลกหน้า สามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในมนุษยชาติและทำให้เรามีกำลังใจเดินหน้าต่อไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ผู้เขียนประสบอุบัติเหตุจักรยานและได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ฉุกเฉินที่บังเอิญอยู่ตรงนั้น
    แพทย์ช่วยปฐมพยาบาล โทรแจ้งภรรยา และอยู่ดูแลจนรถพยาบาลมาถึง
    ผู้เขียนได้รับการรักษาอย่างดี แม้ต้องผ่าตัดและทำกายภาพบำบัด

    ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet
    ผู้เขียนเคยได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าในหลายเหตุการณ์ เช่น การให้เงิน การช่วยพาไปโรงพยาบาล และการให้ที่พักพิงจากฝน
    ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าโลกยังเต็มไปด้วยคนดี

    คำเตือน
    อุบัติเหตุจักรยานอาจเกิดขึ้นได้ง่ายหากไม่ระมัดระวัง เช่น การเบรกกะทันหันหรือโซ่หลุด
    การเดินทางไกลโดยไม่มีการเตรียมพร้อม อาจทำให้ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่นในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    ไม่ควรคาดหวังว่าจะมีคนแปลกหน้ามาช่วยเสมอไป จึงควรเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินไว้เอง

    https://louplummer.lol/nice-stranger/
    🚴 “คนแปลกหน้าผู้ช่วยชีวิต – ความทรงจำที่ไม่เคยลืม” ผู้เขียนเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อกว่า 25 ปีก่อน ขณะกำลังปั่นจักรยานอย่างเพลิดเพลิน แต่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนกระเด็นตกจากจักรยานและบาดเจ็บสาหัส ทั้งหมดเกิดขึ้นกลางถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปมา โชคดีที่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นทันที เขาเป็นแพทย์ฉุกเฉินที่บังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดี เขาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น โทรเรียกรถพยาบาล และแจ้งภรรยาของผู้เขียนอย่างใจเย็น ทำให้ผู้เขียนรอดพ้นจากสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายกว่านี้ เมื่อถึงโรงพยาบาล ผู้เขียนได้รับการดูแลอย่างดี ได้รับยาแก้ปวดและการรักษาที่เหมาะสม แม้จะต้องผ่าตัดและทำกายภาพบำบัด แต่ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดคือความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าผู้มีเมตตา ซึ่งผู้เขียนเปรียบเสมือน “เทวดา” ที่มาช่วยในเวลาที่ต้องการที่สุด นอกจากเหตุการณ์นั้น ผู้เขียนยังเล่าถึงประสบการณ์อื่น ๆ ที่ได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้า เช่น การได้รับเงิน 100 ดอลลาร์จากชายคนหนึ่งเพื่อไปทานอาหารดี ๆ ระหว่างการเดินทางไกล การได้รับความช่วยเหลือพาไปโรงพยาบาลเมื่อภรรยามีแมลงบินเข้าไปในหู หรือการได้รถรับส่งในวันที่ฝนตกหนัก ทั้งหมดนี้เป็นความทรงจำที่ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าโลกยังเต็มไปด้วยคนดี เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในวันที่รู้สึกสิ้นหวังหรือหมดกำลังใจ การระลึกถึงความเมตตาที่เคยได้รับจากคนแปลกหน้า สามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในมนุษยชาติและทำให้เรามีกำลังใจเดินหน้าต่อไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ผู้เขียนประสบอุบัติเหตุจักรยานและได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ฉุกเฉินที่บังเอิญอยู่ตรงนั้น ➡️ แพทย์ช่วยปฐมพยาบาล โทรแจ้งภรรยา และอยู่ดูแลจนรถพยาบาลมาถึง ➡️ ผู้เขียนได้รับการรักษาอย่างดี แม้ต้องผ่าตัดและทำกายภาพบำบัด ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet ➡️ ผู้เขียนเคยได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าในหลายเหตุการณ์ เช่น การให้เงิน การช่วยพาไปโรงพยาบาล และการให้ที่พักพิงจากฝน ➡️ ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าโลกยังเต็มไปด้วยคนดี ‼️ คำเตือน ⛔ อุบัติเหตุจักรยานอาจเกิดขึ้นได้ง่ายหากไม่ระมัดระวัง เช่น การเบรกกะทันหันหรือโซ่หลุด ⛔ การเดินทางไกลโดยไม่มีการเตรียมพร้อม อาจทำให้ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่นในสถานการณ์ฉุกเฉิน ⛔ ไม่ควรคาดหวังว่าจะมีคนแปลกหน้ามาช่วยเสมอไป จึงควรเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินไว้เอง https://louplummer.lol/nice-stranger/
    LOUPLUMMER.LOL
    What Is the Nicest Thing A Stranger Has Ever Done for You?
    One of the things I do when I'm feeling blue is to make a mental list of the nice things people have done for me over the years, including perfect strangers.
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • ดราม่า “กระเป๋าคริปโตลับ” ของเวย์ ไทเทเนียม พลิกแบบหักมุม! วันนี้เจ้าตัวควงภรรยาเข้ากองปราบฯ ปลดล็อก Ledger Nano ต่อหน้า ตร. ผลตรวจชัด—ไม่มีบิตคอยน์ร้อยล้าน มีเพียง Dogecoin–Shiba Inu มูลค่ารวมหลักแสนเท่านั้น
    .
    ทนายสายหยุดยันชัด เวย์ยังเป็นแค่ “พยานด้านเทคนิค” ไม่ใช่ผู้ต้องหา การนำ Ledger มาเปิดต่อหน้า ตร. คือการแสดงความบริสุทธิ์ใจเต็มรูปแบบ
    .
    ดราม่าที่โซเชียลเล่นกันหนักจบแบบเบรกหัวทิ่ม ข้อเท็จจริงโผล่—ไม่มีเงินสีเทา ไม่มีร้อยล้าน มีแต่เหรียญมีม
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000118217
    .
    #News1live #News1 #WayThaitanium #คริปโต #Ledger #Dogecoin #ShibaInu
    ดราม่า “กระเป๋าคริปโตลับ” ของเวย์ ไทเทเนียม พลิกแบบหักมุม! วันนี้เจ้าตัวควงภรรยาเข้ากองปราบฯ ปลดล็อก Ledger Nano ต่อหน้า ตร. ผลตรวจชัด—ไม่มีบิตคอยน์ร้อยล้าน มีเพียง Dogecoin–Shiba Inu มูลค่ารวมหลักแสนเท่านั้น . ทนายสายหยุดยันชัด เวย์ยังเป็นแค่ “พยานด้านเทคนิค” ไม่ใช่ผู้ต้องหา การนำ Ledger มาเปิดต่อหน้า ตร. คือการแสดงความบริสุทธิ์ใจเต็มรูปแบบ . ดราม่าที่โซเชียลเล่นกันหนักจบแบบเบรกหัวทิ่ม ข้อเท็จจริงโผล่—ไม่มีเงินสีเทา ไม่มีร้อยล้าน มีแต่เหรียญมีม . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000118217 . #News1live #News1 #WayThaitanium #คริปโต #Ledger #Dogecoin #ShibaInu
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • เวย์ ไทเทเนี่ยม ดอดพบตำรวจให้ข้อมูลเครื่อง Ledger Nano X ที่ยึมาจากบ้านภรรยา ขณะที่ ปอศ.เตรียมออกหมายเรียกให้เข้าให้ปากคำวันที่ 11 ธ.ค.นี้ , จับตาจะถูกแจ้งข้อหาร่วมหรือเป็นเพียงพยานในคดี “นานา”
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117821
    .
    #News1live #News1 #เวย์ไทเทเนี่ยม #คดีนานาไรบีนา #ปอศ
    เวย์ ไทเทเนี่ยม ดอดพบตำรวจให้ข้อมูลเครื่อง Ledger Nano X ที่ยึมาจากบ้านภรรยา ขณะที่ ปอศ.เตรียมออกหมายเรียกให้เข้าให้ปากคำวันที่ 11 ธ.ค.นี้ , จับตาจะถูกแจ้งข้อหาร่วมหรือเป็นเพียงพยานในคดี “นานา” . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117821 . #News1live #News1 #เวย์ไทเทเนี่ยม #คดีนานาไรบีนา #ปอศ
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ชายสหรัฐฯ ถูกฟ้องคดี Cyberstalking โดยอ้าง ChatGPT

    Brett Michael Dadig จากเมือง Whitehall ถูกอัยการสหรัฐฯ ตั้งข้อหา 14 กระทงในคดี การคุกคามและตามรังควานผู้หญิง ทั้งใน Pittsburgh และอีกหลายรัฐ เขาถูกกล่าวหาว่าข่มขู่ โพสต์ภาพ และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อบนอินเทอร์เน็ต โดย Dadig อ้างว่า ChatGPT แนะนำให้เขาไปพบ “ภรรยาในอนาคต” ที่ยิมหรือชุมชนกีฬา และใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสร้างชื่อเสียง

    การใช้ AI ในทางที่ผิด
    ในพอดแคสต์ของเขา Dadig เรียก ChatGPT ว่าเป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท” พร้อมยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจจากคำแนะนำของ AI ให้สร้างแพลตฟอร์มเพื่อโดดเด่นในสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นการคุกคามผู้หญิงและพนักงานยิมอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางโพสต์ออนไลน์ โทรศัพท์ และการปรากฏตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    ผลกระทบทางกฎหมาย
    อัยการระบุว่าเหยื่อกว่า 11 คนได้รับผลกระทบจากการกระทำของ Dadig โดยบางคนถึงขั้นต้องขอคำสั่งคุ้มครอง (Protection-from-abuse orders) ซึ่งเขายังละเมิดซ้ำอีกด้วย หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 70 ปี และปรับเป็นเงินกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ AI โดยไม่เข้าใจขอบเขตและผลกระทบ การพึ่งพา AI เป็น “ที่ปรึกษา” โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ชายสหรัฐฯ ถูกตั้งข้อหา Cyberstalking 14 กระทง
    เหยื่อกว่า 11 คนในหลายรัฐ รวมถึง Pittsburgh

    อ้างว่าได้รับคำแนะนำจาก ChatGPT
    ใช้ AI เป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท”

    ผลกระทบต่อเหยื่อและสังคม
    เหยื่อบางคนต้องขอคำสั่งคุ้มครอง แต่ถูกละเมิดซ้ำ

    คำเตือนด้านการใช้ AI
    การพึ่งพา AI โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมผิดกฎหมาย
    เสี่ยงต่อการสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/a-us-man-was-indicted-for-allegedly-cyberstalking-women-he-says-he-took-advice-from-chatgpt
    📰 ชายสหรัฐฯ ถูกฟ้องคดี Cyberstalking โดยอ้าง ChatGPT Brett Michael Dadig จากเมือง Whitehall ถูกอัยการสหรัฐฯ ตั้งข้อหา 14 กระทงในคดี การคุกคามและตามรังควานผู้หญิง ทั้งใน Pittsburgh และอีกหลายรัฐ เขาถูกกล่าวหาว่าข่มขู่ โพสต์ภาพ และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อบนอินเทอร์เน็ต โดย Dadig อ้างว่า ChatGPT แนะนำให้เขาไปพบ “ภรรยาในอนาคต” ที่ยิมหรือชุมชนกีฬา และใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสร้างชื่อเสียง 🎙️ การใช้ AI ในทางที่ผิด ในพอดแคสต์ของเขา Dadig เรียก ChatGPT ว่าเป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท” พร้อมยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจจากคำแนะนำของ AI ให้สร้างแพลตฟอร์มเพื่อโดดเด่นในสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นการคุกคามผู้หญิงและพนักงานยิมอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางโพสต์ออนไลน์ โทรศัพท์ และการปรากฏตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ⚖️ ผลกระทบทางกฎหมาย อัยการระบุว่าเหยื่อกว่า 11 คนได้รับผลกระทบจากการกระทำของ Dadig โดยบางคนถึงขั้นต้องขอคำสั่งคุ้มครอง (Protection-from-abuse orders) ซึ่งเขายังละเมิดซ้ำอีกด้วย หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 70 ปี และปรับเป็นเงินกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ⚠️ ความเสี่ยงและคำเตือน กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ AI โดยไม่เข้าใจขอบเขตและผลกระทบ การพึ่งพา AI เป็น “ที่ปรึกษา” โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ชายสหรัฐฯ ถูกตั้งข้อหา Cyberstalking 14 กระทง ➡️ เหยื่อกว่า 11 คนในหลายรัฐ รวมถึง Pittsburgh ✅ อ้างว่าได้รับคำแนะนำจาก ChatGPT ➡️ ใช้ AI เป็น “นักบำบัด” และ “เพื่อนสนิท” ✅ ผลกระทบต่อเหยื่อและสังคม ➡️ เหยื่อบางคนต้องขอคำสั่งคุ้มครอง แต่ถูกละเมิดซ้ำ ‼️ คำเตือนด้านการใช้ AI ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่ใช้วิจารณญาณอาจนำไปสู่พฤติกรรมผิดกฎหมาย ⛔ เสี่ยงต่อการสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/06/a-us-man-was-indicted-for-allegedly-cyberstalking-women-he-says-he-took-advice-from-chatgpt
    WWW.THESTAR.COM.MY
    A US man was indicted for allegedly cyberstalking women. He says he took advice from ChatGPT.
    On his podcast, Mr Dadig called the AI chatbot his "therapist" and "best friend," the indictment says.
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง 24-11-68
    .
    เช้าวันจันทร์ หลังจากประชุมพร้อมรับประทานอาหารเช้ากับทีมงานบ้านพระอาทิตย์ โดยเมนูเป็นข้าวผัดปู กับ ต้มยำกุ้งน้ำใส แม้เมื่อวานนี้จะมีเวทีความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งสุดท้ายของปี 2568 แต่คุณสนธิก็ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจหลายอย่างมาเล่าให้ท่านผู้ฟังได้รับทราบในรายการ ทั้ง "แขกพิเศษ" ที่มาหาคุณสนธิที่บ้านพระอาทิตย์เมื่อวานนี้ , ประเด็นเกี่ยวกับทองคำของ "โจ๊ก" สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่เจ้าตัวออกมาแก้ตัวแล้วว่าเป็นทองคำของภรรยา และเตรียมจะชี้แจงเพิ่มเติมในวันพุธที่ 26 พ.ย. นี้ด้วย แต่ยิ่งพูดมาก ยิ่งแก้ตัวมาก หลักฐานยิ่งมัดตัว มัดตัวอย่างไรต้องติดตาม นอกจากนี้สนธิเล่าเรื่องในวันนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ... โปรดติดตามโดยพลัน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=jIIR1WesIGc
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk
    สนธิเล่าเรื่อง 24-11-68 . เช้าวันจันทร์ หลังจากประชุมพร้อมรับประทานอาหารเช้ากับทีมงานบ้านพระอาทิตย์ โดยเมนูเป็นข้าวผัดปู กับ ต้มยำกุ้งน้ำใส แม้เมื่อวานนี้จะมีเวทีความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งสุดท้ายของปี 2568 แต่คุณสนธิก็ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจหลายอย่างมาเล่าให้ท่านผู้ฟังได้รับทราบในรายการ ทั้ง "แขกพิเศษ" ที่มาหาคุณสนธิที่บ้านพระอาทิตย์เมื่อวานนี้ , ประเด็นเกี่ยวกับทองคำของ "โจ๊ก" สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่เจ้าตัวออกมาแก้ตัวแล้วว่าเป็นทองคำของภรรยา และเตรียมจะชี้แจงเพิ่มเติมในวันพุธที่ 26 พ.ย. นี้ด้วย แต่ยิ่งพูดมาก ยิ่งแก้ตัวมาก หลักฐานยิ่งมัดตัว มัดตัวอย่างไรต้องติดตาม นอกจากนี้สนธิเล่าเรื่องในวันนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ... โปรดติดตามโดยพลัน . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=jIIR1WesIGc . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk
    0 Comments 0 Shares 453 Views 0 Reviews
  • O.P.K. เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ




    ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน
    อายุ:42 ปี
    สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน

    ```mermaid
    graph TB
    A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล]
    B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์]
    C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ]
    ```

    ความสำเร็จในวงการ

    ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ:

    · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก
    · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน
    · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่

    ชีวิตครอบครัว

    ```python
    class FamilyLife:
    def __init__(self):
    self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ"
    self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ"
    self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท"

    self.routine = {
    "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน",
    "day": "ทำงานวิจัย",
    "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน",
    "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์"
    }
    ```





    ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า:
    "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป...
    การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ"

    โครงการอสรพิษ

    ```python
    class ProjectOscrop:
    def __init__(self):
    self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ"
    self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ"
    self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี"

    self.ethical_concerns = [
    "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต",
    "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม",
    "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร",
    "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต"
    ]
    ```



    15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย]
    B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง]
    C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย]
    D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์]
    ```



    3 แรงขับเคลื่อนหลัก

    ```python
    class Motivation:
    def __init__(self):
    self.conscious_motives = {
    "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ",
    "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย",
    "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม"
    }

    self.subconscious_motives = {
    "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง",
    "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก",
    "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ"
    }
    ```

    ความขัดแย้งภายใน

    ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ:
    "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน...
    และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ

    แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน...
    และความสงสัยนั้นก็หายไป"

    การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ

    การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

    ```mermaid
    graph TB
    A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ]
    B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้]
    C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์]
    ```

    การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม

    ```python
    class PhysicalChanges:
    def __init__(self):
    self.enhancements = {
    "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า",
    "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า",
    "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง",
    "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก"
    }

    side_effects = {
    "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม",
    "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง",
    "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น",
    "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน"
    }
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน

    ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง

    ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง:

    · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ
    · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท
    · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง

    บันทึกความในใจ

    "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'...
    หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง

    แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น...
    และความอบอุ่นนั้นก็หายไป"

    ความขัดแย้งทางจริยธรรม

    การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย

    ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!"
    ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!"
    ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!"

    การตัดสินใจครั้งสำคัญ

    ```python
    class CriticalDecisions:
    def __init__(self):
    self.crossroads = [
    "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์",
    "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ",
    "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ",
    "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า"
    ]

    self.regrets = [
    "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน",
    "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา",
    "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ",
    "สร้างความเสียหายให้สังคม"
    ]
    ```



    หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?"
    ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป"
    หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..."

    ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก

    ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน
    "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด...
    น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก

    และฉันก็เข้าใจว่า...
    การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก
    就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด"

    กระบวนการบำบัด

    การรักษาด้วยสมุนไพร

    ```mermaid
    graph TB
    A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน]
    B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง]
    C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา]
    D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน]
    ```

    การกลับสู่ครอบครัว

    หลังการบำบัดบางส่วน:

    · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ
    · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์
    · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต

    บทเรียนชีวิต

    🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์
    ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม

    และการมีชีวิตที่จำกัด...
    ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า"

    การให้อภัยตัวเอง

    "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง...
    สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด

    และใช้สิ่งที่เรียนรู้...
    เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน"

    อนาคตใหม่

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่:

    · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป
    · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ
    · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป

    โครงการใหม่

    ```python
    class NewProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่",
    "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม",
    "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ",
    "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่"
    }
    ```

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ:
    "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ...
    แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์

    และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู...
    แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า

    บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า...
    การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง
    แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"

    บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์:
    "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ...
    และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์

    การเดินทางนี้สอนเราว่า...
    ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน
    ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"
    O.P.K. 🔬 เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน อายุ:42 ปี สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน ```mermaid graph TB A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล] B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์] C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ] ``` 🏆 ความสำเร็จในวงการ ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ: · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่ 💞 ชีวิตครอบครัว ```python class FamilyLife: def __init__(self): self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ" self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ" self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท" self.routine = { "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน", "day": "ทำงานวิจัย", "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน", "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์" } ``` ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า: "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป... การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ" 🧪 โครงการอสรพิษ ```python class ProjectOscrop: def __init__(self): self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ" self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ" self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี" self.ethical_concerns = [ "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต", "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม", "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร", "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต" ] ``` 15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ: ```mermaid graph LR A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย] B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง] C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย] D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์] ``` 🎯 3 แรงขับเคลื่อนหลัก ```python class Motivation: def __init__(self): self.conscious_motives = { "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ", "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย", "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม" } self.subconscious_motives = { "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง", "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก", "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ" } ``` 💔 ความขัดแย้งภายใน ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ: "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน... และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน... และความสงสัยนั้นก็หายไป" 🧟‍♂️ การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ 🔄 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ```mermaid graph TB A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ] B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้] C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์] ``` 🧬 การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ```python class PhysicalChanges: def __init__(self): self.enhancements = { "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า", "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า", "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง", "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก" } side_effects = { "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม", "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง", "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น", "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน" } ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน 🏠 ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง: · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง 📖 บันทึกความในใจ "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'... หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น... และความอบอุ่นนั้นก็หายไป" ⚖️ ความขัดแย้งทางจริยธรรม 🔥 การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!" ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!" ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!" 💔 การตัดสินใจครั้งสำคัญ ```python class CriticalDecisions: def __init__(self): self.crossroads = [ "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์", "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ", "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ", "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า" ] self.regrets = [ "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน", "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา", "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ", "สร้างความเสียหายให้สังคม" ] ``` หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?" ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป" หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..." 💫 ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด... น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก และฉันก็เข้าใจว่า... การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก 就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด" 🏥 กระบวนการบำบัด 🌿 การรักษาด้วยสมุนไพร ```mermaid graph TB A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน] B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง] C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา] D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน] ``` 💞 การกลับสู่ครอบครัว หลังการบำบัดบางส่วน: · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์ · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต 📚 บทเรียนชีวิต 🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ "ฉันเรียนรู้ว่า... ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม และการมีชีวิตที่จำกัด... ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า" 💝 การให้อภัยตัวเอง "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง... สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด และใช้สิ่งที่เรียนรู้... เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน" 🔮 อนาคตใหม่ 🎯 บทบาทใหม่ในสังคม ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่: · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป 🌟 โครงการใหม่ ```python class NewProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่", "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม", "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ", "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่" } ``` --- คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ: "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ... แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์ และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู... แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า... การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"🔬✨ บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์: "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ... และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์ การเดินทางนี้สอนเราว่า... ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"🌈
    0 Comments 0 Shares 797 Views 0 Reviews
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 3
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น
    งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย
    ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว
    ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ
    ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม
    มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว
    ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย
    ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ
    ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย
    ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง
    นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
    ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต
    #############
    ตอน 4

    วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง
    ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931
    ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน
    อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ
    ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย
    ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives…
    แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937
    ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต
    ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว
    เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด
    สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ
    ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies
    จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 3 อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต ############# ตอน 4 วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931 ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives… แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ส.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 967 Views 0 Reviews
  • ศูนย์ข้อมูลในโรงเก็บของ ช่วยลดค่าไฟบ้านในอังกฤษ

    คู่สามีภรรยา Terrence และ Lesley Bridges จาก Essex ได้เข้าร่วมโครงการทดลองที่ชื่อว่า HeatHub ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks จุดประสงค์คือการหาวิธีใหม่ ๆ ให้ครัวเรือนรายได้น้อยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานแบบ net-zero ได้อย่างยั่งยืน

    HeatHub ที่ติดตั้งในโรงเก็บของหลังบ้านทำงานโดยใช้ Raspberry Pi จำนวน 56 เครื่อง ที่ประมวลผลข้อมูลจริงจากลูกค้า ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ถูกนำไปใช้กับระบบน้ำร้อนภายในบ้าน ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครอบครัวลดลงเหลือเพียง £40 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับครัวเรือนทั่วไปในสหราชอาณาจักร

    แม้ระบบนี้จะไม่ถูกออกแบบมาสำหรับงาน AI หนัก ๆ แต่สามารถใช้รันแอปพลิเคชันหรือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้ และในอนาคตลูกค้าจะสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อประมวลผลข้อมูลผ่าน HeatHub ที่กระจายอยู่ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ซึ่งจะกลายเป็น ศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย (distributed data center)

    นอกจาก Thermify แล้ว ยังมีบริษัท Deep Green ที่ใช้แนวคิดคล้ายกัน โดยติดตั้งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา ความร้อนที่เกิดขึ้นสามารถครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% ของสระว่ายน้ำต่อปี ลดค่าแก๊สและการปล่อยคาร์บอนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    HeatHub ในโรงเก็บของหลังบ้านช่วยลดค่าไฟเหลือ £40/เดือน
    ใช้ Raspberry Pi 56 เครื่องในการประมวลผลและเปลี่ยนความร้อนเป็นพลังงานทำความร้อน

    เป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks
    มุ่งช่วยครัวเรือนรายได้น้อยเข้าสู่การใช้พลังงาน net-zero

    HeatHub จะกลายเป็นศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย
    ลูกค้าสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อใช้พลังประมวลผล

    Deep Green ใช้แนวคิดคล้ายกันในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา
    ครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% และลดการปล่อยคาร์บอน

    ไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งเอง (DIY)
    บ้านทั่วไปมีข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและอาจเสี่ยงต่อการโอเวอร์โหลดหรือไฟไหม้

    ระบบหม้อไอน้ำทั่วไปไม่รองรับการทำงานร่วมกับ HeatHub
    อาจมีปัญหาด้านประกันภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของโครงข่ายไฟฟ้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-couples-garden-shed-data-center-heats-home-and-cuts-bills
    🏡 ศูนย์ข้อมูลในโรงเก็บของ ช่วยลดค่าไฟบ้านในอังกฤษ คู่สามีภรรยา Terrence และ Lesley Bridges จาก Essex ได้เข้าร่วมโครงการทดลองที่ชื่อว่า HeatHub ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks จุดประสงค์คือการหาวิธีใหม่ ๆ ให้ครัวเรือนรายได้น้อยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานแบบ net-zero ได้อย่างยั่งยืน HeatHub ที่ติดตั้งในโรงเก็บของหลังบ้านทำงานโดยใช้ Raspberry Pi จำนวน 56 เครื่อง ที่ประมวลผลข้อมูลจริงจากลูกค้า ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ถูกนำไปใช้กับระบบน้ำร้อนภายในบ้าน ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครอบครัวลดลงเหลือเพียง £40 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับครัวเรือนทั่วไปในสหราชอาณาจักร แม้ระบบนี้จะไม่ถูกออกแบบมาสำหรับงาน AI หนัก ๆ แต่สามารถใช้รันแอปพลิเคชันหรือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้ และในอนาคตลูกค้าจะสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อประมวลผลข้อมูลผ่าน HeatHub ที่กระจายอยู่ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ซึ่งจะกลายเป็น ศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย (distributed data center) นอกจาก Thermify แล้ว ยังมีบริษัท Deep Green ที่ใช้แนวคิดคล้ายกัน โดยติดตั้งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา ความร้อนที่เกิดขึ้นสามารถครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% ของสระว่ายน้ำต่อปี ลดค่าแก๊สและการปล่อยคาร์บอนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ HeatHub ในโรงเก็บของหลังบ้านช่วยลดค่าไฟเหลือ £40/เดือน ➡️ ใช้ Raspberry Pi 56 เครื่องในการประมวลผลและเปลี่ยนความร้อนเป็นพลังงานทำความร้อน ✅ เป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks ➡️ มุ่งช่วยครัวเรือนรายได้น้อยเข้าสู่การใช้พลังงาน net-zero ✅ HeatHub จะกลายเป็นศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย ➡️ ลูกค้าสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อใช้พลังประมวลผล ✅ Deep Green ใช้แนวคิดคล้ายกันในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา ➡️ ครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% และลดการปล่อยคาร์บอน ‼️ ไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งเอง (DIY) ⛔ บ้านทั่วไปมีข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและอาจเสี่ยงต่อการโอเวอร์โหลดหรือไฟไหม้ ‼️ ระบบหม้อไอน้ำทั่วไปไม่รองรับการทำงานร่วมกับ HeatHub ⛔ อาจมีปัญหาด้านประกันภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของโครงข่ายไฟฟ้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-couples-garden-shed-data-center-heats-home-and-cuts-bills
    0 Comments 0 Shares 402 Views 0 Reviews
  • Cambridge Dictionary เลือกคำว่า Parasocial เป็น Word of the Year 2025

    Cambridge Dictionary ประกาศว่า “parasocial” คือคำแห่งปี 2025 โดยสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อความสัมพันธ์แบบด้านเดียวที่ผู้คนสร้างขึ้นกับ คนดัง, อินฟลูเอนเซอร์ และแม้แต่ AI chatbot ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญในยุคดิจิทัล Lexicographers ระบุว่าปีนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยการพูดถึงความสัมพันธ์ที่ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดกับบุคคลที่ไม่เคยพบจริง ๆ

    ความหมายและที่มา
    คำว่า parasocial หมายถึง “การเชื่อมโยงที่ใครบางคนรู้สึกกับบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งตนไม่รู้จักจริง” แนวคิดนี้ถูกบันทึกครั้งแรกในปี 1956 โดยนักสังคมวิทยามหาวิทยาลัยชิคาโก ที่สังเกตว่าผู้ชมโทรทัศน์เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับพิธีกรเหมือนเป็นเพื่อนหรือครอบครัว ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้อธิบายความสัมพันธ์กับคนดังบนโซเชียลมีเดีย และล่าสุดกับ AI ที่ผู้ใช้บางคนมองว่าเป็น “เพื่อน” หรือ “ที่ปรึกษา”

    บริบทใหม่ในยุค AI
    นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ชี้ว่า ปรากฏการณ์ parasocial กำลังขยายตัวไปสู่ การปฏิสัมพันธ์กับเครื่องมือ AI เช่น ChatGPT หรือ Copilot ที่ผู้ใช้บางคนมองว่าเป็นเพื่อนสนิทหรือที่ปรึกษา แม้จะไม่มีการตอบสนองทางอารมณ์จริง ๆ แต่การให้กำลังใจและการสนทนาเชิงบวกทำให้เกิดความรู้สึกผูกพัน

    คำใหม่ที่ถูกบรรจุในพจนานุกรม
    นอกจาก parasocial แล้ว Cambridge Dictionary ยังเพิ่มคำสแลงใหม่ ๆ ที่สะท้อนวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต เช่น
    skibidi – ใช้ได้ทั้งในความหมาย “เจ๋ง” หรือ “แย่” และบางครั้งไม่มีความหมายเลย
    delulu – มาจากคำว่า delusional ใช้เรียกคนที่หลงผิดหรือมโนเกินจริง
    tradwife – หมายถึงผู้หญิงที่เลือกใช้ชีวิตแบบภรรยาในบ้าน ทำงานบ้านและดูแลครอบครัว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Cambridge Dictionary เลือก “parasocial” เป็น Word of the Year 2025
    สะท้อนความสนใจต่อความสัมพันธ์ด้านเดียวกับคนดังและ AI

    ที่มาของคำ parasocial
    เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1956 โดยนักสังคมวิทยามหาวิทยาลัยชิคาโก

    คำใหม่ที่ถูกบรรจุในพจนานุกรมปีนี้
    เช่น skibidi, delulu, tradwife

    ความเสี่ยงจากความสัมพันธ์ parasocial ที่เข้มข้นเกินไป
    อาจทำให้ผู้คนสับสนระหว่างความสัมพันธ์จริงกับความสัมพันธ์เสมือน

    การใช้ AI เป็น “เพื่อน” หรือ “ที่ปรึกษา”
    อาจนำไปสู่การพึ่งพาทางอารมณ์ที่ไม่สมดุล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/039parasocial039-crowned-cambridge-dictionary-word-of-2025
    📖 Cambridge Dictionary เลือกคำว่า Parasocial เป็น Word of the Year 2025 Cambridge Dictionary ประกาศว่า “parasocial” คือคำแห่งปี 2025 โดยสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อความสัมพันธ์แบบด้านเดียวที่ผู้คนสร้างขึ้นกับ คนดัง, อินฟลูเอนเซอร์ และแม้แต่ AI chatbot ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญในยุคดิจิทัล Lexicographers ระบุว่าปีนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยการพูดถึงความสัมพันธ์ที่ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดกับบุคคลที่ไม่เคยพบจริง ๆ 🌍 ความหมายและที่มา คำว่า parasocial หมายถึง “การเชื่อมโยงที่ใครบางคนรู้สึกกับบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งตนไม่รู้จักจริง” แนวคิดนี้ถูกบันทึกครั้งแรกในปี 1956 โดยนักสังคมวิทยามหาวิทยาลัยชิคาโก ที่สังเกตว่าผู้ชมโทรทัศน์เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับพิธีกรเหมือนเป็นเพื่อนหรือครอบครัว ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้อธิบายความสัมพันธ์กับคนดังบนโซเชียลมีเดีย และล่าสุดกับ AI ที่ผู้ใช้บางคนมองว่าเป็น “เพื่อน” หรือ “ที่ปรึกษา” 🤖 บริบทใหม่ในยุค AI นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ชี้ว่า ปรากฏการณ์ parasocial กำลังขยายตัวไปสู่ การปฏิสัมพันธ์กับเครื่องมือ AI เช่น ChatGPT หรือ Copilot ที่ผู้ใช้บางคนมองว่าเป็นเพื่อนสนิทหรือที่ปรึกษา แม้จะไม่มีการตอบสนองทางอารมณ์จริง ๆ แต่การให้กำลังใจและการสนทนาเชิงบวกทำให้เกิดความรู้สึกผูกพัน 🆕 คำใหม่ที่ถูกบรรจุในพจนานุกรม นอกจาก parasocial แล้ว Cambridge Dictionary ยังเพิ่มคำสแลงใหม่ ๆ ที่สะท้อนวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต เช่น 💠 skibidi – ใช้ได้ทั้งในความหมาย “เจ๋ง” หรือ “แย่” และบางครั้งไม่มีความหมายเลย 💠 delulu – มาจากคำว่า delusional ใช้เรียกคนที่หลงผิดหรือมโนเกินจริง 💠 tradwife – หมายถึงผู้หญิงที่เลือกใช้ชีวิตแบบภรรยาในบ้าน ทำงานบ้านและดูแลครอบครัว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Cambridge Dictionary เลือก “parasocial” เป็น Word of the Year 2025 ➡️ สะท้อนความสนใจต่อความสัมพันธ์ด้านเดียวกับคนดังและ AI ✅ ที่มาของคำ parasocial ➡️ เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1956 โดยนักสังคมวิทยามหาวิทยาลัยชิคาโก ✅ คำใหม่ที่ถูกบรรจุในพจนานุกรมปีนี้ ➡️ เช่น skibidi, delulu, tradwife ‼️ ความเสี่ยงจากความสัมพันธ์ parasocial ที่เข้มข้นเกินไป ⛔ อาจทำให้ผู้คนสับสนระหว่างความสัมพันธ์จริงกับความสัมพันธ์เสมือน ‼️ การใช้ AI เป็น “เพื่อน” หรือ “ที่ปรึกษา” ⛔ อาจนำไปสู่การพึ่งพาทางอารมณ์ที่ไม่สมดุล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/039parasocial039-crowned-cambridge-dictionary-word-of-2025
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Parasocial' crowned Cambridge Dictionary word of 2025
    Lexicographers picked it in a year they said was marked by interest in the one-sided parasocial relationships that people form with celebrities, influencers and AI chatbots.
    0 Comments 0 Shares 330 Views 0 Reviews
  • “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง

    เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน
    เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด

    🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน
    ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว
    วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ
    โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello”

    ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด
    เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก
    แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป
    วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง

    มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ
    มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง
    แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น
    ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ

    Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก
    Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย
    เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
    นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา
    ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
    แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่

    “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า
    สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก
    มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
    และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้

    จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่
    แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด
    หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา

    “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น—
    “Hello… is it me you’re looking for?”
    และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    💿🕺 “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง 💘 เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด 🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello” 🎖️ ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง 📺 มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ 📝 มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ 🧑‍🎤 Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่ 🎵 “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้ 🛣️ จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่ แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น— “Hello… is it me you’re looking for?” และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 776 Views 0 Reviews
  • ภรรยาสันธนะโวยสามีถูกแกล้ง อ้างเพราะไปแตะพรรคการเมืองนี้ (14/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สันธนะ #ดราม่า #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    ภรรยาสันธนะโวยสามีถูกแกล้ง อ้างเพราะไปแตะพรรคการเมืองนี้ (14/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สันธนะ #ดราม่า #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 0 Reviews
  • "บิ๊กโจ๊ก" เปิดชื่อ ตร.-นักการเมือง อ้างรับเงินเว็บพนันโอนเข้าบัญชี "ภรรยา-พี่ชาย-พี่สาว" อดีต ผบ.ตร. หลายสิบครั้ง
    https://www.thai-tai.tv/news/22354/
    .
    #ไทยไท #บิ๊กโจ๊ก #ส่วยเว็บพนัน #บิ๊กต่อ #PCT4 #รังสิมันต์โรม
    "บิ๊กโจ๊ก" เปิดชื่อ ตร.-นักการเมือง อ้างรับเงินเว็บพนันโอนเข้าบัญชี "ภรรยา-พี่ชาย-พี่สาว" อดีต ผบ.ตร. หลายสิบครั้ง https://www.thai-tai.tv/news/22354/ . #ไทยไท #บิ๊กโจ๊ก #ส่วยเว็บพนัน #บิ๊กต่อ #PCT4 #รังสิมันต์โรม
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (5)

    นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน

    พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้

    – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft
    – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ
    – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC
    – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย
    – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ
    – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง
    – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว
    – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย
    – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น
    – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์

    นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย

    พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ

    Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์

    ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร

    มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co
    Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง

    แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม

    ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้:

    ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง”
    ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (6)

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่

    แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ
    อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone

    แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่

    วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง …

    อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป

    แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (5) นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้ – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์ นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์ ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้: ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง” ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา #################### “ฤทธิ์ยิว” (6) สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่ แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่ วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง … อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 909 Views 0 Reviews
  • O.P.K
    รตอ.สิงห์
    เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์

    เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ

    วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์

    พ.ศ. 2038-2055

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C
    C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี:

    · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ
    · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม
    · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน

    วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ

    มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา

    · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม"
    · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN
    · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย

    ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071)

    ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์
    ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม

    ครอบครัวในอุดมคติ:

    · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ
    · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ
    · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ

    ผลงานวิจัยสำคัญ:

    · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม
    · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์
    · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล"

    คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง

    พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต

    ```mermaid
    graph TB
    A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ]
    B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน]
    C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์]
    D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์]
    E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป...
    แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว
    ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว"

    การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ

    การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072)

    · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด
    · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี
    · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว

    การตั้งหน่วยพิเศษ

    พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง"

    · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
    · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย
    · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย

    การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077)

    เหตุการณ์แรกพบ

    ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ

    · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง
    · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้
    · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที

    แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่

    ```python
    def adoption_motivation():
    initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง"
    hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง"
    developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later"

    return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}"
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม

    1. หน้านายตำรวจ

    · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร
    · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ
    · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย

    2. หน้าพ่อเลี้ยง

    · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก
    · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว
    · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี

    3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์

    · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน
    · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ
    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ

    ความขัดแย้งภายใน

    สงคราม 3 ด้านในใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก]
    B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D
    C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D
    ```

    บันทึกความสับสน

    "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร...
    เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย?
    หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง?

    และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ?
    ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น?
    หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?"

    ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้

    ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์

    · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ
    · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก
    · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง

    ทักษะการต่อสู้

    · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง
    · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม
    · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่

    พัฒนาการทางจิตใจ

    4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง

    1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ
    2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ
    3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ
    4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง

    บทเรียนสำคัญ

    "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย...
    แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้"

    ความสัมพันธ์เชิงลึก

    กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก

    ```mermaid
    graph TD
    A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด]
    B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ]
    C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง]
    ```

    กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ

    · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร
    · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง
    · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก)

    ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ

    คดีสำคัญ

    1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ
    2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก
    3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม

    รางวัลที่ได้รับ

    · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน
    · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี
    · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม

    🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน

    คำคมจากประสบการณ์

    "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา...
    แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ"

    "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ
    และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน"

    บทบาทใหม่

    · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี
    · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน
    · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง

    บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง

    ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ...
    "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด"
    "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง"
    "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน"

    เขาไม่ได้เป็นฮีโร่...
    เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่...
    "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด
    และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ"

    การเดินทางของเขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด
    ถ้าใจเราจริง sincerity
    ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์:
    "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น...
    แต่จบลงด้วยความรัก

    และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง
    ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    O.P.K รตอ.สิงห์ 🔍 เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์ 🚔 เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ 👶 วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2038-2055 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี: · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน 🎓 วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม" · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย 🔬 ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071) ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์ ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม ครอบครัวในอุดมคติ: · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ ผลงานวิจัยสำคัญ: · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล" 💔 คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต ```mermaid graph TB A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ] B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน] C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์] D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์] E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป... แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว" 🚔 การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072) · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว การตั้งหน่วยพิเศษ พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง" · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย 👧 การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077) เหตุการณ์แรกพบ ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้ · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ ```python def adoption_motivation(): initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง" hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง" developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later" return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}" ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม 1. หน้านายตำรวจ · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย 2. หน้าพ่อเลี้ยง · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี 3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์ · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ 💔 ความขัดแย้งภายใน สงคราม 3 ด้านในใจ ```mermaid graph TB A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก] B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D ``` บันทึกความสับสน "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร... เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย? หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง? และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ? ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น? หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?" 🛡️ ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง ทักษะการต่อสู้ · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่ 🌱 พัฒนาการทางจิตใจ 4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง 1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ 2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ 3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ 4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง บทเรียนสำคัญ "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย... แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้" 🎪 ความสัมพันธ์เชิงลึก กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก ```mermaid graph TD A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด] B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ] C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง] ``` กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก) 🏆 ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ คดีสำคัญ 1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ 2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก 3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม รางวัลที่ได้รับ · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม 🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน คำคมจากประสบการณ์ "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา... แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ" "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน" บทบาทใหม่ · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง 🌟 บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ... "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด" "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง" "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน" เขาไม่ได้เป็นฮีโร่... เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่... "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ" การเดินทางของเขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด ถ้าใจเราจริง sincerity ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์: "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น... แต่จบลงด้วยความรัก และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    0 Comments 0 Shares 802 Views 0 Reviews
  • O.P.K
    ดร.อัจฯ
    เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา

    เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง

    วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว

    พ.ศ. 2048-2060

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C
    C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี:

    · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย
    · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?"
    · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ"

    วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา

    มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted

    · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้
    · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์"
    · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้"

    การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075)

    เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้"
    การฝึกฝน:

    · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน
    · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า
    · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้

    คำบอกเล่าจากพระอาจารย์:
    "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า...
    สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ"

    จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว

    พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร]
    B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D
    C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D
    D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน]
    E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้...
    แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก"

    การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077)

    แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์"
    แรงจูงใจที่แท้จริง:

    1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย
    2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก
    3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ"

    การทดลองที่สำคัญ

    โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง

    · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก
    · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้
    · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์

    โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต

    · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก
    · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้
    · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์

    โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์

    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม
    · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล
    · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้

    ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว

    สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ

    ```
    การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ)
    ```

    ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ

    1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู
    2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม
    3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ

    ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ

    ความสัมพันธ์กับทีมงาน

    · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง
    · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค
    · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

    ชีวิตส่วนตัว

    · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน
    · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ
    · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์"

    จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา

    การรู้สึกตัวว่าผิดทาง

    บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน:
    "บางครั้งฉันสงสัย...
    การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์
    อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้"

    การยอมรับความผิด

    ในการสอบสวน:
    "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย...
    การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์"

    🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก

    การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

    · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา
    · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด"
    · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars

    คำสอนใหม่

    "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์...
    แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง
    เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ
    จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ"

    มรดกทางความคิด

    สิ่งที่เขาทิ้งไว้

    1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด
    2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ
    3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ

    คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ

    "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ...
    ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน
    และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น"

    บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี

    ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ...
    "ความดีที่ขาดปัญญา"
    "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ"
    "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง"

    แต่ในที่สุด...
    การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา
    กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน

    เขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด
    จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด
    และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ:
    "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล...
    แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง
    และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    O.P.K ดร.อัจฯ 🔍 เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา 🧬 เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง 👶 วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว พ.ศ. 2048-2060 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี: · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?" · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ" 🎓 วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้ · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์" · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้" 🏛️ การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075) เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้" การฝึกฝน: · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้ คำบอกเล่าจากพระอาจารย์: "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า... สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ" 💔 จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ ```mermaid graph TB A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร] B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน] E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้... แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก" 🔬 การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077) แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์" แรงจูงใจที่แท้จริง: 1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย 2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก 3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ" 🧪 การทดลองที่สำคัญ โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้ · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์ โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้ · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์ โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้ 🎯 ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ ``` การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ) ``` ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ 1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู 2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม 3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ 💼 ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ ความสัมพันธ์กับทีมงาน · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตส่วนตัว · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์" 🚨 จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา การรู้สึกตัวว่าผิดทาง บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน: "บางครั้งฉันสงสัย... การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์ อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้" การยอมรับความผิด ในการสอบสวน: "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย... การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์" 🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด" · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars คำสอนใหม่ "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์... แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ" 🌟 มรดกทางความคิด สิ่งที่เขาทิ้งไว้ 1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด 2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ 3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ... ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น" 💫 บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ... "ความดีที่ขาดปัญญา" "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ" "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง" แต่ในที่สุด... การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน เขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ: "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล... แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    0 Comments 0 Shares 815 Views 0 Reviews
  • “Mr TIFF – วิศวกรผู้ถูกลืม กับการตามหาความจริงของไฟล์ภาพระดับโลก”

    เรื่องนี้เริ่มจากความตั้งใจของ John Buck ผู้เขียนหนังสือ “Inventing the Future” ที่ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการตามหาผู้สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก แต่หนึ่งในไฟล์ภาพที่สำคัญที่สุดอย่าง TIFF (Tag Image File Format) กลับไม่มีชื่อผู้สร้างปรากฏชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus ที่ถูกจดจำ

    John เริ่มค้นหาเบื้องหลังของ TIFF เหมือนที่เขาเคยทำกับ AIFF (Audio Interchange File Format) และ IFF (Interchange File Format) ซึ่งมีชื่อผู้สร้างชัดเจนอย่าง Jerry Morrison และทีมของ Apple แต่สำหรับ TIFF เขาพบเพียงชื่อ “Steve Carlson” ที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์เก่า แต่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม

    หลังจากค้นหาอย่างหนัก เขาพบว่าชื่อที่ถูกต้องคือ “Stephen Carlsen” ซึ่งถูกสะกดผิดในเอกสารหลายฉบับ และซ่อนอยู่ในไฟล์สเปกของ TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว! เมื่อแกะรอยต่อไป เขาพบสิทธิบัตรของ Carlsen และที่อยู่ในรัฐวอชิงตัน จึงส่งจดหมายไปหาเขา

    หลายเดือนต่อมา Carlsen ตอบกลับมา พร้อมเล่าเรื่องการสร้าง TIFF และการผลักดันให้มันกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยเขาเองเป็นผู้เดินสายประชุมกับบริษัทต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้ใช้ TIFF แทนการสร้างฟอร์แมตเฉพาะของแต่ละแบรนด์

    แต่เรื่องราวจบลงอย่างสะเทือนใจ เมื่ออดีตภรรยาของ Carlsen ส่งอีเมลมาบอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว และเธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย

    John จึงแก้ไขหน้า Wikipedia ของ TIFF ให้ระบุว่า “สร้างโดย Stephen Carlsen วิศวกรจาก Aldus” เพื่อให้โลกจดจำชื่อของผู้สร้างที่แท้จริง

    จุดเริ่มต้นของการค้นหาผู้สร้างไฟล์ TIFF
    John Buck ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการค้นคว้า
    พบว่าไม่มีชื่อผู้สร้าง TIFF อย่างชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus

    การแกะรอยชื่อที่ถูกต้อง
    พบชื่อ “Steve Carlson” ในบทสัมภาษณ์ แต่ไม่ตรงกับสิทธิบัตร
    ชื่อจริงคือ “Stephen Carlsen” ที่ถูกสะกดผิดในหลายแหล่ง
    ชื่อถูกซ่อนไว้ในไฟล์สเปก TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว

    การติดต่อและยืนยันตัวตน
    John ส่งจดหมายไปยังที่อยู่ของ Carlsen
    Carlsen ตอบกลับและเล่าเรื่องการสร้าง TIFF
    เขาเป็นผู้ผลักดันให้ TIFF กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม

    การยกย่องหลังเสียชีวิต
    อดีตภรรยาของ Carlsen แจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว
    เธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย
    John แก้ไข Wikipedia เพื่อให้เครดิตแก่ Carlsen

    ความเสี่ยงของการลืมผู้สร้างเทคโนโลยี
    ชื่อถูกสะกดผิดในเอกสารสำคัญ
    ไม่มีการบันทึกหรือเผยแพร่ข้อมูลผู้สร้างอย่างเป็นทางการ
    บริษัทที่สร้างเทคโนโลยีถูกควบรวมและข้อมูลสูญหาย

    https://inventingthefuture.ghost.io/mr-tiff/
    🧠 “Mr TIFF – วิศวกรผู้ถูกลืม กับการตามหาความจริงของไฟล์ภาพระดับโลก” เรื่องนี้เริ่มจากความตั้งใจของ John Buck ผู้เขียนหนังสือ “Inventing the Future” ที่ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการตามหาผู้สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก แต่หนึ่งในไฟล์ภาพที่สำคัญที่สุดอย่าง TIFF (Tag Image File Format) กลับไม่มีชื่อผู้สร้างปรากฏชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus ที่ถูกจดจำ John เริ่มค้นหาเบื้องหลังของ TIFF เหมือนที่เขาเคยทำกับ AIFF (Audio Interchange File Format) และ IFF (Interchange File Format) ซึ่งมีชื่อผู้สร้างชัดเจนอย่าง Jerry Morrison และทีมของ Apple แต่สำหรับ TIFF เขาพบเพียงชื่อ “Steve Carlson” ที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์เก่า แต่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากค้นหาอย่างหนัก เขาพบว่าชื่อที่ถูกต้องคือ “Stephen Carlsen” ซึ่งถูกสะกดผิดในเอกสารหลายฉบับ และซ่อนอยู่ในไฟล์สเปกของ TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว! เมื่อแกะรอยต่อไป เขาพบสิทธิบัตรของ Carlsen และที่อยู่ในรัฐวอชิงตัน จึงส่งจดหมายไปหาเขา หลายเดือนต่อมา Carlsen ตอบกลับมา พร้อมเล่าเรื่องการสร้าง TIFF และการผลักดันให้มันกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยเขาเองเป็นผู้เดินสายประชุมกับบริษัทต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้ใช้ TIFF แทนการสร้างฟอร์แมตเฉพาะของแต่ละแบรนด์ แต่เรื่องราวจบลงอย่างสะเทือนใจ เมื่ออดีตภรรยาของ Carlsen ส่งอีเมลมาบอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว และเธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย John จึงแก้ไขหน้า Wikipedia ของ TIFF ให้ระบุว่า “สร้างโดย Stephen Carlsen วิศวกรจาก Aldus” เพื่อให้โลกจดจำชื่อของผู้สร้างที่แท้จริง ✅ จุดเริ่มต้นของการค้นหาผู้สร้างไฟล์ TIFF ➡️ John Buck ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการค้นคว้า ➡️ พบว่าไม่มีชื่อผู้สร้าง TIFF อย่างชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus ✅ การแกะรอยชื่อที่ถูกต้อง ➡️ พบชื่อ “Steve Carlson” ในบทสัมภาษณ์ แต่ไม่ตรงกับสิทธิบัตร ➡️ ชื่อจริงคือ “Stephen Carlsen” ที่ถูกสะกดผิดในหลายแหล่ง ➡️ ชื่อถูกซ่อนไว้ในไฟล์สเปก TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว ✅ การติดต่อและยืนยันตัวตน ➡️ John ส่งจดหมายไปยังที่อยู่ของ Carlsen ➡️ Carlsen ตอบกลับและเล่าเรื่องการสร้าง TIFF ➡️ เขาเป็นผู้ผลักดันให้ TIFF กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม ✅ การยกย่องหลังเสียชีวิต ➡️ อดีตภรรยาของ Carlsen แจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ➡️ เธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย ➡️ John แก้ไข Wikipedia เพื่อให้เครดิตแก่ Carlsen ‼️ ความเสี่ยงของการลืมผู้สร้างเทคโนโลยี ⛔ ชื่อถูกสะกดผิดในเอกสารสำคัญ ⛔ ไม่มีการบันทึกหรือเผยแพร่ข้อมูลผู้สร้างอย่างเป็นทางการ ⛔ บริษัทที่สร้างเทคโนโลยีถูกควบรวมและข้อมูลสูญหาย https://inventingthefuture.ghost.io/mr-tiff/
    INVENTINGTHEFUTURE.GHOST.IO
    Mr TIFF
    For as long as I have published my books, one of my overarching goals was to give credit to those who actually invented the hardware and software that we use. I have spent 10,000+ hours to create an accurate record of their work but I'm not complaining. The 'as-close-to-possible'
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • สนธิฝากถึง จ๋าภรรยาอนุทิน หยุดเถอะครับ ก้าวก่ายงานสามี (3/11/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สนธิ #อนุทิน #เมียอนุทิน #การเมืองไทย #รัฐบาลไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    สนธิฝากถึง จ๋าภรรยาอนุทิน หยุดเถอะครับ ก้าวก่ายงานสามี (3/11/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สนธิ #อนุทิน #เมียอนุทิน #การเมืองไทย #รัฐบาลไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง 3-11-68
    .
    เช้าวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน 2568 หลังจากประชุม พร้อมรับประทานอาหารเช้ากับทีมงานบ้านพระอาทิตย์เป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ คุณสนธิก็มี เรื่องราวที่น่าสนใจหลายอย่างมาพูดคุยกับท่านผู้ฟังใน สนธิเล่าเรื่อง โดยเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง "คุณจ๋า" ธนนนท์ นิรามิษ ภรรยาอนุทิน ชาญวีรกูล สตรีหมายเลข 1 ที่ในช่วงสุดสัปดาห์เป็นที่กล่าวขวัญกันมากในแวดวงสื่อ จากกรณีพูกับสื่อมวลชนว่า “ทำไมใจร้ายกับท่านนายกฯ จังเลย เดี๋ยวต่อไปจะจำไว้แล้วนะ เกินไปแล้วนะ” รวมถึงเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ ด้วย ... โปรดติดตามชมโดยพลัน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=a1wqaqOdrw0
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #
    สนธิเล่าเรื่อง 3-11-68 . เช้าวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน 2568 หลังจากประชุม พร้อมรับประทานอาหารเช้ากับทีมงานบ้านพระอาทิตย์เป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ คุณสนธิก็มี เรื่องราวที่น่าสนใจหลายอย่างมาพูดคุยกับท่านผู้ฟังใน สนธิเล่าเรื่อง โดยเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง "คุณจ๋า" ธนนนท์ นิรามิษ ภรรยาอนุทิน ชาญวีรกูล สตรีหมายเลข 1 ที่ในช่วงสุดสัปดาห์เป็นที่กล่าวขวัญกันมากในแวดวงสื่อ จากกรณีพูกับสื่อมวลชนว่า “ทำไมใจร้ายกับท่านนายกฯ จังเลย เดี๋ยวต่อไปจะจำไว้แล้วนะ เกินไปแล้วนะ” รวมถึงเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ ด้วย ... โปรดติดตามชมโดยพลัน . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=a1wqaqOdrw0 . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 308 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 3

    ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง

    Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด

    Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ
    มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table

    “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….”

    มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ

    และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 4

    พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส

    อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย

    แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป

    Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย
    วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย”
    วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork :
    “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย”
    การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 :

    ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

    เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค

    ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ

    แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้
    แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ
    Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….”

    เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่

    ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย

    สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน

    และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 3 ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….” มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 4 พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย” วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork : “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย” การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 : ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้ แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….” เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่ ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 860 Views 0 Reviews
  • นพรัฐซัดหนัก ภรรยาอนุทินแซวแกมขู่นักข่าว ทำแบบนี้ได้…??? (30/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นพรัฐ #อนุทิน #เมียอนุทิน #นักข่าว #การเมืองไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    นพรัฐซัดหนัก ภรรยาอนุทินแซวแกมขู่นักข่าว ทำแบบนี้ได้…??? (30/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นพรัฐ #อนุทิน #เมียอนุทิน #นักข่าว #การเมืองไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 0 Reviews
More Results