• เจ้าหนี้รายใหญ่มารายงานตัวแล้วววว!!.10 อันดับประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ(จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ).1 ญี่ปุ่น – 1,125.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ2 จีน– 784.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ3 สหราชอาณาจักร – 750.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ4 หมู่เกาะเคย์แมน – 417.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ5 ลักเซมเบิร์ก – 412.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ.6 แคนาดา – 406.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ7 ไอร์แลนด์ – 394.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ8 เบลเยียม – 354.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ9 สวิตเซอร์แลนด์ – 339.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ10 ไต้หวัน – 294.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ .ข้อมูลนี้อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ในเดือนเดียวกันนั้น การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8.817 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ.#10ประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ #พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ #เศรษฐกิจโลก #กระทรวงการคลังสหรัฐฯ #ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มา : ผู้จัดการสุดสัปดาห์
    เจ้าหนี้รายใหญ่มารายงานตัวแล้วววว!!.10 อันดับประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ(จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ).1 ญี่ปุ่น – 1,125.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ2 จีน– 784.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ3 สหราชอาณาจักร – 750.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ4 หมู่เกาะเคย์แมน – 417.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ5 ลักเซมเบิร์ก – 412.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ.6 แคนาดา – 406.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ7 ไอร์แลนด์ – 394.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ8 เบลเยียม – 354.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ9 สวิตเซอร์แลนด์ – 339.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ10 ไต้หวัน – 294.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ .ข้อมูลนี้อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ในเดือนเดียวกันนั้น การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8.817 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ.#10ประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ #พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ #เศรษฐกิจโลก #กระทรวงการคลังสหรัฐฯ #ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มา : ผู้จัดการสุดสัปดาห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะยกเว้นบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จากมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากการเปิดเผยของทำเนียบขาว
    .
    นกอจากนี้ ทำเนียบขาวยังเผยด้วยว่าประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดกว้างสำหรับพิจารณามอบข้อยกเว้นจากการรีดภาษีสำหรับสินค้าอื่นๆ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันอังคาร (4 มี.ค.) ที่ผ่านมา
    .
    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ แสดงจุดยืนว่าเขายังไม่ล้มเลิกสงครามการค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก ในขณะที่เขาพยายามกดดันทั้ง 2 ประเทศ ที่ปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล ทั้งนี้หลังจากพุดคุยทางโทรศัพท์กับ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ทรัมป์บอกว่าเขาไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วหรือไม่
    .
    "เขาบอกว่ามันดีขึ้นแล้ว แต่ผมบอกกลับไปว่า มันยังไม่เพียงพอ" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ส่วนทำเนียบนายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุว่า "การพูดคุยทางโทรศัพท์จบลงด้วยรูปแบบความเป็นมิตร!" พร้อมบอกว่าจะมีการเดินหน้าเจรจากันต่อไป
    .
    ข้อยกเว้นจากการถูกรีดภาษี กระตุ้นให้บรรดาหุ้นยานยนต์ฟื้นตัวถ้วนหน้า หลังจากความตึงเครียดทางการค้าที่ก่อความไม่แน่นอนแก่เหล่าผู้ประกอบการสหรัฐฯ และกัดเซาะความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้นำมาซึ่งแรงขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    ความเคลื่อนไหวยกเว้นภาษีเป็นเวลา 1 เดือน สำหรับรถยนต์และรถกระบะที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในเนื้อหาของข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา ตามกรอบของทรัมป์ จะเป็นประโยชน์กับฟอร์ดและจีเอ็ม 2 ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกา ตามความเห็นของนักวิเคราะห์
    .
    ขณะเดียวกัน ทรัมป์ อาจละเว้นรีดภาษี 10% พลังงานนำเข้าจากแคนาดา อย่างเช่นน้ำมันดิบและเบนซิน ที่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีชื่อว่า USMCA
    .
    คำขู่รีดภาษีของทรัมป์ ก่อความเสียหายร้ายแรงในความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ชาติคู่หูทางการค้า แคนาดาตอบโต้ด้วยว่าการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อย่างเจาะจง ส่วน เม็กซิโก ก็ประกาศแก้แค้นเช่นกัน
    .
    การรีดภาษีเสี่ยงบั่นทอนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของแคนาดา และยิ่งไปกว่านั้นอาจโหมกระพือภาวะถดถอย เนื่องจากประเทศแห่งนี้พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ในการส่งออก คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% และนำเข้าสินค้าจากอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด
    .
    ความตึงเครียดทางการค้าอาจก่อความเจ็บปวดแก่สหรัฐฯ เช่นกัน จากข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่ในวันพุธ (5 มี.ค.) พบว่าการเติบโตของการจ้างงานกำลังชะลอตัว เช่นเดียวกับค่าจ้างสำหรับแรงงานที่เปลี่ยนงานใหม่ก็ลดลง ขณะที่รายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พบความไม่แน่ใจอย่างกว้างขวางในหมู่ภาคธุรกิจทั่วอเมริกาต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ และบางธุรกิจถึงขั้นตัดสินใจปรับขึ้นราคาไปแล้ว โดยไม่รอให้มาตรการรีดภาษีมีผลบังคับใช้
    .
    นอกจากแคนาดาและเม็กซิโกแล้ว ทรัมป์ยังกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% กระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นกัน
    .
    ถ้อยแถลงเกี่ยวกับการยกเว้นภาษี มีขึ้น 1 วันหลังจากทรัมป์พูดคุยทางโทรศัพท์กับซีอีโอของฟอร์ด จีเอ็ม และสเตลแลนทิส
    .
    รถยนต์ที่ผลิตโดยทั้ง 3 บริษัท จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ USMCA ที่กำหนดให้ต้องมีชิ้นส่วนที่ผลิตในอเมริกาเหนือ 75% เพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดอเมริกา โดยไม่จำเป็นต้องเสียภาษีใดๆ
    .
    นอกจากนี้ กฎเกณฑ์ดังกล่าวยังบังคับให้ส่วนประกอบ 40% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลต้องผลิตในสหรัฐฯ หรือแคนาดา และต้องเป็นชิ้นส่วนหลักๆ ในนั้นรวมถึงเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ตัวถังและโครงช่วงล่าง ในขณะที่รถกระบะนั้น กำหนดไว้ที่ 45%
    .
    แหล่งข่าวในภาคอุตสาหกรรมเผยว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของสหรัฐฯ แต่ต้องการความแน่นอนเกี่ยวกับนโยบายรีดภาษี เช่นเดียวกับกฎเกณฑ์ด้านมลพิษ ก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ
    .
    มาตรการยกเว้นนี้ ยังก่อประโยชน์กับรถยนต์แบรนด์ต่างชาติบางส่วน ที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงฮอนด้าและโตโยต้า แต่คู่แข่งบางแห่งที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกรีดภาษี 25% เต็มจำนวน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021625
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะยกเว้นบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จากมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากการเปิดเผยของทำเนียบขาว . นกอจากนี้ ทำเนียบขาวยังเผยด้วยว่าประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดกว้างสำหรับพิจารณามอบข้อยกเว้นจากการรีดภาษีสำหรับสินค้าอื่นๆ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันอังคาร (4 มี.ค.) ที่ผ่านมา . อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ แสดงจุดยืนว่าเขายังไม่ล้มเลิกสงครามการค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก ในขณะที่เขาพยายามกดดันทั้ง 2 ประเทศ ที่ปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล ทั้งนี้หลังจากพุดคุยทางโทรศัพท์กับ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ทรัมป์บอกว่าเขาไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วหรือไม่ . "เขาบอกว่ามันดีขึ้นแล้ว แต่ผมบอกกลับไปว่า มันยังไม่เพียงพอ" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ส่วนทำเนียบนายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุว่า "การพูดคุยทางโทรศัพท์จบลงด้วยรูปแบบความเป็นมิตร!" พร้อมบอกว่าจะมีการเดินหน้าเจรจากันต่อไป . ข้อยกเว้นจากการถูกรีดภาษี กระตุ้นให้บรรดาหุ้นยานยนต์ฟื้นตัวถ้วนหน้า หลังจากความตึงเครียดทางการค้าที่ก่อความไม่แน่นอนแก่เหล่าผู้ประกอบการสหรัฐฯ และกัดเซาะความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้นำมาซึ่งแรงขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา . ความเคลื่อนไหวยกเว้นภาษีเป็นเวลา 1 เดือน สำหรับรถยนต์และรถกระบะที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในเนื้อหาของข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา ตามกรอบของทรัมป์ จะเป็นประโยชน์กับฟอร์ดและจีเอ็ม 2 ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกา ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ . ขณะเดียวกัน ทรัมป์ อาจละเว้นรีดภาษี 10% พลังงานนำเข้าจากแคนาดา อย่างเช่นน้ำมันดิบและเบนซิน ที่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีชื่อว่า USMCA . คำขู่รีดภาษีของทรัมป์ ก่อความเสียหายร้ายแรงในความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ชาติคู่หูทางการค้า แคนาดาตอบโต้ด้วยว่าการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อย่างเจาะจง ส่วน เม็กซิโก ก็ประกาศแก้แค้นเช่นกัน . การรีดภาษีเสี่ยงบั่นทอนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของแคนาดา และยิ่งไปกว่านั้นอาจโหมกระพือภาวะถดถอย เนื่องจากประเทศแห่งนี้พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ในการส่งออก คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% และนำเข้าสินค้าจากอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด . ความตึงเครียดทางการค้าอาจก่อความเจ็บปวดแก่สหรัฐฯ เช่นกัน จากข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่ในวันพุธ (5 มี.ค.) พบว่าการเติบโตของการจ้างงานกำลังชะลอตัว เช่นเดียวกับค่าจ้างสำหรับแรงงานที่เปลี่ยนงานใหม่ก็ลดลง ขณะที่รายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พบความไม่แน่ใจอย่างกว้างขวางในหมู่ภาคธุรกิจทั่วอเมริกาต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ และบางธุรกิจถึงขั้นตัดสินใจปรับขึ้นราคาไปแล้ว โดยไม่รอให้มาตรการรีดภาษีมีผลบังคับใช้ . นอกจากแคนาดาและเม็กซิโกแล้ว ทรัมป์ยังกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% กระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นกัน . ถ้อยแถลงเกี่ยวกับการยกเว้นภาษี มีขึ้น 1 วันหลังจากทรัมป์พูดคุยทางโทรศัพท์กับซีอีโอของฟอร์ด จีเอ็ม และสเตลแลนทิส . รถยนต์ที่ผลิตโดยทั้ง 3 บริษัท จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ USMCA ที่กำหนดให้ต้องมีชิ้นส่วนที่ผลิตในอเมริกาเหนือ 75% เพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดอเมริกา โดยไม่จำเป็นต้องเสียภาษีใดๆ . นอกจากนี้ กฎเกณฑ์ดังกล่าวยังบังคับให้ส่วนประกอบ 40% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลต้องผลิตในสหรัฐฯ หรือแคนาดา และต้องเป็นชิ้นส่วนหลักๆ ในนั้นรวมถึงเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ตัวถังและโครงช่วงล่าง ในขณะที่รถกระบะนั้น กำหนดไว้ที่ 45% . แหล่งข่าวในภาคอุตสาหกรรมเผยว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของสหรัฐฯ แต่ต้องการความแน่นอนเกี่ยวกับนโยบายรีดภาษี เช่นเดียวกับกฎเกณฑ์ด้านมลพิษ ก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ . มาตรการยกเว้นนี้ ยังก่อประโยชน์กับรถยนต์แบรนด์ต่างชาติบางส่วน ที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงฮอนด้าและโตโยต้า แต่คู่แข่งบางแห่งที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกรีดภาษี 25% เต็มจำนวน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021625 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    17
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2738 มุมมอง 0 รีวิว
  • "โปรดระวังเรื่องโดนยึดทรัพย์สินในวันข้างหน้า หากอเมริกาไม่พอใจอะไรขึ้นมา!"

    ทรัมป์แนะธุรกิจทั้งหลาย หากไม่อยากเสียภาษีให้มาตั้งโรงงานผลิตบนแผ่นดินอเมริกา

    ที่การประชุม World Economic Forum ทรัมป์ยังได้ส่งสารไปยังนักธุรกิจและบริษัทชั้นนำทั่วโลก ว่าถ้าอยากจะส่งของมาขายในสหรัฐฯ ก็ให้มาตั้งโรงงานในสหรัฐฯ เพราะถ้าไปตั้งโรงงานที่ประเทศอื่น ผลิตของในประเทศอื่น แล้วส่งมาขายในสหรัฐฯ ก็จะต้องเจอกับกำแพงภาษที่สูงขึ้น

    ทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในสหรัฐฯ และในต่างประเทศ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่ม

    อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น ขึ้นอยู่กับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ทำงานอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับประธานาธิบดี
    "โปรดระวังเรื่องโดนยึดทรัพย์สินในวันข้างหน้า หากอเมริกาไม่พอใจอะไรขึ้นมา!" ทรัมป์แนะธุรกิจทั้งหลาย หากไม่อยากเสียภาษีให้มาตั้งโรงงานผลิตบนแผ่นดินอเมริกา ที่การประชุม World Economic Forum ทรัมป์ยังได้ส่งสารไปยังนักธุรกิจและบริษัทชั้นนำทั่วโลก ว่าถ้าอยากจะส่งของมาขายในสหรัฐฯ ก็ให้มาตั้งโรงงานในสหรัฐฯ เพราะถ้าไปตั้งโรงงานที่ประเทศอื่น ผลิตของในประเทศอื่น แล้วส่งมาขายในสหรัฐฯ ก็จะต้องเจอกับกำแพงภาษที่สูงขึ้น ทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในสหรัฐฯ และในต่างประเทศ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่ม อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น ขึ้นอยู่กับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ทำงานอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับประธานาธิบดี
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 1 รีวิว
  • “ทรัมป์ vs.กมลา” ละครปาหี่เลือกตั้งอเมริกา
    .
    วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะมีการเลือกตั้งที่สหรัฐอเมริกา การต่อสู้ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นางกมลา แฮร์ริส กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่มาก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศๆ หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอเมริกานั้น สำคัญที่สุด จะส่งผลต่อโลกทั้งใบได้
    .
    ไม่ว่าใครจะชนะ นโยบายอเมริกาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการขับเคลื่อนประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี แต่ถูกบงการโดยรัฐพันลึกที่เขาเรียกว่า Deep State คือกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน ล็อบบี้ยิสต์ ไปจนถึงเครือข่ายในองค์กรอย่าง CIA, FBI รวมทั้งสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็น CNBC, CBS, CNN, New York Times ซึ่งล้วนแล้วแต่ถือหางเลือกสองข้างพรรคการเมืองใหญ่เท่านั้นเอง
    .
    ทั้งพรรคเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ล้วนยึดนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนทั้งนั้น และนโยบายหลายเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนอิสราเอลให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป ต่อต้านจีน บ่อนเซาะรัสเซีย และรักษาสถานภาพมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ สร้างข่าวปลอม การคว่ำบาตร การทำสงคราม ทั้งสงครามอาวุธและสงครามข้อมูลข่าวสาร
    .
    อำนาจของสหรัฐฯ เสื่อมโทรม ทรุดถอยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาในประเทศอย่างหนักหนาสาหัส เพราะเกิดจากระบบทุนนิยมสามัญของตัวเองที่รังแกประชาชนของตัวเอง และใช้วิธีโยนปัญหาให้ประเทศอื่น เหมือนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยหลายครั้งจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นปั่นป่วนไปด้วย แต่พอแข่งขันไม่ได้ สู้ไม่ได้ ก็ตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้านำเข้าจากจีน ก่อสงครามเทคโนโลยี ส่งผลให้หคนอเมริกาเองต้องใช้สินค้าราคาแพงด้วย
    .
    นักวิเคราะห์การเมืองทั่วโลกจึงเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง นโยบายหลายๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนแต่รูปแบบเท่านั้น โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า นางกมลา แฮร์ริส จะใช้มีดผ่าตัด จัดการแบบเชือดนิ่มๆ กับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ ส่วนนายทรัมป์จะใช้ค้อนทุบประเทศคู่แข่งที่เขาบอกว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ
    .
    ในการประชุม BRICS ที่ประเทศรัสเซีย นายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชงโก ประธานาธิบดีเบลารุส ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นละครปาหี่ทางการเมืองที่ห่วยแตกและงี่เง่าที่สุด พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
    “ทรัมป์ vs.กมลา” ละครปาหี่เลือกตั้งอเมริกา . วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะมีการเลือกตั้งที่สหรัฐอเมริกา การต่อสู้ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นางกมลา แฮร์ริส กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่มาก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศๆ หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอเมริกานั้น สำคัญที่สุด จะส่งผลต่อโลกทั้งใบได้ . ไม่ว่าใครจะชนะ นโยบายอเมริกาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการขับเคลื่อนประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี แต่ถูกบงการโดยรัฐพันลึกที่เขาเรียกว่า Deep State คือกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน ล็อบบี้ยิสต์ ไปจนถึงเครือข่ายในองค์กรอย่าง CIA, FBI รวมทั้งสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็น CNBC, CBS, CNN, New York Times ซึ่งล้วนแล้วแต่ถือหางเลือกสองข้างพรรคการเมืองใหญ่เท่านั้นเอง . ทั้งพรรคเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ล้วนยึดนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนทั้งนั้น และนโยบายหลายเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนอิสราเอลให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป ต่อต้านจีน บ่อนเซาะรัสเซีย และรักษาสถานภาพมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ สร้างข่าวปลอม การคว่ำบาตร การทำสงคราม ทั้งสงครามอาวุธและสงครามข้อมูลข่าวสาร . อำนาจของสหรัฐฯ เสื่อมโทรม ทรุดถอยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาในประเทศอย่างหนักหนาสาหัส เพราะเกิดจากระบบทุนนิยมสามัญของตัวเองที่รังแกประชาชนของตัวเอง และใช้วิธีโยนปัญหาให้ประเทศอื่น เหมือนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยหลายครั้งจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นปั่นป่วนไปด้วย แต่พอแข่งขันไม่ได้ สู้ไม่ได้ ก็ตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้านำเข้าจากจีน ก่อสงครามเทคโนโลยี ส่งผลให้หคนอเมริกาเองต้องใช้สินค้าราคาแพงด้วย . นักวิเคราะห์การเมืองทั่วโลกจึงเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง นโยบายหลายๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนแต่รูปแบบเท่านั้น โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า นางกมลา แฮร์ริส จะใช้มีดผ่าตัด จัดการแบบเชือดนิ่มๆ กับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ ส่วนนายทรัมป์จะใช้ค้อนทุบประเทศคู่แข่งที่เขาบอกว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ . ในการประชุม BRICS ที่ประเทศรัสเซีย นายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชงโก ประธานาธิบดีเบลารุส ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นละครปาหี่ทางการเมืองที่ห่วยแตกและงี่เง่าที่สุด พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1374 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาทอง (96.5%) ขายปลีกในประเทศเช้านี้ปรับเพิ่มขึ้นรวม 3 ครั้ง รวม 150 บาท ตามสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นไปทำสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์

    โดยสมาคมค้าทองคำ รายงานว่า เปิดตลาดเช้านี้เมื่อเวลา 09.04 น. ราคาทองขายปลีกในประเทศทรงตัวจากวานนี้ โดยทองคำแท่ง รับซื้อเข้าบาททองคำละ 43,150 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,250 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาททองคำละ 42,372.20 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,750 บาท

    จากนั้นทยอยปรับขึ้นรวม 3 ครั้ง ครั้งละ 50 บาท โดยเมื่อเวลา 11.13 น. ทองคำแท่ง รับซื้อเข้าบาททองคำละ 43,300 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,400 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาททองคำละ 42,523.80 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,900 บาท

    บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำ All-time high ที่ระดับ 2,740 ดอลลาร์ เนื่องจากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มรุนแรง ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำ UBS คาดว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,900 ดอลลาร์/ออนซ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

    อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อเนื่อง และ Bond Yield พุ่งขึ้นกดดันราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำได้ปิดตลาดลบเล็กน้อย ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม

    ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ปรับตัวขึ้นแรงทะลุ 43,000 บาท และทำ All-time high อีกครั้งที่ราคา 43,250 บาท จากราคาทองคำโลกที่ทำ All-time high และเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว โดยเงินบาทอ่อนค่าตามภูมิภาค ตามแรงซื้อดอลลาร์ ทำให้แนวโน้มราคาทองคำแท่งมีทิศทางปรับตัวขึ้น

    #MGROnline #ราคาทอง
    ราคาทอง (96.5%) ขายปลีกในประเทศเช้านี้ปรับเพิ่มขึ้นรวม 3 ครั้ง รวม 150 บาท ตามสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นไปทำสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ • โดยสมาคมค้าทองคำ รายงานว่า เปิดตลาดเช้านี้เมื่อเวลา 09.04 น. ราคาทองขายปลีกในประเทศทรงตัวจากวานนี้ โดยทองคำแท่ง รับซื้อเข้าบาททองคำละ 43,150 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,250 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาททองคำละ 42,372.20 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,750 บาท • จากนั้นทยอยปรับขึ้นรวม 3 ครั้ง ครั้งละ 50 บาท โดยเมื่อเวลา 11.13 น. ทองคำแท่ง รับซื้อเข้าบาททองคำละ 43,300 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,400 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาททองคำละ 42,523.80 บาท ขายออกบาททองคำละ 43,900 บาท • บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำ All-time high ที่ระดับ 2,740 ดอลลาร์ เนื่องจากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มรุนแรง ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำ UBS คาดว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,900 ดอลลาร์/ออนซ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้า • อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อเนื่อง และ Bond Yield พุ่งขึ้นกดดันราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำได้ปิดตลาดลบเล็กน้อย ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม • ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ปรับตัวขึ้นแรงทะลุ 43,000 บาท และทำ All-time high อีกครั้งที่ราคา 43,250 บาท จากราคาทองคำโลกที่ทำ All-time high และเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว โดยเงินบาทอ่อนค่าตามภูมิภาค ตามแรงซื้อดอลลาร์ ทำให้แนวโน้มราคาทองคำแท่งมีทิศทางปรับตัวขึ้น • #MGROnline #ราคาทอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 698 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥อัตราการจ้างงานของสหรัฐฯ พุ่งสูงในเดือนกันยายน
    ส่วนอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4.1%

    โดยการเติบโตของการจ้างงานของสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น
    ในเดือนกันยายน ที่ผ่านมา และอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4.1%
    ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องรักษาการปรับลด
    อัตราดอกเบี้ยในการประชุมสองครั้งที่เหลือของปีนี้อีกต่อไป

    สำนักงานสถิติแรงงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
    เปิดเผยรายงานการจ้างงานที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเมื่อวันศุกร์ว่า
    การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 254,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว
    หลังจากที่เพิ่มขึ้น 159,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อัตราการจ้างงานการว่างงานสหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥อัตราการจ้างงานของสหรัฐฯ พุ่งสูงในเดือนกันยายน ส่วนอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4.1% โดยการเติบโตของการจ้างงานของสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น ในเดือนกันยายน ที่ผ่านมา และอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4.1% ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องรักษาการปรับลด อัตราดอกเบี้ยในการประชุมสองครั้งที่เหลือของปีนี้อีกต่อไป สำนักงานสถิติแรงงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยรายงานการจ้างงานที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเมื่อวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 254,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 159,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อัตราการจ้างงานการว่างงานสหรัฐ #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1073 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก หวั่นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเสี่ยงเจอวิกฤตหนัก 5 ประการ ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นรุมเร้าและการเมืองภายในแตกแยก ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงเป็นสงครามการค้าตั้งกำแพงภาษี ท่ามกลางภัยธรรมชาติรุนแรงสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินยิ่งกว่าสงคราม

    ในการประชุมสุดยอดเอเชียของ Milken Institute ที่สิงคโปร์ เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับมหาเศรษฐี ได้ระบุถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญ 5 ประการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยระบุถึงลักษณะเป็นวัฏจักรและเชื่อมโยงกัน ตามรายงานของลี อิง ชาน นักข่าว CNBC

    ในการพูดก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ทุกคนรอคอยมานาน ดาลิโอได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับวิธีการที่สหรัฐฯ จะจัดการหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงิน 1.049 ล้านล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบเป็นรายปี ดาลิโอตั้งคำถามว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินของสหรัฐฯ และบทบาทของสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ในฐานะแหล่งเก็บความมั่งคั่งที่เชื่อถือได้อย่างไร

    ตามรายงานของ CNBC ดาลิโอยังได้ดึงความสนใจไปที่สิ่งที่เขาเรียกว่า "ความไม่สงบภายใน" ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมืองที่ขยายตัวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 เขาเตือนว่าความแตกต่างที่ไม่อาจปรองดองได้ระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายทางการเมือง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง อาจขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ แม้ว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจะถูกมองว่าเป็นผู้นำ แต่ดาลิโอแนะนำว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่านโยบายของผู้สมัครคนใด ๆ

    บนเวทีระหว่างประเทศ ดาลิโออ้างถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าเป็นแหล่งความกังวลที่สำคัญ ดาลิโอกล่าวว่าปัญหาเช่นสถานะทางการเมืองของไต้หวันและภาษีศุลกากรทางเศรษฐกิจได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองตึงเครียด ในขณะที่ดาลิโอตั้งข้อสังเกตว่าความกลัวต่อการทำลายล้างซึ่งกันและกันอาจป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยตรง เขากล่าวว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลก

    ดาลิโอเน้นย้ำถึงผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า "ภัยธรรมชาติ" เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาด มักก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางสังคมมากกว่าสงคราม CNBC เน้นย้ำถึงคำเตือนของเขาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในไม่ช้านี้ โดยคาดว่า GDP ทั่วโลกจะหดตัวลง 12% ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส

    สุดท้าย Dalio เน้นย้ำถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เขาแนะนำว่าผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีอาจทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น การประเมินโดยรวมของ Dalio นั้นระมัดระวัง โดยคำพูดสุดท้ายของเขาบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงด้านลบมากกว่าโอกาสด้านบวก

    ที่มา : https://www.cryptoglobe.com/latest/2024/09/billionaire-ray-dalio-warns-of-soaring-u-s-debt-geopolitical-tensions-and-tech-wars-between-nations/

    #Thaitimes
    Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก หวั่นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเสี่ยงเจอวิกฤตหนัก 5 ประการ ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นรุมเร้าและการเมืองภายในแตกแยก ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงเป็นสงครามการค้าตั้งกำแพงภาษี ท่ามกลางภัยธรรมชาติรุนแรงสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินยิ่งกว่าสงคราม ในการประชุมสุดยอดเอเชียของ Milken Institute ที่สิงคโปร์ เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับมหาเศรษฐี ได้ระบุถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญ 5 ประการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยระบุถึงลักษณะเป็นวัฏจักรและเชื่อมโยงกัน ตามรายงานของลี อิง ชาน นักข่าว CNBC ในการพูดก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ทุกคนรอคอยมานาน ดาลิโอได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับวิธีการที่สหรัฐฯ จะจัดการหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงิน 1.049 ล้านล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบเป็นรายปี ดาลิโอตั้งคำถามว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินของสหรัฐฯ และบทบาทของสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ในฐานะแหล่งเก็บความมั่งคั่งที่เชื่อถือได้อย่างไร ตามรายงานของ CNBC ดาลิโอยังได้ดึงความสนใจไปที่สิ่งที่เขาเรียกว่า "ความไม่สงบภายใน" ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมืองที่ขยายตัวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 เขาเตือนว่าความแตกต่างที่ไม่อาจปรองดองได้ระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายทางการเมือง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง อาจขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ แม้ว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจะถูกมองว่าเป็นผู้นำ แต่ดาลิโอแนะนำว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่านโยบายของผู้สมัครคนใด ๆ บนเวทีระหว่างประเทศ ดาลิโออ้างถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าเป็นแหล่งความกังวลที่สำคัญ ดาลิโอกล่าวว่าปัญหาเช่นสถานะทางการเมืองของไต้หวันและภาษีศุลกากรทางเศรษฐกิจได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองตึงเครียด ในขณะที่ดาลิโอตั้งข้อสังเกตว่าความกลัวต่อการทำลายล้างซึ่งกันและกันอาจป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยตรง เขากล่าวว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลก ดาลิโอเน้นย้ำถึงผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า "ภัยธรรมชาติ" เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาด มักก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางสังคมมากกว่าสงคราม CNBC เน้นย้ำถึงคำเตือนของเขาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในไม่ช้านี้ โดยคาดว่า GDP ทั่วโลกจะหดตัวลง 12% ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส สุดท้าย Dalio เน้นย้ำถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เขาแนะนำว่าผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีอาจทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น การประเมินโดยรวมของ Dalio นั้นระมัดระวัง โดยคำพูดสุดท้ายของเขาบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงด้านลบมากกว่าโอกาสด้านบวก ที่มา : https://www.cryptoglobe.com/latest/2024/09/billionaire-ray-dalio-warns-of-soaring-u-s-debt-geopolitical-tensions-and-tech-wars-between-nations/ #Thaitimes
    WWW.CRYPTOGLOBE.COM
    Ray Dalio Reveals the Top Five Forces Influencing the Global Economy
    Ray Dalio foresees a dangerous convergence of forces that could reshape the global order.
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1730 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
    หลังจากอ่อนตัวลง 4 วันทำการ
    เนื่องจากผู้ซื้อขายลดการเดิมพันการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดลง

    🚩โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน
    และสกุลเงินหลักอื่นๆ ในวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนมองไปข้างหน้า
    ่อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หลังจากรายงานการจ้างงาน ที่มีแนวโน้ม
    ลดลงเมื่อวันศุกร์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขนาดของการ
    ปรับลด อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
    ที่มา : Reuters
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ #thaitimes
    🔥🔥ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากอ่อนตัวลง 4 วันทำการ เนื่องจากผู้ซื้อขายลดการเดิมพันการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดลง 🚩โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน และสกุลเงินหลักอื่นๆ ในวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนมองไปข้างหน้า ่อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หลังจากรายงานการจ้างงาน ที่มีแนวโน้ม ลดลงเมื่อวันศุกร์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขนาดของการ ปรับลด อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 862 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥วันนี้นักลงทุนทั่วโลก ต่างจับตามอง ตัวเลขการจ้างงาน
    นอกภาคการเกษตรของสหรัฐ ที่จะประกาศในวันนี้

    🚩โดยเช้าวันที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนีหุ้นทั่วโลกของ MSCI
    ร่วงลงเล็กน้อย ในวันพฤหัสบดีก่อนข้อมูล
    การจ้างงานภาคการเกษตรของสหรัฐฯ
    จะประกาศในคืนนี้

    🚩สำหรับข้อมูลของวันพฤหัสบดี (เมื่อวาน) แสดงให้เห็นว่า
    นายจ้างภาคเอกชนของสหรัฐฯ จ้างคนงานน้อยที่สุด
    ในรอบ 3 ปีครึ่ง ในเดือนสิงหาคม ในขณะที่ตัวเลข
    เดือนกรกฎาคมถูกปรับลดลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัว
    ของตลาดแรงงานอย่างรุนแรง

    🚩สำหรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
    ประจำเดือนสิงหาคมในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะชี้แจงได้ว่า
    ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเพียงใด
    ในการประชุมเดือนกันยายน นี้

    🚩โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะมีการจ้างงานใหม่ 160,000
    ตำแหน่ง ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 114,000 ตำแหน่ง
    ในเดือนกรกฎาคม

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจสหรัฐ #การจ้างงาน
    #thaitimes
    🔥🔥วันนี้นักลงทุนทั่วโลก ต่างจับตามอง ตัวเลขการจ้างงาน นอกภาคการเกษตรของสหรัฐ ที่จะประกาศในวันนี้ 🚩โดยเช้าวันที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนีหุ้นทั่วโลกของ MSCI ร่วงลงเล็กน้อย ในวันพฤหัสบดีก่อนข้อมูล การจ้างงานภาคการเกษตรของสหรัฐฯ จะประกาศในคืนนี้ 🚩สำหรับข้อมูลของวันพฤหัสบดี (เมื่อวาน) แสดงให้เห็นว่า นายจ้างภาคเอกชนของสหรัฐฯ จ้างคนงานน้อยที่สุด ในรอบ 3 ปีครึ่ง ในเดือนสิงหาคม ในขณะที่ตัวเลข เดือนกรกฎาคมถูกปรับลดลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัว ของตลาดแรงงานอย่างรุนแรง 🚩สำหรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคมในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะชี้แจงได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเพียงใด ในการประชุมเดือนกันยายน นี้ 🚩โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะมีการจ้างงานใหม่ 160,000 ตำแหน่ง ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 114,000 ตำแหน่ง ในเดือนกรกฎาคม ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจสหรัฐ #การจ้างงาน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1058 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ
    ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง
    ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้

    🚩การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก
    เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม
    ถดถอย

    🚩ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ
    55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน
    ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4%
    หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ
    เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา

    🚩ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน
    ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ
    ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ
    ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ
    นโยบายอย่างไร

    🚩รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง
    การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า
    กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล
    เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น
    สกุลเงินดิจิทัล

    🚩ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น
    เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย
    แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
    หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน
    ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่
    เดือนมิถุนายน
    ที่มา : cointelegraph
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้ 🚩การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม ถดถอย 🚩ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ 55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4% หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา 🚩ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ นโยบายอย่างไร 🚩รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น สกุลเงินดิจิทัล 🚩ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ที่มา : cointelegraph #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1521 มุมมอง 0 รีวิว
  • Black Monday 5 สิงหา 2024 วันเดียวตลาดหุ้นสหรัฐฯ มูลค่าหายไปกว่า 1.93 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจาก Nasdaq ร่วงลงกว่า 1,000 จุด เจ้าหน้าที่กล่าวว่า Nasdaq ไม่เคยต่ำขนาดนี้มาก่อน

    5 สิงหาคม 2567 -ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ 5สิงหาคม เนื่องมาจากแรงเทขายในตลาดโลกที่มุ่งเป้าไปที่ความกลัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถดถอย ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นร่วงลง 12% ซึ่งถือเป็นวันตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday เมื่อปี 1987 สำหรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 1,031 จุด หรือ 2.6% ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 4.1% และดัชนี S&P 500 ลดลง 3.2%

    ความหวาดกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เป็นสาเหตุหลักของการล่มสลายของตลาดทุนตลาดการเงินโลก หลังจากรายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่น่าผิดหวังเมื่อวันศุกร์ นักลงทุนยังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    #Thaitimes
    Black Monday 5 สิงหา 2024 วันเดียวตลาดหุ้นสหรัฐฯ มูลค่าหายไปกว่า 1.93 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจาก Nasdaq ร่วงลงกว่า 1,000 จุด เจ้าหน้าที่กล่าวว่า Nasdaq ไม่เคยต่ำขนาดนี้มาก่อน 5 สิงหาคม 2567 -ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ 5สิงหาคม เนื่องมาจากแรงเทขายในตลาดโลกที่มุ่งเป้าไปที่ความกลัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถดถอย ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นร่วงลง 12% ซึ่งถือเป็นวันตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday เมื่อปี 1987 สำหรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 1,031 จุด หรือ 2.6% ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 4.1% และดัชนี S&P 500 ลดลง 3.2% ความหวาดกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เป็นสาเหตุหลักของการล่มสลายของตลาดทุนตลาดการเงินโลก หลังจากรายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่น่าผิดหวังเมื่อวันศุกร์ นักลงทุนยังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 820 มุมมอง 0 รีวิว