• ก.ล.ต. กล่าวโทษ "วนรัตน์-ชนินทร์" และพวกรวม5ราย เผยแพร่ข้อมูลเท็จ STARK เกี่ยวกับการใช้เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาทและจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน ทั้งที่ในความเป็นจริงเงินเพิ่มทุนถูกใช้ไปหมดแล้ว และบริษัทไม่มีสถานะทางการเงินที่เพียงพอสำหรับโครงการซื้อหุ้นคืน

    18 กันยายน 2567-รายงานข่าวจากสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 5 ราย ได้แก่ (1) บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) และอดีตกรรมการและ/หรืออดีตผู้บริหารของ STARK ได้แก่ (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ (4) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ (5) นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของ STARK และรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

    ทั้งนี้ ในขณะเกิดเหตุ นายชนินทร์ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท นายศรัทธาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน เลขานุการ และกรรมการบริษัท นายวนรัตน์ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท และนายประกรณ์ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท อีกทั้ง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 ราย กรณีมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกรณีตกแต่งงบการเงินปี 2565 ของ STARK* บุคคลดังกล่าวจึงอยู่ในฐานะที่ทราบได้ว่า STARK มิได้มีกำไรสะสมและสภาพคล่องเพียงพอในการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน นอกจากนี้ นายชนินทร์และนายศรัทธายังทราบข้อเท็จจริงว่า เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาท ได้ถูกนำออกไปใช้จ่ายจนหมดแล้ว โดยบุคคลทั้ง 4 รายมีส่วนร่วมในการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศของ STARK ดังกล่าว โดยกรณีนี้ เกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินในปี 2565

    การกระทำของ STARK เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน

    ที่มา : https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=11154

    #Thaitimes
    ก.ล.ต. กล่าวโทษ "วนรัตน์-ชนินทร์" และพวกรวม5ราย เผยแพร่ข้อมูลเท็จ STARK เกี่ยวกับการใช้เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาทและจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน ทั้งที่ในความเป็นจริงเงินเพิ่มทุนถูกใช้ไปหมดแล้ว และบริษัทไม่มีสถานะทางการเงินที่เพียงพอสำหรับโครงการซื้อหุ้นคืน 18 กันยายน 2567-รายงานข่าวจากสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 5 ราย ได้แก่ (1) บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) และอดีตกรรมการและ/หรืออดีตผู้บริหารของ STARK ได้แก่ (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ (4) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ (5) นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของ STARK และรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทั้งนี้ ในขณะเกิดเหตุ นายชนินทร์ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท นายศรัทธาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน เลขานุการ และกรรมการบริษัท นายวนรัตน์ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท และนายประกรณ์ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท อีกทั้ง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 ราย กรณีมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกรณีตกแต่งงบการเงินปี 2565 ของ STARK* บุคคลดังกล่าวจึงอยู่ในฐานะที่ทราบได้ว่า STARK มิได้มีกำไรสะสมและสภาพคล่องเพียงพอในการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน นอกจากนี้ นายชนินทร์และนายศรัทธายังทราบข้อเท็จจริงว่า เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาท ได้ถูกนำออกไปใช้จ่ายจนหมดแล้ว โดยบุคคลทั้ง 4 รายมีส่วนร่วมในการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศของ STARK ดังกล่าว โดยกรณีนี้ เกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินในปี 2565 การกระทำของ STARK เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ที่มา : https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=11154 #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 775 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการจีนลงโทษสั่งแบนบริษัท PwC China เป็นเวลา 6 เดือนและปรับเงิน 441 ล้านหยวน (62 ล้านดอลลาร์) หลังจากที่ พบหลักฐานว่า PwC ที่ตรวจสอบบัญชี บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ผิดพลาดร้ายแรง จนส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงินมหาศาล และละเมิดกฎระเบียบ เจ้าหน้าที่ระบุว่าพนักงาน "ปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอม" ให้เกิดการฉ้อโกงในการตรวจสอบบัญชีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ที่ล้มละลาย

    17 กันยายน 2567-รายงานไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่ ทางการจีนดำเนินการกับBig Four บริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำของโลกสี่อันดับแรก โดยเกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนประกาศเมื่อเดือนมีนาคมว่า PwC China ได้อนุมัติบัญชีของ Evergrande แล้ว แม้ว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์Evergrandeรายนี้จะมีรายได้เกือบ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีก่อนจะผิดนัดชำระหนี้ในปี 2021

    กระทรวงการคลังของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า PwC Zhong Tian ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ PwC China และสาขาที่กว่างโจวทราบถึง "ข้อผิดพลาดสำคัญ" ในการตรวจสอบบัญชีของ Evergrande ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 แต่ไม่ยอมชี้แจงให้ชัดเจน โดยกระทรวงฯ สั่งให้ปิดสาขาที่กว่างโจวของ PwC China

    PwC China มี "ข้อบกพร่องร้ายแรง" ในกระบวนการตรวจสอบบัญชีของ Hengda Real Estate ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Evergrande ในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนำไปสู่ ​​"ข้อสรุปที่ผิดพลาดมากมาย" กระทรวงฯ กล่าว บริษัท "สูญเสียความเป็นอิสระ" และ "เพิ่มผลกำไร" ผ่านการตรวจสอบบัญชี เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม

    "พฤติกรรมของ PwC ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวในการตรวจสอบบัญชีเท่านั้น พวกเขาปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอมให้มีการฉ้อโกงทางการเงินและการออกพันธบัตรของบริษัทโดยฉ้อโกงของ Hengda Real Estate" สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนกล่าวในแถลงการณ์แยกต่างหาก

    สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์พบว่าบันทึกของ PwC เกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ Hengda ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้สะท้อน "สภาพที่แท้จริง" ในพื้นที่ โดยระบุว่ากระบวนการคัดเลือกตัวอย่างของ PwC "อยู่นอกเหนือการควบคุม" โดยที่ทรัพย์สินที่ผู้พัฒนาโครงการระบุว่า "ห้ามเข้า" จะไม่รวมอยู่ในการเยี่ยมชมไซต์ของ PwC

    คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีนได้สั่งปรับ PwC China เป็นเงิน 116 ล้านหยวน และ 325 ล้านหยวน
    PwC ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราผิดหวังกับการตรวจสอบบัญชีของ PwC Zhong Tian (หรือ ‘PwC ZT’) ของ Hengda ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่เราคาดหวังจากบริษัทสมาชิกเครือข่าย PwC อย่างไม่สามารถยอมรับได้“

    PwC ระบุว่าได้เลิกจ้างหุ้นส่วน 6 คน และสั่งปลด พนักงาน 5 คนที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบบัญชีโดยตรงให้ลาออก
    PwC กล่าวว่า Daniel Li ซึ่งเพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสของ PwC China เมื่อเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 4 ปี ได้ตกลงที่จะลาออกจากตำแหน่ง

    “เนื่องจากความรับผิดชอบเดิมของเขา” ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบของบริษัท โดยเขาจะยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัทต่อไป

    PwC กล่าวว่า Hemione Hudson หุ้นส่วนอาวุโสในสหราชอาณาจักร จะเข้ามาดูแลธุรกิจในประเทศจีนเป็นการชั่วคราว และPwC ดึงพันธมิตรจากอังกฤษเข้ามาบริหารธุรกิจในจีนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาว

    การเคลื่อนไหวดังกล่าวตอกย้ำถึงระดับความกังวลภายในกลุ่ม Big Four เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในจีน ซึ่งแตกต่างจากบริษัทข้ามชาติอื่นๆ PwC มักดำเนินงานเป็นเครือข่ายของหุ้นส่วนที่เป็นเจ้าของในท้องถิ่นอย่างอิสระ ดังนั้น การแต่งตั้งบุคคลภายนอกจึงถือเป็นก้าวที่แปลกมาก

    Mohamed Kande ประธาน PwC ระดับโลกกล่าวว่า “งานที่ดำเนินการโดยทีมตรวจสอบบัญชี Hengda ของ PwC Zhong Tian ต่ำกว่าความคาดหวังสูงของเราอย่างมาก และเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่สะท้อนถึงสิ่งที่เรายึดมั่นในฐานะเครือข่าย และไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งนี้ที่ PwC”
    ค่าปรับPwCดังกล่าว 31 ล้านดอลลาร์และคำสั่งห้ามดำเนินธุรกิจบางส่วนเป็นเวลาสามเดือนที่บังคับใช้กับ Deloitte เมื่อปีที่แล้วสำหรับ “ข้อบกพร่องในการตรวจสอบบัญชีที่ร้ายแรง” ที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัทกับ China Huarong Asset Management ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการหนี้เสียรายใหญ่ที่สุดในจีน

    กระทรวงการคลังยังกล่าวอีกว่าจะดำเนินการสอบสวน "การละเมิดที่เกี่ยวข้อง" ของหน่วยงาน PwC ในฮ่องกง ซึ่งทำการตรวจสอบบัญชีของกลุ่มบริษัทแม่ Evergrande

    กระทรวงได้เพิกถอนใบอนุญาตการบัญชีของพนักงาน PwC 4 คนที่ลงนามในงบการเงินของ Hengda ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 และปรับเงินบุคคลอื่นอีก 7 คนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารบัญชีของ Hengda

    PwC สูญเสียรายได้จากการบัญชีไปแล้วประมาณสองในสามจากลูกค้าที่จดทะเบียนในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ซึ่งเปลี่ยนผู้ตรวจสอบบัญชีจาก PwC ในปีนี้ เนื่องจากคดีความขัดแย้งเกี่ยวกับ Evergrande ที่เพิ่มมากขึ้น ธนาคารแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ได้เปลี่ยนมาใช้คู่แข่งอย่าง EY ในเดือนสิงหาคม

    PwC พยายามรักษาลูกค้าไว้โดยให้คำมั่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าสามารถทำการตรวจสอบบัญชีในปี 2024 ได้สำเร็จแม้จะมีการห้ามก็ตาม ลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent รวมถึงบริษัทประกันภัย AIA ซึ่งยังคงทำงานร่วมกับ PwC

    ตามกฎหมายในจีน รัฐวิสาหกิจของจีนไม่สามารถใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรร่วมกับลูกค้าในแผ่นดินใหญ่จำนวนมากได้

    #Thaitimes
    ทางการจีนลงโทษสั่งแบนบริษัท PwC China เป็นเวลา 6 เดือนและปรับเงิน 441 ล้านหยวน (62 ล้านดอลลาร์) หลังจากที่ พบหลักฐานว่า PwC ที่ตรวจสอบบัญชี บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ผิดพลาดร้ายแรง จนส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงินมหาศาล และละเมิดกฎระเบียบ เจ้าหน้าที่ระบุว่าพนักงาน "ปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอม" ให้เกิดการฉ้อโกงในการตรวจสอบบัญชีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ที่ล้มละลาย 17 กันยายน 2567-รายงานไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่ ทางการจีนดำเนินการกับBig Four บริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำของโลกสี่อันดับแรก โดยเกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนประกาศเมื่อเดือนมีนาคมว่า PwC China ได้อนุมัติบัญชีของ Evergrande แล้ว แม้ว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์Evergrandeรายนี้จะมีรายได้เกือบ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีก่อนจะผิดนัดชำระหนี้ในปี 2021 กระทรวงการคลังของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า PwC Zhong Tian ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ PwC China และสาขาที่กว่างโจวทราบถึง "ข้อผิดพลาดสำคัญ" ในการตรวจสอบบัญชีของ Evergrande ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 แต่ไม่ยอมชี้แจงให้ชัดเจน โดยกระทรวงฯ สั่งให้ปิดสาขาที่กว่างโจวของ PwC China PwC China มี "ข้อบกพร่องร้ายแรง" ในกระบวนการตรวจสอบบัญชีของ Hengda Real Estate ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Evergrande ในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนำไปสู่ ​​"ข้อสรุปที่ผิดพลาดมากมาย" กระทรวงฯ กล่าว บริษัท "สูญเสียความเป็นอิสระ" และ "เพิ่มผลกำไร" ผ่านการตรวจสอบบัญชี เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม "พฤติกรรมของ PwC ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวในการตรวจสอบบัญชีเท่านั้น พวกเขาปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอมให้มีการฉ้อโกงทางการเงินและการออกพันธบัตรของบริษัทโดยฉ้อโกงของ Hengda Real Estate" สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนกล่าวในแถลงการณ์แยกต่างหาก สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์พบว่าบันทึกของ PwC เกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ Hengda ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้สะท้อน "สภาพที่แท้จริง" ในพื้นที่ โดยระบุว่ากระบวนการคัดเลือกตัวอย่างของ PwC "อยู่นอกเหนือการควบคุม" โดยที่ทรัพย์สินที่ผู้พัฒนาโครงการระบุว่า "ห้ามเข้า" จะไม่รวมอยู่ในการเยี่ยมชมไซต์ของ PwC คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีนได้สั่งปรับ PwC China เป็นเงิน 116 ล้านหยวน และ 325 ล้านหยวน PwC ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราผิดหวังกับการตรวจสอบบัญชีของ PwC Zhong Tian (หรือ ‘PwC ZT’) ของ Hengda ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่เราคาดหวังจากบริษัทสมาชิกเครือข่าย PwC อย่างไม่สามารถยอมรับได้“ PwC ระบุว่าได้เลิกจ้างหุ้นส่วน 6 คน และสั่งปลด พนักงาน 5 คนที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบบัญชีโดยตรงให้ลาออก PwC กล่าวว่า Daniel Li ซึ่งเพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสของ PwC China เมื่อเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 4 ปี ได้ตกลงที่จะลาออกจากตำแหน่ง “เนื่องจากความรับผิดชอบเดิมของเขา” ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบของบริษัท โดยเขาจะยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัทต่อไป PwC กล่าวว่า Hemione Hudson หุ้นส่วนอาวุโสในสหราชอาณาจักร จะเข้ามาดูแลธุรกิจในประเทศจีนเป็นการชั่วคราว และPwC ดึงพันธมิตรจากอังกฤษเข้ามาบริหารธุรกิจในจีนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาว การเคลื่อนไหวดังกล่าวตอกย้ำถึงระดับความกังวลภายในกลุ่ม Big Four เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในจีน ซึ่งแตกต่างจากบริษัทข้ามชาติอื่นๆ PwC มักดำเนินงานเป็นเครือข่ายของหุ้นส่วนที่เป็นเจ้าของในท้องถิ่นอย่างอิสระ ดังนั้น การแต่งตั้งบุคคลภายนอกจึงถือเป็นก้าวที่แปลกมาก Mohamed Kande ประธาน PwC ระดับโลกกล่าวว่า “งานที่ดำเนินการโดยทีมตรวจสอบบัญชี Hengda ของ PwC Zhong Tian ต่ำกว่าความคาดหวังสูงของเราอย่างมาก และเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่สะท้อนถึงสิ่งที่เรายึดมั่นในฐานะเครือข่าย และไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งนี้ที่ PwC” ค่าปรับPwCดังกล่าว 31 ล้านดอลลาร์และคำสั่งห้ามดำเนินธุรกิจบางส่วนเป็นเวลาสามเดือนที่บังคับใช้กับ Deloitte เมื่อปีที่แล้วสำหรับ “ข้อบกพร่องในการตรวจสอบบัญชีที่ร้ายแรง” ที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัทกับ China Huarong Asset Management ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการหนี้เสียรายใหญ่ที่สุดในจีน กระทรวงการคลังยังกล่าวอีกว่าจะดำเนินการสอบสวน "การละเมิดที่เกี่ยวข้อง" ของหน่วยงาน PwC ในฮ่องกง ซึ่งทำการตรวจสอบบัญชีของกลุ่มบริษัทแม่ Evergrande กระทรวงได้เพิกถอนใบอนุญาตการบัญชีของพนักงาน PwC 4 คนที่ลงนามในงบการเงินของ Hengda ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 และปรับเงินบุคคลอื่นอีก 7 คนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารบัญชีของ Hengda PwC สูญเสียรายได้จากการบัญชีไปแล้วประมาณสองในสามจากลูกค้าที่จดทะเบียนในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ซึ่งเปลี่ยนผู้ตรวจสอบบัญชีจาก PwC ในปีนี้ เนื่องจากคดีความขัดแย้งเกี่ยวกับ Evergrande ที่เพิ่มมากขึ้น ธนาคารแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ได้เปลี่ยนมาใช้คู่แข่งอย่าง EY ในเดือนสิงหาคม PwC พยายามรักษาลูกค้าไว้โดยให้คำมั่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าสามารถทำการตรวจสอบบัญชีในปี 2024 ได้สำเร็จแม้จะมีการห้ามก็ตาม ลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent รวมถึงบริษัทประกันภัย AIA ซึ่งยังคงทำงานร่วมกับ PwC ตามกฎหมายในจีน รัฐวิสาหกิจของจีนไม่สามารถใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรร่วมกับลูกค้าในแผ่นดินใหญ่จำนวนมากได้ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 804 มุมมอง 0 รีวิว
  • TEXAS CHICKEN อำลาไทย

    ร้านไก่ทอดเท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ปิดตัวลงทุกสาขาในวันที่ 30 ก.ย. 2567 นับเป็นการปิดตำนานร้านไก่ทอดสัญชาติอเมริกันที่ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก สร้างความทรงจำให้กับผู้บริโภคมานานถึง 9 ปี โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่าเหลือ 97 สาขา ลดลงจากเมื่อไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มี 100 สาขา และไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มี 107 สาขา

    นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า อยู่ระหว่างทบทวนและปรับปรุงการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่ได้เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เพื่อประเมินความเหมาะสม และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายในอนาคต รวมถึงกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B)

    "โออาร์ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และได้พิจารณายุติการดำเนินธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น โดยคาดว่าจะทยอยปิดทุกสาขาภายในเดือน ก.ย. นี้ โดยยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสและพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต่อไป"

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2558 บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาการให้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ เท็กซัสชิคเก้น กับ Cajun Global LLC ก่อนเปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2558 สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการจำหน่ายชุดไก่ทอดพร้อมเครื่องดื่มรีฟิล ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่างเคเอฟซีถึงกับลงมาทำเครื่องดื่มรีฟิลแข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีเมนูขนมหวานอย่างฮันนี่บิสกิตอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

    ในระยะแรกร้านเท็กซัสชิคเก้นได้เปิดสาขาในศูนย์การค้าเป็นหลัก ก่อนที่แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับและเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในเวลาต่อมา จากนั้น ปตท. ได้แยกธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็นบริษัทใหม่อย่างโออาร์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ทำให้ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ในประเทศไทย จึงถูกรวมเข้าไปในกลุ่มธุรกิจ F&B ของโออาร์

    แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แม้ร้านเท็กซัส ชิคเก้นจะทำกำไร แต่ไม่ถึงเป้าพอที่จะต่อสัญญากับได้ โดยประเมินว่าหากต่อสัญญาแล้วเดินหน้าธุรกิจต่ออาจไม่คุ้ม นอกจากนี้ อดีตผู้บริหาร ปตท. ที่เคยเป็นแม่งานสำคัญอย่าง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่เคยผลักดันธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น สมัยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน ได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว

    #Newskit #TexasChicken #OR
    TEXAS CHICKEN อำลาไทย ร้านไก่ทอดเท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ปิดตัวลงทุกสาขาในวันที่ 30 ก.ย. 2567 นับเป็นการปิดตำนานร้านไก่ทอดสัญชาติอเมริกันที่ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก สร้างความทรงจำให้กับผู้บริโภคมานานถึง 9 ปี โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่าเหลือ 97 สาขา ลดลงจากเมื่อไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มี 100 สาขา และไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มี 107 สาขา นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า อยู่ระหว่างทบทวนและปรับปรุงการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่ได้เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เพื่อประเมินความเหมาะสม และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายในอนาคต รวมถึงกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) "โออาร์ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และได้พิจารณายุติการดำเนินธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น โดยคาดว่าจะทยอยปิดทุกสาขาภายในเดือน ก.ย. นี้ โดยยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสและพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต่อไป" ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2558 บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาการให้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ เท็กซัสชิคเก้น กับ Cajun Global LLC ก่อนเปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2558 สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการจำหน่ายชุดไก่ทอดพร้อมเครื่องดื่มรีฟิล ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่างเคเอฟซีถึงกับลงมาทำเครื่องดื่มรีฟิลแข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีเมนูขนมหวานอย่างฮันนี่บิสกิตอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย ในระยะแรกร้านเท็กซัสชิคเก้นได้เปิดสาขาในศูนย์การค้าเป็นหลัก ก่อนที่แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับและเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในเวลาต่อมา จากนั้น ปตท. ได้แยกธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็นบริษัทใหม่อย่างโออาร์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ทำให้ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ในประเทศไทย จึงถูกรวมเข้าไปในกลุ่มธุรกิจ F&B ของโออาร์ แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แม้ร้านเท็กซัส ชิคเก้นจะทำกำไร แต่ไม่ถึงเป้าพอที่จะต่อสัญญากับได้ โดยประเมินว่าหากต่อสัญญาแล้วเดินหน้าธุรกิจต่ออาจไม่คุ้ม นอกจากนี้ อดีตผู้บริหาร ปตท. ที่เคยเป็นแม่งานสำคัญอย่าง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่เคยผลักดันธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น สมัยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน ได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว #Newskit #TexasChicken #OR
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพิ่งเห็นว่ามีประเด็น ฝรั่งจริง หรือ ฝรั่งเก๊
    เงินการเมือง หรือ ไม่เงินการเมือง
    แอดมิน ก็รออ่านรายงานจาก ตลาดหลักทรัพย์ว่า
    นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นไทยครั้งนี้
    คือ กลุ่มทุนประเทศไหนบ้าง ควรเปิดเผย
    ให้โปร่งใส

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
    #thaitimes
    🔥🔥เพิ่งเห็นว่ามีประเด็น ฝรั่งจริง หรือ ฝรั่งเก๊ เงินการเมือง หรือ ไม่เงินการเมือง แอดมิน ก็รออ่านรายงานจาก ตลาดหลักทรัพย์ว่า นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นไทยครั้งนี้ คือ กลุ่มทุนประเทศไหนบ้าง ควรเปิดเผย ให้โปร่งใส #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 941 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม นักลงทุนบางส่วน ที่ซื้ออยู่ดีๆ
    ถึงเปลี่ยนใจเป็นขายออก
    เพราะต้องทำกำไร (Take profit) อันนี้คือนักลงทุน
    ที่ตั้งใจเข้ามาเก็งกำไรโดยตรง
    โดยเมื่อ Demand ความต้องการซื้อมีมาก มีแรงซื้อมาก
    การขายออกในช่วงจังหวะ Timing ที่ได้ราคาดี เช่นนี้
    คือ ช่วงเวลาในการทำกำไรที่ดี ทำให้
    ภาพ SET ถึงอ่อนตัวลงช่วงวันนี้ และเมื่อวาน

    ส่วนนักลงทุนที่ตั้งใจถือยาว ก็ต้องดูปัจจัย
    แวดล้อมที่มากกว่าเดิม เช่น ผลประกอบการ
    ของบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ และ
    แนวโน้มการเติบโตของบริษัทนั้นๆ รวมทั้ง
    ปัจจัยสนับสนุนในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ
    ในประเทศ เสถียรภาพของรัฐบาล
    ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในประเทศ
    และต่างประเทศ ปัจจัยจากต่างประเทศ
    เป็นต้น

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
    #thaitimes
    🔥🔥ทำไม นักลงทุนบางส่วน ที่ซื้ออยู่ดีๆ ถึงเปลี่ยนใจเป็นขายออก เพราะต้องทำกำไร (Take profit) อันนี้คือนักลงทุน ที่ตั้งใจเข้ามาเก็งกำไรโดยตรง โดยเมื่อ Demand ความต้องการซื้อมีมาก มีแรงซื้อมาก การขายออกในช่วงจังหวะ Timing ที่ได้ราคาดี เช่นนี้ คือ ช่วงเวลาในการทำกำไรที่ดี ทำให้ ภาพ SET ถึงอ่อนตัวลงช่วงวันนี้ และเมื่อวาน 🔥🔥ส่วนนักลงทุนที่ตั้งใจถือยาว ก็ต้องดูปัจจัย แวดล้อมที่มากกว่าเดิม เช่น ผลประกอบการ ของบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ และ แนวโน้มการเติบโตของบริษัทนั้นๆ รวมทั้ง ปัจจัยสนับสนุนในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ ในประเทศ เสถียรภาพของรัฐบาล ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ปัจจัยจากต่างประเทศ เป็นต้น #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes
    Like
    2
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 778 มุมมอง 0 รีวิว
  • งามหน้า ข่าวติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ
    ของไทยเพื่อให้ได้งาน!!!
    Deere ยุติการสอบสวนกรณีสินบนร้านนวด
    และของขวัญอื่นๆ ในประเทศไทยต่อ SEC ของสหรัฐฯ

    เดียร์ Deere ตกลงจ่ายเงิน 9.93 ล้านเหรียญสหรัฐ
    เพื่อยุติข้อกล่าวหาของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
    และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า
    บริษัทลูกในประเทศไทยเสนอบริการร้านนวด และของขวัญ
    ที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ เพื่อให้ได้ธุรกิจจากรัฐบาล
    และมีส่วนร่วมในการติดสินบนเชิงพาณิชย์

    ข้อตกลงวันอังคารแก้ไขข้อกล่าวหา ผู้บริหารระดับสูง
    และพนักงานของบริษัท Wirtgen Thailand
    ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรและ
    เครื่องจักรกลหนัก ได้จ่ายเงินโดยไม่เหมาะสม
    แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงกองทัพอากาศไทย
    และกรมทางหลวงของประเทศไทย

    ก.ล.ต. กล่าวว่ามีการชำระเงินแม้ว่าจรรยาบรรณของหน่วยงาน
    จะห้ามไม่ให้ให้ "สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น" เพื่อมีอิทธิพลต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
    อย่างไม่เหมาะสม

    การจ่ายเงินที่ทำตั้งแต่ช่วงปลายปี 2560 จนถึงปี 2563
    นั้นถูกกล่าวหาว่าอยู่ในรูปแบบเงินสด ค่าอาหาร ค่าที่ปรึกษาปลอม
    ค่าท่องเที่ยวที่ปลอมตัวมาเป็น "การเยี่ยมชมโรงงาน"
    ในสวิตเซอร์แลนด์และประเทศอื่นๆ ในยุโรป และค่า
    "ความบันเทิง" ในร้านนวด

    ก.ล.ต. กล่าวว่าการกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชี
    และบันทึก รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน
    ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง
    หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ

    การชำระเงินของ Deere ประกอบด้วยค่าปรับทางแพ่ง
    4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ การคืนผลประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม
    4.34 ล้านเหรียญสหรัฐ และดอกเบี้ย 1.09 ล้านเหรียญสหรัฐ

    นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของบริษัท Deere
    ซึ่งตั้งอยู่ในโมลีน รัฐอิลลินอยส์ ในการสอบสวน
    การเลิกจ้างพนักงานที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติมิชอบ
    และการปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
    และการฝึกอบรมต่อต้านการติดสินบน

    ที่มา : Reuters
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    งามหน้า ข่าวติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ของไทยเพื่อให้ได้งาน!!! Deere ยุติการสอบสวนกรณีสินบนร้านนวด และของขวัญอื่นๆ ในประเทศไทยต่อ SEC ของสหรัฐฯ เดียร์ Deere ตกลงจ่ายเงิน 9.93 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อยุติข้อกล่าวหาของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า บริษัทลูกในประเทศไทยเสนอบริการร้านนวด และของขวัญ ที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ เพื่อให้ได้ธุรกิจจากรัฐบาล และมีส่วนร่วมในการติดสินบนเชิงพาณิชย์ ข้อตกลงวันอังคารแก้ไขข้อกล่าวหา ผู้บริหารระดับสูง และพนักงานของบริษัท Wirtgen Thailand ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรและ เครื่องจักรกลหนัก ได้จ่ายเงินโดยไม่เหมาะสม แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงกองทัพอากาศไทย และกรมทางหลวงของประเทศไทย ก.ล.ต. กล่าวว่ามีการชำระเงินแม้ว่าจรรยาบรรณของหน่วยงาน จะห้ามไม่ให้ให้ "สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น" เพื่อมีอิทธิพลต่อเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไม่เหมาะสม การจ่ายเงินที่ทำตั้งแต่ช่วงปลายปี 2560 จนถึงปี 2563 นั้นถูกกล่าวหาว่าอยู่ในรูปแบบเงินสด ค่าอาหาร ค่าที่ปรึกษาปลอม ค่าท่องเที่ยวที่ปลอมตัวมาเป็น "การเยี่ยมชมโรงงาน" ในสวิตเซอร์แลนด์และประเทศอื่นๆ ในยุโรป และค่า "ความบันเทิง" ในร้านนวด ก.ล.ต. กล่าวว่าการกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชี และบันทึก รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ การชำระเงินของ Deere ประกอบด้วยค่าปรับทางแพ่ง 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ การคืนผลประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม 4.34 ล้านเหรียญสหรัฐ และดอกเบี้ย 1.09 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของบริษัท Deere ซึ่งตั้งอยู่ในโมลีน รัฐอิลลินอยส์ ในการสอบสวน การเลิกจ้างพนักงานที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติมิชอบ และการปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการฝึกอบรมต่อต้านการติดสินบน ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 741 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ราเกซ"อดีตพ่อมดการเงินที่ต้องโทษคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ BBCจนแบงก์เจ้ง ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตำรวจเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ
    .
    10 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวันนี้ ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัวนายราเกซ สักเสนา (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ
    .
    หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฏาคม 2567 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป
    .
    นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ
    .
    สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปี 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์
    .
    โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย
    .
    นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท
    .
    คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2565 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท
    .
    ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2539 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค. 2552 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2552
    .
    ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี

    ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000083928

    #Thaitimes
    "ราเกซ"อดีตพ่อมดการเงินที่ต้องโทษคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ BBCจนแบงก์เจ้ง ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตำรวจเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ . 10 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวันนี้ ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัวนายราเกซ สักเสนา (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ . หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฏาคม 2567 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป . นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ . สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปี 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ . โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย . นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท . คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2565 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท . ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2539 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค. 2552 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2552 . ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000083928 #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 934 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์
    รองรับการเสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ
    ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุง
    หลักเกณฑ์ กองทุนรวมวายุภักษ์รองรับการเสนอขาย
    ผู้ลงทุนทั่วไป เพื่อส่งเสริมการออมการลงทุน
    และขับเคลื่อนตลาดทุนไทย

    ตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่
    13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติรับทราบการเสนอขาย
    หน่วยลงทุน ของกองทุนรวมวายุภักษ์ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
    ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมการออม
    และการลงทุน ให้กับประชาชนในระยะยาว
    และเพื่อพัฒนาตลาดทุนของประเทศ
    โดยสร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
    แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งจะช่วยลด
    การพึ่งพิงเงินลงทุนต่างประเทศนั้น

    กองทุนรวมวายุภักษ์ มีแผนที่จะเสนอขายหน่วยลงทุน
    แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (ผู้ถือหน่วยลงทุน ก.) ประมาณ
    100,000 – 150,000 ล้านบาท

    และจะนำหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียน
    ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหน่วยลงทุน ก.
    จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล
    ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ
    และไม่เกินกว่าเพดานผลตอบแทนขั้นสูง
    ตามที่กำหนดตลอดระยะเวลา 10 ปี

    นอกจากนี้ ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
    ของกองทุนลดลง ผู้ถือหน่วยลงทุน ก. มีสิทธิได้รับ
    ผลตอบแทนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุน ข.
    (กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ)

    ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ใช้สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์
    ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

    (1) การอนุญาตให้กำหนดราคาขายหน่วยลงทุน ก. ตามมูลค่า
    ที่ตราไว้ (10 บาทต่อหน่วย) ได้ นอกเหนือจากการขาย
    ตามมูลค่าทรัพย์สินต่อหน่วย

    (2) การกำหนดเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์
    เป็นการเฉพาะ และขยายระยะเวลาผ่อนผันการลงทุน
    เกินเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุน ที่มิได้เกิดจากการลงทุนเพิ่มเป็น 10 ปี
    นับตั้งแต่วันที่หน่วยลงทุน ก. ซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ

    และ (3) การอนุญาตให้กระทรวงการคลังชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน
    เป็นหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น (pay-in-kind) ได้
    ตามที่สำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์และบริษัท
    จัดการลงทุนขอมา

    ทั้งนี้ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์
    มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567

    ที่มา: ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กองทุนรวมวายุภักษ์ #thaitimes
    🔥🔥ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์ รองรับการเสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุง หลักเกณฑ์ กองทุนรวมวายุภักษ์รองรับการเสนอขาย ผู้ลงทุนทั่วไป เพื่อส่งเสริมการออมการลงทุน และขับเคลื่อนตลาดทุนไทย ตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติรับทราบการเสนอขาย หน่วยลงทุน ของกองทุนรวมวายุภักษ์ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมการออม และการลงทุน ให้กับประชาชนในระยะยาว และเพื่อพัฒนาตลาดทุนของประเทศ โดยสร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งจะช่วยลด การพึ่งพิงเงินลงทุนต่างประเทศนั้น กองทุนรวมวายุภักษ์ มีแผนที่จะเสนอขายหน่วยลงทุน แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (ผู้ถือหน่วยลงทุน ก.) ประมาณ 100,000 – 150,000 ล้านบาท และจะนำหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหน่วยลงทุน ก. จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินกว่าเพดานผลตอบแทนขั้นสูง ตามที่กำหนดตลอดระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ของกองทุนลดลง ผู้ถือหน่วยลงทุน ก. มีสิทธิได้รับ ผลตอบแทนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุน ข. (กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ) ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ใช้สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้ 🚩(1) การอนุญาตให้กำหนดราคาขายหน่วยลงทุน ก. ตามมูลค่า ที่ตราไว้ (10 บาทต่อหน่วย) ได้ นอกเหนือจากการขาย ตามมูลค่าทรัพย์สินต่อหน่วย 🚩(2) การกำหนดเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ เป็นการเฉพาะ และขยายระยะเวลาผ่อนผันการลงทุน เกินเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุน ที่มิได้เกิดจากการลงทุนเพิ่มเป็น 10 ปี นับตั้งแต่วันที่หน่วยลงทุน ก. ซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ 🚩และ (3) การอนุญาตให้กระทรวงการคลังชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน เป็นหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น (pay-in-kind) ได้ ตามที่สำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์และบริษัท จัดการลงทุนขอมา ทั้งนี้ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567 ที่มา: ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กองทุนรวมวายุภักษ์ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 0 รีวิว
  • อำลาบิ๊กซี สุขาภิบาล 3 คาร์ฟูร์สาขาแรกในไทย

    เดือนกันยายน 2567 ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จะปิดสาขาถาวร 2 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สุขาภิบาล 3 (แยกบ้านม้า) เปิดให้บริการวันสุดท้าย 15 ก.ย. 2567 และบิ๊กซี รังสิต 2 (ตลาดสี่มุมเมือง) เปิดวันสุดท้าย 30 ก.ย. 2567 ทั้งสองสาขาอดีตเคยเป็นห้างคาร์ฟูร์ 7 สาขา ในยุคที่กลุ่มเซ็นทรัลร่วมทุนกับคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส ก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลจะขายหุ้นออกไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพราะไม่สามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนตามที่บริษัทแม่ต้องการเพื่อขยายสาขาได้

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2539 ห้างคาร์ฟูร์ เปิดสาขาแรกที่ถนนสุขาภิบาล 3 ก่อนขยายสาขาในช่วงปี 2539-2541 ได้แก่ ศรีนครินทร์ สุวินทวงศ์ บางใหญ่ รังสิต เชียงใหม่ (หนองป่าครั่ง) และเพชรเกษม (หนองแขม) เมื่อคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าของเต็มตัว ในช่วงปี 2542-2543 จึงได้ขยายสาขารามอินทรา ตามมาด้วยแจ้งวัฒนะ รัตนาธิเบศร์ ที่ฮือฮามากที่สุดคือ สาขาพระราม 4 เปิดประจันหน้ากับห้างเทสโก้ โลตัส และต่อมายังเช่าที่ดินใจกลางเมืองระยะยาว 30 ปี เปิดห้างคาร์ฟูร์ รัชดาภิเษก

    ผ่านมา 13 ปี เปิดสาขาไปแล้ว 42 สาขา มาถึงปี 2553 คาร์ฟูร์ขายกิจการให้กลุ่มกาสิโนกรุ๊ป เจ้าของห้างบิ๊กซี ด้วยมูลค่า 35,500 ล้านบาท ทำให้ห้างคาร์ฟูร์กลายสภาพเป็นบิ๊กซีในรูปแบบต่างๆ เช่น บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า, บิ๊กซี จัมโบ้ กระทั่งกลุ่มกาสิโน กรุ๊ป ขายกิจการให้กับกลุ่มบีเจซี ของตระกูลสิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อปี 2559 ประกอบด้วยไฮเปอร์มาร์เก็ต 125 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 55 สาขา ร้านสะดวกซื้อ 391 สาขา

    ปัจจุบัน บิ๊กซีกำลังจะกลับมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BRC จากข้อมูลเมื่อปี 2565 บิ๊กซี รีเทล มีร้านค้าขนาดใหญ่ (Big Format) บนที่ดินของบริษัทฯ 66 แห่ง เช่าที่ดิน 123 แห่ง และตลาด Open-Air ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของที่ดิน 2 แห่ง และเช่าที่ดิน 5 แห่ง

    สำหรับบิ๊กซี สมัยที่กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของ บางสาขาเช่าที่ดินระยะยาวกับกลุ่มเซ็นทรัล 30 ปี กำลังจะหมดสัญญาในปี 2568-2569 ได้แก่ ราษฎร์บูรณะ โคราช และขอนแก่น ส่วนบางสาขายังคงเช่าพื้นที่ต่อเนื่อง ได้แก่ วงศ์สว่าง (เซ็นทรัล ซูเปอร์สโตร์ เดิม) หัวหมาก แฟชั่นไอส์แลนด์ ชลบุรี (เซ็นทรัล ชลบุรี) และพัทยา (เซ็นทรัลมารีน่า) จึงไม่น่าแปลกใจหากนับจากนี้จะได้พบเห็นการปิดสาขาบิ๊กซี เพราะหลังบิ๊กซีซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในยุคนั้น มีทำเลของทั้งสองห้างซ้ำซ้อนกันหลายสาขา

    #Newskit #บิ๊กซีสุขาภิบาล3 #คาร์ฟูร์
    อำลาบิ๊กซี สุขาภิบาล 3 คาร์ฟูร์สาขาแรกในไทย เดือนกันยายน 2567 ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จะปิดสาขาถาวร 2 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สุขาภิบาล 3 (แยกบ้านม้า) เปิดให้บริการวันสุดท้าย 15 ก.ย. 2567 และบิ๊กซี รังสิต 2 (ตลาดสี่มุมเมือง) เปิดวันสุดท้าย 30 ก.ย. 2567 ทั้งสองสาขาอดีตเคยเป็นห้างคาร์ฟูร์ 7 สาขา ในยุคที่กลุ่มเซ็นทรัลร่วมทุนกับคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส ก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลจะขายหุ้นออกไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพราะไม่สามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนตามที่บริษัทแม่ต้องการเพื่อขยายสาขาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2539 ห้างคาร์ฟูร์ เปิดสาขาแรกที่ถนนสุขาภิบาล 3 ก่อนขยายสาขาในช่วงปี 2539-2541 ได้แก่ ศรีนครินทร์ สุวินทวงศ์ บางใหญ่ รังสิต เชียงใหม่ (หนองป่าครั่ง) และเพชรเกษม (หนองแขม) เมื่อคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าของเต็มตัว ในช่วงปี 2542-2543 จึงได้ขยายสาขารามอินทรา ตามมาด้วยแจ้งวัฒนะ รัตนาธิเบศร์ ที่ฮือฮามากที่สุดคือ สาขาพระราม 4 เปิดประจันหน้ากับห้างเทสโก้ โลตัส และต่อมายังเช่าที่ดินใจกลางเมืองระยะยาว 30 ปี เปิดห้างคาร์ฟูร์ รัชดาภิเษก ผ่านมา 13 ปี เปิดสาขาไปแล้ว 42 สาขา มาถึงปี 2553 คาร์ฟูร์ขายกิจการให้กลุ่มกาสิโนกรุ๊ป เจ้าของห้างบิ๊กซี ด้วยมูลค่า 35,500 ล้านบาท ทำให้ห้างคาร์ฟูร์กลายสภาพเป็นบิ๊กซีในรูปแบบต่างๆ เช่น บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า, บิ๊กซี จัมโบ้ กระทั่งกลุ่มกาสิโน กรุ๊ป ขายกิจการให้กับกลุ่มบีเจซี ของตระกูลสิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อปี 2559 ประกอบด้วยไฮเปอร์มาร์เก็ต 125 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 55 สาขา ร้านสะดวกซื้อ 391 สาขา ปัจจุบัน บิ๊กซีกำลังจะกลับมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BRC จากข้อมูลเมื่อปี 2565 บิ๊กซี รีเทล มีร้านค้าขนาดใหญ่ (Big Format) บนที่ดินของบริษัทฯ 66 แห่ง เช่าที่ดิน 123 แห่ง และตลาด Open-Air ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของที่ดิน 2 แห่ง และเช่าที่ดิน 5 แห่ง สำหรับบิ๊กซี สมัยที่กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของ บางสาขาเช่าที่ดินระยะยาวกับกลุ่มเซ็นทรัล 30 ปี กำลังจะหมดสัญญาในปี 2568-2569 ได้แก่ ราษฎร์บูรณะ โคราช และขอนแก่น ส่วนบางสาขายังคงเช่าพื้นที่ต่อเนื่อง ได้แก่ วงศ์สว่าง (เซ็นทรัล ซูเปอร์สโตร์ เดิม) หัวหมาก แฟชั่นไอส์แลนด์ ชลบุรี (เซ็นทรัล ชลบุรี) และพัทยา (เซ็นทรัลมารีน่า) จึงไม่น่าแปลกใจหากนับจากนี้จะได้พบเห็นการปิดสาขาบิ๊กซี เพราะหลังบิ๊กซีซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในยุคนั้น มีทำเลของทั้งสองห้างซ้ำซ้อนกันหลายสาขา #Newskit #บิ๊กซีสุขาภิบาล3 #คาร์ฟูร์
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC ได้ปรับเงินบริษัทมหาชน
    ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ ทั้งหมด 7 บริษัท
    เป็นเงินทั้งสิ้น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ
    ประมาณ 102 ล้านบาท

    อันเนื่องมาจาก บริษัทต่างๆ เหล่านี้ถูกตั้งข้อกล่าวหา
    เกี่ยวกับการจ้างงาน การแยกทาง หรือข้อตกลงอื่นๆ
    ที่ละเมิดกฎที่ห้ามมิให้กระทำการใดๆ อันเป็นการ
    ขัดขวาง ไม่ให้บุคคลสื่อสารกับหน่วยงานกำกับดูแล
    โดยตรง เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์
    ที่อาจเกิดขึ้นได้
    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SEC #thaitimes
    🔥🔥ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC ได้ปรับเงินบริษัทมหาชน ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ ทั้งหมด 7 บริษัท เป็นเงินทั้งสิ้น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 102 ล้านบาท อันเนื่องมาจาก บริษัทต่างๆ เหล่านี้ถูกตั้งข้อกล่าวหา เกี่ยวกับการจ้างงาน การแยกทาง หรือข้อตกลงอื่นๆ ที่ละเมิดกฎที่ห้ามมิให้กระทำการใดๆ อันเป็นการ ขัดขวาง ไม่ให้บุคคลสื่อสารกับหน่วยงานกำกับดูแล โดยตรง เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SEC #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 513 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอดมิน ดูกราฟของ SET วันนี้ ถ้าไม่มีมาตรการ Uptick Rule
    ของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันการปั่นราคาหุ้น และลด
    ความผันผวนของตลาด
    โดยกำหนดให้ขายชอร์ต ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย
    เราคงเห็นการขายชอร์ตแบบเดิมอีกแน่
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหลักทรัพย์
    #thaitimes
    🔥🔥แอดมิน ดูกราฟของ SET วันนี้ ถ้าไม่มีมาตรการ Uptick Rule ของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันการปั่นราคาหุ้น และลด ความผันผวนของตลาด โดยกำหนดให้ขายชอร์ต ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย เราคงเห็นการขายชอร์ตแบบเดิมอีกแน่ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหลักทรัพย์ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 720 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าปรับปรุง 3 มาตรการ
    กำกับดูแลเพิ่มเติมจากมาตรการกำกับดูแล
    การขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้ง
    ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงไปแล้วก่อนหน้านี้
    เพื่อสร้างความเชื่อมั่นผู้ลงทุน
    เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2567 เป็นต้นไป
    สรุปได้ดังนี้

    1. เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์
    ที่มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ (“มาตรการฯ”)
    จากมาตรการฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเพิ่มวิธีจับคู่ซื้อขาย
    ในคราวเดียว (Auction) ตามช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด
    สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ
    และตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้เข้ามาตรการฯ
    ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป

    2. กำหนดกรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band
    เป็นรายหลักทรัพย์ (±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น)
    เพิ่มเติมจาก Ceiling & Floor ในปัจจุบัน
    (±30% จากราคาปิดในวันทำการก่อนหน้า) เพื่อเพิ่มกลไก
    ในการควบคุมความผันผวนของราคาซื้อขายหลักทรัพย์

    3. กำหนดเวลาขั้นต่ำของคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะสามารถแก้ไข
    หรือยกเลิกคำสั่งซื้อขาย (Minimum Resting Time)
    โดยคำสั่งซื้อขายจะต้องคงอยู่ในระบบอย่างน้อย 250 มิลลิวินาที
    จึงจะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งได้ เพื่อชะลอและป้องกัน
    ไม่ให้เกิดคำสั่งซื้อขายในลักษณะใส่-ถอนที่มีความถี่มากจนเกินไป
    จนอาจทำให้ผู้ลงทุนเข้าใจผิดว่ามีความต้องการซื้อหรือขาย
    หลักทรัพย์ในปริมาณมาก

    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #มาตรการกำกับดูแล
    #thaitimes
    🔥🔥ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าปรับปรุง 3 มาตรการ กำกับดูแลเพิ่มเติมจากมาตรการกำกับดูแล การขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้ง ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นผู้ลงทุน เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2567 เป็นต้นไป สรุปได้ดังนี้ 🚩1. เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ (“มาตรการฯ”) จากมาตรการฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเพิ่มวิธีจับคู่ซื้อขาย ในคราวเดียว (Auction) ตามช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ และตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้เข้ามาตรการฯ ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป 🚩2. กำหนดกรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เป็นรายหลักทรัพย์ (±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น) เพิ่มเติมจาก Ceiling & Floor ในปัจจุบัน (±30% จากราคาปิดในวันทำการก่อนหน้า) เพื่อเพิ่มกลไก ในการควบคุมความผันผวนของราคาซื้อขายหลักทรัพย์ 🚩3. กำหนดเวลาขั้นต่ำของคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะสามารถแก้ไข หรือยกเลิกคำสั่งซื้อขาย (Minimum Resting Time) โดยคำสั่งซื้อขายจะต้องคงอยู่ในระบบอย่างน้อย 250 มิลลิวินาที จึงจะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งได้ เพื่อชะลอและป้องกัน ไม่ให้เกิดคำสั่งซื้อขายในลักษณะใส่-ถอนที่มีความถี่มากจนเกินไป จนอาจทำให้ผู้ลงทุนเข้าใจผิดว่ามีความต้องการซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ในปริมาณมาก ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #มาตรการกำกับดูแล #thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 714 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลค่าการซื้อขายสะสมตามกลุ่มนักลงทุน
    ของตลาดหุ้นไทย หรือ SET
    ย้อนหลัง 1 ปี ตั้งแต่ เดือน สิงหาคม 2566- สิงหาคม 2567
    ได้ข้อมูลดังนี้

    กลุ่มซื้อหุ้น
    1. นักลงทุนในประเทศ ซื้อหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น 161,547 ล้านบาท
    2. สถาบันในประเทศ หรือ กองทุน ซื้อหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น 39,510 ล้านบาท

    กลุ่มขายหุ้น
    1. นักลงทุนต่างประเทศ ขายหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น -197,489 ล้านบาท
    2. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(โบรก) ขายหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น -3,568 ล้านบาท

    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหลักทรัพย์ #ตลาดหุ้น #set #thaitimes
    💥💥 มูลค่าการซื้อขายสะสมตามกลุ่มนักลงทุน ของตลาดหุ้นไทย หรือ SET ย้อนหลัง 1 ปี ตั้งแต่ เดือน สิงหาคม 2566- สิงหาคม 2567 ได้ข้อมูลดังนี้ 🟢กลุ่มซื้อหุ้น 🔺1. นักลงทุนในประเทศ ซื้อหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น 161,547 ล้านบาท 🔺2. สถาบันในประเทศ หรือ กองทุน ซื้อหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น 39,510 ล้านบาท 🔴กลุ่มขายหุ้น 🔻1. นักลงทุนต่างประเทศ ขายหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น -197,489 ล้านบาท 🔻2. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(โบรก) ขายหุ้นสะสมไป ทั้งสิ้น -3,568 ล้านบาท ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหลักทรัพย์ #ตลาดหุ้น #set #thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 635 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำได้ว่าแอดมิน เคยผลักดันเรื่องนี้
    ให้เปิดเผยข้อมูลให้หมด และ อย่างโปร่งใส

    เมื่อ ก.ล.ต. เตรียมออกประกาศ แจ้งเตือน
    นักลงทุน ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ของ บมจ.
    ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นำหุ้นของตัวเอง
    ไปวางค้ำประกัน หรือ จำนำ กับ คัตโตเดียน
    ที่อยู่นอกตลาด

    ซึ่งมองว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการกระทำที่
    ไม่โปร่งใส และมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิด
    ผลกระทบต่อราคาหุ้น และทำให้นักลงทุน
    ขาดทุนได้ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของ
    ราคาโดยฉับพลัน

    คาดเกณ์บังคับจะนำมาใช้ในภายในปีนี้

    ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
    💥💥จำได้ว่าแอดมิน เคยผลักดันเรื่องนี้ ให้เปิดเผยข้อมูลให้หมด และ อย่างโปร่งใส 🚩เมื่อ ก.ล.ต. เตรียมออกประกาศ แจ้งเตือน นักลงทุน ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ของ บมจ. ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นำหุ้นของตัวเอง ไปวางค้ำประกัน หรือ จำนำ กับ คัตโตเดียน ที่อยู่นอกตลาด 🚩ซึ่งมองว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ ไม่โปร่งใส และมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิด ผลกระทบต่อราคาหุ้น และทำให้นักลงทุน ขาดทุนได้ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของ ราคาโดยฉับพลัน 🚩คาดเกณ์บังคับจะนำมาใช้ในภายในปีนี้ ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจ่อแบนบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ในประเทศจีน 6 เดือน ปมตรวจสอบบัญชีบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ประสบภาวะล้มละลายและคดีฉ้อโกง

    22 สิงหาคม 2567-รายงานข่าว Financial Times ระบุว่า PwC ประเทศจีน ได้แจ้งลูกค้าว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะสั่งปรับเงิน และระงับการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นเวลา 6 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้ หลังมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande อดีตผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน

    การตัดสินบทลงโทษที่รุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูแลตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) หรือ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติในงบการเงินของ Hengda Real Estate บริษัทลูกของ Evergrande ในเดือนมีนาคม โดยพบว่าบริษัทรายงานรายได้เกินจริง

    โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นมากผิดปกติที่ 2.13 แสนล้านหยวน หรือครึ่งหนึ่งของรายได้รวมในปี 2562 ในขณะที่ปี 2563 มีรายได้เพิ่มขึ้น 3.5 แสนล้านหยวน หรือ 78.5% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังออกหุ้นกู้โดยอ้างอิงงบการเงินเท็จ โดย PwC ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีขณะนั้น กลับรับรองว่างบการเงินถูกต้อง ซึ่งแสดงว่าบริษัทบกพร่องในการตรวจสอบบัญชี

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น 2 ปีก่อนที่ Evergrande จะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศครั้งแรก จนนำมาสู่วิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากบทลงโทษมีผลบังคับใช้ PwC จะไม่สามารถลงนามรับรองงบการเงิน และการเสนอขายหุ้น IPO รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในบทลงโทษ

    การถูกแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับของจีน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทไม่น้อย โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมีนาคม พบว่า PwC เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ได้รับความนิยมในจีนมากที่สุด โดยมีลูกค้าบริษัทจดทะเบียนวางใจใช้บริการมากถึง 110 แห่ง ทั้งนี้ นับตั้งแต่บริษัทถูก ก.ล.ต. จีน สอบสวนในเดือนมีนาคม มีบริษัทอย่างน้อย 50 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน ได้ขอให้ PwC ยกเลิกการตรวจสอบบัญชีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้ในปีนี้ PwC ประเทศจีน สูญเสียรายได้ทางบัญชีไปแล้วอย่างน้อยสองในสามจากบริษัทจดทะเบียนในจีน เช่น ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Bank of China ที่หันไปใช้บริการบริษัทคู่แข่ง EY สำหรับการตรวจสอบบัญชีประจำปี เนื่องจากได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังจีนว่า PwC จะถูกหน่วยงานกำกับของจีนสั่งปรับเงินฐานมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้

    แม้รายได้จากบริษัทจดทะเบียนและรัฐวิสาหกิจในจีนจะมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ PwC ประเทศจีน แต่การถูกหน่วยงานกำกับของจีนตรวจสอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบริษัทในฐานะหนึ่งใน Big Four ผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำระดับโลก

    ขณะนี้บริษัทจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent โดยการสร้างความมั่นใจว่าบริษัทสามารถดำเนินการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2567 ให้เสร็จสิ้นได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลูกค้าบางรายทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อผูกมัดให้ใช้บริการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568

    ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

    #Thaitimes
    จีนจ่อแบนบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ในประเทศจีน 6 เดือน ปมตรวจสอบบัญชีบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ประสบภาวะล้มละลายและคดีฉ้อโกง 22 สิงหาคม 2567-รายงานข่าว Financial Times ระบุว่า PwC ประเทศจีน ได้แจ้งลูกค้าว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะสั่งปรับเงิน และระงับการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นเวลา 6 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้ หลังมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande อดีตผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน การตัดสินบทลงโทษที่รุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูแลตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) หรือ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติในงบการเงินของ Hengda Real Estate บริษัทลูกของ Evergrande ในเดือนมีนาคม โดยพบว่าบริษัทรายงานรายได้เกินจริง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นมากผิดปกติที่ 2.13 แสนล้านหยวน หรือครึ่งหนึ่งของรายได้รวมในปี 2562 ในขณะที่ปี 2563 มีรายได้เพิ่มขึ้น 3.5 แสนล้านหยวน หรือ 78.5% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังออกหุ้นกู้โดยอ้างอิงงบการเงินเท็จ โดย PwC ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีขณะนั้น กลับรับรองว่างบการเงินถูกต้อง ซึ่งแสดงว่าบริษัทบกพร่องในการตรวจสอบบัญชี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น 2 ปีก่อนที่ Evergrande จะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศครั้งแรก จนนำมาสู่วิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากบทลงโทษมีผลบังคับใช้ PwC จะไม่สามารถลงนามรับรองงบการเงิน และการเสนอขายหุ้น IPO รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในบทลงโทษ การถูกแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับของจีน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทไม่น้อย โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมีนาคม พบว่า PwC เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ได้รับความนิยมในจีนมากที่สุด โดยมีลูกค้าบริษัทจดทะเบียนวางใจใช้บริการมากถึง 110 แห่ง ทั้งนี้ นับตั้งแต่บริษัทถูก ก.ล.ต. จีน สอบสวนในเดือนมีนาคม มีบริษัทอย่างน้อย 50 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน ได้ขอให้ PwC ยกเลิกการตรวจสอบบัญชีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้ในปีนี้ PwC ประเทศจีน สูญเสียรายได้ทางบัญชีไปแล้วอย่างน้อยสองในสามจากบริษัทจดทะเบียนในจีน เช่น ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Bank of China ที่หันไปใช้บริการบริษัทคู่แข่ง EY สำหรับการตรวจสอบบัญชีประจำปี เนื่องจากได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังจีนว่า PwC จะถูกหน่วยงานกำกับของจีนสั่งปรับเงินฐานมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ แม้รายได้จากบริษัทจดทะเบียนและรัฐวิสาหกิจในจีนจะมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ PwC ประเทศจีน แต่การถูกหน่วยงานกำกับของจีนตรวจสอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบริษัทในฐานะหนึ่งใน Big Four ผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำระดับโลก ขณะนี้บริษัทจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent โดยการสร้างความมั่นใจว่าบริษัทสามารถดำเนินการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2567 ให้เสร็จสิ้นได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลูกค้าบางรายทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อผูกมัดให้ใช้บริการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ความลับอยู่ใต้พรมที่พี่คิงส์จะเปิดให้ทุกคนได้รู้
    นายกนิดเป็นตัวละครที่คนไทยเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน
    เป็นแผนอันใจร้ายมากของโทนี่ที่วางไว้แต่แรก
    เพราะรู้ว่านายกนิดมีฝันที่อยากเป็นนายกที่ดี
    อยากทำอะไรดีๆไว้เป็นความทรงจำให้กับประเทศชาติ
    โทนี่ได้วางหมากตัวแรกคือการให้นายกนิดชูนโยบายวอลเลท
    ซึ่งทีมกุนซือต่างให้ความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้
    แต่ถูกซ่อนเงื่อนไว้เป็นสิบปม
    ถ้าคนที่คร่ำหวอดวงการข่าวสารจะรู้
    ว่าถ้าโปรเจคนี้ฝืนทำต่อ นายกนิดต้องเข้าซังเตแน่นอน
    สิ่งที่โทนี่ได้คือ คะแนนเสียงที่มากมายจากนโยบายที่ให้นายกนิดล่อเป้าไว้
    ชั้นที่สองคือ เมื่อถึงขั้นดำเนินการมันไม่มีทางสำเร็จ
    ก็จะอ้างว่า เพราะนิดไม่มีฝีมือ นโยบายวอลเลทคือของนิด
    และไม้ตายคือ ยัดคนมีประวัติอย่างพิชิตชื่นบาน ผู้ด่างพร้อย
    ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า นี่คือการสกายคิกส์ให้นายกนิดหลุด
    แต่ที่หลายคนไม่รู้จุดสำคัญที่ถือว่าใจร้ายที่สุดคือ
    การบีบให้นายกนิดเสนอชื่อพิชิตชื่นบาน สิ่งที่นายกนิดต้องเจอ
    ไม่ใช่แค่การถูกถอดจากการเป็นนายก เพราะฐานความผิดคือ
    ผิดจริยะธรรมร้ายแรง เนื่องจากเสนอคนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือคนซั่วมาเป็นรัฐมนตรี ก็เท่ากับเชิดชูคนซั่วให้มีอำนาจ นี่แหละจึงถือว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และถ้าดูข้อแก้ต่างของนายกนิด ท่านบอกว่า เพราะเป็นนักธุรกิจไม่มีความรู้เรื่องเงื่อนไขนี้ ก็เป็นการบอกกับสังคมกลายๆว่า ถูกบีบมาให้เสนอ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะพิชิตไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับนายกมาก่อน สัมพันธ์กันโทนี่เต็มๆเถียงไม่ได้
    และตรงที่ถูกตัดสินว่า เป็นผู้ผิดจริยธรรมร้ายแรง
    ทำให้นายกนิด ไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นนายก และ ไม่สามารถเข้าไปมีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทตัวเองหรือบริษัทไหนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เพราะมีระเบียบตลาดหลักทรัพย์เรื่อง ธรรมาภิบาล
    โทนี่ ห-ล-อ-ก-ใช้ ไม่พอ แต่ใจร้ายถึงขนาด ตัดทุกเส้นทางที่จะเติบโตมาเป็นคู่แข่งในอนาคต คนใกล้ตัวต่างคุ้นชินพฤติกรรมนี้ของโทนี่
    มีแต่คนวงนอกที่ไม่รู้ และแม้แต่สิ่งที่นายกนิดต้องประสบ เรื่องนี้ที่พี่คิงส์มาบอก ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ ว่านายกนิดคนนี้ต้องพบกับอะไรบ้าง ที่โทนี่ได้ก่อกรรมไว้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ความลับอยู่ใต้พรมที่พี่คิงส์จะเปิดให้ทุกคนได้รู้ นายกนิดเป็นตัวละครที่คนไทยเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เป็นแผนอันใจร้ายมากของโทนี่ที่วางไว้แต่แรก เพราะรู้ว่านายกนิดมีฝันที่อยากเป็นนายกที่ดี อยากทำอะไรดีๆไว้เป็นความทรงจำให้กับประเทศชาติ โทนี่ได้วางหมากตัวแรกคือการให้นายกนิดชูนโยบายวอลเลท ซึ่งทีมกุนซือต่างให้ความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ แต่ถูกซ่อนเงื่อนไว้เป็นสิบปม ถ้าคนที่คร่ำหวอดวงการข่าวสารจะรู้ ว่าถ้าโปรเจคนี้ฝืนทำต่อ นายกนิดต้องเข้าซังเตแน่นอน สิ่งที่โทนี่ได้คือ คะแนนเสียงที่มากมายจากนโยบายที่ให้นายกนิดล่อเป้าไว้ ชั้นที่สองคือ เมื่อถึงขั้นดำเนินการมันไม่มีทางสำเร็จ ก็จะอ้างว่า เพราะนิดไม่มีฝีมือ นโยบายวอลเลทคือของนิด และไม้ตายคือ ยัดคนมีประวัติอย่างพิชิตชื่นบาน ผู้ด่างพร้อย ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า นี่คือการสกายคิกส์ให้นายกนิดหลุด แต่ที่หลายคนไม่รู้จุดสำคัญที่ถือว่าใจร้ายที่สุดคือ การบีบให้นายกนิดเสนอชื่อพิชิตชื่นบาน สิ่งที่นายกนิดต้องเจอ ไม่ใช่แค่การถูกถอดจากการเป็นนายก เพราะฐานความผิดคือ ผิดจริยะธรรมร้ายแรง เนื่องจากเสนอคนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือคนซั่วมาเป็นรัฐมนตรี ก็เท่ากับเชิดชูคนซั่วให้มีอำนาจ นี่แหละจึงถือว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และถ้าดูข้อแก้ต่างของนายกนิด ท่านบอกว่า เพราะเป็นนักธุรกิจไม่มีความรู้เรื่องเงื่อนไขนี้ ก็เป็นการบอกกับสังคมกลายๆว่า ถูกบีบมาให้เสนอ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะพิชิตไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับนายกมาก่อน สัมพันธ์กันโทนี่เต็มๆเถียงไม่ได้ และตรงที่ถูกตัดสินว่า เป็นผู้ผิดจริยธรรมร้ายแรง ทำให้นายกนิด ไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นนายก และ ไม่สามารถเข้าไปมีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทตัวเองหรือบริษัทไหนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เพราะมีระเบียบตลาดหลักทรัพย์เรื่อง ธรรมาภิบาล โทนี่ ห-ล-อ-ก-ใช้ ไม่พอ แต่ใจร้ายถึงขนาด ตัดทุกเส้นทางที่จะเติบโตมาเป็นคู่แข่งในอนาคต คนใกล้ตัวต่างคุ้นชินพฤติกรรมนี้ของโทนี่ มีแต่คนวงนอกที่ไม่รู้ และแม้แต่สิ่งที่นายกนิดต้องประสบ เรื่องนี้ที่พี่คิงส์มาบอก ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ ว่านายกนิดคนนี้ต้องพบกับอะไรบ้าง ที่โทนี่ได้ก่อกรรมไว้ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • Colin Huang Zheng เจ้าของแพลตฟอร์ม TEMUวัย44ปีได้รับการจัดอันดับจากBloomberg Billionaires Index เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 48,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เขาแซงหน้าจง ซานซาน ราชาแห่งน้ำดื่มบรรจุขวดของประเทศ ซึ่งครองอันดับหนึ่งมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2021

    Colin Huang Zheng เกิดในปี 1980 ที่เมืองหางโจวซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของอาลีบาบา Colin Huang Zheng เติบโตมาในยุคที่จีนกำลังเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจ ด้วยความสามารถทางวิชาการที่โดดเด่น เขาได้รับทุนการศึกษาให้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เคยฝึกงานที่ Microsoft ในปักกิ่งและซีแอตเทิล ก่อนที่จะเริ่มต้นอาชีพการงานที่ Google ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2003

    ในปี 2006 Colin Huang Zheng ตัดสินใจกลับมาจีนเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง หลังจากทดลองทำธุรกิจหลายรูปแบบ ตั้งบริษัทเกมออนไลน์ Xinyoudi และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Ouku.com ขึ้นมา โคลิน หวงเคยล้มป่วยในช่วงหนึ่ง ผู้ประกอบการหนุ่มคนนี้อยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ในที่สุดเขาก็พบโอกาสครั้งสำคัญในปี 2015 ด้วยการก่อตั้ง Pinduoduo แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่นำเสนอแนวคิด "ซื้อร่วมกัน" ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนที่ชื่นชอบการต่อรองราคา แต่ยังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาสูงถึง 71,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2021 แต่ก็เจอวิกฤตช่วงโควิด-19ระบาดเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก ทรัพย์สินของเขาพังทลายลงอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่สร้างได้ โดยร่วงลง 87 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี แต่น่าประหลาดใจ PDD Holdings ของ Huang กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่าเมื่อก่อน แต่ก็มั่นคง โดยการขยายกิจการออกนอกประเทศจีนภายใต้ชื่อแบรนด์ Temu ช่วยรับมือกับเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง

    ความสำเร็จของ Pinduoduo เป็นไปอย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง ภายในเวลาเพียง 3 ปี บริษัทสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเติบโตที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอินเตอร์เน็ตจีน ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยี AI และ Big data อย่างชาญฉลาด ทำให้แพลตฟอร์มสามารถนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่ตรงใจผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ การเติบโตอย่างโดดเด่นของหวงได้รับแรงหนุนจากพฤติกรรมการจับจ่ายที่เปลี่ยนไปของจีน หลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของประเทศกลายเป็นภาวะชะลอตัวที่ยาวนาน นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยีคนแรกที่ครองอันดับความมั่งคั่งสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากที่รัฐบาลกดดันธุรกิจเอกชนจนทำให้คู่แข่งอย่างกลุ่มอาลีบาบาของแจ็ค หม่า ลดอิทธิพลทางเศรษฐกิจการตลาดลง

    #Thaitimes
    Colin Huang Zheng เจ้าของแพลตฟอร์ม TEMUวัย44ปีได้รับการจัดอันดับจากBloomberg Billionaires Index เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 48,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เขาแซงหน้าจง ซานซาน ราชาแห่งน้ำดื่มบรรจุขวดของประเทศ ซึ่งครองอันดับหนึ่งมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 Colin Huang Zheng เกิดในปี 1980 ที่เมืองหางโจวซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของอาลีบาบา Colin Huang Zheng เติบโตมาในยุคที่จีนกำลังเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจ ด้วยความสามารถทางวิชาการที่โดดเด่น เขาได้รับทุนการศึกษาให้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เคยฝึกงานที่ Microsoft ในปักกิ่งและซีแอตเทิล ก่อนที่จะเริ่มต้นอาชีพการงานที่ Google ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2003 ในปี 2006 Colin Huang Zheng ตัดสินใจกลับมาจีนเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง หลังจากทดลองทำธุรกิจหลายรูปแบบ ตั้งบริษัทเกมออนไลน์ Xinyoudi และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Ouku.com ขึ้นมา โคลิน หวงเคยล้มป่วยในช่วงหนึ่ง ผู้ประกอบการหนุ่มคนนี้อยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ในที่สุดเขาก็พบโอกาสครั้งสำคัญในปี 2015 ด้วยการก่อตั้ง Pinduoduo แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่นำเสนอแนวคิด "ซื้อร่วมกัน" ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนที่ชื่นชอบการต่อรองราคา แต่ยังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาสูงถึง 71,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2021 แต่ก็เจอวิกฤตช่วงโควิด-19ระบาดเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก ทรัพย์สินของเขาพังทลายลงอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่สร้างได้ โดยร่วงลง 87 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี แต่น่าประหลาดใจ PDD Holdings ของ Huang กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่าเมื่อก่อน แต่ก็มั่นคง โดยการขยายกิจการออกนอกประเทศจีนภายใต้ชื่อแบรนด์ Temu ช่วยรับมือกับเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จของ Pinduoduo เป็นไปอย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง ภายในเวลาเพียง 3 ปี บริษัทสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเติบโตที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอินเตอร์เน็ตจีน ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยี AI และ Big data อย่างชาญฉลาด ทำให้แพลตฟอร์มสามารถนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่ตรงใจผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ การเติบโตอย่างโดดเด่นของหวงได้รับแรงหนุนจากพฤติกรรมการจับจ่ายที่เปลี่ยนไปของจีน หลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของประเทศกลายเป็นภาวะชะลอตัวที่ยาวนาน นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยีคนแรกที่ครองอันดับความมั่งคั่งสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากที่รัฐบาลกดดันธุรกิจเอกชนจนทำให้คู่แข่งอย่างกลุ่มอาลีบาบาของแจ็ค หม่า ลดอิทธิพลทางเศรษฐกิจการตลาดลง #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 รีวิว
  • Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น

    5 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ข่าว VN Express รายงานว่า Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น

    คดีอื้อฉาวนี้มีผู้ต้องหา 50 คน รวมทั้งอดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ Quyet และน้องสาวอีก 2 คน ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงและปั่นหุ้น5ตัวแสวงหากำไรที่ผิดกฎหมายประมาณ 723 พันล้านดอง (28.8 ล้านดอลลาร์)

    ศาลระบุว่ามีนักลงทุนมากกว่า 25,800 รายที่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงและปั่นซื้อขายหุ้นใน FLC Faros Construction อัยการระบุในคำฟ้องว่า Quyet วางแผนการปั่นหุ้นและปั่นส่วนเงินทุนของ Faros ให้สูงขึ้นเป็น 4.3 ล้านล้านดองจากมูลค่าจริง 1.5 พันล้านดองเพื่อให้บริษัทสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HoSE) ได้

    แม้ไม่สามารถระบุที่มาของเงินทุน4.3ล้านล้านดองที่บริษัทอ้างไว้ได้ แต่กรรมการตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์( HoSE )กลับอนุมัติการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นบริษัทนี้ ส่งผลให้มีผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น
    บริษัทอ้างไว้ได้ แต่ผู้บริหารของ HoSE กลับอนุมัติการจดทะเบียน ส่งผลให้ผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น

    นอกจากนี้ Quyet วัย 49 ปี ยังถูกกล่าวหาว่าสั่งให้ Trinh Thi Minh Hue น้องสาวของเขา ซึ่งเป็นนักบัญชีของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLCเปิดบัญชีหุ้น 500 บัญชีในนามของผู้ร่วมสมคบคิด 45 คน ซึ่งใช้ในการซื้อขายปั่นหุ้นของ FLC และบริษัทในเครือ 4 แห่งไปมา ทำให้Hueน้องสาวของเขามีความผิด ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี
    ขณะที่น้องสาวอีกคนของเขา คือ Trinh Thi Thuy Nga รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BOS Securities ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ด้วยและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 ปี และรองประธานFLC อีกคนถูกจำคุก 8 ปี 6 เดือน

    ระหว่างการให้การครั้งสุดท้ายในศาล นายQuyet และน้องสาวของเขาแสดงความสำนึกผิดและขอโทษจำเลยคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว ที่ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปพัวพันกับประเด็นคดีทางกฎหมาย และเขาได้แสวงหาผลประโยชน์จากความไว้วางใจ

    นายQuyet อดีตมหาเศรษฐีเวียดนา กล่าวถึงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจนี้ว่า เป็นบทเรียนอันน่าสะเทือนขวัญ และยอมรับว่าการที่เขามุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่ทะเยอทะยานเกินไปนั้น ทำให้เขาทำผิดทางกฏหมาย ละเลยขอบเขตทางกฎหมายไป

    #Thaitimes
    Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น 5 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ข่าว VN Express รายงานว่า Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น คดีอื้อฉาวนี้มีผู้ต้องหา 50 คน รวมทั้งอดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ Quyet และน้องสาวอีก 2 คน ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงและปั่นหุ้น5ตัวแสวงหากำไรที่ผิดกฎหมายประมาณ 723 พันล้านดอง (28.8 ล้านดอลลาร์) ศาลระบุว่ามีนักลงทุนมากกว่า 25,800 รายที่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงและปั่นซื้อขายหุ้นใน FLC Faros Construction อัยการระบุในคำฟ้องว่า Quyet วางแผนการปั่นหุ้นและปั่นส่วนเงินทุนของ Faros ให้สูงขึ้นเป็น 4.3 ล้านล้านดองจากมูลค่าจริง 1.5 พันล้านดองเพื่อให้บริษัทสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HoSE) ได้ แม้ไม่สามารถระบุที่มาของเงินทุน4.3ล้านล้านดองที่บริษัทอ้างไว้ได้ แต่กรรมการตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์( HoSE )กลับอนุมัติการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นบริษัทนี้ ส่งผลให้มีผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น บริษัทอ้างไว้ได้ แต่ผู้บริหารของ HoSE กลับอนุมัติการจดทะเบียน ส่งผลให้ผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น นอกจากนี้ Quyet วัย 49 ปี ยังถูกกล่าวหาว่าสั่งให้ Trinh Thi Minh Hue น้องสาวของเขา ซึ่งเป็นนักบัญชีของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLCเปิดบัญชีหุ้น 500 บัญชีในนามของผู้ร่วมสมคบคิด 45 คน ซึ่งใช้ในการซื้อขายปั่นหุ้นของ FLC และบริษัทในเครือ 4 แห่งไปมา ทำให้Hueน้องสาวของเขามีความผิด ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี ขณะที่น้องสาวอีกคนของเขา คือ Trinh Thi Thuy Nga รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BOS Securities ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ด้วยและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 ปี และรองประธานFLC อีกคนถูกจำคุก 8 ปี 6 เดือน ระหว่างการให้การครั้งสุดท้ายในศาล นายQuyet และน้องสาวของเขาแสดงความสำนึกผิดและขอโทษจำเลยคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว ที่ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปพัวพันกับประเด็นคดีทางกฎหมาย และเขาได้แสวงหาผลประโยชน์จากความไว้วางใจ นายQuyet อดีตมหาเศรษฐีเวียดนา กล่าวถึงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจนี้ว่า เป็นบทเรียนอันน่าสะเทือนขวัญ และยอมรับว่าการที่เขามุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่ทะเยอทะยานเกินไปนั้น ทำให้เขาทำผิดทางกฏหมาย ละเลยขอบเขตทางกฎหมายไป #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • “…ไม่รู้ 49 ปีของตลาดหลักทรัพย์ และ 32 ปีของ ก.ล.ต. ผู้บริหารของ 2 องค์กรนี้ไปงมโข่งอยู่ที่ไหน ปล่อยให้แก๊งมิจฉาชีพระบาดอยู่เต็มตลาดหุ้น”
    -สุนันท์ ศรีจันทรา

    ที่มา https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000065753

    #Thaitimes
    “…ไม่รู้ 49 ปีของตลาดหลักทรัพย์ และ 32 ปีของ ก.ล.ต. ผู้บริหารของ 2 องค์กรนี้ไปงมโข่งอยู่ที่ไหน ปล่อยให้แก๊งมิจฉาชีพระบาดอยู่เต็มตลาดหุ้น” -สุนันท์ ศรีจันทรา ที่มา https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000065753 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ได้ฤกษ์พิฆาตแก๊งปั่นหุ้น / สุนันท์ ศรีจันทรา
    นายวิศิษฐ์ วิศิษฐ์สรอรรถ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ออกมาประสานเสียง เดินหน้าปราบปรามแก๊งปั่นหุ้น ที่ฝังตัวอยู่คู่กับตลาดหุ้นม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่นจะถอนตัวจากการร่วมทุนกับ Baoshan Iron & Steel ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยน ส่งผลให้กำลังการผลิตเหล็กของ Nippon Steel ในจีนลดลง 70% โดยอ้างว่าการขยายธุรกิจที่จีนคงเป็นเรื่องยาก และจะเน้นไปที่แหล่งการลงทุนในสหรัฐอเมริกาและอินเดียแทน

    25 กรกฎาคม 2567- Nikkei รายงานข่าวว่า บริษัท Baosteel-Nippon Steel Automotive Steel Sheets (BNA) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2547 โดยเป็นการร่วมทุนในสัดส่วน 50-50 ระหว่าง Nippon Steel และ Baoshan Iron & Steel หรือ Baosteel ซึ่งเป็นสมาชิกของ China Baowu Steel Group มาเป็นเวลา 20 ปี ทางกลุ่มNippon Steel ได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญาที่จะสิ้นสุดในปลายเดือนสิงหาคม2567นี้ บริษัทประกาศเมื่อวันอังคารที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทกล่าวว่ามีแผนที่จะขายหุ้น BNA ทั้งหมดให้กับ Baosteel ในราคา 1.758 พันล้านหยวน (241 ล้านดอลลาร์) ขึ้นอยู่กับการอนุมัติตามกฎระเบียบ

    คณะกรรมการของ Baosteel กล่าวเมื่อวันอังคารในการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ว่ามีมติเป็นเอกฉันท์ให้อนุมัติการซื้อหุ้น 50% ในกิจการร่วมค้าที่ถือโดย Nippon Steel มูลค่าการซื้อขั้นสุดท้ายของ Baosteel จะพิจารณาจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกิจการร่วมค้า

    ตามรายงานประจำปีล่าสุดของ Baosteel ที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือนเมษายน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ BNA อยู่ที่ 3.92 พันล้านหยวน ณ สิ้นปีที่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว บริษัทร่วมทุนมีกำไรสุทธิ 410 ล้านหยวน

    ที่มา:https://asia.nikkei.com/Business/Business-deals/Nippon-Steel-to-end-20-year-joint-venture-with-China-s-Baosteel
    บริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่นจะถอนตัวจากการร่วมทุนกับ Baoshan Iron & Steel ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยน ส่งผลให้กำลังการผลิตเหล็กของ Nippon Steel ในจีนลดลง 70% โดยอ้างว่าการขยายธุรกิจที่จีนคงเป็นเรื่องยาก และจะเน้นไปที่แหล่งการลงทุนในสหรัฐอเมริกาและอินเดียแทน 25 กรกฎาคม 2567- Nikkei รายงานข่าวว่า บริษัท Baosteel-Nippon Steel Automotive Steel Sheets (BNA) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2547 โดยเป็นการร่วมทุนในสัดส่วน 50-50 ระหว่าง Nippon Steel และ Baoshan Iron & Steel หรือ Baosteel ซึ่งเป็นสมาชิกของ China Baowu Steel Group มาเป็นเวลา 20 ปี ทางกลุ่มNippon Steel ได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญาที่จะสิ้นสุดในปลายเดือนสิงหาคม2567นี้ บริษัทประกาศเมื่อวันอังคารที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทกล่าวว่ามีแผนที่จะขายหุ้น BNA ทั้งหมดให้กับ Baosteel ในราคา 1.758 พันล้านหยวน (241 ล้านดอลลาร์) ขึ้นอยู่กับการอนุมัติตามกฎระเบียบ คณะกรรมการของ Baosteel กล่าวเมื่อวันอังคารในการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ว่ามีมติเป็นเอกฉันท์ให้อนุมัติการซื้อหุ้น 50% ในกิจการร่วมค้าที่ถือโดย Nippon Steel มูลค่าการซื้อขั้นสุดท้ายของ Baosteel จะพิจารณาจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกิจการร่วมค้า ตามรายงานประจำปีล่าสุดของ Baosteel ที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือนเมษายน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ BNA อยู่ที่ 3.92 พันล้านหยวน ณ สิ้นปีที่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว บริษัทร่วมทุนมีกำไรสุทธิ 410 ล้านหยวน ที่มา:https://asia.nikkei.com/Business/Business-deals/Nippon-Steel-to-end-20-year-joint-venture-with-China-s-Baosteel
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Yay
    16
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 918 มุมมอง 0 รีวิว