• เพราะเราไม่สามารถกำหนดเรื่องสุขภาพเราได้❤️‍🩹❤️‍🩹

    ⌛️กำหนดวัน ไม่ได้ว่าเกิดวันไหน?
    🕐กำหนดเวลา ไม่ได้ว่าจะเกิดกี่โมง?
    💰กำหนดค่าใช้จ่าย ว่าต้องเตรียมเงินเท่าไหร่?

    ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการเสี่ยง เราต้องมีเงินให้มากพอตั้งแต่ตอนนี้!!! 👍👍👍
    แต่เรามี 💵💵💵 เยอะพอจริงๆไหม???
    ✅✅✅ประกันสุขภาพจะทางเลือกที่เหมาะสมที่เราจะสร้างวงเงินที่ต้องการได้ทันที📌📌📌


    #ประกันเลือกได้byPJ #ประกันชีวิต #ประกันสุขภาพ #เจอจ่ายหลายจบ #คุ้มครองโรคร้าย #เบี้ยไม่ทิ้ง #ประกันโรคร้าย #ประกันชีวิตออนไลน์ #คุ้มครองโรคร้ายแรง #โรงพยาบาล #ค่ารักษาพยาบาล #มะเร็ง #มะเร็งตัวร้าย
    เพราะเราไม่สามารถกำหนดเรื่องสุขภาพเราได้❤️‍🩹❤️‍🩹 ⌛️กำหนดวัน ไม่ได้ว่าเกิดวันไหน? 🕐กำหนดเวลา ไม่ได้ว่าจะเกิดกี่โมง? 💰กำหนดค่าใช้จ่าย ว่าต้องเตรียมเงินเท่าไหร่? ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการเสี่ยง เราต้องมีเงินให้มากพอตั้งแต่ตอนนี้!!! 👍👍👍 แต่เรามี 💵💵💵 เยอะพอจริงๆไหม??? ✅✅✅ประกันสุขภาพจะทางเลือกที่เหมาะสมที่เราจะสร้างวงเงินที่ต้องการได้ทันที📌📌📌 #ประกันเลือกได้byPJ #ประกันชีวิต #ประกันสุขภาพ #เจอจ่ายหลายจบ #คุ้มครองโรคร้าย #เบี้ยไม่ทิ้ง #ประกันโรคร้าย #ประกันชีวิตออนไลน์ #คุ้มครองโรคร้ายแรง #โรงพยาบาล #ค่ารักษาพยาบาล #มะเร็ง #มะเร็งตัวร้าย
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์เพจเฟซบุ๊กของ ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    “สิ่งที่ถูกที่ควร
    ต้องหยุดการให้ ประชาชนฉีด วัคซีนด้วยเทคโนโลยี mRNA ซึ่งขณะนี้ยังมีการบริการ และให้ทหารเข้าใหม่และนักศึกษามีการฉีดวัคซีน

    ซึ่งถ้าประชาชนเป็นอะไรประชาชนต้องรับทราบว่าสามารถฟ้องร้องได้และเรียกค่ารักษาพยาบาลและทุพพลภาพได้

    ประการสำคัญก็คือถ้าหน่วยงานนั้นต้องให้ฉีดวัคซีนประชาชนควรจะยืนยันว่าต้องมีบันทึกให้คนที่ได้รับวัคซีนเก็บไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นทางหน่วยงาน ที่บังคับหรือส่งเสริมให้ฉีด โดยถ้าไม่ฉีดจะไม่ได้เรียนหรือไม่ได้เข้างาน “ต้องชดใช้ค่าเสียหาย”

    ต้องหยุดเทคโนโลยีนี้จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขให้ปลอดภัยเพราะวัคซีนมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันโรคช่วยชีวิตมนุษย์ไม่ใช่ตายเสียเอง

    อย่ามุ่งหวังแต่จะเอาทุนจะเอาชื่อเสียงจากชีวิตมนุษย์
    ในเมื่อมนุษย์กลายเป็นหนูทดลองทั่วโลกไปแล้วและทราบผลกันไปแล้ว ว่าตาย เจ็บ ป่วยมากมาย
    ทำไมไม่พัฒนาให้ประสิทธิภาพดีจริงๆ และ ปลอดภัยจริงๆ”

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/xVokYHJEXktx9s2W/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    รีโพสต์เพจเฟซบุ๊กของ ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา “สิ่งที่ถูกที่ควร ต้องหยุดการให้ ประชาชนฉีด วัคซีนด้วยเทคโนโลยี mRNA ซึ่งขณะนี้ยังมีการบริการ และให้ทหารเข้าใหม่และนักศึกษามีการฉีดวัคซีน ซึ่งถ้าประชาชนเป็นอะไรประชาชนต้องรับทราบว่าสามารถฟ้องร้องได้และเรียกค่ารักษาพยาบาลและทุพพลภาพได้ ประการสำคัญก็คือถ้าหน่วยงานนั้นต้องให้ฉีดวัคซีนประชาชนควรจะยืนยันว่าต้องมีบันทึกให้คนที่ได้รับวัคซีนเก็บไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นทางหน่วยงาน ที่บังคับหรือส่งเสริมให้ฉีด โดยถ้าไม่ฉีดจะไม่ได้เรียนหรือไม่ได้เข้างาน “ต้องชดใช้ค่าเสียหาย” ต้องหยุดเทคโนโลยีนี้จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขให้ปลอดภัยเพราะวัคซีนมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันโรคช่วยชีวิตมนุษย์ไม่ใช่ตายเสียเอง อย่ามุ่งหวังแต่จะเอาทุนจะเอาชื่อเสียงจากชีวิตมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์กลายเป็นหนูทดลองทั่วโลกไปแล้วและทราบผลกันไปแล้ว ว่าตาย เจ็บ ป่วยมากมาย ทำไมไม่พัฒนาให้ประสิทธิภาพดีจริงๆ และ ปลอดภัยจริงๆ” ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/xVokYHJEXktx9s2W/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 524 Views 0 Reviews
  • ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!!

    ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!!

    ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า

    “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา
    เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง
    ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……”

    ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่
    เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา
    ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
    เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?)
    แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น
    จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก
    ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์

    ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก
    ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ

    เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน
    ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที
    ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน
    มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ……
    กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที
    แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว
    มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล

    แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม
    ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่?
    เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี…
    เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด

    มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด
    แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว
    แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด

    แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ
    ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring***
    อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์
    โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก

    ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ

    หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น
    สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก
    การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป
    ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค
    คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง
    อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!!

    งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน……
    ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม
    แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด
    เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร

    เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev
    ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด
    พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง
    แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง…

    การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย
    ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว
    สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว……
    อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า
    “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

    แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย……

    ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้
    เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน
    เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน
    พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง…

    ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย
    แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี
    ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน
    กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
    และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ…
    ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!!
    ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!!

    เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง
    ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล
    ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!!

    ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า
    บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน
    บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน
    บางคนเสนอตัวเอง…
    เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ

    มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ
    1 Boris Berezovsky
    2 Mikhaïl Fridman
    3 Vladimir Gusinsky
    4 Mikhaïl Khodorkovsky
    5 Vladimir Potanin

    (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์)

    สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา
    อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!!
    เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์……
    สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท
    ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง
    เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น
    และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา
    คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง
    เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน
    หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก”
    นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า
    “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!”

    เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง

    การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง
    แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น

    ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร
    แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่
    และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin
    ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน

    งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin
    ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ
    บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง
    ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา……
    ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่

    แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!! ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!! ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……” ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่ เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?) แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์ ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ…… กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่? เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี… เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring*** อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์ โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!! งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน…… ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง… การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว…… อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย…… ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง… ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ… ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!! ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!! เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!! ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน บางคนเสนอตัวเอง… เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ 1 Boris Berezovsky 2 Mikhaïl Fridman 3 Vladimir Gusinsky 4 Mikhaïl Khodorkovsky 5 Vladimir Potanin (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์) สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!! เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์…… สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก” นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!” เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่ และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา…… ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่ แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 667 Views 0 Reviews
  • เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!!

    หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม
    ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน..

    การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน
    ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า
    แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง
    บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง

    ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่
    ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

    ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น
    เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ……
    สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค...
    รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ...
    ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว
    ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู

    คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง...
    ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้
    ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ...
    มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า
    “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?”

    แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย
    ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน...
    เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ...
    เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร
    สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร”
    ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ
    ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น

    คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว
    แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก
    ไม่เห็นจะยาก....

    แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!!

    นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์
    แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ...

    ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...”
    ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย
    เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ
    นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย
    ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี
    แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ..
    หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย
    Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี
    2010 จนถึงปัจจุบัน

    โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก
    Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน...

    งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน
    เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า
    ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ
    ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี
    ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน...
    แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน...
    ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch
    ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา”

    วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า
    “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?”

    เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ..
    แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้
    แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู...
    อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น
    ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง
    และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย

    ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ

    เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส

    ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส

    ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!!

    ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ
    พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน
    นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018
    ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น
    งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ
    ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน
    เลวก็คือเลว...!!!
    และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ

    ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!! หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน.. การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่ ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ…… สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค... รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ... ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง... ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ... มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?” แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน... เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ... เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร” ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก ไม่เห็นจะยาก.... แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!! นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์ แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ... ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...” ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ.. หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี 2010 จนถึงปัจจุบัน โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน... งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน... แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน... ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา” วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?” เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ.. แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้ แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู... อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!! ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน เลวก็คือเลว...!!! และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 545 Views 0 Reviews
  • 11 สิงหาคม 2567-ประกาศแจ้งเตือนประชาชน ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นบุคลากรทางแพทย์

    เนื่องด้วยขณะนี้มีมิจฉาชีพได้มีการแอบอ้าง เป็นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลค่ายสุรนารี เพื่อหลอกลวงประชาชนให้ข้อมูลส่วนบุคคล

    โรงพยาบาลค่ายสุรนารี ไม่มีนโยบายให้บุคลากรทางการแพทย์ขอให้ชำระค่ารักษาพยาบาล หรือขอข้อมูลคนไข้ผ่านทางโทรศัพท์ หรือกระทำการใดๆ นอกเหนือจากการให้บริการในโรงพยาบาล ที่อาจเข้าข่ายการหลอกลวงทุกช่องทาง

    โรงพยาบาลค่ายสุรนารี ใคร่ขอให้ท่านระมัดระวังและใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและอย่าหลงเชื่อในการโอนเงิน หรือให้ข้อมูลส่วนตัวแก่มิจฉาชีพ

    #Thaitimes
    11 สิงหาคม 2567-ประกาศแจ้งเตือนประชาชน ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นบุคลากรทางแพทย์ เนื่องด้วยขณะนี้มีมิจฉาชีพได้มีการแอบอ้าง เป็นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลค่ายสุรนารี เพื่อหลอกลวงประชาชนให้ข้อมูลส่วนบุคคล โรงพยาบาลค่ายสุรนารี ไม่มีนโยบายให้บุคลากรทางการแพทย์ขอให้ชำระค่ารักษาพยาบาล หรือขอข้อมูลคนไข้ผ่านทางโทรศัพท์ หรือกระทำการใดๆ นอกเหนือจากการให้บริการในโรงพยาบาล ที่อาจเข้าข่ายการหลอกลวงทุกช่องทาง โรงพยาบาลค่ายสุรนารี ใคร่ขอให้ท่านระมัดระวังและใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและอย่าหลงเชื่อในการโอนเงิน หรือให้ข้อมูลส่วนตัวแก่มิจฉาชีพ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews