• ช่วงอายุที่สามารถซื้อประกันคุ้มครองค่าคลอดบุตร
    คุ้มค่าแน่นอน! ดูแลคุณตั้งแต่ท้องจนถึงคลอด👶🏻
    ประกันสุขภาพที่ดูทุกเรื่อง First Class 100ล้าน
    ทัก Fiamony ได้เลยตอนนี้ เพื่อเริ่มความคุ้มครอง✨

    "สุขภาพดี คลอดปลอดภัย กับประกันสุขภาพที่ดูแลคุณครบทุกด้าน“

    🌟 ชีวิตใหม่กำลังเริ่มต้น... อย่าปล่อยให้ความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลทำให้คุณไม่สบายใจ!

    🎉 **ประกันสุขภาพที่จ่ายค่าคลอดบุตร** 🎉
    ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการคลอดบุตรในโรงพยาบาลชั้นนำ เราก็พร้อมดูแลคุณ ตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงการคลอด ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป

    ✔️ ครอบคลุมค่าคลอด 400,000฿ พร้อมการดูแลที่ดีที่สุด
    ✔️ คุ้มครองทั้งแม่และเด็ก ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์
    ✔️ บริการจากโรงพยาบาลชั้นนำ ให้คุณมั่นใจในคุณภาพ
    ✔️ คุ้มครองตั้งแต่ฝากครรภ์ จ่ายค่าUltrasound วัคซีน ตรวจNifty ตรวจเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อน
    ✔️ เคลมง่าย จ่ายไว ให้คุณมีเวลามากขึ้นในการดูแลตัวเองและลูกน้อย

    👶🏻ให้ทุกการคลอดของคุณเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
    ไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน เพราะเราจะอยู่เคียงข้างคุณ!

    ✨ ชีวิตใหม่ เริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ กับประกันสุขภาพที่เราพร้อมดูแลทุกก้าวของคุณ

    💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
    📩 Line ID : @fiamony
    📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu
    🌐 FB Page: Fiamony
    ☎️ 081-323-8168

    #fiamony | #ประกันแม่และเด็ก | #AllianzAyudhya
    #ประกันคลอดบุตร | #ประกันอลิอันซ์ | #คลอดลูก
    #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ซื้อประกันออนไลน์
    ช่วงอายุที่สามารถซื้อประกันคุ้มครองค่าคลอดบุตร คุ้มค่าแน่นอน! ดูแลคุณตั้งแต่ท้องจนถึงคลอด👶🏻 ประกันสุขภาพที่ดูทุกเรื่อง First Class 100ล้าน ทัก Fiamony ได้เลยตอนนี้ เพื่อเริ่มความคุ้มครอง✨ "สุขภาพดี คลอดปลอดภัย กับประกันสุขภาพที่ดูแลคุณครบทุกด้าน“ 🌟 ชีวิตใหม่กำลังเริ่มต้น... อย่าปล่อยให้ความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลทำให้คุณไม่สบายใจ! 🎉 **ประกันสุขภาพที่จ่ายค่าคลอดบุตร** 🎉 ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการคลอดบุตรในโรงพยาบาลชั้นนำ เราก็พร้อมดูแลคุณ ตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงการคลอด ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป ✔️ ครอบคลุมค่าคลอด 400,000฿ พร้อมการดูแลที่ดีที่สุด ✔️ คุ้มครองทั้งแม่และเด็ก ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ ✔️ บริการจากโรงพยาบาลชั้นนำ ให้คุณมั่นใจในคุณภาพ ✔️ คุ้มครองตั้งแต่ฝากครรภ์ จ่ายค่าUltrasound วัคซีน ตรวจNifty ตรวจเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อน ✔️ เคลมง่าย จ่ายไว ให้คุณมีเวลามากขึ้นในการดูแลตัวเองและลูกน้อย 👶🏻ให้ทุกการคลอดของคุณเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน เพราะเราจะอยู่เคียงข้างคุณ! ✨ ชีวิตใหม่ เริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ กับประกันสุขภาพที่เราพร้อมดูแลทุกก้าวของคุณ 💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ 📩 Line ID : @fiamony 📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu 🌐 FB Page: Fiamony ☎️ 081-323-8168 #fiamony | #ประกันแม่และเด็ก | #AllianzAyudhya #ประกันคลอดบุตร | #ประกันอลิอันซ์ | #คลอดลูก #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ซื้อประกันออนไลน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • วางแผนทำกิฟต์ ซื้อประกันคุ้มครองค่าคลอดได้ไหม?
    เมื่อคุณวางแผนตั้งครรภ์ อย่าลืมปรึกษา Fiamony 🛎️
    ประกันคุ้มครองค่าคลอด400,000 ช่วยให้คุณมั่นใจ
    👶🏻 ให้คุณมีเวลาเต็มที่ในการดูแลลูกน้อยของคุณ

    "สุขภาพดี คลอดปลอดภัย กับประกันสุขภาพที่ดูแลคุณครบทุกด้าน“

    🌟 ชีวิตใหม่กำลังเริ่มต้น... อย่าปล่อยให้ความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลทำให้คุณไม่สบายใจ!

    🎉 **ประกันสุขภาพที่จ่ายค่าคลอดบุตร** 🎉
    ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการคลอดบุตรในโรงพยาบาลชั้นนำ เราก็พร้อมดูแลคุณ ตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงการคลอด ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป

    ✔️ ครอบคลุมค่าคลอด 400,000฿ พร้อมการดูแลที่ดีที่สุด
    ✔️ คุ้มครองทั้งแม่และเด็ก ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์
    ✔️ บริการจากโรงพยาบาลชั้นนำ ให้คุณมั่นใจในคุณภาพ
    ✔️ คุ้มครองตั้งแต่ฝากครรภ์ จ่ายค่าUltrasound วัคซีน ตรวจNifty ตรวจเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อน
    ✔️ เคลมง่าย จ่ายไว ให้คุณมีเวลามากขึ้นในการดูแลตัวเองและลูกน้อย

    👶🏻ให้ทุกการคลอดของคุณเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
    ไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน เพราะเราจะอยู่เคียงข้างคุณ!

    ✨ ชีวิตใหม่ เริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ กับประกันสุขภาพที่เราพร้อมดูแลทุกก้าวของคุณ

    💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
    📩 Line ID : @fiamony
    📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu
    🌐 FB Page: Fiamony
    ☎️ 081-323-8168

    #fiamony | #ประกันแม่และเด็ก | #AllianzAyudhya
    #ประกันคลอดบุตร | #ประกันอลิอันซ์ | #คลอดลูก
    #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ซื้อประกันออนไลน์
    วางแผนทำกิฟต์ ซื้อประกันคุ้มครองค่าคลอดได้ไหม? เมื่อคุณวางแผนตั้งครรภ์ อย่าลืมปรึกษา Fiamony 🛎️ ประกันคุ้มครองค่าคลอด400,000 ช่วยให้คุณมั่นใจ 👶🏻 ให้คุณมีเวลาเต็มที่ในการดูแลลูกน้อยของคุณ "สุขภาพดี คลอดปลอดภัย กับประกันสุขภาพที่ดูแลคุณครบทุกด้าน“ 🌟 ชีวิตใหม่กำลังเริ่มต้น... อย่าปล่อยให้ความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลทำให้คุณไม่สบายใจ! 🎉 **ประกันสุขภาพที่จ่ายค่าคลอดบุตร** 🎉 ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการคลอดบุตรในโรงพยาบาลชั้นนำ เราก็พร้อมดูแลคุณ ตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงการคลอด ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป ✔️ ครอบคลุมค่าคลอด 400,000฿ พร้อมการดูแลที่ดีที่สุด ✔️ คุ้มครองทั้งแม่และเด็ก ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ ✔️ บริการจากโรงพยาบาลชั้นนำ ให้คุณมั่นใจในคุณภาพ ✔️ คุ้มครองตั้งแต่ฝากครรภ์ จ่ายค่าUltrasound วัคซีน ตรวจNifty ตรวจเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อน ✔️ เคลมง่าย จ่ายไว ให้คุณมีเวลามากขึ้นในการดูแลตัวเองและลูกน้อย 👶🏻ให้ทุกการคลอดของคุณเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน เพราะเราจะอยู่เคียงข้างคุณ! ✨ ชีวิตใหม่ เริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ กับประกันสุขภาพที่เราพร้อมดูแลทุกก้าวของคุณ 💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ 📩 Line ID : @fiamony 📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu 🌐 FB Page: Fiamony ☎️ 081-323-8168 #fiamony | #ประกันแม่และเด็ก | #AllianzAyudhya #ประกันคลอดบุตร | #ประกันอลิอันซ์ | #คลอดลูก #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ซื้อประกันออนไลน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Update 2025 ประกันสุขภาพคุ้มครองค่าคลอดบุตร
    จ่ายตั้งแต่ฝากครรภ์-คลอดให้ 400,000฿
    #วางแผนคลอดบุตร ด้วยประกันFirst Class100ล้าน

    **ใส่ใจทุกความต้องการ ด้วยบริการที่ดีที่สุด**
    ✅ ปรึกษาออนไลน์ได้ทันที เพื่อความมั่นใจในทุกจังหวะของชีวิต อยู่ที่ไหนก็ซื้อประกันได้ง่ายๆทั่วประเทศ

    💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
    📩 Line ID : @fiamony
    📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu
    🌐 FB Page: Fiamony
    ☎️ 081-323-8168

    #fiamony | #อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต | #ประกันชีวิต
    #ประกันคลอด | #คลอดลูก | #ประกันแม่และเด็ก
    #ประกันอลิอันซ์ | #ซื้อประกันออนไลน์ | #คุ้มค่า
    #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ประกันคลอดบุตร
    Update 2025 ประกันสุขภาพคุ้มครองค่าคลอดบุตร จ่ายตั้งแต่ฝากครรภ์-คลอดให้ 400,000฿ #วางแผนคลอดบุตร ด้วยประกันFirst Class100ล้าน **ใส่ใจทุกความต้องการ ด้วยบริการที่ดีที่สุด** ✅ ปรึกษาออนไลน์ได้ทันที เพื่อความมั่นใจในทุกจังหวะของชีวิต อยู่ที่ไหนก็ซื้อประกันได้ง่ายๆทั่วประเทศ 💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ 📩 Line ID : @fiamony 📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu 🌐 FB Page: Fiamony ☎️ 081-323-8168 #fiamony | #อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต | #ประกันชีวิต #ประกันคลอด | #คลอดลูก | #ประกันแม่และเด็ก #ประกันอลิอันซ์ | #ซื้อประกันออนไลน์ | #คุ้มค่า #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #ประกันคลอดบุตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ผู้หญิงรายหนึ่งในจีน ถูกพบเห็นในสภาพที่ถูกห่อไว้ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ระหว่างออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านหลังจากคลอดลูก ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เรียกความสนใจได้อย่างกว้างขวางจากผู้คนสื่อสังคมออนไลน์แผ่นดินใหญ่

    เรื่องราวนี้ก่อประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพแบบโบราณ สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร

    เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้สัญจรผ่านไปมาพบเห็นและถ่ายภาพผู้หญิงรายหนึ่ง สวมเสื้อกันหนาวหนาและกางเกงขายาวมิดชิดอยู่ก่อนแล้ว ถูกห่อด้วยถุงพลาสติดขนาดใหญ่คลุมทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า กำลังเดินอยู่ด้านนอก ในจุดมุ่งหมายปกป้องตัวเธอเองจากกระแสลม ตามรายงานของ Tide News.

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่โรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองต้าเหลียง มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ต้องเผชิญกับสภาพอากาศต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส

    "ฉันเพิ่งคลอดลูก และฉันอ่อนแอมาก ฉันไม่ต้องการถูกลมพัด" ผู้หญิงรายนี้เล่า "แม่ของฉันเชื่อว่ามันเป็นความคิดที่ดี ถ้าใช้ถุงพลาสติกกันลม ดังนั้นมันจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะว่ามันราคาถูกและมันสามารถป้องกันลมอย่างได้ผล"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/around/detail/9670000125264

    #MGROnline
    ผู้หญิงรายหนึ่งในจีน ถูกพบเห็นในสภาพที่ถูกห่อไว้ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ระหว่างออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านหลังจากคลอดลูก ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เรียกความสนใจได้อย่างกว้างขวางจากผู้คนสื่อสังคมออนไลน์แผ่นดินใหญ่ • เรื่องราวนี้ก่อประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพแบบโบราณ สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร • เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้สัญจรผ่านไปมาพบเห็นและถ่ายภาพผู้หญิงรายหนึ่ง สวมเสื้อกันหนาวหนาและกางเกงขายาวมิดชิดอยู่ก่อนแล้ว ถูกห่อด้วยถุงพลาสติดขนาดใหญ่คลุมทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า กำลังเดินอยู่ด้านนอก ในจุดมุ่งหมายปกป้องตัวเธอเองจากกระแสลม ตามรายงานของ Tide News. • เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่โรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองต้าเหลียง มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ต้องเผชิญกับสภาพอากาศต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส • "ฉันเพิ่งคลอดลูก และฉันอ่อนแอมาก ฉันไม่ต้องการถูกลมพัด" ผู้หญิงรายนี้เล่า "แม่ของฉันเชื่อว่ามันเป็นความคิดที่ดี ถ้าใช้ถุงพลาสติกกันลม ดังนั้นมันจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะว่ามันราคาถูกและมันสามารถป้องกันลมอย่างได้ผล" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9670000125264 • #MGROnline
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • อึ้ง! ต่างด้าว แห่ข้ามฝั่งคลอดลูกในไทยหวังได้สัญชาติไทยและสิทธิบัตรทอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    อึ้ง! ต่างด้าว แห่ข้ามฝั่งคลอดลูกในไทยหวังได้สัญชาติไทยและสิทธิบัตรทอง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## โซเชียลเดือด "พม่า" แห่ ใช้สิทธิ์คลอดลูกฟรี โรงพยาบาลชายแดน เดือดร้อน เจ้าหน้าที่ กระทบเงินภาษีคนไทย...!!! ##
    ..
    ..
    พรรคการเมืองบางพรรค คงยิ้มแฉ่ง...!!!
    .
    https://youtu.be/r4QOc26DM38?si=NgwBDoaf41cN2Fkf
    ## โซเชียลเดือด "พม่า" แห่ ใช้สิทธิ์คลอดลูกฟรี โรงพยาบาลชายแดน เดือดร้อน เจ้าหน้าที่ กระทบเงินภาษีคนไทย...!!! ## .. .. พรรคการเมืองบางพรรค คงยิ้มแฉ่ง...!!! . https://youtu.be/r4QOc26DM38?si=NgwBDoaf41cN2Fkf
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากที่คุณแม่สุดเฟียส “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์”ได้คลอดลูกคนที่ 2 เป็นเพศหญิง ในวันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ พร้อมตั้งชื่อสุดน่ารัก “น้อง Sahara Elidie Lee” ซึ่งดิวได้เผยโมเมนต์เป็นภาพและคลิป พร้อมข้อความว่า… “𝑾𝒆𝒍𝒄𝒐𝒎𝒆 𝒕𝒐 𝒕𝒉𝒆 𝒘𝒐𝒓𝒍𝒅 𝑩𝒂𝒃𝒚 𝑮𝒊𝒓𝒍💖🫶🏻🤍𝑺𝒂𝒉𝒂𝒓𝒂 𝑬𝒍𝒐𝒅𝒊𝒆 𝑳𝒆𝒆
    𝟎𝟓.𝟏𝟐.𝟐𝟒”

    ซึ่งลูกชายคนโตวัย 2 ขวบ “ไซลาส” เองก็เกิดในวันสำคัญ ก็คือวันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติของประเทศไทย เรียกว่าเป็นความบังเอิญเหมือนถูกจับวาง ซึ่งดิว อริสราเอง ก็เผยเรื่องนี้ผ่านโซเชียลว่า… “มันเป็นเรื่องของความบังเอิญในเรื่องของวันจริงๆ 😂💖😂💖”

    #MGROnline #ดิวอริสรา
    หลังจากที่คุณแม่สุดเฟียส “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์”ได้คลอดลูกคนที่ 2 เป็นเพศหญิง ในวันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ พร้อมตั้งชื่อสุดน่ารัก “น้อง Sahara Elidie Lee” ซึ่งดิวได้เผยโมเมนต์เป็นภาพและคลิป พร้อมข้อความว่า… “𝑾𝒆𝒍𝒄𝒐𝒎𝒆 𝒕𝒐 𝒕𝒉𝒆 𝒘𝒐𝒓𝒍𝒅 𝑩𝒂𝒃𝒚 𝑮𝒊𝒓𝒍💖🫶🏻🤍𝑺𝒂𝒉𝒂𝒓𝒂 𝑬𝒍𝒐𝒅𝒊𝒆 𝑳𝒆𝒆 𝟎𝟓.𝟏𝟐.𝟐𝟒” • ซึ่งลูกชายคนโตวัย 2 ขวบ “ไซลาส” เองก็เกิดในวันสำคัญ ก็คือวันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติของประเทศไทย เรียกว่าเป็นความบังเอิญเหมือนถูกจับวาง ซึ่งดิว อริสราเอง ก็เผยเรื่องนี้ผ่านโซเชียลว่า… “มันเป็นเรื่องของความบังเอิญในเรื่องของวันจริงๆ 😂💖😂💖” • #MGROnline #ดิวอริสรา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12/10/67

    ความทรงจำของฉัน
    ( ตอนที่ 3 )
    " เสียงแห่งความยินดี "

    ปี พ.ศ.2510 ฉัน รับราชการอยู่ที่ ร.พ.แม่สอด จว.ตาก เป็นโรงพยาบาล ขนาด 60 เตียง มีหมอ 3 คน ต้องทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนไข้..
    ชาวบ้านรัก ไม่มีใคร ด่าว่า ฟ้องร้อง ถึงแม้จะมีขาดมีเกินไปบ้าง ชาวบ้านเข้าใจ ให้อภัยเสมอ แม้แต่ญาติเขาเสียชีวิต ก็ยังมาขอขมาหมอ พร้อมกับพูดคำว่า "สุมาเต๊อะ" ( ขอโทษ )

    บ่ายวันหนึ่ง เมื่อฉันเป็นแพทย์เวร กำลังนั่งเล่นไพ่ และ ดื่มแอลกอฮอลล์ นิดหน่อย ที่ สโมสรข้าราชการ ซี่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาล ประมาณ 1 ก.ม. มองเห็นโรงพยาบาล 180 องศา
    ฉัน นั่งหันหน้าไปทางโรงพยาบาล เห็น นายก๊วน ขี่จักรยาน 2 ล้อ ถือแฟ้มประวัติคนไข้ ตรงมาที่สโมสร ( นายก๊วน คือ ชายคนเดียวของ ร.พ.แม่สอด มีหน้าที่ ขี่จักรยานตามแพทย์เวร ทุกแห่ง ทุกเวลา.เป็นคู่กรรมกับฉัน.เพิ่งเสียชีวิต เมื่อเดือนมีนาคม 2564 อายุ 93 ปี..ฉันได้ส่งพวงหรีดไปเคารพศพ โดยผ่าน ผอ.รพ.แม่สอด คนปัจจุบัน นพ.ธวัชชัย )

    เมื่อ ฉันเห็น นายก๊วน ก็รู้ทันที ว่า งานเข้าแล้ว จึงรีบขับรถประจำตำแหน่ง ( Ambulance ) ไปโรงพยาบาล...

    จากรายงานแฟ้มคนไข้ ที่นายก๊วน ถือมา คือ มีหญิงตั้งครรภ์ นอนอยู่ที่เรือนผู้ป่วยหญิง ได้คลอดลูกออกมา ท่าก้น และเด็กติดค้างครึ่งตัว ทำให้ต้วเด็กทับสายสะดือ ชึ่งอันตรายมาก

    เมื่อ ฉันไปถึงเตียงผู้ป่วย พบว่า เด็กคลอดออกมาแค่ครึ่งตัว เด็กตัวสีเขียว ( เพราะตัวเด็ก ทับสายสะดือของตนเอง ทำให้เลือดจากแม่ ไปเลี้ยงร่างกายเด็กไม่ได้ )
    ฉัน ค่อยๆดึงร่างเด็กออกมาทั้งตัว จับนอนหงาย เอาผ้าก๊อสบางๆ ปิดปากเด็ก
    ฉัน ทำ Mouth to Mouth เป่าลมเข้าปากเด็ก 3 ครั้ง เด็ก ก็ร้อง อุแว้ อุแว้ ตัวเด็กเปลี่ยนสี จากสีเขียวเป็นสีแดง ทันที
    เสียงเด็กร้อง ทำให้ผู้ป่วยหญิงทั้งหมดในเรือนผู้ป่วยนั้น ปรบมือขึ้นพร้อมกัน..

    เสียงปรบมือ ยังดังอยู่ในใจฉัน จนบัดนี้
    มันเป็น เสียงแห่งความยินดี
    มันทำให้ฉัน นึกถึง แม่ม้าท้องแก่ ที่บ้านโพธาราม ถ้าคลอดลูกเมื่อไร เสียงม้าในคอกทั้งหมด จะร้องขึ้นทุกตัว เป็นเสียงแห่งความยินดี ต้อนรับสมาชิกใหม่...

    เด็ก มีชีวิตรอด เพราะลมเป่าจากปากฉัน เพียง 3 ครั้ง เท่านั้น
    แต่...ทำให้ฉันสงสัยจนบัดนี้ ว่า มีแอลกอฮอลล์ ผสมไปเป็นตัวช่วยด้วยหรือเปล่า... ( ฮา )

    คุณ​หมอยุทธ​ โพธารามิก เขียนเล่าเรื่อง​สมัยทำงาน​เป็น​แพทย์​ที่แม่สอดไว้​หลายตอน​ อ่านสนุก​ ท่านมีอารมณ์​ขัน...



    12/10/67 ความทรงจำของฉัน ( ตอนที่ 3 ) " เสียงแห่งความยินดี " ปี พ.ศ.2510 ฉัน รับราชการอยู่ที่ ร.พ.แม่สอด จว.ตาก เป็นโรงพยาบาล ขนาด 60 เตียง มีหมอ 3 คน ต้องทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนไข้.. ชาวบ้านรัก ไม่มีใคร ด่าว่า ฟ้องร้อง ถึงแม้จะมีขาดมีเกินไปบ้าง ชาวบ้านเข้าใจ ให้อภัยเสมอ แม้แต่ญาติเขาเสียชีวิต ก็ยังมาขอขมาหมอ พร้อมกับพูดคำว่า "สุมาเต๊อะ" ( ขอโทษ ) บ่ายวันหนึ่ง เมื่อฉันเป็นแพทย์เวร กำลังนั่งเล่นไพ่ และ ดื่มแอลกอฮอลล์ นิดหน่อย ที่ สโมสรข้าราชการ ซี่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาล ประมาณ 1 ก.ม. มองเห็นโรงพยาบาล 180 องศา ฉัน นั่งหันหน้าไปทางโรงพยาบาล เห็น นายก๊วน ขี่จักรยาน 2 ล้อ ถือแฟ้มประวัติคนไข้ ตรงมาที่สโมสร ( นายก๊วน คือ ชายคนเดียวของ ร.พ.แม่สอด มีหน้าที่ ขี่จักรยานตามแพทย์เวร ทุกแห่ง ทุกเวลา.เป็นคู่กรรมกับฉัน.เพิ่งเสียชีวิต เมื่อเดือนมีนาคม 2564 อายุ 93 ปี..ฉันได้ส่งพวงหรีดไปเคารพศพ โดยผ่าน ผอ.รพ.แม่สอด คนปัจจุบัน นพ.ธวัชชัย ) เมื่อ ฉันเห็น นายก๊วน ก็รู้ทันที ว่า งานเข้าแล้ว จึงรีบขับรถประจำตำแหน่ง ( Ambulance ) ไปโรงพยาบาล... จากรายงานแฟ้มคนไข้ ที่นายก๊วน ถือมา คือ มีหญิงตั้งครรภ์ นอนอยู่ที่เรือนผู้ป่วยหญิง ได้คลอดลูกออกมา ท่าก้น และเด็กติดค้างครึ่งตัว ทำให้ต้วเด็กทับสายสะดือ ชึ่งอันตรายมาก เมื่อ ฉันไปถึงเตียงผู้ป่วย พบว่า เด็กคลอดออกมาแค่ครึ่งตัว เด็กตัวสีเขียว ( เพราะตัวเด็ก ทับสายสะดือของตนเอง ทำให้เลือดจากแม่ ไปเลี้ยงร่างกายเด็กไม่ได้ ) ฉัน ค่อยๆดึงร่างเด็กออกมาทั้งตัว จับนอนหงาย เอาผ้าก๊อสบางๆ ปิดปากเด็ก ฉัน ทำ Mouth to Mouth เป่าลมเข้าปากเด็ก 3 ครั้ง เด็ก ก็ร้อง อุแว้ อุแว้ ตัวเด็กเปลี่ยนสี จากสีเขียวเป็นสีแดง ทันที เสียงเด็กร้อง ทำให้ผู้ป่วยหญิงทั้งหมดในเรือนผู้ป่วยนั้น ปรบมือขึ้นพร้อมกัน.. เสียงปรบมือ ยังดังอยู่ในใจฉัน จนบัดนี้ มันเป็น เสียงแห่งความยินดี มันทำให้ฉัน นึกถึง แม่ม้าท้องแก่ ที่บ้านโพธาราม ถ้าคลอดลูกเมื่อไร เสียงม้าในคอกทั้งหมด จะร้องขึ้นทุกตัว เป็นเสียงแห่งความยินดี ต้อนรับสมาชิกใหม่... เด็ก มีชีวิตรอด เพราะลมเป่าจากปากฉัน เพียง 3 ครั้ง เท่านั้น แต่...ทำให้ฉันสงสัยจนบัดนี้ ว่า มีแอลกอฮอลล์ ผสมไปเป็นตัวช่วยด้วยหรือเปล่า... ( ฮา ) คุณ​หมอยุทธ​ โพธารามิก เขียนเล่าเรื่อง​สมัยทำงาน​เป็น​แพทย์​ที่แม่สอดไว้​หลายตอน​ อ่านสนุก​ ท่านมีอารมณ์​ขัน...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11/10/67

    ความทรงจำของฉัน
    ( ตอนที่ 2 )
    " ตะล่ะแม่ "

    ปี พ.ศ. 2510...คืนหนึ่ง ที่ ร.พ. แม่สอด จว.ตาก

    ฉัน เป็นแพทย์เวร ถูกปลุก ประมาณ ตี 2 ด้วยเจ้าหน้าที่เวรชาย ยืนเรียกฉัน อยู่หน้าบ้านพักแพทย์ ว่า
    มีผู้หญิงจะคลอดลูก..

    ฉัน ไปที่ห้องคลอด ซึ่งเป็นห้องไม้สัก อยู่ท้ายเรือนผู้ป่วยหญิง ไม่มี Air Condition มีแต่ประตูหน้าต่างที่มีบ้านบังตากันไว้ เท่านั้น...

    ในห้องคลอด มีผู้หญิงนอนปวดท้องคลอด และ พยาบาล ยืนอยู่ข้างๆ
    ฉัน คอยดูอยู่สักพีกหนึ่ง เห็นหัวเด็ก เริ่มโผล่ออกมา พอให้เห็นผมบนหัว นิดหน่อย
    ฉัน จึงเริ่มทำคลอดไปตามปกติ เพราะเป็น Normal Labor
    เด็กออกมา เป็นเพศหญิง
    ฉัน ตัดสายสะดือ แล้วส่งเด็ก ให้พยาบาลดูแลต่อไป
    ฉันรอ รกที่จะลอกออกตามมา แต่เอะใจว่า ทำไมท้องแม่ยังไม่ยุบ
    จึงเอามือคลำดู...
    อ้าว.!..มีเด็กอีกหนึงคน..โชคดึจังมี ลูกแฝด

    แฝดผู้น้อง จะออก ท่าก้น ( เป็นธรรมชาติ ที่เด็กแฝดสอง จะนอนกลับหัวกลับหาง ในมดลูกแม่ เพื่อใช้พื้นที่อยู่ด้วยกันได้ )

    ดังนั้น แฝดคนที่ 2 จะออก ท่าก้น
    กว่าเด็กคนที่ 2 จะเคลื่อนตัวลงมาถึงปากช่องคลอด ต้องใข้เวลาพอสมควร..จึงต้อง รอ รอ...

    ฉัน นั่งรอ..แล้วเพิ่งนึกได้ ว่า มีผู้หญิงสาวสวยคนหนี่ง นั่งอยู่หน้าห้องคลอด
    จึงถามพยาบาล ว่า เธอคือใคร
    พยาบาล ตอบว่า เป็น น้องสาว ของผู้มาคลอด
    ฉัน จึงให้พยาบาล ไปเชิญเธอเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว ในห้องคลอด ( มาถึงตอนนี้ คงไม่มีใครเชื่อว่า ฉันให้ไปเชิญเข้ามาทำไม..ฮา )

    ระหว่างนั่งรอ ได้รู้ประวัตืของผู้มาคลอดบุตร เป็น มอญ..สามี เป็นพะม่า อพยพทั้ครอบครัว มาอยู่ทีแม่สอด หลายปีแล้ว..
    มิน่าล่ะ น้องสาวจึงสวยระดับนางงาม..เธอพูดไทยไม่ได้ พูดถาษาอังกฤษ ก็ไม่ได้
    ฉัน จึงได้แต่นั่งมอง เพลินตา เพลินใจ เท่านั้นเอง..

    ไม่นานเกินรอ..เท้าน้อยๆของเด็ก โผล่แผลมๆมาให้เห็น

    การทำคลอด เด็กท่าก้น เริ่มต้น ณ.บัดนั้น

    ฉัน ตั้งจิตสงบ นึกถึงครูบาอาจารย์ ที่สอนฉันมา ใหัค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน
    ...ค่อยๆดึงขาเด็กออกทั้ง 2 ข้าง
    ...จับเด็กให้อยู่ในท่าตะแคงข้าง ค่อยๆดึงตัวเด็กลงล่าง เพื่อใหัตะโพกบนออก..แล้วก็ยกตัวเด็กขึ้นสูง เพื่อใหัตะโพกล่างออก
    ...พลิกตัวเด็ก กลับมาท่านอนคว่ำ แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา จนถึงบริเวณรักแร้
    ...ใช้มือล้วงแขนเด็กออกมาทั้ง 2 ข้าง ( ต้องระวัง เด็กแขนหักได้ )
    ... พลิกตัวเด็กกลับมาในท่าตะแคง เพื่อเอาใหล่บนออก และ ตามด้วยใหล่ล่างออกมา เหลือแต่หัว
    ...พลิกตัวเด็กนอนคว่ำอยู่บนแขนขวา ค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปในปากเด็ก เพื่อดึงหน้าเด็กให้ก้มลงเล็กน้อย..ในเวลาเดียวกัน ใชัมือซ้ายช่วยปรับมุมที่ ท้ายทอยเด็ก แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา
    Happy New Born
    เป็นเพศหญิง ฉันตัดสายสะดือ แล้วส่งให้พยาบาลดูแลต่อ
    เมื่อ รก ลองออกมาหมด มดลูกหดตัวดี ฉันก๊สำรวจ รก พบว่า มี 1 รก และ 2 สายสะดือ
    นั่นคือ แฝดเหมือน ( Identical Twins )

    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงกลับไปนอน

    หนึ่งเดือนผ่านไป พ่อและแม่ เด็กแฝดมาหา ขอให้ฉันตั้งชื่อลูกสาวแฝด เพื่อเป็นศิริมงคล

    ฉัน ตั้งชื่อ
    คนแรก ชื่อ จันทรา
    คนน้อง ชื่อ กุสุมา

    พ่อและแม่เด็ก พูดไทยไม่ได้ ถามฉันเป็นภาษาอังกฤษ ถึงความหมายของชื่อ
    ฉัน อธิบายว่า เป็นชื่อของเจ้าหญิงแสนสวยพะม่า ในนิยายชื่อ ผู้ชนะสิบทิศ ของไทย
    จันทรา คือ เจ้าหญิงเมือง ตองอู
    กุสุมา คือ เจ้าหญิงเมือง แปร
    พ่อแลแม่เด็ก ไม่เข้าใจ แต่ก็พอใจชื่อที่ฉันตั้งให้

    ระหว่างที่ฉันอยู่ ร.พ.แม่สอด ถ้าเด็กแฝดไม่สะบาย พี่เลี้ยงเด็ก จะพามาหาฉันทุกครั้ง
    วันหนึ่ง พี่เลี้ยงเด็กแฝด พูดกับฉันว่า " หนู รู้แล้วว่าทำไมคุณหมอ ตั้งชื่อน้อง ว่า จันทรา กุสุมา "
    ฉันถามว่า " รู้ได้อย่างไร "
    พี่เลี้ยงเด็กแฝดตอบว่า " เมื่อคืน หนูไปดูหนังเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ที่โรงหนังแม่สอด ).....( ฮา )

    อีก 12 ปี ต่อมา หลังจากฉันย้ายจาก ร.พ.แม่สอด แล้ว ฉันไปแมสอดอีกครั้ง ได้ถามหา เด็กแฝดคู่นั้น
    พ่อและแม่เด็ก พามาหา
    ฉันดีใจ ที่ได้เห็นเด็กแข็งแรง และเริ่มมีแววสวย
    จึงเรียกเด็ก 2 คน มาหาชิดตัวเพื่อจะถ่ายรูป
    เด็กทั้ง 2 คน ชะงัก ไม่กล้าเข้ามาหา
    จนกระทั่งพ่อเด็ก ส่งภาษาพะม่า กับเด็กทั้งสอง
    เด็ก 2 คน จึงเดินยิ้มเข้ามาหา ยืนซ้ายขวาฉัน ถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก

    จันทรา-กสุมา เรียนที่ แม่สอด และมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โรงเรียน เซนต์ฟรัง ซิลซาเวียร์ คอนแวนด์
    หลังจากนั้น ก็ไม่ทราบข่าวคราว
    ได้พบกันอีก เมื่อ ฉันไปกับ วปรอ.355 ที่แม่สอด
    ทั้งสองคน เป็นเจ้าของร้านพลอย ใหญ่โตในตลาดแม่สอด ร้านชื่อ จันทรา
    ต่อมา ก็พบกันอีก ที่แม่สอด ในฐานะประธานแต่งงานให้ จันทรา
    กูสุมา แต่งงานในเวลาต่อมา

    และพบครั้งสุดท้าย ที่ กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ในขณะที่ฉัน เป็น อธิบดี
    จบบัดนี้ พ.ศ.2564 ยังไม่เคยพบแฝดคู่นี้อีกเลย...

    ก่อนจบ ขอย้อนกลับไปตอนที่ จันทรา-กุสุมา อยู่โรงเรียน เซนต์ฟรัง เป็นเวลาเดียวกันที่ฉันอยู่ โรงพยาบาลราชวิถึ
    ตะละแม่จันทรา และ ตะละแม่กุสุมา มาหาฉัน ที่ โรงพยาบาลราชวิถึ ในชุดนักเรียน เซนต์ฟรัง
    ทั้งสอง ดูค่อนข้างสวย แจ่มใส..เราได้พูดคุยถามทุกข์สุขกัน..

    มีคำถามหนึ่ง ที่ฉันถาม จันทรา-กุสุมาว่า
    " ชื่อที่ตั้งให้ มีปัญหาหรือไม่ ในวันเวลาที่ผ่านมา "

    ทั้งสองคน ตอบว่า " มีค่ะ ใครๆชอบถามบ่อยๆว่า เจด็จ อยู่ไหน "

    ฉันถามกลับไปว่า " แล้ว จเด็จ อยู่ไหนล่ะ "

    สิ่งไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น
    ตะละแม่ทั้งสอง ยกมือขึ้นพรัอมกัน ชี้มาที่ฉัน และพูดพร้อมกัน ว่า " จเด็จ อยู่นี่ไง ".....ฮา ฮาฮา


    11/10/67 ความทรงจำของฉัน ( ตอนที่ 2 ) " ตะล่ะแม่ " ปี พ.ศ. 2510...คืนหนึ่ง ที่ ร.พ. แม่สอด จว.ตาก ฉัน เป็นแพทย์เวร ถูกปลุก ประมาณ ตี 2 ด้วยเจ้าหน้าที่เวรชาย ยืนเรียกฉัน อยู่หน้าบ้านพักแพทย์ ว่า มีผู้หญิงจะคลอดลูก.. ฉัน ไปที่ห้องคลอด ซึ่งเป็นห้องไม้สัก อยู่ท้ายเรือนผู้ป่วยหญิง ไม่มี Air Condition มีแต่ประตูหน้าต่างที่มีบ้านบังตากันไว้ เท่านั้น... ในห้องคลอด มีผู้หญิงนอนปวดท้องคลอด และ พยาบาล ยืนอยู่ข้างๆ ฉัน คอยดูอยู่สักพีกหนึ่ง เห็นหัวเด็ก เริ่มโผล่ออกมา พอให้เห็นผมบนหัว นิดหน่อย ฉัน จึงเริ่มทำคลอดไปตามปกติ เพราะเป็น Normal Labor เด็กออกมา เป็นเพศหญิง ฉัน ตัดสายสะดือ แล้วส่งเด็ก ให้พยาบาลดูแลต่อไป ฉันรอ รกที่จะลอกออกตามมา แต่เอะใจว่า ทำไมท้องแม่ยังไม่ยุบ จึงเอามือคลำดู... อ้าว.!..มีเด็กอีกหนึงคน..โชคดึจังมี ลูกแฝด แฝดผู้น้อง จะออก ท่าก้น ( เป็นธรรมชาติ ที่เด็กแฝดสอง จะนอนกลับหัวกลับหาง ในมดลูกแม่ เพื่อใช้พื้นที่อยู่ด้วยกันได้ ) ดังนั้น แฝดคนที่ 2 จะออก ท่าก้น กว่าเด็กคนที่ 2 จะเคลื่อนตัวลงมาถึงปากช่องคลอด ต้องใข้เวลาพอสมควร..จึงต้อง รอ รอ... ฉัน นั่งรอ..แล้วเพิ่งนึกได้ ว่า มีผู้หญิงสาวสวยคนหนี่ง นั่งอยู่หน้าห้องคลอด จึงถามพยาบาล ว่า เธอคือใคร พยาบาล ตอบว่า เป็น น้องสาว ของผู้มาคลอด ฉัน จึงให้พยาบาล ไปเชิญเธอเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว ในห้องคลอด ( มาถึงตอนนี้ คงไม่มีใครเชื่อว่า ฉันให้ไปเชิญเข้ามาทำไม..ฮา ) ระหว่างนั่งรอ ได้รู้ประวัตืของผู้มาคลอดบุตร เป็น มอญ..สามี เป็นพะม่า อพยพทั้ครอบครัว มาอยู่ทีแม่สอด หลายปีแล้ว.. มิน่าล่ะ น้องสาวจึงสวยระดับนางงาม..เธอพูดไทยไม่ได้ พูดถาษาอังกฤษ ก็ไม่ได้ ฉัน จึงได้แต่นั่งมอง เพลินตา เพลินใจ เท่านั้นเอง.. ไม่นานเกินรอ..เท้าน้อยๆของเด็ก โผล่แผลมๆมาให้เห็น การทำคลอด เด็กท่าก้น เริ่มต้น ณ.บัดนั้น ฉัน ตั้งจิตสงบ นึกถึงครูบาอาจารย์ ที่สอนฉันมา ใหัค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน ...ค่อยๆดึงขาเด็กออกทั้ง 2 ข้าง ...จับเด็กให้อยู่ในท่าตะแคงข้าง ค่อยๆดึงตัวเด็กลงล่าง เพื่อใหัตะโพกบนออก..แล้วก็ยกตัวเด็กขึ้นสูง เพื่อใหัตะโพกล่างออก ...พลิกตัวเด็ก กลับมาท่านอนคว่ำ แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา จนถึงบริเวณรักแร้ ...ใช้มือล้วงแขนเด็กออกมาทั้ง 2 ข้าง ( ต้องระวัง เด็กแขนหักได้ ) ... พลิกตัวเด็กกลับมาในท่าตะแคง เพื่อเอาใหล่บนออก และ ตามด้วยใหล่ล่างออกมา เหลือแต่หัว ...พลิกตัวเด็กนอนคว่ำอยู่บนแขนขวา ค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปในปากเด็ก เพื่อดึงหน้าเด็กให้ก้มลงเล็กน้อย..ในเวลาเดียวกัน ใชัมือซ้ายช่วยปรับมุมที่ ท้ายทอยเด็ก แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา Happy New Born เป็นเพศหญิง ฉันตัดสายสะดือ แล้วส่งให้พยาบาลดูแลต่อ เมื่อ รก ลองออกมาหมด มดลูกหดตัวดี ฉันก๊สำรวจ รก พบว่า มี 1 รก และ 2 สายสะดือ นั่นคือ แฝดเหมือน ( Identical Twins ) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงกลับไปนอน หนึ่งเดือนผ่านไป พ่อและแม่ เด็กแฝดมาหา ขอให้ฉันตั้งชื่อลูกสาวแฝด เพื่อเป็นศิริมงคล ฉัน ตั้งชื่อ คนแรก ชื่อ จันทรา คนน้อง ชื่อ กุสุมา พ่อและแม่เด็ก พูดไทยไม่ได้ ถามฉันเป็นภาษาอังกฤษ ถึงความหมายของชื่อ ฉัน อธิบายว่า เป็นชื่อของเจ้าหญิงแสนสวยพะม่า ในนิยายชื่อ ผู้ชนะสิบทิศ ของไทย จันทรา คือ เจ้าหญิงเมือง ตองอู กุสุมา คือ เจ้าหญิงเมือง แปร พ่อแลแม่เด็ก ไม่เข้าใจ แต่ก็พอใจชื่อที่ฉันตั้งให้ ระหว่างที่ฉันอยู่ ร.พ.แม่สอด ถ้าเด็กแฝดไม่สะบาย พี่เลี้ยงเด็ก จะพามาหาฉันทุกครั้ง วันหนึ่ง พี่เลี้ยงเด็กแฝด พูดกับฉันว่า " หนู รู้แล้วว่าทำไมคุณหมอ ตั้งชื่อน้อง ว่า จันทรา กุสุมา " ฉันถามว่า " รู้ได้อย่างไร " พี่เลี้ยงเด็กแฝดตอบว่า " เมื่อคืน หนูไปดูหนังเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ที่โรงหนังแม่สอด ).....( ฮา ) อีก 12 ปี ต่อมา หลังจากฉันย้ายจาก ร.พ.แม่สอด แล้ว ฉันไปแมสอดอีกครั้ง ได้ถามหา เด็กแฝดคู่นั้น พ่อและแม่เด็ก พามาหา ฉันดีใจ ที่ได้เห็นเด็กแข็งแรง และเริ่มมีแววสวย จึงเรียกเด็ก 2 คน มาหาชิดตัวเพื่อจะถ่ายรูป เด็กทั้ง 2 คน ชะงัก ไม่กล้าเข้ามาหา จนกระทั่งพ่อเด็ก ส่งภาษาพะม่า กับเด็กทั้งสอง เด็ก 2 คน จึงเดินยิ้มเข้ามาหา ยืนซ้ายขวาฉัน ถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก จันทรา-กสุมา เรียนที่ แม่สอด และมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โรงเรียน เซนต์ฟรัง ซิลซาเวียร์ คอนแวนด์ หลังจากนั้น ก็ไม่ทราบข่าวคราว ได้พบกันอีก เมื่อ ฉันไปกับ วปรอ.355 ที่แม่สอด ทั้งสองคน เป็นเจ้าของร้านพลอย ใหญ่โตในตลาดแม่สอด ร้านชื่อ จันทรา ต่อมา ก็พบกันอีก ที่แม่สอด ในฐานะประธานแต่งงานให้ จันทรา กูสุมา แต่งงานในเวลาต่อมา และพบครั้งสุดท้าย ที่ กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ในขณะที่ฉัน เป็น อธิบดี จบบัดนี้ พ.ศ.2564 ยังไม่เคยพบแฝดคู่นี้อีกเลย... ก่อนจบ ขอย้อนกลับไปตอนที่ จันทรา-กุสุมา อยู่โรงเรียน เซนต์ฟรัง เป็นเวลาเดียวกันที่ฉันอยู่ โรงพยาบาลราชวิถึ ตะละแม่จันทรา และ ตะละแม่กุสุมา มาหาฉัน ที่ โรงพยาบาลราชวิถึ ในชุดนักเรียน เซนต์ฟรัง ทั้งสอง ดูค่อนข้างสวย แจ่มใส..เราได้พูดคุยถามทุกข์สุขกัน.. มีคำถามหนึ่ง ที่ฉันถาม จันทรา-กุสุมาว่า " ชื่อที่ตั้งให้ มีปัญหาหรือไม่ ในวันเวลาที่ผ่านมา " ทั้งสองคน ตอบว่า " มีค่ะ ใครๆชอบถามบ่อยๆว่า เจด็จ อยู่ไหน " ฉันถามกลับไปว่า " แล้ว จเด็จ อยู่ไหนล่ะ " สิ่งไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น ตะละแม่ทั้งสอง ยกมือขึ้นพรัอมกัน ชี้มาที่ฉัน และพูดพร้อมกัน ว่า " จเด็จ อยู่นี่ไง ".....ฮา ฮาฮา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตผู้นำของพี่ปู……ความวัวไม่ทันหาย……ความแอร์ไลน์เข้ามาแทรก……ติ่งแสนจะเหนื่อยใจแทนจริงจิ๊งงงงง……!!

    ตอนยี่สิบสี่……คดีที่โยนกลองกันไปมา……ป่านนี้ยังหาที่ลงไม่ได้……!!!

    การแลกเปลี่ยนการสอยร่วงระหว่างยูเครนและรัสเซียที่เหมือนกับการแลกหมัดนั้น……
    วันที่ 17 กรกฏาคม 2014 ได้เกิดโศกนาฏกรรมของเครื่องบิน Malaysia Airways Boeing 777 ที่มีผู้โดยสาร 283 คนพร้อมลูกเรือ อีก 15 คน จากแอมสเตอร์ดัม สู่ กัวลาลัมเปอร์
    ร่วงลงสู่พื้นดิน ในเขตแนว 50 ไมล์ ชายแดน ยูเครน-รัสเซีย
    ในเขต Donetsk (การตกอยู่ในดินแดนของยูเครน)
    สาเหตุ จากการสันนิษฐานชั้นแรก คือ โดนขีปนาวุธ Buk 9M83 ที่เป็นของรัสเซียที่ส่งยิงมาจากทางภาคพื้นดิน

    ปูตินที่เพิ่งกลับจากการประชุมฟีฟ่าที่บราซิล ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆในเรื่องนี้ แต่เขาได้ให้ความเห็นว่า……
    “สายการบินควรจะเลี่ยงเส้นทางที่เป็นแนวของการสู้รบ และการเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้…ไม่ควรเอามาเป็นการป้ายสีกันทางการเมือง ควรที่จะให้ความสำคัญกับผู้ที่สูญเสียและครอบครัวของเขาก่อนจะดีกว่า……”
    แต่……สื่อที่ออกมาที่ส่วนใหญ่คือสื่อทางตะวันตก ได้ต่างออกมาตำหนิรัสเซียไปแล้ว
    สื่ออังกฤษ……พาดหัวว่า เป็นเพราะขีปนาวุธของฆาตกรปูติน……

    ความแตกร้าวระหว่างรัสเซียกับตะวันตกได้ขยายแยกออกห่างขึ้น ……อเมริกาได้ถือข้อนี้ ยืดเวลาการแซงชั่นยึดทรัพย์ออกไปอีก
    เศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มสั่นคลอน ค่าเงินรูเบิ้ลตก ราคาน้ำมันถูกกด……ทางตะวันตกเริ่มยิ้มเยาะอย่างสะใจ เพราะมันเหมือนกับตีถูกที่หน้าแข้งให้รัสเซียคุกเข่าลงได้
    ปูตินเชื่อว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่าง สหรัฐอเมริกาและซาอุดิอาระเบีย……

    ยังไม่ทันที่จะได้คิดอ่านทำอะไร ไม่กี่วันต่อมาจากการเกิดโศกนาฏกรรมนั้น
    ศาลโลกที่กรุงเฮกได้รีบตัดสินคดีที่ Mikhail Khodorkovsky (ในนามของบริษัท Yukos) ที่ฟ้องรัฐบาลรัสเซีย……ศาลได้ตัดสินให้รัสเซียจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ ห้าหมื่นล้านเหรียญ
    ปูตินได้บอกกับเพื่อนสนิทในกลุ่มว่า ……จากนี้ไป เขาจะไม่แคร์เลยว่าทางตะวันตกจะคิดอย่างไรกับรัสเซีย เพราะหน้าฉากที่งานโอลิมปิกที่คุยกันแสนหวาน สมัครสมานสามัคคี กลมเกลียวชื่นมื่น……
    แต่……เมื่อถึงจังหวะที่เปิดหน้ากาก………พวกเขามาพร้อมมีดที่พร้อมจะปักลงที่กลางหลัง

    ปูตินเป็นคนที่ยิ่งตี……ก็ยิ่งโต เขารู้สึกดีใจที่ได้จัดการกับไครเมียและยูเครนตะวันออกไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน เพราะอย่างไรเสีย……รัสเซียก็คือผู้ร้ายในสายตาของใครต่อใครอยู่แล้ว ในยามที่กองทัพยูเครนได้ทำทารุณกรรรมต่อประชาชน
    ชายขอบ……มีทั้งพวกนีโอนาซีที่ออกมาตบตี ตบทรัพย์นักท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ………ทุกคนไม่ปริปาก……

    กลุ่มที่ต่อต้านปูติน เริ่มฉวยโอกาสนี้ไหวตัวกันอีกครั้ง เช่น
    Alexsei Navalny, Pavel Durov (หรือ Mark Zuckerberg แห่งรัสเซีย), Boris Berezovsky, Boris Nemtov และคนที่เพิ่งได้รับอภัยโทษไปหมาดๆคือ Mikhail Khodorovsky ที่ไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์
    ในวันที่ 31 กรกฏาคม เหล่ามหาเศรษฐีอีกหลายๆคนที่ถือเอาโอกาสนี้ไปรวมตัว…ประชุมแบบลับๆที่ ศูนย์อำนวยการฟุตบอล, มอสโคว์ เพื่อที่จะพบปะหารือปรับทุกข์กันในเรื่องการที่ยึดไครเมีย จนเกิดการแซงชั่นทางธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม……ที่พวกเขาจะพลอยเดือดร้อน……
    หนึ่งในนั้น คือ Vladimir Yakunin ประธานรถไฟ Moskva
    ทุกคนได้เริ่มสาธยายความอึดอัดที่ต้องผจญกับอุปสรรคต่างๆ
    เพราะตะวันตกไม่ยอมรับการเข้ายึดไครเมีย
    หลายคนเริ่มตำหนิปูติน….
    แต่ยาคุนิน ได้ลุกขึ้นยืนกล่าวเป็นคนสุดท้ายด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า……
    “ ใช่……ประเทศเรากำลังถูกเขาแซงชั่น……ประธานาธิบดีของเรากำลังยืนหยัดสู้อย่างกล้าหาญ แต่พวกคุณที่เสียผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยช่างทุกข์ร้อนกันเกินเหตุ เรื่องที่จะโดนอะไรมากกว่านี้จากตะวันตกที่พวกคุณกังวลกัน……
    ผมขอบอกตรงนี้เลยว่า ……เขาทำแน่ ไม่ว่ารัสเซียจะทำอะไร
    พวกเขาก็หาเหตุจนได้ ต่อให้พวกคุณไปคุกเข่าขอความปรานี
    เขาก็จะถีบคุณออกมา……ดังนั้น แทนที่จะมาก่นด่ากัน……หันมาสนับสนุนชาติของตัวเองอย่างพลเมืองที่ดี……ดีกว่าไหม ?”

    คนที่เคลื่อนไหวต่อต้านในทุกอย่างที่เป็นปูติน คือ Boris Nemtsov นักการเมืองฝ่ายลิเบอรัล ที่เคยเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีสมัยเยลซิน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งที่ปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยแรก ที่เขาดำเนินการต่อต้านทั้งใต้ดินและบนดิน
    ไม่ว่าจะมีการประท้วงในครั้งไหน หรือ เรื่องอะไร เนมซอฟจะเดินนำหน้าเสียงดังฟังชัดเสมอ
    เรื่อง Sochi……เขาได้ทำเอกสารแจกนักข่าวถึงความไม่ชอบมาพากลเรื่องการก่อสร้างและงบประมาณ
    เมื่อมาถึงไครเมีย และ ยูเครน เนมซอฟ……จะเข้าข้างทางฝั่งยูเครนแบบเต็มตัว เขาเริ่มใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นทุกที
    พอมาถึง เรื่องเครื่องบินตก……เขาออกโรงด่าปูตินแบบไม่ไว้หน้า ทั้งๆที่การพิสูจน์หลักฐานยังไม่เสร็จสิ้น

    เขารับงานสัมภาษณ์ในทุกสื่อตะวันตกที่เปิดโอกาสให้โจมตีรัฐบาลรัสเซีย
    ที่สุดๆคือ ในการสัมภาษณ์ของเขาในเดือนเมษายน 2014 ที่เขาเรียกปูตินเป็นคนโรคจิต เอางบประมาณไปละลายกับเชเชน……และ…ใครจะรู้ว่าเท่าไหร่…นอกจากพระอัลเลาะห์เจ้า…!!!
    ต้องเรียกว่า……นั่นคือการให้สัมภาษณ์แบบผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ เพราะข้อความนี้ได้ไปสร้างความดือดดาลให้กับพวกนักรบเชเชน……

    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 เวลา 23:31 ในขณะที่เนมซอฟกำลังเดินทอดน่องเกี่ยวแขนไปกับแฟนสาว Anna Durytka บนสะพานหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถยนต์วิ่งผ่านมา…;เสียงปืนลั่นมาแปดนัด……เนมซอฟล้มลง สิ้นใจ
    แต่แฟนสาว……ที่เคียงข้าง……ปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ
    (มืออาชีพจริงๆ……)

    การตายของเนมซอฟเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
    เดือนมีนาคม ทางตำรวจได้จับกุมมือปืนได้สองคน คือ Anzor Gubashev และ Zaur Dadaev ทั้งคู่เป็นชาวมุสลิม จากทางเหนือของคอเคซัส
    ข่าวจากรัสเซีย……ว่า จำเลยยอมรับสารภาพว่า โกรธที่หมิ่นพระอัลเลาะห์ และหยามกองทัพเชเชน
    ข่าวจากตะวันตก……ว่า……ทั้งคู่รับจ้างวานมาเป็นเงินจำนวนสิบห้าล้านรูเบิ้ล

    หลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ปูตินได้หายไปจากหน้าสื่อถึงสิบวัน
    ทีเล่นเอาทุกคนสงสัยไปหมด ว่า เขาไปไหน……อะไรเกิดขึ้น……
    ป่วย……หรือโดนปฎิวัติเงียบ……??
    ข่าวนี้มาพร้อมกับข่าวที่ Alina Kaayeva ได้เพิ่งคลอดลูก
    แต่เสียงจากวงในได้แย้มออกมาว่า เขาได้พักรักษาหลังและไหล่ (จากการเล่นยูโดมานาน)

    แต่ที่แน่ๆ คือ การพิสูจน์หลักฐานของการตกของสายการบิน Malaysia Airlines ยังไม่จบในทุกวันนี้ คาดว่า ศาลจะตัดสินว่าใครผิดใครถูกในปลายปี 2022 นี้……
    ทางรัสเซีย……ได้อ้างว่า เขาได้ส่งข้อความไปยังสายการบินพานิชย์ต่างๆแล้วว่า ขอให้เลี่ยงการใช้เส้นทางผ่านดินแดนที่เป็นกรณีพิพาท หรือจะต้องบินสูงกว่า สามหมื่นหกพันฟุต
    และที่เกิดเหตุ……ไม่ใช่ในรัสเซีย แต่เป็นยูเครน
    ส่วนขีปนาวุธที่ต้องสงสัย คือ Buk นั้น มีใช้ทั้งรัสเซียและยูเครน

    ทางยูเครน…บอกว่า เป็นฝีมือของรัสเซีย เพราะหลังจากที่เกิดเหตุ มีวิทยุจากฝ่ายรัสเซียที่โห่ร้องว่า ได้สอย AN-26 ของยูเครนไปอีกหนึ่งลำ (คงเข้าใจว่าเป็น AN-26)

    ส่วนทางตะวันตก……ต่างขานรับเข้าข้างยูเครนไปทั้งหมดแล้ว…!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ชีวิตผู้นำของพี่ปู……ความวัวไม่ทันหาย……ความแอร์ไลน์เข้ามาแทรก……ติ่งแสนจะเหนื่อยใจแทนจริงจิ๊งงงงง……!! ตอนยี่สิบสี่……คดีที่โยนกลองกันไปมา……ป่านนี้ยังหาที่ลงไม่ได้……!!! การแลกเปลี่ยนการสอยร่วงระหว่างยูเครนและรัสเซียที่เหมือนกับการแลกหมัดนั้น…… วันที่ 17 กรกฏาคม 2014 ได้เกิดโศกนาฏกรรมของเครื่องบิน Malaysia Airways Boeing 777 ที่มีผู้โดยสาร 283 คนพร้อมลูกเรือ อีก 15 คน จากแอมสเตอร์ดัม สู่ กัวลาลัมเปอร์ ร่วงลงสู่พื้นดิน ในเขตแนว 50 ไมล์ ชายแดน ยูเครน-รัสเซีย ในเขต Donetsk (การตกอยู่ในดินแดนของยูเครน) สาเหตุ จากการสันนิษฐานชั้นแรก คือ โดนขีปนาวุธ Buk 9M83 ที่เป็นของรัสเซียที่ส่งยิงมาจากทางภาคพื้นดิน ปูตินที่เพิ่งกลับจากการประชุมฟีฟ่าที่บราซิล ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆในเรื่องนี้ แต่เขาได้ให้ความเห็นว่า…… “สายการบินควรจะเลี่ยงเส้นทางที่เป็นแนวของการสู้รบ และการเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้…ไม่ควรเอามาเป็นการป้ายสีกันทางการเมือง ควรที่จะให้ความสำคัญกับผู้ที่สูญเสียและครอบครัวของเขาก่อนจะดีกว่า……” แต่……สื่อที่ออกมาที่ส่วนใหญ่คือสื่อทางตะวันตก ได้ต่างออกมาตำหนิรัสเซียไปแล้ว สื่ออังกฤษ……พาดหัวว่า เป็นเพราะขีปนาวุธของฆาตกรปูติน…… ความแตกร้าวระหว่างรัสเซียกับตะวันตกได้ขยายแยกออกห่างขึ้น ……อเมริกาได้ถือข้อนี้ ยืดเวลาการแซงชั่นยึดทรัพย์ออกไปอีก เศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มสั่นคลอน ค่าเงินรูเบิ้ลตก ราคาน้ำมันถูกกด……ทางตะวันตกเริ่มยิ้มเยาะอย่างสะใจ เพราะมันเหมือนกับตีถูกที่หน้าแข้งให้รัสเซียคุกเข่าลงได้ ปูตินเชื่อว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่าง สหรัฐอเมริกาและซาอุดิอาระเบีย…… ยังไม่ทันที่จะได้คิดอ่านทำอะไร ไม่กี่วันต่อมาจากการเกิดโศกนาฏกรรมนั้น ศาลโลกที่กรุงเฮกได้รีบตัดสินคดีที่ Mikhail Khodorkovsky (ในนามของบริษัท Yukos) ที่ฟ้องรัฐบาลรัสเซีย……ศาลได้ตัดสินให้รัสเซียจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ ห้าหมื่นล้านเหรียญ ปูตินได้บอกกับเพื่อนสนิทในกลุ่มว่า ……จากนี้ไป เขาจะไม่แคร์เลยว่าทางตะวันตกจะคิดอย่างไรกับรัสเซีย เพราะหน้าฉากที่งานโอลิมปิกที่คุยกันแสนหวาน สมัครสมานสามัคคี กลมเกลียวชื่นมื่น…… แต่……เมื่อถึงจังหวะที่เปิดหน้ากาก………พวกเขามาพร้อมมีดที่พร้อมจะปักลงที่กลางหลัง ปูตินเป็นคนที่ยิ่งตี……ก็ยิ่งโต เขารู้สึกดีใจที่ได้จัดการกับไครเมียและยูเครนตะวันออกไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน เพราะอย่างไรเสีย……รัสเซียก็คือผู้ร้ายในสายตาของใครต่อใครอยู่แล้ว ในยามที่กองทัพยูเครนได้ทำทารุณกรรรมต่อประชาชน ชายขอบ……มีทั้งพวกนีโอนาซีที่ออกมาตบตี ตบทรัพย์นักท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ………ทุกคนไม่ปริปาก…… กลุ่มที่ต่อต้านปูติน เริ่มฉวยโอกาสนี้ไหวตัวกันอีกครั้ง เช่น Alexsei Navalny, Pavel Durov (หรือ Mark Zuckerberg แห่งรัสเซีย), Boris Berezovsky, Boris Nemtov และคนที่เพิ่งได้รับอภัยโทษไปหมาดๆคือ Mikhail Khodorovsky ที่ไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 31 กรกฏาคม เหล่ามหาเศรษฐีอีกหลายๆคนที่ถือเอาโอกาสนี้ไปรวมตัว…ประชุมแบบลับๆที่ ศูนย์อำนวยการฟุตบอล, มอสโคว์ เพื่อที่จะพบปะหารือปรับทุกข์กันในเรื่องการที่ยึดไครเมีย จนเกิดการแซงชั่นทางธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม……ที่พวกเขาจะพลอยเดือดร้อน…… หนึ่งในนั้น คือ Vladimir Yakunin ประธานรถไฟ Moskva ทุกคนได้เริ่มสาธยายความอึดอัดที่ต้องผจญกับอุปสรรคต่างๆ เพราะตะวันตกไม่ยอมรับการเข้ายึดไครเมีย หลายคนเริ่มตำหนิปูติน…. แต่ยาคุนิน ได้ลุกขึ้นยืนกล่าวเป็นคนสุดท้ายด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า…… “ ใช่……ประเทศเรากำลังถูกเขาแซงชั่น……ประธานาธิบดีของเรากำลังยืนหยัดสู้อย่างกล้าหาญ แต่พวกคุณที่เสียผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยช่างทุกข์ร้อนกันเกินเหตุ เรื่องที่จะโดนอะไรมากกว่านี้จากตะวันตกที่พวกคุณกังวลกัน…… ผมขอบอกตรงนี้เลยว่า ……เขาทำแน่ ไม่ว่ารัสเซียจะทำอะไร พวกเขาก็หาเหตุจนได้ ต่อให้พวกคุณไปคุกเข่าขอความปรานี เขาก็จะถีบคุณออกมา……ดังนั้น แทนที่จะมาก่นด่ากัน……หันมาสนับสนุนชาติของตัวเองอย่างพลเมืองที่ดี……ดีกว่าไหม ?” คนที่เคลื่อนไหวต่อต้านในทุกอย่างที่เป็นปูติน คือ Boris Nemtsov นักการเมืองฝ่ายลิเบอรัล ที่เคยเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีสมัยเยลซิน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งที่ปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยแรก ที่เขาดำเนินการต่อต้านทั้งใต้ดินและบนดิน ไม่ว่าจะมีการประท้วงในครั้งไหน หรือ เรื่องอะไร เนมซอฟจะเดินนำหน้าเสียงดังฟังชัดเสมอ เรื่อง Sochi……เขาได้ทำเอกสารแจกนักข่าวถึงความไม่ชอบมาพากลเรื่องการก่อสร้างและงบประมาณ เมื่อมาถึงไครเมีย และ ยูเครน เนมซอฟ……จะเข้าข้างทางฝั่งยูเครนแบบเต็มตัว เขาเริ่มใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นทุกที พอมาถึง เรื่องเครื่องบินตก……เขาออกโรงด่าปูตินแบบไม่ไว้หน้า ทั้งๆที่การพิสูจน์หลักฐานยังไม่เสร็จสิ้น เขารับงานสัมภาษณ์ในทุกสื่อตะวันตกที่เปิดโอกาสให้โจมตีรัฐบาลรัสเซีย ที่สุดๆคือ ในการสัมภาษณ์ของเขาในเดือนเมษายน 2014 ที่เขาเรียกปูตินเป็นคนโรคจิต เอางบประมาณไปละลายกับเชเชน……และ…ใครจะรู้ว่าเท่าไหร่…นอกจากพระอัลเลาะห์เจ้า…!!! ต้องเรียกว่า……นั่นคือการให้สัมภาษณ์แบบผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ เพราะข้อความนี้ได้ไปสร้างความดือดดาลให้กับพวกนักรบเชเชน…… วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 เวลา 23:31 ในขณะที่เนมซอฟกำลังเดินทอดน่องเกี่ยวแขนไปกับแฟนสาว Anna Durytka บนสะพานหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถยนต์วิ่งผ่านมา…;เสียงปืนลั่นมาแปดนัด……เนมซอฟล้มลง สิ้นใจ แต่แฟนสาว……ที่เคียงข้าง……ปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ (มืออาชีพจริงๆ……) การตายของเนมซอฟเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เดือนมีนาคม ทางตำรวจได้จับกุมมือปืนได้สองคน คือ Anzor Gubashev และ Zaur Dadaev ทั้งคู่เป็นชาวมุสลิม จากทางเหนือของคอเคซัส ข่าวจากรัสเซีย……ว่า จำเลยยอมรับสารภาพว่า โกรธที่หมิ่นพระอัลเลาะห์ และหยามกองทัพเชเชน ข่าวจากตะวันตก……ว่า……ทั้งคู่รับจ้างวานมาเป็นเงินจำนวนสิบห้าล้านรูเบิ้ล หลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ปูตินได้หายไปจากหน้าสื่อถึงสิบวัน ทีเล่นเอาทุกคนสงสัยไปหมด ว่า เขาไปไหน……อะไรเกิดขึ้น…… ป่วย……หรือโดนปฎิวัติเงียบ……?? ข่าวนี้มาพร้อมกับข่าวที่ Alina Kaayeva ได้เพิ่งคลอดลูก แต่เสียงจากวงในได้แย้มออกมาว่า เขาได้พักรักษาหลังและไหล่ (จากการเล่นยูโดมานาน) แต่ที่แน่ๆ คือ การพิสูจน์หลักฐานของการตกของสายการบิน Malaysia Airlines ยังไม่จบในทุกวันนี้ คาดว่า ศาลจะตัดสินว่าใครผิดใครถูกในปลายปี 2022 นี้…… ทางรัสเซีย……ได้อ้างว่า เขาได้ส่งข้อความไปยังสายการบินพานิชย์ต่างๆแล้วว่า ขอให้เลี่ยงการใช้เส้นทางผ่านดินแดนที่เป็นกรณีพิพาท หรือจะต้องบินสูงกว่า สามหมื่นหกพันฟุต และที่เกิดเหตุ……ไม่ใช่ในรัสเซีย แต่เป็นยูเครน ส่วนขีปนาวุธที่ต้องสงสัย คือ Buk นั้น มีใช้ทั้งรัสเซียและยูเครน ทางยูเครน…บอกว่า เป็นฝีมือของรัสเซีย เพราะหลังจากที่เกิดเหตุ มีวิทยุจากฝ่ายรัสเซียที่โห่ร้องว่า ได้สอย AN-26 ของยูเครนไปอีกหนึ่งลำ (คงเข้าใจว่าเป็น AN-26) ส่วนทางตะวันตก……ต่างขานรับเข้าข้างยูเครนไปทั้งหมดแล้ว…!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เล่าสู่กันฟัง

    คนที่ติดตามเพจพวกเรามาตั้งแต่ต้นหลายคนจะรู้ดีเลยว่าถ้าพวกเราเล่นใครคือจะไม่เคยเล่นแบบเลื่อนลอย

    นั่นเพราะเราเป็นเงาซึ่งมันไม่น่าเชื่อถือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเราจึงต้องขุดหาข้อมูลให้ลึกๆเอามาแนบบทความให้เห็นความจริงที่จับต้องได้

    เราเปิดเพจขึ้นมาโดยใช้ภาพของโจวเหวินฟะเป็นภาพโพรไฟล์ ในขณะที่ช่องส่องผีมีตัวตนจริง

    ชสผ.มีคนติดตามร่วม 2 ล้าน แถมรายการ on air อยู่ช่อง 8 ส่วนเราเปิดเพจได้ 3 เดือนมีคนติดตามหลักสิบ..มองไม่เห็นแสงแห่งชัยชนะ แต่สุดท้ายเราชนะขาด

    ในทุกๆวันจะมีพี่ติ่งส่องผีเป็นร้อยๆเลยขับเฟซมาจอดที่เพจเหยื่อโชว์สกิลสมถานะกระบือบินเสร็จแล้วก็งับเบ็ดที่เราวางไว้ติดปากกลับไปทุกราย

    เราเลือกเป้าโจมตีไปที่ เรนนี่ ผู้วิเศษดาวดังตัวชูโรงประจำช่องส่องผี การบ้านที่พวกเราต้องทำคือหาข้อมูลมาหักร้าง ให้โลกเห็นว่าเรนนี่ ของปลอมลวงโลก

    ซึ่งการตามหาประวัติอาชญากรสำหรับพวกเราแล้วมันเป็นงานไม่ยากหรอก คนที่ตามหายากที่สุดคือ..คนดีๆคนที่ไม่เคยทำผิดบาป คนที่ไม่เคยมีคดีติดตัว

    บ๊วย..อาศัยความเป็นคนในวงการบันเทิง จึงรู้ช่องทางการจะปั้นเรนนี่ให้โด่งดัง พาเรนนี่เดินสายออกทีวี

    และจุดสลบของคนลวงโลกคือ..โกหกให้ถูกจับได้

    ทีมงานเราลงพื้นที่ไปย่านบ้านย่านโรงเรียนของเรนนี่ เราค้นหาคลิปทุกนาที ภาพทุกใบที่เรนนี่เคยเผยแพร่เอาไว้บนโลกออนไลน์ทุกช่องทาง

    แล้วเอาคลิปเอาเรื่องเล่าจากคนข้างบ้านเรนนี่ที่มีมากมายมาถอดหาช่องโจมตี แล้วก็เห็นช่องทางโจมตี

    นั่นคือเราต้องโจมตีไปที่สารตั้งต้นที่เรนนี่อ้างว่าได้พลังวิเศษมา ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าสตอรี่การได้มาซึ่งพลังวิเศษของเรนนี่เป็นเรื่องโกหก..พังทั้งคณะ

    เรนนี่..อ้างว่าตอนเด็กรถคว่ำ คอหักตุย พร้อมคนอื่นอีก 4 ศพ ตัวเองตุยในที่เกิดเหตุ แล้วไปฟื้นในห้องดับจิต

    ออกจากห้องดับจิตมานอนพักฟื้นในโรงพยาบาล 90 วัน ระหว่างที่อยู่ในห้องดับจิตเรนนี่ไปนรก เจอกับท่านยมซึ่งเป็นพ่อของเรนนี่ในอดีตชาติ

    พ่อยมของเรนนี่จึงส่งพ่อปู่ 3 ตามาสอนวิชาทุกค่ำคืน พอฟื้นคืนชีพขึ้นมาเลยมีตาทิพย์ ออกต้มตุ๋นผู้คน

    เรานับ 1 จากการหาประวัติในใบ opd-ipd ว่าตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันเรนนี่เข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุหนักๆบ้างไหม

    ผลที่ได้คือเรนนี่เข้าโรงพยาบาล 4 ครั้ง เป็นการคลอดลูกผู้หญิง 2 ครั้ง เล่นชู้โดนผัวกระทืบ 1 ครั้ง ป่วย 1 ครั้ง

    เรนนี่..ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะรถคว่ำและไม่เคยนอนโรงพยาบาล 90 วัน ดังนั้นจึงเป็นความบ้งที่ 1 ของเรนนี่

    ถ้าไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุ=โกหกเรื่องการได้มาของพลังวิเศษตาทิพย์..ปลอมในปลอม

    เรนนี่..อ้างว่าเรียนจบนักธรรมเอกจากวัดบวร พวกเราก็สืบค้นไปที่วัดบวรไม่มีชื่อเรนนี่

    พวกเราจึงเช็คไปที่สำนักแม่กองธรรมสนามหลวง จึงพบว่าเรนนี่เรียนจบธรรมศึกษาชั้นโท จากวัดบึงบา เมื่อปี ๒๕๔๘

    จบนักธรรมโท ก็โกหกว่าจบนักธรรมเอก จบวัดบึงบาก็บอกว่าจบจากวัดบวร นั่นคือบ้งที่ 2

    เรนนี่..บอกว่าได้ทุนไปเรียนธรรมที่อินเดียมา 6 เดือน เคยไปเที่ยวยุโรปมา 6 ประเทศ ไปเจอผีที่ญี่ปุ่น ไปเดินเล่นที่เกาหลี

    เราจึงเช็คประวัติการเดินทางของเรนนี่ ผลที่ได้คือเดินทางออกนอกประเทษ 9 ครั้ง พม่า-เขมร 8 ครั้งและไปไต้หวัน 1 ครั้งรวมเป็น 9 ครั้ง นั่นคือบ้งที่ 3

    และถูกพวกเราจับผิดได้อีกนับร้อยบ้ง จากผู้วิเศษตาทิพย์กลายเป็นนักต้มตุ๋นออนไลน์ ได้คดีกันไปทั่วหน้า

    พอถูกดำเนินคดี ความร้าวฉานก็เริ่มก่อตัว สุดท้ายวงแตกแยกทางกันไป จะมาพบเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ต่อเมื่อ..อยู่ในบัลลังก์

    ทุกวันนี้ที่เราไม่ได้ฟาดเพราะปล่อยให้พวกมันก่อคดีเพิ่มไปเรื่อยๆ ถ้าสอบสวนกลางมีความเห็นสั่งฟ้องศาล

    เราจะแจ้งหมายข่าวไปทุกช่อง ส่งข่าวไปหาเพจดาร์กที่เป็นพันธมิตร แล้วคดีฉ้อโกงประชาชนมันจะดังเอามากๆเลย

    เหยื่อ..ที่เคยถูกเรียกเก็บค่าทำพิธีกรรมต่างๆ ก็จะรู้ตัวว่าอ้าวนี่กูให้นักต้มตุ๋นแก้กรรมให้กูเหรอวะเนี่ย ถถถ

    ถ้าเราโชคดี เหยื่อของเรนนี่อาจจะทักมาหาเราก็ได้ 1 คนก็ 1 คดี มาหาเรา 2 คนก็ 2 คดี ถ้ามาหลายคนยิ่งสนุกเลย

    #อย่าให้ได้ขุด
    @King
    #เล่าสู่กันฟัง คนที่ติดตามเพจพวกเรามาตั้งแต่ต้นหลายคนจะรู้ดีเลยว่าถ้าพวกเราเล่นใครคือจะไม่เคยเล่นแบบเลื่อนลอย นั่นเพราะเราเป็นเงาซึ่งมันไม่น่าเชื่อถือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเราจึงต้องขุดหาข้อมูลให้ลึกๆเอามาแนบบทความให้เห็นความจริงที่จับต้องได้ เราเปิดเพจขึ้นมาโดยใช้ภาพของโจวเหวินฟะเป็นภาพโพรไฟล์ ในขณะที่ช่องส่องผีมีตัวตนจริง ชสผ.มีคนติดตามร่วม 2 ล้าน แถมรายการ on air อยู่ช่อง 8 ส่วนเราเปิดเพจได้ 3 เดือนมีคนติดตามหลักสิบ..มองไม่เห็นแสงแห่งชัยชนะ แต่สุดท้ายเราชนะขาด ในทุกๆวันจะมีพี่ติ่งส่องผีเป็นร้อยๆเลยขับเฟซมาจอดที่เพจเหยื่อโชว์สกิลสมถานะกระบือบินเสร็จแล้วก็งับเบ็ดที่เราวางไว้ติดปากกลับไปทุกราย เราเลือกเป้าโจมตีไปที่ เรนนี่ ผู้วิเศษดาวดังตัวชูโรงประจำช่องส่องผี การบ้านที่พวกเราต้องทำคือหาข้อมูลมาหักร้าง ให้โลกเห็นว่าเรนนี่ ของปลอมลวงโลก ซึ่งการตามหาประวัติอาชญากรสำหรับพวกเราแล้วมันเป็นงานไม่ยากหรอก คนที่ตามหายากที่สุดคือ..คนดีๆคนที่ไม่เคยทำผิดบาป คนที่ไม่เคยมีคดีติดตัว บ๊วย..อาศัยความเป็นคนในวงการบันเทิง จึงรู้ช่องทางการจะปั้นเรนนี่ให้โด่งดัง พาเรนนี่เดินสายออกทีวี และจุดสลบของคนลวงโลกคือ..โกหกให้ถูกจับได้ ทีมงานเราลงพื้นที่ไปย่านบ้านย่านโรงเรียนของเรนนี่ เราค้นหาคลิปทุกนาที ภาพทุกใบที่เรนนี่เคยเผยแพร่เอาไว้บนโลกออนไลน์ทุกช่องทาง แล้วเอาคลิปเอาเรื่องเล่าจากคนข้างบ้านเรนนี่ที่มีมากมายมาถอดหาช่องโจมตี แล้วก็เห็นช่องทางโจมตี นั่นคือเราต้องโจมตีไปที่สารตั้งต้นที่เรนนี่อ้างว่าได้พลังวิเศษมา ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าสตอรี่การได้มาซึ่งพลังวิเศษของเรนนี่เป็นเรื่องโกหก..พังทั้งคณะ เรนนี่..อ้างว่าตอนเด็กรถคว่ำ คอหักตุย พร้อมคนอื่นอีก 4 ศพ ตัวเองตุยในที่เกิดเหตุ แล้วไปฟื้นในห้องดับจิต ออกจากห้องดับจิตมานอนพักฟื้นในโรงพยาบาล 90 วัน ระหว่างที่อยู่ในห้องดับจิตเรนนี่ไปนรก เจอกับท่านยมซึ่งเป็นพ่อของเรนนี่ในอดีตชาติ พ่อยมของเรนนี่จึงส่งพ่อปู่ 3 ตามาสอนวิชาทุกค่ำคืน พอฟื้นคืนชีพขึ้นมาเลยมีตาทิพย์ ออกต้มตุ๋นผู้คน เรานับ 1 จากการหาประวัติในใบ opd-ipd ว่าตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันเรนนี่เข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุหนักๆบ้างไหม ผลที่ได้คือเรนนี่เข้าโรงพยาบาล 4 ครั้ง เป็นการคลอดลูกผู้หญิง 2 ครั้ง เล่นชู้โดนผัวกระทืบ 1 ครั้ง ป่วย 1 ครั้ง เรนนี่..ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะรถคว่ำและไม่เคยนอนโรงพยาบาล 90 วัน ดังนั้นจึงเป็นความบ้งที่ 1 ของเรนนี่ ถ้าไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุ=โกหกเรื่องการได้มาของพลังวิเศษตาทิพย์..ปลอมในปลอม เรนนี่..อ้างว่าเรียนจบนักธรรมเอกจากวัดบวร พวกเราก็สืบค้นไปที่วัดบวรไม่มีชื่อเรนนี่ พวกเราจึงเช็คไปที่สำนักแม่กองธรรมสนามหลวง จึงพบว่าเรนนี่เรียนจบธรรมศึกษาชั้นโท จากวัดบึงบา เมื่อปี ๒๕๔๘ จบนักธรรมโท ก็โกหกว่าจบนักธรรมเอก จบวัดบึงบาก็บอกว่าจบจากวัดบวร นั่นคือบ้งที่ 2 เรนนี่..บอกว่าได้ทุนไปเรียนธรรมที่อินเดียมา 6 เดือน เคยไปเที่ยวยุโรปมา 6 ประเทศ ไปเจอผีที่ญี่ปุ่น ไปเดินเล่นที่เกาหลี เราจึงเช็คประวัติการเดินทางของเรนนี่ ผลที่ได้คือเดินทางออกนอกประเทษ 9 ครั้ง พม่า-เขมร 8 ครั้งและไปไต้หวัน 1 ครั้งรวมเป็น 9 ครั้ง นั่นคือบ้งที่ 3 และถูกพวกเราจับผิดได้อีกนับร้อยบ้ง จากผู้วิเศษตาทิพย์กลายเป็นนักต้มตุ๋นออนไลน์ ได้คดีกันไปทั่วหน้า พอถูกดำเนินคดี ความร้าวฉานก็เริ่มก่อตัว สุดท้ายวงแตกแยกทางกันไป จะมาพบเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ต่อเมื่อ..อยู่ในบัลลังก์ ทุกวันนี้ที่เราไม่ได้ฟาดเพราะปล่อยให้พวกมันก่อคดีเพิ่มไปเรื่อยๆ ถ้าสอบสวนกลางมีความเห็นสั่งฟ้องศาล เราจะแจ้งหมายข่าวไปทุกช่อง ส่งข่าวไปหาเพจดาร์กที่เป็นพันธมิตร แล้วคดีฉ้อโกงประชาชนมันจะดังเอามากๆเลย เหยื่อ..ที่เคยถูกเรียกเก็บค่าทำพิธีกรรมต่างๆ ก็จะรู้ตัวว่าอ้าวนี่กูให้นักต้มตุ๋นแก้กรรมให้กูเหรอวะเนี่ย ถถถ ถ้าเราโชคดี เหยื่อของเรนนี่อาจจะทักมาหาเราก็ได้ 1 คนก็ 1 คดี มาหาเรา 2 คนก็ 2 คดี ถ้ามาหลายคนยิ่งสนุกเลย #อย่าให้ได้ขุด @King
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 716 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1900 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!!

    ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!!

    และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง
    เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต
    ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB
    ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน
    คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya
    อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya”
    เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB
    แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา…
    แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!!

    ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต
    ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์
    งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest)
    ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950
    สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany
    ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี
    สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm
    วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB

    การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย
    ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม
    และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า
    มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊
    หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต

    ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข)
    ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!!

    ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!!
    เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!!

    เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี
    ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง
    เธอทำทุกอย่างในบ้าน
    รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน
    อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย
    พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!!
    และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้……
    ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน
    ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต
    ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย……
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น
    แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน
    คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย
    แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ
    มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา

    ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ
    ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ
    Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น
    ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ
    สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi
    เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
    และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
    (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา

    สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง
    เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ
    เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้
    นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน
    มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่
    ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
    อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!

    ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน
    ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร
    จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ
    เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว…
    ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต
    ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์
    ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!!
    ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว

    เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น
    ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา……
    ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า…
    “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา
    ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……”
    ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ
    แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!!

    ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน
    แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!!

    เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์
    ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง……

    การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน……
    แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
    แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์
    ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้…

    ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย
    เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975
    ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB
    แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!”

    ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์)
    อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์
    อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน

    อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด……
    เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี
    แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย……
    เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน
    โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า
    มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า
    ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป
    อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย

    ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่
    Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย……
    ปูติน……ตอบว่า……
    “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว……
    งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย”

    เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ
    วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!!

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว
    อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า…
    “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!! ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!! และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya” เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา… แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!! ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์ งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest) ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950 สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊ หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข) ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!! ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!! เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!! เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง เธอทำทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!! และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้…… ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย…… ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้ นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่ ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว… ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!! ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา…… ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า… “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……” ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!! ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!! เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์ ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง…… การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน…… แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์ ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้… ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975 ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!” ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์) อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์ อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด…… เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย…… เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่ Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย…… ปูติน……ตอบว่า…… “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว…… งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย” เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!! ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า… “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3118 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ่อของฝาแฝดที่ถูกดับชีพเผยว่าไม่ได้มีโอกาสฉลองวันเกิดให้พวกเขาอีกแล้ว
    โมฮัมหมัด มะห์ดี อาบู อัล-คุมซาน พ่อของฝาแฝด ให้สัมภาษณ์กับอัลยาซีราเกี่ยวกับการถูกดับชีพของพวกเขา
    “ผมไปเอาใบสูติบัตรให้ลูก ภรรยาผมเพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่วันก่อน และผมยังไม่มีโอกาสได้ฉลองวันเกิดของลูกๆ เธอต้องผ่าคลอดและเหนื่อยมาก เธอไม่สามารถออกจากบ้านได้” อัล-กุมซันกล่าว
    มูฮัมหมัดทิ้งครอบครัวไว้ที่บ้านและกลับมาพร้อมสูติบัตรของเด็ก ๆ พบว่าพวกเขาทั้งหมดถูกดับชีพด้วยความไร้มนุษยธรรม ฝาแฝด – ไอเซลและไอซาร์ อาบู อัล-คุมซาน – ถูกฝังในถุงบรรจุร่างอันไร้วิญญาณเดียวกับแม่ของพวกเขาซึ่งเป็นหมอ
    กระทรวงสาธารณสุขของกาซากล่าวว่าทารกที่เกิดหลังจากที่เอลเปิดฉากการรุกรานในกาซาจำนวน 115 ราย เสียชีวิตจาก "การทิ้งระเบิดและการรุกราน"
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    พ่อของฝาแฝดที่ถูกดับชีพเผยว่าไม่ได้มีโอกาสฉลองวันเกิดให้พวกเขาอีกแล้ว โมฮัมหมัด มะห์ดี อาบู อัล-คุมซาน พ่อของฝาแฝด ให้สัมภาษณ์กับอัลยาซีราเกี่ยวกับการถูกดับชีพของพวกเขา “ผมไปเอาใบสูติบัตรให้ลูก ภรรยาผมเพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่วันก่อน และผมยังไม่มีโอกาสได้ฉลองวันเกิดของลูกๆ เธอต้องผ่าคลอดและเหนื่อยมาก เธอไม่สามารถออกจากบ้านได้” อัล-กุมซันกล่าว มูฮัมหมัดทิ้งครอบครัวไว้ที่บ้านและกลับมาพร้อมสูติบัตรของเด็ก ๆ พบว่าพวกเขาทั้งหมดถูกดับชีพด้วยความไร้มนุษยธรรม ฝาแฝด – ไอเซลและไอซาร์ อาบู อัล-คุมซาน – ถูกฝังในถุงบรรจุร่างอันไร้วิญญาณเดียวกับแม่ของพวกเขาซึ่งเป็นหมอ กระทรวงสาธารณสุขของกาซากล่าวว่าทารกที่เกิดหลังจากที่เอลเปิดฉากการรุกรานในกาซาจำนวน 115 ราย เสียชีวิตจาก "การทิ้งระเบิดและการรุกราน" . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว