• #ขี้เหล็ก #กสิกรรมธรรมชาติ #พืชสมุนไพร #ความมั่นคง #อาหาร #ยา #พลังงาน #หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง
    https://youtu.be/p1hNx7Pgz9Q
    #ขี้เหล็ก #กสิกรรมธรรมชาติ #พืชสมุนไพร #ความมั่นคง #อาหาร #ยา #พลังงาน #หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง https://youtu.be/p1hNx7Pgz9Q
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนเดินทางผ่านด่านฯแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ขาออกโล่งชัด..หลังไทยตัดไฟฟ้า-ระงับส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง จนคาสิโนออนไลน์เริ่มปิดระนาว จนปริมาณจ้างงานลดวูบ หนุ่มสาวที่เคยข้ามแดนแม่สายไปท่าขี้เหล็กแบบไปเช้าเย็นกลับ วันละเป็นพันๆคน หายวับ แต่สามเหลี่ยมทองคำยังคึกคัก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000013419

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    คนเดินทางผ่านด่านฯแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ขาออกโล่งชัด..หลังไทยตัดไฟฟ้า-ระงับส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง จนคาสิโนออนไลน์เริ่มปิดระนาว จนปริมาณจ้างงานลดวูบ หนุ่มสาวที่เคยข้ามแดนแม่สายไปท่าขี้เหล็กแบบไปเช้าเย็นกลับ วันละเป็นพันๆคน หายวับ แต่สามเหลี่ยมทองคำยังคึกคัก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000013419 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 723 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงราย – คนเดินทางผ่านด่านฯแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ขาออกโล่งชัด..หลังไทยตัดไฟฟ้า-ระงับส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง จนคาสิโนออนไลน์เริ่มปิดระนาว จนปริมาณจ้างงานลดวูบ หนุ่มสาวที่เคยข้ามแดนแม่สายไปท่าขี้เหล็กแบบไปเช้าเย็นกลับ วันละเป็นพันๆคน หายวับ แต่สามเหลี่ยมทองคำยังคึกคัก

    หลังจากที่ทางการไทยงดจ่ายกระแสไฟฟ้าและระงับส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงข้ามชายแดนไทย-พม่า ทั้งจากแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก แม่สอด-เมียวดี และด่านเจดีย์สามองค์-พญาตองซู รวม 5 จุด ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.เป็นต้นมา เพื่อตัดวงจรแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ ทั้งบ่อนพนัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ฯลฯ

    วันนี้(10 ก.พ.) บรรยากาศคนเดินทางออกจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 จาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากบ่อนคาสิโนในฝั่ง จ.ทาขี้เหล็ก งดให้บริการไปเป็นจำนวนมากและที่เปิดอย่างผิดกฎหมายก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเมียนมาปราบปรามจับกุมไปหลายรายจนไม่สามารถเปิดกิจการได้ตามปกติ ทำให้คนที่เคยเดินทางไปทำงานในบ่อนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ต้องหยุดงานไปโดยปริยาย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000013419

    #MGROnline #เชียงราย
    เชียงราย – คนเดินทางผ่านด่านฯแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ขาออกโล่งชัด..หลังไทยตัดไฟฟ้า-ระงับส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง จนคาสิโนออนไลน์เริ่มปิดระนาว จนปริมาณจ้างงานลดวูบ หนุ่มสาวที่เคยข้ามแดนแม่สายไปท่าขี้เหล็กแบบไปเช้าเย็นกลับ วันละเป็นพันๆคน หายวับ แต่สามเหลี่ยมทองคำยังคึกคัก • หลังจากที่ทางการไทยงดจ่ายกระแสไฟฟ้าและระงับส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงข้ามชายแดนไทย-พม่า ทั้งจากแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก แม่สอด-เมียวดี และด่านเจดีย์สามองค์-พญาตองซู รวม 5 จุด ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.เป็นต้นมา เพื่อตัดวงจรแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ ทั้งบ่อนพนัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ฯลฯ • วันนี้(10 ก.พ.) บรรยากาศคนเดินทางออกจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 จาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากบ่อนคาสิโนในฝั่ง จ.ทาขี้เหล็ก งดให้บริการไปเป็นจำนวนมากและที่เปิดอย่างผิดกฎหมายก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเมียนมาปราบปรามจับกุมไปหลายรายจนไม่สามารถเปิดกิจการได้ตามปกติ ทำให้คนที่เคยเดินทางไปทำงานในบ่อนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ต้องหยุดงานไปโดยปริยาย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000013419 • #MGROnline #เชียงราย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดไฟใส่กลอน แล้วเข้ามุ้งนอน คิดถึงเมียนมา

    เถียงกันอยู่ตั้งนาน พอทำจริงก็ไม่เห็นจะยาก สำหรับการงดจำหน่ายไฟฟ้า 5 จุดในประเทศเมียนมา ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) งดจำหน่ายไฟฟ้า กระทั่งวันที่ 5 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานคลิกเมาส์กดปุ่มงดจ่ายกระแสไฟฟ้า ที่ศูนย์ปฎิบัติการระบบไฟฟ้าสำนักงานใหญ่ กฟภ. ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพฯ ถูกวิจารณ์ด้วยความตลกขบขัน ราวกับมีพิธีเปิดงานกีฬาสีแล้วต้องเชิญประธานชักธงขึ้นสู่ยอดเสา

    การงดจำหน่ายไฟฟ้าไปยังประเทศเมียนมา เป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนายอนุทิน กับรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หลังทางการจีนส่งนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ มายังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาด้านจังหวัดตากและเชียงราย เพื่อหารือแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยที่หนึ่งในนั้นมีข้อเรียกร้องให้ไทยตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ถือเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยง

    ทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมา นายภูมิธรรมอ้างว่าเป็นดุลยพินิจของกระทรวงมหาดไทย เพราะถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง แต่นายอนุทินอ้างว่า กฟภ. รัฐวิสาหกิจในสังกัด มท. ทำสัญญากับบริษัทที่ทางการเมียนมาและรัฐบาลไทยรับรอง ที่ตัดไฟไม่ได้เพราะไม่มีคู่เจรจา เป็นเรื่องของรัฐและสนธิสัญญาต่างๆ ที่ผ่านมา กฟภ. ทำหนังสือไปแล้ว คำตอบอยู่ในสายลม ขณะที่ กฟภ. อ้างว่าเคยส่งหนังสือไปหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายหน่วยงานแล้ว แต่กลับไม่ได้คำตอบ

    เมื่อความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายมีทีท่าว่าจะบานปลาย ในที่สุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายภูมิธรรมเรียกประชุม สมช. ด่วน ระบุว่า หากพบความชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ก็สามารถตัดไฟได้เลย รวมถึงน้ำมันก็ไม่ต้องส่ง นำมาซึ่งการประชุม สมช. และมีมติออกมาตอนค่ำ ซึ่งวันต่อมานายอนุทินจึงได้ออกมาตัดไฟให้เห็น

    แม้ฝ่ายไทยจะตัดกระแสไฟฟ้าไปแล้ว แต่ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ได้ซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าน้ำทา สปป.ลาว ซึ่งเป็นของกลุ่มทุนจีน ข้ามแม่น้ำโขงไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อไทยตัดไฟฟ้าก็เพิ่มการซื้อไฟฟ้ามากขึ้น โดยกำลังเชื่อมต่อกับผู้ใช้ไฟบริเวณใกล้กับชายแดนไทย-เมียนมาภายใน 1-2 วัน ส่วนฝั่งเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และฝั่งพญาตองซู รัฐมอญ ยังคงสว่างไสวเพราะใช้เครื่องปั่นไฟผลิตไฟฟ้าใช้ภายในอาคารต่างๆ แม้จะลดการใช้ไฟประดับตกแต่งอาคารก็ตาม

    หมายเหตุ : พาดหัวดัดแปลงมาจากเพลงฉันทนาที่รัก ของรักชาติ ศิริชัย

    #Newskit
    ตัดไฟใส่กลอน แล้วเข้ามุ้งนอน คิดถึงเมียนมา เถียงกันอยู่ตั้งนาน พอทำจริงก็ไม่เห็นจะยาก สำหรับการงดจำหน่ายไฟฟ้า 5 จุดในประเทศเมียนมา ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) งดจำหน่ายไฟฟ้า กระทั่งวันที่ 5 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานคลิกเมาส์กดปุ่มงดจ่ายกระแสไฟฟ้า ที่ศูนย์ปฎิบัติการระบบไฟฟ้าสำนักงานใหญ่ กฟภ. ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพฯ ถูกวิจารณ์ด้วยความตลกขบขัน ราวกับมีพิธีเปิดงานกีฬาสีแล้วต้องเชิญประธานชักธงขึ้นสู่ยอดเสา การงดจำหน่ายไฟฟ้าไปยังประเทศเมียนมา เป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนายอนุทิน กับรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หลังทางการจีนส่งนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ มายังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาด้านจังหวัดตากและเชียงราย เพื่อหารือแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยที่หนึ่งในนั้นมีข้อเรียกร้องให้ไทยตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ถือเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยง ทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมา นายภูมิธรรมอ้างว่าเป็นดุลยพินิจของกระทรวงมหาดไทย เพราะถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง แต่นายอนุทินอ้างว่า กฟภ. รัฐวิสาหกิจในสังกัด มท. ทำสัญญากับบริษัทที่ทางการเมียนมาและรัฐบาลไทยรับรอง ที่ตัดไฟไม่ได้เพราะไม่มีคู่เจรจา เป็นเรื่องของรัฐและสนธิสัญญาต่างๆ ที่ผ่านมา กฟภ. ทำหนังสือไปแล้ว คำตอบอยู่ในสายลม ขณะที่ กฟภ. อ้างว่าเคยส่งหนังสือไปหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายหน่วยงานแล้ว แต่กลับไม่ได้คำตอบ เมื่อความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายมีทีท่าว่าจะบานปลาย ในที่สุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายภูมิธรรมเรียกประชุม สมช. ด่วน ระบุว่า หากพบความชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ก็สามารถตัดไฟได้เลย รวมถึงน้ำมันก็ไม่ต้องส่ง นำมาซึ่งการประชุม สมช. และมีมติออกมาตอนค่ำ ซึ่งวันต่อมานายอนุทินจึงได้ออกมาตัดไฟให้เห็น แม้ฝ่ายไทยจะตัดกระแสไฟฟ้าไปแล้ว แต่ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ได้ซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าน้ำทา สปป.ลาว ซึ่งเป็นของกลุ่มทุนจีน ข้ามแม่น้ำโขงไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อไทยตัดไฟฟ้าก็เพิ่มการซื้อไฟฟ้ามากขึ้น โดยกำลังเชื่อมต่อกับผู้ใช้ไฟบริเวณใกล้กับชายแดนไทย-เมียนมาภายใน 1-2 วัน ส่วนฝั่งเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และฝั่งพญาตองซู รัฐมอญ ยังคงสว่างไสวเพราะใช้เครื่องปั่นไฟผลิตไฟฟ้าใช้ภายในอาคารต่างๆ แม้จะลดการใช้ไฟประดับตกแต่งอาคารก็ตาม หมายเหตุ : พาดหัวดัดแปลงมาจากเพลงฉันทนาที่รัก ของรักชาติ ศิริชัย #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่าขี้เหล็ก/เมียวดี – ค่ำแล้ว พบทั้งท่าขี้เหล็ก-เมียวดี-ชเวโก๊กโก่ ยังสว่างไสว..แม้ไทยสั่งระงับส่งกระแสไฟ-น้ำมันเชื้อเพลิง ข้ามพรมแดนตั้งแต่เช้า หวังตัดวงจรแก๊งอาชญากรออนไลน์ จนทำชาวบ้านแตกตื่นแห่ตุนน้ำมัน-ข้ามฝั่งซื้อเครื่องปั่นไฟกันโกลาหล ล่าสุดได้ไฟฟ้าเขื่อนลาว-ไฟปั่นแทน

    คืนวันนี้ (5 ก.พ.) หลังจากประเทศไทยงดส่งกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ข้ามพรมแดนไปยังประเทศเมียนมา 5 จุดคือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย 2 จุด อ.แม่สอด จ.ตาก 2 จุดและ จ.กาญจนบุรี 1 จุด เพื่อตัดวงจรของอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่เช้า 09.00 น.เศษเป็นต้นมา พบว่าที่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สาย ยังคงมีแสงสว่างในยามค่ำคืนเหมือนเดิม เพียงแต่น้อยกว่าช่วงเวลาปกติที่รับไฟฟ้าจากฝั่งไทย

    เจ้าหน้าที่ฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ระบุว่าระบบไฟฟ้าใน จ.ท่าขี้เหล็ก ได้รับการติดตั้งเสร็จประมาณ 90% ของทั้งหมดแล้ว โดยมีการทดสอบระบบตามชุมชนต่างๆ ตั้งแต่ชุมชนปงถุนฝั่งตะวันตกของตัวเมืองไปจนถึงกลางใจเมือง และระบบทั้งหมดจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายใน 1 สัปดาห์นี้ซึ่งจะทำให้สามารถใช้กระแสไฟฟ้าได้ตามปกติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000011864

    #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก #เมียวดี #ชเวโก๊กโก่
    ท่าขี้เหล็ก/เมียวดี – ค่ำแล้ว พบทั้งท่าขี้เหล็ก-เมียวดี-ชเวโก๊กโก่ ยังสว่างไสว..แม้ไทยสั่งระงับส่งกระแสไฟ-น้ำมันเชื้อเพลิง ข้ามพรมแดนตั้งแต่เช้า หวังตัดวงจรแก๊งอาชญากรออนไลน์ จนทำชาวบ้านแตกตื่นแห่ตุนน้ำมัน-ข้ามฝั่งซื้อเครื่องปั่นไฟกันโกลาหล ล่าสุดได้ไฟฟ้าเขื่อนลาว-ไฟปั่นแทน • คืนวันนี้ (5 ก.พ.) หลังจากประเทศไทยงดส่งกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ข้ามพรมแดนไปยังประเทศเมียนมา 5 จุดคือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย 2 จุด อ.แม่สอด จ.ตาก 2 จุดและ จ.กาญจนบุรี 1 จุด เพื่อตัดวงจรของอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่เช้า 09.00 น.เศษเป็นต้นมา พบว่าที่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สาย ยังคงมีแสงสว่างในยามค่ำคืนเหมือนเดิม เพียงแต่น้อยกว่าช่วงเวลาปกติที่รับไฟฟ้าจากฝั่งไทย • เจ้าหน้าที่ฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ระบุว่าระบบไฟฟ้าใน จ.ท่าขี้เหล็ก ได้รับการติดตั้งเสร็จประมาณ 90% ของทั้งหมดแล้ว โดยมีการทดสอบระบบตามชุมชนต่างๆ ตั้งแต่ชุมชนปงถุนฝั่งตะวันตกของตัวเมืองไปจนถึงกลางใจเมือง และระบบทั้งหมดจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายใน 1 สัปดาห์นี้ซึ่งจะทำให้สามารถใช้กระแสไฟฟ้าได้ตามปกติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000011864 • #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก #เมียวดี #ชเวโก๊กโก่
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ค่ำแล้ว พบทั้งท่าขี้เหล็ก-เมียวดี-ชเวโก๊กโก่ ยังสว่างไสว..แม้ไทยสั่งระงับส่งกระแสไฟ-น้ำมันเชื้อเพลิง ข้ามพรมแดนตั้งแต่เช้า หวังตัดวงจรแก๊งอาชญากรออนไลน์ จนทำชาวบ้านแตกตื่นแห่ตุนน้ำมัน-ข้ามฝั่งซื้อเครื่องปั่นไฟกันโกลาหล ล่าสุดได้ไฟฟ้าเขื่อนลาว-ไฟปั่นแทน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011864

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ค่ำแล้ว พบทั้งท่าขี้เหล็ก-เมียวดี-ชเวโก๊กโก่ ยังสว่างไสว..แม้ไทยสั่งระงับส่งกระแสไฟ-น้ำมันเชื้อเพลิง ข้ามพรมแดนตั้งแต่เช้า หวังตัดวงจรแก๊งอาชญากรออนไลน์ จนทำชาวบ้านแตกตื่นแห่ตุนน้ำมัน-ข้ามฝั่งซื้อเครื่องปั่นไฟกันโกลาหล ล่าสุดได้ไฟฟ้าเขื่อนลาว-ไฟปั่นแทน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011864 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    12
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 875 มุมมอง 1 รีวิว
  • กลุ่มทุนจีนสบช่องรุกคืบ กินรวบทั้งท่าขี้เหล็ก..หลังไทยงดส่งกระแสไฟฟ้า-น้ำมัน ข้ามแดน พม่าเร่งสับสายส่งซื้อไฟจากเขื่อนน้ำทาของทุนจีนใน สปป.ลาว ป้อนทั้งเมืองแทน ส่วนเบนซิน-ดีเซล ก็นำเข้าจากจีนผ่านลาวได้ แม้พรมแดนรัฐฉานเหนือยังปิด แถมบางส่วนอาจเป็นน้ำมันจากไทยด้วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011809

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กลุ่มทุนจีนสบช่องรุกคืบ กินรวบทั้งท่าขี้เหล็ก..หลังไทยงดส่งกระแสไฟฟ้า-น้ำมัน ข้ามแดน พม่าเร่งสับสายส่งซื้อไฟจากเขื่อนน้ำทาของทุนจีนใน สปป.ลาว ป้อนทั้งเมืองแทน ส่วนเบนซิน-ดีเซล ก็นำเข้าจากจีนผ่านลาวได้ แม้พรมแดนรัฐฉานเหนือยังปิด แถมบางส่วนอาจเป็นน้ำมันจากไทยด้วย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011809 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 781 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวบ้านโกลาหลกันทั้งเมือง..หลังไทยปิดการจ่ายกระแสไฟฟ้าข้ามแดนหวังตัดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์ท่าขี้เหล็ก ไม่พอ งดส่งออกน้ำมันซ้ำ ทำผู้คนแห่นำรถราต่อคิวเข้าปั๊มเนืองแน่น จนบางปั๊มไม่มีน้ำมันให้เติมแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011739

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ชาวบ้านโกลาหลกันทั้งเมือง..หลังไทยปิดการจ่ายกระแสไฟฟ้าข้ามแดนหวังตัดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์ท่าขี้เหล็ก ไม่พอ งดส่งออกน้ำมันซ้ำ ทำผู้คนแห่นำรถราต่อคิวเข้าปั๊มเนืองแน่น จนบางปั๊มไม่มีน้ำมันให้เติมแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011739 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 755 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่าขี้เหล็ก - ชาวบ้านโกลาหลกันทั้งเมือง..หลังไทยปิดการจ่ายกระแสไฟฟ้าข้ามแดนหวังตัดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์ท่าขี้เหล็ก ไม่พอ งดส่งออกน้ำมันซ้ำ ทำผู้คนแห่นำรถราต่อคิวเข้าปั๊มเนืองแน่น จนบางปั๊มไม่มีน้ำมันให้เติมแล้ว

    กรณีทางการไทยได้ตัดการส่งกระแสไฟฟ้าไปให้ประเทศเมียนมาจำนวน 5 จุด ประกอบด้วย ชายแดนด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย 2 จุด อ.แม่สอด จ.ตาก 2 จุด และ จ.กาญจนบุรี 1 จุด ตั้งแต่ 09.00 น.เศษ (5 ก.พ.) ที่ผ่านมานั้น พบว่าพื้นที่พรมแดนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ที่อยู่ติดกับ อ.แม่สาย นอกจากจะงดการส่งกระแสไฟฟ้าแล้วยังงดการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงข้ามฝั่งไปอีกด้วย

    โดยมีรถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงจอดอยู่บริเวณหน้าด่านพรมแดนสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 หลายคัน และแต่ละคันได้รับแจ้งว่าให้งดการส่งออกไปก่อน ทำให้มีการจอดรอเพราะหวังว่าจะมีการยกเลิกในเร็ววัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000011739

    #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก #ปิดการจ่ายกระแสไฟฟ้า #งดส่งออกน้ำมัน #แก๊งคอลเซ็นเตอร์
    ท่าขี้เหล็ก - ชาวบ้านโกลาหลกันทั้งเมือง..หลังไทยปิดการจ่ายกระแสไฟฟ้าข้ามแดนหวังตัดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์ท่าขี้เหล็ก ไม่พอ งดส่งออกน้ำมันซ้ำ ทำผู้คนแห่นำรถราต่อคิวเข้าปั๊มเนืองแน่น จนบางปั๊มไม่มีน้ำมันให้เติมแล้ว • กรณีทางการไทยได้ตัดการส่งกระแสไฟฟ้าไปให้ประเทศเมียนมาจำนวน 5 จุด ประกอบด้วย ชายแดนด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย 2 จุด อ.แม่สอด จ.ตาก 2 จุด และ จ.กาญจนบุรี 1 จุด ตั้งแต่ 09.00 น.เศษ (5 ก.พ.) ที่ผ่านมานั้น พบว่าพื้นที่พรมแดนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ที่อยู่ติดกับ อ.แม่สาย นอกจากจะงดการส่งกระแสไฟฟ้าแล้วยังงดการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงข้ามฝั่งไปอีกด้วย • โดยมีรถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงจอดอยู่บริเวณหน้าด่านพรมแดนสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 หลายคัน และแต่ละคันได้รับแจ้งว่าให้งดการส่งออกไปก่อน ทำให้มีการจอดรอเพราะหวังว่าจะมีการยกเลิกในเร็ววัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000011739 • #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก #ปิดการจ่ายกระแสไฟฟ้า #งดส่งออกน้ำมัน #แก๊งคอลเซ็นเตอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมช.มีมติตัดเส้นเลือดแก๊งคอลเซนเตอร์ อาชญากรรมตามแนวชายแดนไทย-เมียนม่า งดส่งกระแสไฟฟ้า-น้ำมัน-สัญญาณอินเทอร์เน็ต 5 จุด ไล่ไปตั้งแต่เมืองท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามจังหวัดเชียงราย เมืองเมียวดี ตรงข้ามจังหวัดตาก และเมืองพญาตองซู ตรงข้ามจังหวัดกาญจนบุรี เริ่ม 9 โมงพรุ่งนี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011460

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สมช.มีมติตัดเส้นเลือดแก๊งคอลเซนเตอร์ อาชญากรรมตามแนวชายแดนไทย-เมียนม่า งดส่งกระแสไฟฟ้า-น้ำมัน-สัญญาณอินเทอร์เน็ต 5 จุด ไล่ไปตั้งแต่เมืองท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามจังหวัดเชียงราย เมืองเมียวดี ตรงข้ามจังหวัดตาก และเมืองพญาตองซู ตรงข้ามจังหวัดกาญจนบุรี เริ่ม 9 โมงพรุ่งนี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011460 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    Wow
    Angry
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 861 มุมมอง 0 รีวิว
  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคฯ เร่งตรวจสอบการจ่ายไฟฟ้าข้ามแดนเข้าพม่า ทั้งท่าขี้เหล็ก-เมียวดี-พญาตองซู เผยปี 66-67 เคยตัดกระแสไฟแล้ว 3 จุด ยันพร้อมตัดไฟ แต่ต้องพุ่งเป้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์-มิจฉาชีพ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011394

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคฯ เร่งตรวจสอบการจ่ายไฟฟ้าข้ามแดนเข้าพม่า ทั้งท่าขี้เหล็ก-เมียวดี-พญาตองซู เผยปี 66-67 เคยตัดกระแสไฟแล้ว 3 จุด ยันพร้อมตัดไฟ แต่ต้องพุ่งเป้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์-มิจฉาชีพ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000011394 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 792 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'รู้ผลาญ' แต่ 'หน้าที่' ไม่รู้
    1 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 0:01 น.

    ถ้า "แทงหวยแม่น" เหมือนที่้เคยบอก....
    ว่าทักษิณจะอ้างเหตุ "ที่ปรึกษาประธานอาเซียน" ขออนุญาตศาล บินออกนอกประเทศนั่นละก็
    วันนี้ผมรวย ชนิดเลี้ยงหมาจรจัดได้ทั้งประเทศ  บอกไม่เชื่อ!
    เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อวาน (๓๑ ม.ค.๖๘) ศาลอาญามีคำสั่งว่า
    "พิเคราะห์ข้อเท็จจริงในทางไต่สวนแล้ว จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน โดยมี "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" มาเบิกความสนับสนุน
    พร้อมพยานเอกสารยืนยันให้เห็นถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรในระหว่างวันที่ ๒-๓ ก.พ.๖๘ 
    เห็นว่า ช่วงเวลาที่จำเลยขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไม่กระทบต่อวันนัดพิจารณาคดี 
    เหตุผลและความจำเป็นที่จำเลยอ้าง เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐ
    กรณีมีเหตุสมควร จึงอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ตามที่ขอ 
    โดยวางหลักประกันตามที่เสนอ และให้มารายงานตัวภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย
    แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ" 
    "๕ ล้านบาท" คือหลักประกันว่าทักษิณจะไม่หนี!
    เอ้า...
    ใครจะตกลง-ต่อรองหรือจะเสนออะไร ทางธุรกิจ-ลงทุน ไม่ว่าจะบ่อน จะพนันออนไลน์ จะทำ "ปฏิญญามาเลย์"
    ก็ไปเจอกันที่นั่นตามวัน-เวลานัดหมายละกัน
    กลับมาเรื่อง "รัฐบาลไทย" ที่ต้องให้จีนส่งคนเข้ามาใช้ "ฝ่ามือทิพย์" ลูบหน้า สอนรู้จักหน้าที่ ที่ "รัฐบาล (ถ้ามี) ความโปร่งใส" ควรทำ
    เรื่อง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งค้ามนุษย์ แก๊งพนันทุกรูปแบบ แก๊งฟอกเงิน ซึ่ง "จีนเทา" เข้าไปสร้าง "เมืองคนบาป" ในฝั่งพม่าตรงข้าม "แม่สอด-แม่สาย"
    และใช้ไทย "เป็นประตู" หลอกเหยื่อไปบังคับเป็น "ทาสมนุษย์" ผ่านทางชายแดนไทย
    ทั้งน้ำ-ทั้งไฟ-ทั้งเน็ต บริการจากฝั่งไทยครบวงจร!
    โลกเดือดร้อน โดยเฉพาะจีน เพราะคนของเขา ถูก "จีนเทา" ซึ่งก็คนของเขา หลอกพวกเดียวกันเองไปเป็นเหยื่อมากที่สุด
    จะว่าไป ต้นตอของเรื่องอยู่ในพม่า กลุ่มก่อเหตุ ก็กลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า เชื้อสายจีน สมคบพวกจีน แต่เป็น "แก๊งจีนเทา" จีนก็ควรไปจัดการจีนกันเอง
    ความจริง ก็ควรเป็นเช่นนั้น....
    แต่ที่มันไม่เป็น เพราะจีนเทา ใช้ไทยเป็น "ประตูเข้า-ออก" ตามด่านต่างๆ "ไฟฟ้า-เน็ต" ก็ไปจากไทย
    แทนที่ไทยจะแก้ปัญหาแก๊งจีนเทาใช้เป็นฐาน หัว-คือรัฐบาลกลับส่าย หาง-เจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ก็เลยกระดิกตามไปทุกระดับชั้น
    ถึงขั้น ธุรกิจเครือข่ายนักการเมืองรัฐบาล ขายบ้านจัดสรรให้จีนเทา "ยกทั้งโครงการ" ด้วยซ้ำ!
    "จีน" อดรนทนไม่ไหว ต้องส่งคณะ "ความมั่นคง" เข้ามาลูบหน้าถึงในประเทศ
    ผมเท้าความให้ทราบคร่าวๆ ส่วนประเด็นคุยวันนี้ มีว่า
    แล้วประเทศชาติ (กู) จะอยู่ได้อย่างไร?
    ในเมื่อ มี "ผู้นำรัฐบาล" ไม่รู้ว่าห่า คืออะไร ไม่รู้ว่าเหวคืออะไร แล้วจะให้รู้จัก "บทบาท-หน้าที่" ผู้นำบริหารได้อย่างไร?
    ก็ยกยอ-ปอปั้น "เด็กวานซืน" ที่ไม่รู้กระทั่งว่า "วัวต่างกับควาย" ตรงไหน ให้เป็น "ผู้นำบริหาร" ประเทศ!!!
    เมื่อมีเรื่องด้าน "ความมั่นคง" ต้องตัดสินใจ ประเด็นว่า ไทยควร "ตัดไฟ-ตัดเน็ต" ที่ส่งไปขายเมียวดี ชเวก๊กโก ด้านแม่สอด ตาก, ท่าขี้เหล็ก ด้านแม่สาย เชียงราย
    ปัญหาที่เกิดตามมา คือ...
    "แล้วใครล่ะ" มี "อำนาจหน้าที่" สั่งการในเรื่องนี้?
    ทั้งรัฐบาล ทั้งข้าราชการ "ทุกระดับ" ไม่ใช่กู ทั้งนั้น!
    เมื่อต้องหาใครซักคนมาเป็นแพะเพื่อเชือด-เพื่อด่า ก็ "การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค" นี่ละวะ!
    กฟภ.ขึ้นกับมหาดไทยนี่หว่า งั้น "นายอนุทิน" รัฐมนตรีมหาดไทยนี่แหละ ต้องไปสั่งตัด
    ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ก็เลยรุมสกรัมนายอนุทิน เป็นการสกัดดาวรุ่งตัวชิงบัลลังก์การเมืองกันคนละตุ้บ-ละตั้บ
    กฟภ.ซึ่ง "เนื้อไม่ได้กิน แต่ถูกเขาเอากระดูกแขวนคอ" ทนไม่ไหว เลยออกมาแฉ
    "ตัด-ไม่ตัด" อยู่ที่ฝ่าย "ความมั่นคง" โน่น!
    ตามอำนาจหน้าที่ "เรื่องความมั่นคง" เป็นเรื่องของ สมช.คือ "สภาความมั่นคงแห่งชาติ" ที่ "นายฉัตรชัย บางชวด" เป็นเลขาธิการฯ อยู่ขณะนี้
    แต่อย่าเพิ่งทึกทักนายฉัตรชัยเป็นแพะตัวที่ ๒  เขาเป็นแค่เลขาฯ เท่านั้น
    งั้น...ใครล่ะ "ใหญ่สุด" ใน สมช. มีอำนาจชี้เป็น-ชี้ตาย?
    ก็คณะบุคคลที่ประกอบกันเป็นสมาชิก "สภาความมั่นคงแห่งชาติ" นั่นไง ตามตำแหน่งนี้แหละ
    ๑.นายกรัฐมนตรี ประธาน ๒.รองนายกฯ รองประธาน
    ๓.รมว.กลาโหม ๔.รมว.คลัง ๕.รมว.ต่างประเทศ
    ๖.รมว.คมนาคม ๗.รมว.ดิจิทัลฯ ๘.รมว.มหาดไทย
    ๙.รมว.ยุติธรรม ๑๐.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นสมาชิก
    ๑๑.เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาฯ
    นี่คือ ๑๑ เสือ สมช.หรือ ๑๑ แมว ก็ไม่รู้นะ แต่อนาคตประเทศชาติบนความมั่นคง อยู่ในมือ ๑๑ เสือแมว นี้แหละ
    แล้ว "สภาความมั่นคงฯ" มีหน้าที่อะไร?
    เอาที่ตรงสเปกเรื่องร้อนตอนนี้มาให้ดูซัก ๔ อย่าง
    -กำหนดแนวทาง, มาตรการป้องกัน, แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ เสนอนายกฯ หรือ ครม.พิจารณา
    -ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมในเชิงยุทธศาสตร์อันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ
    -กำกับและติดตามการดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
    -ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.นี้และกฎหมายอื่นหรือตามที่นายกฯ หรือ ครม.มอบหมาย
    สรุป นายกฯ แพทองธาร ประธาน สมช.และหัวหน้า ครม.นั่นแหละ มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ที่จะสั่ง "ตัดไฟ-ตัดเน็ต" ที่ส่งไปขายเมืองคนบาป
    อยากเป็นผู้นำ อย่าเอาแต่ "หลุบหัว-หลุบหาง" ออกจอจ้อแต่เรื่องสวะเอาหน้า แต่กับเรื่อง "เอาชาติบ้านเมือง" กลับผลุบหาย!
    เนี่ย ตอนนี้ ก็เลยโทษกันวุ่น นายกฯ ก็ไม่เกี่ยว  ภูมิธรรมก็ไม่เกี่ยว สมช.ก็ไม่เกี่ยว
    มีแต่นายอนุทิน กับ กฟภ.เท่านั้นเกี่้ยว เห็นแล้ว มันโคตรระยำแมวเลย!
    รองจากนายกฯ ก็ "นายภูมิธรรม" มีหน้าที่รับผิดชอบเต็มสองพระบาท
    เพราะนายกฯ มอบให้กำกับดูแล "กระทรวงเกี่ยวกับด้านความมั่นคง" และ "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ"
    เรื่องในหน้าที่ตัว แต่เงียบกริ๊บ ไม่เก่งเหมือนตอนเป็นฝ่ายแค้น ที่ออกมาคุยโต เบ่งทับรัฐบาลประยุทธ์เลย!
    เอาข่าวเมื่อ ๑๑ พ.ย.๖๗ มาให้นายภูมิธรรมอ่าน เผื่อต่อมสำนึกจะทำงาน
    ...................................
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รัฐมนตรีกลาโหม ได้นำ นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล รองเลขาฯ นายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองของนายภูมิธรรม
    พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ที่ปรึกษารองนายกฯ, พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
    เดินดูห้องทำงานของแต่ละคนภายในตึกบัญชาการ ๑ จากนั้น นายภูมิธรรมได้มอบนโยบายและแบ่งงาน
    -พล.อ.นิพัทธ์ ดูกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
    -พล.ต.อ.รอย ดูงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
    -พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ดูสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
    ...................................
    ทั้งหมดนี้ สรุปลงในคำถามว่า "Where the hell are you?"
    ประเทศที่รัฐบาลเอาแต่อำนาจ แต่ไม่รู้หน้าที่
    ประเทศที่นักการเมือง, ข้าราชการ, ทหาร-ตำรวจ รู้แต่เอาตัวรอด บ้านเมืองช่างมัน
    ประเทศที่มีแต่ประชาชนรอเงินแจก-บูชาโจร
    แล้วประเทศ (กู) จะรอดมั้ยเนี่ย?
    เปลว สีเงิน
    ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
    วันเสาร์ที่ปลายซอย

    เปลว สีเงิน
    'รู้ผลาญ' แต่ 'หน้าที่' ไม่รู้ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 0:01 น. ถ้า "แทงหวยแม่น" เหมือนที่้เคยบอก.... ว่าทักษิณจะอ้างเหตุ "ที่ปรึกษาประธานอาเซียน" ขออนุญาตศาล บินออกนอกประเทศนั่นละก็ วันนี้ผมรวย ชนิดเลี้ยงหมาจรจัดได้ทั้งประเทศ  บอกไม่เชื่อ! เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อวาน (๓๑ ม.ค.๖๘) ศาลอาญามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์ข้อเท็จจริงในทางไต่สวนแล้ว จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน โดยมี "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" มาเบิกความสนับสนุน พร้อมพยานเอกสารยืนยันให้เห็นถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรในระหว่างวันที่ ๒-๓ ก.พ.๖๘  เห็นว่า ช่วงเวลาที่จำเลยขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไม่กระทบต่อวันนัดพิจารณาคดี  เหตุผลและความจำเป็นที่จำเลยอ้าง เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐ กรณีมีเหตุสมควร จึงอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ตามที่ขอ  โดยวางหลักประกันตามที่เสนอ และให้มารายงานตัวภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ"  "๕ ล้านบาท" คือหลักประกันว่าทักษิณจะไม่หนี! เอ้า... ใครจะตกลง-ต่อรองหรือจะเสนออะไร ทางธุรกิจ-ลงทุน ไม่ว่าจะบ่อน จะพนันออนไลน์ จะทำ "ปฏิญญามาเลย์" ก็ไปเจอกันที่นั่นตามวัน-เวลานัดหมายละกัน กลับมาเรื่อง "รัฐบาลไทย" ที่ต้องให้จีนส่งคนเข้ามาใช้ "ฝ่ามือทิพย์" ลูบหน้า สอนรู้จักหน้าที่ ที่ "รัฐบาล (ถ้ามี) ความโปร่งใส" ควรทำ เรื่อง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งค้ามนุษย์ แก๊งพนันทุกรูปแบบ แก๊งฟอกเงิน ซึ่ง "จีนเทา" เข้าไปสร้าง "เมืองคนบาป" ในฝั่งพม่าตรงข้าม "แม่สอด-แม่สาย" และใช้ไทย "เป็นประตู" หลอกเหยื่อไปบังคับเป็น "ทาสมนุษย์" ผ่านทางชายแดนไทย ทั้งน้ำ-ทั้งไฟ-ทั้งเน็ต บริการจากฝั่งไทยครบวงจร! โลกเดือดร้อน โดยเฉพาะจีน เพราะคนของเขา ถูก "จีนเทา" ซึ่งก็คนของเขา หลอกพวกเดียวกันเองไปเป็นเหยื่อมากที่สุด จะว่าไป ต้นตอของเรื่องอยู่ในพม่า กลุ่มก่อเหตุ ก็กลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า เชื้อสายจีน สมคบพวกจีน แต่เป็น "แก๊งจีนเทา" จีนก็ควรไปจัดการจีนกันเอง ความจริง ก็ควรเป็นเช่นนั้น.... แต่ที่มันไม่เป็น เพราะจีนเทา ใช้ไทยเป็น "ประตูเข้า-ออก" ตามด่านต่างๆ "ไฟฟ้า-เน็ต" ก็ไปจากไทย แทนที่ไทยจะแก้ปัญหาแก๊งจีนเทาใช้เป็นฐาน หัว-คือรัฐบาลกลับส่าย หาง-เจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ก็เลยกระดิกตามไปทุกระดับชั้น ถึงขั้น ธุรกิจเครือข่ายนักการเมืองรัฐบาล ขายบ้านจัดสรรให้จีนเทา "ยกทั้งโครงการ" ด้วยซ้ำ! "จีน" อดรนทนไม่ไหว ต้องส่งคณะ "ความมั่นคง" เข้ามาลูบหน้าถึงในประเทศ ผมเท้าความให้ทราบคร่าวๆ ส่วนประเด็นคุยวันนี้ มีว่า แล้วประเทศชาติ (กู) จะอยู่ได้อย่างไร? ในเมื่อ มี "ผู้นำรัฐบาล" ไม่รู้ว่าห่า คืออะไร ไม่รู้ว่าเหวคืออะไร แล้วจะให้รู้จัก "บทบาท-หน้าที่" ผู้นำบริหารได้อย่างไร? ก็ยกยอ-ปอปั้น "เด็กวานซืน" ที่ไม่รู้กระทั่งว่า "วัวต่างกับควาย" ตรงไหน ให้เป็น "ผู้นำบริหาร" ประเทศ!!! เมื่อมีเรื่องด้าน "ความมั่นคง" ต้องตัดสินใจ ประเด็นว่า ไทยควร "ตัดไฟ-ตัดเน็ต" ที่ส่งไปขายเมียวดี ชเวก๊กโก ด้านแม่สอด ตาก, ท่าขี้เหล็ก ด้านแม่สาย เชียงราย ปัญหาที่เกิดตามมา คือ... "แล้วใครล่ะ" มี "อำนาจหน้าที่" สั่งการในเรื่องนี้? ทั้งรัฐบาล ทั้งข้าราชการ "ทุกระดับ" ไม่ใช่กู ทั้งนั้น! เมื่อต้องหาใครซักคนมาเป็นแพะเพื่อเชือด-เพื่อด่า ก็ "การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค" นี่ละวะ! กฟภ.ขึ้นกับมหาดไทยนี่หว่า งั้น "นายอนุทิน" รัฐมนตรีมหาดไทยนี่แหละ ต้องไปสั่งตัด ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ก็เลยรุมสกรัมนายอนุทิน เป็นการสกัดดาวรุ่งตัวชิงบัลลังก์การเมืองกันคนละตุ้บ-ละตั้บ กฟภ.ซึ่ง "เนื้อไม่ได้กิน แต่ถูกเขาเอากระดูกแขวนคอ" ทนไม่ไหว เลยออกมาแฉ "ตัด-ไม่ตัด" อยู่ที่ฝ่าย "ความมั่นคง" โน่น! ตามอำนาจหน้าที่ "เรื่องความมั่นคง" เป็นเรื่องของ สมช.คือ "สภาความมั่นคงแห่งชาติ" ที่ "นายฉัตรชัย บางชวด" เป็นเลขาธิการฯ อยู่ขณะนี้ แต่อย่าเพิ่งทึกทักนายฉัตรชัยเป็นแพะตัวที่ ๒  เขาเป็นแค่เลขาฯ เท่านั้น งั้น...ใครล่ะ "ใหญ่สุด" ใน สมช. มีอำนาจชี้เป็น-ชี้ตาย? ก็คณะบุคคลที่ประกอบกันเป็นสมาชิก "สภาความมั่นคงแห่งชาติ" นั่นไง ตามตำแหน่งนี้แหละ ๑.นายกรัฐมนตรี ประธาน ๒.รองนายกฯ รองประธาน ๓.รมว.กลาโหม ๔.รมว.คลัง ๕.รมว.ต่างประเทศ ๖.รมว.คมนาคม ๗.รมว.ดิจิทัลฯ ๘.รมว.มหาดไทย ๙.รมว.ยุติธรรม ๑๐.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นสมาชิก ๑๑.เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาฯ นี่คือ ๑๑ เสือ สมช.หรือ ๑๑ แมว ก็ไม่รู้นะ แต่อนาคตประเทศชาติบนความมั่นคง อยู่ในมือ ๑๑ เสือแมว นี้แหละ แล้ว "สภาความมั่นคงฯ" มีหน้าที่อะไร? เอาที่ตรงสเปกเรื่องร้อนตอนนี้มาให้ดูซัก ๔ อย่าง -กำหนดแนวทาง, มาตรการป้องกัน, แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ เสนอนายกฯ หรือ ครม.พิจารณา -ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมในเชิงยุทธศาสตร์อันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ -กำกับและติดตามการดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ -ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.นี้และกฎหมายอื่นหรือตามที่นายกฯ หรือ ครม.มอบหมาย สรุป นายกฯ แพทองธาร ประธาน สมช.และหัวหน้า ครม.นั่นแหละ มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ที่จะสั่ง "ตัดไฟ-ตัดเน็ต" ที่ส่งไปขายเมืองคนบาป อยากเป็นผู้นำ อย่าเอาแต่ "หลุบหัว-หลุบหาง" ออกจอจ้อแต่เรื่องสวะเอาหน้า แต่กับเรื่อง "เอาชาติบ้านเมือง" กลับผลุบหาย! เนี่ย ตอนนี้ ก็เลยโทษกันวุ่น นายกฯ ก็ไม่เกี่ยว  ภูมิธรรมก็ไม่เกี่ยว สมช.ก็ไม่เกี่ยว มีแต่นายอนุทิน กับ กฟภ.เท่านั้นเกี่้ยว เห็นแล้ว มันโคตรระยำแมวเลย! รองจากนายกฯ ก็ "นายภูมิธรรม" มีหน้าที่รับผิดชอบเต็มสองพระบาท เพราะนายกฯ มอบให้กำกับดูแล "กระทรวงเกี่ยวกับด้านความมั่นคง" และ "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" เรื่องในหน้าที่ตัว แต่เงียบกริ๊บ ไม่เก่งเหมือนตอนเป็นฝ่ายแค้น ที่ออกมาคุยโต เบ่งทับรัฐบาลประยุทธ์เลย! เอาข่าวเมื่อ ๑๑ พ.ย.๖๗ มาให้นายภูมิธรรมอ่าน เผื่อต่อมสำนึกจะทำงาน ................................... นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รัฐมนตรีกลาโหม ได้นำ นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล รองเลขาฯ นายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองของนายภูมิธรรม พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ที่ปรึกษารองนายกฯ, พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เดินดูห้องทำงานของแต่ละคนภายในตึกบัญชาการ ๑ จากนั้น นายภูมิธรรมได้มอบนโยบายและแบ่งงาน -พล.อ.นิพัทธ์ ดูกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) -พล.ต.อ.รอย ดูงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง -พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ดูสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ................................... ทั้งหมดนี้ สรุปลงในคำถามว่า "Where the hell are you?" ประเทศที่รัฐบาลเอาแต่อำนาจ แต่ไม่รู้หน้าที่ ประเทศที่นักการเมือง, ข้าราชการ, ทหาร-ตำรวจ รู้แต่เอาตัวรอด บ้านเมืองช่างมัน ประเทศที่มีแต่ประชาชนรอเงินแจก-บูชาโจร แล้วประเทศ (กู) จะรอดมั้ยเนี่ย? เปลว สีเงิน ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ วันเสาร์ที่ปลายซอย เปลว สีเงิน
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงราย - ตร.สงสัย 151 คนไทยถูกปล่อยพ้นคุกพม่าวันนี้ บางคนเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ พบบางรายลอบข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ

    วันนี้ (4 ม.ค.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.เปิดเผยกรณีทางการเมียนมา จะปล่อยตัวคนไทยจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน หญิง 77 คน เนื่องในวันปลดปล่อยเอกราชหรือวันชาติเมียนมา 4 ม.ค.ของทุกปี

    หลังจากทั้งหมดถูกจับกุมระหว่างเมียนมากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ในท่าขี้เหล็ก และถูกศาลจำคุกที่เชียงตุง

    พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่าตนได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผบ.ตร.ประเทศเมียนมา ขณะเดินทางไปประชุมที่กรุงเนปิดอร์ เมืองหลวงของเมียนมาและได้ขอให้มีการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 151 คน ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่ได้รับการลดโทษให้เหลือเวลา 10 เดือน กระทั่งได้รับการปล่อยตัวในครั้งนี้ ซึ่งต้องขอบคุณทาง ผบ.ตร.เมียนมา ด้วย

    ทั้งนี้คนกลุ่มนี้เดิมมีจำนวน 154 คน แต่ได้เสียชีวิตขณะถูกจำคุก 1 คน และได้กลับมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 คน จึงเหลือ 151 คน ทั้งหมดส่วนใหญ่ออกนอกประเทศไทยด้วยการทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว แต่มีอยู่จำนวน 4 คนที่ไมได้ทำบัตรผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืงอ (ตม.) แต่ออกไปตามช่องทางธรรมชาติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000962

    #MGROnline #เชียงราย #คุกพม่า #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #บ่อนพนันออนไลน์
    เชียงราย - ตร.สงสัย 151 คนไทยถูกปล่อยพ้นคุกพม่าวันนี้ บางคนเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ พบบางรายลอบข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ • วันนี้ (4 ม.ค.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.เปิดเผยกรณีทางการเมียนมา จะปล่อยตัวคนไทยจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน หญิง 77 คน เนื่องในวันปลดปล่อยเอกราชหรือวันชาติเมียนมา 4 ม.ค.ของทุกปี • หลังจากทั้งหมดถูกจับกุมระหว่างเมียนมากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ในท่าขี้เหล็ก และถูกศาลจำคุกที่เชียงตุง • พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่าตนได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผบ.ตร.ประเทศเมียนมา ขณะเดินทางไปประชุมที่กรุงเนปิดอร์ เมืองหลวงของเมียนมาและได้ขอให้มีการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 151 คน ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่ได้รับการลดโทษให้เหลือเวลา 10 เดือน กระทั่งได้รับการปล่อยตัวในครั้งนี้ ซึ่งต้องขอบคุณทาง ผบ.ตร.เมียนมา ด้วย • ทั้งนี้คนกลุ่มนี้เดิมมีจำนวน 154 คน แต่ได้เสียชีวิตขณะถูกจำคุก 1 คน และได้กลับมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 คน จึงเหลือ 151 คน ทั้งหมดส่วนใหญ่ออกนอกประเทศไทยด้วยการทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว แต่มีอยู่จำนวน 4 คนที่ไมได้ทำบัตรผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืงอ (ตม.) แต่ออกไปตามช่องทางธรรมชาติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000962 • #MGROnline #เชียงราย #คุกพม่า #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #บ่อนพนันออนไลน์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 485 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงราย - ไทยเตรียมตั้งโต๊ะสอบ/คัดแยก เป็นเหยื่อค้ามนุษย์จริงหรือไม่ต่อ วันชาติเมียนมาปล่อยคนไทย 151 คน พ้นคุกเชียงตุงกลับแม่สาย หลังโดนจับกุมตามนโยบายกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์กลางท่าขี้เหล็ก ตั้งแต่ต้นปี 67 คาดทั้งถึงท่าขี้เหล็กค่ำนี้

    วันนี้ (4 ม.ค.) ที่ด่านพรมแดนสะพานม้ตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย รอรับการปล่อยตัวคนไทยจากทางการเมียนมาจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน

    ซึ่งทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่เมียนมาจับกุมช่วงที่ทางการเมียนมาปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนการพนันออนไลน์ผิดกฎหมายอย่างหนักใน จ.ท่าขี้เหล็ก ระหว่างวันที่ 23 ก.พ.-18 มี.ค.2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับชาวจีนและชาวเมียนมารวมกันหลายร้อยคน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000948

    #MGROnline #เชียงราย #เหยื่อค้ามนุษย์
    เชียงราย - ไทยเตรียมตั้งโต๊ะสอบ/คัดแยก เป็นเหยื่อค้ามนุษย์จริงหรือไม่ต่อ วันชาติเมียนมาปล่อยคนไทย 151 คน พ้นคุกเชียงตุงกลับแม่สาย หลังโดนจับกุมตามนโยบายกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์กลางท่าขี้เหล็ก ตั้งแต่ต้นปี 67 คาดทั้งถึงท่าขี้เหล็กค่ำนี้ • วันนี้ (4 ม.ค.) ที่ด่านพรมแดนสะพานม้ตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย รอรับการปล่อยตัวคนไทยจากทางการเมียนมาจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน • ซึ่งทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่เมียนมาจับกุมช่วงที่ทางการเมียนมาปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนการพนันออนไลน์ผิดกฎหมายอย่างหนักใน จ.ท่าขี้เหล็ก ระหว่างวันที่ 23 ก.พ.-18 มี.ค.2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับชาวจีนและชาวเมียนมารวมกันหลายร้อยคน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000948 • #MGROnline #เชียงราย #เหยื่อค้ามนุษย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไส้อั่วบ้านอิฐ" ผลิตภัณฑ์ OTOP ในพื้นที่ ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    จุดเด่น ที่ มีหลายรส เช่น รสพริกแห้ง พริกสด กระดูกอ่อน รสตับ รสปลา
    นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝากให้กับญาติพี่น้อง
    บ้างก็ซื้อไปตั้งแคมป์ ก่อไฟ-ปิ้งย่าง ในช่วงอากาศหนาว
    https://maps.app.goo.gl/dRD2Ryfigxe3WSat5
    "ไส้อั่วบ้านอิฐ" ผลิตภัณฑ์ OTOP ในพื้นที่ ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จุดเด่น ที่ มีหลายรส เช่น รสพริกแห้ง พริกสด กระดูกอ่อน รสตับ รสปลา นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝากให้กับญาติพี่น้อง บ้างก็ซื้อไปตั้งแคมป์ ก่อไฟ-ปิ้งย่าง ในช่วงอากาศหนาว https://maps.app.goo.gl/dRD2Ryfigxe3WSat5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • แค่ฝนโปรยนิดเดียว “ท่าขี้เหล็ก” น้ำเอ่อท่วมระดับข้อเท้าแล้ว หลังท่อระบายยังอุดตันหนักจากน้ำท่วมใหญ่ห้วงสิงหาฯ-ตุลาฯ ที่ผ่านมา สะท้อนปัญหาใหญ่ฤดูฝนหน้า

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000120350

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    แค่ฝนโปรยนิดเดียว “ท่าขี้เหล็ก” น้ำเอ่อท่วมระดับข้อเท้าแล้ว หลังท่อระบายยังอุดตันหนักจากน้ำท่วมใหญ่ห้วงสิงหาฯ-ตุลาฯ ที่ผ่านมา สะท้อนปัญหาใหญ่ฤดูฝนหน้า อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000120350 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 816 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่าขี้เหล็ก - อาชญกรรมฝั่งท่าขี้เหล็กยังน่ากลัว..ล่าสุดคนร้ายก่อเหตุอุกอาจ ขับเก๋งจอดลากปืนลักพาตัวนักธุรกิจชาวจีนห่างสถานีตำรวจแค่ 70 เมตร หนีลอยนวล

    วันนี้ (13 ธ.ค.) Tachileik News Agency สื่อออนไลน์ท้องถิ่นเมีนมารายงานว่าเกิดเหตุชายชาวจีนคนหนึ่งคน ที่อยู่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเมียนมา ติดกับ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ถูกกลุ่มคนเข้าไปลักพาตัวบริเวณร้านแลกเปลี่ยนเงินตราหน้าธนาคาร KBZ ซึ่งห่างจากสถานีตำรวจ จ.ท่าขี้เหล็ก เพียงประมาณ 70 เมตร

    คนร้ายก่อเหตุในช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00 น.ภายในตัวเมืองอย่างอุกอาจ ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดใน จ.ท่าขี้เหล็ก บันทึกภาพคนร้ายเป็นชายจำนวน 3 คน ถือปืนยาวออกมาจากรถยนต์เก๋งสีขาวและเข้าไปข่มขู่พร้อมฉุดกระชากร่างของชายชาวจีน ซึ่งทราบชื่อต่อมาคือนายอู่เยียน อายุ 78 ปี เป็นนักธุรกิจรับแลกเงิน ที่กำลังจะเดินไปยังร้านแลกเปลี่ยนเงินตราดังกล่าว ให้ขึ้นไปบนรถของตัวเอง

    ซึ่งมีรายงานว่าคนในรถที่รออยู่ยังเป็นหญิงอีก 1 คนด้วย ก่อนที่ทั้งหมดจะนำนายอู่เยียน ขึ้นรถขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบเป้าหมายและมีรถยนต์อีกคันหนึ่งจอดทิ้งไว้หน้าร้านคาดว่าเป็นของนายอู่เยียน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/local/detail/9670000119825

    #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก
    ท่าขี้เหล็ก - อาชญกรรมฝั่งท่าขี้เหล็กยังน่ากลัว..ล่าสุดคนร้ายก่อเหตุอุกอาจ ขับเก๋งจอดลากปืนลักพาตัวนักธุรกิจชาวจีนห่างสถานีตำรวจแค่ 70 เมตร หนีลอยนวล • วันนี้ (13 ธ.ค.) Tachileik News Agency สื่อออนไลน์ท้องถิ่นเมีนมารายงานว่าเกิดเหตุชายชาวจีนคนหนึ่งคน ที่อยู่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเมียนมา ติดกับ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ถูกกลุ่มคนเข้าไปลักพาตัวบริเวณร้านแลกเปลี่ยนเงินตราหน้าธนาคาร KBZ ซึ่งห่างจากสถานีตำรวจ จ.ท่าขี้เหล็ก เพียงประมาณ 70 เมตร • คนร้ายก่อเหตุในช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00 น.ภายในตัวเมืองอย่างอุกอาจ ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดใน จ.ท่าขี้เหล็ก บันทึกภาพคนร้ายเป็นชายจำนวน 3 คน ถือปืนยาวออกมาจากรถยนต์เก๋งสีขาวและเข้าไปข่มขู่พร้อมฉุดกระชากร่างของชายชาวจีน ซึ่งทราบชื่อต่อมาคือนายอู่เยียน อายุ 78 ปี เป็นนักธุรกิจรับแลกเงิน ที่กำลังจะเดินไปยังร้านแลกเปลี่ยนเงินตราดังกล่าว ให้ขึ้นไปบนรถของตัวเอง • ซึ่งมีรายงานว่าคนในรถที่รออยู่ยังเป็นหญิงอีก 1 คนด้วย ก่อนที่ทั้งหมดจะนำนายอู่เยียน ขึ้นรถขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบเป้าหมายและมีรถยนต์อีกคันหนึ่งจอดทิ้งไว้หน้าร้านคาดว่าเป็นของนายอู่เยียน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9670000119825 • #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/10/67

    คุณ​หมอยุทธ​ โพธารามิก เขียนเล่าเรื่อง​สมัยทำงาน​เป็น​แพทย์​ที่แม่สอดไว้​หลายตอน​ อ่านสนุก​ ท่านมีอารมณ์​ขัน...

    ความทรงจำของฉัน
    ( ตอนที่ 1 )
    “มิตรต่างแดน”

    ปี 2509 ฉันไปรับราชการครั้งแรก ที่ ร.พ.แม่สอด จว.ตาก เป็น ร.พ.ขนาด 60 เตียง มีหมอ 3 คน ต้องอยู่เวร 24 ช.ม. วันเว้นวัน ( ยกเว้น ผู้อำนวยการ ) วันรุ่งขึ้น ต้องทำงานต่อตามปกติ เงินเดือนๆละ 2100 บาท ไม่มีเงินพิเศษเพิ่ม เหมือนสมัยนี้

    มี X-Ray 1 เครื่อง ใช้คนรถถ่ายภาพ ได้แค่ 2 ภาพ คือ ด้านตรง กับ ด้านข้าง
    ไม่มีหมอและพยาบาลดมยา ต้องใช้คนรถคนเดียวกันนี้ ดมยาอีเเทอร์
    มี เภสัชกร 1 คน
    มี พยาบาล ไม่มากนัก

    เราก็อยู่กันได้ และ ดูแลรักษาผู้ป่วยหลายหมื่นคน ให้ปลอดภัย
    จึงเป็นที่พึ่งแห่งเดียว ของประชาชน ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดตาก คือ อำเภอ อุ้มผาง . พบพระ. แม่สอด. แม่ระมาด. ท่าสองยาง. และ ชาวพม่า ชาวกะเหรี่ยง จากฝั่งตรงข้าม แม่น้ำเมย......

    หลังจาก ฉันอยู่ ร.พ. แม่สอด ได้ 1 เดือน
    วันหนึ่ง ขณะฉัน นั่งกินอาหารกลางวัน ที่ บาร์ริมตลิ่งแม่น้ำเมย เจ้าหน้าที่ ร.พ.แม่สอด ขี่จักรยาน มาตามฉัน ไปดูตนไข้ฉุกเฉิน
    ฉัน รีบขับรถประจำตำแหน่ง ( รถ Ambulance เก่าๆ ) ไป ร.พ.แม่สอด ทันที ซึ่งอยู่ห่างออกไป 7 ก.ม.

    ผู้ป่วย เป็นชาวกะเหรี่ยงสูงอายุ มาจาก ผาลู ฝั่งพะม่า ( ทางใต้ แม่สอด )
    มีอาการสำคัญ ปัสสาวะไม่ออก มา 2 วัน ทุรนทุราย ทุกข์ทรมาน
    ฉัน สวนปัสสาวะให้ ออกมาเป็นจำนวนมาก
    ความทุกข์ทรมาน หายเป็นปลิดทิ้ง

    ผู้ป่วย มองฉันด้วยสายตา ขอบคุณ พร้อมกับพูด ว่า
    “ Thank you, Doctor “

    ฉัน วินิจฉัยโรคได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือทันสมัย ( ซึ่งไม่มี ) ว่า เป็นโรค ต่อมลูกหมากโต
    จึงดำเนินการ ผ่าตัดต่อมลูกหมาก หายปลอดภัย กลับบ้านเรียบร้อย

    นับแต่วันนั้นมา สัมพันธ์ภาพอันจริงใจ เกิดขึ้นทันที และ ขยายวงกว้างขึ้น มากขึ้น จนปัจจุบัน นี้...

    ผู้ป่วย คือ ชายสูงอายุ ผมขาว ชื่อ ซอ โทเนาะ ชาวกะเหรี่ยง เรียก ปาตี้ วาโก้ ( ลุงผมขาว )
    ลุง โทเนาะ เป็นที่เคารพนับถือ ของกะเหรี่ยงคริสต์ และ KNU ( Karen National Union ) หรือ กอทูเล
    ลุง โทเนาะ มีลูกชาย 2 คน เป็น นายทหาร KNU ซึ่งกำลังรบอยู่กับพะม่า
    คนโต ชื่อ ร.อ. มูตู
    คนน้อง ชื่อ ร.ท. ซามิ

    ปัจจุบัน พ.ศ. 2564
    ซามิ ตายไปนานแล้วในสนามรบ
    มูตู ยังมีชีวิตอยู่ ( อายุมากกว่าฉัน 1 ปี ) มี ยศตำแหน่ง คือ
    พล.อ. มูตู ผบ.สูงสุด และ ประธานาธิบดี ของ KNU
    ซึ่งกำลังสู้รบ กับ ทหารพะม่า ของ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ในทุกวันนี้...

    ตั้งแต่ อยู่แม่สอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ฉัน กับ KNU ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้จะเหินห่างกันบ้างตามกาลเวลา
    ในสมัยแรกๆนั้น ฉันสามารถเข้าออกในกองทัพกะเหรี่ยงได้ โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ตั้งแต่ อ.แม่สะเรียง จว.แม่ฮ่องสอน จนถึง ต.ห้วยน้ำขาว จว.กาญจนบุรี...

    KNU รักฉัน ไว้ใจฉัน ตั้งแต่ ประธานาธิบดี คณะรัฐมนตรี แม่ทัพนายกอง บุคคลสำคัญทั้งทหารและพลเรือน ( หลายคน เป็นคนไข้ของฉัน ตั้งแต่ ร.พ.แม่สอด ร.พ.สมุทรปราการ และ ร. พ. ราชวิถี )
    เขาอยากให้ ทุกอย่างแก่ฉัน ทั้งรูปธรรม และ นามธรรม เข่น Ruby Stone นกยูง นกขุนทอง ลูกหมี เขาเก้ง เขากวาง ไม้สัก แม้แต่กวางตัวเป็นๆ ฯลฯ

    ขอยกตัวอย่างให้ดู ดังนี้

    .... เพื่อนทหารไทยหาข่าวที่แม่สอด อยากไปค่ายทหารกะเหรี่ยง ขอให้ฉันพาไป
    ทหารกะเหรี่ยง ต้อนรับฉันเป็นอย่างดี โดยไม่ให้ความสำคัญกับทหารหาข่าวเลย
    กลับถึงแม่สอด เพื่อนเรียกฉันว่า
    Doctor Chivago... (ฮา)

    .... พ.อ.สุจินดา คราประยูร ( ยศขณะนั้น ) ขอให้ฉันไปหาข่าว นายทหารที่ลอบสังหาร พล.อ.เปรม แล้วหนีไปอยู่กับทหารกระเหรี่ยง ด้านห้วยน้ำขาว จว.กาญจนบุรี
    ฉันก็ไป.. กว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ประมาณ ตี 2

    .... ท่านทูตเดนมาร์ก และ ภรรยา ( ไทย ) อยากได้กวาง มาเลี้ยงที่สถานทูต แถวๆถนนสาธร โดยบอกผ่านเพื่อนฉัน
    ฉัน ก็ไป รับกวาง เพศเมีย 1 ตัว จากทหารกะเหรี่ยง ทางด้าน ห้วยน้ำขาว กาญจนบุรี
    กว่าจะผ่านด่าน ทหารกองพล.9 ถึงสถานทูต ก็เที่ยงคืนพอดี
    หิวและเหนื่อยพอสมควร ท่านทูตเลี้ยงอาหาร และให้ฉันตั้งชื่อ กวาง
    ฉัน ตั้งชื่อว่า กุสุมา..
    ...ตะละแม่ กุสุมา อยู่ดีกินดี อ้วนพี ขนเป็นมัน กินแต่ของต่างประเทศ เช่น แอบเปิล องุ่น สารพัดผลไม้จากเดนมาร์ก
    กุสุมา อยู่ในป่า อดๆอยากๆ กินแต่ มะขามป้อม ลูกตะขบ ( ฮา )

    จากความสัมพันธ์ระหว่างฉัน กับ KNU นี้ ทำให้ฉันไม่กล้าไปประเทศพะม่า จนบัดนี้ อย่างดี ก็แค่ เมียวดี และ ท่าขี้เหล็ก
    กลัวเข้าไปแล้ว ไม่ได้กลับ

    ท่าน นายกชาติชาย เคยชวนฉันไปพะม่ากับท่าน ในฐานะ State Visit
    ฉัน ปฏิเสธ
    ท่านพูดว่า “ กลัวอะไร ( ว่ะ ) ไปกับอั๊ว ไม่มีใครทำอะไรหมอหรอก “
    ฉันตอบว่า “ ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้อยู่กับท่าน 24 ช.ม. นี่ครับ “ ( ฮา )

    ... การ Take Side บางครั้งก็ทำให้เสียโอกาศ ได้เหมือนกัน นะครับ ....

    —————————-
    10/10/67 คุณ​หมอยุทธ​ โพธารามิก เขียนเล่าเรื่อง​สมัยทำงาน​เป็น​แพทย์​ที่แม่สอดไว้​หลายตอน​ อ่านสนุก​ ท่านมีอารมณ์​ขัน... ความทรงจำของฉัน ( ตอนที่ 1 ) “มิตรต่างแดน” ปี 2509 ฉันไปรับราชการครั้งแรก ที่ ร.พ.แม่สอด จว.ตาก เป็น ร.พ.ขนาด 60 เตียง มีหมอ 3 คน ต้องอยู่เวร 24 ช.ม. วันเว้นวัน ( ยกเว้น ผู้อำนวยการ ) วันรุ่งขึ้น ต้องทำงานต่อตามปกติ เงินเดือนๆละ 2100 บาท ไม่มีเงินพิเศษเพิ่ม เหมือนสมัยนี้ มี X-Ray 1 เครื่อง ใช้คนรถถ่ายภาพ ได้แค่ 2 ภาพ คือ ด้านตรง กับ ด้านข้าง ไม่มีหมอและพยาบาลดมยา ต้องใช้คนรถคนเดียวกันนี้ ดมยาอีเเทอร์ มี เภสัชกร 1 คน มี พยาบาล ไม่มากนัก เราก็อยู่กันได้ และ ดูแลรักษาผู้ป่วยหลายหมื่นคน ให้ปลอดภัย จึงเป็นที่พึ่งแห่งเดียว ของประชาชน ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดตาก คือ อำเภอ อุ้มผาง . พบพระ. แม่สอด. แม่ระมาด. ท่าสองยาง. และ ชาวพม่า ชาวกะเหรี่ยง จากฝั่งตรงข้าม แม่น้ำเมย...... หลังจาก ฉันอยู่ ร.พ. แม่สอด ได้ 1 เดือน วันหนึ่ง ขณะฉัน นั่งกินอาหารกลางวัน ที่ บาร์ริมตลิ่งแม่น้ำเมย เจ้าหน้าที่ ร.พ.แม่สอด ขี่จักรยาน มาตามฉัน ไปดูตนไข้ฉุกเฉิน ฉัน รีบขับรถประจำตำแหน่ง ( รถ Ambulance เก่าๆ ) ไป ร.พ.แม่สอด ทันที ซึ่งอยู่ห่างออกไป 7 ก.ม. ผู้ป่วย เป็นชาวกะเหรี่ยงสูงอายุ มาจาก ผาลู ฝั่งพะม่า ( ทางใต้ แม่สอด ) มีอาการสำคัญ ปัสสาวะไม่ออก มา 2 วัน ทุรนทุราย ทุกข์ทรมาน ฉัน สวนปัสสาวะให้ ออกมาเป็นจำนวนมาก ความทุกข์ทรมาน หายเป็นปลิดทิ้ง ผู้ป่วย มองฉันด้วยสายตา ขอบคุณ พร้อมกับพูด ว่า “ Thank you, Doctor “ ฉัน วินิจฉัยโรคได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือทันสมัย ( ซึ่งไม่มี ) ว่า เป็นโรค ต่อมลูกหมากโต จึงดำเนินการ ผ่าตัดต่อมลูกหมาก หายปลอดภัย กลับบ้านเรียบร้อย นับแต่วันนั้นมา สัมพันธ์ภาพอันจริงใจ เกิดขึ้นทันที และ ขยายวงกว้างขึ้น มากขึ้น จนปัจจุบัน นี้... ผู้ป่วย คือ ชายสูงอายุ ผมขาว ชื่อ ซอ โทเนาะ ชาวกะเหรี่ยง เรียก ปาตี้ วาโก้ ( ลุงผมขาว ) ลุง โทเนาะ เป็นที่เคารพนับถือ ของกะเหรี่ยงคริสต์ และ KNU ( Karen National Union ) หรือ กอทูเล ลุง โทเนาะ มีลูกชาย 2 คน เป็น นายทหาร KNU ซึ่งกำลังรบอยู่กับพะม่า คนโต ชื่อ ร.อ. มูตู คนน้อง ชื่อ ร.ท. ซามิ ปัจจุบัน พ.ศ. 2564 ซามิ ตายไปนานแล้วในสนามรบ มูตู ยังมีชีวิตอยู่ ( อายุมากกว่าฉัน 1 ปี ) มี ยศตำแหน่ง คือ พล.อ. มูตู ผบ.สูงสุด และ ประธานาธิบดี ของ KNU ซึ่งกำลังสู้รบ กับ ทหารพะม่า ของ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ในทุกวันนี้... ตั้งแต่ อยู่แม่สอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ฉัน กับ KNU ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้จะเหินห่างกันบ้างตามกาลเวลา ในสมัยแรกๆนั้น ฉันสามารถเข้าออกในกองทัพกะเหรี่ยงได้ โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ตั้งแต่ อ.แม่สะเรียง จว.แม่ฮ่องสอน จนถึง ต.ห้วยน้ำขาว จว.กาญจนบุรี... KNU รักฉัน ไว้ใจฉัน ตั้งแต่ ประธานาธิบดี คณะรัฐมนตรี แม่ทัพนายกอง บุคคลสำคัญทั้งทหารและพลเรือน ( หลายคน เป็นคนไข้ของฉัน ตั้งแต่ ร.พ.แม่สอด ร.พ.สมุทรปราการ และ ร. พ. ราชวิถี ) เขาอยากให้ ทุกอย่างแก่ฉัน ทั้งรูปธรรม และ นามธรรม เข่น Ruby Stone นกยูง นกขุนทอง ลูกหมี เขาเก้ง เขากวาง ไม้สัก แม้แต่กวางตัวเป็นๆ ฯลฯ ขอยกตัวอย่างให้ดู ดังนี้ .... เพื่อนทหารไทยหาข่าวที่แม่สอด อยากไปค่ายทหารกะเหรี่ยง ขอให้ฉันพาไป ทหารกะเหรี่ยง ต้อนรับฉันเป็นอย่างดี โดยไม่ให้ความสำคัญกับทหารหาข่าวเลย กลับถึงแม่สอด เพื่อนเรียกฉันว่า Doctor Chivago... (ฮา) .... พ.อ.สุจินดา คราประยูร ( ยศขณะนั้น ) ขอให้ฉันไปหาข่าว นายทหารที่ลอบสังหาร พล.อ.เปรม แล้วหนีไปอยู่กับทหารกระเหรี่ยง ด้านห้วยน้ำขาว จว.กาญจนบุรี ฉันก็ไป.. กว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ประมาณ ตี 2 .... ท่านทูตเดนมาร์ก และ ภรรยา ( ไทย ) อยากได้กวาง มาเลี้ยงที่สถานทูต แถวๆถนนสาธร โดยบอกผ่านเพื่อนฉัน ฉัน ก็ไป รับกวาง เพศเมีย 1 ตัว จากทหารกะเหรี่ยง ทางด้าน ห้วยน้ำขาว กาญจนบุรี กว่าจะผ่านด่าน ทหารกองพล.9 ถึงสถานทูต ก็เที่ยงคืนพอดี หิวและเหนื่อยพอสมควร ท่านทูตเลี้ยงอาหาร และให้ฉันตั้งชื่อ กวาง ฉัน ตั้งชื่อว่า กุสุมา.. ...ตะละแม่ กุสุมา อยู่ดีกินดี อ้วนพี ขนเป็นมัน กินแต่ของต่างประเทศ เช่น แอบเปิล องุ่น สารพัดผลไม้จากเดนมาร์ก กุสุมา อยู่ในป่า อดๆอยากๆ กินแต่ มะขามป้อม ลูกตะขบ ( ฮา ) จากความสัมพันธ์ระหว่างฉัน กับ KNU นี้ ทำให้ฉันไม่กล้าไปประเทศพะม่า จนบัดนี้ อย่างดี ก็แค่ เมียวดี และ ท่าขี้เหล็ก กลัวเข้าไปแล้ว ไม่ได้กลับ ท่าน นายกชาติชาย เคยชวนฉันไปพะม่ากับท่าน ในฐานะ State Visit ฉัน ปฏิเสธ ท่านพูดว่า “ กลัวอะไร ( ว่ะ ) ไปกับอั๊ว ไม่มีใครทำอะไรหมอหรอก “ ฉันตอบว่า “ ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้อยู่กับท่าน 24 ช.ม. นี่ครับ “ ( ฮา ) ... การ Take Side บางครั้งก็ทำให้เสียโอกาศ ได้เหมือนกัน นะครับ .... —————————-
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,512
    วันจันทร์: ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๗ (9 September 2024)

    ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 แห่ง เป็นเงิน 200 บาท
    01. รร.ศึกษานารีวิทยา เขตบางบอน กรุงเทพฯ
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67)
    02. วัดเกตุแก้ว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67)
    03. วัดตำหนัก อ.สารภี จ.เชียงใหม่
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67)
    04. วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง กรุงเทพฯ
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67)
    05. วิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี อ.เมือง จ.ลพบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 16 ก.ย.67)
    06. รร.เครือหวายวิทยาคม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 17 ก.ย.67)
    07. รร.วัดดงขี้เหล็ก อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 17 ก.ย.67)
    08. รร.อนุบาลแม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 17 ก.ย.67)
    09. รร.บ้านผาตูบ อ.เมือง จ.น่าน
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 18 ก.ย.67)
    10. รร.เด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 19 ก.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๕๖ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,512 วันจันทร์: ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๗ (9 September 2024) ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 แห่ง เป็นเงิน 200 บาท 01. รร.ศึกษานารีวิทยา เขตบางบอน กรุงเทพฯ (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67) 02. วัดเกตุแก้ว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67) 03. วัดตำหนัก อ.สารภี จ.เชียงใหม่ (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67) 04. วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง กรุงเทพฯ (ทอดผ้าป่าสามัคคี 15 ก.ย.67) 05. วิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี อ.เมือง จ.ลพบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 16 ก.ย.67) 06. รร.เครือหวายวิทยาคม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 17 ก.ย.67) 07. รร.วัดดงขี้เหล็ก อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 17 ก.ย.67) 08. รร.อนุบาลแม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน (ทอดผ้าป่าสามัคคี 17 ก.ย.67) 09. รร.บ้านผาตูบ อ.เมือง จ.น่าน (ทอดผ้าป่าสามัคคี 18 ก.ย.67) 10. รร.เด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 19 ก.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๕๖ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรับยารักษา “โรคฝีดาษ” จากศิลาจารึก/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    สำหรับตำรับยาโรคระบาดในประเทศไทยนั้น ได้ยึดถึอเอาพระคัมภีร์ตักกะศิลาเป็นกระบวนการรักษาโรค โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน กล่าวคือ

    ขั้นตอนแรก ตำรับยาสำหรับกระทุ้งพิษไข้ โดยใช้ตำรับยาห้าราก

    ขั้นตอนที่สอง ตำรับยาสำหรับแปรไข้ภายในและรักษาผิวภายนอก มีตำรับยา 5 ขนาน คือ ตำรับยาประสระผิว ตำรับยาพ่นผิวภายนอก ตำรับยาพ่นและยากิน และตำรับยาแปรไข้จากร้ายให้เป็นดี และตำรับยาพ่นแปรผิวภายนอก

    ขั้นตอนสุดท้าย ตำรับยาครอบไข้[1]

    ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นอยู่ในตำรายาหลวง ชื่อตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ 5 โดยในตำราดังกล่าวได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังเป็นตำราสำหรับการเรียนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์มาจนถึงปัจจุบัน

    ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงมีพระบรมราโชบายให้มีตำรายาจารึกเอาไว้ในแผ่นศิลาประดับอยู่ตามผนังและเสาของวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) พระราชทานเป็นมรดกให้กับประชาชนชาวสยามสืบไปตราบนานเท่านาน รวมถึงวิวัฒนาการที่ลดทอนยา 7 ขนาน 3 ขั้นตอน มาเหลือ “ตำรับยาเดียว” ในการรับมือโรคระบาดหลายชนิดด้วย ซึ่งปัจจุบันคนในวงการแพทย์แผนไทยเรียกว่า “ยาขาว”

    ตำรับยาขาวของวัดโพธิ์นี้ได้ระบุเอาไว้ในตำราว่าแผ่นศิลาแผ่นนี้ได้ถูกรื้อออกมาจากศาลาต่างๆ แต่โชคดีได้บันทึกตำรับยาสำคัญนี้เอาไว้ในตำรายาของวัดโพธิ์ จึงทำให้สามารถตกทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยตำรายาวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ฉบับเก่า 51 ปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2516 ได้บันทึกตำรับยานี้เอาไว้อยู่ที่หน้า 62-64[2]

    ตำรับยาขนานนี้ได้บรรยายสรรพคุณว่า เพียงตำรับยาเดียวสามารถ “แก้สรรพไข้จากโรคระบาด” โดยตำรายาศิลาจารึกบันทึกว่าตำรับยานี้ใช้สมุนไพร 15 ตัวและมีสรรพคุณแก้สรรพไข้จากโรคระบาดหลายชนิด โดยระบุในบันทึกของแผ่นศิลาความตอนนี้ว่า

    “ขนาน 1 เอา กระเช้าผีมด หัวคล้า รากทองพันชั่ง รากชา รากง้วนหมู รากส้มเส็ด รากข้าวไหม้ รากจิงจ้อ รากสวาด รากสะแก รากมะนาว รากหญ้านาง รากฟักข้าว รากผักสาบ รากผักหวานบ้าน เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่ง ไว้ละลายน้ำซาวข้าวกินแก้ไข้รากสาด ออกดำ แดง ขาว และแก้ไข้ประกายดาษ ไข้หงษ์ระทด และแก้ไข้ไฟเดือนห้า ไข้ละอองไฟฟ้า และแก้ไข้มหาเมฆ มหานิล ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น และยาขนานนี้แก้ได้ทุกประการ ตามอาจารย์กล่าวไว้ ให้แพทย์ทั้งหลายรู้ว่าเปน มหาวิเศษนัก“[2]

    แม้ในความจริงแล้วจะมีขั้นตอนและวิวัฒนาการในการรักษาโรคระบาดหลายชนิดในภาพรวม แต่ภายใต้พระคัมภีร์ตักกะศิลา ได้วางหลักถึง “รสยา” สำหรับรับมือโรคระบาดว่ามีข้อห้ามและสิ่งที่ควรจะลองดูในเวลาติดเชื้ออันจากเกิดโรคระบาดเอาไว้ความว่า

    ห้ามใช้ยาหรือการกระทำที่มีรสกระตุ้นธาตุไฟหรือระบบความร้อน (ปิตตะ) แต่ให้ยาที่มีลดธาตุไฟหรือระบบความร้อน หากไม่ฟังตามนี้อาจจะถึงแก่ความตายได้ ความว่า

    “ไข้จำพวกนี้ย่อมห้ามมิให้วางยาร้อนเผ็ดเปรี้ยว อย่าให้ประคบนวด อย่าปล่อยปลิง อย่าให้กอกเอาโลหิตออก อย่าให้ถูกน้ำมัน เหล้าก็อย่าให้ถูก น้ำร้อนก็อย่าให้อาบ อย่าให้กิน ส้มมีควันมีผิวกะทิน้ำมันห้ามิให้กิน ถ้าใครไม่รู้ทำผิดดังกล่าวมานี้ ก็ถึงความตายดังนี้แล”[3]

    ต่อมาเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ได้เรียบเรียงเอาไว้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในเรื่อง “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ว่าช่วงเวลาที่มีกำเดาหรือเปลวแห่งความร้อนนี้ ไม่ว่าจะวัดว่ามีไข้จากภายนอก หรือรู้สึกครั่นเนื้อตัวอยู่ภายใน ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีผื่นขึ้น จะไม่ใช้ยารสร้อน ห้ามเหล้า น้ำมัน กอกเลือด นวด หรือปล่อยปลิงเพื่อเอาเลือดออก หากไม่ฟังให้ยาหรือการดำเนินการเช่นดังกล่าวนี้ อาจแก้กันไม่ทัน ความว่า

    “ถ้าแรกล้มไข้ ท่านมากล่าวไว้ ให้พิจารณา ภายนอกภายใน ให้ร้อนหนักหนา เมื่อยขบกายา ตาแดงเป็นสาย บ้างเย็นบ้างร้อน เปนบั้นเป็นท่อน ไปทั่วทั้งกาย ขึ้นมาให้เห็น เปนวงเปนสาย เปนริ้วยาวรี ลางบางไม่ขึ้น เปนวงฟกลื่น กายหมดดิบดี หมอมักว่าเปนสันนิบาติก็มี ให้ยาผิดที แก้กันไม่ทัน อย่าเพ่อกินยา ร้อนแรงแขงกล้า ส้มเหล้าน้ำมัน เอาโลหิตออก กอกเลือดนวดฟั้น ปล่อยปลิงมิทัน แก้กันเลยนา” [4]

    ด้วยประสบการณ์ของเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้รวบยอดสรุปถ่ายทอดมาเป็นความรู้ว่า ในยามที่ยังต้องถกเถียงกันว่าโรคระบาดที่ทำให้เกิดคนตายมากเป็นโรคประเภทใดกันแน่ ในยามที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จึงให้ใช้รสยาแรกไปในทางรสขม เย็นอย่างยิ่ง หรือฝาดจืด ซึ่งเป็นรสยาที่ไม่มีธาตุไฟมาปน ดังความว่า

    “ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเปนอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน”[4]

    แต่ถึงแม้จะมีหลักการและขั้นตอนต่างๆในการวางรสยาเพื่อรับมือกับโรคระบาด แต่เนื่องจากโรคฝีดาษและไข้ทรพิษนั้น อาจมีลักษณะจำเพาะที่มีการระบาดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนกว่าจะได้หมดสิ้นจากประเทศไทยได้นั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. 2523

    การเอาชนะโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ นอกจากการรับมือกับโรคระบาดในเรื่องตำรับยาต่างๆแล้ว ความรู้เรื่องการปลูกฝีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง เพราะได้เป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะโรคฝีดาษได้ด้วย

    โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการปลูกฝีไข้ทรพิษ และพระราชบัญญัติระงับโรคระบาทว์ พ.ศ.​2456 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคแก่ประชาชน

    ต่อมาในปี 2504 กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกำจัดไข้ทรพิษครั้งแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้า 3 ปี (พ.ศ.2504-2506) คือคนไทยอย่างน้อย 80% ต้องได้รับการปลูกฝี ภายหลังขยายเวลาเป็น 5 ปี (พ.ศ.2504-2508) ซึ่งเป็นช่วงเวลาระดมการปลูกฝีทั่วประเทศไทย

    โดยประเทศไทยได้พบผู้ป่วยโรคฝีดาษรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2505 เป็นแขกชื่อ ยาริดาเนา ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร

    เมื่อสิ้นสุดโครงการการระดมปลูกฝี ถึงปี พ.ศ. 2508 ก็เป็นผลทำให้ฝีดาษหรือไข้ทรพิษหายไปจากประเทศไทยติดต่อกันถึง 3 ปีติดต่อกันแล้ว จนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศรับรองว่าฝีดาษหรือไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว[5]

    นี่คือเหตุผลว่าผู้ที่เกิดก่อนปี 2523 หรืออายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่น่าจะได้รับการปลูกฝีแล้ว(โดยดูได้จากแผลเป็นบนหัวไหล่) แต่ถึงกระนั้นก็ยังพบผู้ที่มีอายุมากกว่า 44 ปีติดโรคฝีดาษลิงได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง เช่นผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นต้น

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากฝีดาษที่ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 2523 หรือเป็นเวลา 44 ปี ทำให้ภูมิปัญญาที่เคยรับมือในการรักษาโรคฝีดาษขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการรับมือด้วยสมุนไพร ตำรับยาไทย และกรรมวิธีต่างๆในการรักษา

    ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนไทยควรจะรับมือในการรักษาโรคฝีดาษลิงอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะอ้างอิงไปตามพระคัมภีร์ตักกะศิลาในการใช้ยา 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน หรือยาขาวตามตำรับยาของวัดศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) บ้าง แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงโรคฝีดาษ หรือฝีดาษลิงเป็นการเฉพาะ

    ทำให้หลายคนสงสัยว่าในเมื่อโรคฝีดาษ เป็นโรคที่ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ในการเกิดโรคระบาดมาหลายร้อยปี ควรจะต้องมี “ตำรับยา“ สำหรับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะหรือไม่

    เมื่อทบทวนข้อมูลตามตำราและคัมภีร์ทั้งหมดพบ ”การรักษาโรคฝีดาษ“ เป็นการเฉพาะจารึกเป็นตำรายาที่ปรากฏในแผ่นศิลาของวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

    โดย ศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นมรดกที่แสดงถึงภูมิปัญญาของแพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ที่จารึกยาขนานต่างๆ ลักษณะของแผ่นศิลาจารึกเป็นหินอ่อนสีเทา สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 33 เซนติเมตร จัดเรียงบรรทัดในมุมแหลม จำนวน 17 บรรทัด เหมือนกันทุกแผ่น ติดตามผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ 42 แผ่น และผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร 8 แผ่น เชื่อว่าในอดีตมีแผ่นศิลาจารึก 92 แผ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50 แผ่น

    และนับว่าเป็นความโชคดีของคนไทย เพราะแผ่นศิลาที่กล่าวถึงการรักษาโรคฝีดาษ ยังไม่สูญหายและข้อความที่ปรากฏก็ยังไม่เลือนหายไปด้วย จึงนับว่าเป็นบุญของประเทศที่มีภูมิปัญญาและมีคุณค่ายิ่งในสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงกลับมาเริ่มระบาดในบางประเทศ และเริ่มเข้ามาในประเทศไทย

    โดยแผ่นศิลาที่กล่าวถึงฝีดาษนั้น เป็นแผนที่ 18 ของศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ปรากฏข้อความดังนี้

    “๏ สิทธิการิยะ จะกล่าวฝีดาษเกิดในเดือน 11 เดือน 12 เดือน 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ เกิดเพื่ออาโปธาตุ มักให้เย็นในอกแลมักตกมูกตกเลือด ให้เสียแม่แสลงพ่อแสลง นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำบัตรไปส่งทิศอุดรแลอีสาร จึ่งจะดี๚

    ถ้าจะแก้ให้เอาใบมะอึก ใบผักบุ้งร้วม ใบผักบุ้งขัน ใบก้างปลาทั้งสอง ใบพุงดา ใบผักขวง ใบหมาก ใบทองพันชั่ง เอาเสมอภาคตำเอาน้ำพ่น ดับฝี เพื่อเสมหะหาย ๚

    ขนานหนึ่ง เอากะทิมะพร้าว น้ำคาวปลาไหล ไข่เป็ดลูกหนึ่ง มูลโคดำ แก่นประดู่ เอาเสมอภาคบด พ่นฝีเพื่อเสมหะที่ด้านอยู่นั้นขึ้นแลแปรฝีร้ายให้เป็นดี ๚

    ขนานหนึ่ง เอาน้ำลูกตำลึง น้ำมันงา น้ำมันหัวกุ้ง น้ำรากถั่วพู เอาเสมอภาค พ่นฝีเพื่อเสมหะให้ยอดขึ้น หนองงามดีนัก๚

    ขนานหนึ่ง เอาเห็ดมูลโค ว่านกีบแรด ว่านร่อนทอง สังกรณี ชะเอม ลูกประคำดีควาย หวายตะค้า เขากวางเผา กระดูกเสือเผา มะกล่ำเครือ ขันฑสกร มะขามเปียก เอาเสมอภาคบดทคำเป็นจุณ บดด้วยน้ำมะนาวทำแท่งไว้ละลายสุรา ดีงูเหลือม รำหัด กินแก้คอแหบแห้ง แก้คอเครือ หายดีนัก๚

    ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚[6]

    ในตำรับยาขนานต่างๆข้างต้นนั้น เป็นยาพ่นภายนอกเสียส่วนใหญ่ ตำรับยาเพื่อการรับประทานที่พอาจะหาได้โดยไม่ต้องอาศัยสัตว์วัตถุคือตำรับยาขนานสุดท้ายที่น่าจะนำไปวิจัยต่อที่ว่า

    ”ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚“ [6]

    นอกจากนั้นจากจารึกวัดราชโอรสราชวรมหาวิหารยังปรากฏในแผ่นที่ 46 ทำให้เห็นว่ายังมีตำรับยาอีกขนานหนึ่งสำหรับโรคฝีดาษที่เป็นไข้หนักเข้าขั้นไข้สันนิบาตแล้วโดยใช้ ”ยาผายเลือด“ ความว่า

    “๏ สิทธิการิยะ ยาผายเลือดเอารากขี้กาแดง 1 เบญจาขี้เหล็ก ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไซ ลูกคัดเค้า ต้มให้งวดแล้วกรอง เอาน้ำขยำใส่ลงอีกเคี่ยวให้ข้น ปรุงยาดำ 1 สลึง 1 เฟื้อง ดีเกลือ 1 บาท กินประจุเลือดร้ายทั้งปวง แก้ไขสันนิบาตฝีดาษด้วย๚“[7]

    แต่สำหรับศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้กล่าวถึงโรคฝีดาษที่มีรายละเอียดในบางอาการเพิ่มเติมอีก เช่น อาการฝีดาษขึ้นตา ปรากฏในศิลาจารึกว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวงแผ่นที่ 22 ความว่า

    “ยาชื่อ สังขรัศมี เอาชะมดสด พิมเสน สิ่งละส่วน ลิ้นทะเลแช่น้ำมะนาวไว้ยังรุ่งแล้วล้างเสีย จึงเอามาแช่น้ำท่าไว้แต่เช้าถึงเที่ยง แล้วเอาตากให้แห้ง 3 ส่วน รากช้าแป้น ดินถนำสุทธิ สังข์สุทธิ สิ่งละ 4 ส่วน ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ฝนป้ายจักษุแก้สรรพต้อให้ปวดเคืองต่างๆ แก้ฝีดาษขึ้นจักษุก็ได้หายวิเศษนักฯ”[8]

    อย่างไรก็ตามการบันทึกในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังให้เบาะแสเกี่ยวกับ “สมุนไพรเดี่ยว” ที่เป็นเบาะแสว่าอาจจะมีสรรพคุณในการลดฝีดาษได้ ได้แก่ ข่าลิง บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี ฯลฯ[8]

    ดังปรากฏตัวอย่างในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศและสมุนไพรแผ่นที่ 7 ที่กล่าวถึง “ต้นข่าลิง”แก้พิษฝีดาษ ความว่า

    “อันว่าคุณแห่งข่าลิงนั้น ต้นรู้แก้พิษฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดเพื่อโลหิต รู้แก้ฝีกาฬ อันบังเกิดเพื่อฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษไข้เหนือสันนิบาตฯ”[9]

    นอกจากนั้นยังปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 ซึ่งกล่าวถึง “บอระเพ็ด” และ “ชิงช้าชาลี” ความว่า

    “อันว่าคุณแห่งบอระเพ็ดและชิงช้าชาลีนั้นคุณดุจกัน ต้นรู้แก้ฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดโลหิต รู้แก้ฝีกาฬอันบังเกิดฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและในฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษเพื่อไข้สันนิบาตฯ”[10]

    นอกจากนั้นสมุนไพรที่มีการวิจัยที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสหลายชนิดในยุคปัจจุบัน ก็ควรจะนำมาสู่การวิจัยกับฝีดาษลิงต่อไป เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ใบสะเดา กัญชา กัญชง ฝีหมอบ เสลดพังพอนตัวเมีย ฯลฯ

    ดังนั้นการกลับมาของโรคฝีดาษลิง จึงควรให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาในการรักษาที่มีมาแต่ในอดีตรวมถึงความรู้จากการวิจัยในสมุนไพรต่างๆที่มีมากขึ้น ซึ่งควรจะนำมาวิจัยกับไวรัสฝีดาษลิงเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมประยุกต์ให้เหมาะสมใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันและต่อไปในกาลข้างหน้าด้วยความไม่ประมาท

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    5 กันยายน 2567
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1045825823577784/?

    อ้างอิง
    [1] พิชชานันท์ เธียรทองอินทร์ และ รัชฎาพร พิสัยพันธุ์, การวิเคราะห์องค์ความรู้ไข้ตามคัมภีร์ตักศิลา: คัมภีร์ว่าด้วยโรคระบาด, วารสารหมอยาไทยวิจัย, ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2566), หน้า 131-152
    https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/258845/180094

    [2] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔

    [3] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 694

    [4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 37

    [5] เว็บไซต์กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค, การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ จุดเริ่มงานควบคุมโรคติดต่อในประเทศไทย
    https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ.pdf

    [6] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567)
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/14798

    [7] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/16335

    [8] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560
    https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf

    [9] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564
    https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf

    [10] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723
    ตำรับยารักษา “โรคฝีดาษ” จากศิลาจารึก/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สำหรับตำรับยาโรคระบาดในประเทศไทยนั้น ได้ยึดถึอเอาพระคัมภีร์ตักกะศิลาเป็นกระบวนการรักษาโรค โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน กล่าวคือ ขั้นตอนแรก ตำรับยาสำหรับกระทุ้งพิษไข้ โดยใช้ตำรับยาห้าราก ขั้นตอนที่สอง ตำรับยาสำหรับแปรไข้ภายในและรักษาผิวภายนอก มีตำรับยา 5 ขนาน คือ ตำรับยาประสระผิว ตำรับยาพ่นผิวภายนอก ตำรับยาพ่นและยากิน และตำรับยาแปรไข้จากร้ายให้เป็นดี และตำรับยาพ่นแปรผิวภายนอก ขั้นตอนสุดท้าย ตำรับยาครอบไข้[1] ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นอยู่ในตำรายาหลวง ชื่อตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ 5 โดยในตำราดังกล่าวได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังเป็นตำราสำหรับการเรียนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์มาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงมีพระบรมราโชบายให้มีตำรายาจารึกเอาไว้ในแผ่นศิลาประดับอยู่ตามผนังและเสาของวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) พระราชทานเป็นมรดกให้กับประชาชนชาวสยามสืบไปตราบนานเท่านาน รวมถึงวิวัฒนาการที่ลดทอนยา 7 ขนาน 3 ขั้นตอน มาเหลือ “ตำรับยาเดียว” ในการรับมือโรคระบาดหลายชนิดด้วย ซึ่งปัจจุบันคนในวงการแพทย์แผนไทยเรียกว่า “ยาขาว” ตำรับยาขาวของวัดโพธิ์นี้ได้ระบุเอาไว้ในตำราว่าแผ่นศิลาแผ่นนี้ได้ถูกรื้อออกมาจากศาลาต่างๆ แต่โชคดีได้บันทึกตำรับยาสำคัญนี้เอาไว้ในตำรายาของวัดโพธิ์ จึงทำให้สามารถตกทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยตำรายาวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ฉบับเก่า 51 ปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2516 ได้บันทึกตำรับยานี้เอาไว้อยู่ที่หน้า 62-64[2] ตำรับยาขนานนี้ได้บรรยายสรรพคุณว่า เพียงตำรับยาเดียวสามารถ “แก้สรรพไข้จากโรคระบาด” โดยตำรายาศิลาจารึกบันทึกว่าตำรับยานี้ใช้สมุนไพร 15 ตัวและมีสรรพคุณแก้สรรพไข้จากโรคระบาดหลายชนิด โดยระบุในบันทึกของแผ่นศิลาความตอนนี้ว่า “ขนาน 1 เอา กระเช้าผีมด หัวคล้า รากทองพันชั่ง รากชา รากง้วนหมู รากส้มเส็ด รากข้าวไหม้ รากจิงจ้อ รากสวาด รากสะแก รากมะนาว รากหญ้านาง รากฟักข้าว รากผักสาบ รากผักหวานบ้าน เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่ง ไว้ละลายน้ำซาวข้าวกินแก้ไข้รากสาด ออกดำ แดง ขาว และแก้ไข้ประกายดาษ ไข้หงษ์ระทด และแก้ไข้ไฟเดือนห้า ไข้ละอองไฟฟ้า และแก้ไข้มหาเมฆ มหานิล ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น และยาขนานนี้แก้ได้ทุกประการ ตามอาจารย์กล่าวไว้ ให้แพทย์ทั้งหลายรู้ว่าเปน มหาวิเศษนัก“[2] แม้ในความจริงแล้วจะมีขั้นตอนและวิวัฒนาการในการรักษาโรคระบาดหลายชนิดในภาพรวม แต่ภายใต้พระคัมภีร์ตักกะศิลา ได้วางหลักถึง “รสยา” สำหรับรับมือโรคระบาดว่ามีข้อห้ามและสิ่งที่ควรจะลองดูในเวลาติดเชื้ออันจากเกิดโรคระบาดเอาไว้ความว่า ห้ามใช้ยาหรือการกระทำที่มีรสกระตุ้นธาตุไฟหรือระบบความร้อน (ปิตตะ) แต่ให้ยาที่มีลดธาตุไฟหรือระบบความร้อน หากไม่ฟังตามนี้อาจจะถึงแก่ความตายได้ ความว่า “ไข้จำพวกนี้ย่อมห้ามมิให้วางยาร้อนเผ็ดเปรี้ยว อย่าให้ประคบนวด อย่าปล่อยปลิง อย่าให้กอกเอาโลหิตออก อย่าให้ถูกน้ำมัน เหล้าก็อย่าให้ถูก น้ำร้อนก็อย่าให้อาบ อย่าให้กิน ส้มมีควันมีผิวกะทิน้ำมันห้ามิให้กิน ถ้าใครไม่รู้ทำผิดดังกล่าวมานี้ ก็ถึงความตายดังนี้แล”[3] ต่อมาเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ได้เรียบเรียงเอาไว้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในเรื่อง “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ว่าช่วงเวลาที่มีกำเดาหรือเปลวแห่งความร้อนนี้ ไม่ว่าจะวัดว่ามีไข้จากภายนอก หรือรู้สึกครั่นเนื้อตัวอยู่ภายใน ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีผื่นขึ้น จะไม่ใช้ยารสร้อน ห้ามเหล้า น้ำมัน กอกเลือด นวด หรือปล่อยปลิงเพื่อเอาเลือดออก หากไม่ฟังให้ยาหรือการดำเนินการเช่นดังกล่าวนี้ อาจแก้กันไม่ทัน ความว่า “ถ้าแรกล้มไข้ ท่านมากล่าวไว้ ให้พิจารณา ภายนอกภายใน ให้ร้อนหนักหนา เมื่อยขบกายา ตาแดงเป็นสาย บ้างเย็นบ้างร้อน เปนบั้นเป็นท่อน ไปทั่วทั้งกาย ขึ้นมาให้เห็น เปนวงเปนสาย เปนริ้วยาวรี ลางบางไม่ขึ้น เปนวงฟกลื่น กายหมดดิบดี หมอมักว่าเปนสันนิบาติก็มี ให้ยาผิดที แก้กันไม่ทัน อย่าเพ่อกินยา ร้อนแรงแขงกล้า ส้มเหล้าน้ำมัน เอาโลหิตออก กอกเลือดนวดฟั้น ปล่อยปลิงมิทัน แก้กันเลยนา” [4] ด้วยประสบการณ์ของเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้รวบยอดสรุปถ่ายทอดมาเป็นความรู้ว่า ในยามที่ยังต้องถกเถียงกันว่าโรคระบาดที่ทำให้เกิดคนตายมากเป็นโรคประเภทใดกันแน่ ในยามที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จึงให้ใช้รสยาแรกไปในทางรสขม เย็นอย่างยิ่ง หรือฝาดจืด ซึ่งเป็นรสยาที่ไม่มีธาตุไฟมาปน ดังความว่า “ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเปนอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน”[4] แต่ถึงแม้จะมีหลักการและขั้นตอนต่างๆในการวางรสยาเพื่อรับมือกับโรคระบาด แต่เนื่องจากโรคฝีดาษและไข้ทรพิษนั้น อาจมีลักษณะจำเพาะที่มีการระบาดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนกว่าจะได้หมดสิ้นจากประเทศไทยได้นั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. 2523 การเอาชนะโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ นอกจากการรับมือกับโรคระบาดในเรื่องตำรับยาต่างๆแล้ว ความรู้เรื่องการปลูกฝีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง เพราะได้เป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะโรคฝีดาษได้ด้วย โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการปลูกฝีไข้ทรพิษ และพระราชบัญญัติระงับโรคระบาทว์ พ.ศ.​2456 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคแก่ประชาชน ต่อมาในปี 2504 กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกำจัดไข้ทรพิษครั้งแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้า 3 ปี (พ.ศ.2504-2506) คือคนไทยอย่างน้อย 80% ต้องได้รับการปลูกฝี ภายหลังขยายเวลาเป็น 5 ปี (พ.ศ.2504-2508) ซึ่งเป็นช่วงเวลาระดมการปลูกฝีทั่วประเทศไทย โดยประเทศไทยได้พบผู้ป่วยโรคฝีดาษรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2505 เป็นแขกชื่อ ยาริดาเนา ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร เมื่อสิ้นสุดโครงการการระดมปลูกฝี ถึงปี พ.ศ. 2508 ก็เป็นผลทำให้ฝีดาษหรือไข้ทรพิษหายไปจากประเทศไทยติดต่อกันถึง 3 ปีติดต่อกันแล้ว จนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศรับรองว่าฝีดาษหรือไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว[5] นี่คือเหตุผลว่าผู้ที่เกิดก่อนปี 2523 หรืออายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่น่าจะได้รับการปลูกฝีแล้ว(โดยดูได้จากแผลเป็นบนหัวไหล่) แต่ถึงกระนั้นก็ยังพบผู้ที่มีอายุมากกว่า 44 ปีติดโรคฝีดาษลิงได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง เช่นผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นต้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากฝีดาษที่ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 2523 หรือเป็นเวลา 44 ปี ทำให้ภูมิปัญญาที่เคยรับมือในการรักษาโรคฝีดาษขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการรับมือด้วยสมุนไพร ตำรับยาไทย และกรรมวิธีต่างๆในการรักษา ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนไทยควรจะรับมือในการรักษาโรคฝีดาษลิงอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะอ้างอิงไปตามพระคัมภีร์ตักกะศิลาในการใช้ยา 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน หรือยาขาวตามตำรับยาของวัดศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) บ้าง แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงโรคฝีดาษ หรือฝีดาษลิงเป็นการเฉพาะ ทำให้หลายคนสงสัยว่าในเมื่อโรคฝีดาษ เป็นโรคที่ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ในการเกิดโรคระบาดมาหลายร้อยปี ควรจะต้องมี “ตำรับยา“ สำหรับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะหรือไม่ เมื่อทบทวนข้อมูลตามตำราและคัมภีร์ทั้งหมดพบ ”การรักษาโรคฝีดาษ“ เป็นการเฉพาะจารึกเป็นตำรายาที่ปรากฏในแผ่นศิลาของวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร โดย ศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นมรดกที่แสดงถึงภูมิปัญญาของแพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ที่จารึกยาขนานต่างๆ ลักษณะของแผ่นศิลาจารึกเป็นหินอ่อนสีเทา สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 33 เซนติเมตร จัดเรียงบรรทัดในมุมแหลม จำนวน 17 บรรทัด เหมือนกันทุกแผ่น ติดตามผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ 42 แผ่น และผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร 8 แผ่น เชื่อว่าในอดีตมีแผ่นศิลาจารึก 92 แผ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50 แผ่น และนับว่าเป็นความโชคดีของคนไทย เพราะแผ่นศิลาที่กล่าวถึงการรักษาโรคฝีดาษ ยังไม่สูญหายและข้อความที่ปรากฏก็ยังไม่เลือนหายไปด้วย จึงนับว่าเป็นบุญของประเทศที่มีภูมิปัญญาและมีคุณค่ายิ่งในสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงกลับมาเริ่มระบาดในบางประเทศ และเริ่มเข้ามาในประเทศไทย โดยแผ่นศิลาที่กล่าวถึงฝีดาษนั้น เป็นแผนที่ 18 ของศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ปรากฏข้อความดังนี้ “๏ สิทธิการิยะ จะกล่าวฝีดาษเกิดในเดือน 11 เดือน 12 เดือน 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ เกิดเพื่ออาโปธาตุ มักให้เย็นในอกแลมักตกมูกตกเลือด ให้เสียแม่แสลงพ่อแสลง นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำบัตรไปส่งทิศอุดรแลอีสาร จึ่งจะดี๚ ถ้าจะแก้ให้เอาใบมะอึก ใบผักบุ้งร้วม ใบผักบุ้งขัน ใบก้างปลาทั้งสอง ใบพุงดา ใบผักขวง ใบหมาก ใบทองพันชั่ง เอาเสมอภาคตำเอาน้ำพ่น ดับฝี เพื่อเสมหะหาย ๚ ขนานหนึ่ง เอากะทิมะพร้าว น้ำคาวปลาไหล ไข่เป็ดลูกหนึ่ง มูลโคดำ แก่นประดู่ เอาเสมอภาคบด พ่นฝีเพื่อเสมหะที่ด้านอยู่นั้นขึ้นแลแปรฝีร้ายให้เป็นดี ๚ ขนานหนึ่ง เอาน้ำลูกตำลึง น้ำมันงา น้ำมันหัวกุ้ง น้ำรากถั่วพู เอาเสมอภาค พ่นฝีเพื่อเสมหะให้ยอดขึ้น หนองงามดีนัก๚ ขนานหนึ่ง เอาเห็ดมูลโค ว่านกีบแรด ว่านร่อนทอง สังกรณี ชะเอม ลูกประคำดีควาย หวายตะค้า เขากวางเผา กระดูกเสือเผา มะกล่ำเครือ ขันฑสกร มะขามเปียก เอาเสมอภาคบดทคำเป็นจุณ บดด้วยน้ำมะนาวทำแท่งไว้ละลายสุรา ดีงูเหลือม รำหัด กินแก้คอแหบแห้ง แก้คอเครือ หายดีนัก๚ ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚[6] ในตำรับยาขนานต่างๆข้างต้นนั้น เป็นยาพ่นภายนอกเสียส่วนใหญ่ ตำรับยาเพื่อการรับประทานที่พอาจะหาได้โดยไม่ต้องอาศัยสัตว์วัตถุคือตำรับยาขนานสุดท้ายที่น่าจะนำไปวิจัยต่อที่ว่า ”ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚“ [6] นอกจากนั้นจากจารึกวัดราชโอรสราชวรมหาวิหารยังปรากฏในแผ่นที่ 46 ทำให้เห็นว่ายังมีตำรับยาอีกขนานหนึ่งสำหรับโรคฝีดาษที่เป็นไข้หนักเข้าขั้นไข้สันนิบาตแล้วโดยใช้ ”ยาผายเลือด“ ความว่า “๏ สิทธิการิยะ ยาผายเลือดเอารากขี้กาแดง 1 เบญจาขี้เหล็ก ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไซ ลูกคัดเค้า ต้มให้งวดแล้วกรอง เอาน้ำขยำใส่ลงอีกเคี่ยวให้ข้น ปรุงยาดำ 1 สลึง 1 เฟื้อง ดีเกลือ 1 บาท กินประจุเลือดร้ายทั้งปวง แก้ไขสันนิบาตฝีดาษด้วย๚“[7] แต่สำหรับศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้กล่าวถึงโรคฝีดาษที่มีรายละเอียดในบางอาการเพิ่มเติมอีก เช่น อาการฝีดาษขึ้นตา ปรากฏในศิลาจารึกว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวงแผ่นที่ 22 ความว่า “ยาชื่อ สังขรัศมี เอาชะมดสด พิมเสน สิ่งละส่วน ลิ้นทะเลแช่น้ำมะนาวไว้ยังรุ่งแล้วล้างเสีย จึงเอามาแช่น้ำท่าไว้แต่เช้าถึงเที่ยง แล้วเอาตากให้แห้ง 3 ส่วน รากช้าแป้น ดินถนำสุทธิ สังข์สุทธิ สิ่งละ 4 ส่วน ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ฝนป้ายจักษุแก้สรรพต้อให้ปวดเคืองต่างๆ แก้ฝีดาษขึ้นจักษุก็ได้หายวิเศษนักฯ”[8] อย่างไรก็ตามการบันทึกในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังให้เบาะแสเกี่ยวกับ “สมุนไพรเดี่ยว” ที่เป็นเบาะแสว่าอาจจะมีสรรพคุณในการลดฝีดาษได้ ได้แก่ ข่าลิง บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี ฯลฯ[8] ดังปรากฏตัวอย่างในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศและสมุนไพรแผ่นที่ 7 ที่กล่าวถึง “ต้นข่าลิง”แก้พิษฝีดาษ ความว่า “อันว่าคุณแห่งข่าลิงนั้น ต้นรู้แก้พิษฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดเพื่อโลหิต รู้แก้ฝีกาฬ อันบังเกิดเพื่อฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษไข้เหนือสันนิบาตฯ”[9] นอกจากนั้นยังปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 ซึ่งกล่าวถึง “บอระเพ็ด” และ “ชิงช้าชาลี” ความว่า “อันว่าคุณแห่งบอระเพ็ดและชิงช้าชาลีนั้นคุณดุจกัน ต้นรู้แก้ฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดโลหิต รู้แก้ฝีกาฬอันบังเกิดฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและในฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษเพื่อไข้สันนิบาตฯ”[10] นอกจากนั้นสมุนไพรที่มีการวิจัยที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสหลายชนิดในยุคปัจจุบัน ก็ควรจะนำมาสู่การวิจัยกับฝีดาษลิงต่อไป เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ใบสะเดา กัญชา กัญชง ฝีหมอบ เสลดพังพอนตัวเมีย ฯลฯ ดังนั้นการกลับมาของโรคฝีดาษลิง จึงควรให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาในการรักษาที่มีมาแต่ในอดีตรวมถึงความรู้จากการวิจัยในสมุนไพรต่างๆที่มีมากขึ้น ซึ่งควรจะนำมาวิจัยกับไวรัสฝีดาษลิงเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมประยุกต์ให้เหมาะสมใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันและต่อไปในกาลข้างหน้าด้วยความไม่ประมาท ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 5 กันยายน 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1045825823577784/? อ้างอิง [1] พิชชานันท์ เธียรทองอินทร์ และ รัชฎาพร พิสัยพันธุ์, การวิเคราะห์องค์ความรู้ไข้ตามคัมภีร์ตักศิลา: คัมภีร์ว่าด้วยโรคระบาด, วารสารหมอยาไทยวิจัย, ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2566), หน้า 131-152 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/258845/180094 [2] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔ [3] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 694 [4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 37 [5] เว็บไซต์กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค, การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ จุดเริ่มงานควบคุมโรคติดต่อในประเทศไทย https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ.pdf [6] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567) https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/14798 [7] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/16335 [8] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560 https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf [9] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf [10] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723
    Like
    Love
    Yay
    56
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 4385 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวนทิพย์ ร้านอาหารริมน้ำ นนทบุรี เป็นร้านอาหารที่บรรยากาศร่มรื่นสุดๆ มีกลิ่นอายของความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้าน การจัดจานอาหาร ที่ร้านพิถีพิถันทุกเมนูเลย ทั้งถูกหลักโภชนาการ เน้นใช้สมุนไพรไทย ข่า ตะไคร้ ขิง แถมยังได้มิชลินสตาร์ด้วย แนะนำให้สั่งเมนูเมี่ยงกลีบบัว แกงบอน ยำสวนทิพย์ แกงขี้เหล็ก ได้รสชาติของความเป็นไทยมากๆ

    ⭐ เปิดบริการ วันจันทร์-อาทิตย์ : 11.00-21.00 น.
    🚗 พิกัด https://maps.app.goo.gl/onjT2ULATAXvwahr8

    #ของกินอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    สวนทิพย์ ร้านอาหารริมน้ำ นนทบุรี เป็นร้านอาหารที่บรรยากาศร่มรื่นสุดๆ มีกลิ่นอายของความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้าน การจัดจานอาหาร ที่ร้านพิถีพิถันทุกเมนูเลย ทั้งถูกหลักโภชนาการ เน้นใช้สมุนไพรไทย ข่า ตะไคร้ ขิง แถมยังได้มิชลินสตาร์ด้วย แนะนำให้สั่งเมนูเมี่ยงกลีบบัว แกงบอน ยำสวนทิพย์ แกงขี้เหล็ก ได้รสชาติของความเป็นไทยมากๆ ⭐ เปิดบริการ วันจันทร์-อาทิตย์ : 11.00-21.00 น. 🚗 พิกัด https://maps.app.goo.gl/onjT2ULATAXvwahr8 #ของกินอร่อย #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1132 มุมมอง 0 รีวิว