• https://youtu.be/0KwxpPWAAjs?si=fvRPAxy3PKCTe94
    อารมณ์พระอริยเจ้า
    https://youtu.be/0KwxpPWAAjs?si=fvRPAxy3PKCTe94 อารมณ์พระอริยเจ้า
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

    โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ

    🌷 สังโยชน์ ๑๐ 🌷

    ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้
    เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้
    แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ..

    ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก..

    ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด..

    ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง..

    ⚜️ พระโสดาบัน ⚜️

    ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ
    จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ..

    ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี..

    ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด..

    ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย..

    ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด
    เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน..

    ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ..

    ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ
    ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ..

    ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์..

    ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน..
    คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน..
    เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน..

    💛 พระสกิทาคามี 💛

    ๑. พระสกิทาคามี อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์ ๓ เหมือนกัน แต่ว่า มีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ..

    ~ สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามี นั่น
    ก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่า ถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป..

    🌹 พระอนาคามี 🌹

    ๑. ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่พระอนาคามีมรรคได้ มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังใจด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น..

    ~ มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ
    คือ ถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ อย่างนี้ท่านเรียกว่า.. พระอนาคามี มรรค..

    ~ ถ้าหากว่า จิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้วก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้.. ท่านถือว่า เริ่มเข้าอนาคามี มรรค.. เรียกว่า เดินทางเข้าหาพระอนาคามีต่อไป..

    ~ ถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือ ถ้าหมดความรู้สึกก็ถือว่า เป็น พระอนาคามี ผล..

    ~ และต่อมา ถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ.. "ปฏิฆะ" คือ อารมณ์กระทบกระทั่งใจนิด ๆ หน่อย ๆ

    ~ ความไม่พอใจการแสดงออก น่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดี ต้องดุ ต้องด่า ต้องว่า ต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา
    เป็นการหวังดี..

    ~ แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือ ตัดตัว "ปฏิฆะ" ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ถือว่าเต็มภาคภูมิของ พระอนาคามีผล..

    * รวมความว่า.. จากพระสกิทาคามี แล้วจะเป็นพระอนาคามี ก็คือ.. สังเกตว่า ใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้ ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาด อย่างนี้เป็น พระอนาคามี ผล..

    💠 พระอรหันต์ 💠

    ๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ.. จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ..

    ~ ฉันทะ .. ความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี.. ราคะ .. จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวย ไม่มี.. ไม่พอใจใน ๓ โลก จิตพอใจจุดเดียว คือ นิพพาน.. นี่ เป็นอารมณ์พระอรหันต์..

    * โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์พระอรหันต์ คือ ยอมรับนับถือ กฎของธรรมดา.. ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ว่า.. ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ
    คนเกิดมาแล้วต้องตาย
    ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน..

    ~ ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ก็จิตคิดว่า..
    ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้นใจสบาย..

    ๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา.. ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ.. ขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย
    อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์ อยู่ที่นี่..

    💎 อรหัตผล 💎
    นี่ เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะ กับ ราคะ คือ ไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย.. ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้ามันก็สลายตัว
    ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา..

    ~ เราไม่ถือว่า มันเป็นสรณะ
    เป็นที่พึ่งของเรา และเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น.. ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่า.. ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา.. ทรัพย์สินในโลก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน..

    ~ มันพังเมื่อไร พอใจเมื่อนั้น
    ขึ้นชื่อว่าความเกิดมีขันธ์ ๕
    ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา.. ความเป็นเทวดาหรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา
    สิ่งที่เราต้องการ คือ.. นิพพาน..

    * นี่.. แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก.. ถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบาก มันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล..."

    💐 ( จากหนังสือ* ธัมมวิโมกข์* โอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ ของวัดท่าซุง จ. อุทัยธานี )

    สามารถอ่านที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ 🌷 สังโยชน์ ๑๐ 🌷 ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ.. ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก.. ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด.. ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง.. ⚜️ พระโสดาบัน ⚜️ ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ.. ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี.. ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด.. ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย.. ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน.. ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ.. ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ.. ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์.. ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน.. คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน.. เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน.. 💛 พระสกิทาคามี 💛 ๑. พระสกิทาคามี อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์ ๓ เหมือนกัน แต่ว่า มีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ.. ~ สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามี นั่น ก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่า ถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป.. 🌹 พระอนาคามี 🌹 ๑. ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่พระอนาคามีมรรคได้ มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังใจด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น.. ~ มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ คือ ถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ อย่างนี้ท่านเรียกว่า.. พระอนาคามี มรรค.. ~ ถ้าหากว่า จิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้วก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้.. ท่านถือว่า เริ่มเข้าอนาคามี มรรค.. เรียกว่า เดินทางเข้าหาพระอนาคามีต่อไป.. ~ ถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือ ถ้าหมดความรู้สึกก็ถือว่า เป็น พระอนาคามี ผล.. ~ และต่อมา ถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ.. "ปฏิฆะ" คือ อารมณ์กระทบกระทั่งใจนิด ๆ หน่อย ๆ ~ ความไม่พอใจการแสดงออก น่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดี ต้องดุ ต้องด่า ต้องว่า ต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา เป็นการหวังดี.. ~ แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือ ตัดตัว "ปฏิฆะ" ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ถือว่าเต็มภาคภูมิของ พระอนาคามีผล.. * รวมความว่า.. จากพระสกิทาคามี แล้วจะเป็นพระอนาคามี ก็คือ.. สังเกตว่า ใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้ ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาด อย่างนี้เป็น พระอนาคามี ผล.. 💠 พระอรหันต์ 💠 ๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ.. จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ.. ~ ฉันทะ .. ความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี.. ราคะ .. จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวย ไม่มี.. ไม่พอใจใน ๓ โลก จิตพอใจจุดเดียว คือ นิพพาน.. นี่ เป็นอารมณ์พระอรหันต์.. * โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์พระอรหันต์ คือ ยอมรับนับถือ กฎของธรรมดา.. ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ว่า.. ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน.. ~ ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ก็จิตคิดว่า.. ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้นใจสบาย.. ๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา.. ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ.. ขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์ อยู่ที่นี่.. 💎 อรหัตผล 💎 นี่ เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะ กับ ราคะ คือ ไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย.. ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา.. ~ เราไม่ถือว่า มันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเรา และเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น.. ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่า.. ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา.. ทรัพย์สินในโลก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน.. ~ มันพังเมื่อไร พอใจเมื่อนั้น ขึ้นชื่อว่าความเกิดมีขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา.. ความเป็นเทวดาหรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการ คือ.. นิพพาน.. * นี่.. แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก.. ถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบาก มันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล..." 💐 ( จากหนังสือ* ธัมมวิโมกข์* โอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ ของวัดท่าซุง จ. อุทัยธานี ) สามารถอ่านที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน ๕ ประการนี้ ๕ ประการนี้เป็นไฉน

    ๑ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้มาสู่ถิ่นของตน

    ๒ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้เตรียมจะไป

    ๓ ทายกย่อมให้ทานในสมัยข้าวแพง

    ๔ ทายกย่อมให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีล

    ๕ ทายกย่อมให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน๕ ประการนี้แล

    บุคคลผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนี่ ย่อมให้ทานในกาลที่
    ควรให้ เพราะผู้ให้ทานตามกาลในพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติซื่อตรง
    ผู้มีใจคงที่ เป็นผู้มีใจผ่องใสทักขิณาทานจึงจะมีผลไพบูลย์

    ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนาหรือช่วยเหลือในทักขิณาทานนั้น ทักขิณาทานนั้นย่อมไม่มี
    ผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั้นแม้พวกที่อนุโมทนา
    หรือช่วยเหลือ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญเพราะฉะนั้นบุคคลผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึง
    ควรให้ทานในเขตที่มีผลมาก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
    ในปรโลก

    พระไตรปิฎก ฉบับหลวง -ปญฺจก. อํ .๒๒/๓๖/๓๖

    สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2024/08/11/พทธโอวาท-ตอน-กาลทานสตร/
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน ๕ ประการนี้ ๕ ประการนี้เป็นไฉน ๑ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้มาสู่ถิ่นของตน ๒ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้เตรียมจะไป ๓ ทายกย่อมให้ทานในสมัยข้าวแพง ๔ ทายกย่อมให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีล ๕ ทายกย่อมให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน๕ ประการนี้แล บุคคลผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนี่ ย่อมให้ทานในกาลที่ ควรให้ เพราะผู้ให้ทานตามกาลในพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติซื่อตรง ผู้มีใจคงที่ เป็นผู้มีใจผ่องใสทักขิณาทานจึงจะมีผลไพบูลย์ ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนาหรือช่วยเหลือในทักขิณาทานนั้น ทักขิณาทานนั้นย่อมไม่มี ผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั้นแม้พวกที่อนุโมทนา หรือช่วยเหลือ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญเพราะฉะนั้นบุคคลผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึง ควรให้ทานในเขตที่มีผลมาก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ในปรโลก พระไตรปิฎก ฉบับหลวง -ปญฺจก. อํ .๒๒/๓๖/๓๖ สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน  https://www.thenirvanalive.com/2024/08/11/พทธโอวาท-ตอน-กาลทานสตร/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

    โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ

    🌷 สังโยชน์ ๑๐ 🌷

    ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้
    เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้
    แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ..

    ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก..

    ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด..

    ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง..

    ⚜️ พระโสดาบัน ⚜️

    ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ
    จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ..

    ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี..

    ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด..

    ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย..

    ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด
    เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน..

    ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ..

    ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ
    ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ..

    ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์..

    ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน..
    คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน..
    เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน..

    สามารถอ่านต่อเพิ่มเติมที่เว็บไซต์พระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ 🌷 สังโยชน์ ๑๐ 🌷 ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ.. ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก.. ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด.. ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง.. ⚜️ พระโสดาบัน ⚜️ ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ.. ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี.. ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด.. ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย.. ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน.. ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ.. ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ.. ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์.. ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน.. คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน.. เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน.. สามารถอ่านต่อเพิ่มเติมที่เว็บไซต์พระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน #วัดป่าบ้านตาด #พระอริยเจ้า #พระอรหันต์ #พระป่าสายกรรมฐาน🙏🙏🙏 #พระกรรมฐานสายวัดป่า
    #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน #วัดป่าบ้านตาด #พระอริยเจ้า #พระอรหันต์ #พระป่าสายกรรมฐาน🙏🙏🙏 #พระกรรมฐานสายวัดป่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • พุทธโอวาท ตอน กาลทานสูตร

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน ๕ ประการนี้ ๕ ประการนี้เป็นไฉน

    ๑ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้มาสู่ถิ่นของตน

    ๒ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้เตรียมจะไป

    ๓ ทายกย่อมให้ทานในสมัยข้าวแพง

    ๔ ทายกย่อมให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีล

    ๕ ทายกย่อมให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน๕ ประการนี้แล

    บุคคลผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนี่ ย่อมให้ทานในกาลที่
    ควรให้ เพราะผู้ให้ทานตามกาลในพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติซื่อตรง
    ผู้มีใจคงที่ เป็นผู้มีใจผ่องใสทักขิณาทานจึงจะมีผลไพบูลย์

    ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนาหรือช่วยเหลือในทักขิณาทานนั้น ทักขิณาทานนั้นย่อมไม่มี
    ผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั้นแม้พวกที่อนุโมทนา
    หรือช่วยเหลือ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญเพราะฉะนั้นบุคคลผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึง
    ควรให้ทานในเขตที่มีผลมาก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
    ในปรโลก

    พระไตรปิฎก ฉบับหลวง -ปญฺจก. อํ .๒๒/๓๖/๓๖
    พุทธโอวาท ตอน กาลทานสูตร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน ๕ ประการนี้ ๕ ประการนี้เป็นไฉน ๑ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้มาสู่ถิ่นของตน ๒ ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้เตรียมจะไป ๓ ทายกย่อมให้ทานในสมัยข้าวแพง ๔ ทายกย่อมให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีล ๕ ทายกย่อมให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลทาน๕ ประการนี้แล บุคคลผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนี่ ย่อมให้ทานในกาลที่ ควรให้ เพราะผู้ให้ทานตามกาลในพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติซื่อตรง ผู้มีใจคงที่ เป็นผู้มีใจผ่องใสทักขิณาทานจึงจะมีผลไพบูลย์ ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนาหรือช่วยเหลือในทักขิณาทานนั้น ทักขิณาทานนั้นย่อมไม่มี ผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั้นแม้พวกที่อนุโมทนา หรือช่วยเหลือ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญเพราะฉะนั้นบุคคลผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึง ควรให้ทานในเขตที่มีผลมาก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ในปรโลก พระไตรปิฎก ฉบับหลวง -ปญฺจก. อํ .๒๒/๓๖/๓๖
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว