• นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 17 : หลอกยิวกลับบ้าน
    ค.ศ. 1870 น้ำมันของรัสเซียที่แหล่ง Baku ทำท่าจะแซง ความเป็นพี่เบิ้มของ Standard Oil ส่วนตระกูลเศรษฐีโคตรรวยฝั่งยุโรป Rothchild หลังจากส้มหล่น รวยเอารวยเอา จนถือได้ว่ากลางศตวรรษที่ 19 ตระกูลนี้รวยที่สุดในโลก มีสาขาธุรกิจการเงินการธนาคาร แผ่ขยายไปทั่วยุโรป เป็นกลุ่มบรรษัทข้ามชาติของแท้รุ่นแรก นาย Alfonse de Rothchild แอบไปลงทุนในน้ำมันของรัสเซียมาหลายสิบปีเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีนี่สงสัยจมูกยาวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นเงินก่อนใคร
    ปีค.ศ. 1880 Rothchild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง ไม่แค่นั้น เขาเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปและตะวันออกไกล ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไปสำหรับการส่งน้ำมัน พวกเขาเริ่มดูเส้นทางใหม่เอี่ยม คลองสุเอช ยาว 4,000 ไมล์ น่าสนใจ ! แต่จะให้ดีต้องมีใครคุมอยู่แถวนั้น แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 รัฐบาลอังกฤษจับมือให้ Rothchild (เอะ หรือ Rothchild จับมือรัฐบาลกันแน่ ?!) ซึ่งหุ้นในบริษัท Suez Canal เวลาประชุมผู้ถือหุ้น ก็นั่งเคียงกับรัฐบาลอังกฤษ มีพระอันดับ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers คงเห็นกันแล้วว่า พวกเศรษฐีเขาหาเงินกันยังไง !
    ตระกูล Rothchild ทำธุรกิจขยายไปตามสาขาของครอบครัวตระกูล ที่อยู่ในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และรัสเซีย เมื่อพระเจ้า Czar ตาย ลูกชายคือ Czar Nicholas ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน พร้อมกันทำงานที่พ่อเริ่มไว้คือ ผลักดันให้ชาวยิวในรัสเซีย ย้ายออกไปจากรัสเซีย พวกยิวก็มุ่งหน้าไปทางยุโรปตะวันตก ยิวพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสังคมนิยม เมื่อจะเดินเท้าเข้ายังยุโรปตะวันตก พวกเศรษฐียุโรปก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกที่กำลังนั่งโกยเงินอยู่ในอังกฤษ ถ้ายิวกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายแถวลอนดอน ธุรกิจการค้าของเขาก็จะชะงักงัน (เห็นไหม ท่านผู้อ่านนิทาน นักธุรกิจก็คิดเป็นเท่านี้แหละ ใครจะทำอะไร เพื่ออะไร ถูกหรือผิด เขาไม่สนใจ สนใจอย่างเดียว อย่าให้การค้าของเขากระทบแล้ว เหมือนกันหมดทุกชาติ ทุกสมัย !)
    เพราะฉะนั้น Palestine คือ คำตอบ มันเป็นการล็อคสเปค ไอ้ที่อ้างว่าส่งยิวกลับบ้านน่ะ มันข่าวประเภท CNN หรือข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ของจริงเป็นยังไง อ่านต่อไปท่านผู้อ่านนิทาน
    ตระกูล Rothchilds เป็นที่รู้กันว่า pro ยิว (pro – Zionist) แม้รัสเซียจะเขี่ยยิวออกไปจากประเทศ ไอ้พวกโคตรรวยส้มหล่นนี่ก็ยังต้องทำเป็นไม่เดือดร้อน แถมเข้าไปสนับสนุนรัสเซียต่อ เพราะมันอยากได้น้ำมันเขา เงินทองมันหอมยวนใจ แล้วตระกูลโคตรรวย 2 ฝั่งคาบสมุทร ก็หันมาจับมือกัน ปี ค.ศ. 1895 Rothchilds ก็ทำสัญญากับ Standad Oil ของ Rockefeller เพื่อตกลงแบ่งส่วนครองตลาดน้ำมันโลกกัน พวกมันนึกว่า มันเป็นเจ้าของโลกจริง ๆ
    แต่รัสเซียไม่ได้โง่ มีบ่อน้ำมันอยู่ในมือ จะให้เศรษฐีหลอกรับประทานอยู่ข้างเดียวได้ยังไง รัสเซียจึงวางเงื่อนไข กลับไปที่เศรษฐีส้มหล่น
    จะเอายังไงเพื่อน จะอุ้มยิวหรือจะเอาน้ำมัน เศรษฐีโคตรรวยทำเป็นยัวะ มันไม่เห็นแก่หน้าเราเลยนะ นึกว่ามีอำนาจแล้ว สั่งคนรวยได้หรือ เงินก็ซื้ออำนาจได้เหมือนกันนะ อย่าลืม หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตระกูล Rothchild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตนมีอยู่ในธุรกิจน้ำมันที่รัสเซีย ให้แก่ Royal Dutch Shell แต่ของจริง คือ Rothchild “ประเมิน” ไว้แล้วว่า การเมืองในรัสเซีย น่าจะเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปี ถือหุ้นน้ำมันไปก็เหนื่อย ขายออกมาทำกำไรก่อนดีกว่า 555 นักเล่นหุ้น ควรดูฝีมือลงทุนของตระกูลนี้ไว้ เผื่อจะส้มหล่นกันบ้าง ตั้งแต่เริ่มแรกจนบัดนี้ เขาเอาอะไรเป็นตัววัด ในการซื้อ การขาย การลงทุน
    แล้วรัสเซียก็เกิดความวุ่นวายในประเทศเป็นระลอก ๆ จริง ๆ ตามที่เศรษฐีส้มหล่น “ประเมิน”
    ปี ค.ศ. 1917 ความวุ่นวายคร้ังนี้ เริ่มมาจากการประท้วงของกรรมกร ที่ทำงานในแหล่งน้ำมันที่ Baku แล้วก็มีกองทัพของ Azerbaijan บุกเข้ามายึดบ่อน้ำมันที่ Baku ระหว่างที่กรรมกรกำลังก่อเหตุนั่นแหละ อ้าว ! โผล่มาจากไหนละ กองทัพ Azerbaijan นี่น่ะ ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ หลังจาก Azerbaijan ยึด Baku ไปแล้ว ก็มีบริษัทม้ามืดชื่อ SONJ ย่อมาจาก Standard Oil of New Jersey เข้ามาทำสัญญาสำรวจน้ำมันในแถบ Baku แทน ระหว่างเกิดเหตุความวุ่นวาย บริษัทต่างชาติก็วิ่งเข้ามาแย่งซื้อสัมปทานในรัสเซีย หวังจะได้ส้มหล่นบ้าง แต่ไม่ทันเขาหรอก ส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของ SONJ ซึ่งบัดนี้ใช้ชื่อว่า Exxon Mobile !
    มาถึงตรงนี้นักธุรกิจอย่าง J D Rockefeller และนักค้าเงินแถว Wall Street อย่าง JP Morgan ก็มองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนว่า หนทางที่จะเหมาเข่งธุรกิจการค้า ไม่มีอะไรดีกว่า “เล่นการเมือง” และท่านผู้อ่านนิทานก็คงพอจะมองออกแล้วว่า เขาเล่นกลกันอย่างไร


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 17 : หลอกยิวกลับบ้าน ค.ศ. 1870 น้ำมันของรัสเซียที่แหล่ง Baku ทำท่าจะแซง ความเป็นพี่เบิ้มของ Standard Oil ส่วนตระกูลเศรษฐีโคตรรวยฝั่งยุโรป Rothchild หลังจากส้มหล่น รวยเอารวยเอา จนถือได้ว่ากลางศตวรรษที่ 19 ตระกูลนี้รวยที่สุดในโลก มีสาขาธุรกิจการเงินการธนาคาร แผ่ขยายไปทั่วยุโรป เป็นกลุ่มบรรษัทข้ามชาติของแท้รุ่นแรก นาย Alfonse de Rothchild แอบไปลงทุนในน้ำมันของรัสเซียมาหลายสิบปีเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีนี่สงสัยจมูกยาวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นเงินก่อนใคร ปีค.ศ. 1880 Rothchild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง ไม่แค่นั้น เขาเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปและตะวันออกไกล ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไปสำหรับการส่งน้ำมัน พวกเขาเริ่มดูเส้นทางใหม่เอี่ยม คลองสุเอช ยาว 4,000 ไมล์ น่าสนใจ ! แต่จะให้ดีต้องมีใครคุมอยู่แถวนั้น แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 รัฐบาลอังกฤษจับมือให้ Rothchild (เอะ หรือ Rothchild จับมือรัฐบาลกันแน่ ?!) ซึ่งหุ้นในบริษัท Suez Canal เวลาประชุมผู้ถือหุ้น ก็นั่งเคียงกับรัฐบาลอังกฤษ มีพระอันดับ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers คงเห็นกันแล้วว่า พวกเศรษฐีเขาหาเงินกันยังไง ! ตระกูล Rothchild ทำธุรกิจขยายไปตามสาขาของครอบครัวตระกูล ที่อยู่ในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และรัสเซีย เมื่อพระเจ้า Czar ตาย ลูกชายคือ Czar Nicholas ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน พร้อมกันทำงานที่พ่อเริ่มไว้คือ ผลักดันให้ชาวยิวในรัสเซีย ย้ายออกไปจากรัสเซีย พวกยิวก็มุ่งหน้าไปทางยุโรปตะวันตก ยิวพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสังคมนิยม เมื่อจะเดินเท้าเข้ายังยุโรปตะวันตก พวกเศรษฐียุโรปก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกที่กำลังนั่งโกยเงินอยู่ในอังกฤษ ถ้ายิวกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายแถวลอนดอน ธุรกิจการค้าของเขาก็จะชะงักงัน (เห็นไหม ท่านผู้อ่านนิทาน นักธุรกิจก็คิดเป็นเท่านี้แหละ ใครจะทำอะไร เพื่ออะไร ถูกหรือผิด เขาไม่สนใจ สนใจอย่างเดียว อย่าให้การค้าของเขากระทบแล้ว เหมือนกันหมดทุกชาติ ทุกสมัย !) เพราะฉะนั้น Palestine คือ คำตอบ มันเป็นการล็อคสเปค ไอ้ที่อ้างว่าส่งยิวกลับบ้านน่ะ มันข่าวประเภท CNN หรือข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ของจริงเป็นยังไง อ่านต่อไปท่านผู้อ่านนิทาน ตระกูล Rothchilds เป็นที่รู้กันว่า pro ยิว (pro – Zionist) แม้รัสเซียจะเขี่ยยิวออกไปจากประเทศ ไอ้พวกโคตรรวยส้มหล่นนี่ก็ยังต้องทำเป็นไม่เดือดร้อน แถมเข้าไปสนับสนุนรัสเซียต่อ เพราะมันอยากได้น้ำมันเขา เงินทองมันหอมยวนใจ แล้วตระกูลโคตรรวย 2 ฝั่งคาบสมุทร ก็หันมาจับมือกัน ปี ค.ศ. 1895 Rothchilds ก็ทำสัญญากับ Standad Oil ของ Rockefeller เพื่อตกลงแบ่งส่วนครองตลาดน้ำมันโลกกัน พวกมันนึกว่า มันเป็นเจ้าของโลกจริง ๆ แต่รัสเซียไม่ได้โง่ มีบ่อน้ำมันอยู่ในมือ จะให้เศรษฐีหลอกรับประทานอยู่ข้างเดียวได้ยังไง รัสเซียจึงวางเงื่อนไข กลับไปที่เศรษฐีส้มหล่น จะเอายังไงเพื่อน จะอุ้มยิวหรือจะเอาน้ำมัน เศรษฐีโคตรรวยทำเป็นยัวะ มันไม่เห็นแก่หน้าเราเลยนะ นึกว่ามีอำนาจแล้ว สั่งคนรวยได้หรือ เงินก็ซื้ออำนาจได้เหมือนกันนะ อย่าลืม หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตระกูล Rothchild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตนมีอยู่ในธุรกิจน้ำมันที่รัสเซีย ให้แก่ Royal Dutch Shell แต่ของจริง คือ Rothchild “ประเมิน” ไว้แล้วว่า การเมืองในรัสเซีย น่าจะเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปี ถือหุ้นน้ำมันไปก็เหนื่อย ขายออกมาทำกำไรก่อนดีกว่า 555 นักเล่นหุ้น ควรดูฝีมือลงทุนของตระกูลนี้ไว้ เผื่อจะส้มหล่นกันบ้าง ตั้งแต่เริ่มแรกจนบัดนี้ เขาเอาอะไรเป็นตัววัด ในการซื้อ การขาย การลงทุน แล้วรัสเซียก็เกิดความวุ่นวายในประเทศเป็นระลอก ๆ จริง ๆ ตามที่เศรษฐีส้มหล่น “ประเมิน” ปี ค.ศ. 1917 ความวุ่นวายคร้ังนี้ เริ่มมาจากการประท้วงของกรรมกร ที่ทำงานในแหล่งน้ำมันที่ Baku แล้วก็มีกองทัพของ Azerbaijan บุกเข้ามายึดบ่อน้ำมันที่ Baku ระหว่างที่กรรมกรกำลังก่อเหตุนั่นแหละ อ้าว ! โผล่มาจากไหนละ กองทัพ Azerbaijan นี่น่ะ ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ หลังจาก Azerbaijan ยึด Baku ไปแล้ว ก็มีบริษัทม้ามืดชื่อ SONJ ย่อมาจาก Standard Oil of New Jersey เข้ามาทำสัญญาสำรวจน้ำมันในแถบ Baku แทน ระหว่างเกิดเหตุความวุ่นวาย บริษัทต่างชาติก็วิ่งเข้ามาแย่งซื้อสัมปทานในรัสเซีย หวังจะได้ส้มหล่นบ้าง แต่ไม่ทันเขาหรอก ส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของ SONJ ซึ่งบัดนี้ใช้ชื่อว่า Exxon Mobile ! มาถึงตรงนี้นักธุรกิจอย่าง J D Rockefeller และนักค้าเงินแถว Wall Street อย่าง JP Morgan ก็มองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนว่า หนทางที่จะเหมาเข่งธุรกิจการค้า ไม่มีอะไรดีกว่า “เล่นการเมือง” และท่านผู้อ่านนิทานก็คงพอจะมองออกแล้วว่า เขาเล่นกลกันอย่างไร คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 16 : คนรวยอีกโคตร
    อเมริกามีตระกูล Rockefeller ที่โคตรรวย อังกฤษก็มีเหมือนกัน ใครรวยกว่าใคร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน ดูกันไป ตระกูล Rothchilds เริ่มต้นหากินอยู่ ทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ที่ทำให้เขารวยแบบส้มหล่น คือจากการใช้ข่าววงในเล่นหุ้นในตลาดหุ้นอังกฤษ (สงสัยเป็น insider trading เจ้าแรกของโลก)
    ประมาณปี ค.ศ. 1815 อังกฤษและพวก ยกทัพไปขยี้จักรพรรดิ์ Napoleon ที่ Waterloo ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Belgium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Netherlands ตระกูล Rothchilds ซึ่งมีเชื้อสายของตระกูล แผ่ไปทั่วยุโรป กำลังครอบครองอาณาจักรการเงิน ผ่านเครือข่ายธนาคารของพวกเขา ตั้งแต่ London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples หัวหน้าตระกูลสายอังกฤษ คือ นาย Nathan Rothchilds เป็นนักเล่นหุ้นตัวยง เมื่อเครือข่ายของเขาส่งข่าวมาว่า กองทัพอังกฤษขยี้ Napoleon ได้ เขารู้ก่อนใคร ๆ ประมาณ 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งรัฐบาลอังกฤษเอง ก็ยังไม่รู้ข่าวนี้ (ถ้ามันจะมีนกพิราบพันธ์พิเศษส่งข่าว !) เขาเดินเข้าไปตลาดหุ้น London ตีหน้าขรึมและสั่งเทขายหุ้นทุก
    ตัวที่เขามีอยู่ในพอร์ต แน่นอน เมื่อท่านเศรษฐีขายหุ้นทิ้งทุกตัว แมงเม่าก็ย่อมขายตาม ความอลหม่านก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้น London แล้วหุ้นทุกตัวก็พุ่งหลาวลงไปติดพื้น สิ่งที่แมงเม่ามองไม่เห็นคือ หลังจากหุ้นทุกตัวลงมากองอยู่กับพื้น นาย Nathan แอบกลับไปซื้อหุ้นเกือบทุกตัว ในตลาดกลับในราคาหุ้นละตังค์เดียว (penny to a dollar) หลังจากนาย Nathan ซื้อกลับไม่ถึงชั่วอึดใจ ม้าเร็วก็วิ่งมาถึง London พร้อมประกาศว่า เราชนะ เราชนะ แล้วหุ้นที่นาย Nathan ซื้อ ก็พุ่งกลับขึ้นไปชนเพดาน เศรษฐีก็รวยบนซากของแมงเม่ารุ่นประวัติศาสตร์ พวกเศรษฐีเขาเล่นหุ้นกับแบบนี้ แมงเม่าจำไว้ด้วย
    ช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 เศรษฐกิจของอเมริกาเหมือนเสาปักอยู่บนเลน แล้วปี ค.ศ. 1873 ก็เกิดสภาพเศรษฐกิจถดถอย (The Great Depression) บริษัทใหญ่ ตระกูลใหญ่ ตระกูลน้อย วายวอด แต่ตระกูล Rockefeller และ J P Morgan ก็รอดมาได้
    J P Morgan ยึดหัวหาดในการสร้างทางรถไฟ และธนาคาร ขณะที่ Rockefeller ตอนแรกเล่นแต่น้ำมัน ต่อมากลิ่นเงินมันหอม เลยเริ่มมาลงทุนทำธนาคารด้วย ช่วงนั้น House of Morgan เป็นผู้นำในการทำธุรกิจธนาคาร ตั้ง First National Bank of New York และ National City Bank of New York แต่คนบริหารธนาคารนี้ ก็เป็นเด็กในคาถาของ Rockefeller อีกต่อหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1912 ประมาณว่าทรัพย์สินของ 2 เศรษฐีรวมกัน น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น ล้านล้าน (นับตัวเลขถูกหรือเปล่าหว่า ? !)
    ปลายค.ศ. 1870 อาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ของตระกูลโคตรรวย Rockefeller ครองตลาดน้ำมันทั่วอเมริกาและได้ก้าวไปยังต่างประเทศด้วย ค.ศ. 1890 กษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ (Dutch) ตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ Royal Dutch Oil Company ขายน้ำมันที่มาจากแหล่งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ Dutch มีน้ำมันแต่ไม่มีเรือขน อังกฤษบอกพี่ทำให้เองน้อง แล้วอังกฤษก็ตั้งบริษัทขนส่งน้ำมัน ชื่อ Shell Transport and Trading Company ขนส่งน้ำมัน Dutch จากสุมาตรา ไปทุกแห่งที่อังกฤษต้องการ ท้ายที่สุดก็เปิดตัว คู่รักควบรวมเป็นบริษัท Royal Dutch Shell


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 16 : คนรวยอีกโคตร อเมริกามีตระกูล Rockefeller ที่โคตรรวย อังกฤษก็มีเหมือนกัน ใครรวยกว่าใคร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน ดูกันไป ตระกูล Rothchilds เริ่มต้นหากินอยู่ ทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ที่ทำให้เขารวยแบบส้มหล่น คือจากการใช้ข่าววงในเล่นหุ้นในตลาดหุ้นอังกฤษ (สงสัยเป็น insider trading เจ้าแรกของโลก) ประมาณปี ค.ศ. 1815 อังกฤษและพวก ยกทัพไปขยี้จักรพรรดิ์ Napoleon ที่ Waterloo ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Belgium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Netherlands ตระกูล Rothchilds ซึ่งมีเชื้อสายของตระกูล แผ่ไปทั่วยุโรป กำลังครอบครองอาณาจักรการเงิน ผ่านเครือข่ายธนาคารของพวกเขา ตั้งแต่ London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples หัวหน้าตระกูลสายอังกฤษ คือ นาย Nathan Rothchilds เป็นนักเล่นหุ้นตัวยง เมื่อเครือข่ายของเขาส่งข่าวมาว่า กองทัพอังกฤษขยี้ Napoleon ได้ เขารู้ก่อนใคร ๆ ประมาณ 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งรัฐบาลอังกฤษเอง ก็ยังไม่รู้ข่าวนี้ (ถ้ามันจะมีนกพิราบพันธ์พิเศษส่งข่าว !) เขาเดินเข้าไปตลาดหุ้น London ตีหน้าขรึมและสั่งเทขายหุ้นทุก ตัวที่เขามีอยู่ในพอร์ต แน่นอน เมื่อท่านเศรษฐีขายหุ้นทิ้งทุกตัว แมงเม่าก็ย่อมขายตาม ความอลหม่านก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้น London แล้วหุ้นทุกตัวก็พุ่งหลาวลงไปติดพื้น สิ่งที่แมงเม่ามองไม่เห็นคือ หลังจากหุ้นทุกตัวลงมากองอยู่กับพื้น นาย Nathan แอบกลับไปซื้อหุ้นเกือบทุกตัว ในตลาดกลับในราคาหุ้นละตังค์เดียว (penny to a dollar) หลังจากนาย Nathan ซื้อกลับไม่ถึงชั่วอึดใจ ม้าเร็วก็วิ่งมาถึง London พร้อมประกาศว่า เราชนะ เราชนะ แล้วหุ้นที่นาย Nathan ซื้อ ก็พุ่งกลับขึ้นไปชนเพดาน เศรษฐีก็รวยบนซากของแมงเม่ารุ่นประวัติศาสตร์ พวกเศรษฐีเขาเล่นหุ้นกับแบบนี้ แมงเม่าจำไว้ด้วย ช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 เศรษฐกิจของอเมริกาเหมือนเสาปักอยู่บนเลน แล้วปี ค.ศ. 1873 ก็เกิดสภาพเศรษฐกิจถดถอย (The Great Depression) บริษัทใหญ่ ตระกูลใหญ่ ตระกูลน้อย วายวอด แต่ตระกูล Rockefeller และ J P Morgan ก็รอดมาได้ J P Morgan ยึดหัวหาดในการสร้างทางรถไฟ และธนาคาร ขณะที่ Rockefeller ตอนแรกเล่นแต่น้ำมัน ต่อมากลิ่นเงินมันหอม เลยเริ่มมาลงทุนทำธนาคารด้วย ช่วงนั้น House of Morgan เป็นผู้นำในการทำธุรกิจธนาคาร ตั้ง First National Bank of New York และ National City Bank of New York แต่คนบริหารธนาคารนี้ ก็เป็นเด็กในคาถาของ Rockefeller อีกต่อหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1912 ประมาณว่าทรัพย์สินของ 2 เศรษฐีรวมกัน น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น ล้านล้าน (นับตัวเลขถูกหรือเปล่าหว่า ? !) ปลายค.ศ. 1870 อาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ของตระกูลโคตรรวย Rockefeller ครองตลาดน้ำมันทั่วอเมริกาและได้ก้าวไปยังต่างประเทศด้วย ค.ศ. 1890 กษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ (Dutch) ตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ Royal Dutch Oil Company ขายน้ำมันที่มาจากแหล่งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ Dutch มีน้ำมันแต่ไม่มีเรือขน อังกฤษบอกพี่ทำให้เองน้อง แล้วอังกฤษก็ตั้งบริษัทขนส่งน้ำมัน ชื่อ Shell Transport and Trading Company ขนส่งน้ำมัน Dutch จากสุมาตรา ไปทุกแห่งที่อังกฤษต้องการ ท้ายที่สุดก็เปิดตัว คู่รักควบรวมเป็นบริษัท Royal Dutch Shell คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่พร้อมเพย์ ใช้เลขผีผูกบัญชีกองทุน

    เรื่องอื้อฉาวของพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ยังคงถูกสังคมตั้งคำถามหลายประเด็น ทั้งความไม่โปร่งใสของเงินบริจาค การโอนทรัพย์สินให้คนใกล้ชิด วุฒิการศึกษาที่คลาดเคลื่อน การพบศพมากกว่า 20 ศพภายในวัด กรณีล่าสุดคือการนำชื่อ "อลงกต พลมุข" และเลขประจำตัวประชาชน ของบุคคลอื่นที่เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2566 มาแอบอ้างในใบสุทธิ แม้กรมการปกครองจะชี้แจงว่าทั้งหลวงพ่ออลงกต และผู้เสียชีวิตไม่ใช่บุคคลเดียวกัน แต่เมื่อมีชาวเน็ตนำเลขประจำตัวประชาชนของผู้เสียชีวิตไปโอนเงินพร้อมเพย์ พบว่าขึ้นบัญชีปลายทาง "กองทุนอาทรประชานาถ"

    Newskit ทำการทดลองโอนเงินจำนวน 0.10 บาท เมื่อเวลา 23.07 น. วันที่ 23 ส.ค. เมื่อสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อตรวจสอบ พบว่าเป็นการโอนเงินพร้อมเพย์ เข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ เลขที่ xxx-x-xx697-1 ชื่อบัญชี กองทุนอาทรประชานาถ ตรงกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี เลขที่บัญชี 289-0-84697-1 ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช้ประชาสัมพันธ์ร่วมบุญกับวัดพระบาทน้ำพุ จึงเกิดคำถามว่า โดยปกติการลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ ชื่อบัญชีปลายทาง จะต้องเป็นชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชี ทำไมธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี ถึงสามารถผูกบัญชี กับชื่อบัญชีที่ไม่ใช่ชื่อและนามสกุลได้

    ทั้งนี้ หลักการลงทะเบียนพร้อมเพย์ นอกจากจะให้ประชาชนสามารถโอนเงินให้กันได้ โดยไม่ต้องจำเลขบัญชีธนาคารแล้ว สำหรับพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ โอนเงินผ่านเลขประจำตัวประชาชนได้โดยตรง เช่น การจ่ายเงินสวัสดิการต่างๆ การคืนเงินภาษี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น แจกเงิน 10,000 บาท โดยหลักการชื่อบัญชีจะต้องตรงกับบุคคลตามเลขประจำตัวประชาชน

    ถ้าหากเป็นการโอนเงินให้วัด จะต้องทำผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ซึ่งวัดพระบาทน้ำพุ มีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาค 0994002092188 โดยวัดพระบาทน้ำพุ ได้ทำระบบ e-Donation ไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ โดยได้ออก QR Code เลขที่ Biller ID : 099400209218893

    ไม่นับรวมการผูกพร้อมเพย์ด้วยเบอร์มือถือกับบัญชีธนาคาร ยังมีช่องโหว่ตรงที่หากชื่อผู้จดทะเบียนหรือลงทะเบียนเบอร์มือถือที่ให้ไว้กับสำนักงาน กสทช. กับชื่อบัญชีธนาคารไม่ตรงกัน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีมาตรการเข้มงวด จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและตรวจสอบย้อนหลังอย่างไร เพื่อไม่ให้กลายเป็นช่องทางในการทุจริตหรือนำไปใช้เพื่อหลอกลวงผู้อื่น ถือเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยที่สมาคมธนาคารไทยต้องชี้แจง

    #Newskit
    ช่องโหว่พร้อมเพย์ ใช้เลขผีผูกบัญชีกองทุน เรื่องอื้อฉาวของพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ยังคงถูกสังคมตั้งคำถามหลายประเด็น ทั้งความไม่โปร่งใสของเงินบริจาค การโอนทรัพย์สินให้คนใกล้ชิด วุฒิการศึกษาที่คลาดเคลื่อน การพบศพมากกว่า 20 ศพภายในวัด กรณีล่าสุดคือการนำชื่อ "อลงกต พลมุข" และเลขประจำตัวประชาชน ของบุคคลอื่นที่เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2566 มาแอบอ้างในใบสุทธิ แม้กรมการปกครองจะชี้แจงว่าทั้งหลวงพ่ออลงกต และผู้เสียชีวิตไม่ใช่บุคคลเดียวกัน แต่เมื่อมีชาวเน็ตนำเลขประจำตัวประชาชนของผู้เสียชีวิตไปโอนเงินพร้อมเพย์ พบว่าขึ้นบัญชีปลายทาง "กองทุนอาทรประชานาถ" Newskit ทำการทดลองโอนเงินจำนวน 0.10 บาท เมื่อเวลา 23.07 น. วันที่ 23 ส.ค. เมื่อสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อตรวจสอบ พบว่าเป็นการโอนเงินพร้อมเพย์ เข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ เลขที่ xxx-x-xx697-1 ชื่อบัญชี กองทุนอาทรประชานาถ ตรงกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี เลขที่บัญชี 289-0-84697-1 ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช้ประชาสัมพันธ์ร่วมบุญกับวัดพระบาทน้ำพุ จึงเกิดคำถามว่า โดยปกติการลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ ชื่อบัญชีปลายทาง จะต้องเป็นชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชี ทำไมธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี ถึงสามารถผูกบัญชี กับชื่อบัญชีที่ไม่ใช่ชื่อและนามสกุลได้ ทั้งนี้ หลักการลงทะเบียนพร้อมเพย์ นอกจากจะให้ประชาชนสามารถโอนเงินให้กันได้ โดยไม่ต้องจำเลขบัญชีธนาคารแล้ว สำหรับพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ โอนเงินผ่านเลขประจำตัวประชาชนได้โดยตรง เช่น การจ่ายเงินสวัสดิการต่างๆ การคืนเงินภาษี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น แจกเงิน 10,000 บาท โดยหลักการชื่อบัญชีจะต้องตรงกับบุคคลตามเลขประจำตัวประชาชน ถ้าหากเป็นการโอนเงินให้วัด จะต้องทำผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ซึ่งวัดพระบาทน้ำพุ มีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาค 0994002092188 โดยวัดพระบาทน้ำพุ ได้ทำระบบ e-Donation ไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ โดยได้ออก QR Code เลขที่ Biller ID : 099400209218893 ไม่นับรวมการผูกพร้อมเพย์ด้วยเบอร์มือถือกับบัญชีธนาคาร ยังมีช่องโหว่ตรงที่หากชื่อผู้จดทะเบียนหรือลงทะเบียนเบอร์มือถือที่ให้ไว้กับสำนักงาน กสทช. กับชื่อบัญชีธนาคารไม่ตรงกัน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีมาตรการเข้มงวด จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและตรวจสอบย้อนหลังอย่างไร เพื่อไม่ให้กลายเป็นช่องทางในการทุจริตหรือนำไปใช้เพื่อหลอกลวงผู้อื่น ถือเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยที่สมาคมธนาคารไทยต้องชี้แจง #Newskit
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย
    เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน
    มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง !
    สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ !
    เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ
    และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร
    เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939
    แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา
    ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม
    เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย
    แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ
    แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย
    มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน
    ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ)
    คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ !
    เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง”

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1) นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง ! สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ ! เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939 แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ) คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ ! เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง” คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ
    นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ
    สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people)
    สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง
    ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920
    ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger
    คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า
    ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ
    ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง
    สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532
    ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932
    เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก
    สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !)
    การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์
    พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร
    มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่
    ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people) สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532 ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932 เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !) การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่ ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้ คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI พลาด ธนาคารต้องเรียกคนกลับมาทำงาน

    ในช่วงกลางปี 2025 ธนาคาร Commonwealth Bank (CBA) ของออสเตรเลียได้ตัดสินใจปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วยระบบ AI voice-bot โดยหวังว่าจะลดปริมาณสายโทรเข้าและเพิ่มประสิทธิภาพการตอบคำถามทั่วไป

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม: ปริมาณสายโทรเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานที่เหลือต้องทำงานล่วงเวลา และแม้แต่หัวหน้าทีมก็ต้องลงมารับสายเอง! สหภาพแรงงานด้านการเงิน (Finance Sector Union) จึงออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจนี้

    สุดท้าย CBA ต้อง “กลับลำ” โดยยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และประกาศเรียกพนักงานกลับมาทำงาน พร้อมขอโทษอย่างเป็นทางการ และเสนอทางเลือกให้พนักงานว่าจะกลับมาทำงานเดิม ย้ายตำแหน่ง หรือรับเงินชดเชยแล้วลาออก

    แม้ธนาคารจะยังคงเดินหน้าพัฒนา AI ร่วมกับ OpenAI ในด้านการตรวจจับการหลอกลวงและการให้บริการแบบเฉพาะบุคคล แต่กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ทุกด้าน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ธนาคาร CBA ประกาศปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วย AI voice-bot
    ระบบ AI ถูกนำมาใช้เพื่อลดจำนวนสายโทรเข้าและตอบคำถามทั่วไป
    หลังจากใช้งานจริง ปริมาณสายกลับเพิ่มขึ้น และพนักงานต้องทำงานล่วงเวลา
    สหภาพแรงงานออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจ
    ธนาคารยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และเรียกพนักงานกลับ
    พนักงานได้รับคำขอโทษและมีทางเลือกในการกลับมาทำงาน ย้ายตำแหน่ง หรือลาออก
    ธนาคารยังคงร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ด้านการตรวจจับการหลอกลวงและบริการเฉพาะบุคคล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในสหราชอาณาจักร กว่า 50% ของบริษัทที่ใช้ AI แทนคนงานเริ่มเสียใจในภายหลัง
    AI voice-bot ยังไม่สามารถเข้าใจ “น้ำเสียงทางอารมณ์” ของผู้ใช้ได้ดีเท่ามนุษย์
    การใช้ AI แทนพนักงานอาจสร้างความเครียดและความไม่มั่นคงในชีวิตให้กับแรงงาน
    หลายบริษัทเริ่มหันกลับมาใช้ “มนุษย์” ในงานบริการที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ

    https://www.techradar.com/pro/now-thats-an-embarassing-u-turn-bank-forced-to-rehire-human-workers-after-their-ai-replacement-fail-to-perform
    🎙️ เมื่อ AI พลาด ธนาคารต้องเรียกคนกลับมาทำงาน ในช่วงกลางปี 2025 ธนาคาร Commonwealth Bank (CBA) ของออสเตรเลียได้ตัดสินใจปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วยระบบ AI voice-bot โดยหวังว่าจะลดปริมาณสายโทรเข้าและเพิ่มประสิทธิภาพการตอบคำถามทั่วไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม: ปริมาณสายโทรเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานที่เหลือต้องทำงานล่วงเวลา และแม้แต่หัวหน้าทีมก็ต้องลงมารับสายเอง! สหภาพแรงงานด้านการเงิน (Finance Sector Union) จึงออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจนี้ สุดท้าย CBA ต้อง “กลับลำ” โดยยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และประกาศเรียกพนักงานกลับมาทำงาน พร้อมขอโทษอย่างเป็นทางการ และเสนอทางเลือกให้พนักงานว่าจะกลับมาทำงานเดิม ย้ายตำแหน่ง หรือรับเงินชดเชยแล้วลาออก แม้ธนาคารจะยังคงเดินหน้าพัฒนา AI ร่วมกับ OpenAI ในด้านการตรวจจับการหลอกลวงและการให้บริการแบบเฉพาะบุคคล แต่กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ทุกด้าน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ธนาคาร CBA ประกาศปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วย AI voice-bot ➡️ ระบบ AI ถูกนำมาใช้เพื่อลดจำนวนสายโทรเข้าและตอบคำถามทั่วไป ➡️ หลังจากใช้งานจริง ปริมาณสายกลับเพิ่มขึ้น และพนักงานต้องทำงานล่วงเวลา ➡️ สหภาพแรงงานออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจ ➡️ ธนาคารยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และเรียกพนักงานกลับ ➡️ พนักงานได้รับคำขอโทษและมีทางเลือกในการกลับมาทำงาน ย้ายตำแหน่ง หรือลาออก ➡️ ธนาคารยังคงร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ด้านการตรวจจับการหลอกลวงและบริการเฉพาะบุคคล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในสหราชอาณาจักร กว่า 50% ของบริษัทที่ใช้ AI แทนคนงานเริ่มเสียใจในภายหลัง ➡️ AI voice-bot ยังไม่สามารถเข้าใจ “น้ำเสียงทางอารมณ์” ของผู้ใช้ได้ดีเท่ามนุษย์ ➡️ การใช้ AI แทนพนักงานอาจสร้างความเครียดและความไม่มั่นคงในชีวิตให้กับแรงงาน ➡️ หลายบริษัทเริ่มหันกลับมาใช้ “มนุษย์” ในงานบริการที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ https://www.techradar.com/pro/now-thats-an-embarassing-u-turn-bank-forced-to-rehire-human-workers-after-their-ai-replacement-fail-to-perform
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • Scan to support Newskit

    เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 นำเสนอเรื่องราวแตกต่างจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ทุกเช้าวันจันทร์-พฤหัสบดี ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Thaitimes, Facebook และ Instagram ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร

    ที่ผ่านมามีคนสงสัยว่า เพจ Newskit ทำคนเดียวหรือไม่ เป็นเพจส่วนตัว หรือทำในนามองค์กร ขอใช้พื้นที่ตรงนี้สื่อสารกับคุณผู้อ่านว่า เป็นเพจส่วนตัวที่ทำคนเดียว หลังเว้นวรรคจากงานคอลัมนิสต์ออนไลน์ ที่หยุดเขียนไปเมื่อเดือน เม.ย.2567 และได้รับความกรุณาจากทีมงาน Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย ให้ทดสอบระบบและนำเสนอเนื้อหาถึงปัจจุบัน โดยยึดหลักการ One Man Journalism แม้จะมีงานประจำและกิจการของครอบครัว แต่พื้นที่ตรงนี้มีไว้ "ปล่อยของ" ในสิ่งที่งานประจำทำไม่ได้

    การเดินทางของเพจ Newskit ทำเป็นงานอดิเรกด้วยใจล้วนๆ เนื้อหาของเราไม่ได้ทำตามกระแส คนที่เข้ามาอ่านจะต้องรู้จักงานเขียนหรือตัวตนของเราจริงๆ แม้อัลกอริทึมจะปิดกั้นก็ตาม อีกทั้งการแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่ย่อมมีค่าใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมาใช้รายได้จากงานประจำเป็นหลัก เราใช้ความคิดและหัวใจ ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน

    ถึงกระนั้น เราเชื่อว่าทั้งในวันนี้และอนาคต อาจมีคนที่อยากสนับสนุนผลงาน อีกทั้งเริ่มเห็นสื่อเอกชน และสื่อมวลชนอิสระหลายราย เริ่มประกาศขอรับการสนับสนุนหลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันจันทร์ที่ 25 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ทุกโพสต์ของ Newskit จะติด QR Code ของแอปพลิเคชัน K SHOP สำหรับผู้อ่านที่ต้องการสนับสนุนโดยตรง แม้เราจะไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนักก็ตาม โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" เท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง

    เหตุผลที่ไม่แจ้งบัญชีธนาคารโดยตรง เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล และป้องกันมิจฉาชีพ อีกทั้งด้วยฟังก์ชันของ K SHOP ยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทย สามารถเลือกชำระด้วยคะแนนสะสม K Point ได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาท และผู้ใช้แอปพลิเคชัน MaxMe Wallet สามารถเลือกชำระด้วยแต้มในบัตรแมกซ์การ์ด ของปั๊มน้ำมันพีทีได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาทเช่นกัน

    ขอขอบคุณทุกการสแกนเพื่อสนับสนุนเรามา ณ โอกาสนี้

    #Newskit
    Scan to support Newskit เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 นำเสนอเรื่องราวแตกต่างจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ทุกเช้าวันจันทร์-พฤหัสบดี ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Thaitimes, Facebook และ Instagram ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร ที่ผ่านมามีคนสงสัยว่า เพจ Newskit ทำคนเดียวหรือไม่ เป็นเพจส่วนตัว หรือทำในนามองค์กร ขอใช้พื้นที่ตรงนี้สื่อสารกับคุณผู้อ่านว่า เป็นเพจส่วนตัวที่ทำคนเดียว หลังเว้นวรรคจากงานคอลัมนิสต์ออนไลน์ ที่หยุดเขียนไปเมื่อเดือน เม.ย.2567 และได้รับความกรุณาจากทีมงาน Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย ให้ทดสอบระบบและนำเสนอเนื้อหาถึงปัจจุบัน โดยยึดหลักการ One Man Journalism แม้จะมีงานประจำและกิจการของครอบครัว แต่พื้นที่ตรงนี้มีไว้ "ปล่อยของ" ในสิ่งที่งานประจำทำไม่ได้ การเดินทางของเพจ Newskit ทำเป็นงานอดิเรกด้วยใจล้วนๆ เนื้อหาของเราไม่ได้ทำตามกระแส คนที่เข้ามาอ่านจะต้องรู้จักงานเขียนหรือตัวตนของเราจริงๆ แม้อัลกอริทึมจะปิดกั้นก็ตาม อีกทั้งการแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่ย่อมมีค่าใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมาใช้รายได้จากงานประจำเป็นหลัก เราใช้ความคิดและหัวใจ ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน ถึงกระนั้น เราเชื่อว่าทั้งในวันนี้และอนาคต อาจมีคนที่อยากสนับสนุนผลงาน อีกทั้งเริ่มเห็นสื่อเอกชน และสื่อมวลชนอิสระหลายราย เริ่มประกาศขอรับการสนับสนุนหลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันจันทร์ที่ 25 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ทุกโพสต์ของ Newskit จะติด QR Code ของแอปพลิเคชัน K SHOP สำหรับผู้อ่านที่ต้องการสนับสนุนโดยตรง แม้เราจะไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนักก็ตาม โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" เท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง เหตุผลที่ไม่แจ้งบัญชีธนาคารโดยตรง เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล และป้องกันมิจฉาชีพ อีกทั้งด้วยฟังก์ชันของ K SHOP ยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทย สามารถเลือกชำระด้วยคะแนนสะสม K Point ได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาท และผู้ใช้แอปพลิเคชัน MaxMe Wallet สามารถเลือกชำระด้วยแต้มในบัตรแมกซ์การ์ด ของปั๊มน้ำมันพีทีได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาทเช่นกัน ขอขอบคุณทุกการสแกนเพื่อสนับสนุนเรามา ณ โอกาสนี้ #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล
    ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว
    เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ
    ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง
    แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !)
    เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล
    ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย
    ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน !


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !) เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • เชื่อ! ต่างชาติเมิน ‘TouristDigiPay’ ไม่แลก ‘เงินดิจิทัล’ เป็น ‘บาท’ แน่นอน แนะทำ ‘Blockchain Analytics’ ป้องกันฟอกเงิน
    https://www.thai-tai.tv/news/21058/
    .
    #TouristDigiPay #สินทรัพย์ดิจิทัล #คริปโต #ข่าวเศรษฐกิจ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นักวิชาการ #ไทยไทด้วย

    เชื่อ! ต่างชาติเมิน ‘TouristDigiPay’ ไม่แลก ‘เงินดิจิทัล’ เป็น ‘บาท’ แน่นอน แนะทำ ‘Blockchain Analytics’ ป้องกันฟอกเงิน https://www.thai-tai.tv/news/21058/ . #TouristDigiPay #สินทรัพย์ดิจิทัล #คริปโต #ข่าวเศรษฐกิจ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นักวิชาการ #ไทยไทด้วย
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย

    ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต

    โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

    นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ

    เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025

    นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet
    ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox
    หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว
    นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน
    จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท
    ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ
    เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน
    ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว
    รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน
    รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com
    Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ
    ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ
    มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    🎙️ TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025 นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet ➡️ ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว ➡️ นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน ➡️ จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท ➡️ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ ➡️ เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ➡️ ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว ➡️ รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน ➡️ รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว ➡️ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com ➡️ Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ ➡️ ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ ➡️ มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม

    ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ

    ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

    หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp

    มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด

    มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่

    ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB
    มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม
    ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม
    รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที
    สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service
    อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task
    ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์
    คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์
    การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย
    การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ
    Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ

    https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    📖 แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่ ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB ➡️ มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม ➡️ ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ➡️ ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม ➡️ รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที ➡️ สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service ➡️ อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task ➡️ ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์ ➡️ คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์ ➡️ การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย ➡️ การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ ➡️ Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    HACKREAD.COM
    Fake Antivirus App Spreads Android Malware to Spy on Russian Users
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • แคมโบเดีย โคล่า น้ำอัดลมชาตินิยมเศรษฐีเขมร

    กระแสความไม่พอใจของชาวกัมพูชา หลังโคคา-โคล่า กัมพูชา ลบรูปแวนด้า (Vann Da) หรือ วัณณ์ฎา มาน (Vannda Mann) นักร้องเพลงแร็ปชาวเขมร ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มโคคา-โคล่าออกจากสื่อโฆษณา แม้นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จะออกมาปรามว่าโคคา-โคล่า เป็นแบรนด์จากสหรัฐฯ แต่ผลิตภัณฑ์ที่ขายในกัมพูชา ผลิตโดยแรงงานชาวกัมพูชา สร้างรายได้และเงินภาษีให้กับรัฐบาล หากโคคา-โคล่าถอนตัวออกจากกัมพูชา ประเทศจะเสียหาย ถึงกระนั้น ยังมีภาคธุรกิจชาวกัมพูชาอย่างชิปมงกรุ๊ป (Chip Mong Group) สบโอกาสเปิดตัวน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ แคมโบเดีย โคล่า (Cambodia Cola)

    แคมโบเดีย โคล่า ผลิตโดยบริษัทขแมร์เบเวอเรจ (Khmer Beverages) ในเครือชิปมงกรุ๊ป ในสโลแกน "เติมความซ่ากับรสชาติแห่งความสุข" (Fizz Up the Flavor of Joy) ปัดฝุ่นเพจเฟซบุ๊ก Vikingz ของเครื่องดื่มชูกำลังที่หยุดจำหน่ายไปแล้ว และมีผู้ติดตามเพจราว 4 หมื่นรายมาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมเผยแพร่วิดีโอคลิปโฆษณาเชิงซีเอสอาร์ ชูความเป็นผลิตภัณฑ์เขมร ผลิตในโรงงานเขมร ของผู้ประกอบการเขมร 100% เชิญชวนมาอุดหนุนสินค้าเขมรด้วยกัน และกิจกรรมเยี่ยมครอบครัวทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมมอบเงินแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 20 ล้านเรียล และทหารที่บาดเจ็บ 2 ล้านเรียล

    อย่างไรก็ตาม แคมโบเดีย โคล่า ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการเครื่องดื่ม เพราะขแมร์เบเวอเรจ เป็นผู้ผลิตเบียร์แคมโบเดีย (Cambodia Beer) และน้ำดื่มตราแคมโบเดียวอเตอร์ (Cambodia Water) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 7 ล้านเฮกโตลิตรต่อปี โดยก่อนหน้านี้ได้ผลิตน้ำอัดลมทั้งน้ำดำและน้ำสียี่ห้อไอซ์ (IZE) เครื่องดื่มชูกำลังตราเวิร์คซ์ (WURKZ) วางจำหน่ายในปี 2560 แม้จะออกผลิตภัณฑ์ซ้ำซ้อนกันแต่เป็นไปได้ว่าเจาะกลุ่มเป้าหมายต่างกัน เน้นไปที่กระแสชาตินิยมสู้ศึกต่างชาติอย่างโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่

    สำหรับชิปมง กรุ๊ป เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทในประเทศกัมพูชารายใหญ่ที่สุด ก่อตั้งโดยมาดามเพี๊ยบ เฮียก (Pheap Heak) เมื่อปี 2525 เริ่มจากนำเข้าเหล็ก ก่อนจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง อสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์กระป๋อง อาหารสัตว์ ค้าปลีก ศูนย์การค้า โรงแรมหรูอย่างไฮแอท รีเจนซี่ พนมเปญ และแฟร์ฟิลด์ บาย แมริออท พนมเปญ สนามกอล์ฟแกรนด์ รอยัล กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท ธนาคารชิปมง มีบริษัทร่วมทุนกับประเทศไทย เช่น ชิปมงอินทรี ผลิตปูนซีเมนต์ในจังหวัดกำปอด ร่วมกับ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง และชิปมงฤทธา ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ร่วมกับบริษัทฤทธา

    #Newskit
    แคมโบเดีย โคล่า น้ำอัดลมชาตินิยมเศรษฐีเขมร กระแสความไม่พอใจของชาวกัมพูชา หลังโคคา-โคล่า กัมพูชา ลบรูปแวนด้า (Vann Da) หรือ วัณณ์ฎา มาน (Vannda Mann) นักร้องเพลงแร็ปชาวเขมร ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มโคคา-โคล่าออกจากสื่อโฆษณา แม้นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จะออกมาปรามว่าโคคา-โคล่า เป็นแบรนด์จากสหรัฐฯ แต่ผลิตภัณฑ์ที่ขายในกัมพูชา ผลิตโดยแรงงานชาวกัมพูชา สร้างรายได้และเงินภาษีให้กับรัฐบาล หากโคคา-โคล่าถอนตัวออกจากกัมพูชา ประเทศจะเสียหาย ถึงกระนั้น ยังมีภาคธุรกิจชาวกัมพูชาอย่างชิปมงกรุ๊ป (Chip Mong Group) สบโอกาสเปิดตัวน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ แคมโบเดีย โคล่า (Cambodia Cola) แคมโบเดีย โคล่า ผลิตโดยบริษัทขแมร์เบเวอเรจ (Khmer Beverages) ในเครือชิปมงกรุ๊ป ในสโลแกน "เติมความซ่ากับรสชาติแห่งความสุข" (Fizz Up the Flavor of Joy) ปัดฝุ่นเพจเฟซบุ๊ก Vikingz ของเครื่องดื่มชูกำลังที่หยุดจำหน่ายไปแล้ว และมีผู้ติดตามเพจราว 4 หมื่นรายมาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมเผยแพร่วิดีโอคลิปโฆษณาเชิงซีเอสอาร์ ชูความเป็นผลิตภัณฑ์เขมร ผลิตในโรงงานเขมร ของผู้ประกอบการเขมร 100% เชิญชวนมาอุดหนุนสินค้าเขมรด้วยกัน และกิจกรรมเยี่ยมครอบครัวทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมมอบเงินแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 20 ล้านเรียล และทหารที่บาดเจ็บ 2 ล้านเรียล อย่างไรก็ตาม แคมโบเดีย โคล่า ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการเครื่องดื่ม เพราะขแมร์เบเวอเรจ เป็นผู้ผลิตเบียร์แคมโบเดีย (Cambodia Beer) และน้ำดื่มตราแคมโบเดียวอเตอร์ (Cambodia Water) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 7 ล้านเฮกโตลิตรต่อปี โดยก่อนหน้านี้ได้ผลิตน้ำอัดลมทั้งน้ำดำและน้ำสียี่ห้อไอซ์ (IZE) เครื่องดื่มชูกำลังตราเวิร์คซ์ (WURKZ) วางจำหน่ายในปี 2560 แม้จะออกผลิตภัณฑ์ซ้ำซ้อนกันแต่เป็นไปได้ว่าเจาะกลุ่มเป้าหมายต่างกัน เน้นไปที่กระแสชาตินิยมสู้ศึกต่างชาติอย่างโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ สำหรับชิปมง กรุ๊ป เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทในประเทศกัมพูชารายใหญ่ที่สุด ก่อตั้งโดยมาดามเพี๊ยบ เฮียก (Pheap Heak) เมื่อปี 2525 เริ่มจากนำเข้าเหล็ก ก่อนจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง อสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์กระป๋อง อาหารสัตว์ ค้าปลีก ศูนย์การค้า โรงแรมหรูอย่างไฮแอท รีเจนซี่ พนมเปญ และแฟร์ฟิลด์ บาย แมริออท พนมเปญ สนามกอล์ฟแกรนด์ รอยัล กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท ธนาคารชิปมง มีบริษัทร่วมทุนกับประเทศไทย เช่น ชิปมงอินทรี ผลิตปูนซีเมนต์ในจังหวัดกำปอด ร่วมกับ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง และชิปมงฤทธา ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ร่วมกับบริษัทฤทธา #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • ผีบ้าร่ายเสียยาว.อย่าว่ากันเด้อใครที่ผ่านเข้ามาในบ้านในเพจเรา.555

    ..มั่ว ระบบมั่ว,แค่อยากเก็บตังจากประชาชนให้มากๆเท่านั้น,กฎหมายลักหลับประชาชน จะหลอยหลอนออกทีหลังที่บ้านเมืองโกลาหลวุ่นวายตลอด โป๊กเกอร์คือตัวอย่าง อะไรที่ไม่สำเร็จในยุคโทนี่ สำเร็จเกือบหมดในยุคยึดอำนาจจาก กปปส.ถวายพาน,นี้ก็ด้วย พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็ผ่านแล้ว,นี้ก็อีกมัดมือชกตอนไทยทหารไทยและประชาชนกำลังต่อสู้กับภัยอธิปไตยชาติไทย เสือกหน้ามึนมาบังคับประกาศให้ประชาชนต้องทำตามคลังจากสมัยรัฐบาลที่ทหารเป็นฝ่ายตรงข้ามเรานะ กะผูกผันต้องทำตามนะ,เป็นท่านนี้ถ้าได้เป็นนายกฯนะจะยกเลิกทันทีเช่นกัน,ล้างระบบทั้งหมดผีบ้าออกก่อน สไตล์ซาตานอีลิทเอาตังล่อคนไทยเหมือนเดิมเพื่อตอนควายวัวแพะแกะเข้าระบบควบคุมมนุษย์มันอย่างสมบูรณ์อนาคตคงฝังชิปใส่ตัวทุกๆคนไทยเพื่อเข้าถึงสวัสดิการทั้งหมดล่ะ,คือเอาสวัสดิการมาล่อ,แบบเดอะแก๊งเงินบุญหรือเดอะแก๊งgesara nesaraตังUBIเอย ปลดหนี้สินเด็กๆนักเรียนนักศึกษาและประชาชนเอย,แนวคิดโคตรพ่อโคตรแมร่งมันมาจากอเมริกาอีกล่ะ,ล้างสมองผ่านสิ่งนี้ เพราะท้ายสุดพ่อมันตายสิ่งนี้ก็ยังไม่เห็นจริงสักที เขมรว่าสันดานโคตรตอแหลหลอกลวงแล้ว อเมริกายิ่งโคตรมหาตอแหลหลอกลวงอีก กูรูสายฝ่ายแสงไทยบอกว่าตังโอนเข้าประเทศไทยแล้วกว่า1×10¹²⁰ แค่1×10²⁰ก็บุญหัวแล้ว คนไทยจะได้ตังร่ำรวยขนาดไหน แต่ขอโทษ อเมริกาได้100,000$/เดือน ,ไทยได้25,000บาทต่อเดือนพะนะ,หรือ1,000,000บาทแค่40เดือนพอ,อเมริกาปล้นตังวาติกันได้กว่า1×10⁸⁰⁰โน้นหรือบางคนว่า1×10¹⁰⁰⁰ ,กูรูบางคนว่าประเทศไทยเป็นฮับปลดปล่อย โอนมารอกดปุ่มแล้ว1×10²⁰⁰เบื้องต้น,เริ่มหลังagenda30สำเร็จมันว่า ,ไทยคง2570เร่งเร็วขึ้น,ญี่ปุ่นปลดปล่อยnesaraแล้วพะนะ,คือมโนมากๆน่าจะเดอะแก๊งคอลเซนเตอร์เขมรนี้ล่ะ เก็งกำไรUSDสกุลรุ้งด้วยก็ว่า,ลงตามค่าครองชีพของแต่ละประเทศ,จากUBIกลายเป็นNITเสียแล้ว,แบบมุกค่าแรงอเมริกา3,000$ต่อวัน,ไทยไม่น้อยหน้าอวด300฿ต่อวันสู้โน้น,ตัดศูนย์ไม่หนึ่งตัว,สกุลแลกเปลี่ยน1$:35฿อีก มันคนละเรื่องเลย.

    ..จริงๆรัฐบาลนี้ไม่เหมาะสมในช่วงจังหวะนี้จะทำใดๆ,เพราะระบบยังไม่น่าเชื่อถือถูกแฮกเกอร์ดูดได้ปกติอยู่คือยังกากนั้นเอง,
    ..ภาษีจริงๆได้มาจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีปิโตรเลียมโดยส่วนใหญ่ ภาษีประชาชนจ่ายมากกว่าภาษีบริษัทนิติบุคคลอีกด้วย,รีดตังจากประชาชนดีๆนี้ล่ะ,ประชาชนไม่เกี่ยวเลยว่ารวมกันจ่ายหรือเก็บได้น้อย คนทำงานจ่ายมาก ต้องมาแบกภาระช่วยคนไม่ทำงาน ,ตรรกะนี้ถือว่าไม่สมควรมีรัฐบาลเพื่ออยู่ประจำชาติไทย,ตั้งบริษัทประเทศไทยแทนชื่อว่ารัฐบาลเถอะ,บริหารแบบบริษัทไป,หรือบริหารแบบกองทุนหมู่บ้านที่เข้มแข็งแทน เช่นกองทุนหมู่บ้านแห่งชาติแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระเป็นต้น เป็นเจ้าของและร่วมบริหารจัดการจริง,มิใช่แบบรัฐบาลยกให้เอกชนต่างชาติหรือเอกชนไทยไปแดกตังจนร่ำรวยแบบยกบ่อน้ำมันทั่วประเทศไทยไปสำเร็จมาแล้ว,เนื้องานภาษีจริงๆคือภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีปิโตรเลียม รัฐบาลยึดอำนาจหากไม่ลดนั้นนี้ให้ต่างชาติหรือยึดทำบ่อน้ำมันเองจะพลิกเป็นร่ำรวยทันที,ภาษีบุุคคลธรรมดาจึงกากมากไม่กี่หมื่นล้านบาทต่อปี จากอดีต4-5พันล้านบาทต่อปีโดยเฉลี่ย,ส่วนภาษีนิติบุคคลยิ่งเก็บภาษีได้กากมาก3-4พันล้านบาทเอง,รัฐบาลจึงอ้างคนไทยทั้งประเทศต้องเข้าระบบภาษีทุกๆคนเพื่อป้องกันการเก็บภาษีหลุดออกจากระบบให้เก็บได้มากๆจึงเป็นตรรกขี้หมามากเล่าความเท็จโกหกแหกตาประชาชนแบบฉีดวัคซีนนั้นล่ะ ฉีดสารพิษเข้าร่างกายแท้ๆแต่รัฐบาลกลับปกปิดถึงปัจจุบัน ไม่มีความรับผิดชอบในชีวิตประชาชนเลยที่ตนทำกิจกรรมกิจการการเป็นรัฐบาลที่ผิดพลาด,นี้NITนี้ต้องการติดตามกิจกรรม สอดแนมวิถีชีวิตประชาชนแค่นั้นสังเกตุคือผีบ้าอ้างเชื่อมโยงสุขภาพจะเน้นๆกว่าสะท้อนการช่วยเหลือทางการเงิน,อนาคตคือคุณไม่มีอะไรใดๆเลย คุณจะมีความสุขนั้นล่ะ,แม้แต่ชีวิตหรือจิตวิญญาณคุณก็จะไม่เหลือ,คำว่ารัฐบาลเราต้องยกเลิกการใช้คำจริงๆ มันคือการบริหารกิจการประเทศผ่านชื่อสมมุติว่ารัฐบาลนี้ล่ะแต่ภาคประชาชนกลับไม่สามารถจัดการรัฐบาลตนเองได้,ไล่ออกรัฐบาลไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่ได้ ยังมีพนักงานบัดสบรากงอกในบริษัทรัฐบาลนี้ปกติ ไปแค่นักการเมืองประมาณนั้นที่เชื่อว่าชั่วแต่โคตรชั่วไม่แพ้กันคือพวกรากงอกสร้างระบบเจ้าพ่ออิทธิพลทั่วเต็มบริษัทรัฐบาลนี้ล่ะ,

    ..จึงต้องล้างระบบทิ้งทั้งหมดจริงๆก่อน,ระบบภาษีล้างทิ้งทั้งหมดด้วยแล้วสร้างใหม่ สวัสดิการและภาษีที่ซ้ำๆซ้อนๆกัน เก็บเอาเปรียบคนไทยทุกๆคนจะคนธรรมดาหรือเจ้าของกิจการก็ต้องยกเลิกด้วย,ง่ายๆคือล้างกระดานใหม่ทั้งหมด.

    ..มโนเล่นๆ สมมุติไทยเข้าถึงระบบควอนตัมแล้วมีฐานมหาบิ๊กดาต้าพร้อมรับเข้าส่งออกเรียลไทม์มหาศาลแล้ว.,"บริษัทกองทุนประเทศไทย" ชื่อแทนชื่อรัฐบาลไทย,แจกมือถือควอนตัมคุณภาพสูงทุกๆคนไทยห้ามฝังชิปใส่ตัว,ทำธุรกรรมการเงินเรื่องตังจะใช้จ่ายจะรับเข้าให้ใช้มือถือแทน แน่นอนบาทคอยน์อินทนนท์มาใช้ในที่นี้จริงนั้นเอง,ตื๊ดๆตื๊ดๆรับเข้าโอนออก จ่ายออก ได้ตังมา ใช้มือถือควอนตัมนี้จบ,จะจบการทุจริตเงินมืดเงินเทาเงินเถื่อนเงินใต้โต๊ะเงินซื้อเสียงเงินขานเสียงเงินฮั๊วเงินถุงขนมตกหน้าศาล เงินแจกกล้วยในทั้งสภาได้เลยก็ว่าและเงินสาระพัดชั่วเลวระยำใดๆจะสิ้นซากหมด สามารถตามติดธุรกรรมเลวชั่วได้เรียลไทม์ทั้งหมดด้วย เป็นต้น,1คนไทย1 IDบัตรปชช.1 เลขมือถือควอนตัม 1บัญชีตังดิจิดัลบาทคอยน์อินทนนท์เท่านั้น จะมี1บาทคอยน์หรือ10ล้านล้านบาทคอยน์ก็มีได้แค่1บัญชีธนาคารตังดิจิดัลส่วนตัวเอกเทศปัจเจกบุคคลของใครของมันเฉพาะตัว,จากนั้นคุณจะอัดสวัสดิการใดๆ ล้างหนี้ประชาชนใดๆ เก็บภาษีลักษณะใดๆระบบจะรันอัตโนมัติคิดคำนวนอัตโนมัติเรียลไทม์ให้แบบเชื่อมต่อเน็ตstarlinkนั้นล่ะ อยู่ทุกๆที่ทุกๆเวลาทำทุกๆธุรกรรมการเงินได้,นี้คือการว่าด้วยตังเพียว,สามารถเก็บภาษีสินค้าอุปโภคและบริโภคอย่างเดียวก็ได้,สามารถเก็บภาษีเงินไหลเข้าตังไหลเข้ามือถือคนๆนั้นฝ่ายเดียวก็ได้เพื่อบรรลุเป้าหมายว่าคุณมีรายได้รับเข้ามาจริงแล้วต้องจ่ายส่วยจ่ายตังจ่ายภาษีให้เสียดีๆก็ว่า,เช่นเงินเข้า100บาท ระบบก็หักอัตโมัติ0.01บาทเป็นภาษีเงินเข้ารายรับรายได้ประชาชนจริง,เหลือคือ99.99บาทก็ไปรวมยอดสะสมที่มือถือนั้นสามารถตื๊ดๆใช้จ่ายออกไปได้จริงต่อไป,ใครตังเข้ามือถือหักออโต้ก็ว่า,ตลอดธุรกรรมจับจ่ายแลกเปลี่ยนโอนตังออก รับตังเข้า กระแสเงินสะพัดหมุนเวียนทั่วไทยและทั่วโลกของคนไทยค้าขายคือวันละ100ล้านล้านบาทต่อวันแบบเวอร์ๆ,ตังที่เก็บหักออโต้ได้คือ0.01ล้านล้านบาทต่อวันนั้นเอง,กรณีบวกสาระพัดจาก0.01+0.07กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยก็คือ0.08,หรือvatแบบผีบ้าnesaraมันคิดเหมารวมที่0.14+0.01=0.15ก็สบายมาก ,จะเป็น0.15ล้านล้านบาทต่อวันหักออโต้เป็นตัวภาษีชาติไทยทันที,100วันคือ15ล้านล้านบาท,200วันคือ30ล้านล้านบาท,300วันคือ45ล้านล้านบาท,คือไม่เก็บภาษีใดๆเลย,ให้ประชาชนทำกิจกรรมเต็มที่ ใครอยากเปิดบริษัทไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล,ประชาชนมนุษย์เงินเดือนใดๆไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอะไรใดๆ,และภาษีอื่นๆก็ว่า,โดยทั้งหมดค่อยๆคลายปลดไป,จนหมดจนสมดุลได้ดังเป้า ค้าขายฮับไทยระดับโลกก็ว่า,ใครมาทำธุรกรรมบนแผ่นดิน มาเปิดสาขาตั้งสำนักงานใดๆใหญ่น้อยเข้าระบบเราคือจบ,บาทคอยน์คือสกุลเงินโลกอาจไม่ผิด ใครทำธุรกรรมผ่านบาทคอยน์เสีย0.15ไปเลยก็ว่า,หรือ0.01กรณีโอนตังรับตังเข้ามือถือมิใช่ค้าขายการตลาดหรือบริษัท.,คือเสน่หาก็ว่า, นี้มโนเพียวๆ,ระบบไทยเรากากมั้ย ถ้าล้ำๆแบบทำที่ว่าได้ทันทีมั้ย,เงินมืดเงินเทาจะตายทันที,คนควบคุมตังดิจิดัลบาทคอยน์ของไทยจึงสำคัญมากๆ,เสือกคีย์ตังผีบ้าตีประเมินผีบ้าคีย์ตัวเลขสัก10ล้านล้านบาทหรือ1,000ล้านล้านบาทคอยน์บรรลัยกินทั้งระบบแน่นอนคือฟอกเงินให้ตังเทาพินาศแน่นอนนั่นเอง,ทั้งเงินใต้ดินเงินเทาเงินเถื่อนเงินที่เข้าใจว่าหนีภาษีสไตล์นักการเมืองแหกตาหรือคนราชการแหกอกว่าฉันต้องใช้NITกับประชาชนทุกๆคนนะจะจบไปทันที,ตังเถื่อนๆใต้เงินพวกนั้นจะไร้ค่่ของจริงทันที,อย่าว่าแต่หนีภาษีที่ฉันรัฐบาลอยากเก็บภาษีกับเงินห่าเหวพวกนี้เลย,บาทเดียวสลึงเดียวอาจไม่ได้เลยเพราะระบบตังดิจิดัลที่ว่าฆ่าทิ้งพวกนั้นนี้หมด,แบงค์ชาติเอาจริงจะไม่ใครในชาติไทยนี้หลบหนีการฟอกเงินได้หรอก,แบงค์ชาติเห็นหมดล่ะทุกๆธุรกรรมของใครๆ,แบงค์ชาติไม่ใช่ของคนไทยแต่เป็นของต่างชาติของอีลิทdeep stateควบคุมสั่งการและก่อตั้ง,แบงค์ชาติผีบ้าอะไรที่รัฐบาลไทยตนเข้าควบคุมสั่งการไม่ได้,แม้ไม่ใช่รัฐบาลทหารไทยเป็นฝ่สยตรงข้ามเราก็เถอะ,เป็นรัฐบาลประชาชนคนดีๆก็ตาม มันเขียนกฎหมายกติกาสาระพัดให้โทษใครก็ตามหมายจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจกรรมกิจการของเครือข่ายdeep stateสากลข้ามมาไทยยึดไทยมรุงอักเสบแน่ถูกมันจัดการนั้นเอง,
    ..วาระNITเป็นวาระหนึ่งในการควบคุมมนุษย์ของแผนagenda2030นี้ล่ะ,ด้านหนึ่งในหลายๆด้านหลายๆหมากกันผิดพลาดก็ได้ แบบคาร์บอนเครดิตหรือพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นล่ะ.
    ..NITนี้ยังไม่มีรายละเอียดชี้แจงแก่ประชาชนชัดเจนเข้าใจตรงกันในเนื้อในใดๆเลย กะมาแบบมุกเดิมๆใช้ตังล่อ ทำแล้วได้รับเศษตังนะ บังคับมาทำไวๆเร็วด้วย,ผิดปกติประชาธิปไตย ไร้ลงมติเห็นด้วยหรือไม่แก่ประชาชน มัดมือชกโดยกระบวนฝ่ายราชการประจำอีก,ราชการประจำนี้ล่ะเหี้ยนิ่งเฉยในพื้นที่สระแก้วจนบ้านหนองจานถูกเขมรยึดทำกินเสียนานกว่า30-40ปีหลังหนีตายเขมรแดงมาไทย,ข้าราชการพื้นที่แบบนานอำเภอผู้ว่าฯจังหวัดนั้นๆละเว้นปฏิบัติหน้าที่ถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยชัดเจนด้วย,คือระบบราชการไทยล้มเหลวทั้งระบบในตัวมันเอง กากไร้ประสิทธิภาพด้วย ทุจริตเต็มบ้านเต็มเมืองก็มาจากหน่วยงานราชการเองตนปล่อยปะละเลยในตำแหน่งราชการปกครองจนเหี้ยถึงปัจจุบัน,มารีดไถประชาชนอีกผ่านให้ทุกๆคนเข้าระบบภาษี,เน้นเชื่อมโยงสุขภาพด้วยคือใครยังไม่ฉีดวัคซีน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอำนาจข้าราชการประจำกระทรวงทบวงกรมประกาศ กูจะมีสิทธิตัดสิทธิสวัสดิการมรึงๆคนไทยทั้งหมดนะหรือคนไทยคนนั้นๆถ้าขัดขืนไม่ปฏิบัติตามรัฐบอก,คือประชาชนถูกไล่ล่าถีบออกจากพวกได้นั้นเอง,หากยิ่งเจอการปกครองแบบเผด็จการฮุนเซนควบคุมระบบจะมิตายเหรอ,ขนาดกำลังทำสงคราม ยังไม่สงบสุข คลังผีบ้าเสือกกล้าหาญชิงมาประกาศห่าเหวอะไร บังคับคนในอนาคตแบบนั้น,จะมามุกแบบประกาศล่วงหน้าใส่หมวกกันน็อคล่ะ ถึงเวลากูฝ่ายราชการประจำประกาศบังคับใช้เลย,นี้คือเผด็จการจากระบบราชการไทยฝ่ายธุรการราชการไทยชัดเจน,เผลอๆคิดเล่นๆฝ่ายราชการไทยนี้ล่ะแทรกแซงระบบประชาธิปไตย ทำลายประชาธิปไตยคนไทยให้ด้อยค่า,โดยใส่คนของราชการเต็มระบบนักการเมือง,ใส่ชุดนักการเมืองจากนั้นแสดงออกสาระพัดเลวชั่วในคราบนักการเมืองที่ตนสวมใส่ว่านักการเมืองในระบบนี้เลวชั่วช้าอย่างไร แล้วมันก็เขียนกฎหมายชั่วๆเลวๆสาระพัดออกมาใช้บังคับประชาชนโดยอ้างว่านักการเมืองสั่ง นักการเมืองอนุญาตแล้วนะ,มโนในมุมหักมุมว่าเหี้ยคนข้าราชการนี้ล่ะเข้ามาเล่นการเมืองในคราบชุดนักการเมืองแล้วแดกสาระพัดสร้างความเดือดร้อนสาระพัดทิศทั่วไทยหรือคือกลุ่มอนุรักษ์นิยมอำมาตย์เจ้าพระยาขุนเจ้าผู้ดีต่างๆนี้เพื่ออะไร เพื่อตนเองจะได้มีสิทธิอันชอบธรรมคืนสถานะเดิมศักดินาเดิมผู้ดีกลับคืนมาอีกครั้ง,คือผีบ้ายศบ้าตำแหน่งบ้าปกครองให้คนเป็นทาส เห็นคนรับใช้เป็นทาสตนแล้วมีความสุขในการเหยียบมนุษย์ด้วยกันนั้นเองแบบในอดีตที่พวกนี้ชอบชมใจชื่นชูแก่ใจมันนักยิ่งนั้นเอง,เรา..ประชาชนเห็นนักการเมืองเหี้ยนี้เลวชั่วจริง เขียนกฎหมายผีบ้าจริงมากมายด้วย ยังอยากไม่ให้มีสถาบันนักการเมืองหรือสภาเลย.,นี้คือมโนเพียวๆหักมุมอีกด้าน.
    ..ปัจจุบันประเทศไทยสมควรกวาดล้างจริงจังต่อคนชั่วเลวทั้งในระบบนักการเมืองและในระบบราชการกันจริงจังจริงๆ,
    ..ผู้นำผู้ปกครองต้องสไตล์คนอารยะธรรมจักรวาลขั้นสูงลงมาเกิดในมิตินี้ที่ไทยเรา,เป็นนักปกครองมาเกิดด้วยนั้นเอง,เราปกครองกากๆมานานเกินพอแล้ว.,จนเขมรซึ่งคือแค่เขมรยังมาเหยียบประเทศไทยได้,เหยียบย้ำศักดิ์ศรีไม่พอฆ่าเด็กๆเราแบบไม่รู้ตัวด้วย,รัฐบาลชุดทหารเป็นฝ่ายจรงข้ามเราสมควรหมดอำนาจทันทีตั้งแต่ก่อนวันที่28 ก.ค.2568แล้ว,นี้คือความไม่เด็ดขาดของ ผบ.ทหารสูงสุดเรา,ถ้าส่วนตัวเป็นนายกฯจะออกพรก.ฉุกเฉินยึดอำนาจตัวเอง,จากนั้นตั้งบิ๊กปู พนา เป็น ผบ.สูงสุดเลย,รองผบ.สูงสุดคือบิ๊กกุ้ง,คุมทัพจัดการกวาดล้างเขมร เด็ดหัวฮุนเซนฮุนมาเนตทันที, ประสานลาว เวียดนามร่วมรบเพื่อจัดสรรพื้นที่เขมรจริงจัง เพราะไทยยึดเขมรเองจะน่าเกียจเกินไป,จากนั้นเริ่มปฐมบทกวาดล้างสิ่งสกปรกจริงทั้งแผ่นดินไทยจริงๆเพื่ออัพเรเวลใหม่สู่ยุคอารยะธรรมท่องจักรวาลจริงๆ.,เรื่องเขมรเป็นอะไรที่ไร้สาระมาก,ทุบทิ้งลบชื่อเขมรออกจากแผ่นที่โลกเลย.,อนาคตชื่อประเทศเขมรไม่ปรากฎในคำทำนายก็เป็นเพราะเหตุนี้ด้วยมิใช่แค่แผ่นดินเขมรมุดลงทะเลแปซิฟิกหรอกก็ว่า.

    https://youtube.com/watch?v=a1dOy2xO08k&si=aTzjrtvryMM7K4Eo

    ผีบ้าร่ายเสียยาว.อย่าว่ากันเด้อใครที่ผ่านเข้ามาในบ้านในเพจเรา.555 ..มั่ว ระบบมั่ว,แค่อยากเก็บตังจากประชาชนให้มากๆเท่านั้น,กฎหมายลักหลับประชาชน จะหลอยหลอนออกทีหลังที่บ้านเมืองโกลาหลวุ่นวายตลอด โป๊กเกอร์คือตัวอย่าง อะไรที่ไม่สำเร็จในยุคโทนี่ สำเร็จเกือบหมดในยุคยึดอำนาจจาก กปปส.ถวายพาน,นี้ก็ด้วย พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็ผ่านแล้ว,นี้ก็อีกมัดมือชกตอนไทยทหารไทยและประชาชนกำลังต่อสู้กับภัยอธิปไตยชาติไทย เสือกหน้ามึนมาบังคับประกาศให้ประชาชนต้องทำตามคลังจากสมัยรัฐบาลที่ทหารเป็นฝ่ายตรงข้ามเรานะ กะผูกผันต้องทำตามนะ,เป็นท่านนี้ถ้าได้เป็นนายกฯนะจะยกเลิกทันทีเช่นกัน,ล้างระบบทั้งหมดผีบ้าออกก่อน สไตล์ซาตานอีลิทเอาตังล่อคนไทยเหมือนเดิมเพื่อตอนควายวัวแพะแกะเข้าระบบควบคุมมนุษย์มันอย่างสมบูรณ์อนาคตคงฝังชิปใส่ตัวทุกๆคนไทยเพื่อเข้าถึงสวัสดิการทั้งหมดล่ะ,คือเอาสวัสดิการมาล่อ,แบบเดอะแก๊งเงินบุญหรือเดอะแก๊งgesara nesaraตังUBIเอย ปลดหนี้สินเด็กๆนักเรียนนักศึกษาและประชาชนเอย,แนวคิดโคตรพ่อโคตรแมร่งมันมาจากอเมริกาอีกล่ะ,ล้างสมองผ่านสิ่งนี้ เพราะท้ายสุดพ่อมันตายสิ่งนี้ก็ยังไม่เห็นจริงสักที เขมรว่าสันดานโคตรตอแหลหลอกลวงแล้ว อเมริกายิ่งโคตรมหาตอแหลหลอกลวงอีก กูรูสายฝ่ายแสงไทยบอกว่าตังโอนเข้าประเทศไทยแล้วกว่า1×10¹²⁰ แค่1×10²⁰ก็บุญหัวแล้ว คนไทยจะได้ตังร่ำรวยขนาดไหน แต่ขอโทษ อเมริกาได้100,000$/เดือน ,ไทยได้25,000บาทต่อเดือนพะนะ,หรือ1,000,000บาทแค่40เดือนพอ,อเมริกาปล้นตังวาติกันได้กว่า1×10⁸⁰⁰โน้นหรือบางคนว่า1×10¹⁰⁰⁰ ,กูรูบางคนว่าประเทศไทยเป็นฮับปลดปล่อย โอนมารอกดปุ่มแล้ว1×10²⁰⁰เบื้องต้น,เริ่มหลังagenda30สำเร็จมันว่า ,ไทยคง2570เร่งเร็วขึ้น,ญี่ปุ่นปลดปล่อยnesaraแล้วพะนะ,คือมโนมากๆน่าจะเดอะแก๊งคอลเซนเตอร์เขมรนี้ล่ะ เก็งกำไรUSDสกุลรุ้งด้วยก็ว่า,ลงตามค่าครองชีพของแต่ละประเทศ,จากUBIกลายเป็นNITเสียแล้ว,แบบมุกค่าแรงอเมริกา3,000$ต่อวัน,ไทยไม่น้อยหน้าอวด300฿ต่อวันสู้โน้น,ตัดศูนย์ไม่หนึ่งตัว,สกุลแลกเปลี่ยน1$:35฿อีก มันคนละเรื่องเลย. ..จริงๆรัฐบาลนี้ไม่เหมาะสมในช่วงจังหวะนี้จะทำใดๆ,เพราะระบบยังไม่น่าเชื่อถือถูกแฮกเกอร์ดูดได้ปกติอยู่คือยังกากนั้นเอง, ..ภาษีจริงๆได้มาจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีปิโตรเลียมโดยส่วนใหญ่ ภาษีประชาชนจ่ายมากกว่าภาษีบริษัทนิติบุคคลอีกด้วย,รีดตังจากประชาชนดีๆนี้ล่ะ,ประชาชนไม่เกี่ยวเลยว่ารวมกันจ่ายหรือเก็บได้น้อย คนทำงานจ่ายมาก ต้องมาแบกภาระช่วยคนไม่ทำงาน ,ตรรกะนี้ถือว่าไม่สมควรมีรัฐบาลเพื่ออยู่ประจำชาติไทย,ตั้งบริษัทประเทศไทยแทนชื่อว่ารัฐบาลเถอะ,บริหารแบบบริษัทไป,หรือบริหารแบบกองทุนหมู่บ้านที่เข้มแข็งแทน เช่นกองทุนหมู่บ้านแห่งชาติแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระเป็นต้น เป็นเจ้าของและร่วมบริหารจัดการจริง,มิใช่แบบรัฐบาลยกให้เอกชนต่างชาติหรือเอกชนไทยไปแดกตังจนร่ำรวยแบบยกบ่อน้ำมันทั่วประเทศไทยไปสำเร็จมาแล้ว,เนื้องานภาษีจริงๆคือภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีปิโตรเลียม รัฐบาลยึดอำนาจหากไม่ลดนั้นนี้ให้ต่างชาติหรือยึดทำบ่อน้ำมันเองจะพลิกเป็นร่ำรวยทันที,ภาษีบุุคคลธรรมดาจึงกากมากไม่กี่หมื่นล้านบาทต่อปี จากอดีต4-5พันล้านบาทต่อปีโดยเฉลี่ย,ส่วนภาษีนิติบุคคลยิ่งเก็บภาษีได้กากมาก3-4พันล้านบาทเอง,รัฐบาลจึงอ้างคนไทยทั้งประเทศต้องเข้าระบบภาษีทุกๆคนเพื่อป้องกันการเก็บภาษีหลุดออกจากระบบให้เก็บได้มากๆจึงเป็นตรรกขี้หมามากเล่าความเท็จโกหกแหกตาประชาชนแบบฉีดวัคซีนนั้นล่ะ ฉีดสารพิษเข้าร่างกายแท้ๆแต่รัฐบาลกลับปกปิดถึงปัจจุบัน ไม่มีความรับผิดชอบในชีวิตประชาชนเลยที่ตนทำกิจกรรมกิจการการเป็นรัฐบาลที่ผิดพลาด,นี้NITนี้ต้องการติดตามกิจกรรม สอดแนมวิถีชีวิตประชาชนแค่นั้นสังเกตุคือผีบ้าอ้างเชื่อมโยงสุขภาพจะเน้นๆกว่าสะท้อนการช่วยเหลือทางการเงิน,อนาคตคือคุณไม่มีอะไรใดๆเลย คุณจะมีความสุขนั้นล่ะ,แม้แต่ชีวิตหรือจิตวิญญาณคุณก็จะไม่เหลือ,คำว่ารัฐบาลเราต้องยกเลิกการใช้คำจริงๆ มันคือการบริหารกิจการประเทศผ่านชื่อสมมุติว่ารัฐบาลนี้ล่ะแต่ภาคประชาชนกลับไม่สามารถจัดการรัฐบาลตนเองได้,ไล่ออกรัฐบาลไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่ได้ ยังมีพนักงานบัดสบรากงอกในบริษัทรัฐบาลนี้ปกติ ไปแค่นักการเมืองประมาณนั้นที่เชื่อว่าชั่วแต่โคตรชั่วไม่แพ้กันคือพวกรากงอกสร้างระบบเจ้าพ่ออิทธิพลทั่วเต็มบริษัทรัฐบาลนี้ล่ะ, ..จึงต้องล้างระบบทิ้งทั้งหมดจริงๆก่อน,ระบบภาษีล้างทิ้งทั้งหมดด้วยแล้วสร้างใหม่ สวัสดิการและภาษีที่ซ้ำๆซ้อนๆกัน เก็บเอาเปรียบคนไทยทุกๆคนจะคนธรรมดาหรือเจ้าของกิจการก็ต้องยกเลิกด้วย,ง่ายๆคือล้างกระดานใหม่ทั้งหมด. ..มโนเล่นๆ สมมุติไทยเข้าถึงระบบควอนตัมแล้วมีฐานมหาบิ๊กดาต้าพร้อมรับเข้าส่งออกเรียลไทม์มหาศาลแล้ว.,"บริษัทกองทุนประเทศไทย" ชื่อแทนชื่อรัฐบาลไทย,แจกมือถือควอนตัมคุณภาพสูงทุกๆคนไทยห้ามฝังชิปใส่ตัว,ทำธุรกรรมการเงินเรื่องตังจะใช้จ่ายจะรับเข้าให้ใช้มือถือแทน แน่นอนบาทคอยน์อินทนนท์มาใช้ในที่นี้จริงนั้นเอง,ตื๊ดๆตื๊ดๆรับเข้าโอนออก จ่ายออก ได้ตังมา ใช้มือถือควอนตัมนี้จบ,จะจบการทุจริตเงินมืดเงินเทาเงินเถื่อนเงินใต้โต๊ะเงินซื้อเสียงเงินขานเสียงเงินฮั๊วเงินถุงขนมตกหน้าศาล เงินแจกกล้วยในทั้งสภาได้เลยก็ว่าและเงินสาระพัดชั่วเลวระยำใดๆจะสิ้นซากหมด สามารถตามติดธุรกรรมเลวชั่วได้เรียลไทม์ทั้งหมดด้วย เป็นต้น,1คนไทย1 IDบัตรปชช.1 เลขมือถือควอนตัม 1บัญชีตังดิจิดัลบาทคอยน์อินทนนท์เท่านั้น จะมี1บาทคอยน์หรือ10ล้านล้านบาทคอยน์ก็มีได้แค่1บัญชีธนาคารตังดิจิดัลส่วนตัวเอกเทศปัจเจกบุคคลของใครของมันเฉพาะตัว,จากนั้นคุณจะอัดสวัสดิการใดๆ ล้างหนี้ประชาชนใดๆ เก็บภาษีลักษณะใดๆระบบจะรันอัตโนมัติคิดคำนวนอัตโนมัติเรียลไทม์ให้แบบเชื่อมต่อเน็ตstarlinkนั้นล่ะ อยู่ทุกๆที่ทุกๆเวลาทำทุกๆธุรกรรมการเงินได้,นี้คือการว่าด้วยตังเพียว,สามารถเก็บภาษีสินค้าอุปโภคและบริโภคอย่างเดียวก็ได้,สามารถเก็บภาษีเงินไหลเข้าตังไหลเข้ามือถือคนๆนั้นฝ่ายเดียวก็ได้เพื่อบรรลุเป้าหมายว่าคุณมีรายได้รับเข้ามาจริงแล้วต้องจ่ายส่วยจ่ายตังจ่ายภาษีให้เสียดีๆก็ว่า,เช่นเงินเข้า100บาท ระบบก็หักอัตโมัติ0.01บาทเป็นภาษีเงินเข้ารายรับรายได้ประชาชนจริง,เหลือคือ99.99บาทก็ไปรวมยอดสะสมที่มือถือนั้นสามารถตื๊ดๆใช้จ่ายออกไปได้จริงต่อไป,ใครตังเข้ามือถือหักออโต้ก็ว่า,ตลอดธุรกรรมจับจ่ายแลกเปลี่ยนโอนตังออก รับตังเข้า กระแสเงินสะพัดหมุนเวียนทั่วไทยและทั่วโลกของคนไทยค้าขายคือวันละ100ล้านล้านบาทต่อวันแบบเวอร์ๆ,ตังที่เก็บหักออโต้ได้คือ0.01ล้านล้านบาทต่อวันนั้นเอง,กรณีบวกสาระพัดจาก0.01+0.07กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยก็คือ0.08,หรือvatแบบผีบ้าnesaraมันคิดเหมารวมที่0.14+0.01=0.15ก็สบายมาก ,จะเป็น0.15ล้านล้านบาทต่อวันหักออโต้เป็นตัวภาษีชาติไทยทันที,100วันคือ15ล้านล้านบาท,200วันคือ30ล้านล้านบาท,300วันคือ45ล้านล้านบาท,คือไม่เก็บภาษีใดๆเลย,ให้ประชาชนทำกิจกรรมเต็มที่ ใครอยากเปิดบริษัทไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล,ประชาชนมนุษย์เงินเดือนใดๆไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอะไรใดๆ,และภาษีอื่นๆก็ว่า,โดยทั้งหมดค่อยๆคลายปลดไป,จนหมดจนสมดุลได้ดังเป้า ค้าขายฮับไทยระดับโลกก็ว่า,ใครมาทำธุรกรรมบนแผ่นดิน มาเปิดสาขาตั้งสำนักงานใดๆใหญ่น้อยเข้าระบบเราคือจบ,บาทคอยน์คือสกุลเงินโลกอาจไม่ผิด ใครทำธุรกรรมผ่านบาทคอยน์เสีย0.15ไปเลยก็ว่า,หรือ0.01กรณีโอนตังรับตังเข้ามือถือมิใช่ค้าขายการตลาดหรือบริษัท.,คือเสน่หาก็ว่า, นี้มโนเพียวๆ,ระบบไทยเรากากมั้ย ถ้าล้ำๆแบบทำที่ว่าได้ทันทีมั้ย,เงินมืดเงินเทาจะตายทันที,คนควบคุมตังดิจิดัลบาทคอยน์ของไทยจึงสำคัญมากๆ,เสือกคีย์ตังผีบ้าตีประเมินผีบ้าคีย์ตัวเลขสัก10ล้านล้านบาทหรือ1,000ล้านล้านบาทคอยน์บรรลัยกินทั้งระบบแน่นอนคือฟอกเงินให้ตังเทาพินาศแน่นอนนั่นเอง,ทั้งเงินใต้ดินเงินเทาเงินเถื่อนเงินที่เข้าใจว่าหนีภาษีสไตล์นักการเมืองแหกตาหรือคนราชการแหกอกว่าฉันต้องใช้NITกับประชาชนทุกๆคนนะจะจบไปทันที,ตังเถื่อนๆใต้เงินพวกนั้นจะไร้ค่่ของจริงทันที,อย่าว่าแต่หนีภาษีที่ฉันรัฐบาลอยากเก็บภาษีกับเงินห่าเหวพวกนี้เลย,บาทเดียวสลึงเดียวอาจไม่ได้เลยเพราะระบบตังดิจิดัลที่ว่าฆ่าทิ้งพวกนั้นนี้หมด,แบงค์ชาติเอาจริงจะไม่ใครในชาติไทยนี้หลบหนีการฟอกเงินได้หรอก,แบงค์ชาติเห็นหมดล่ะทุกๆธุรกรรมของใครๆ,แบงค์ชาติไม่ใช่ของคนไทยแต่เป็นของต่างชาติของอีลิทdeep stateควบคุมสั่งการและก่อตั้ง,แบงค์ชาติผีบ้าอะไรที่รัฐบาลไทยตนเข้าควบคุมสั่งการไม่ได้,แม้ไม่ใช่รัฐบาลทหารไทยเป็นฝ่สยตรงข้ามเราก็เถอะ,เป็นรัฐบาลประชาชนคนดีๆก็ตาม มันเขียนกฎหมายกติกาสาระพัดให้โทษใครก็ตามหมายจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจกรรมกิจการของเครือข่ายdeep stateสากลข้ามมาไทยยึดไทยมรุงอักเสบแน่ถูกมันจัดการนั้นเอง, ..วาระNITเป็นวาระหนึ่งในการควบคุมมนุษย์ของแผนagenda2030นี้ล่ะ,ด้านหนึ่งในหลายๆด้านหลายๆหมากกันผิดพลาดก็ได้ แบบคาร์บอนเครดิตหรือพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นล่ะ. ..NITนี้ยังไม่มีรายละเอียดชี้แจงแก่ประชาชนชัดเจนเข้าใจตรงกันในเนื้อในใดๆเลย กะมาแบบมุกเดิมๆใช้ตังล่อ ทำแล้วได้รับเศษตังนะ บังคับมาทำไวๆเร็วด้วย,ผิดปกติประชาธิปไตย ไร้ลงมติเห็นด้วยหรือไม่แก่ประชาชน มัดมือชกโดยกระบวนฝ่ายราชการประจำอีก,ราชการประจำนี้ล่ะเหี้ยนิ่งเฉยในพื้นที่สระแก้วจนบ้านหนองจานถูกเขมรยึดทำกินเสียนานกว่า30-40ปีหลังหนีตายเขมรแดงมาไทย,ข้าราชการพื้นที่แบบนานอำเภอผู้ว่าฯจังหวัดนั้นๆละเว้นปฏิบัติหน้าที่ถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยชัดเจนด้วย,คือระบบราชการไทยล้มเหลวทั้งระบบในตัวมันเอง กากไร้ประสิทธิภาพด้วย ทุจริตเต็มบ้านเต็มเมืองก็มาจากหน่วยงานราชการเองตนปล่อยปะละเลยในตำแหน่งราชการปกครองจนเหี้ยถึงปัจจุบัน,มารีดไถประชาชนอีกผ่านให้ทุกๆคนเข้าระบบภาษี,เน้นเชื่อมโยงสุขภาพด้วยคือใครยังไม่ฉีดวัคซีน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอำนาจข้าราชการประจำกระทรวงทบวงกรมประกาศ กูจะมีสิทธิตัดสิทธิสวัสดิการมรึงๆคนไทยทั้งหมดนะหรือคนไทยคนนั้นๆถ้าขัดขืนไม่ปฏิบัติตามรัฐบอก,คือประชาชนถูกไล่ล่าถีบออกจากพวกได้นั้นเอง,หากยิ่งเจอการปกครองแบบเผด็จการฮุนเซนควบคุมระบบจะมิตายเหรอ,ขนาดกำลังทำสงคราม ยังไม่สงบสุข คลังผีบ้าเสือกกล้าหาญชิงมาประกาศห่าเหวอะไร บังคับคนในอนาคตแบบนั้น,จะมามุกแบบประกาศล่วงหน้าใส่หมวกกันน็อคล่ะ ถึงเวลากูฝ่ายราชการประจำประกาศบังคับใช้เลย,นี้คือเผด็จการจากระบบราชการไทยฝ่ายธุรการราชการไทยชัดเจน,เผลอๆคิดเล่นๆฝ่ายราชการไทยนี้ล่ะแทรกแซงระบบประชาธิปไตย ทำลายประชาธิปไตยคนไทยให้ด้อยค่า,โดยใส่คนของราชการเต็มระบบนักการเมือง,ใส่ชุดนักการเมืองจากนั้นแสดงออกสาระพัดเลวชั่วในคราบนักการเมืองที่ตนสวมใส่ว่านักการเมืองในระบบนี้เลวชั่วช้าอย่างไร แล้วมันก็เขียนกฎหมายชั่วๆเลวๆสาระพัดออกมาใช้บังคับประชาชนโดยอ้างว่านักการเมืองสั่ง นักการเมืองอนุญาตแล้วนะ,มโนในมุมหักมุมว่าเหี้ยคนข้าราชการนี้ล่ะเข้ามาเล่นการเมืองในคราบชุดนักการเมืองแล้วแดกสาระพัดสร้างความเดือดร้อนสาระพัดทิศทั่วไทยหรือคือกลุ่มอนุรักษ์นิยมอำมาตย์เจ้าพระยาขุนเจ้าผู้ดีต่างๆนี้เพื่ออะไร เพื่อตนเองจะได้มีสิทธิอันชอบธรรมคืนสถานะเดิมศักดินาเดิมผู้ดีกลับคืนมาอีกครั้ง,คือผีบ้ายศบ้าตำแหน่งบ้าปกครองให้คนเป็นทาส เห็นคนรับใช้เป็นทาสตนแล้วมีความสุขในการเหยียบมนุษย์ด้วยกันนั้นเองแบบในอดีตที่พวกนี้ชอบชมใจชื่นชูแก่ใจมันนักยิ่งนั้นเอง,เรา..ประชาชนเห็นนักการเมืองเหี้ยนี้เลวชั่วจริง เขียนกฎหมายผีบ้าจริงมากมายด้วย ยังอยากไม่ให้มีสถาบันนักการเมืองหรือสภาเลย.,นี้คือมโนเพียวๆหักมุมอีกด้าน. ..ปัจจุบันประเทศไทยสมควรกวาดล้างจริงจังต่อคนชั่วเลวทั้งในระบบนักการเมืองและในระบบราชการกันจริงจังจริงๆ, ..ผู้นำผู้ปกครองต้องสไตล์คนอารยะธรรมจักรวาลขั้นสูงลงมาเกิดในมิตินี้ที่ไทยเรา,เป็นนักปกครองมาเกิดด้วยนั้นเอง,เราปกครองกากๆมานานเกินพอแล้ว.,จนเขมรซึ่งคือแค่เขมรยังมาเหยียบประเทศไทยได้,เหยียบย้ำศักดิ์ศรีไม่พอฆ่าเด็กๆเราแบบไม่รู้ตัวด้วย,รัฐบาลชุดทหารเป็นฝ่ายจรงข้ามเราสมควรหมดอำนาจทันทีตั้งแต่ก่อนวันที่28 ก.ค.2568แล้ว,นี้คือความไม่เด็ดขาดของ ผบ.ทหารสูงสุดเรา,ถ้าส่วนตัวเป็นนายกฯจะออกพรก.ฉุกเฉินยึดอำนาจตัวเอง,จากนั้นตั้งบิ๊กปู พนา เป็น ผบ.สูงสุดเลย,รองผบ.สูงสุดคือบิ๊กกุ้ง,คุมทัพจัดการกวาดล้างเขมร เด็ดหัวฮุนเซนฮุนมาเนตทันที, ประสานลาว เวียดนามร่วมรบเพื่อจัดสรรพื้นที่เขมรจริงจัง เพราะไทยยึดเขมรเองจะน่าเกียจเกินไป,จากนั้นเริ่มปฐมบทกวาดล้างสิ่งสกปรกจริงทั้งแผ่นดินไทยจริงๆเพื่ออัพเรเวลใหม่สู่ยุคอารยะธรรมท่องจักรวาลจริงๆ.,เรื่องเขมรเป็นอะไรที่ไร้สาระมาก,ทุบทิ้งลบชื่อเขมรออกจากแผ่นที่โลกเลย.,อนาคตชื่อประเทศเขมรไม่ปรากฎในคำทำนายก็เป็นเพราะเหตุนี้ด้วยมิใช่แค่แผ่นดินเขมรมุดลงทะเลแปซิฟิกหรอกก็ว่า. https://youtube.com/watch?v=a1dOy2xO08k&si=aTzjrtvryMM7K4Eo
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล
    ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว
    เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ
    ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง
    แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !)
    เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล
    ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย
    ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน !


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !) เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • จริงๆนำโดยไทยซึ่งเป็นคู่กรณีแล้วตัวจริงและปรากฎชัดเจนร่วมกับจีน ยื่นฟ้องอาชญากรและอาชญากรรมเขมรต่อฑูตประจำประเทศไทยทั้งประสานฑูตจีนร่วมไล่ล่ายื่นฟ้องตรวจสอบสถานะการมีอยู่ของแหล่งเงินทุนเขมรที่กระจายฟอกเงินอยู่ในทุกๆประเทศทั่วโลกเพื่อตรวจสอบร่วมกันได้ ทั้งธนาคารสิงคโปร์ เกาะเคแมน เกาะฟอกเงินต่างๆด้วย ประเทศใดร่วมปกปิดปิดบังสถานะการเงินของเขมรที่เข้าไปมีธุรกรรมใดๆผิดปกติเป็นอันมากทัังที่คนในประเทศยากจนทุกข์ยากแสนสาหัส มันสวนกระแสที่ต้องนำเงินนี้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจปากท้องประเทศตนให้ดีขึ้นมีตังมากขึ้นแต่สวนทาง กลับตังไหลออกจากประเทศมากมายผิดปกติ นั้นคือกระบวนการอาชญากรรมนี้ฟอกเงินผ่านการลงทุนผ่านการถือครองทรัพย์สินในประเทศนั้นชัดเจน เสมือนประเทศนัันหรือออสเตรเลียสมรู้ร่วมคิดกับโจร รับฝากของฝากตังฝากอาวุธของๆโจรนั้นเอง ออสเตรเลียจึงมีสถานะร่วมเป็นประเทศอาชญากรรมไปด้วย ถ้าอาจแหล่งขนย้ายค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์ค้ายาเสพติดผ่านสถานะการเข้าถือครองทรัพย์สินสิทธิของประเทศออสเตรเลียอย่างถูกกฎหมายด้วย, จีนและไทยและชาติอื่นๆทั่วโลกสามารถตั้งข้อหาประเทศลักษณะออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ร่วมมีส่วนก่ออาชญากรและอาชญากรรมระดับโลกได้ด้วย.

    https://youtube.com/shorts/pBzkmL1fsAg?si=xQMxsT3pKdHQiNRf
    จริงๆนำโดยไทยซึ่งเป็นคู่กรณีแล้วตัวจริงและปรากฎชัดเจนร่วมกับจีน ยื่นฟ้องอาชญากรและอาชญากรรมเขมรต่อฑูตประจำประเทศไทยทั้งประสานฑูตจีนร่วมไล่ล่ายื่นฟ้องตรวจสอบสถานะการมีอยู่ของแหล่งเงินทุนเขมรที่กระจายฟอกเงินอยู่ในทุกๆประเทศทั่วโลกเพื่อตรวจสอบร่วมกันได้ ทั้งธนาคารสิงคโปร์ เกาะเคแมน เกาะฟอกเงินต่างๆด้วย ประเทศใดร่วมปกปิดปิดบังสถานะการเงินของเขมรที่เข้าไปมีธุรกรรมใดๆผิดปกติเป็นอันมากทัังที่คนในประเทศยากจนทุกข์ยากแสนสาหัส มันสวนกระแสที่ต้องนำเงินนี้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจปากท้องประเทศตนให้ดีขึ้นมีตังมากขึ้นแต่สวนทาง กลับตังไหลออกจากประเทศมากมายผิดปกติ นั้นคือกระบวนการอาชญากรรมนี้ฟอกเงินผ่านการลงทุนผ่านการถือครองทรัพย์สินในประเทศนั้นชัดเจน เสมือนประเทศนัันหรือออสเตรเลียสมรู้ร่วมคิดกับโจร รับฝากของฝากตังฝากอาวุธของๆโจรนั้นเอง ออสเตรเลียจึงมีสถานะร่วมเป็นประเทศอาชญากรรมไปด้วย ถ้าอาจแหล่งขนย้ายค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์ค้ายาเสพติดผ่านสถานะการเข้าถือครองทรัพย์สินสิทธิของประเทศออสเตรเลียอย่างถูกกฎหมายด้วย, จีนและไทยและชาติอื่นๆทั่วโลกสามารถตั้งข้อหาประเทศลักษณะออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ร่วมมีส่วนก่ออาชญากรและอาชญากรรมระดับโลกได้ด้วย. https://youtube.com/shorts/pBzkmL1fsAg?si=xQMxsT3pKdHQiNRf
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาไทย)
    นิทานเรื่องจริง้รื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 5 : เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาประเทศไทย ! ?)
    คงมีคนอยากรู้ ว่าแล้วมีสมันน้อยได้รับเชิญ เข้าไปร่วมใน สมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission กันบ้างไหมหนอ แหม!
    ไม่อยากบอกเลย เดี๋ยวจะหาว่าคนเล่านิทานเล่นไม่เลิก นี่ก็ว่าตามเอกสารนะ
    ก็มีล่ะซี ดูจากรายชื่อสมาชิกสมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission ปี ค.ศ. 2010 ปรากฎมีคนไทย 4 ราย บางชื่อ ไม่น่าเดากันผิด (555)
    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานธนาคาร Exim แห่งประเทศไทย
    2. มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวง ต่างประเทศ
    3. นายอานันท์ ปันยารชุน
    4. นายสารสิน วีระผล
    ชื่อที่ 3 คงไม่ต้องเขียนบรรยายสรรพคุณกันแล้ว ท่านผู้อ่านที่เคยอ่าน นิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คิดเอาเองได้ คนอ่านนิทานฉลาดกันทั้งนั้น
    แต่ชื่อที่ 4 นายสารสิน วีระผล นี่เป็นใคร มาได้ยังไง ตอบสั้น ว่าไม่รู้ แต่มีเอกสารน่าสนใจเกี่ยวกับนายสารสิน อ่านกันแล้ว ไม่รู้จะเห็นคำตอบกันหรือเปล่า
    อย่างที่เคยเล่าไว้ในนิทานจิกโก๋ปากซอย อเมริกาเมินไทยแลนด์ สมันน้อยไปนาน หลังจากสงครามเวียตนามเลิก จะกลับเข้ามาใหม่ ก็ต้องเริ่มกระชับมิตรกับบรรดานักวิ่งผลัด พี่ทหารที่รักทั้งหลาย ดังนั้นในปี ค.ศ. 2010 ช่วงที่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ กำลังรวยเอา รวยเอา ท่านแม่ทัพภาค 7 แห่งกองทัพเรืออเมริกัน ที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอเมริกาที่โอกินาวา ทนไม่ไหวต้องรีบนั่งเรือรบมาเช็คว่าบรรดานักวิ่งผลัด ยังอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมหรือเปล่า
    ที่จะเล่าต่อไปนี้ อภินันทนาการจาก การทำหล่นของ Wikileaks อ่านกันเพลินดี
    “เรื่อง Admiral Willard มาเยือนประเทศไทย
    รายงานเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010
    โดย เอกอัครราชทูต Eric G. John
    สรุปย่อ ๆ ว่า ท่านนายพล Willard ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรืออเมริกา ประจำภาคพื้นแปซิฟิก ได้มาเยี่ยมประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 2 ถึง 7 ธันวาคม ค.ศ. 2010 และได้มีการหารือกับผู้นำฝ่ายไทย ฝ่ายไทยยืนยันว่า จะให้ความร่วมมือกับกองทัพอเมริกัน และถือว่าความช่วยเหลือของอเมริกาทางการทหารเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นการดุลอำนาจในภูมิภาคนี้
    ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายอเมริกา คือ
    – Admiral Willard
etc
    ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทย
    – นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ เวชาชีวะ
    – รมว.กลาโหม ประวิตร วงศ์สุวรรณ
    – รมว.ตปท. กษิต ภิรมย์
    – ผบ.สส ทรงกิตติ จักกาบาตร์
    นอกจากนี้ Admiral Willard ยังได้หารือกับ ผบ.ทบ อนุพงศ์ เผ่าจินดา รองผบ.ทบ ประยุทธ์ จันท์โอชา รองเลขาธิการ นายก อภิสิทธิ และโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีพี และอดีตนักการทูตระดับสูง นายสารสิน วีระผล และผู้ช่วยบรรณาธิการกลุ่ม Nation Multimedia กวี จงกิจถาวร”
    เขาคุยกันเรื่องการทหาร มีนายกรัฐมนตรีกับนายทหารเข้าร่วมประชุม
กรณี ดร.ปณิธาน นั่นไม่แปลก เพราะเป็นผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
กรณีนายกวี แปลก แต่ยังพออธิบายได้ว่าเป็นสื่อ แต่ทำไมต้องเป็นสื่อนี้ และคนนี้ วันหลังต้องหาคำตอบมาแก้ข้อข้องใจ (คนเล่านิทาน)
แต่กรณีที่หาคำอธิบายไม่ได้คือ นายสารสิน วีระผล แห่งซีพีกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจขายอาหารและเมล็ดพันธ์ุพืช และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเป็นเจ้าของโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย (ถ้าท่านใดเคยอ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คงพอจำเรื่องนี้ได้นะ ถ้าไม่เคยอ่าน ก็น่าจะกลับไปอ่านกันหน่อย บางเรื่องมันต่อกัน เดี๋ยวเห็นภาพไม่ชัด) แล้วนายสารสิน มาเกี่ยวอะไรด้วยในการสนทนา ! ? !
    เอกสาร Wikileaks นี้ ทำหล่นมา2,3 ปีแล้ว ตอนที่อ่านเอกสาร เห็นชื่อนี้ก็แปลกใจ แต่พอเริ่มเขียนนิทานเรื่องนี้ และไปค้นเอกสารที่เกี่ยวข้อง เจอรายชื่อนี้ ว่าอยู่ใน Trilateral Commission ก็เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้ว และยิ่งท่านผู้อ่านนิทาน อ่านนิทานเรื่องนี้ต่อไป อาจหายแปลกใจ แต่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเลย หรือไม่ก็ดูกันไปแล้วกัน
    สำหรับชื่อหมายเลข 1 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้ลองค้นประวัติดู ได้ความว่าจบ
เศรษฐศาสตร์ ปริญญาเอก จาก John Hopkins มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ผ่านงานมาสารพัด ทั้งด้านธุรกิจและการเงิน เคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเป็นกรรมการนโยบายการเงิน (กนอ.) และอื่นๆ ยาวเหยียดเขียนไม่ไหว แต่ที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้จัดทำการวิจัยแนวนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งจะกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 – 2539)
    สำหรับหมายเลข 2 มรว.เกษมสโมสร เกษมศรี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ.2518 – 2522 (คนแรก) และตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน อเมริกา พ.ศ.2525 – 2529
    ส่วนนายสารสิน วีระผล นั้น เคยรับราชการกระทรวงต่างประเทศ ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง พ.ศ.2522 – 2524 ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงโตเกียว พ.ศ.2529 – 2531 และเป็นเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงมนิลา พ.ศ.2535 – 2538
    สำหรับหมายเลข 3 นายอานันท์ ปันยารชุน คงไม่ต้องการคำอธิบายกันมาก

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาไทย) นิทานเรื่องจริง้รื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 5 : เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาประเทศไทย ! ?) คงมีคนอยากรู้ ว่าแล้วมีสมันน้อยได้รับเชิญ เข้าไปร่วมใน สมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission กันบ้างไหมหนอ แหม! ไม่อยากบอกเลย เดี๋ยวจะหาว่าคนเล่านิทานเล่นไม่เลิก นี่ก็ว่าตามเอกสารนะ ก็มีล่ะซี ดูจากรายชื่อสมาชิกสมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission ปี ค.ศ. 2010 ปรากฎมีคนไทย 4 ราย บางชื่อ ไม่น่าเดากันผิด (555) 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานธนาคาร Exim แห่งประเทศไทย 2. มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวง ต่างประเทศ 3. นายอานันท์ ปันยารชุน 4. นายสารสิน วีระผล ชื่อที่ 3 คงไม่ต้องเขียนบรรยายสรรพคุณกันแล้ว ท่านผู้อ่านที่เคยอ่าน นิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คิดเอาเองได้ คนอ่านนิทานฉลาดกันทั้งนั้น แต่ชื่อที่ 4 นายสารสิน วีระผล นี่เป็นใคร มาได้ยังไง ตอบสั้น ว่าไม่รู้ แต่มีเอกสารน่าสนใจเกี่ยวกับนายสารสิน อ่านกันแล้ว ไม่รู้จะเห็นคำตอบกันหรือเปล่า อย่างที่เคยเล่าไว้ในนิทานจิกโก๋ปากซอย อเมริกาเมินไทยแลนด์ สมันน้อยไปนาน หลังจากสงครามเวียตนามเลิก จะกลับเข้ามาใหม่ ก็ต้องเริ่มกระชับมิตรกับบรรดานักวิ่งผลัด พี่ทหารที่รักทั้งหลาย ดังนั้นในปี ค.ศ. 2010 ช่วงที่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ กำลังรวยเอา รวยเอา ท่านแม่ทัพภาค 7 แห่งกองทัพเรืออเมริกัน ที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอเมริกาที่โอกินาวา ทนไม่ไหวต้องรีบนั่งเรือรบมาเช็คว่าบรรดานักวิ่งผลัด ยังอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมหรือเปล่า ที่จะเล่าต่อไปนี้ อภินันทนาการจาก การทำหล่นของ Wikileaks อ่านกันเพลินดี “เรื่อง Admiral Willard มาเยือนประเทศไทย รายงานเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 โดย เอกอัครราชทูต Eric G. John สรุปย่อ ๆ ว่า ท่านนายพล Willard ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรืออเมริกา ประจำภาคพื้นแปซิฟิก ได้มาเยี่ยมประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 2 ถึง 7 ธันวาคม ค.ศ. 2010 และได้มีการหารือกับผู้นำฝ่ายไทย ฝ่ายไทยยืนยันว่า จะให้ความร่วมมือกับกองทัพอเมริกัน และถือว่าความช่วยเหลือของอเมริกาทางการทหารเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นการดุลอำนาจในภูมิภาคนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายอเมริกา คือ – Admiral Willard
etc ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทย – นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ เวชาชีวะ – รมว.กลาโหม ประวิตร วงศ์สุวรรณ – รมว.ตปท. กษิต ภิรมย์ – ผบ.สส ทรงกิตติ จักกาบาตร์ นอกจากนี้ Admiral Willard ยังได้หารือกับ ผบ.ทบ อนุพงศ์ เผ่าจินดา รองผบ.ทบ ประยุทธ์ จันท์โอชา รองเลขาธิการ นายก อภิสิทธิ และโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีพี และอดีตนักการทูตระดับสูง นายสารสิน วีระผล และผู้ช่วยบรรณาธิการกลุ่ม Nation Multimedia กวี จงกิจถาวร” เขาคุยกันเรื่องการทหาร มีนายกรัฐมนตรีกับนายทหารเข้าร่วมประชุม
กรณี ดร.ปณิธาน นั่นไม่แปลก เพราะเป็นผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
กรณีนายกวี แปลก แต่ยังพออธิบายได้ว่าเป็นสื่อ แต่ทำไมต้องเป็นสื่อนี้ และคนนี้ วันหลังต้องหาคำตอบมาแก้ข้อข้องใจ (คนเล่านิทาน)
แต่กรณีที่หาคำอธิบายไม่ได้คือ นายสารสิน วีระผล แห่งซีพีกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจขายอาหารและเมล็ดพันธ์ุพืช และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเป็นเจ้าของโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย (ถ้าท่านใดเคยอ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คงพอจำเรื่องนี้ได้นะ ถ้าไม่เคยอ่าน ก็น่าจะกลับไปอ่านกันหน่อย บางเรื่องมันต่อกัน เดี๋ยวเห็นภาพไม่ชัด) แล้วนายสารสิน มาเกี่ยวอะไรด้วยในการสนทนา ! ? ! เอกสาร Wikileaks นี้ ทำหล่นมา2,3 ปีแล้ว ตอนที่อ่านเอกสาร เห็นชื่อนี้ก็แปลกใจ แต่พอเริ่มเขียนนิทานเรื่องนี้ และไปค้นเอกสารที่เกี่ยวข้อง เจอรายชื่อนี้ ว่าอยู่ใน Trilateral Commission ก็เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้ว และยิ่งท่านผู้อ่านนิทาน อ่านนิทานเรื่องนี้ต่อไป อาจหายแปลกใจ แต่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเลย หรือไม่ก็ดูกันไปแล้วกัน สำหรับชื่อหมายเลข 1 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้ลองค้นประวัติดู ได้ความว่าจบ
เศรษฐศาสตร์ ปริญญาเอก จาก John Hopkins มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ผ่านงานมาสารพัด ทั้งด้านธุรกิจและการเงิน เคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเป็นกรรมการนโยบายการเงิน (กนอ.) และอื่นๆ ยาวเหยียดเขียนไม่ไหว แต่ที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้จัดทำการวิจัยแนวนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งจะกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 – 2539) สำหรับหมายเลข 2 มรว.เกษมสโมสร เกษมศรี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ.2518 – 2522 (คนแรก) และตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน อเมริกา พ.ศ.2525 – 2529 ส่วนนายสารสิน วีระผล นั้น เคยรับราชการกระทรวงต่างประเทศ ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง พ.ศ.2522 – 2524 ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงโตเกียว พ.ศ.2529 – 2531 และเป็นเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงมนิลา พ.ศ.2535 – 2538 สำหรับหมายเลข 3 นายอานันท์ ปันยารชุน คงไม่ต้องการคำอธิบายกันมาก คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี
    – John Davison Rockefeller, Junior
    – David Rockefeller
    – Nelson A. Rockefeller
    – Laurence Rockefeller
    – John Davison Rockefeller III
    เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้
    แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย)
    ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย
    ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970
    เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ
    นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ
    โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง
    แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2) นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2) เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี – John Davison Rockefeller, Junior – David Rockefeller – Nelson A. Rockefeller – Laurence Rockefeller – John Davison Rockefeller III เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้ แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย) ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970 เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • ปฏิบัติการยึดคริปโตจากกลุ่ม Zeppelin: เมื่อความยุติธรรมไล่ทันอาชญากรรมไซเบอร์

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศยึดเงินคริปโตมูลค่ากว่า $2.8 ล้าน พร้อมเงินสด $70,000 และรถยนต์หรูจาก Ianis Aleksandrovich Antropenko ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มแรนซัมแวร์ Zeppelin ซึ่งเคยโจมตีองค์กรในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2019–2022

    Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่ใช้วิธี “double extortion” คือเข้ารหัสข้อมูลเหยื่อและขโมยข้อมูลไปด้วย จากนั้นขู่จะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยกลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรด้านสุขภาพ, เทคโนโลยี, การเงิน และแม้แต่ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน

    Antropenko และพวกใช้บริการ ChipMixer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม “ล้างรอย” เงินคริปโต เพื่อซ่อนที่มาของเงินค่าไถ่ และยังใช้วิธีแลกคริปโตเป็นเงินสดแล้วฝากแบบแบ่งยอดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากธนาคาร

    แม้ Zeppelin จะถูกระบุว่า “ล้มหาย” ไปในปี 2022 หลังนักวิจัยจาก Unit221b สร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรีให้เหยื่อ แต่ในปี 2024 มีรายงานว่าโค้ดของ Zeppelin ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคาเพียง $500 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมัลแวร์นี้ในอนาคต

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    DoJ ยึดคริปโตมูลค่า $2.8 ล้าน, เงินสด $70,000 และรถหรูจากผู้ต้องสงสัย Antropenko
    Antropenko ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงคอมพิวเตอร์และฟอกเงินในศาลรัฐเท็กซัส
    Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่ใช้วิธี double extortion
    เหยื่อถูกเข้ารหัสข้อมูลและขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่
    กลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมถึง NGO และศูนย์พักพิง
    ใช้ ChipMixer และการฝากเงินแบบแบ่งยอดเพื่อฟอกเงิน
    DoJ ออกหมายจับ 6 ฉบับในรัฐเท็กซัส, เวอร์จิเนีย และแคลิฟอร์เนีย
    Zeppelin ถูกระบุว่าเลิกใช้งานในปี 2022 หลังนักวิจัยสร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรี
    การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญปราบปรามแรนซัมแวร์ของ DoJ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zeppelin พัฒนาจาก VegaLocker และ Buran ซึ่งเป็นมัลแวร์สาย Delphi
    FBI เคยเตือนว่า Zeppelin ใช้ช่องโหว่ RDP และ SonicWall ในการเข้าถึงระบบ
    Unit221b หยุดให้บริการถอดรหัส Zeppelin แล้วในปี 2024
    มีรายงานว่า Zeppelin2 ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคา $500
    DoJ เคยยึดคริปโตจากกลุ่ม Chaos และ BlackSuit รวมกว่า $3.4 ล้าน
    ตั้งแต่ปี 2020 DoJ ยึดทรัพย์จากอาชญากรรมไซเบอร์รวมกว่า $350 ล้าน

    https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-dollars-in-cryptocurrency-has-been-confiscated-as-the-doj-cracks-down-on-an-infamous-ransomware-operator
    🕵️‍♂️ ปฏิบัติการยึดคริปโตจากกลุ่ม Zeppelin: เมื่อความยุติธรรมไล่ทันอาชญากรรมไซเบอร์ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศยึดเงินคริปโตมูลค่ากว่า $2.8 ล้าน พร้อมเงินสด $70,000 และรถยนต์หรูจาก Ianis Aleksandrovich Antropenko ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มแรนซัมแวร์ Zeppelin ซึ่งเคยโจมตีองค์กรในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2019–2022 Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่ใช้วิธี “double extortion” คือเข้ารหัสข้อมูลเหยื่อและขโมยข้อมูลไปด้วย จากนั้นขู่จะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยกลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรด้านสุขภาพ, เทคโนโลยี, การเงิน และแม้แต่ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน Antropenko และพวกใช้บริการ ChipMixer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม “ล้างรอย” เงินคริปโต เพื่อซ่อนที่มาของเงินค่าไถ่ และยังใช้วิธีแลกคริปโตเป็นเงินสดแล้วฝากแบบแบ่งยอดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากธนาคาร แม้ Zeppelin จะถูกระบุว่า “ล้มหาย” ไปในปี 2022 หลังนักวิจัยจาก Unit221b สร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรีให้เหยื่อ แต่ในปี 2024 มีรายงานว่าโค้ดของ Zeppelin ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคาเพียง $500 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมัลแวร์นี้ในอนาคต ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ DoJ ยึดคริปโตมูลค่า $2.8 ล้าน, เงินสด $70,000 และรถหรูจากผู้ต้องสงสัย Antropenko ➡️ Antropenko ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงคอมพิวเตอร์และฟอกเงินในศาลรัฐเท็กซัส ➡️ Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่ใช้วิธี double extortion ➡️ เหยื่อถูกเข้ารหัสข้อมูลและขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ ➡️ กลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมถึง NGO และศูนย์พักพิง ➡️ ใช้ ChipMixer และการฝากเงินแบบแบ่งยอดเพื่อฟอกเงิน ➡️ DoJ ออกหมายจับ 6 ฉบับในรัฐเท็กซัส, เวอร์จิเนีย และแคลิฟอร์เนีย ➡️ Zeppelin ถูกระบุว่าเลิกใช้งานในปี 2022 หลังนักวิจัยสร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรี ➡️ การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญปราบปรามแรนซัมแวร์ของ DoJ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zeppelin พัฒนาจาก VegaLocker และ Buran ซึ่งเป็นมัลแวร์สาย Delphi ➡️ FBI เคยเตือนว่า Zeppelin ใช้ช่องโหว่ RDP และ SonicWall ในการเข้าถึงระบบ ➡️ Unit221b หยุดให้บริการถอดรหัส Zeppelin แล้วในปี 2024 ➡️ มีรายงานว่า Zeppelin2 ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคา $500 ➡️ DoJ เคยยึดคริปโตจากกลุ่ม Chaos และ BlackSuit รวมกว่า $3.4 ล้าน ➡️ ตั้งแต่ปี 2020 DoJ ยึดทรัพย์จากอาชญากรรมไซเบอร์รวมกว่า $350 ล้าน https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-dollars-in-cryptocurrency-has-been-confiscated-as-the-doj-cracks-down-on-an-infamous-ransomware-operator
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate

    SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า

    แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง

    SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน
    โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า
    Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank
    โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน
    SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม
    โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank
    Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
    SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI
    การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia
    Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank
    โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
    SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    🏗️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน ➡️ โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า ➡️ Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank ➡️ โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ➡️ โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ➡️ SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI ➡️ การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ➡️ Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank ➡️ โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ➡️ SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay

    รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ

    โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง

    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด

    หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต

    รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท
    ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน
    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต
    ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO
    เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code
    ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต
    ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ
    การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท
    ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO
    รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
    QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก
    การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก
    การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน
    การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
    หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    🏖️ เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท ➡️ ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน ➡️ นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต ➡️ ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO ➡️ เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code ➡️ ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต ➡️ ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ ➡️ การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท ➡️ ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO ➡️ รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ➡️ QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก ➡️ การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก ➡️ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน ➡️ การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ➡️ หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Thailand to launch crypto-to-baht conversion for foreign tourists
    BANGKOK (Reuters) -Thailand will launch an 18-month pilot programme to allow foreign visitors to convert cryptocurrencies into baht to make payments locally, officials said on Monday, part of efforts to rejuvenate the country's critical tourist sector.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • พุทธังสแกนจ่ายแก้ทุจริต ดึงวัดเข้าระบบ e-Donation

    ข่าวอื้อฉาววงการสงฆ์ ไล่ตั้งแต่สมีแย้มวัดไร่ขิง ต่อด้วยผู้หญิงสิบบาป สีกากอล์ฟกับพระชั้นผู้ใหญ่เย่อกันคาผ้าเหลืองทั่วไทย เคสล่าสุดอย่างเจ้าคุณอลงกตแห่งวัดพระบาทน้ำพุ มีทั้งข่าวนำเงินวัดไปให้สีกา นำเงินวัดไปใช้ในทางที่ผิด และพระภิกษุสงฆ์เข้าสู่การพนันออนไลน์ สะเทือนใจพุทธศาสนิกชน ยิ่งสาวลึกยิ่งหวั่นไหวกับผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะตู้รับบริจาคที่รับเงินสดๆ ทั้งเหรียญและธนบัตร พุทธังเอากะตังใส่ตู้ ธัมมังเอากะตังใส่ตู้ สังฆังเอากะตังใส่ตู้ เอาแค่กรณีสมีแย้มกับวัดไร่ขิง เคยมีตู้บริจาคมากถึง 200 ตู้ รายได้เฉลี่ย 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ยิ่งช่วงเทศกาลหรืองานวัด รายได้วันละมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งเงินสดแผนกการเงินของวัดทุกวัน แต่การเงินวัดติดลบเพราะทุจริต เรื่องแดงถึงขั้นติดคุก

    ตำนานวัดกับการทุจริตที่พบเห็นได้บ่อย หนึ่งในนั้นคือใบอนุโมทนาบัตร ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ข่าวฉาวในอดีตพบว่ามีการขายใบอนุโมทนาบัตรในท้องตลาด บางคนใช้วิธีบริจาคให้วัด 100 บาท แต่ขอให้พระเขียนใบอนุโมทนาบัตร 10,000 บาทก็มี ครั้งหนึ่งอธิบดีกรมสรรพากร ยุคนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถึงกับบ่นว่าโกงกันเยอะขึ้น กรมไม่รู้เลยจ่ายจริงหรือไม่จริง ตรวจไม่ได้ เป็นบาป ที่รู้เยอะเพราะมีคนมาบอก เอามาขาย และเห็นขายกันในท้องตลาด บาปซ้ำสองเลย แม้ที่ผ่านมาพยายามกระตุ้นให้บริจาคผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังพบว่าวัดจำนวนมากยังไม่เข้าระบบ

    มาถึงยุคนายปิ่นสาย สุรัสวดี ตัดสินใจร่อนหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด ไปเข้าระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) พร้อมปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้การบริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป เท่ากับว่าใบอนุโมทนาบัตรได้แต่บุญ แต่ลดหย่อนภาษีไม่ได้แล้ว ผู้มีจิตศรัทธาต้องสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร และยินยอมส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเท่านั้น ข้อมูลการบริจาคจะอยู่ในระบบ D-MyTax ของกรมสรรพากร ดึงไปใช้ยื่นแบบภาษีได้ทันที

    ข้อมูลจากกรมสรรพากร พบว่ามีศาสนสถานที่เข้าร่วมระบบ e-Donation รวม 39,299 แห่ง มีธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐให้บริการ e-Donation 11 แห่ง ขณะนี้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้อำนวยความสะดวกแก่วัดในการลงทะเบียน และประสานธนาคารในพื้นที่เพื่อขอ QR Code หรือ Bar Code รับบริจาคผ่านธนาคารต่อไป

    #Newskit
    พุทธังสแกนจ่ายแก้ทุจริต ดึงวัดเข้าระบบ e-Donation ข่าวอื้อฉาววงการสงฆ์ ไล่ตั้งแต่สมีแย้มวัดไร่ขิง ต่อด้วยผู้หญิงสิบบาป สีกากอล์ฟกับพระชั้นผู้ใหญ่เย่อกันคาผ้าเหลืองทั่วไทย เคสล่าสุดอย่างเจ้าคุณอลงกตแห่งวัดพระบาทน้ำพุ มีทั้งข่าวนำเงินวัดไปให้สีกา นำเงินวัดไปใช้ในทางที่ผิด และพระภิกษุสงฆ์เข้าสู่การพนันออนไลน์ สะเทือนใจพุทธศาสนิกชน ยิ่งสาวลึกยิ่งหวั่นไหวกับผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะตู้รับบริจาคที่รับเงินสดๆ ทั้งเหรียญและธนบัตร พุทธังเอากะตังใส่ตู้ ธัมมังเอากะตังใส่ตู้ สังฆังเอากะตังใส่ตู้ เอาแค่กรณีสมีแย้มกับวัดไร่ขิง เคยมีตู้บริจาคมากถึง 200 ตู้ รายได้เฉลี่ย 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ยิ่งช่วงเทศกาลหรืองานวัด รายได้วันละมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งเงินสดแผนกการเงินของวัดทุกวัน แต่การเงินวัดติดลบเพราะทุจริต เรื่องแดงถึงขั้นติดคุก ตำนานวัดกับการทุจริตที่พบเห็นได้บ่อย หนึ่งในนั้นคือใบอนุโมทนาบัตร ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ข่าวฉาวในอดีตพบว่ามีการขายใบอนุโมทนาบัตรในท้องตลาด บางคนใช้วิธีบริจาคให้วัด 100 บาท แต่ขอให้พระเขียนใบอนุโมทนาบัตร 10,000 บาทก็มี ครั้งหนึ่งอธิบดีกรมสรรพากร ยุคนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถึงกับบ่นว่าโกงกันเยอะขึ้น กรมไม่รู้เลยจ่ายจริงหรือไม่จริง ตรวจไม่ได้ เป็นบาป ที่รู้เยอะเพราะมีคนมาบอก เอามาขาย และเห็นขายกันในท้องตลาด บาปซ้ำสองเลย แม้ที่ผ่านมาพยายามกระตุ้นให้บริจาคผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังพบว่าวัดจำนวนมากยังไม่เข้าระบบ มาถึงยุคนายปิ่นสาย สุรัสวดี ตัดสินใจร่อนหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด ไปเข้าระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) พร้อมปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้การบริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป เท่ากับว่าใบอนุโมทนาบัตรได้แต่บุญ แต่ลดหย่อนภาษีไม่ได้แล้ว ผู้มีจิตศรัทธาต้องสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร และยินยอมส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเท่านั้น ข้อมูลการบริจาคจะอยู่ในระบบ D-MyTax ของกรมสรรพากร ดึงไปใช้ยื่นแบบภาษีได้ทันที ข้อมูลจากกรมสรรพากร พบว่ามีศาสนสถานที่เข้าร่วมระบบ e-Donation รวม 39,299 แห่ง มีธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐให้บริการ e-Donation 11 แห่ง ขณะนี้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้อำนวยความสะดวกแก่วัดในการลงทะเบียน และประสานธนาคารในพื้นที่เพื่อขอ QR Code หรือ Bar Code รับบริจาคผ่านธนาคารต่อไป #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (1)
    นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (1)
    ช่วงปี ค.ศ. 1960 ศูนย์อำนาจของอเมริกาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับโดยกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นชนชั้นนำของอเมริกา (Elites) พูดง่ายๆ ว่าเป็นพวกคนรวยผู้มีอิทธิพลในสังคมชั้นสูงนั่นแหละ บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ควบคุมแนวความคิดของบรรดานักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ นักการเงินและสื่อ
    ผู้นำกลุ่มศูนย์อำนาจนี้ คือ ครอบครัว Rockefeller
    อิทธิพลของตระกูล Rockefeller มีสูงและครอบคลุมไปทั่วอย่างที่ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังไม่เคยมีตระกูลใดทำได้ถึงขนาดนี้ เขาใช้อะไรครอบอะไรคลุมล่ะ คนรวยเข้าใช้อะไรครอบขี้ข้า เงินไงล่ะ พี่น้อง แบบนี้เขาเรียกผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย หรือเปล่านะ (ฮา)
    ตระกูล Rockefeller ร่ำรวยมาจากธุรกิจน้ำมัน (ไม่ใช่ธุระกิจมือถือ ดาวเทียม นั่นมันเศรษฐีปลายแถว อย่ามาตีเสมอ) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จากบริษัท Standard Oil (ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Exxon Mobil เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1999) ของตระกูล ต่อมาก็ทำธุรกิจธนาคาร โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ซึ่งเป็น 1 ในธนาคารใหญ่ระดับโลก และด้วยเงินมหาศาลของครอบครัว ตระกูลนี้ก็เริ่มเข้าไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง (ถึงว่าซิ มันต้องรวยจากน้ำมัน ถึงจะเจ๋งจริง)
    บริษัท Standard Oil ถือเป็น ผู้ครอบครองอาณาจักรธุรกิจน้ำมัน ระดับยักษ์ใหญ่จริง ๆ เป็นอาณาจักรที่ครอบครอง บ่อน้ำมันในประเทศ 20,000 แห่ง มีท่อส่งน้ำมันยาวถึง 4,000 ไมล์ รถขนส่งน้ำมัน 5,000 คัน และมีพนักงานมากกว่า 100,000 คน เป็นบริษัทที่ทำการกลั่นน้ำมัน จำนวน 80 – 90 % ของน้ำมันโลก ตลอดศตวรรษดังกล่าว
    ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตระกูล Rockefeller เกือบจะเป็นเจ้าของตึกส่วนใหญ่ใน New York City ซึ่งรวมถึง ตึก World Trade Centre Tower, Lincoln Centre, One Chase Manhattan Plaza และ Nelson A. Rockefeller Empire State Plaza
    นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ตระกูล Rockefeller ยังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Chicago และมหาวิทยาลัย Philippines และเป็นผู้อุปถัมภ์ใหญ่ ให้แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา ที่เรียกว่า Ivy League ได้แก่
    – Harvard University
    – Dartmouth College
    – Princeton University
    – Standford University
    – Yale University
    – Massachusetts Institute of Technology (MIT)
    – Brown University
    – Columbia University
    – Cornell University
    etc.

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (1) นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (1) ช่วงปี ค.ศ. 1960 ศูนย์อำนาจของอเมริกาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับโดยกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นชนชั้นนำของอเมริกา (Elites) พูดง่ายๆ ว่าเป็นพวกคนรวยผู้มีอิทธิพลในสังคมชั้นสูงนั่นแหละ บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ควบคุมแนวความคิดของบรรดานักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ นักการเงินและสื่อ ผู้นำกลุ่มศูนย์อำนาจนี้ คือ ครอบครัว Rockefeller อิทธิพลของตระกูล Rockefeller มีสูงและครอบคลุมไปทั่วอย่างที่ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังไม่เคยมีตระกูลใดทำได้ถึงขนาดนี้ เขาใช้อะไรครอบอะไรคลุมล่ะ คนรวยเข้าใช้อะไรครอบขี้ข้า เงินไงล่ะ พี่น้อง แบบนี้เขาเรียกผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย หรือเปล่านะ (ฮา) ตระกูล Rockefeller ร่ำรวยมาจากธุรกิจน้ำมัน (ไม่ใช่ธุระกิจมือถือ ดาวเทียม นั่นมันเศรษฐีปลายแถว อย่ามาตีเสมอ) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จากบริษัท Standard Oil (ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Exxon Mobil เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1999) ของตระกูล ต่อมาก็ทำธุรกิจธนาคาร โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ซึ่งเป็น 1 ในธนาคารใหญ่ระดับโลก และด้วยเงินมหาศาลของครอบครัว ตระกูลนี้ก็เริ่มเข้าไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง (ถึงว่าซิ มันต้องรวยจากน้ำมัน ถึงจะเจ๋งจริง) บริษัท Standard Oil ถือเป็น ผู้ครอบครองอาณาจักรธุรกิจน้ำมัน ระดับยักษ์ใหญ่จริง ๆ เป็นอาณาจักรที่ครอบครอง บ่อน้ำมันในประเทศ 20,000 แห่ง มีท่อส่งน้ำมันยาวถึง 4,000 ไมล์ รถขนส่งน้ำมัน 5,000 คัน และมีพนักงานมากกว่า 100,000 คน เป็นบริษัทที่ทำการกลั่นน้ำมัน จำนวน 80 – 90 % ของน้ำมันโลก ตลอดศตวรรษดังกล่าว ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตระกูล Rockefeller เกือบจะเป็นเจ้าของตึกส่วนใหญ่ใน New York City ซึ่งรวมถึง ตึก World Trade Centre Tower, Lincoln Centre, One Chase Manhattan Plaza และ Nelson A. Rockefeller Empire State Plaza นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ตระกูล Rockefeller ยังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Chicago และมหาวิทยาลัย Philippines และเป็นผู้อุปถัมภ์ใหญ่ ให้แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา ที่เรียกว่า Ivy League ได้แก่ – Harvard University – Dartmouth College – Princeton University – Standford University – Yale University – Massachusetts Institute of Technology (MIT) – Brown University – Columbia University – Cornell University etc. คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 3

    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (3)
    เอ้า มาดูบทกระชากสร้อยของคุณนายกันหน่อย
    ตามข้อตกลง การผ่อนคลายการคว่ำบาตร ทำให้อเมริกาเปลี่ยนสถานะเป็นผู้จัดการ
    ประเทศพม่า รัฐบาลอเมริกันทำหน้าที่เป็นผู้คัดเลือก บริษัทอเมริกันที่จะมาลงทุนในพม่า เป้าหมายคือการเปิดการลงทุนเสรีในพม่า (คุ้นจัง!) เป็นการนำพม่าไปสู่การไม่มีเสถียรภาพอย่างไม่มีทางเลือก
    ทุนเสรีกำลังเดินทางเข้าพม่า อย่างเร่งรีบ เอ้า พี่หม่อง เร้ว มาเข้ากลุ่มสมาคมสมันน้อยกันได้แล้ว
    นอกจากนั้น อเมริกา ยังทำหน้าที่ ผู้กำกับการลงทุน กลต. ให้กับพม่า บริษัทใดที่มีกลุ่มทหารพม่าหรือมีส่วนเกี่ยวกับ กระทรวงกลาโหม ถือหุ้น อเมริกาถือเป็นเขื่อนไขในการพิจารณาการผ่อนปรนการคว่ำบาตร
    ยัง ยังไม่พอ
    อเมริกายังสวมบทบาท สภาปฎิรูปให้พม่าแถมไปด้วย โดยระบุเงื่อนไขว่า
    มันผู้ใดก็ตาม ที่ไม่สนับสนุนขบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิ
    มนุษยชน หรือทำการค้าขายกับทหารพม่า หรือเกาหลีเหนือ ห้ามเข้ามาร่วมขบวน
    การชำเรา เอ๊ย เปิดเสรีร่วมกับอเมริกา
    อเมริกาบอก เราใช้นโยบาย เด็กดีให้อมยิ้ม เด็กดื้อให้อมไม้บันทัด น่ากลัวจัง
    ที่เหลือเชื่อ อเมริกาทำตัวเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งพม่า กำหนดเงื่อนไข การจ่ายเงิน
    การโอนเงิน การทำรายงาน ฯลฯ เพื่อจะได้กรองให้ชัดๆ ว่ามีอาเฮีย หรือสมุน แจมมาด้วยหรือเปล่า พี่หม่อง นี่ ทำท่าจะชิง ตำแหน่งสมันน้อย ไปซะแล้ว จากสมันน้อยนุ่ง
    โจงกระเบน เป็นสมันน้อยนุ่งโสร่ง
    นอกจากนั้น ตามเงื่อนไขที่คุณนายคลินตันกำหนด ยังสนับสนุนให้บรรดา องค์การ
    สิทธิมนุษยชน NGO ซึ่ง ใกล้ชิด หรือเกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา ให้เข้าไปร่วมดูแลพม่า
    อีกด้วย ตั้งแต่ 20 เมย 2012 เป็นต้นมา
    สำหรับประเทศไทย ไข่มุกเม็ดสำคัญ ในยุทธการกระชากสร้อย เขาจะเอาไปห้อย
    ตรงไหนนะ
    ในรายงานของ Pentagon ระบุว่า ภายใต้การนำของนายกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็น
    น้องสาวของนายทักษิณ มหาเศรษฐี อดีตนายกที่อเมริกาสนับสนุน สัมพันธภาพ
    ระหว่างไทย กับ อเมริกาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไปตามทิศทางของยุทธศาสตร์กระชากสร้อย
    Pentagon ได้เจรจาอย่างเงียบเชียบกับรัฐบาลไทย ที่จะกลับมาใช้อู่ตะเภา ฐานทัพ
    ในประเทศไทย ที่อเมริกาได้สร้างตั้งแต่สงครามเวียตนาม เป็นฐานทัพที่มี runway
    ที่ยาว ถึง 2 กม เป็น runway ที่ยาวที่สุดในเอเซีย และพยายามจะให้กองทัพเรือ
    อเมริกา เข้ามาใช้ท่าเรือของไทยได้มากขึ้น เพื่อใช้จับตาดูการเคลื่อนไหว เส้นทาง
    ลำเลียงสินค้า และการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน
    แล้วชาวเรารู้เรื่องนี้กันบ้างไหม
    หรือจะปล่อยให้อยู่แต่ในความดูแลของรัฐบาลและคุณพี่ทหารนักวิ่งพลัด เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน

    คนเล่านิทาน
    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 3 ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (3) เอ้า มาดูบทกระชากสร้อยของคุณนายกันหน่อย ตามข้อตกลง การผ่อนคลายการคว่ำบาตร ทำให้อเมริกาเปลี่ยนสถานะเป็นผู้จัดการ ประเทศพม่า รัฐบาลอเมริกันทำหน้าที่เป็นผู้คัดเลือก บริษัทอเมริกันที่จะมาลงทุนในพม่า เป้าหมายคือการเปิดการลงทุนเสรีในพม่า (คุ้นจัง!) เป็นการนำพม่าไปสู่การไม่มีเสถียรภาพอย่างไม่มีทางเลือก ทุนเสรีกำลังเดินทางเข้าพม่า อย่างเร่งรีบ เอ้า พี่หม่อง เร้ว มาเข้ากลุ่มสมาคมสมันน้อยกันได้แล้ว นอกจากนั้น อเมริกา ยังทำหน้าที่ ผู้กำกับการลงทุน กลต. ให้กับพม่า บริษัทใดที่มีกลุ่มทหารพม่าหรือมีส่วนเกี่ยวกับ กระทรวงกลาโหม ถือหุ้น อเมริกาถือเป็นเขื่อนไขในการพิจารณาการผ่อนปรนการคว่ำบาตร ยัง ยังไม่พอ อเมริกายังสวมบทบาท สภาปฎิรูปให้พม่าแถมไปด้วย โดยระบุเงื่อนไขว่า มันผู้ใดก็ตาม ที่ไม่สนับสนุนขบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิ มนุษยชน หรือทำการค้าขายกับทหารพม่า หรือเกาหลีเหนือ ห้ามเข้ามาร่วมขบวน การชำเรา เอ๊ย เปิดเสรีร่วมกับอเมริกา อเมริกาบอก เราใช้นโยบาย เด็กดีให้อมยิ้ม เด็กดื้อให้อมไม้บันทัด น่ากลัวจัง ที่เหลือเชื่อ อเมริกาทำตัวเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งพม่า กำหนดเงื่อนไข การจ่ายเงิน การโอนเงิน การทำรายงาน ฯลฯ เพื่อจะได้กรองให้ชัดๆ ว่ามีอาเฮีย หรือสมุน แจมมาด้วยหรือเปล่า พี่หม่อง นี่ ทำท่าจะชิง ตำแหน่งสมันน้อย ไปซะแล้ว จากสมันน้อยนุ่ง โจงกระเบน เป็นสมันน้อยนุ่งโสร่ง นอกจากนั้น ตามเงื่อนไขที่คุณนายคลินตันกำหนด ยังสนับสนุนให้บรรดา องค์การ สิทธิมนุษยชน NGO ซึ่ง ใกล้ชิด หรือเกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา ให้เข้าไปร่วมดูแลพม่า อีกด้วย ตั้งแต่ 20 เมย 2012 เป็นต้นมา สำหรับประเทศไทย ไข่มุกเม็ดสำคัญ ในยุทธการกระชากสร้อย เขาจะเอาไปห้อย ตรงไหนนะ ในรายงานของ Pentagon ระบุว่า ภายใต้การนำของนายกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็น น้องสาวของนายทักษิณ มหาเศรษฐี อดีตนายกที่อเมริกาสนับสนุน สัมพันธภาพ ระหว่างไทย กับ อเมริกาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไปตามทิศทางของยุทธศาสตร์กระชากสร้อย Pentagon ได้เจรจาอย่างเงียบเชียบกับรัฐบาลไทย ที่จะกลับมาใช้อู่ตะเภา ฐานทัพ ในประเทศไทย ที่อเมริกาได้สร้างตั้งแต่สงครามเวียตนาม เป็นฐานทัพที่มี runway ที่ยาว ถึง 2 กม เป็น runway ที่ยาวที่สุดในเอเซีย และพยายามจะให้กองทัพเรือ อเมริกา เข้ามาใช้ท่าเรือของไทยได้มากขึ้น เพื่อใช้จับตาดูการเคลื่อนไหว เส้นทาง ลำเลียงสินค้า และการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน แล้วชาวเรารู้เรื่องนี้กันบ้างไหม หรือจะปล่อยให้อยู่แต่ในความดูแลของรัฐบาลและคุณพี่ทหารนักวิ่งพลัด เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
More Results