• รำลึกวันครู 16 มค. 2568

    ครูครับ ผมให้อภัยครับ

    ย้อนกลับไปราวปี 2530 ข้าพเจ้าอยู่ ป.5 ข้าพเจ้าชอบวาดรูปมาก และเป็นอย่างหนึ่งที่รู้สึกว่าทำได้ดีมาก ก่อนจะขึ้น ป.5 ผลงานวาดรูปของข้าพเจ้า มักจะได้ขึ้นโชว์บนบอร์ดของโรงเรียนอยู่ประจำ มันทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจมาก เมื่อขึ้น ป.5 ครูสอนวาดรูปไม่ใช่คนเดิม แต่เป็นครูพละมาสอน

    เมื่อครูพละมาสอนวาดรูป ครูไม่ได้สอนอะไร พวกเรามักจะได้เล่นในห้อง ส่วนข้าพเจ้ามักจะวาดรูปอะไรไปเรื่อย แต่ช่วงท้ายครูจะสั่งการบ้าน การบ้านแรก คือ ครูสั่งให้วาดรูปอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ ภูเขา กับ พระอาทิตย์ ข้าพเจ้าได้เล็งไว้แล้วว่าจะวาดรูปทุ่งนาเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา ตัดกับท้องฟ้าสีส้มแเดงยามเย็น ซึ่งเป็นทิวทัศน์จริงแถวบ้าน วันนั้นเป็นวันเสาร์ ข้าพเจ้าขี่จักรยานไปร่างภาพจากสถานที่จริง และพยายามจดจำรายละเอียด สีสันเบื้องหน้า ก่อนจะกลับมาลงสีน้ำที่บ้านในวันอาทิตย์ ซึ่งได้นัดเพื่อนๆ ไว้ มาวาดรูปส่งครูด้วยกัน

    ในตอนเช้าวันอาทิตย์ เพื่อนมารวมตัว และเริ่มวาดรูปกัน เมื่อเพื่อนๆ เห็นภาพวาดของข้าพเจ้า ทุกคนก็ท้วงติง เพราะมีภาพดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าปลายนา ข้าพเจ้าก็บอกเพื่อนว่า ถ้ามาดูทุ่งนาตรงนี้ เวลานี้ จะเห็นพระอาทิตย์ตกดินเสมอ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้สนใจทั้งภูเขาหรือพระอาทิตย์ เพราะเพลิดเพลินกับการผสมสี ลงสี โดยหารู้ไม่ว่า นี้จะเป็นภาพสุดท้ายที่ข้าพเจ้าวาด ในระหว่างวาดรูปลงสี ก็จะมีผู้ใหญ่แวะเวียนมาดู ส่วนใหญ่ก็จะชมข้าพเจ้า ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจใหญ่เลย

    เมื่อถึงวันที่ต้องส่งงานข้าพเจ้าเดินไปโรงเรียน โดยเอาภาพวาดออกข้างหน้า เพื่อจะให้ทุกคนเห็นและชม พลางฝันไปว่า ภาพวาดจะได้ขึ้นบอร์ดอีก ที่หน้าโรงเรียน คุณครูที่รอรับนักเรียนชื่นชมภาพวาดที่ข้าพเจ้าอวด เมื่อถึงห้องเรียน เพื่อนๆ ที่ยังไม่เห็นต่างมาดูภาพวาดและชื่นชมว่าวาดสวย แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าครูไม่ให้วาดพระอาทิตย์ ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นใจ เพราะเป็นคนเดียวที่มีพระอาทิตย์ เมื่อครูพละสอนวาดรูปเข้ามา ครูให้นักเรียนเข้าแถวเพื่อส่งภาพให้ครูดู ครูพิจารณา และให้คะแนน โดยเขียนไปบนภาพ คะแนนเต็ม 10 เพื่อนๆ ที่ส่งก่อนหน้าข้าพเจ้า ต่างได้คะแนน อยู่ในช่วง 6-8 คะแนน เมื่อใกล้ถึง ข้าพเจ้าเริ่มใจไม่ดี บรรยากาศในห้องเรียนออกจะเจี๊ยวจ๊าว เพื่อนที่ส่งแล้ว ก็ไปคุยเล่นกัน เพื่อนที่ได้คะแนนสูงก็เอาไปอวดเพื่อนคนอื่นๆ ครูไม่มองนักเรียน ดูแต่ภาพวาดแล้วให้คะแนน โดยไม่พูดอะไร

    เมื่อข้าพเจ้ายื่นภาพวาดให้ครูดู ครูเงยหน้ามอง ข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่าผิดไปแล้ว ครูตบโต๊ะ ห้องเงียบสนิท ข้าพเจ้าสะดุ้งกลัว ครูดุว่า "ก็บอกแล้ว ไม่ให้วาดรูปพระอาทิตย์ " ข้าพเจ้าก้มหน้ากลัวจับใจ อยากจะร้องไห้ แต่กลั้นไว้ ครูเขียนคะแนน 4 ข้าพเจ้าสูญเสียความมั่นใจ เดินซึมๆ กลับมาที่โต๊ะ เพื่อนมองตาม เมื่อข้าพเจ้านั่งลง ความเจี๊ยวจ๊าวกลับมา

    ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่นึกโกรธครูเลย แค่เลิกสนใจวาดรูป แค่ทำตามที่ครูสั่ง ครูให้วาดไก่ ข้าพเจ้าก็วาดแค่ไก่ โดยไม่ใส่จินตนาการหรือรายละเอียดอย่างอื่นลงไป ไม่ชวนเพื่อนมาวาดรูปด้วยกันอีกเลย หยุดวาดรูปนอกเวลาไปเลย เมื่อเดินผ่านบอร์ดที่ติดภาพวาด ข้าพเจ้าไม่เหลียวมอง เอาเข้าจริง ข้าพเจ้ายังชอบการวาดรูปอยู่ แต่กลัวเกินกว่าที่จะวาด

    ความโกรธมาเกิดขึ้นเมื่อผ่านมาหลายปีแล้ว จะเป็นความรู้สึกแบบ เวลาเห็นผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก ทำนอง "เฮ้ย! ทำแบบนั้นกับเด็กได้อย่างไงวะ" แล้วก็คิดเลยไปว่า ครูเอาหลักอะไรมาตัดสิน เป็นครูพละนะ ครูไม่เคยสอนการวาดรูปซักครั้ง ครูทำกับผมแบบนั้นได้อย่างไร แค่ครูก้มหน้า ให้คะแนนไป ไม่พูดอะไร มันคงแตกต่างกว่านี้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เกิดขึ้นภายหลัง ข้าพเจ้าทั้งโกรธและเจ็บในหัวใจ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้

    ครูครับ ตอนนี้ผมไม่โกรธครูแล้วครับ แต่ผมก็ไม่เคยวาดรูปอีกเลยครับ ผมเติบโตและฝึกฝนทักษะด้านอื่น แต่ผมยังชอบศิลปะเหมือนเดิมครับ ผ่านการชมและสัมผัสด้วยหัวใจครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมผ่านมันไปไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมเด็กเกินไป ครูเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ครูทำลายทักษะการวาดของผม ขณะเดียวกันก็สร้างให้ผมไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในอนาคตข้างหน้า ผมไม่ขอบคุณครูนะครับ เพราะครูไม่ได้ตั้งใจสอนในเรื่องนี้ ผมเรียนรู้ของผมเอง แต่ผมให้อภัยครับครู
    รำลึกวันครู 16 มค. 2568 ครูครับ ผมให้อภัยครับ ย้อนกลับไปราวปี 2530 ข้าพเจ้าอยู่ ป.5 ข้าพเจ้าชอบวาดรูปมาก และเป็นอย่างหนึ่งที่รู้สึกว่าทำได้ดีมาก ก่อนจะขึ้น ป.5 ผลงานวาดรูปของข้าพเจ้า มักจะได้ขึ้นโชว์บนบอร์ดของโรงเรียนอยู่ประจำ มันทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจมาก เมื่อขึ้น ป.5 ครูสอนวาดรูปไม่ใช่คนเดิม แต่เป็นครูพละมาสอน เมื่อครูพละมาสอนวาดรูป ครูไม่ได้สอนอะไร พวกเรามักจะได้เล่นในห้อง ส่วนข้าพเจ้ามักจะวาดรูปอะไรไปเรื่อย แต่ช่วงท้ายครูจะสั่งการบ้าน การบ้านแรก คือ ครูสั่งให้วาดรูปอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ ภูเขา กับ พระอาทิตย์ ข้าพเจ้าได้เล็งไว้แล้วว่าจะวาดรูปทุ่งนาเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา ตัดกับท้องฟ้าสีส้มแเดงยามเย็น ซึ่งเป็นทิวทัศน์จริงแถวบ้าน วันนั้นเป็นวันเสาร์ ข้าพเจ้าขี่จักรยานไปร่างภาพจากสถานที่จริง และพยายามจดจำรายละเอียด สีสันเบื้องหน้า ก่อนจะกลับมาลงสีน้ำที่บ้านในวันอาทิตย์ ซึ่งได้นัดเพื่อนๆ ไว้ มาวาดรูปส่งครูด้วยกัน ในตอนเช้าวันอาทิตย์ เพื่อนมารวมตัว และเริ่มวาดรูปกัน เมื่อเพื่อนๆ เห็นภาพวาดของข้าพเจ้า ทุกคนก็ท้วงติง เพราะมีภาพดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าปลายนา ข้าพเจ้าก็บอกเพื่อนว่า ถ้ามาดูทุ่งนาตรงนี้ เวลานี้ จะเห็นพระอาทิตย์ตกดินเสมอ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้สนใจทั้งภูเขาหรือพระอาทิตย์ เพราะเพลิดเพลินกับการผสมสี ลงสี โดยหารู้ไม่ว่า นี้จะเป็นภาพสุดท้ายที่ข้าพเจ้าวาด ในระหว่างวาดรูปลงสี ก็จะมีผู้ใหญ่แวะเวียนมาดู ส่วนใหญ่ก็จะชมข้าพเจ้า ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจใหญ่เลย เมื่อถึงวันที่ต้องส่งงานข้าพเจ้าเดินไปโรงเรียน โดยเอาภาพวาดออกข้างหน้า เพื่อจะให้ทุกคนเห็นและชม พลางฝันไปว่า ภาพวาดจะได้ขึ้นบอร์ดอีก ที่หน้าโรงเรียน คุณครูที่รอรับนักเรียนชื่นชมภาพวาดที่ข้าพเจ้าอวด เมื่อถึงห้องเรียน เพื่อนๆ ที่ยังไม่เห็นต่างมาดูภาพวาดและชื่นชมว่าวาดสวย แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าครูไม่ให้วาดพระอาทิตย์ ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นใจ เพราะเป็นคนเดียวที่มีพระอาทิตย์ เมื่อครูพละสอนวาดรูปเข้ามา ครูให้นักเรียนเข้าแถวเพื่อส่งภาพให้ครูดู ครูพิจารณา และให้คะแนน โดยเขียนไปบนภาพ คะแนนเต็ม 10 เพื่อนๆ ที่ส่งก่อนหน้าข้าพเจ้า ต่างได้คะแนน อยู่ในช่วง 6-8 คะแนน เมื่อใกล้ถึง ข้าพเจ้าเริ่มใจไม่ดี บรรยากาศในห้องเรียนออกจะเจี๊ยวจ๊าว เพื่อนที่ส่งแล้ว ก็ไปคุยเล่นกัน เพื่อนที่ได้คะแนนสูงก็เอาไปอวดเพื่อนคนอื่นๆ ครูไม่มองนักเรียน ดูแต่ภาพวาดแล้วให้คะแนน โดยไม่พูดอะไร เมื่อข้าพเจ้ายื่นภาพวาดให้ครูดู ครูเงยหน้ามอง ข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่าผิดไปแล้ว ครูตบโต๊ะ ห้องเงียบสนิท ข้าพเจ้าสะดุ้งกลัว ครูดุว่า "ก็บอกแล้ว ไม่ให้วาดรูปพระอาทิตย์ " ข้าพเจ้าก้มหน้ากลัวจับใจ อยากจะร้องไห้ แต่กลั้นไว้ ครูเขียนคะแนน 4 ข้าพเจ้าสูญเสียความมั่นใจ เดินซึมๆ กลับมาที่โต๊ะ เพื่อนมองตาม เมื่อข้าพเจ้านั่งลง ความเจี๊ยวจ๊าวกลับมา ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่นึกโกรธครูเลย แค่เลิกสนใจวาดรูป แค่ทำตามที่ครูสั่ง ครูให้วาดไก่ ข้าพเจ้าก็วาดแค่ไก่ โดยไม่ใส่จินตนาการหรือรายละเอียดอย่างอื่นลงไป ไม่ชวนเพื่อนมาวาดรูปด้วยกันอีกเลย หยุดวาดรูปนอกเวลาไปเลย เมื่อเดินผ่านบอร์ดที่ติดภาพวาด ข้าพเจ้าไม่เหลียวมอง เอาเข้าจริง ข้าพเจ้ายังชอบการวาดรูปอยู่ แต่กลัวเกินกว่าที่จะวาด ความโกรธมาเกิดขึ้นเมื่อผ่านมาหลายปีแล้ว จะเป็นความรู้สึกแบบ เวลาเห็นผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก ทำนอง "เฮ้ย! ทำแบบนั้นกับเด็กได้อย่างไงวะ" แล้วก็คิดเลยไปว่า ครูเอาหลักอะไรมาตัดสิน เป็นครูพละนะ ครูไม่เคยสอนการวาดรูปซักครั้ง ครูทำกับผมแบบนั้นได้อย่างไร แค่ครูก้มหน้า ให้คะแนนไป ไม่พูดอะไร มันคงแตกต่างกว่านี้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เกิดขึ้นภายหลัง ข้าพเจ้าทั้งโกรธและเจ็บในหัวใจ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ครูครับ ตอนนี้ผมไม่โกรธครูแล้วครับ แต่ผมก็ไม่เคยวาดรูปอีกเลยครับ ผมเติบโตและฝึกฝนทักษะด้านอื่น แต่ผมยังชอบศิลปะเหมือนเดิมครับ ผ่านการชมและสัมผัสด้วยหัวใจครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมผ่านมันไปไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมเด็กเกินไป ครูเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ครูทำลายทักษะการวาดของผม ขณะเดียวกันก็สร้างให้ผมไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในอนาคตข้างหน้า ผมไม่ขอบคุณครูนะครับ เพราะครูไม่ได้ตั้งใจสอนในเรื่องนี้ ผมเรียนรู้ของผมเอง แต่ผมให้อภัยครับครู
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้คนรอบตัวคุณ ไม่ได้สนใจหรอก ว่าคุณจะทุกข์ หรือเปล่า..สนใจแค่ว่า คุณยังมีประโยชน์สำหรับเขาไหม?..ถ้าไม่มี และส่อแวว จะมาขอความช่วยเหลือละก็...สิ่งแท้จริง จะเผยให้เห็น..
    ผู้คนรอบตัวคุณ ไม่ได้สนใจหรอก ว่าคุณจะทุกข์ หรือเปล่า..สนใจแค่ว่า คุณยังมีประโยชน์สำหรับเขาไหม?..ถ้าไม่มี และส่อแวว จะมาขอความช่วยเหลือละก็...สิ่งแท้จริง จะเผยให้เห็น..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ก่อตั้งเพจ “กล้าที่จะก้าว” พากลุ่มผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กับตำรวจไซเบอร์ ให้ช่วยตรวจสอบกรณี ร้าน เดอะ มูนบาร์ ถ่ายบัตร ปชช.ลูกค้า เชื่อถูกนำข้อมูลไปขายแก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนัน

    วันนี้ (6 ม.ค.) นายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ “กล้าที่จะก้าว” พากลุ่มผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์กับตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ขอให้ตรวจสอบสถานบันเทิงชื่อดังย่านบางใหญ่ จ.นนทบุรี และผู้เกี่ยวข้องกรณีมีการถ่ายบัตรประชาชน และใบหน้าเจ้าของบัตร โดยเชื่อว่า มีการแอบนำข้อมูลไปขายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์

    ผู้เสียหาย ให้ข้อมูลว่า เคยไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ละครั้งจะถูกถ่ายบัตรประชาชนก่อนเข้าร้านทุกครั้ง ซึ่งไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเห็นลูกค้าทุกคน โดนถ่ายบัตรประชาชนเหมือนกันหมด ตอนนั้นสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นการป้องกันความปลอดภัยของร้าน หากมีการทะเลาะวิวาทภายในร้านทางร้าน จะได้ติดตามตัวหรือให้เบาะแสกับตำรวจได้ แต่ทุกครั้งที่ไปเที่ยว วันรุ่งขึ้นจะมีลิงก์เว็บพนันออนไลน์เด้งเข้ามาผ่านไลน์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตนไม่ได้สนใจ เพราะเป็นคนไม่ได้เล่นพนันออนไลน์อยู่แล้ว

    กระทั่งมีเพจดังในเฟซบุ๊กแฉว่าร้านดังกล่าว เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ตนจึงมาปะติดปะต่อเรื่อง และสันนิษฐานว่าการที่มีข้อความชักชวนเล่นพนันออนไลน์ อาจมาจากการถูกถ่ายบัตรประชาชนก่อนเข้าสถานบันเทิง วันนี้จึงตัดสินใจมาให้ข้อมูลกับตำรวจไซเบอร์

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000001375

    #MGROnline #มูนบาร์ #themoonbar #แบนthemoonbar
    ผู้ก่อตั้งเพจ “กล้าที่จะก้าว” พากลุ่มผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กับตำรวจไซเบอร์ ให้ช่วยตรวจสอบกรณี ร้าน เดอะ มูนบาร์ ถ่ายบัตร ปชช.ลูกค้า เชื่อถูกนำข้อมูลไปขายแก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนัน • วันนี้ (6 ม.ค.) นายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ “กล้าที่จะก้าว” พากลุ่มผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์กับตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ขอให้ตรวจสอบสถานบันเทิงชื่อดังย่านบางใหญ่ จ.นนทบุรี และผู้เกี่ยวข้องกรณีมีการถ่ายบัตรประชาชน และใบหน้าเจ้าของบัตร โดยเชื่อว่า มีการแอบนำข้อมูลไปขายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ • ผู้เสียหาย ให้ข้อมูลว่า เคยไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ละครั้งจะถูกถ่ายบัตรประชาชนก่อนเข้าร้านทุกครั้ง ซึ่งไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเห็นลูกค้าทุกคน โดนถ่ายบัตรประชาชนเหมือนกันหมด ตอนนั้นสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นการป้องกันความปลอดภัยของร้าน หากมีการทะเลาะวิวาทภายในร้านทางร้าน จะได้ติดตามตัวหรือให้เบาะแสกับตำรวจได้ แต่ทุกครั้งที่ไปเที่ยว วันรุ่งขึ้นจะมีลิงก์เว็บพนันออนไลน์เด้งเข้ามาผ่านไลน์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตนไม่ได้สนใจ เพราะเป็นคนไม่ได้เล่นพนันออนไลน์อยู่แล้ว • กระทั่งมีเพจดังในเฟซบุ๊กแฉว่าร้านดังกล่าว เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ตนจึงมาปะติดปะต่อเรื่อง และสันนิษฐานว่าการที่มีข้อความชักชวนเล่นพนันออนไลน์ อาจมาจากการถูกถ่ายบัตรประชาชนก่อนเข้าสถานบันเทิง วันนี้จึงตัดสินใจมาให้ข้อมูลกับตำรวจไซเบอร์ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000001375 • #MGROnline #มูนบาร์ #themoonbar #แบนthemoonbar
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5//68

    การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ

    เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้

    แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย

    สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง

    ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร

    การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้

    และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด

    เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW)
    สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน

    UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า

    ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง***

    1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที

    2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต

    3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน

    4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน***

    ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น

    แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา***

    #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง###

    ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น***

    ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว

    ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป

    ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง***

    เดชา นฤนารท .

    4/1/68 11.25 น.
    5//68 การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้ และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW) สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง*** 1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที 2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต 3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน 4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน*** ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา*** #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง### ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น*** ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง*** เดชา นฤนารท . 4/1/68 11.25 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สุมาเต๊อะ #ฆวย
    ได้ตานายสายหิว อย่างประมาณมา ฟิล์มคิดว่ากรรรูรอดแย้ววว
    จากการแสดงบทบาท นอบน้อม ยอมรับผิด
    วันนี้ กลายเป็น ไอ่เฮี้ย กรร่าง SuS SuS
    ไอ่ประมาณก็ตีเนียน บอกไอ่ซ้งทีนฟิล์มสนิทเป็นน้องพี่หนุ่ม
    พอพี่หนุ่มบอก ไม่มีน้องแบบนี้
    ไม่สลด ตาทนายกับไอ่ฟิล์มทำหัวเราะ ยิ้มเย้ยๆ
    ช่างเค้าครับ ไม่ได้สนใจ ไอ่เฮี๊ยยยยยย
    แถมให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองไม่เคยทำผิด
    กรรรูช่วยดึงสติเมิงนะ ไปเคลิ้มตามไอ่ตานายหิวเงินอย่างไอ่ประมาณ
    สิ่งที่เมิงพูดกับบอสปัน ที่เมิงร่วมมือกับอิพัดไปแอบอ้าง
    สร้างสตอรี่ ให้พี่หนุ่มเฉียหาย ว่าเค้าเรียก 20 ลล้านอะ
    ความแตหลอที่เมิงฝากลีลาไว้ในคลิปเสียงอะ
    คนได้ยินกันทั่วประเทศ ไอ่หน้า HEE
    แต่เหตุการณ์นี้ก็มีสิ่งที่ดีอีกอย่างนึงคือ
    คนไทย ได้รู้เช่น เห็นชาติ เมิงแบบชัดเจน
    ก็ตอนที่เมิงให้สัมภาษณ์ครั้งนี้แหละ
    เก่งนักนะ ไอ่หน้า HEE
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #สุมาเต๊อะ #ฆวย ได้ตานายสายหิว อย่างประมาณมา ฟิล์มคิดว่ากรรรูรอดแย้ววว จากการแสดงบทบาท นอบน้อม ยอมรับผิด วันนี้ กลายเป็น ไอ่เฮี้ย กรร่าง SuS SuS ไอ่ประมาณก็ตีเนียน บอกไอ่ซ้งทีนฟิล์มสนิทเป็นน้องพี่หนุ่ม พอพี่หนุ่มบอก ไม่มีน้องแบบนี้ ไม่สลด ตาทนายกับไอ่ฟิล์มทำหัวเราะ ยิ้มเย้ยๆ ช่างเค้าครับ ไม่ได้สนใจ ไอ่เฮี๊ยยยยยย แถมให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองไม่เคยทำผิด กรรรูช่วยดึงสติเมิงนะ ไปเคลิ้มตามไอ่ตานายหิวเงินอย่างไอ่ประมาณ สิ่งที่เมิงพูดกับบอสปัน ที่เมิงร่วมมือกับอิพัดไปแอบอ้าง สร้างสตอรี่ ให้พี่หนุ่มเฉียหาย ว่าเค้าเรียก 20 ลล้านอะ ความแตหลอที่เมิงฝากลีลาไว้ในคลิปเสียงอะ คนได้ยินกันทั่วประเทศ ไอ่หน้า HEE แต่เหตุการณ์นี้ก็มีสิ่งที่ดีอีกอย่างนึงคือ คนไทย ได้รู้เช่น เห็นชาติ เมิงแบบชัดเจน ก็ตอนที่เมิงให้สัมภาษณ์ครั้งนี้แหละ เก่งนักนะ ไอ่หน้า HEE #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์กล่าวถึงสถานการณ์ในซีเรีย และต้องการให้ปูตินหยุดสงครามในยูเครน ไม่งั้นอาจจะมีปลายทางเดียวกัน

    “อัสซาดจบลงไปแล้ว เขาหนีออกจากประเทศไปแล้ว

    รัสเซีย รัสเซีย รัสเซีย ที่นำโดยวลาดิมีร์ ปูติน ผู้พิทักษ์ของเขายังไม่สนใจที่จะปกป้องเขาเลย และรัสเซียไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก

    พวกเขาไม่ได้สนใจปกป้องซีเรียเพราะกำลังต่อสู้กับยูเครน ซึ่งทหารรัสเซียเกือบ 600,000 นายได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ในสงครามที่ไม่ควรเริ่มต้นและอาจต้องดำเนินต่อไปตลอดกาล

    ตอนนี้รัสเซียและอิหร่านอ่อนแอลงอย่างมาก อย่างแรกเพราะยูเครนและเพราะเศรษฐกิจที่ตกต่ำของพวกเขา อีกอย่างเพราะอิสราเอลแข็งแกร่งขึ้นจากความสำเร็จของพวกเขาในการต่อสู้

    ในทำนองเดียวกัน เซเลนสกีและยูเครนต้องการทำข้อตกลงและหยุดความบ้าคลั่งนี้ พวกเขาสูญเสียทหารไปอย่างไม่จำเป็นถึง 400,000 นาย และพลเรือนอีกมากมาย

    ควรมีการหยุดยิงทันทีและเริ่มการเจรจา ชีวิตมากมายถูกละเลยโดยไม่จำเป็น ครอบครัวมากมายถูกทำลาย และหากเป็นแบบนี้ต่อไป อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและเลวร้ายยิ่งกว่านี้

    ผมรู้จักวลาดิเมียร์เป็นอย่างดี นี่คือเวลาที่เขาจะต้องลงมือทำทันที จีนสามารถช่วยได้ โลกกำลังรออยู่!”
    ทรัมป์กล่าวถึงสถานการณ์ในซีเรีย และต้องการให้ปูตินหยุดสงครามในยูเครน ไม่งั้นอาจจะมีปลายทางเดียวกัน “อัสซาดจบลงไปแล้ว เขาหนีออกจากประเทศไปแล้ว รัสเซีย รัสเซีย รัสเซีย ที่นำโดยวลาดิมีร์ ปูติน ผู้พิทักษ์ของเขายังไม่สนใจที่จะปกป้องเขาเลย และรัสเซียไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก พวกเขาไม่ได้สนใจปกป้องซีเรียเพราะกำลังต่อสู้กับยูเครน ซึ่งทหารรัสเซียเกือบ 600,000 นายได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ในสงครามที่ไม่ควรเริ่มต้นและอาจต้องดำเนินต่อไปตลอดกาล ตอนนี้รัสเซียและอิหร่านอ่อนแอลงอย่างมาก อย่างแรกเพราะยูเครนและเพราะเศรษฐกิจที่ตกต่ำของพวกเขา อีกอย่างเพราะอิสราเอลแข็งแกร่งขึ้นจากความสำเร็จของพวกเขาในการต่อสู้ ในทำนองเดียวกัน เซเลนสกีและยูเครนต้องการทำข้อตกลงและหยุดความบ้าคลั่งนี้ พวกเขาสูญเสียทหารไปอย่างไม่จำเป็นถึง 400,000 นาย และพลเรือนอีกมากมาย ควรมีการหยุดยิงทันทีและเริ่มการเจรจา ชีวิตมากมายถูกละเลยโดยไม่จำเป็น ครอบครัวมากมายถูกทำลาย และหากเป็นแบบนี้ต่อไป อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและเลวร้ายยิ่งกว่านี้ ผมรู้จักวลาดิเมียร์เป็นอย่างดี นี่คือเวลาที่เขาจะต้องลงมือทำทันที จีนสามารถช่วยได้ โลกกำลังรออยู่!”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ (29 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในหมู่ผู้ชมที่เรียกว่าแฟนข่าว สถานีข่าวท็อปนิวส์ ที่ออกอากาศผ่านทางทีวีดิจิทัล ช่องเจเคเอ็น 18 ได้วิพากษ์วิจารณ์ผังรายการประจำเดือน ธ.ค. 2567 ที่พบว่า รายการท็อปเฮดไลน์ (TOP HEADLINE) ซึ่งออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.05-15.55 น. ดำเนินรายการโดย นายสำราญ รอดเพชร และนายอุดร แสงอรุณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวท็อปนิวส์ ได้ย้ายเวลาและเพิ่มเวลาเป็นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 15.05-16.05 น. โดยมีพิธีกรเพิ่มอีก 1 คน คือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งตกใจว่ามาได้อย่างไร .ขณะเดียวกัน รายการที่ บริษัท รวมหัวทีวี จำกัด ซื้อเวลากับทางสถานีและจ้างผู้ดำเนินรายการ ได้แก่ รายการเรื่องลับมาก ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา และนายวุฒินันท์ นาฮิม ได้ลดเวลาออกอากาศจากเดิมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.10-10.55 น. เหลือทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 14.45-15.45 น. ส่วนรายการ TOP TALK เรื่องนี้ต้องเคลียร์ ดำเนินรายการโดย นายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์ จากเดิมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-14.45 น. เหลือทุกวันพุธ-ศุกร์ เวลา 14.45-15.45 น. ส่วนรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์แต่เช้า ยังออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 08.55-09.40 น. โดยทั้งสามรายการไม่ได้เป็นรายการของช่องโดยตรง.ด้าน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich วิพากษ์วิจารณ์กรณีสถานีข่าวท็อปนิวส์ นำนายจักรภพมาดำเนินรายการ ว่า "Top ten marketing mistakes ที่ปรมาจารย์ทางการตลาดอย่าง Philips Kotler เขียนไว้คือ Ambiguous market positioning สมัยนี้สื่อเลือกข้างชัดเจน สื่อบางช่องเคยชัดเจนในการต่อต้านระบอบทักษิณ มาวันนี้เอาคนรักทักษิณและยังโพสต์แซะสถาบันไปเมื่อวันก่อนมาจัดรายการ ความชัดเจนของตำแหน่งทางการตลาดหายไป เลิกเลือกข้าง เป็นสื่อที่นำเสนอทุกด้านแทน คำทำนายคือ สื่อนี้ จะไม่อยู่ยั้งยืนยง คงไปพร้อมๆ กับระบอบทักษิณที่คงจะมีจุดจบในไม่ช้า".ข้อความถัดมาระบุว่า "จักรภพ เพ็ญแข มาวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศนะครับ สมานฉันท์ ยุติความขัดแย้ง โอเค ก็ว่ากันไป ปกติผมก็ดูแต่สื่อฝั่งตรงข้ามอยู่แล้ว อันนี้ยังไม่ชัด ขนาดจะเป็นสื่อฝั่งตรงข้ามนะครับ" อีกข้อความหนึ่งระบุว่า "จักรภพ เพ็ญแข เพิ่งโพสต์กระแทกเบื้องสูง อ่านได้จากบทความ ไม่มีแผ่นดินอยู่ ของผักกาดหอม (ไทยโพสต์) เข้าใจว่าลุงเปลวเป็นคนเขียน วันนี้จักรภพ เพ็ญแขมาจัดรายการช่องที่เคยต่อต้านระบอบทักษิณอย่างเข้มแข็งแล้วนะครับ".และข้อความล่าสุด ระบุคำพูดของนายจักรภพ ว่า "พรรคเพื่อไทยต้องการใบอนุญาตนี้ เพื่อครองอำนาจอยู่ได้ เพื่อทำประโยชน์ เพิ่มอำนาจให้ประชาชน" "ถ้ามัวแต่เอาใจประชาชน โดยไม่สนใจผู้มีอำนาจเดิม ซึ่งไม่ได้สนใจประชาชนเท่าไหร่ พรรคเพื่อไทย จะสูญพันธุ์ไปก่อน" "อย่าลืมว่าชีวิตการเมือง อันดับแรก คือต้องอยู่รอดได้ ทำยังไงก็ได้อย่าให้ตาย เพราะตายก็ทำอะไรไม่ได้" และกล่าวว่า "จักรภพ เพ็ญแข พิธีกร ช่อง Top News พูดแบบนี้ หมายถึงใคร?".คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9670000114724……Sondhi X
    วันนี้ (29 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในหมู่ผู้ชมที่เรียกว่าแฟนข่าว สถานีข่าวท็อปนิวส์ ที่ออกอากาศผ่านทางทีวีดิจิทัล ช่องเจเคเอ็น 18 ได้วิพากษ์วิจารณ์ผังรายการประจำเดือน ธ.ค. 2567 ที่พบว่า รายการท็อปเฮดไลน์ (TOP HEADLINE) ซึ่งออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.05-15.55 น. ดำเนินรายการโดย นายสำราญ รอดเพชร และนายอุดร แสงอรุณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวท็อปนิวส์ ได้ย้ายเวลาและเพิ่มเวลาเป็นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 15.05-16.05 น. โดยมีพิธีกรเพิ่มอีก 1 คน คือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งตกใจว่ามาได้อย่างไร .ขณะเดียวกัน รายการที่ บริษัท รวมหัวทีวี จำกัด ซื้อเวลากับทางสถานีและจ้างผู้ดำเนินรายการ ได้แก่ รายการเรื่องลับมาก ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา และนายวุฒินันท์ นาฮิม ได้ลดเวลาออกอากาศจากเดิมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.10-10.55 น. เหลือทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 14.45-15.45 น. ส่วนรายการ TOP TALK เรื่องนี้ต้องเคลียร์ ดำเนินรายการโดย นายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์ จากเดิมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-14.45 น. เหลือทุกวันพุธ-ศุกร์ เวลา 14.45-15.45 น. ส่วนรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์แต่เช้า ยังออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 08.55-09.40 น. โดยทั้งสามรายการไม่ได้เป็นรายการของช่องโดยตรง.ด้าน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich วิพากษ์วิจารณ์กรณีสถานีข่าวท็อปนิวส์ นำนายจักรภพมาดำเนินรายการ ว่า "Top ten marketing mistakes ที่ปรมาจารย์ทางการตลาดอย่าง Philips Kotler เขียนไว้คือ Ambiguous market positioning สมัยนี้สื่อเลือกข้างชัดเจน สื่อบางช่องเคยชัดเจนในการต่อต้านระบอบทักษิณ มาวันนี้เอาคนรักทักษิณและยังโพสต์แซะสถาบันไปเมื่อวันก่อนมาจัดรายการ ความชัดเจนของตำแหน่งทางการตลาดหายไป เลิกเลือกข้าง เป็นสื่อที่นำเสนอทุกด้านแทน คำทำนายคือ สื่อนี้ จะไม่อยู่ยั้งยืนยง คงไปพร้อมๆ กับระบอบทักษิณที่คงจะมีจุดจบในไม่ช้า".ข้อความถัดมาระบุว่า "จักรภพ เพ็ญแข มาวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศนะครับ สมานฉันท์ ยุติความขัดแย้ง โอเค ก็ว่ากันไป ปกติผมก็ดูแต่สื่อฝั่งตรงข้ามอยู่แล้ว อันนี้ยังไม่ชัด ขนาดจะเป็นสื่อฝั่งตรงข้ามนะครับ" อีกข้อความหนึ่งระบุว่า "จักรภพ เพ็ญแข เพิ่งโพสต์กระแทกเบื้องสูง อ่านได้จากบทความ ไม่มีแผ่นดินอยู่ ของผักกาดหอม (ไทยโพสต์) เข้าใจว่าลุงเปลวเป็นคนเขียน วันนี้จักรภพ เพ็ญแขมาจัดรายการช่องที่เคยต่อต้านระบอบทักษิณอย่างเข้มแข็งแล้วนะครับ".และข้อความล่าสุด ระบุคำพูดของนายจักรภพ ว่า "พรรคเพื่อไทยต้องการใบอนุญาตนี้ เพื่อครองอำนาจอยู่ได้ เพื่อทำประโยชน์ เพิ่มอำนาจให้ประชาชน" "ถ้ามัวแต่เอาใจประชาชน โดยไม่สนใจผู้มีอำนาจเดิม ซึ่งไม่ได้สนใจประชาชนเท่าไหร่ พรรคเพื่อไทย จะสูญพันธุ์ไปก่อน" "อย่าลืมว่าชีวิตการเมือง อันดับแรก คือต้องอยู่รอดได้ ทำยังไงก็ได้อย่าให้ตาย เพราะตายก็ทำอะไรไม่ได้" และกล่าวว่า "จักรภพ เพ็ญแข พิธีกร ช่อง Top News พูดแบบนี้ หมายถึงใคร?".คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9670000114724……Sondhi X
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พลังจิต# ประสบการณ์ส่วนตัว ย้อนไปสัก 12 ปีก่อน ผู้เขียนนั่งสมาธิ ทุกคืนก่อนนอน..ปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่หมด ..แบบพลิกฝ่ามือเลย...เพราะอยากทดสอบ ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เชื่ออะไรยาก..ก็นั่งไปเรื่อยๆ ร่วมเดือน..ก็เข้าสมาธิไม่ได้เสียที...ก็อดทนทำไป..ทีนี้เข้าได้..แท้จะใช้เวลากว่า 3_40 นาทีกว่าจิตจะเป็นสมาธิก็ตาม...ข้ามไปเลยดีกว่า ไปถึงผลของมัน...สิ่งอื่นอาจไม่ชัดเจนหรือรับรู้ได้...แต่สิ่งนนี้รับรู้ได้เลย...ผู้เขียนขับรถติดไฟแดงอยู่ รถคันหน้าทะเบียน เลข 4 ตัว แต่ลงท้ายด้วย 20 ...เราก็นั่งมอง...ปกติ รอไฟเขียว...สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ในเลข 4 ตัวของป้ายทะเบียนนั้น เลข 20 มันตัวใหญ่ขึ้นมา แค่ 2 ตัว..คือ ใหญ่กว่าตัวข้างหน้า...ปกติเป็นคนไม่เล่นหวย...ซื้อ ล๊อตเตอรี่ ทุกครั้งที่เดินเจอ...ได้มา 50 กว่าใบ....แต่ไม่ได้เล่นใต้ดินเลย...ก็ไม่ได้สนใจอะไร...วันหวยออก..เดินห้างอยู่...พนักงานห้างร้องกัน โห่ฮิ้ว ..ได้ยินว่าเขาพูดเรื่องหวย...เราก็เลยถามว่า หวยออกอะไร...เขาบอกเลขข้างบน รางวัลที่ 1 เราก็เออไม่ถูก...กำลังจะเดินต่อ..หันหลัง..ถามว่า ข่างล่างละ เขาบอก 20 ...เราก็ยิ้มและขอบคุณ.( ไม่ซื้อเลขอื่นเลย)...แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแบบนั้นแล้ว..เพราะสิ่งแวดล้อม วัตรปฏิบัติ ไม่อำนวย...มีอีกหลายเรื่องในส่วนของ พลังจิต ว่างมาเขียนครับ
    #พลังจิต# ประสบการณ์ส่วนตัว ย้อนไปสัก 12 ปีก่อน ผู้เขียนนั่งสมาธิ ทุกคืนก่อนนอน..ปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่หมด ..แบบพลิกฝ่ามือเลย...เพราะอยากทดสอบ ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เชื่ออะไรยาก..ก็นั่งไปเรื่อยๆ ร่วมเดือน..ก็เข้าสมาธิไม่ได้เสียที...ก็อดทนทำไป..ทีนี้เข้าได้..แท้จะใช้เวลากว่า 3_40 นาทีกว่าจิตจะเป็นสมาธิก็ตาม...ข้ามไปเลยดีกว่า ไปถึงผลของมัน...สิ่งอื่นอาจไม่ชัดเจนหรือรับรู้ได้...แต่สิ่งนนี้รับรู้ได้เลย...ผู้เขียนขับรถติดไฟแดงอยู่ รถคันหน้าทะเบียน เลข 4 ตัว แต่ลงท้ายด้วย 20 ...เราก็นั่งมอง...ปกติ รอไฟเขียว...สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ในเลข 4 ตัวของป้ายทะเบียนนั้น เลข 20 มันตัวใหญ่ขึ้นมา แค่ 2 ตัว..คือ ใหญ่กว่าตัวข้างหน้า...ปกติเป็นคนไม่เล่นหวย...ซื้อ ล๊อตเตอรี่ ทุกครั้งที่เดินเจอ...ได้มา 50 กว่าใบ....แต่ไม่ได้เล่นใต้ดินเลย...ก็ไม่ได้สนใจอะไร...วันหวยออก..เดินห้างอยู่...พนักงานห้างร้องกัน โห่ฮิ้ว ..ได้ยินว่าเขาพูดเรื่องหวย...เราก็เลยถามว่า หวยออกอะไร...เขาบอกเลขข้างบน รางวัลที่ 1 เราก็เออไม่ถูก...กำลังจะเดินต่อ..หันหลัง..ถามว่า ข่างล่างละ เขาบอก 20 ...เราก็ยิ้มและขอบคุณ.( ไม่ซื้อเลขอื่นเลย)...แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแบบนั้นแล้ว..เพราะสิ่งแวดล้อม วัตรปฏิบัติ ไม่อำนวย...มีอีกหลายเรื่องในส่วนของ พลังจิต ว่างมาเขียนครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • 13-11-67/01 : หมี CNN / เล่าสู่กันฟัง" EP.12 ตอน "มหาวิบัติกรมตำหนวด กากีผยอง" เอาให้สุดซอย กฎหมาเหนือกฎหมาย อยู่ที่ใครอุ้ม? แฉอีเหลี่ยม หักหลังอีเหลี่ยม เพื่อหวังกลับมาชิมิ? กระแสปั่น อีโจ๊กยังไม่เละ ลุ้นกลับมาพร้อมเยียวยา จริงดิ? ช้าก่อน หากคุณโทรหาเราภายใน 3 นาที เราจะมีโปรไฟไหม้ มา 1 ตายยกคอก เรื่องเหี้ยๆ ไม่เคยพ้นอีกากีเสนียดแผ่นดินฉิงๆ สงสารตำหนวดชั้นผู้น้อย ตำหนวดดีดี ที่ต้องอยู่ในดงโจร เพราะมันเป็นโจรกันทั้งกรมไงล่ะ ใครล่ะ สร้างระบบโจรนี้ มรึงต้องย้อนกลับไป ปีที่อีเหลี่ยมเข้ามาจัดระเบียบกรมอีกากีใหม่หมด ทั้งหมดคือแผน CIA ทำลายรากฐาน ต้องปรับโครงสร้างก่อน ความยุติธรรมชั้นต้น สำนวน เริ่มจากอีกากี แล้วปล่อยเชื้อชั่วเข้ากรมอัยกวยต่อ ใช่! เหี้ย C มันจ้องบ่อนทำลายความมั่นคงไทย ผ่านทุกขบวนการยุติธรรม เมื่อต้นน้ำมันเหี้ย รับใช้โจร อย่าหวังจะขาวสะอาด ความยุติธรรมมีแต่ในการ์ตูน เพราะมันอยู่ที่เด็กใคร? แต่อย่าได้หนักใจไป นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบัน เชื้อชั่ว เชื้อเหี้ย ในกรมกากีเสนียดแผ่นดิน ออกลายหมดเกลี้ยง อีตำหนวดชั้นผู้ใหญ่ดาหน้าโดนคุกกันทั่ว เอี่ยมทุนสีเทา ธุรกิจมืด ซ่องโจร บ่อนการพนัน ไม่มีอะไรที่เหี้ย จัญไร ที่ตำหนวดไม่รู้ รู้หมดทุกจุด รู้ทุกอย่าง รู้ว่าของใคร? แต่ที่ไม่ทำห่าอะไร เพราะเงินมันอุดปากอยู่ อยากเลื่อนตำแหน่ง อยากรวย อยากหิวแสง ต้องมีนายใหญ่แบ็คอัพถึงจะรุ่ง อีกรมตำหนวดเนี่ย เป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก โดยเฉพาะประเทศคลั่งประชาธิปไตย กฎหมามักจะมาก่อนกฎหมายเสมอ มรึงฆ่าคนตาย จ่าย 100 ล้าน วัดครึ่งนึง กรรมการครึ่งนึง ผ่านไป 1 ปี เรื่องจบ หายเงียบ อีชั่วก็ไปทำชั่วต่อไงล่ะ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน? แต่ยามที่แสงทำงาน จะลากไอ้อีสารพัดเหี้ยทั้งหมด เข้าตาราง ความจริงจะโผล่มา กระแสปัญญาชนจะก่อเกิด อีตำหนวดหมดราคา สภาพไม่ต่างกับโจร? กรมอัยกวยที่หนักแผ่นดิน จะถูกล้างบางในพศ.นี้ ทุกความระบำอัปรีย์จัญไรทั้งหลายที่มรึงประสบมา จะถูกล้างทั้งหมด โดยการ "แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ" ฉบับวังและชาติมาก่อนประชาธิปไตยตอแหล เอาให้สุดซอย สุดติ่งกระดิ่งเหี้ยกันไปเลย ประชาชนหมดศรัทธากับขบวนการยุติธรรมต้นน้ำของไทยแล้ว แสงถึงต้องออกโรงเอง งวดนี้ ตายยกโคตรเหี้ย ทั้งขบวนการ ไม่ใช่ใครอื่น ส้นตรีนบู๊ทตรีนโตเข้ามาชำระล้างให้เอง เมื่อมรึงอยู่กันดีดีไม่ได้ ต้องหาเรื่องให้ชาวบ้านเดือดร้อน อันธพาลครองเมือง ก็อย่าได้เสพสุขกันอีกต่อไป สั้นๆ คือทหารจัดระเบียบกรมตำหนวดใหม่หมด ไม่สิ ต้องเรียก "ผู้ใหญ่สั่งตรงมาเอง" เห็นแสงปลายอุโมงค์ชัดเจน มันโดดเด่นมว๊าก! ไม่ว่าจะอีโจ๊กคนอร์ อีขาใหญ่แค่ไหน ก็แค่ขี้ตรีนกองทัพ ฟังๆ ชัด จากปากณัชชาน่ะจ๊ะ "ขี้ตรีนกองทัพ" รถถังออก GMC ผุด โผล่ทุบทั้งสถานีก็เคยมาแล้ว ใหญ่แค่ไหน ก็ไม่พ้นอวสานเซลล์แมน ดีออก? ไม่แปลกที่อีเหลี่ยมถูกหักหลังยับ ทั้งพรรคร่วม ทั้งลูกน้องเก่า ทั้งคนใกล้ชิด เพราะหน้าที่ขี้ข้าคือเอาตัวรอดจ๊ะ..นายจ๋า ขายนายตัวเอง เพื่อไต่เต้าสูงกว่า หรือความอยู่รอดถาวร สันดานขี้ข้า เป็นเช่นนี้ทั่วแกแลคซี่ เผานายเก่าแลกผลงาน จะฆ่าเหี้ย ต้องให้เหี้ยลงมือกันเอง ไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ ไม่ต้องเปลืองคนดีดีให้ติดเสนียด สรุปกลกามกรมตำหนวด ปล่อยเหี้ยตัวเล็ก เพื่องับเหี้ยตัวใหญ่ ตัวบงการ เสร็จกิจแล้วค่อยเชือดทีหลัง นี่มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แผนพิชัยสงคราม ใช้กันบ่อย อีโจ๊กคนอร์สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี เล่นให้เป็น อ่านเกมส์ให้ขาด จะไม่ต๊กกะใจ! ถามสั้นๆ เผาอีเหลี่ยมชาติชั่ว กับเผาอีโจ๊กคนอร์ มรึงอยากให้ใครตายห่าก่อนกันล่ะ? กลวิธีเค้ามี วิธีการไม่สำคัญ เป้าหมายสำเร็จคือชัยชนะ! ใครล่ะ จะฆ่านายใหญ่ได้ หากไม่ใช่ขี้ข้าใกล้ตัว? มหากาพย์ชั้น 14 ก็จะตายห่ายกโคตรเหี้ยก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน ศรีธนญชัยเดินหมากหลายชั้น ธรรมดาซะที่ไหนกันล่ะ? ไม่อยากพูด แม้แต่ชั้นระดับผู้พิพากษา ก็ถูกเช็คบิลได้เช่นกัน หากมีพิรุจ อุ้มเหี้ย หลักฐานเค้ามี แค่รอเหยื่อดิ้น ชั่วโมงนี้ ไม่มีใครไว้ใจใครได้อีกแล้ว เหี้ยหักหลังกันเกลื่อน? นี่ล่ะ วังวนเหี้ยแท้จริง! เอ้า..เห้ย ไม่ตรงปกนี่หว่า จะข้ามรุ่นล่อลุงสนธิ ข่าวปล่อยอีเดชอบแดร๊กถั่วดำ ออกมากลางโซเชี่ยล ฮาแตก ชอบไม้ป่าเดียวกันเหรอจ๊ะ..ตะเอง ดูทรงแล้ว สายเหลืองนี่หว่า? 555+ ยังไม่ทันจะเริ่ม ก็เสียหมา เสียทรงซะแว๊ว อยากโดนแฉอีกเหรอจ๊ะ? งวดนี้ อีเด ถูกจัดหนักแน่ เสี้ยนจัดน่ะมรึง! ด้านอีต้มตุ๊ด เยี่ยวแตก ขนาดอีทนายสายบัวตอแหลยังพลิกลิ้น ชิ่งหนีดีกว่า โอกาสตายร่วมสูง หลังอีนุ อีสา ถูกจับมารีด(นมวัว) คายออกหมดเปลือก จะเหลือเหี้ยอะไรอีกเนี่ย สรุปคือ 39 ล้านคือดอกฆ่าจริง 71 ล้านแค่ดอกโหมโรง เพ่อ้อยไม่ถอนฟ้อง ไปสุดซอยเท่านั้น อีเมียดิ้นพล่าน กูไม่รู้ ไม่เกี่ยว สายเกินปุยมุย? เชิญไปอวดรวยกันต่อในคุกน่ะจ๊ะ สายเบ็ดรอมรึงอยู่เพี๊ยบ ข้ามมาดูโลกตอแหลกันต่อ : อีเสี้ยนยาชะตาขาด หมดหนทาง อ้อนอีทรัมปป์ ยกแผ่นดินให้เลย แค่ต่อลมหายใจกูหน่อย? อีทรัมปป์คงสนแผ่นดินเน่าๆ เนี่ยน่ะ เพราะรู้อยู่แล้ว ยังไงรัสเซียเขมือบแน่ ถามส้นตรีนปูตินรึยัง? พวกมรึงมีปัญญาเหรอ? เกมส์อยู่ในมือใคร? ใครกำหนดทิศทางโลกทุกวันนี้ ใช่มรึงเหรอ? จีนเขยิบ รัสเซียขยับ โลกตามทันที ยังไม่สำเหนียก อีทรัมปป์มันมาเพื่อแตกอเมริกา ไม่ได้มากู้อเมริกา แล้วใยกู้ต้องมาช่วยกู้แผ่นดินเน่ามรึงด้วยล่ะ อีเสี้ยนยาจ๋า? ชั่วโมงนี้ ใครกล้าชนรัฐบุรุษปูติน สีจิ้นผิง ไม่มี? แค่ BRICS ยังแห่กันตามหมดทั้งโลก มรึงมัน NOBODY แล้ว ไอ้สัส! พอก่อน พอได้แล้ว อียิวขี้แตกแล้ว โดนทั้งซูเปอร์โซนิค ตามด้วยไฮเปอร์โซนิค แบบลืมหายใจ ถามจริง มรึงมีเยอะเกินไปป่ะ? อะไรน่ะ ยังเหลืออีกเป็นล้านลูก ไอ้สัส! ผลิตออกมาเยอะเกินปุยมั้ย? เอาไปยิงหมาเหรอ? สาย HARDCORE บ่นยับ? ทำไมไม่ฆ่าล้างโคตรมันไปเลย 24 ชม. รอเหี้ยอะไรอยู่ ยึดแผ่นดินแม่งให้เกลี้ยง คำถามนี้ ต้องไปดูว่า ขั้วใหม่ รัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง เค้าต้องการอะไรแท้จริง "หาใช่ชัยชนะในสมรภูมิ" แต่เป็นทุบหม้อข้าวเหี้ย ทำลายคลังแสง คลังเงิน ไอ้อีตะวันตกจนไม่เหลือเหี้ยอะไรอีก เมื่อหมดตูด มรึงก็แค่ "ไอ้ยาจก" ไม่มีจะแดร๊ก แล้วจะมีปัญญาทำเหี้ยอะไรต่อได้อีก ทุบที่หม้อข้าว นี่คือยุทธศาสตร์หลัก ที่ขั้วใหม่ทำอยู่ อย่าลืมน่ะว่า เหือบครึ่งปีแล้ว ที่ท่าเรือไฮฟา ไม่มีสินค้าเข้ามาเลย เรือขนส่งเข้าไม่ถึง ความช่วยเหลือเข้าไม่ได้ แม้แต่กองเรือเหี้ยยังไม่กล้าเข้ามาผ่านทะเลแดง แปลว่าอะไร ยุทธศาสตร์ อิหร่าน รัสเซีย จีน ครองน่านน้ำ น่านฟ้าไว้หมดแล้ว ภาษาทหารคือ ยึดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบคุณยายละม่อม แต่ไม่ต้องรีบฆ่า บีบให้มันอดอยาก ปากแห้งไปเรื่อยๆ เพื่อดึงขี้ข้าที่หิวโซย้ายขั้วนั่นเอง เมื่อแขนขาถูกหั่น เหี้ยก็จบ ไม่มีเครื่องมือให้ใช้ต่ออีกแล้ว อีโง่ยุโรปก็เช่นกัน หลังอีเบียร์ อีเศษฝรั่ง อีอัสซูรี่ หมดตูดไปเยอะ เศรษฐกิจพังยับทั้งยุโรป ชาติเล็กๆ แข็งข้อขึ้นมาทันที จะรีบย้ายขั้วไปเกาะรัสเซีย เพราะมั่นคง และมั่นใจกว่าเยอะ แผนแตก EU NATO จึงก่อเกิด เงินไม่มี พลังงานไม่เหลือ ใครจะตามมรึงกันอีกล่ะ? 10 ชาติยุโรปสัญญาปากเปล่ากันแล้ว ไปพร้อมกันทั้งยวง เครมลินเตรียมเปิดวังต้อนรับเสมอ? กลับบ้านเถอะลูก รักรออยู่!

    ปล.มาตามนัด! กูว่าแล้ว ยังไม่ทันจะสาบานตน อีมรัมปป์เรียกโพยแต่หัววัน เตรียมหั่นนายพลทิ้ง เปลืองภาษี เปลืองงบ ตั้งคณะกรรมการโละนายพล(โดยเฉพาะหมารับใช้อีลา ซึ่งมีเพี๊ยบ) เตรียมงัดข้ออีตาเพน กูเดาทางถูกเสมอ? ยังไม่จบ ไอ้อีตัวไหน ใครที่ลากทรัมปปืเข้าคุก ยัดข้อหา ใส่ร้าย ป้ายสี ล่อกู 100 กว่าคดี มรึงเตรียมโดนโละเช่นกัน ผู้พิพากษาเหรอ รัฐไหนเหรอ ใหญ่แค่ไหนเหรอ อีทรัมปป์จะเชือดเหี้ยให้เหี้ยดู เพราะอำนาจกูคือประกาศิต เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ชำระแค้นก่อน คือทรัมปป์ งานสร้าง TRUMP LAND คือเรื่องต่อไป ข้ามวิกแป๊บ : อย่าดูแค่เปลือก ดร.อาทิตย์(ตัวชงมาเอง) ถามสั้นๆ ข้องใจทำไม ‘พระบรมราชโองการ-คำพิพากษาศาลฎีกา’ ไม่มีความหมาย? ขัดขืน ฝ่าฝืนเพี๊ยบ ดอกนี้ ชงให้ทุกคดีที่อีเหลี่ยม อีลูกสาวร่าน ทำโดยตรง เค้ารู้กัน ศาลรับลูก 15 คดีในมือ โดนทุกดอก "ประหารชีวิตยังน้อยไป" ตัวชงมา ตัวตบรับ มันคือ "ยาเร่ง" บีบให้เหี้ยทั้งหมดเผ่นหนีให้หมด ก่อนศาลจะฟันดาบลงมา จะหนีไม่ทันแล้วน่ะ? ไม่มีบังเอิญ มีแต่บังอาจ กระแสต่อต้านคอรัปชั่นแรงเกินห้ามใจ มันโดดเด่นเสียเหลือเกินช่วงนี้ เพราะแสงอีกแล้วครับท่าน! ทุนเทา ทุนม่วง ตายห่า ศพเกลื่อนศาล ลาก่อน "อีฟิล์มโกดัก" คิดผิด ชีวิตจบ เงิน อำนาจ ตัณหา พามรึงไปตายห่า ใครเล่นการเมือง ชีวิตมีอันเป็นไปหมด ดาราอยากเกิด ไฮโซอยากดัง แตะสิ่งปนเปื้อน สลัดไม่ออก ถูกกลืนเหมือนกันหมด วังวนการเมืองคืออาจมเสนียดแผ่นดิน ใครลองได้เสพ หลงใหลอำนาจ ตายห่าหมดเกลี้ยง? ไอ้สัส! กลัวไทยไม่ดัง ก่อการร้ายอ้าง เตรียมสอยอียิวในเกาะพงัน FULL MOON PARTY ทำไมต้องเลือกงานนี้ เพราะมันดังไประดับโลก หากเป็นข่าว อียิวตายห่ากลางวงปาร์ตี้ กราดยิง ระเบิดลง ดังพลุแตกแน่ แล้วทำไม ถึงบอกล่วงหน้า? จะดึงไทยเข้าร่วมสงครามครูเสดด้วยเหรอจ๊ะ? ตำหนวดไทยเก่ง มรึงช่วยโฆษณาให้ กูยินดี ถามว่าคนทั้งโลกแห่มา เค้าสนมั้ย? คนมันมาเพื่อจะเล่นยา ระเบิดลงหัวก็ไม่กลัวดอก? FULL MOON PARTY แท้จริงคืออะไร? SEX DRUG DRINK DANCE PARTY มันคืองานมั่วสุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊ม? ฝรั่งมันชอบ ใครสนกราดยิงกันล่ะ? เพราะกูเมายาอยู่ ไม่รู้เรื่อง? โปรดสังเกตุ อียิวพยายามจะลากไทยเข้ามามีเอี่ยวทุกเรื่อง มรึงรักกูมากมายขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำลายหยดมาตั้งแต่ปีพศ.2475 สิน่ะ แห้วแดร๊ก เพราะสมเด็จย่า? สื่อใครลง สื่อใครแฉ นั่นแหละ ตัวปล่อยแผน? แผนเก่าๆ เน่าๆ ยังกล้ามาใช้? หน่วยความมั่นคงเค้ารู้หมดเกลี้ยง เชิญเข้ามาเหอะ เดี๋ยวกูจะให้มรึงมั่วยาเต็มที่ จนลืมกลับบ้านกันไปเลย? รัสเซีย เล่นเกมส์ จับมืออีทรัมปป์ บับให้อีเสี้ยนยาเลือกตั้ง แน่นอนว่า "โปรรัสเซียมาชัวร์ ไม่ต้องเดา" เพราะชาวยูเครนที่เหลือตายห่าเพราะสงครามไปเยอะแล้ว ใครยังอยากจะรบกันต่ออีก นีโอนาซีในยูเครนตายเกลื่อน ปูตินสั่งเน้น เก็บไอ้อีนีโอนาซีทุกตัว ไม่ต้องปราณี ไม่ต้องถามเยอะ เห็นปุ๊บ สอยทันที หนักแผ่นดิน! แผนสร้างปชต.ตอแหลใหม่ แค่เกมส์บังหน้า รัสเซียเค้าวางหมากล่อเหยื่อไว้หมดแล้ว ประกาศ 4 แคว้นเป็นของรัสเซียโดนสมบูรณ์ เลือกตั้งมา คืออีเสี้ยนยาเตรียมเผ่นแน่ ถูกสั่งเก็บจากทั่วโลก อีทรัมปป์ไม่ได้สนใจแผ่นดินยูเครน แต่สนใจว่ารัสเซียจะยอมถอยให้เรื่องอะไรได้บ้าง ข้อดีของอีทรัมปป์คือ ทุกอย่างเจรจาได้หมด แม้แต่ขายลูก ขายเมีย พ่อค้าตัวจริง! ขั้วใหม่ชนะไปแล้ว ตั้งแต่อีทรัมปป์มา แสดงให้โลกเห็นว่า คนเบื่อหน่ายสงคราม และอเมริกาและตะวันตก คือต้นตอของความวินาศฉิบหายทั้งหมด NATO ไร้ราคา ส่วน EU ถังแตกยับเยิน หมดสภาพทั้งคู่ โลกรอแค่ ขั้วใหม่ "ปิดเกมส์" เท่านั้น

    ปล.2 คำถามแก้เครียด? คุณคิดว่าสาวยุคไหน SEXY ที่สุด? 60 'S/70 'S/80 'S/90 'S/00-20 'S

    หมี CNN(อะไรก็ไปไวมาไวเสมอ เพราะแสงทำงานเร็ว ไม่มีอะไรที่จะหนีรอดแสงไปได้ ยามเมื่อสาดส่อง เหี้ยจัญไรทั้งสากลโลกทั้งหลายกำลังถูกแสงแผดเผาทั้งเป็น สงครามจะหยุดขยายวงกว้าง แต่จะเกิดสงครามภายในกันเอง เพราะเกมส์มันถึงทางตันแล้ว หากไม่อยากตายหมู่ ตายยกทวีป ทางรอดเดียวคือ "เคลียร์กันเอง" เมื่อภายในจบ ถึงจะได้ข้อสรุป อยู่ในแผนขั้วใหม่ทั้งสิ้น จีน รัสเซีย ถึงยังไม่ลงมือเองซักกะที รอเหี้ยกัดกันให้พอใจ เหลือตัวสุดท้ายค่อยมาคุยกับกู หมากล้อมจีนชนะ หมากรุกพิฆาตเอาอยู่)
    13 พฤศจิกายน 67
    12.22 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatch
    13-11-67/01 : หมี CNN / เล่าสู่กันฟัง" EP.12 ตอน "มหาวิบัติกรมตำหนวด กากีผยอง" เอาให้สุดซอย กฎหมาเหนือกฎหมาย อยู่ที่ใครอุ้ม? แฉอีเหลี่ยม หักหลังอีเหลี่ยม เพื่อหวังกลับมาชิมิ? กระแสปั่น อีโจ๊กยังไม่เละ ลุ้นกลับมาพร้อมเยียวยา จริงดิ? ช้าก่อน หากคุณโทรหาเราภายใน 3 นาที เราจะมีโปรไฟไหม้ มา 1 ตายยกคอก เรื่องเหี้ยๆ ไม่เคยพ้นอีกากีเสนียดแผ่นดินฉิงๆ สงสารตำหนวดชั้นผู้น้อย ตำหนวดดีดี ที่ต้องอยู่ในดงโจร เพราะมันเป็นโจรกันทั้งกรมไงล่ะ ใครล่ะ สร้างระบบโจรนี้ มรึงต้องย้อนกลับไป ปีที่อีเหลี่ยมเข้ามาจัดระเบียบกรมอีกากีใหม่หมด ทั้งหมดคือแผน CIA ทำลายรากฐาน ต้องปรับโครงสร้างก่อน ความยุติธรรมชั้นต้น สำนวน เริ่มจากอีกากี แล้วปล่อยเชื้อชั่วเข้ากรมอัยกวยต่อ ใช่! เหี้ย C มันจ้องบ่อนทำลายความมั่นคงไทย ผ่านทุกขบวนการยุติธรรม เมื่อต้นน้ำมันเหี้ย รับใช้โจร อย่าหวังจะขาวสะอาด ความยุติธรรมมีแต่ในการ์ตูน เพราะมันอยู่ที่เด็กใคร? แต่อย่าได้หนักใจไป นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบัน เชื้อชั่ว เชื้อเหี้ย ในกรมกากีเสนียดแผ่นดิน ออกลายหมดเกลี้ยง อีตำหนวดชั้นผู้ใหญ่ดาหน้าโดนคุกกันทั่ว เอี่ยมทุนสีเทา ธุรกิจมืด ซ่องโจร บ่อนการพนัน ไม่มีอะไรที่เหี้ย จัญไร ที่ตำหนวดไม่รู้ รู้หมดทุกจุด รู้ทุกอย่าง รู้ว่าของใคร? แต่ที่ไม่ทำห่าอะไร เพราะเงินมันอุดปากอยู่ อยากเลื่อนตำแหน่ง อยากรวย อยากหิวแสง ต้องมีนายใหญ่แบ็คอัพถึงจะรุ่ง อีกรมตำหนวดเนี่ย เป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก โดยเฉพาะประเทศคลั่งประชาธิปไตย กฎหมามักจะมาก่อนกฎหมายเสมอ มรึงฆ่าคนตาย จ่าย 100 ล้าน วัดครึ่งนึง กรรมการครึ่งนึง ผ่านไป 1 ปี เรื่องจบ หายเงียบ อีชั่วก็ไปทำชั่วต่อไงล่ะ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน? แต่ยามที่แสงทำงาน จะลากไอ้อีสารพัดเหี้ยทั้งหมด เข้าตาราง ความจริงจะโผล่มา กระแสปัญญาชนจะก่อเกิด อีตำหนวดหมดราคา สภาพไม่ต่างกับโจร? กรมอัยกวยที่หนักแผ่นดิน จะถูกล้างบางในพศ.นี้ ทุกความระบำอัปรีย์จัญไรทั้งหลายที่มรึงประสบมา จะถูกล้างทั้งหมด โดยการ "แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ" ฉบับวังและชาติมาก่อนประชาธิปไตยตอแหล เอาให้สุดซอย สุดติ่งกระดิ่งเหี้ยกันไปเลย ประชาชนหมดศรัทธากับขบวนการยุติธรรมต้นน้ำของไทยแล้ว แสงถึงต้องออกโรงเอง งวดนี้ ตายยกโคตรเหี้ย ทั้งขบวนการ ไม่ใช่ใครอื่น ส้นตรีนบู๊ทตรีนโตเข้ามาชำระล้างให้เอง เมื่อมรึงอยู่กันดีดีไม่ได้ ต้องหาเรื่องให้ชาวบ้านเดือดร้อน อันธพาลครองเมือง ก็อย่าได้เสพสุขกันอีกต่อไป สั้นๆ คือทหารจัดระเบียบกรมตำหนวดใหม่หมด ไม่สิ ต้องเรียก "ผู้ใหญ่สั่งตรงมาเอง" เห็นแสงปลายอุโมงค์ชัดเจน มันโดดเด่นมว๊าก! ไม่ว่าจะอีโจ๊กคนอร์ อีขาใหญ่แค่ไหน ก็แค่ขี้ตรีนกองทัพ ฟังๆ ชัด จากปากณัชชาน่ะจ๊ะ "ขี้ตรีนกองทัพ" รถถังออก GMC ผุด โผล่ทุบทั้งสถานีก็เคยมาแล้ว ใหญ่แค่ไหน ก็ไม่พ้นอวสานเซลล์แมน ดีออก? ไม่แปลกที่อีเหลี่ยมถูกหักหลังยับ ทั้งพรรคร่วม ทั้งลูกน้องเก่า ทั้งคนใกล้ชิด เพราะหน้าที่ขี้ข้าคือเอาตัวรอดจ๊ะ..นายจ๋า ขายนายตัวเอง เพื่อไต่เต้าสูงกว่า หรือความอยู่รอดถาวร สันดานขี้ข้า เป็นเช่นนี้ทั่วแกแลคซี่ เผานายเก่าแลกผลงาน จะฆ่าเหี้ย ต้องให้เหี้ยลงมือกันเอง ไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ ไม่ต้องเปลืองคนดีดีให้ติดเสนียด สรุปกลกามกรมตำหนวด ปล่อยเหี้ยตัวเล็ก เพื่องับเหี้ยตัวใหญ่ ตัวบงการ เสร็จกิจแล้วค่อยเชือดทีหลัง นี่มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แผนพิชัยสงคราม ใช้กันบ่อย อีโจ๊กคนอร์สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี เล่นให้เป็น อ่านเกมส์ให้ขาด จะไม่ต๊กกะใจ! ถามสั้นๆ เผาอีเหลี่ยมชาติชั่ว กับเผาอีโจ๊กคนอร์ มรึงอยากให้ใครตายห่าก่อนกันล่ะ? กลวิธีเค้ามี วิธีการไม่สำคัญ เป้าหมายสำเร็จคือชัยชนะ! ใครล่ะ จะฆ่านายใหญ่ได้ หากไม่ใช่ขี้ข้าใกล้ตัว? มหากาพย์ชั้น 14 ก็จะตายห่ายกโคตรเหี้ยก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน ศรีธนญชัยเดินหมากหลายชั้น ธรรมดาซะที่ไหนกันล่ะ? ไม่อยากพูด แม้แต่ชั้นระดับผู้พิพากษา ก็ถูกเช็คบิลได้เช่นกัน หากมีพิรุจ อุ้มเหี้ย หลักฐานเค้ามี แค่รอเหยื่อดิ้น ชั่วโมงนี้ ไม่มีใครไว้ใจใครได้อีกแล้ว เหี้ยหักหลังกันเกลื่อน? นี่ล่ะ วังวนเหี้ยแท้จริง! เอ้า..เห้ย ไม่ตรงปกนี่หว่า จะข้ามรุ่นล่อลุงสนธิ ข่าวปล่อยอีเดชอบแดร๊กถั่วดำ ออกมากลางโซเชี่ยล ฮาแตก ชอบไม้ป่าเดียวกันเหรอจ๊ะ..ตะเอง ดูทรงแล้ว สายเหลืองนี่หว่า? 555+ ยังไม่ทันจะเริ่ม ก็เสียหมา เสียทรงซะแว๊ว อยากโดนแฉอีกเหรอจ๊ะ? งวดนี้ อีเด ถูกจัดหนักแน่ เสี้ยนจัดน่ะมรึง! ด้านอีต้มตุ๊ด เยี่ยวแตก ขนาดอีทนายสายบัวตอแหลยังพลิกลิ้น ชิ่งหนีดีกว่า โอกาสตายร่วมสูง หลังอีนุ อีสา ถูกจับมารีด(นมวัว) คายออกหมดเปลือก จะเหลือเหี้ยอะไรอีกเนี่ย สรุปคือ 39 ล้านคือดอกฆ่าจริง 71 ล้านแค่ดอกโหมโรง เพ่อ้อยไม่ถอนฟ้อง ไปสุดซอยเท่านั้น อีเมียดิ้นพล่าน กูไม่รู้ ไม่เกี่ยว สายเกินปุยมุย? เชิญไปอวดรวยกันต่อในคุกน่ะจ๊ะ สายเบ็ดรอมรึงอยู่เพี๊ยบ ข้ามมาดูโลกตอแหลกันต่อ : อีเสี้ยนยาชะตาขาด หมดหนทาง อ้อนอีทรัมปป์ ยกแผ่นดินให้เลย แค่ต่อลมหายใจกูหน่อย? อีทรัมปป์คงสนแผ่นดินเน่าๆ เนี่ยน่ะ เพราะรู้อยู่แล้ว ยังไงรัสเซียเขมือบแน่ ถามส้นตรีนปูตินรึยัง? พวกมรึงมีปัญญาเหรอ? เกมส์อยู่ในมือใคร? ใครกำหนดทิศทางโลกทุกวันนี้ ใช่มรึงเหรอ? จีนเขยิบ รัสเซียขยับ โลกตามทันที ยังไม่สำเหนียก อีทรัมปป์มันมาเพื่อแตกอเมริกา ไม่ได้มากู้อเมริกา แล้วใยกู้ต้องมาช่วยกู้แผ่นดินเน่ามรึงด้วยล่ะ อีเสี้ยนยาจ๋า? ชั่วโมงนี้ ใครกล้าชนรัฐบุรุษปูติน สีจิ้นผิง ไม่มี? แค่ BRICS ยังแห่กันตามหมดทั้งโลก มรึงมัน NOBODY แล้ว ไอ้สัส! พอก่อน พอได้แล้ว อียิวขี้แตกแล้ว โดนทั้งซูเปอร์โซนิค ตามด้วยไฮเปอร์โซนิค แบบลืมหายใจ ถามจริง มรึงมีเยอะเกินไปป่ะ? อะไรน่ะ ยังเหลืออีกเป็นล้านลูก ไอ้สัส! ผลิตออกมาเยอะเกินปุยมั้ย? เอาไปยิงหมาเหรอ? สาย HARDCORE บ่นยับ? ทำไมไม่ฆ่าล้างโคตรมันไปเลย 24 ชม. รอเหี้ยอะไรอยู่ ยึดแผ่นดินแม่งให้เกลี้ยง คำถามนี้ ต้องไปดูว่า ขั้วใหม่ รัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง เค้าต้องการอะไรแท้จริง "หาใช่ชัยชนะในสมรภูมิ" แต่เป็นทุบหม้อข้าวเหี้ย ทำลายคลังแสง คลังเงิน ไอ้อีตะวันตกจนไม่เหลือเหี้ยอะไรอีก เมื่อหมดตูด มรึงก็แค่ "ไอ้ยาจก" ไม่มีจะแดร๊ก แล้วจะมีปัญญาทำเหี้ยอะไรต่อได้อีก ทุบที่หม้อข้าว นี่คือยุทธศาสตร์หลัก ที่ขั้วใหม่ทำอยู่ อย่าลืมน่ะว่า เหือบครึ่งปีแล้ว ที่ท่าเรือไฮฟา ไม่มีสินค้าเข้ามาเลย เรือขนส่งเข้าไม่ถึง ความช่วยเหลือเข้าไม่ได้ แม้แต่กองเรือเหี้ยยังไม่กล้าเข้ามาผ่านทะเลแดง แปลว่าอะไร ยุทธศาสตร์ อิหร่าน รัสเซีย จีน ครองน่านน้ำ น่านฟ้าไว้หมดแล้ว ภาษาทหารคือ ยึดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบคุณยายละม่อม แต่ไม่ต้องรีบฆ่า บีบให้มันอดอยาก ปากแห้งไปเรื่อยๆ เพื่อดึงขี้ข้าที่หิวโซย้ายขั้วนั่นเอง เมื่อแขนขาถูกหั่น เหี้ยก็จบ ไม่มีเครื่องมือให้ใช้ต่ออีกแล้ว อีโง่ยุโรปก็เช่นกัน หลังอีเบียร์ อีเศษฝรั่ง อีอัสซูรี่ หมดตูดไปเยอะ เศรษฐกิจพังยับทั้งยุโรป ชาติเล็กๆ แข็งข้อขึ้นมาทันที จะรีบย้ายขั้วไปเกาะรัสเซีย เพราะมั่นคง และมั่นใจกว่าเยอะ แผนแตก EU NATO จึงก่อเกิด เงินไม่มี พลังงานไม่เหลือ ใครจะตามมรึงกันอีกล่ะ? 10 ชาติยุโรปสัญญาปากเปล่ากันแล้ว ไปพร้อมกันทั้งยวง เครมลินเตรียมเปิดวังต้อนรับเสมอ? กลับบ้านเถอะลูก รักรออยู่! ปล.มาตามนัด! กูว่าแล้ว ยังไม่ทันจะสาบานตน อีมรัมปป์เรียกโพยแต่หัววัน เตรียมหั่นนายพลทิ้ง เปลืองภาษี เปลืองงบ ตั้งคณะกรรมการโละนายพล(โดยเฉพาะหมารับใช้อีลา ซึ่งมีเพี๊ยบ) เตรียมงัดข้ออีตาเพน กูเดาทางถูกเสมอ? ยังไม่จบ ไอ้อีตัวไหน ใครที่ลากทรัมปปืเข้าคุก ยัดข้อหา ใส่ร้าย ป้ายสี ล่อกู 100 กว่าคดี มรึงเตรียมโดนโละเช่นกัน ผู้พิพากษาเหรอ รัฐไหนเหรอ ใหญ่แค่ไหนเหรอ อีทรัมปป์จะเชือดเหี้ยให้เหี้ยดู เพราะอำนาจกูคือประกาศิต เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ชำระแค้นก่อน คือทรัมปป์ งานสร้าง TRUMP LAND คือเรื่องต่อไป ข้ามวิกแป๊บ : อย่าดูแค่เปลือก ดร.อาทิตย์(ตัวชงมาเอง) ถามสั้นๆ ข้องใจทำไม ‘พระบรมราชโองการ-คำพิพากษาศาลฎีกา’ ไม่มีความหมาย? ขัดขืน ฝ่าฝืนเพี๊ยบ ดอกนี้ ชงให้ทุกคดีที่อีเหลี่ยม อีลูกสาวร่าน ทำโดยตรง เค้ารู้กัน ศาลรับลูก 15 คดีในมือ โดนทุกดอก "ประหารชีวิตยังน้อยไป" ตัวชงมา ตัวตบรับ มันคือ "ยาเร่ง" บีบให้เหี้ยทั้งหมดเผ่นหนีให้หมด ก่อนศาลจะฟันดาบลงมา จะหนีไม่ทันแล้วน่ะ? ไม่มีบังเอิญ มีแต่บังอาจ กระแสต่อต้านคอรัปชั่นแรงเกินห้ามใจ มันโดดเด่นเสียเหลือเกินช่วงนี้ เพราะแสงอีกแล้วครับท่าน! ทุนเทา ทุนม่วง ตายห่า ศพเกลื่อนศาล ลาก่อน "อีฟิล์มโกดัก" คิดผิด ชีวิตจบ เงิน อำนาจ ตัณหา พามรึงไปตายห่า ใครเล่นการเมือง ชีวิตมีอันเป็นไปหมด ดาราอยากเกิด ไฮโซอยากดัง แตะสิ่งปนเปื้อน สลัดไม่ออก ถูกกลืนเหมือนกันหมด วังวนการเมืองคืออาจมเสนียดแผ่นดิน ใครลองได้เสพ หลงใหลอำนาจ ตายห่าหมดเกลี้ยง? ไอ้สัส! กลัวไทยไม่ดัง ก่อการร้ายอ้าง เตรียมสอยอียิวในเกาะพงัน FULL MOON PARTY ทำไมต้องเลือกงานนี้ เพราะมันดังไประดับโลก หากเป็นข่าว อียิวตายห่ากลางวงปาร์ตี้ กราดยิง ระเบิดลง ดังพลุแตกแน่ แล้วทำไม ถึงบอกล่วงหน้า? จะดึงไทยเข้าร่วมสงครามครูเสดด้วยเหรอจ๊ะ? ตำหนวดไทยเก่ง มรึงช่วยโฆษณาให้ กูยินดี ถามว่าคนทั้งโลกแห่มา เค้าสนมั้ย? คนมันมาเพื่อจะเล่นยา ระเบิดลงหัวก็ไม่กลัวดอก? FULL MOON PARTY แท้จริงคืออะไร? SEX DRUG DRINK DANCE PARTY มันคืองานมั่วสุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊ม? ฝรั่งมันชอบ ใครสนกราดยิงกันล่ะ? เพราะกูเมายาอยู่ ไม่รู้เรื่อง? โปรดสังเกตุ อียิวพยายามจะลากไทยเข้ามามีเอี่ยวทุกเรื่อง มรึงรักกูมากมายขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำลายหยดมาตั้งแต่ปีพศ.2475 สิน่ะ แห้วแดร๊ก เพราะสมเด็จย่า? สื่อใครลง สื่อใครแฉ นั่นแหละ ตัวปล่อยแผน? แผนเก่าๆ เน่าๆ ยังกล้ามาใช้? หน่วยความมั่นคงเค้ารู้หมดเกลี้ยง เชิญเข้ามาเหอะ เดี๋ยวกูจะให้มรึงมั่วยาเต็มที่ จนลืมกลับบ้านกันไปเลย? รัสเซีย เล่นเกมส์ จับมืออีทรัมปป์ บับให้อีเสี้ยนยาเลือกตั้ง แน่นอนว่า "โปรรัสเซียมาชัวร์ ไม่ต้องเดา" เพราะชาวยูเครนที่เหลือตายห่าเพราะสงครามไปเยอะแล้ว ใครยังอยากจะรบกันต่ออีก นีโอนาซีในยูเครนตายเกลื่อน ปูตินสั่งเน้น เก็บไอ้อีนีโอนาซีทุกตัว ไม่ต้องปราณี ไม่ต้องถามเยอะ เห็นปุ๊บ สอยทันที หนักแผ่นดิน! แผนสร้างปชต.ตอแหลใหม่ แค่เกมส์บังหน้า รัสเซียเค้าวางหมากล่อเหยื่อไว้หมดแล้ว ประกาศ 4 แคว้นเป็นของรัสเซียโดนสมบูรณ์ เลือกตั้งมา คืออีเสี้ยนยาเตรียมเผ่นแน่ ถูกสั่งเก็บจากทั่วโลก อีทรัมปป์ไม่ได้สนใจแผ่นดินยูเครน แต่สนใจว่ารัสเซียจะยอมถอยให้เรื่องอะไรได้บ้าง ข้อดีของอีทรัมปป์คือ ทุกอย่างเจรจาได้หมด แม้แต่ขายลูก ขายเมีย พ่อค้าตัวจริง! ขั้วใหม่ชนะไปแล้ว ตั้งแต่อีทรัมปป์มา แสดงให้โลกเห็นว่า คนเบื่อหน่ายสงคราม และอเมริกาและตะวันตก คือต้นตอของความวินาศฉิบหายทั้งหมด NATO ไร้ราคา ส่วน EU ถังแตกยับเยิน หมดสภาพทั้งคู่ โลกรอแค่ ขั้วใหม่ "ปิดเกมส์" เท่านั้น ปล.2 คำถามแก้เครียด? คุณคิดว่าสาวยุคไหน SEXY ที่สุด? 60 'S/70 'S/80 'S/90 'S/00-20 'S หมี CNN(อะไรก็ไปไวมาไวเสมอ เพราะแสงทำงานเร็ว ไม่มีอะไรที่จะหนีรอดแสงไปได้ ยามเมื่อสาดส่อง เหี้ยจัญไรทั้งสากลโลกทั้งหลายกำลังถูกแสงแผดเผาทั้งเป็น สงครามจะหยุดขยายวงกว้าง แต่จะเกิดสงครามภายในกันเอง เพราะเกมส์มันถึงทางตันแล้ว หากไม่อยากตายหมู่ ตายยกทวีป ทางรอดเดียวคือ "เคลียร์กันเอง" เมื่อภายในจบ ถึงจะได้ข้อสรุป อยู่ในแผนขั้วใหม่ทั้งสิ้น จีน รัสเซีย ถึงยังไม่ลงมือเองซักกะที รอเหี้ยกัดกันให้พอใจ เหลือตัวสุดท้ายค่อยมาคุยกับกู หมากล้อมจีนชนะ หมากรุกพิฆาตเอาอยู่) 13 พฤศจิกายน 67 12.22 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatch
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1313 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วีรกรรมเยอะม๊ากไอ่ทนูยหน้ากระนูย
    บอกตรงๆ ยิ่งขุด ยิ่งแหวะ
    ไม่รู้เกิดมาทำไมจริงๆไอ่คนแบบนี้
    หี่น บร้ากราม โครต เป็น อตร.กับสังคมสุดๆ
    เห็นครูเค้าสอนเปียนโน บอกว่า สนใจ
    ไอ่ฉัด ไม่ได้สนใจจะเรียน สนใจจุดฉุดไปซั่ม
    ตีเนียนไปเรียน สุดท้าย ดึงมือครูจะไปขึ้นเหล่าเต้งครู
    ดีที่ครูสะบัดหลุดมาได้
    แดรรกเยื่ยวเสร็จ ก็ไปโดนสุดตอยในรำเจือนเถอะนะเมิงนะ
    ไม่น่าเกิดมาเป็นคนเลย ไอ่ตั้มเอ๊ย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #วีรกรรมเยอะม๊ากไอ่ทนูยหน้ากระนูย บอกตรงๆ ยิ่งขุด ยิ่งแหวะ ไม่รู้เกิดมาทำไมจริงๆไอ่คนแบบนี้ หี่น บร้ากราม โครต เป็น อตร.กับสังคมสุดๆ เห็นครูเค้าสอนเปียนโน บอกว่า สนใจ ไอ่ฉัด ไม่ได้สนใจจะเรียน สนใจจุดฉุดไปซั่ม ตีเนียนไปเรียน สุดท้าย ดึงมือครูจะไปขึ้นเหล่าเต้งครู ดีที่ครูสะบัดหลุดมาได้ แดรรกเยื่ยวเสร็จ ก็ไปโดนสุดตอยในรำเจือนเถอะนะเมิงนะ ไม่น่าเกิดมาเป็นคนเลย ไอ่ตั้มเอ๊ย #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 552 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำดีแบบแม่นํ้า
    โดย นิลฉงน นลเฉลย
    (อาจารย์หมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง)
    “ทำดีแบบแม่น้ำ” ทำอย่างไร ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ จริงๆผมเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะต้องการให้กำลังใจ
    กับ คนที่ทำความดี คนที่ชอบทำความดี คนที่อยากทำความดี เนื่องจาก ผมมักจะประสบ พบเจอ คนที่ทำ
    เรื่องดีๆ ที่มักประสบปัญหาว่า เรื่องดีเรื่องแรกมักจะชักนำเรื่องดีเรื่องอื่นๆเข้ามา ทำให้มีเรื่องดีๆที่อยากทำมากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่ามีเวลาไม่พอที่จะทำทุกเรื่อง จะต้องเลือกว่าจะทำเรื่องไหนก่อน ปัญหาคือ พอจะลงมือเลือกก็เห็นว่า เรื่องดีๆแต่ละเรื่อง มีดีไปคนละแบบ เลือกยาก ตัดสินใจลำบาก เลยก่อให้ความกังวล ไม่สบายใจ ทั้งๆที่ตั้งต้นด้วยเรื่องที่ควรสร้างความสบายใจ คือเรื่องการทำความดี ผมคิดว่าพอจะมีทางออก
    สำหรับปัญหาแบบนี้ คือการที่ต้อง “ทำดีแบบแม่น้ำ” เอาละครับทีนี้ ทำดีแบบแม่น้ำคือ อะไร ก่อนจะตอบตรงนี้ ผมขออธิบายเรื่องการทำดี ๒ แบบ คือ แบบ แอ่งน้ำ และแบบลำธาร ก่อน
    การทำดีแบบ แอ่งน้ำ คือการทำดีที่อยู่กับที่ ทำของเราให้ดีที่อาจจะมีการขยาย แต่เป็นการขยายให้แอ่งน้ำนั้น ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ไม่คิดจะขับเคลื่อนอะไร ไม่มีเป้ าหมายที่จะผลักดันเรื่องดีๆนี้ไปที่อื่น ทำอยู่เฉพาะตัว
    เฉพาะที่ที่เรา ควบคุมได้ ไม่ยุ่งไม่เชื่อมต่อกับใคร มุ่งแต่ทำให้แอ่งน้ำนั้นใสสะอาด และหวังว่าจะมี น้ำดีไหล มารวมกันมากขึ้น
    การทำดีแบบถัดไปคือการทำดีแบบ ลำธาร คือ การทำดีที่เริ่ม มีเป้าหมาย มีแรงผลักดัน อยากจะให้เรื่องดีที่ได้ทำแล้วนั้น ถ่ายทอดไปยังที่อื่น พอเริ่มเคลื่อนไหว ก็เป็นธรรมดาที่ลำธารจะไหล ผ่านแอ่งน้ำ แล้วก็จะเริ่ม
    มีแอ่งน้ำใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาร่วมอยู่ในลำธารสายนี้ ถึงตอนนี้ ลำธารก็จะเริ่มกังวล แค่เรื่องที่ลำธารอยากจะผลักดัน ยังทำไม่ไหว ลำธารเล็กๆ อย่างเรา จะรับเรื่องอื่นๆได้หรือ จะมีแรงพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่ขวางทางอยู่หรือ
    ทั้งการทำดีแบบแอ่งน้ำ และการทำดีแบบ ลำธาร ผู้ที่ทำจะรู้สึกว่าเราเป็น “เจ้าของ” เรื่องนั้น เป็น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในชะตากรรม ของ แอ่งน้ำ และ ลำธาร ที่สร้างขึ้น ความกังวลนี้เอง ที่บางครั้งก่อให้เกิดความท้อ
    เราจะทำได้ไหม เราจะทำไหวไหม ถ้ามีน้ำเสียเข้ามาปนเปื้อนมากๆ ลำธาร หรือแอ่งน้ำของเรา จะยังคงเป็นน้ำดี อยู่ไหม กังวลกลัวคนไม่ดีจะมาทำให้เรื่องดีๆที่เราทำเอาไว้ “เสียหาย” พลอยทำให้ท้อ ไม่อยากทำต่อ ไม่อยากขยาย เพราะกลัวควบคุมไม่ได้ กลัวว่ากำลังจะไม่พอ
    การทำดีแบบสุดท้ายคือการทำดีแบบ แม่น้ำ ถ้าท่านนึกถึงแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่สักสายหนึ่ง ท่านจะพบว่า แม่น้ำสายนั้น มีก่อกำเนิดมาจาก แอ่งน้ำและ ลำธาร หลายร้อยสาย เมื่อมารวมกันเป็ นสายน้ำแล้ว จะมีพลังขับเคลื่อนที่มากมาย กลายเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก ไหลไปสู่เป้าหมาย ถึงแม้กระแสน้ำจะเจอ อุปสรรค โขดหิน หรือ ภูเขาตั้งขวาง กระแสน้ำนั้นก็ยังคงพุ่งทะยาน ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ หลายครั้งหลายคราที่แม่น้ำจะมีสิ่งปฏิกูล ของโสโครกไหลมาปนเปื้อน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของสายน้ำ แม่น้ำก็สามารถพัดพาสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นทิ้งไปได้ การทำดีแบบสายน้ำก็เช่นกัน ที่สำคัญคือถ้าเราจะทำดีแบบนั้น
    เราต้องเอาตัวเราเข้าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของกระแสน้ำ เราไม่สามารถเป็น “เจ้าของ” เหมือนตอนที่เราทำแบบ แอ่งน้ำ หรือ ลำธารได้ เราเพียงทำได้แค่ เลือก กระแสน้ำ “ที่มีเป้าหมายร่วม” เหมือนกันกับเรา การที่เรายอมเข้าร่วมในกระแสแห่งการทำดี กระแสธรรม ที่มีเป้ าหมายที่ดีร่วมกันนี้เอง จะช่วยให้เรารับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของกระแสน้ำ ลดความกังวลว่าเราจะทำเรื่องนั้นไหวไหม ได้ไหม เพราะเราไม่ใช่ผู้ที่กุมชะตาของกระแสน้ำอีก
    ต่อไป เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้ าหมายใหญ่ ในขณะเดียวกัน เราก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะรับผิดชอบเป้ าหมายที่ใหญ่นั้นได้หรือไม่
    นี่ละครับคือการทำดี แบบ แม่น้ำ การทำดีที่ยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งความดี ถ้าทำได้แบบนี้ เรื่องดีต่างๆ ที่เราเคยคิดว่า จะทำได้ไหมหนอ จะทำไหวไหมหนอ ก็จะกลายเป็นเรื่อง ที่ทำได้ ทำไหว แต่ไม่ใช่เราคนเดียวทำ แต่เป็นพวกเราที่ร่วมอยู่ในกระแสน้ำแห่งธรรมนี้ ร่วมกันทำ หัวใจสำคัญของการทำดีแบบแม่น้ำ คือ ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เป้าหมายนั้นต้องเป็นเรื่องที่ดี ต้องเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ จะเป็นเป้าหมายแคบๆ เฉพาะตนไม่ได้ แม่น้ำต้องใจกว้างยอมรับการเข้าร่วมของลำธารทุกสายที่มีเป้าหมาย
    ร่วมกันได้ หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีลำธารน้ำเสียไหลมารวม จะไม่พลอยทำให้น้ำในแม่น้ำเสียหรือ ไม่ครับ เพราะแม่น้ำมุ่งไปที่เป้า ไม่ได้สนใจที่ความบริสุทธิ์ของสายน้ำ ตราบใดที่เป้าหมายนั้นดี เป็นธรรมดาที่จะมี
    น้ำดีไหลเข้ามารวมมากกว่าน้ำเสีย (ถ้ามีน้ำเสียไหลมารวมมากต้องสงสัยว่าเป้าหมายนั้นดีจริงหรือ) น้ำเสียส่วนน้อยที่ไหลมารวมในแม่น้ำก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันแม่น้ำให้ไปถึงเป้ าหมายได้เช่นกัน การทำดีแบบแม่น้ำจะทำโดยไม่กังวลว่า คนที่ทำกับเราเขาดีจริงหรือ ตราบใดที่เป้ าหมายที่เขามีตรงกันกับเรา ที่สำคัญ คือ แม่น้ำแห่งความดีนี้มีหลายสาย คนบางคนที่ทำตัวเป็นโขดหินขวางทางน้ำในบางเรื่อง อาจกลายเป็นสายน้ำที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องดีๆเรื่องอื่น ครับ หวังว่าท่านผู้อ่าน จะพอมองเห็นภาพ การทำดีแบบแม่น้ำได้ชัดขึ้น และมีแรงใจที่จะทำความดีต่อไปครับ
    บุญกุศลอันใด ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้ ขอมอบอุทิศถวายแด่ ล้นเกล้ารัชกาลที่สาม พร้อมทั้งพระประยูรวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ทุกท่าน ทุกพระองค์ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น สามารถนำไปแจกจ่าย คัดลอก ทำซ้ำ ได้ตามต้องการ
    หากมีข้อซักถาม ข้อแนะนำหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกิดจากการอ่านบทความชิ้นนี้ กรุณาส่ง อีเมลมาที่
    นิลฉงน นลเฉลย <nilchangonnolchaloey@gmail.com>
    ทำดีแบบแม่นํ้า โดย นิลฉงน นลเฉลย (อาจารย์หมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง) “ทำดีแบบแม่น้ำ” ทำอย่างไร ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ จริงๆผมเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะต้องการให้กำลังใจ กับ คนที่ทำความดี คนที่ชอบทำความดี คนที่อยากทำความดี เนื่องจาก ผมมักจะประสบ พบเจอ คนที่ทำ เรื่องดีๆ ที่มักประสบปัญหาว่า เรื่องดีเรื่องแรกมักจะชักนำเรื่องดีเรื่องอื่นๆเข้ามา ทำให้มีเรื่องดีๆที่อยากทำมากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่ามีเวลาไม่พอที่จะทำทุกเรื่อง จะต้องเลือกว่าจะทำเรื่องไหนก่อน ปัญหาคือ พอจะลงมือเลือกก็เห็นว่า เรื่องดีๆแต่ละเรื่อง มีดีไปคนละแบบ เลือกยาก ตัดสินใจลำบาก เลยก่อให้ความกังวล ไม่สบายใจ ทั้งๆที่ตั้งต้นด้วยเรื่องที่ควรสร้างความสบายใจ คือเรื่องการทำความดี ผมคิดว่าพอจะมีทางออก สำหรับปัญหาแบบนี้ คือการที่ต้อง “ทำดีแบบแม่น้ำ” เอาละครับทีนี้ ทำดีแบบแม่น้ำคือ อะไร ก่อนจะตอบตรงนี้ ผมขออธิบายเรื่องการทำดี ๒ แบบ คือ แบบ แอ่งน้ำ และแบบลำธาร ก่อน การทำดีแบบ แอ่งน้ำ คือการทำดีที่อยู่กับที่ ทำของเราให้ดีที่อาจจะมีการขยาย แต่เป็นการขยายให้แอ่งน้ำนั้น ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ไม่คิดจะขับเคลื่อนอะไร ไม่มีเป้ าหมายที่จะผลักดันเรื่องดีๆนี้ไปที่อื่น ทำอยู่เฉพาะตัว เฉพาะที่ที่เรา ควบคุมได้ ไม่ยุ่งไม่เชื่อมต่อกับใคร มุ่งแต่ทำให้แอ่งน้ำนั้นใสสะอาด และหวังว่าจะมี น้ำดีไหล มารวมกันมากขึ้น การทำดีแบบถัดไปคือการทำดีแบบ ลำธาร คือ การทำดีที่เริ่ม มีเป้าหมาย มีแรงผลักดัน อยากจะให้เรื่องดีที่ได้ทำแล้วนั้น ถ่ายทอดไปยังที่อื่น พอเริ่มเคลื่อนไหว ก็เป็นธรรมดาที่ลำธารจะไหล ผ่านแอ่งน้ำ แล้วก็จะเริ่ม มีแอ่งน้ำใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาร่วมอยู่ในลำธารสายนี้ ถึงตอนนี้ ลำธารก็จะเริ่มกังวล แค่เรื่องที่ลำธารอยากจะผลักดัน ยังทำไม่ไหว ลำธารเล็กๆ อย่างเรา จะรับเรื่องอื่นๆได้หรือ จะมีแรงพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่ขวางทางอยู่หรือ ทั้งการทำดีแบบแอ่งน้ำ และการทำดีแบบ ลำธาร ผู้ที่ทำจะรู้สึกว่าเราเป็น “เจ้าของ” เรื่องนั้น เป็น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในชะตากรรม ของ แอ่งน้ำ และ ลำธาร ที่สร้างขึ้น ความกังวลนี้เอง ที่บางครั้งก่อให้เกิดความท้อ เราจะทำได้ไหม เราจะทำไหวไหม ถ้ามีน้ำเสียเข้ามาปนเปื้อนมากๆ ลำธาร หรือแอ่งน้ำของเรา จะยังคงเป็นน้ำดี อยู่ไหม กังวลกลัวคนไม่ดีจะมาทำให้เรื่องดีๆที่เราทำเอาไว้ “เสียหาย” พลอยทำให้ท้อ ไม่อยากทำต่อ ไม่อยากขยาย เพราะกลัวควบคุมไม่ได้ กลัวว่ากำลังจะไม่พอ การทำดีแบบสุดท้ายคือการทำดีแบบ แม่น้ำ ถ้าท่านนึกถึงแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่สักสายหนึ่ง ท่านจะพบว่า แม่น้ำสายนั้น มีก่อกำเนิดมาจาก แอ่งน้ำและ ลำธาร หลายร้อยสาย เมื่อมารวมกันเป็ นสายน้ำแล้ว จะมีพลังขับเคลื่อนที่มากมาย กลายเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก ไหลไปสู่เป้าหมาย ถึงแม้กระแสน้ำจะเจอ อุปสรรค โขดหิน หรือ ภูเขาตั้งขวาง กระแสน้ำนั้นก็ยังคงพุ่งทะยาน ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ หลายครั้งหลายคราที่แม่น้ำจะมีสิ่งปฏิกูล ของโสโครกไหลมาปนเปื้อน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของสายน้ำ แม่น้ำก็สามารถพัดพาสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นทิ้งไปได้ การทำดีแบบสายน้ำก็เช่นกัน ที่สำคัญคือถ้าเราจะทำดีแบบนั้น เราต้องเอาตัวเราเข้าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของกระแสน้ำ เราไม่สามารถเป็น “เจ้าของ” เหมือนตอนที่เราทำแบบ แอ่งน้ำ หรือ ลำธารได้ เราเพียงทำได้แค่ เลือก กระแสน้ำ “ที่มีเป้าหมายร่วม” เหมือนกันกับเรา การที่เรายอมเข้าร่วมในกระแสแห่งการทำดี กระแสธรรม ที่มีเป้ าหมายที่ดีร่วมกันนี้เอง จะช่วยให้เรารับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของกระแสน้ำ ลดความกังวลว่าเราจะทำเรื่องนั้นไหวไหม ได้ไหม เพราะเราไม่ใช่ผู้ที่กุมชะตาของกระแสน้ำอีก ต่อไป เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้ าหมายใหญ่ ในขณะเดียวกัน เราก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะรับผิดชอบเป้ าหมายที่ใหญ่นั้นได้หรือไม่ นี่ละครับคือการทำดี แบบ แม่น้ำ การทำดีที่ยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งความดี ถ้าทำได้แบบนี้ เรื่องดีต่างๆ ที่เราเคยคิดว่า จะทำได้ไหมหนอ จะทำไหวไหมหนอ ก็จะกลายเป็นเรื่อง ที่ทำได้ ทำไหว แต่ไม่ใช่เราคนเดียวทำ แต่เป็นพวกเราที่ร่วมอยู่ในกระแสน้ำแห่งธรรมนี้ ร่วมกันทำ หัวใจสำคัญของการทำดีแบบแม่น้ำ คือ ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เป้าหมายนั้นต้องเป็นเรื่องที่ดี ต้องเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ จะเป็นเป้าหมายแคบๆ เฉพาะตนไม่ได้ แม่น้ำต้องใจกว้างยอมรับการเข้าร่วมของลำธารทุกสายที่มีเป้าหมาย ร่วมกันได้ หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีลำธารน้ำเสียไหลมารวม จะไม่พลอยทำให้น้ำในแม่น้ำเสียหรือ ไม่ครับ เพราะแม่น้ำมุ่งไปที่เป้า ไม่ได้สนใจที่ความบริสุทธิ์ของสายน้ำ ตราบใดที่เป้าหมายนั้นดี เป็นธรรมดาที่จะมี น้ำดีไหลเข้ามารวมมากกว่าน้ำเสีย (ถ้ามีน้ำเสียไหลมารวมมากต้องสงสัยว่าเป้าหมายนั้นดีจริงหรือ) น้ำเสียส่วนน้อยที่ไหลมารวมในแม่น้ำก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันแม่น้ำให้ไปถึงเป้ าหมายได้เช่นกัน การทำดีแบบแม่น้ำจะทำโดยไม่กังวลว่า คนที่ทำกับเราเขาดีจริงหรือ ตราบใดที่เป้ าหมายที่เขามีตรงกันกับเรา ที่สำคัญ คือ แม่น้ำแห่งความดีนี้มีหลายสาย คนบางคนที่ทำตัวเป็นโขดหินขวางทางน้ำในบางเรื่อง อาจกลายเป็นสายน้ำที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องดีๆเรื่องอื่น ครับ หวังว่าท่านผู้อ่าน จะพอมองเห็นภาพ การทำดีแบบแม่น้ำได้ชัดขึ้น และมีแรงใจที่จะทำความดีต่อไปครับ บุญกุศลอันใด ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้ ขอมอบอุทิศถวายแด่ ล้นเกล้ารัชกาลที่สาม พร้อมทั้งพระประยูรวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ทุกท่าน ทุกพระองค์ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น สามารถนำไปแจกจ่าย คัดลอก ทำซ้ำ ได้ตามต้องการ หากมีข้อซักถาม ข้อแนะนำหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกิดจากการอ่านบทความชิ้นนี้ กรุณาส่ง อีเมลมาที่ นิลฉงน นลเฉลย <nilchangonnolchaloey@gmail.com>
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ขอบคุณบทความจาก คุณเอส Sos Sirikarn ภรรยาของผม ครับ**

    ได้ยินสามี​กับ​คุณแม่​ คุยกันเรื่อง​ ตารางการทาน​ "ออร์แกนิค​คลอ​เรลล่า​ กับ​ ออร์แก​นิค​สไป​รู​ลิ​น่า" ของเฟบิโก้​ 🇹🇼 PLC.

    📍แล้วคุณแม่สามี​ ​บอกว่า​ #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีสารที่เรียกว่า​ "Chlorella​ Growth Factor" ซึ่งเป็นชื่อเรียก​ กลุ่มของสารอาหาร​ ที่ช่วยให้เกิด​ กระบวนการซ่อมบำรุงเซลล์​ ตั้งแต่ระดับ​ DNA ตาม​ ที่ฝ่ายวิชาการได้เรียบเรียงข้อมูลไว้

    แม่ก็เลยแบ่งส่วนนึง ไว้ทานก่อนนอนด้วย​ จริงๆ​ตัวนี้เหมาะกับ​ #คนสูงอายุ

    😳แม้จะรู้อยู่แล้ว​ ว่า​ #ออร์แกนิค​คลอเรลล่า​เฟบิโก้ ช่วยให้เซลล์ในร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมบำรุงตั้งแต่ระดับ​ DNA​ ได้ดีขึ้น​

    แต่..ไอ้เราพอได้ยิน​ คำว่า​ Growth​ Factor​ ก็เลยถึงบางอ้อ​ ว่า​ ทำไมนอนตี​ 1-3​ มา​ยาวนานถึง 17​-18 ปีแล้ว​ แต่ก็ยังไม่โทรม!! จนหลายคนทัก

    เขาบอกว่า​ หน้าตา​ ความคล่องตัว​ ไม่เหมือนคนนอนตี​1-3​ 😁😁

    🙆🏻‍♀️แต่ที่ผ่านมา​ ไม่ได้สนใจเรื่อง​ "Growth​ Factor" เพราะต้องการทาน​ ออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ เพื่อขับล้างสารตกค้าง​จากอาหาร​เสริมที่ก่อนหน้านี้​ทานมาถึง​ 15 ปี​ จนผลตรวจ​ MRI​ พบว่า​ ได้ถุงน้ำในไตมา 2-3 ถุง

    เรื่อง​ #growthfactor​ จึงเป็นเหมือนของแถมจากการทานออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ 🇹🇼 PLC.​ ไม่ใช่ปัจจัยหลัก​ที่ทำให้ทานมายาวนาน​ มิ.ย.​ นี้​ ครบ​ 9 ปี

    👉🏻ตามปรัชญา​ "สะสาง​ ก่อนสะสม" ที่ได้รับจากครอบครัวของที่ปรึกษา​

    เพราะสำหรับเอส​ #การรับสิ่งพิษเข้าไปสะสมในร่างกายทุกๆวัน​ มันน่ากลัวกว่า​ "หน้าตาโทรม​ หน้าตาไม่สวย" 😁😁 ค่ะ

    💚💚💚💚💚💚💚💚

    คุณแม่​สามีเลือกทำ​ "คีโม" และ​​ ยังทาน​ ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ ​ตลอด​ โดยที่เพิ่มจากโดสปกติ​ เป็น "12​ เม็ด​ + ทานพืชที่ช่วยลดพิษร้อน" จากการคีโมค่ะ

    🎀ซึ่งคุณแม่สามี​ ไม่ยอมหยุดทาน​ #ออร์แกนิคคลอเรลล่าfebico ​ทั้งที่อาจารย์​หมอก็บอกว่า​ ทานได้​ แต่ระวัง​คลอเรลล่าจะไปขับพิษคีโมออก​ จนคีโมทำงานไม่ได้

    🎀คุณแม่สามี​ จึงวางแผนการทานออร์แก​นิคคลอเรลล่าเฟบิโก้​ ด้วยตัวเอง​ ระหว่างที่ทำคีโมไปด้วย​ เพราะน้องชายที่เป็นอาจารย์​หมอ​ รพ.ดังระดับประเทศ​ ไม่อยากให้ทาน​คลอเรลล่า

    📍เพราะ​ #ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ สามารถ​ทำลายพิษของคีโม​ได้​ เนื่องจาก​คีโมคือพิษ แล้วเราต้องการความเป็นพิษของคีโมไปทำลายเซลล์​มะเร็ง​

    ซึ่งคีโม​ นอกจากจะทำลาย​เซลล์มะเร็ง​แล้ว​ ยังทำลาย​เซลล์ดีอีกด้วย

    📍ดังนั้น​ การ​ทานออร์แก​นิคคลอเรลล่า​เฟบิโก้ ที่เหมาะสมกับผู้ที่กำลังรักษา​ด้วยคีโม จึงต้องทาน​ในช่วงเวลา​ หลังจาก​ "คีโมทำงานเสร็จแล้ว" เช่น​ หลังจากคีโม​ไปแล้ว​ 6 ชม.​ เป็นต้น

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    **ขอบคุณบทความจาก คุณเอส Sos Sirikarn ภรรยาของผม ครับ** ได้ยินสามี​กับ​คุณแม่​ คุยกันเรื่อง​ ตารางการทาน​ "ออร์แกนิค​คลอ​เรลล่า​ กับ​ ออร์แก​นิค​สไป​รู​ลิ​น่า" ของเฟบิโก้​ 🇹🇼 PLC. 📍แล้วคุณแม่สามี​ ​บอกว่า​ #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีสารที่เรียกว่า​ "Chlorella​ Growth Factor" ซึ่งเป็นชื่อเรียก​ กลุ่มของสารอาหาร​ ที่ช่วยให้เกิด​ กระบวนการซ่อมบำรุงเซลล์​ ตั้งแต่ระดับ​ DNA ตาม​ ที่ฝ่ายวิชาการได้เรียบเรียงข้อมูลไว้ แม่ก็เลยแบ่งส่วนนึง ไว้ทานก่อนนอนด้วย​ จริงๆ​ตัวนี้เหมาะกับ​ #คนสูงอายุ​ 😳แม้จะรู้อยู่แล้ว​ ว่า​ #ออร์แกนิค​คลอเรลล่า​เฟบิโก้ ช่วยให้เซลล์ในร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมบำรุงตั้งแต่ระดับ​ DNA​ ได้ดีขึ้น​ แต่..ไอ้เราพอได้ยิน​ คำว่า​ Growth​ Factor​ ก็เลยถึงบางอ้อ​ ว่า​ ทำไมนอนตี​ 1-3​ มา​ยาวนานถึง 17​-18 ปีแล้ว​ แต่ก็ยังไม่โทรม!! จนหลายคนทัก เขาบอกว่า​ หน้าตา​ ความคล่องตัว​ ไม่เหมือนคนนอนตี​1-3​ 😁😁 🙆🏻‍♀️แต่ที่ผ่านมา​ ไม่ได้สนใจเรื่อง​ "Growth​ Factor" เพราะต้องการทาน​ ออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ เพื่อขับล้างสารตกค้าง​จากอาหาร​เสริมที่ก่อนหน้านี้​ทานมาถึง​ 15 ปี​ จนผลตรวจ​ MRI​ พบว่า​ ได้ถุงน้ำในไตมา 2-3 ถุง เรื่อง​ #growthfactor​ จึงเป็นเหมือนของแถมจากการทานออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ 🇹🇼 PLC.​ ไม่ใช่ปัจจัยหลัก​ที่ทำให้ทานมายาวนาน​ มิ.ย.​ นี้​ ครบ​ 9 ปี 👉🏻ตามปรัชญา​ "สะสาง​ ก่อนสะสม" ที่ได้รับจากครอบครัวของที่ปรึกษา​ เพราะสำหรับเอส​ #การรับสิ่งพิษเข้าไปสะสมในร่างกายทุกๆวัน​ มันน่ากลัวกว่า​ "หน้าตาโทรม​ หน้าตาไม่สวย" 😁😁 ค่ะ 💚💚💚💚💚💚💚💚 คุณแม่​สามีเลือกทำ​ "คีโม" และ​​ ยังทาน​ ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ ​ตลอด​ โดยที่เพิ่มจากโดสปกติ​ เป็น "12​ เม็ด​ + ทานพืชที่ช่วยลดพิษร้อน" จากการคีโมค่ะ 🎀ซึ่งคุณแม่สามี​ ไม่ยอมหยุดทาน​ #ออร์แกนิคคลอเรลล่าfebico ​ทั้งที่อาจารย์​หมอก็บอกว่า​ ทานได้​ แต่ระวัง​คลอเรลล่าจะไปขับพิษคีโมออก​ จนคีโมทำงานไม่ได้ 🎀คุณแม่สามี​ จึงวางแผนการทานออร์แก​นิคคลอเรลล่าเฟบิโก้​ ด้วยตัวเอง​ ระหว่างที่ทำคีโมไปด้วย​ เพราะน้องชายที่เป็นอาจารย์​หมอ​ รพ.ดังระดับประเทศ​ ไม่อยากให้ทาน​คลอเรลล่า 📍เพราะ​ #ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ สามารถ​ทำลายพิษของคีโม​ได้​ เนื่องจาก​คีโมคือพิษ แล้วเราต้องการความเป็นพิษของคีโมไปทำลายเซลล์​มะเร็ง​ ซึ่งคีโม​ นอกจากจะทำลาย​เซลล์มะเร็ง​แล้ว​ ยังทำลาย​เซลล์ดีอีกด้วย 📍ดังนั้น​ การ​ทานออร์แก​นิคคลอเรลล่า​เฟบิโก้ ที่เหมาะสมกับผู้ที่กำลังรักษา​ด้วยคีโม จึงต้องทาน​ในช่วงเวลา​ หลังจาก​ "คีโมทำงานเสร็จแล้ว" เช่น​ หลังจากคีโม​ไปแล้ว​ 6 ชม.​ เป็นต้น #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 727 มุมมอง 0 รีวิว
  • 71 ล้านเสน่หาหรือฉ้อโกงและเสียภาษีหรือยัง?
    .
    มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง
    .
    มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส
    .
    ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
    .
    จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์
    .
    วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย
    .
    เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ
    .
    ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ
    .
    คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป
    .
    คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา
    .
    ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร
    .
    และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด
    .
    คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด
    .
    วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/5VdnTLYvmR1Em1mH/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    71 ล้านเสน่หาหรือฉ้อโกงและเสียภาษีหรือยัง? . มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง . มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส . ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา . จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์ . วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย . เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ . ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ . คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป . คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา . ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร . และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด . คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด . วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่มา https://www.facebook.com/share/p/5VdnTLYvmR1Em1mH/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 881 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ขอบคุณบทความจาก คุณเอส Sos Sirikarn ภรรยาของผม ครับ**

    ได้ยินสามี​กับ​คุณแม่​ คุยกันเรื่อง​ ตารางการทาน​ "ออร์แกนิค​คลอ​เรลล่า​ กับ​ ออร์แก​นิค​สไป​รู​ลิ​น่า" ของเฟบิโก้​ 🇹🇼 PLC.

    📍แล้วคุณแม่สามี​ ​บอกว่า​ #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีสารที่เรียกว่า​ "Chlorella​ Growth Factor" ซึ่งเป็นชื่อเรียก​ กลุ่มของสารอาหาร​ ที่ช่วยให้เกิด​ กระบวนการซ่อมบำรุงเซลล์​ ตั้งแต่ระดับ​ DNA ตาม​ ที่ฝ่ายวิชาการได้เรียบเรียงข้อมูลไว้

    แม่ก็เลยแบ่งส่วนนึง ไว้ทานก่อนนอนด้วย​ จริงๆ​ตัวนี้เหมาะกับ​ #คนสูงอายุ

    😳แม้จะรู้อยู่แล้ว​ ว่า​ #ออร์แกนิค​คลอเรลล่า​เฟบิโก้ ช่วยให้เซลล์ในร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมบำรุงตั้งแต่ระดับ​ DNA​ ได้ดีขึ้น​

    แต่..ไอ้เราพอได้ยิน​ คำว่า​ Growth​ Factor​ ก็เลยถึงบางอ้อ​ ว่า​ ทำไมนอนตี​ 1-3​ มา​ยาวนานถึง 17​-18 ปีแล้ว​ แต่ก็ยังไม่โทรม!! จนหลายคนทัก

    เขาบอกว่า​ หน้าตา​ ความคล่องตัว​ ไม่เหมือนคนนอนตี​1-3​ 😁😁

    🙆🏻‍♀️แต่ที่ผ่านมา​ ไม่ได้สนใจเรื่อง​ "Growth​ Factor" เพราะต้องการทาน​ ออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ เพื่อขับล้างสารตกค้าง​จากอาหาร​เสริมที่ก่อนหน้านี้​ทานมาถึง​ 15 ปี​ จนผลตรวจ​ MRI​ พบว่า​ ได้ถุงน้ำในไตมา 2-3 ถุง

    เรื่อง​ #growthfactor​ จึงเป็นเหมือนของแถมจากการทานออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ 🇹🇼 PLC.​ ไม่ใช่ปัจจัยหลัก​ที่ทำให้ทานมายาวนาน​ มิ.ย.​ นี้​ ครบ​ 9 ปี

    👉🏻ตามปรัชญา​ "สะสาง​ ก่อนสะสม" ที่ได้รับจากครอบครัวของที่ปรึกษา​

    เพราะสำหรับเอส​ #การรับสิ่งพิษเข้าไปสะสมในร่างกายทุกๆวัน​ มันน่ากลัวกว่า​ "หน้าตาโทรม​ หน้าตาไม่สวย" 😁😁 ค่ะ

    💚💚💚💚💚💚💚💚

    คุณแม่​สามีเลือกทำ​ "คีโม" และ​​ ยังทาน​ ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ ​ตลอด​ โดยที่เพิ่มจากโดสปกติ​ เป็น "12​ เม็ด​ + ทานพืชที่ช่วยลดพิษร้อน" จากการคีโมค่ะ

    🎀ซึ่งคุณแม่สามี​ ไม่ยอมหยุดทาน​ #ออร์แกนิคคลอเรลล่าfebico ​ทั้งที่อาจารย์​หมอก็บอกว่า​ ทานได้​ แต่ระวัง​คลอเรลล่าจะไปขับพิษคีโมออก​ จนคีโมทำงานไม่ได้

    🎀คุณแม่สามี​ จึงวางแผนการทานออร์แก​นิคคลอเรลล่าเฟบิโก้​ ด้วยตัวเอง​ ระหว่างที่ทำคีโมไปด้วย​ เพราะน้องชายที่เป็นอาจารย์​หมอ​ รพ.ดังระดับประเทศ​ ไม่อยากให้ทาน​คลอเรลล่า

    📍เพราะ​ #ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ สามารถ​ทำลายพิษของคีโม​ได้​ เนื่องจาก​คีโมคือพิษ แล้วเราต้องการความเป็นพิษของคีโมไปทำลายเซลล์​มะเร็ง​

    ซึ่งคีโม​ นอกจากจะทำลาย​เซลล์มะเร็ง​แล้ว​ ยังทำลาย​เซลล์ดีอีกด้วย

    📍ดังนั้น​ การ​ทานออร์แก​นิคคลอเรลล่า​เฟบิโก้ ที่เหมาะสมกับผู้ที่กำลังรักษา​ด้วยคีโม จึงต้องทาน​ในช่วงเวลา​ หลังจาก​ "คีโมทำงานเสร็จแล้ว" เช่น​ หลังจากคีโม​ไปแล้ว​ 6 ชม.​ เป็นต้น

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    **ขอบคุณบทความจาก คุณเอส Sos Sirikarn ภรรยาของผม ครับ** ได้ยินสามี​กับ​คุณแม่​ คุยกันเรื่อง​ ตารางการทาน​ "ออร์แกนิค​คลอ​เรลล่า​ กับ​ ออร์แก​นิค​สไป​รู​ลิ​น่า" ของเฟบิโก้​ 🇹🇼 PLC. 📍แล้วคุณแม่สามี​ ​บอกว่า​ #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีสารที่เรียกว่า​ "Chlorella​ Growth Factor" ซึ่งเป็นชื่อเรียก​ กลุ่มของสารอาหาร​ ที่ช่วยให้เกิด​ กระบวนการซ่อมบำรุงเซลล์​ ตั้งแต่ระดับ​ DNA ตาม​ ที่ฝ่ายวิชาการได้เรียบเรียงข้อมูลไว้ แม่ก็เลยแบ่งส่วนนึง ไว้ทานก่อนนอนด้วย​ จริงๆ​ตัวนี้เหมาะกับ​ #คนสูงอายุ​ 😳แม้จะรู้อยู่แล้ว​ ว่า​ #ออร์แกนิค​คลอเรลล่า​เฟบิโก้ ช่วยให้เซลล์ในร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมบำรุงตั้งแต่ระดับ​ DNA​ ได้ดีขึ้น​ แต่..ไอ้เราพอได้ยิน​ คำว่า​ Growth​ Factor​ ก็เลยถึงบางอ้อ​ ว่า​ ทำไมนอนตี​ 1-3​ มา​ยาวนานถึง 17​-18 ปีแล้ว​ แต่ก็ยังไม่โทรม!! จนหลายคนทัก เขาบอกว่า​ หน้าตา​ ความคล่องตัว​ ไม่เหมือนคนนอนตี​1-3​ 😁😁 🙆🏻‍♀️แต่ที่ผ่านมา​ ไม่ได้สนใจเรื่อง​ "Growth​ Factor" เพราะต้องการทาน​ ออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ เพื่อขับล้างสารตกค้าง​จากอาหาร​เสริมที่ก่อนหน้านี้​ทานมาถึง​ 15 ปี​ จนผลตรวจ​ MRI​ พบว่า​ ได้ถุงน้ำในไตมา 2-3 ถุง เรื่อง​ #growthfactor​ จึงเป็นเหมือนของแถมจากการทานออร์แก​นิค​คลอ​เรลล่า​เฟ​บิ​โก้​ 🇹🇼 PLC.​ ไม่ใช่ปัจจัยหลัก​ที่ทำให้ทานมายาวนาน​ มิ.ย.​ นี้​ ครบ​ 9 ปี 👉🏻ตามปรัชญา​ "สะสาง​ ก่อนสะสม" ที่ได้รับจากครอบครัวของที่ปรึกษา​ เพราะสำหรับเอส​ #การรับสิ่งพิษเข้าไปสะสมในร่างกายทุกๆวัน​ มันน่ากลัวกว่า​ "หน้าตาโทรม​ หน้าตาไม่สวย" 😁😁 ค่ะ 💚💚💚💚💚💚💚💚 คุณแม่​สามีเลือกทำ​ "คีโม" และ​​ ยังทาน​ ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ ​ตลอด​ โดยที่เพิ่มจากโดสปกติ​ เป็น "12​ เม็ด​ + ทานพืชที่ช่วยลดพิษร้อน" จากการคีโมค่ะ 🎀ซึ่งคุณแม่สามี​ ไม่ยอมหยุดทาน​ #ออร์แกนิคคลอเรลล่าfebico ​ทั้งที่อาจารย์​หมอก็บอกว่า​ ทานได้​ แต่ระวัง​คลอเรลล่าจะไปขับพิษคีโมออก​ จนคีโมทำงานไม่ได้ 🎀คุณแม่สามี​ จึงวางแผนการทานออร์แก​นิคคลอเรลล่าเฟบิโก้​ ด้วยตัวเอง​ ระหว่างที่ทำคีโมไปด้วย​ เพราะน้องชายที่เป็นอาจารย์​หมอ​ รพ.ดังระดับประเทศ​ ไม่อยากให้ทาน​คลอเรลล่า 📍เพราะ​ #ออร์แกนิกคลอเรลล่าเฟบิโก้ สามารถ​ทำลายพิษของคีโม​ได้​ เนื่องจาก​คีโมคือพิษ แล้วเราต้องการความเป็นพิษของคีโมไปทำลายเซลล์​มะเร็ง​ ซึ่งคีโม​ นอกจากจะทำลาย​เซลล์มะเร็ง​แล้ว​ ยังทำลาย​เซลล์ดีอีกด้วย 📍ดังนั้น​ การ​ทานออร์แก​นิคคลอเรลล่า​เฟบิโก้ ที่เหมาะสมกับผู้ที่กำลังรักษา​ด้วยคีโม จึงต้องทาน​ในช่วงเวลา​ หลังจาก​ "คีโมทำงานเสร็จแล้ว" เช่น​ หลังจากคีโม​ไปแล้ว​ 6 ชม.​ เป็นต้น #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 830 มุมมอง 0 รีวิว
  • 71 ล้าน เสน่หาหรือฉ้อโกง และเสียภาษีหรือยัง?
    .
    มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง
    .
    มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส
    .
    ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
    .
    จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์
    .
    วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย
    .
    เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ
    .
    ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ
    .
    คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป
    .
    คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา
    .
    ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร
    .
    และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด
    .
    คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด
    .
    วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล
    71 ล้าน เสน่หาหรือฉ้อโกง และเสียภาษีหรือยัง? . มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง . มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส . ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา . จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์ . วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย . เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ . ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ . คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป . คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา . ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร . และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด . คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด . วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 997 มุมมอง 0 รีวิว
  • ""ธุรกิจขายสินค้าโดยวิธีการสมัครสมาชิก และให้สมาชิกซื้อสินค้านั้น จะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ จะดูจาก ""#รายได้"" ว่า ได้มาจากอะไร ซึ่งศาลฎีกาเองก็ดูจากรายได้เช่นกัน ว่า #รายได้ที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ประเภท

    ประเภทที่ 1. #รายได้จากการสมัครสมาชิก ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าสมัครสมาชิก และมีแนวทางการประกอบกิจการไปที่การแนะนำให้หาสมาชิกเป็นส่วนใหญ่ วิธีการแบบนี้ เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนได้ #เพราะไม่ได้เน้นที่การขายสินค้าและรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการขายสินค้า

    ประเภทที่ 2. #รายได้มาจากการสมัครสมาชิก และ #การบังคับซื้อสินค้า วิธีการนี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นการตั้งใจประกอบธุรกิจ แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่า ไม่ได้มีเจตนาประกอบธุรกิจจริงๆ #แต่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้าไปเยอะๆแต่ไม่สามารถขายสินค้าได้ ฉะนั้น รายได้จริงๆของเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ใช่ผลกำไรจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการให้สมาชิกต้องซื้อสินค้าจำนวนหนึ่ง [** รายได้ของธุรกิจ จะต้องได้จากการขายสินให้คนทั่วไป ไม่ใช่รายได้จากการบังคับให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวน มากๆ / เรียกว่า ""รายได้หรือกำไรเทียม"" ] วิธีการแบบนี้เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นกัน เพราะรายได้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เกิดจากการหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากๆ

    ประเภที่ 3. #รายได้มาจากการาขายสินค้าทั่วไป ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นธุรกิจทั่วๆไป คือ นำสินออกขาย ถ้าขายได้ก็ได้กำไร ถ้าขายไม่ได้ก็ขาดทุน โดยจะไม่มีรายได้จากค่าสมาชิก หรือรายได้จากการบังคับซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ

    #ธุรกิจที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ เข้าลักษณะที่ 2. คือ มีสินค้าจริง แต่จะให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #แต่สินค้าจะขายไม่ได้ หรือจะขายได้น้อย #และถ้าไปดูรายได้ของบริษัทแม่จริงๆ ก็จะพบว่ รายได้หรือกำไร #มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก ส่วนสมาชิกจะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    เมื่อรายได้หรือกำไรของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่คนทั่วไป แต่เกิดจากการซื้ของสมาชิกเอง ก็แสดงว่า #รายได้หรือกำไรของบริษัทนั้นมีขึ้นก่อนที่จะนำสินค้าออกขายให้แก่คนทั่วไปโดยสมาชิก

    ดู ไทมไลน์ ดังนี้
    1. ผลิตสินค้า
    2.หาสมาชิก
    3. ให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมาก [** รายได้ของบริษัท]
    4. สมาชิกนำสินค้าที่ซื้อไปขาย

    จะเห็นว่า รายได้ของบริษัท #เกิดขึ้นก่อน ที่สมาชิกจะเอาสินค้าไปขาย และเป็นรายได้ที่มาจากสมาชิกเอง

    วิธีการที่จะหลอกสมาชิกให้มาสมัครเป็นสมาชิก และให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากๆได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือ ที่เรียกว่า ""#ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์"" ธุรกิจพวกนี้จะให้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาช่วยโปรโมทธุรกิจของตนเอง

    "" #โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าให้เยอะขึ้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำสินค้าไปขายได้ง่ายขึ้น ..........""

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2901/2547 วินิจฉัยว่า
    "" ถ้ารายได้หรือผลกำไร มาจากค่าสมัครสมาชิก และจะได้มากขึ้นเมื่อสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาเป็นสมาชิกได้ #อันแสดงว่ารายได้หรือผลกำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าหรือบริการ แต่ขึ้นอยู่กับการชักชวนหรือการหาสมาชิกให้ได้จำนวนมากๆ #และเมื่อรายได้หรือผลกำไรเกิดจากค่าสมัครสมาชิกไม่ได้เกิดจากสินค้าหรือบริการโดยตรง จึงต้องตามความหมายของบทนิยามคำว่า "กู้ยืมเงิน" และ "ผลประโยชน์ตอบแทน" ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ ม. 3 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ....."

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1172/2566 วินิจฉัยว่า
    "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในกิจการและธุรกิจของจำเลย #แต่จำเลยกลับไม่มีกิจการใดๆเลยที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้ตามที่จำเลยโฆษณา ดังนั้น การโฆษณาชักชวนของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวง อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ""

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 326/2566 วินิจฉัยว่า
    "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน กับ บริษัท อ. แต่กลับพบว่า ในขณะที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนนั้น บริษัท อ. #ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทตามกฎหมาย ซึ่งการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือไม่นั้น ถือเป็นสาระสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า บริษัท อ.นั้น ยังไม่ได้จดทะเบียนตั้งบริษัท #แต่กลับปกปิดความจริงข้อนี้เอาไว้ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง .....""

    #คดีตามข่าว เส้นแบ่งว่าจะเป็นฉ้อโกงหรือไม่ ให้ดูจากรายได้ของบริษัท ว่า รายได้หรือกำไรมาจากการที่สมาชิกขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ หรือเป็นรายได้หรือกำไรที่ได้มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิกเอง ถ้ารายได้ของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วๆไป แต่เกิดจากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกง โดยศาลจะถือว่า ""#รู้อยู่แล้วว่าสินค้าไม่สามารถขายได้"" และการใช้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาโฆษณานั้น #ก็ด้วยวัตถุประสงค์ให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการขายหรือช่วยให้สมาชิกขายสินค้าได้แต่อย่างใด

    (1) รายได้บริษัท มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก
    (2) การใช้ดารามาโฆษณา เพื่อให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น
    (3) บริษัทได้รายได้ไปก่อนที่สมาชิกจะนำสินค้าไปขาย
    (4) พยายามชักจูงใจให้สมาชิกซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าทั่วไป
    (5) สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะโฆษณาไม่ใช่เกิดจากการใช้จริง
    (6) บริษัทเน้นรายได้ที่จะไดจากสมาชิกเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าสมาชิกจะขายสินค้าได้หรือไม่
    (7) สุดท้ายบริษัทเท่านั้นที่มีรายได้ ส่วนสมาชิกส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะขายสินค้าไม่ได้ แต่ต้องจ่ายเงินให้บริษัทเพื่อซื้อสินค้าไปก่อน
    (8) สมาชิกสนใจธุรกิจ เพราะ การโฆษณาชวนเชื่อ #ไม่ได้สนใจ #เพราะสินค้าขายดี

    จะเห็นว่า ธุรกิจแบบนี้ มีลักษณะที่ดูยากว่าเป็นการฉ้อโกง เพราะเขามีตัวสินค้าอยู่จริง และสินค้าเขาอาจจะดีจริงก็ได้เช่นกัน #แต่ขอให้ดูรายได้ของบริษัทว่ามาจากอะไร เพราะศาลเองก็จะดูเช่นกันว่า ถ้ามีเจตนาจะขายสินค้าหรือบริการจริงๆ ก็จะต้องเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการ #และรายได้หลักก็ควรเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการแก่บุคคลทั่วไป ไม่ใช่รายได้หลักเกิดจากการให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ รายได้หลักเกิดการการซื้อสินค้าของสมาชิก #ก็ย่อมแสดงว่า บริษัททราบอยู่ก่อนแล้ว่าสินค้าหรือบริการ ไม่สามารถขายได้หรือถ้าขายได้ก็ทำรายได้ไม่ถึงกับที่ตนเองโฆษณา #ซึ่งในที่สุดสมาชิกก็จะขาดทุนเพราะสินค้าขายไม่ได้ อันถือว่าผิดหลักการค้าขายทั่วไป ที่จะต้อนเน้นไปที่การขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ ไม่ใช่เน้นส่งเสริมให้สมาชิกซื้อสินค้าเยอะๆ ""

    Cr: คดีโลกคดีธรรม
    ""ธุรกิจขายสินค้าโดยวิธีการสมัครสมาชิก และให้สมาชิกซื้อสินค้านั้น จะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ จะดูจาก ""#รายได้"" ว่า ได้มาจากอะไร ซึ่งศาลฎีกาเองก็ดูจากรายได้เช่นกัน ว่า #รายได้ที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ประเภท ประเภทที่ 1. #รายได้จากการสมัครสมาชิก ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าสมัครสมาชิก และมีแนวทางการประกอบกิจการไปที่การแนะนำให้หาสมาชิกเป็นส่วนใหญ่ วิธีการแบบนี้ เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนได้ #เพราะไม่ได้เน้นที่การขายสินค้าและรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการขายสินค้า ประเภทที่ 2. #รายได้มาจากการสมัครสมาชิก และ #การบังคับซื้อสินค้า วิธีการนี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นการตั้งใจประกอบธุรกิจ แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่า ไม่ได้มีเจตนาประกอบธุรกิจจริงๆ #แต่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้าไปเยอะๆแต่ไม่สามารถขายสินค้าได้ ฉะนั้น รายได้จริงๆของเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ใช่ผลกำไรจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการให้สมาชิกต้องซื้อสินค้าจำนวนหนึ่ง [** รายได้ของธุรกิจ จะต้องได้จากการขายสินให้คนทั่วไป ไม่ใช่รายได้จากการบังคับให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวน มากๆ / เรียกว่า ""รายได้หรือกำไรเทียม"" ] วิธีการแบบนี้เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นกัน เพราะรายได้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เกิดจากการหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากๆ ประเภที่ 3. #รายได้มาจากการาขายสินค้าทั่วไป ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นธุรกิจทั่วๆไป คือ นำสินออกขาย ถ้าขายได้ก็ได้กำไร ถ้าขายไม่ได้ก็ขาดทุน โดยจะไม่มีรายได้จากค่าสมาชิก หรือรายได้จากการบังคับซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #ธุรกิจที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ เข้าลักษณะที่ 2. คือ มีสินค้าจริง แต่จะให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #แต่สินค้าจะขายไม่ได้ หรือจะขายได้น้อย #และถ้าไปดูรายได้ของบริษัทแม่จริงๆ ก็จะพบว่ รายได้หรือกำไร #มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก ส่วนสมาชิกจะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อรายได้หรือกำไรของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่คนทั่วไป แต่เกิดจากการซื้ของสมาชิกเอง ก็แสดงว่า #รายได้หรือกำไรของบริษัทนั้นมีขึ้นก่อนที่จะนำสินค้าออกขายให้แก่คนทั่วไปโดยสมาชิก ดู ไทมไลน์ ดังนี้ 1. ผลิตสินค้า 2.หาสมาชิก 3. ให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมาก [** รายได้ของบริษัท] 4. สมาชิกนำสินค้าที่ซื้อไปขาย จะเห็นว่า รายได้ของบริษัท #เกิดขึ้นก่อน ที่สมาชิกจะเอาสินค้าไปขาย และเป็นรายได้ที่มาจากสมาชิกเอง วิธีการที่จะหลอกสมาชิกให้มาสมัครเป็นสมาชิก และให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากๆได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือ ที่เรียกว่า ""#ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์"" ธุรกิจพวกนี้จะให้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาช่วยโปรโมทธุรกิจของตนเอง "" #โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าให้เยอะขึ้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำสินค้าไปขายได้ง่ายขึ้น .........."" ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2901/2547 วินิจฉัยว่า "" ถ้ารายได้หรือผลกำไร มาจากค่าสมัครสมาชิก และจะได้มากขึ้นเมื่อสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาเป็นสมาชิกได้ #อันแสดงว่ารายได้หรือผลกำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าหรือบริการ แต่ขึ้นอยู่กับการชักชวนหรือการหาสมาชิกให้ได้จำนวนมากๆ #และเมื่อรายได้หรือผลกำไรเกิดจากค่าสมัครสมาชิกไม่ได้เกิดจากสินค้าหรือบริการโดยตรง จึงต้องตามความหมายของบทนิยามคำว่า "กู้ยืมเงิน" และ "ผลประโยชน์ตอบแทน" ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ ม. 3 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ....." ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1172/2566 วินิจฉัยว่า "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในกิจการและธุรกิจของจำเลย #แต่จำเลยกลับไม่มีกิจการใดๆเลยที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้ตามที่จำเลยโฆษณา ดังนั้น การโฆษณาชักชวนของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวง อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน "" ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 326/2566 วินิจฉัยว่า "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน กับ บริษัท อ. แต่กลับพบว่า ในขณะที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนนั้น บริษัท อ. #ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทตามกฎหมาย ซึ่งการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือไม่นั้น ถือเป็นสาระสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า บริษัท อ.นั้น ยังไม่ได้จดทะเบียนตั้งบริษัท #แต่กลับปกปิดความจริงข้อนี้เอาไว้ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ....."" #คดีตามข่าว เส้นแบ่งว่าจะเป็นฉ้อโกงหรือไม่ ให้ดูจากรายได้ของบริษัท ว่า รายได้หรือกำไรมาจากการที่สมาชิกขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ หรือเป็นรายได้หรือกำไรที่ได้มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิกเอง ถ้ารายได้ของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วๆไป แต่เกิดจากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกง โดยศาลจะถือว่า ""#รู้อยู่แล้วว่าสินค้าไม่สามารถขายได้"" และการใช้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาโฆษณานั้น #ก็ด้วยวัตถุประสงค์ให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการขายหรือช่วยให้สมาชิกขายสินค้าได้แต่อย่างใด (1) รายได้บริษัท มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก (2) การใช้ดารามาโฆษณา เพื่อให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น (3) บริษัทได้รายได้ไปก่อนที่สมาชิกจะนำสินค้าไปขาย (4) พยายามชักจูงใจให้สมาชิกซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าทั่วไป (5) สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะโฆษณาไม่ใช่เกิดจากการใช้จริง (6) บริษัทเน้นรายได้ที่จะไดจากสมาชิกเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าสมาชิกจะขายสินค้าได้หรือไม่ (7) สุดท้ายบริษัทเท่านั้นที่มีรายได้ ส่วนสมาชิกส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะขายสินค้าไม่ได้ แต่ต้องจ่ายเงินให้บริษัทเพื่อซื้อสินค้าไปก่อน (8) สมาชิกสนใจธุรกิจ เพราะ การโฆษณาชวนเชื่อ #ไม่ได้สนใจ #เพราะสินค้าขายดี จะเห็นว่า ธุรกิจแบบนี้ มีลักษณะที่ดูยากว่าเป็นการฉ้อโกง เพราะเขามีตัวสินค้าอยู่จริง และสินค้าเขาอาจจะดีจริงก็ได้เช่นกัน #แต่ขอให้ดูรายได้ของบริษัทว่ามาจากอะไร เพราะศาลเองก็จะดูเช่นกันว่า ถ้ามีเจตนาจะขายสินค้าหรือบริการจริงๆ ก็จะต้องเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการ #และรายได้หลักก็ควรเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการแก่บุคคลทั่วไป ไม่ใช่รายได้หลักเกิดจากการให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ รายได้หลักเกิดการการซื้อสินค้าของสมาชิก #ก็ย่อมแสดงว่า บริษัททราบอยู่ก่อนแล้ว่าสินค้าหรือบริการ ไม่สามารถขายได้หรือถ้าขายได้ก็ทำรายได้ไม่ถึงกับที่ตนเองโฆษณา #ซึ่งในที่สุดสมาชิกก็จะขาดทุนเพราะสินค้าขายไม่ได้ อันถือว่าผิดหลักการค้าขายทั่วไป ที่จะต้อนเน้นไปที่การขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ ไม่ใช่เน้นส่งเสริมให้สมาชิกซื้อสินค้าเยอะๆ "" Cr: คดีโลกคดีธรรม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 963 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมเคิล ชาเฟล..มหาเทพในตำนาน ผู้ร่ำรวยบนความฉิบหายของคนอื่น

    ท้าวความ..สมัยไมเคิลอายุได้ 16 ปี เรียนอยู่เอแบค ไมเคิลได้ไปรู้จักกับ Herbalife ในปี 2546

    ยุคนั้นคนยังไม่ค่อยรู้จัก Facebook (Facebook เปิดให้บริการครั้งแรก 2547) ยังไม่มีการยิงโฆษณา

    ไมเคิล..คือผู้มาก่อนกาลเวลาเหนือผู้ใด เรียกว่ายุคที่ยังไม่มีการขายของออนไลน์เลย Herbalife ก็คือสินค้า MLM ธรรมดา

    แต่..ไมเคิล มองออกว่าโลกออนไลน์มีพลังมากกว่าการชวนคนแบบเจอหน้าในออฟไลน์ จึงคิดแผนการตลาดขึ้นมาด้วยการที่ให้คนชวนคนบน FB.

    ต้องเข้าใจนะว่าไม่มีการยิงโฆษณาใดๆ เพราะมันเป็นยุคแรกของโลก Social แทนที่คนจะได้คุยกัน แบ่งปันเรื่องราวตามที่ Mark มันออกแบบมาต้องการให้ FB.เป็นเหมือนชุมชนเพื่อน

    แต่..ไมเคิลมันรู้ว่าสามารถเอา FB.มาเป็นร้านค้าได้ด้วยการโพสต์และแชร์ไปเรื่อยๆ ยุคนั้น Algorithm ของ FB.ยังไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกวันนี้เลย

    ตอนนั้น FB.เพิ่งเริ่มต้นตั้งไข่ มีแต่แผนจะร่ำรวยดันตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ เลยไม่ได้สนใจในการพัฒนา AI.ตรวจจับการทำ Content ซ้ำๆ

    ถ้าพูดกันถึงยุคนี้ถ้าเราโพสต์ Content ซ้ำๆ จะโดน Algorithm ของ FB.แบนทันที เหมือนที่เราเคยเห็นตอนที่คนแชร์คลิปเพลงของ Lisa แล้ว FB.แบนนั่นแหละ

    AI มันทำหน้าที่ของมัน เพราะมันคิดว่าเป็นการกระหน่ำ Spam ระบบ หรือระบบกำลังโดนโจมตี

    แต่ยุคของไมเคิลนั้นโล่งสบาย เพราะทุกคนทำอะไรก็ได้ จะสแปมยังไงก็ได้ดังนั้นมันจึงตั้ง Herbalife Thailand ขึ้นมา

    แล้วจัดสัมมนา โดยมีหลักในการ Motivate ที่ไม่เหมือนใคร ฉีกกฎทุกกฎของคนทำ MLM ในประเทศไทย

    ไมเคิล..เก่งเรื่อง NLP ล้างสมองคนได้ ไม่ต้องมีอะไร แค่บอกว่าทำกับมันแล้วรวย วิธี Sponsor ของมันสุดติ่งมาก

    ยุคนั้น..เป็นการชวนคนแบบโพสต์ออนไลน์แล้วให้สมาชิกลากคนมาฟัง นั่งรถไฟฟ้าไปที่ศูนย์อบรมของมัน แล้วมันก็เข้าปิดการขายได้แบบ Conversion กระหน่ำจุกๆเลย
    ---------

    แผนประทุษกรรมของ..ไมเคิล

    เปิดตัวด้วยความเร้าใจ เดินเข้ามาในห้องแล้วโชว์ Black Berry แล้วถามคนในห้องว่าโทรศัพท์นี้แพงไหม ทุกคนตอบว่าแพง

    จากนั้นมันก็เขวี้ยงโทรศัพท์ Black Berry ไปที่กำแพงให้แตกแล้วพูดด้วยเสียงนิ่มๆว่า "ถ้าคุณทำธุรกิจกับผม คุณจะซื้อ Black Berry อีกกี่รอบก็ได้" ถถถ🤣

    แค่นี้ก็ทำ First Impression ให้คนในห้องแม่งตะลึงได้แล้ว จากนั้นมันก็จะใช้กลยุทธการปิดการขายโดยใช้หลักการที่เรียกว่า..ทฤษฏีห้องเปล่า

    คือทุกคนย่อมไม่มีเงินลงทุน มันบอกว่าก็ลองมองไปยังของในห้องที่คุณอยู่หรือบ้านที่คุณอยู่สิ

    คุณมีอะไรขายได้เอามาลงทุนกับผมแล้วจะรวย ขายได้ ขายให้หมด เอาเงินสดมาลงทุนกับผม แล้วผมจะพาคุณรวยไปด้วยกัน.?

    ได้ผล..คนแห่ซื้อของแม่งอย่างกับลดแลกแจกแถม เพราะอยากได้ Black Berry กี่รอบก็ได้ตามที่มันแสดง Action ให้ดู ว่าคนรวย เงินแค่นี้จิ๊บๆ

    ไมเคิล..สอนให้คนทำการตลาดด้วยการแนะนำสินค้าบน FB.ด้วยการโพสต์ และแชร์ และให้ทุกคนเริ่มต้นซื้อสินค้าของมัน

    เปิดบิลขั้นต่ำ 25,000 บาท สูงๆก็หลักแสน หลังเปิดบิลแล้วก็จะได้สต็อกของเต็มห้องหลังจากเข้าสู่วังวน“ทฤษฏีห้องเปล่า”เรียบร้อยแล้ว

    เปลี่ยนจากทรัพย์ที่มีเป็นสินค้า Herbalife เพราะคุณจะรวยไปด้วยกันกับไมเคิล ยุคนั้นเป็นยุคตื่นทอง คนไม่เคยเจออะไรแบบนี้

    เลยคิดเอาเองว่า..นี่แหละวะคือทางออกของ Passive Income และนั่นคือจุดเริ่มต้นความรวยของ..ไมเคิล ชาเฟล

    ไมเคิล..มีรถ Super Car ขับหลังจากนั้นไม่นาน รวยเร็ว รวยไว อายุน้อยร้อยล้านของแท้ แต่คนอื่นฉิบหายช่างมัน

    ใครอยากรอดตายให้ชวนคนมาต่อตูดถึงจะได้ค่าหัวคิวเปิดบิล..แชร์ลูกโซ่ชัดๆ

    ไมเคิล..เริ่มรวยหลักร้อยล้าน มันก็เริ่มคิดอยากจะมีในสิ่งที่เศรษฐีทั่วไปเขามีกันบางคนอยากได้นาฬิกาแพงๆ มันมีแล้ว

    บางคนอยากได้รถหรู มันมีแล้ว บ้านหลังใหญ่ มันมีแล้ว สิ่งที่ไมเคิลฝันนั้นสุดโต่งขึ้นตามลำดับ

    ไมเคิล..ฝันอยากได้เฮลิคอปเตอร์มันบอกเพื่อนๆว่า รถมันกระจอก กูจะมีเฮลิคอปเตอร์เอาไว้บินจากกรุงเทพไปพัทยาและ..กูจะทำให้ได้

    รอติดตาม ep.2

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    ไมเคิล ชาเฟล..มหาเทพในตำนาน ผู้ร่ำรวยบนความฉิบหายของคนอื่น ท้าวความ..สมัยไมเคิลอายุได้ 16 ปี เรียนอยู่เอแบค ไมเคิลได้ไปรู้จักกับ Herbalife ในปี 2546 ยุคนั้นคนยังไม่ค่อยรู้จัก Facebook (Facebook เปิดให้บริการครั้งแรก 2547) ยังไม่มีการยิงโฆษณา ไมเคิล..คือผู้มาก่อนกาลเวลาเหนือผู้ใด เรียกว่ายุคที่ยังไม่มีการขายของออนไลน์เลย Herbalife ก็คือสินค้า MLM ธรรมดา แต่..ไมเคิล มองออกว่าโลกออนไลน์มีพลังมากกว่าการชวนคนแบบเจอหน้าในออฟไลน์ จึงคิดแผนการตลาดขึ้นมาด้วยการที่ให้คนชวนคนบน FB. ต้องเข้าใจนะว่าไม่มีการยิงโฆษณาใดๆ เพราะมันเป็นยุคแรกของโลก Social แทนที่คนจะได้คุยกัน แบ่งปันเรื่องราวตามที่ Mark มันออกแบบมาต้องการให้ FB.เป็นเหมือนชุมชนเพื่อน แต่..ไมเคิลมันรู้ว่าสามารถเอา FB.มาเป็นร้านค้าได้ด้วยการโพสต์และแชร์ไปเรื่อยๆ ยุคนั้น Algorithm ของ FB.ยังไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกวันนี้เลย ตอนนั้น FB.เพิ่งเริ่มต้นตั้งไข่ มีแต่แผนจะร่ำรวยดันตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ เลยไม่ได้สนใจในการพัฒนา AI.ตรวจจับการทำ Content ซ้ำๆ ถ้าพูดกันถึงยุคนี้ถ้าเราโพสต์ Content ซ้ำๆ จะโดน Algorithm ของ FB.แบนทันที เหมือนที่เราเคยเห็นตอนที่คนแชร์คลิปเพลงของ Lisa แล้ว FB.แบนนั่นแหละ AI มันทำหน้าที่ของมัน เพราะมันคิดว่าเป็นการกระหน่ำ Spam ระบบ หรือระบบกำลังโดนโจมตี แต่ยุคของไมเคิลนั้นโล่งสบาย เพราะทุกคนทำอะไรก็ได้ จะสแปมยังไงก็ได้ดังนั้นมันจึงตั้ง Herbalife Thailand ขึ้นมา แล้วจัดสัมมนา โดยมีหลักในการ Motivate ที่ไม่เหมือนใคร ฉีกกฎทุกกฎของคนทำ MLM ในประเทศไทย ไมเคิล..เก่งเรื่อง NLP ล้างสมองคนได้ ไม่ต้องมีอะไร แค่บอกว่าทำกับมันแล้วรวย วิธี Sponsor ของมันสุดติ่งมาก ยุคนั้น..เป็นการชวนคนแบบโพสต์ออนไลน์แล้วให้สมาชิกลากคนมาฟัง นั่งรถไฟฟ้าไปที่ศูนย์อบรมของมัน แล้วมันก็เข้าปิดการขายได้แบบ Conversion กระหน่ำจุกๆเลย --------- แผนประทุษกรรมของ..ไมเคิล เปิดตัวด้วยความเร้าใจ เดินเข้ามาในห้องแล้วโชว์ Black Berry แล้วถามคนในห้องว่าโทรศัพท์นี้แพงไหม ทุกคนตอบว่าแพง จากนั้นมันก็เขวี้ยงโทรศัพท์ Black Berry ไปที่กำแพงให้แตกแล้วพูดด้วยเสียงนิ่มๆว่า "ถ้าคุณทำธุรกิจกับผม คุณจะซื้อ Black Berry อีกกี่รอบก็ได้" ถถถ🤣 แค่นี้ก็ทำ First Impression ให้คนในห้องแม่งตะลึงได้แล้ว จากนั้นมันก็จะใช้กลยุทธการปิดการขายโดยใช้หลักการที่เรียกว่า..ทฤษฏีห้องเปล่า คือทุกคนย่อมไม่มีเงินลงทุน มันบอกว่าก็ลองมองไปยังของในห้องที่คุณอยู่หรือบ้านที่คุณอยู่สิ คุณมีอะไรขายได้เอามาลงทุนกับผมแล้วจะรวย ขายได้ ขายให้หมด เอาเงินสดมาลงทุนกับผม แล้วผมจะพาคุณรวยไปด้วยกัน.? ได้ผล..คนแห่ซื้อของแม่งอย่างกับลดแลกแจกแถม เพราะอยากได้ Black Berry กี่รอบก็ได้ตามที่มันแสดง Action ให้ดู ว่าคนรวย เงินแค่นี้จิ๊บๆ ไมเคิล..สอนให้คนทำการตลาดด้วยการแนะนำสินค้าบน FB.ด้วยการโพสต์ และแชร์ และให้ทุกคนเริ่มต้นซื้อสินค้าของมัน เปิดบิลขั้นต่ำ 25,000 บาท สูงๆก็หลักแสน หลังเปิดบิลแล้วก็จะได้สต็อกของเต็มห้องหลังจากเข้าสู่วังวน“ทฤษฏีห้องเปล่า”เรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนจากทรัพย์ที่มีเป็นสินค้า Herbalife เพราะคุณจะรวยไปด้วยกันกับไมเคิล ยุคนั้นเป็นยุคตื่นทอง คนไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เลยคิดเอาเองว่า..นี่แหละวะคือทางออกของ Passive Income และนั่นคือจุดเริ่มต้นความรวยของ..ไมเคิล ชาเฟล ไมเคิล..มีรถ Super Car ขับหลังจากนั้นไม่นาน รวยเร็ว รวยไว อายุน้อยร้อยล้านของแท้ แต่คนอื่นฉิบหายช่างมัน ใครอยากรอดตายให้ชวนคนมาต่อตูดถึงจะได้ค่าหัวคิวเปิดบิล..แชร์ลูกโซ่ชัดๆ ไมเคิล..เริ่มรวยหลักร้อยล้าน มันก็เริ่มคิดอยากจะมีในสิ่งที่เศรษฐีทั่วไปเขามีกันบางคนอยากได้นาฬิกาแพงๆ มันมีแล้ว บางคนอยากได้รถหรู มันมีแล้ว บ้านหลังใหญ่ มันมีแล้ว สิ่งที่ไมเคิลฝันนั้นสุดโต่งขึ้นตามลำดับ ไมเคิล..ฝันอยากได้เฮลิคอปเตอร์มันบอกเพื่อนๆว่า รถมันกระจอก กูจะมีเฮลิคอปเตอร์เอาไว้บินจากกรุงเทพไปพัทยาและ..กูจะทำให้ได้ รอติดตาม ep.2 สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimes
    อย่าตกเป็นเหยื่อของมารศาสนา!!
    ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ประเทศไทยมีผู้ที่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก อาจเป็นจากการที่ศาสนิกได้รับการสอนมาแบบผิดๆ หรือไม่ได้สนใจศึกษาเลย
    พวกเราคำนึงเห็นถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้จัดตั้งชมรมธรรมะทูบขึ้นเพื่อหวังจะเป็นตัวกลางในการทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสอนของศาสนาได้อย่างถูกต้องครบถ้วน เราจะยึดคำสอนจากพระไตรปิฎก 45 เล่มในการทำเนื้อหา
    #thaitimes อย่าตกเป็นเหยื่อของมารศาสนา!! ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ประเทศไทยมีผู้ที่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก อาจเป็นจากการที่ศาสนิกได้รับการสอนมาแบบผิดๆ หรือไม่ได้สนใจศึกษาเลย พวกเราคำนึงเห็นถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้จัดตั้งชมรมธรรมะทูบขึ้นเพื่อหวังจะเป็นตัวกลางในการทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสอนของศาสนาได้อย่างถูกต้องครบถ้วน เราจะยึดคำสอนจากพระไตรปิฎก 45 เล่มในการทำเนื้อหา
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของใครหลายคนที่ คนไทยไม่ได้สนใจการมีอยู่ หรือ หายไปของสถาบันพระมหากษัตริย์ และ พระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งๆที่คนไทยมีชีวิตอยู่ได้มาทุกวันนี้ เพราะ สถาบันนี้เป็นหลักของประเทศ
    เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของใครหลายคนที่ คนไทยไม่ได้สนใจการมีอยู่ หรือ หายไปของสถาบันพระมหากษัตริย์ และ พระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งๆที่คนไทยมีชีวิตอยู่ได้มาทุกวันนี้ เพราะ สถาบันนี้เป็นหลักของประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.79 : วอร์เกม 2002

    ในปี 2002 กองทัพสหรัฐเกิดความคิดขึ้นว่า อยากจะสมมติสถานการณ์การรบ หรือ ”วอร์เกม“ ว่าถ้าเกิดกองทัพสหรัฐต้องรบกับอิหร่านแบบเต็มรูปแบบแล้ว ผลการรบจะออกมาเป็นอย่างไร ใครจะสูญเสียเท่าไร

    กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ “เพนตากอน” จึงทุ่มงบประมาณไป 250 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเล่นวอร์เกมนี้ ซึ่งก็มีทั้งการใช้เรือรบและเครื่องบินรบ ทหารจริงกว่า 13,000 คนเข้าร่วม และผสมกับการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการรบหรือซิมูเลเตอร์ด้วยครับ

    เป็นวอร์เกมที่ใช้งบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเพนตากอน

    การฝึกนี้ชื่อว่า “มิลเลนเนียม ชาเล้นจ์ 2002“ ครับ เพนตากอนกำหนดไว้ว่าเขาจะเล่นวอร์เกมส์นี้กัน 14 วันถ้วน

    ในการฝึกนี้เขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงินซึ่งหมายถึงกองทัพสหรัฐ นำโดยกองทัพเรือ

    ส่วนฝ่ายแดง คือ ฝ่ายอิหร่าน เพนตากอนเขาได้ตั้งพลเรือโทพอล แวน ริพเพอร์ มาเป็นแม่ทัพฝ่ายแดง ซึ่งนายพลผู้นี้ท่านเป็นทหารนาวิกโยธินอเมริกันที่เกษียณอายุแล้วครับ

    เงื่อนไขในการรบก็คือ ”อยู่ดีๆก็เกิดสงครามขึ้นซะยังงั้นแหละ“ นั่นหมายความว่า ในท้องทะเลก็ยังมีเรือสินค้า เรือเดินสมุทรแล่นไปแล่นมาอยู่ ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว

    และไฮไลท์ซึ่งเป็นมูลเหตุของวอร์เกมนี้คือ ให้ฝ่ายแดง(อิหร่าน)ใช้อาวุธและยุทธวิธีโลว์เทคในการรบ

    เพราะเพนตากอนอยากรู้ว่า ถ้ากองทัพสหรัฐต้องมาเจอกองทัพศัตรูที่ใช้อาวุธแสวงเครื่องและยุทโธปกรณ์ที่โลว์เทค หรือ Asymmetric warfare แล้ว กองทัพสหรัฐจะเป็นอย่างไร

    โดยเพนตากอนบอกท่านนายพลริพเพอร์ หรือ แม่ทัพฝ่ายแดงว่า “เล่นได้เต็มที่แบบ Free play เลย”

    ผลที่ได้คือ…
    .
    .
    .
    เปิดฉากมาวันแรกปุ๊บ ฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐก็ส่งสาส์นมายังฝ่ายแดงตามธรรมเนียมว่า “พลานุภาพกำลังรบและรี้พลของฝ่ายข้าพเจ้านั้นเหนือกว่าท่านมากมายนัก ขอให้ท่านจงยอมแพ้แต่โดยดีเถิด หาไม่แล้วอาณาประชาราษฎร์จะได้ยาก”

    ท่านนายพลริพเพอร์ก็ไม่ได้ยอมแพ้ และเริ่มเล่นยุทธวิธีที่เตรียมไว้คือ ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการนำสาร ไม่มีการใช้วิทยุใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้กองทัพสหรัฐดักฟังหรือแจมระบบสื่อสารได้

    บรรดาฝูงรถมอเตอร์ไซค์พวกนี้นำคำสั่งของนายพลริพเพอร์วิ่งไปยังกองเรือเร็วขนาดเล็กที่บรรทุกมิสไซล์จอดเทียบอยู่ตามท่าเรือต่างๆ

    เมื่อรับคำสั่งปุ๊บบรรดาเรือสปีดโบ๊ทเหล่านี้ก็พร้อมใจกันแล่นมุ่งหน้าไปยังกองเรือสหรัฐที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งอิหร่าน

    ด้วยความที่วอร์เกมนี้ระบุว่า “อยู่ดีๆสงครามก็ปะทุ” ทำให้กองทัพเรือสหรัฐต้องแล่นเรือเข้ามาลอยลำใกล้ชายฝั่งอิหร่านมากกว่าปกติ เพราะต้องเว้นระยะห่างจากเส้นทางเรือสินค้าครับ

    เมื่อฝูงเรือสปีดโบ๊ทฝ่ายแดงแล่นเข้ามาได้ระยะยิงปุ๊บ ก็พร้อมใจกันระดมยิงขีปนาวุธห่าใหญ่ใส่กองเรือสหรัฐ จำนวนขีปนาวุธนี้มากมายท่วมท้นเสียจนระบบเรด้าร์และระบบป้องกันของเรือรบสหรัฐเอาไม่อยู่

    นอกจากนี้ยังมีเรือสปีดโบ๊ทบางลำใช้วิธีกามิกาเซ่ คือ บรรทุกระเบิดแล้วพุ่งเข้าชนเรือรบสหรัฐเพื่อให้ระเบิดไปด้วยกัน

    ผลที่ได้คือ เรือรบสหรัฐจมไป 16 ลำ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 5 ลำ และเรือลาดตระเวนอีก 10 ลำ

    จากนั้นท่านนายพลริพเพอร์ก็ใช้กระจกสะท้อนแสง เพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องบินรบฝ่ายแดงขึ้นบิน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองครับ

    คีย์สำคัญคือ ฝ่ายแดงไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลยไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือเรด้าร์ ทำให้ฝ่ายสหรัฐไม่สามารถแจมหรือสแกนหาที่ตั้งสถานีเรด้าร์ได้

    ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของวอร์เกม เรือของกองทัพเรือฝ่ายสหรัฐจมไป 16 ลำ ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์จริงๆแล้ว จะหมายถึงชีวิตของทหาร 20,000 คนเลยเชียว
    .
    .
    .
    เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แม่ทัพน้ำเงินหรือฝ่ายสหรัฐก็เต้นผาง โวยกับแม่ทัพฝ่ายแดงว่า “ยูฆ่าไอตายตั้งแต่วันแรก แล้วเวลาที่เหลืออีก 13 วันไอจะทำอะไรล่ะ เอางี้ละกันเรามารีสตาร์ทเริ่มเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน“

    แล้วก็มีการแก้บทในวอร์เกมใหม่ว่า ให้ฝ่ายแดงเปิดใช้สถานีเรด้าร์ เพื่อที่ฝ่ายสหรัฐจะได้สแกนหาเจอและส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มได้สะดวก ตามด้วยส่งทหารกองพลพลร่มที่ 82 กระโดดร่มลงไปยังที่หมาย

    ในระหว่างนี้ คนคุมวอร์เกมได้บอกแม่ทัพฝ่ายแดงว่าห้ามยิงเครื่องบินสหรัฐที่บินเข้ามา แม่ทัพฝ่ายแดงหรือนายพลริพเพอร์จึงไม่พอใจอย่างมากที่วอร์เกมนี้ไม่สมจริงและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ต้น

    เมื่อสคริปท์ได้เปลี่ยนไปเพื่อการันตีว่าฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น นายพลริพเพอร์จึงประท้วงด้วยการขอถอนตัวออกจากวอร์เกมกลางคัน เพราะท่านบอกว่า “เปลืองเงิน”

    ตามมาด้วยวิวาทะของแม่ทัพทั้งสองฝ่ายในวอร์เกมนี้ ต่างฝ่ายต่างด่ากันคนละนิดละหน่อยพอหอมปากหอมคอ

    ส่วนเพนตากอนนั้นก็ออกมาแถลงว่า บทเรียนที่ได้จากวอร์เกมนี้จะถูกส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพื่อพัฒนาหลักนิยมในการรบต่อไปในอนาคต
    .
    .
    .
    ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะอยากจะเล่าว่า ในเวลานี้ก็เกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกับในวอร์เกมดังกล่าวขึ้นจริงๆที่แถวเยเมนครับ

    อย่างที่เราทราบว่า เยเมนนั้นเป็นที่มั่นของพวกกองโจรฮูติ ซึ่งพวกฮูตินี้ได้ยึดครองชายฝั่งทะเลตรงปากทางเข้าทะเลแดง

    ทะเลแดงนี้เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของเรือสินค้าจำนวนมหาศาลครับ พวกฮูตินี้เริ่มมีอิทธิพลตรงปากทางเข้าทะเลแดงและยิงจรวดไปจมเรือสินค้าหลายๆลำตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมา

    กองทัพเรือสหรัฐส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปคุ้มครองความปลอดภัยของเรือสินค้า ส่วนทางยุโรปก็ส่งกองทัพเรือผสมหลายๆชาติเข้าไปเช่นกัน

    แต่ฝ่ายฮูติก็ไม่ได้สนใจใยดี ยังคงยิงจรวดใส่เรือสินค้าเล่นไปอย่างนั้นมาได้ 6 เดือนแล้ว เกิดเหตุร้ายกับเรือสินค้านับได้ 100 กว่าเหตุการณ์

    แม้กองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะพร้อมรบเต็มที่ แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะเปิดฉากถล่มฮูติเต็มเหนี่ยว เพราะมันจะดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน

    ด้วยเหตุว่าอาวุธของฮูตินั้นเป็นอาวุธราคาประหยัดแต่มีประสิทธิภาพ เช่น ขีปนาวุธที่ยิงได้เป็นระยะ 200-300 กิโลเมตรและโดรนติดอาวุธราคาไม่เกินลำละ 2,000 ดอลล่าร์ ทั้งหมดนี้ได้รับสปอนเซอร์จากอิหร่านซึ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งการก๊อปปี้และสร้างอาวุธราคาถูกได้ทีละมากๆ

    ส่วนอาวุธของฝ่ายสหรัฐนั้นราคาแพง เช่น ขีปนาวุธครูซลูกหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 1-4 ล้านดอลล่าร์

    เรือพิฆาตของสหรัฐลำหนึ่ง ราคา 2 พันล้านดอลล่าร์ และค่าใช้จ่ายในการที่จะทำให้มันแล่นเป็นเรือรบอยู่ได้ก็ตกเดือนละ 7 ล้านเหรียญ

    การรบระหว่างกองทัพสหรัฐกับกองโจรฮูติ จึงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง เพราะเผลอๆเรือรบแพงๆอาจโดนขีปนาวุธราคาถูกยิงจมเอาได้ง่ายๆ

    .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ…..


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.79 : วอร์เกม 2002 ในปี 2002 กองทัพสหรัฐเกิดความคิดขึ้นว่า อยากจะสมมติสถานการณ์การรบ หรือ ”วอร์เกม“ ว่าถ้าเกิดกองทัพสหรัฐต้องรบกับอิหร่านแบบเต็มรูปแบบแล้ว ผลการรบจะออกมาเป็นอย่างไร ใครจะสูญเสียเท่าไร กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ “เพนตากอน” จึงทุ่มงบประมาณไป 250 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเล่นวอร์เกมนี้ ซึ่งก็มีทั้งการใช้เรือรบและเครื่องบินรบ ทหารจริงกว่า 13,000 คนเข้าร่วม และผสมกับการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการรบหรือซิมูเลเตอร์ด้วยครับ เป็นวอร์เกมที่ใช้งบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเพนตากอน การฝึกนี้ชื่อว่า “มิลเลนเนียม ชาเล้นจ์ 2002“ ครับ เพนตากอนกำหนดไว้ว่าเขาจะเล่นวอร์เกมส์นี้กัน 14 วันถ้วน ในการฝึกนี้เขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงินซึ่งหมายถึงกองทัพสหรัฐ นำโดยกองทัพเรือ ส่วนฝ่ายแดง คือ ฝ่ายอิหร่าน เพนตากอนเขาได้ตั้งพลเรือโทพอล แวน ริพเพอร์ มาเป็นแม่ทัพฝ่ายแดง ซึ่งนายพลผู้นี้ท่านเป็นทหารนาวิกโยธินอเมริกันที่เกษียณอายุแล้วครับ เงื่อนไขในการรบก็คือ ”อยู่ดีๆก็เกิดสงครามขึ้นซะยังงั้นแหละ“ นั่นหมายความว่า ในท้องทะเลก็ยังมีเรือสินค้า เรือเดินสมุทรแล่นไปแล่นมาอยู่ ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว และไฮไลท์ซึ่งเป็นมูลเหตุของวอร์เกมนี้คือ ให้ฝ่ายแดง(อิหร่าน)ใช้อาวุธและยุทธวิธีโลว์เทคในการรบ เพราะเพนตากอนอยากรู้ว่า ถ้ากองทัพสหรัฐต้องมาเจอกองทัพศัตรูที่ใช้อาวุธแสวงเครื่องและยุทโธปกรณ์ที่โลว์เทค หรือ Asymmetric warfare แล้ว กองทัพสหรัฐจะเป็นอย่างไร โดยเพนตากอนบอกท่านนายพลริพเพอร์ หรือ แม่ทัพฝ่ายแดงว่า “เล่นได้เต็มที่แบบ Free play เลย” ผลที่ได้คือ… . . . เปิดฉากมาวันแรกปุ๊บ ฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐก็ส่งสาส์นมายังฝ่ายแดงตามธรรมเนียมว่า “พลานุภาพกำลังรบและรี้พลของฝ่ายข้าพเจ้านั้นเหนือกว่าท่านมากมายนัก ขอให้ท่านจงยอมแพ้แต่โดยดีเถิด หาไม่แล้วอาณาประชาราษฎร์จะได้ยาก” ท่านนายพลริพเพอร์ก็ไม่ได้ยอมแพ้ และเริ่มเล่นยุทธวิธีที่เตรียมไว้คือ ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการนำสาร ไม่มีการใช้วิทยุใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้กองทัพสหรัฐดักฟังหรือแจมระบบสื่อสารได้ บรรดาฝูงรถมอเตอร์ไซค์พวกนี้นำคำสั่งของนายพลริพเพอร์วิ่งไปยังกองเรือเร็วขนาดเล็กที่บรรทุกมิสไซล์จอดเทียบอยู่ตามท่าเรือต่างๆ เมื่อรับคำสั่งปุ๊บบรรดาเรือสปีดโบ๊ทเหล่านี้ก็พร้อมใจกันแล่นมุ่งหน้าไปยังกองเรือสหรัฐที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งอิหร่าน ด้วยความที่วอร์เกมนี้ระบุว่า “อยู่ดีๆสงครามก็ปะทุ” ทำให้กองทัพเรือสหรัฐต้องแล่นเรือเข้ามาลอยลำใกล้ชายฝั่งอิหร่านมากกว่าปกติ เพราะต้องเว้นระยะห่างจากเส้นทางเรือสินค้าครับ เมื่อฝูงเรือสปีดโบ๊ทฝ่ายแดงแล่นเข้ามาได้ระยะยิงปุ๊บ ก็พร้อมใจกันระดมยิงขีปนาวุธห่าใหญ่ใส่กองเรือสหรัฐ จำนวนขีปนาวุธนี้มากมายท่วมท้นเสียจนระบบเรด้าร์และระบบป้องกันของเรือรบสหรัฐเอาไม่อยู่ นอกจากนี้ยังมีเรือสปีดโบ๊ทบางลำใช้วิธีกามิกาเซ่ คือ บรรทุกระเบิดแล้วพุ่งเข้าชนเรือรบสหรัฐเพื่อให้ระเบิดไปด้วยกัน ผลที่ได้คือ เรือรบสหรัฐจมไป 16 ลำ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 5 ลำ และเรือลาดตระเวนอีก 10 ลำ จากนั้นท่านนายพลริพเพอร์ก็ใช้กระจกสะท้อนแสง เพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องบินรบฝ่ายแดงขึ้นบิน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองครับ คีย์สำคัญคือ ฝ่ายแดงไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลยไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือเรด้าร์ ทำให้ฝ่ายสหรัฐไม่สามารถแจมหรือสแกนหาที่ตั้งสถานีเรด้าร์ได้ ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของวอร์เกม เรือของกองทัพเรือฝ่ายสหรัฐจมไป 16 ลำ ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์จริงๆแล้ว จะหมายถึงชีวิตของทหาร 20,000 คนเลยเชียว . . . เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แม่ทัพน้ำเงินหรือฝ่ายสหรัฐก็เต้นผาง โวยกับแม่ทัพฝ่ายแดงว่า “ยูฆ่าไอตายตั้งแต่วันแรก แล้วเวลาที่เหลืออีก 13 วันไอจะทำอะไรล่ะ เอางี้ละกันเรามารีสตาร์ทเริ่มเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน“ แล้วก็มีการแก้บทในวอร์เกมใหม่ว่า ให้ฝ่ายแดงเปิดใช้สถานีเรด้าร์ เพื่อที่ฝ่ายสหรัฐจะได้สแกนหาเจอและส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มได้สะดวก ตามด้วยส่งทหารกองพลพลร่มที่ 82 กระโดดร่มลงไปยังที่หมาย ในระหว่างนี้ คนคุมวอร์เกมได้บอกแม่ทัพฝ่ายแดงว่าห้ามยิงเครื่องบินสหรัฐที่บินเข้ามา แม่ทัพฝ่ายแดงหรือนายพลริพเพอร์จึงไม่พอใจอย่างมากที่วอร์เกมนี้ไม่สมจริงและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ต้น เมื่อสคริปท์ได้เปลี่ยนไปเพื่อการันตีว่าฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น นายพลริพเพอร์จึงประท้วงด้วยการขอถอนตัวออกจากวอร์เกมกลางคัน เพราะท่านบอกว่า “เปลืองเงิน” ตามมาด้วยวิวาทะของแม่ทัพทั้งสองฝ่ายในวอร์เกมนี้ ต่างฝ่ายต่างด่ากันคนละนิดละหน่อยพอหอมปากหอมคอ ส่วนเพนตากอนนั้นก็ออกมาแถลงว่า บทเรียนที่ได้จากวอร์เกมนี้จะถูกส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพื่อพัฒนาหลักนิยมในการรบต่อไปในอนาคต . . . ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะอยากจะเล่าว่า ในเวลานี้ก็เกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกับในวอร์เกมดังกล่าวขึ้นจริงๆที่แถวเยเมนครับ อย่างที่เราทราบว่า เยเมนนั้นเป็นที่มั่นของพวกกองโจรฮูติ ซึ่งพวกฮูตินี้ได้ยึดครองชายฝั่งทะเลตรงปากทางเข้าทะเลแดง ทะเลแดงนี้เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของเรือสินค้าจำนวนมหาศาลครับ พวกฮูตินี้เริ่มมีอิทธิพลตรงปากทางเข้าทะเลแดงและยิงจรวดไปจมเรือสินค้าหลายๆลำตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมา กองทัพเรือสหรัฐส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปคุ้มครองความปลอดภัยของเรือสินค้า ส่วนทางยุโรปก็ส่งกองทัพเรือผสมหลายๆชาติเข้าไปเช่นกัน แต่ฝ่ายฮูติก็ไม่ได้สนใจใยดี ยังคงยิงจรวดใส่เรือสินค้าเล่นไปอย่างนั้นมาได้ 6 เดือนแล้ว เกิดเหตุร้ายกับเรือสินค้านับได้ 100 กว่าเหตุการณ์ แม้กองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะพร้อมรบเต็มที่ แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะเปิดฉากถล่มฮูติเต็มเหนี่ยว เพราะมันจะดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ด้วยเหตุว่าอาวุธของฮูตินั้นเป็นอาวุธราคาประหยัดแต่มีประสิทธิภาพ เช่น ขีปนาวุธที่ยิงได้เป็นระยะ 200-300 กิโลเมตรและโดรนติดอาวุธราคาไม่เกินลำละ 2,000 ดอลล่าร์ ทั้งหมดนี้ได้รับสปอนเซอร์จากอิหร่านซึ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งการก๊อปปี้และสร้างอาวุธราคาถูกได้ทีละมากๆ ส่วนอาวุธของฝ่ายสหรัฐนั้นราคาแพง เช่น ขีปนาวุธครูซลูกหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 1-4 ล้านดอลล่าร์ เรือพิฆาตของสหรัฐลำหนึ่ง ราคา 2 พันล้านดอลล่าร์ และค่าใช้จ่ายในการที่จะทำให้มันแล่นเป็นเรือรบอยู่ได้ก็ตกเดือนละ 7 ล้านเหรียญ การรบระหว่างกองทัพสหรัฐกับกองโจรฮูติ จึงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง เพราะเผลอๆเรือรบแพงๆอาจโดนขีปนาวุธราคาถูกยิงจมเอาได้ง่ายๆ .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ….. นัทแนะ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วันนี้มีแต่ข้อมูลหนักๆมาทั้งวัน
    ตาลุงผู้คลั่งรักก็เพ้อเจ้อโพสถึงพี่คิงส์โพสเลอะเทอะทั้งวันเหมือนกัน
    จริงๆไม่อยากอะไรกับตัวเบี้ย เพราะจะเน้นเล่นหัวๆ
    แต่ลุงก็ว็อนท์เหลือเกิน
    เอาๆ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับถ้าพี่คิงส์ไม่โพสถึง
    อ้อ เล่านิดนึง ลุงแกเป็นใคร เผื่อแฟนเพจไม่ได้อ่านโพสก่อนหน้า
    ลุงคนนี้ คือลุงผู้คลั่งรัก เปย์ให้น้องกามิจ สก็อยกิมจิ๊ไปเยอะ
    อย่างน้อยๆที่รู้ กระเป๋าแบรนด์เนมส์สองใบละกัน
    ยอมลาออกจากงาน พอรู้ว่าแน๊กเลิกกับอิเหม็นยิ่งหนัก
    ฝันเวิ้งว่า ถ้าไม่มีชาลี ก็ต้องถึงรอบของแกแล้วแหละ
    หลังจากเอาภาพอิเหม็นติดห้องน้ำ สำเร็จโทษตัวเองมานานหลายเดือน
    ฝันอาจจะได้เป็นจริง ลุงแกเลย เอาเพจที่คิดว่า
    จะเอาความรู้เรื่องการประดิษฐ์นั่นนี่ มาให้แฟนเพจติดตาม
    ก็ไม่ทำเพจใหม่นะ เอาเพจนี้แหละ เอามาชะเลียอิเหวิงทุกวี่วัน
    และด้วยความลุงแกอิจ น้องแน๊กมานาน ก็เป็นมารหัวใจแกเนาะ
    ได้โอกาสก็เล่นงานแน็ก ให้ร้ายแน๊ก เสริมทัพกับพวกอิโจมัณฑนี
    มันไปเข้าตาอิโจมาก เพราะพี่คิงส์เล่นจนโจท้อ บ่นว่าโดนทั้งวันทุกวัน
    และรำพันว่าชีวิตตัวเองนั้น เหมือนกามิจเป๊ะ ฮ่าๆๆๆๆ
    เลยทักหาตาลุงผู้คลั่งรัก เห็นว่าโพสไปก็ไม่ค่อยมีคนเห็น
    ตาลุงเลยได้เคล็ดวิชาขั้นสุดยอดคือการซื้อADครับ
    อูย แกโพสดีใจใหญ่ เหมือนได้อาวุดเทพ มาตอบโต้พี่คิงส์
    แกหิวแสงหนักมาก ท้าทายพี่คิงส์ไปโหนกระแส พี่ก็งงว่า
    เค้าจะเอาลุงไปออกทำไมก่อน ลุงสำคัญยังไง
    แค่ทำเพจเล่นงานแน๊ก และชะเลียอิเหม็น มันสำคัญต่อประเทศชาติยังไง
    คือลุงแกคิดว่าแกคือสื่อหลักของประเทศไปแล้ว
    ลุงลืมไปว่า ไอ่ที่คนกดไลค์ให้แกเยอะๆ คือซื้อAd
    แล้วเดี๋ยวนี้ ซื้อบ่อยด้วย 55555
    พอพี่คิงส์ไม่ได้สนใจ โน่น ไปดักที่ตต. ตอนนั้นแกปิดแมสด้วย ก็งงว่าโคมันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว แกปิดทำไมหว่า อ้อสรุปแกไม่มีฟัน
    5555555555555555555555
    แกเลยฝากคนนั้นคนนี้ให้แชทมาวุ้ย
    ว่ารอพี่คิงส์ไปตีแบต เอ้ย ดีเบด พี่คิงส์ก็ตอบไปว่า
    "ให้ลุงแกรอไปนะ กรรรูจานอน"
    และหลังจากนั้น ลุงแกก็ส่องเพจพี่คิงส์ทั้งวันทั้งคืน
    ดุจเป็นแฟนพันธิ์แท้ แล้วพี่คิงส์ก็อำแกเล่นๆ
    ว่าแกคือคนในข่าวไง ที่ได้เงินหมื่นมาแล้วมาวตกน้ำ
    แกนะ 555 ไปทำเฟสใหม่ ใส่หน้าคนที่เชียร์น้องแน๊กเว้ย
    ในโปรไฟล์ แล้วทำภาพชี้แจงใหญ่เลยว่า ไม่ใช้ตัวเอง
    แหม่ ใส่ทาร์มไลน์นะ ว่าเวลานั้นเวลานี้ ยังไลฟ์ตต.
    ในภาพไม่ใช่ตัวเอง พี่คิงส์ลำใยก็เลยแบนไป
    แกก็โป๊ะนะ บ่นใหญ่เลย ว่าคนจะอธิบายก็มาแบน
    ร่ายอีกยาว บลาๆๆๆๆ
    พี่คิงส์เห็นแล้วซึ่งความพยายามของชายชราหนึ่งคน
    ที่อยากมีคนคุยด้วยแหละ ดูออก จริงๆพี่คิงส์เคยใส่แกยับนะ
    โพสนั้น ตั้งใจให้แกเกิดสำนึก กลับไปใส่ใจกับครอบครัว
    มิได้นำพาไม่ แรงกระตุ้นจากอะไรู้มั๊ย
    ก็อิโจ กับไอ่เปร็ดอะดิ ไปชี้เป้าทุกเพจ ทุกช่อง
    ที่เล่นงานน้องแน๊ก ให้อิเหม็นส่งติ๊กเกอร์ของขวัญ
    ดอกไม้ให้ใน แชทตต. หูยยยตาลุง อวดเลย
    ยังไม่พอ พออิโจทักไป ก็โพสอีก ปล่อยไก่เลย
    อิโจมณทนี ผู้ซึ่งตีแบ๊วว่าไม่เคยคิดไม่ดีกับน้องแน๊กเลย
    กลับทักมาหาตาลุงซึ่งเล่นแน๊กหนักมาก
    แถมตาลุงเปิดแชตให้ดูด้วย ประมาณว่าเรียกโจมณฑทนีผู้จบแค่ม.ต้นว่า
    อาจารย์ นี่แหละคือเรื่องราวส่วนหนึ่งของลุงผู้คลั่งรัก
    เพื่อนบ้านระอา เวลามาวขึ้นมาก็ชอบเอะอะโวยวาย
    เลยต้องมาเฝ้าอยู่ในโลกโซเชียล ได้พาดพิงพี่คิงส์บ้าง
    ก็มีคนทุยๆมากดเห็นด้วย สนุกนานในโลกกะลาของแกไป
    คือพี่คิงส์ก็สงสารแฟนเพจนะบางที ว่าเอาภาพเอาเพจกากๆที่ไหน
    เอาจริงๆนะ จำนวนไม่น้อยนะที่บอกว่า ใครครับ ใครค่ะพี่คิงส์
    ไม่เห็นรู้จักเลย นี่แหละ จึงเป็นที่มาต้องอธิบายรายละเอียดยาวขนาดนี้
    แต่ขอพี่คิงส์สงเคราะห์แกหน่อยนะทุกคน อย่าว่าพี่คิงส์เลย
    ใจก็อยากให้แกตาหลับแบบไม่ติดค้าง แต่ก็ก็ไม่อยากไปโดยธรรมชาติ
    ลูกหลานไม่นับถือ เพราะลุงแกทำตัวแบบนี้แหละ ฝันอยากเป็นชายผู้โชคดีคนต่อไป ของอิเหม็น 55555555555555555555
    เอ้าๆ มาถึงประเด็นของภาพ คือ แกโพสภาพแกไง ว่าแกน่ะกล้าเปิดหน้า โชว์หล่อเลย แล้วบอกว่าตัวเองเหมือนอาโนล แต่พี่คิงส์มองยังไง
    ก็ดูแล้ว"อาหนาด" แล้วพี่คิงส์ก็เลยท้าแก ว่าแน่จริงลุงยิ้มแล้วถ่ายรุปมา
    ถ้ากล้า พี่คิงส์จะโพสขอขมาแก เออพี่คิงส์เอาจริงนะ
    ปรากฏว่า แกไปโพสุว้ยว่า ถ้าเชื่อก็กลัวดิ 5555
    ลุงเหมือนวัยรุ่นเหงือกแดงเลย ได้ฮาทุกวัน
    แล้วตอนนี้นะ เพจแกอะ มีคนติดตามเยอะขึ้นะ
    ใครรู้ป่ะ ก็แฟนเพจพี่คิงส์อะแหละ ชอบแอบไปส่องแก
    แล้วก็ขำคนเดียว แล้วอย่าเผลอไปคอมเม้นให้แกเสียใจนะ
    แกแบน 55555555555
    นี่แหละ สรุป แกไม่ยอมยิ้มให้เห็นฟัน แกอ่อน แกไม่กล้า
    อ้างนั่นอ้างนี่สารพัด พี่คิงส์เลยทำภาพนี้มาให้ทาย
    ว่า แฟนเพจคิดว่า ถ้าลุงแกยิ้ม น่าจะเป็นเลขไหน
    ลองทายกันมาสนุกๆเบาๆตอนเย็นๆครับ
    ลุงผู้คลั่งรักเห็นโพสแล้วจะได้ไม่มีอะไรติดค้าง
    คืนนี้เผื่อแกไปจะได้ไปตาหลับครับ สงเคราะห์แกหน่อย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #วันนี้มีแต่ข้อมูลหนักๆมาทั้งวัน ตาลุงผู้คลั่งรักก็เพ้อเจ้อโพสถึงพี่คิงส์โพสเลอะเทอะทั้งวันเหมือนกัน จริงๆไม่อยากอะไรกับตัวเบี้ย เพราะจะเน้นเล่นหัวๆ แต่ลุงก็ว็อนท์เหลือเกิน เอาๆ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับถ้าพี่คิงส์ไม่โพสถึง อ้อ เล่านิดนึง ลุงแกเป็นใคร เผื่อแฟนเพจไม่ได้อ่านโพสก่อนหน้า ลุงคนนี้ คือลุงผู้คลั่งรัก เปย์ให้น้องกามิจ สก็อยกิมจิ๊ไปเยอะ อย่างน้อยๆที่รู้ กระเป๋าแบรนด์เนมส์สองใบละกัน ยอมลาออกจากงาน พอรู้ว่าแน๊กเลิกกับอิเหม็นยิ่งหนัก ฝันเวิ้งว่า ถ้าไม่มีชาลี ก็ต้องถึงรอบของแกแล้วแหละ หลังจากเอาภาพอิเหม็นติดห้องน้ำ สำเร็จโทษตัวเองมานานหลายเดือน ฝันอาจจะได้เป็นจริง ลุงแกเลย เอาเพจที่คิดว่า จะเอาความรู้เรื่องการประดิษฐ์นั่นนี่ มาให้แฟนเพจติดตาม ก็ไม่ทำเพจใหม่นะ เอาเพจนี้แหละ เอามาชะเลียอิเหวิงทุกวี่วัน และด้วยความลุงแกอิจ น้องแน๊กมานาน ก็เป็นมารหัวใจแกเนาะ ได้โอกาสก็เล่นงานแน็ก ให้ร้ายแน๊ก เสริมทัพกับพวกอิโจมัณฑนี มันไปเข้าตาอิโจมาก เพราะพี่คิงส์เล่นจนโจท้อ บ่นว่าโดนทั้งวันทุกวัน และรำพันว่าชีวิตตัวเองนั้น เหมือนกามิจเป๊ะ ฮ่าๆๆๆๆ เลยทักหาตาลุงผู้คลั่งรัก เห็นว่าโพสไปก็ไม่ค่อยมีคนเห็น ตาลุงเลยได้เคล็ดวิชาขั้นสุดยอดคือการซื้อADครับ อูย แกโพสดีใจใหญ่ เหมือนได้อาวุดเทพ มาตอบโต้พี่คิงส์ แกหิวแสงหนักมาก ท้าทายพี่คิงส์ไปโหนกระแส พี่ก็งงว่า เค้าจะเอาลุงไปออกทำไมก่อน ลุงสำคัญยังไง แค่ทำเพจเล่นงานแน๊ก และชะเลียอิเหม็น มันสำคัญต่อประเทศชาติยังไง คือลุงแกคิดว่าแกคือสื่อหลักของประเทศไปแล้ว ลุงลืมไปว่า ไอ่ที่คนกดไลค์ให้แกเยอะๆ คือซื้อAd แล้วเดี๋ยวนี้ ซื้อบ่อยด้วย 55555 พอพี่คิงส์ไม่ได้สนใจ โน่น ไปดักที่ตต. ตอนนั้นแกปิดแมสด้วย ก็งงว่าโคมันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว แกปิดทำไมหว่า อ้อสรุปแกไม่มีฟัน 5555555555555555555555 แกเลยฝากคนนั้นคนนี้ให้แชทมาวุ้ย ว่ารอพี่คิงส์ไปตีแบต เอ้ย ดีเบด พี่คิงส์ก็ตอบไปว่า "ให้ลุงแกรอไปนะ กรรรูจานอน" และหลังจากนั้น ลุงแกก็ส่องเพจพี่คิงส์ทั้งวันทั้งคืน ดุจเป็นแฟนพันธิ์แท้ แล้วพี่คิงส์ก็อำแกเล่นๆ ว่าแกคือคนในข่าวไง ที่ได้เงินหมื่นมาแล้วมาวตกน้ำ แกนะ 555 ไปทำเฟสใหม่ ใส่หน้าคนที่เชียร์น้องแน๊กเว้ย ในโปรไฟล์ แล้วทำภาพชี้แจงใหญ่เลยว่า ไม่ใช้ตัวเอง แหม่ ใส่ทาร์มไลน์นะ ว่าเวลานั้นเวลานี้ ยังไลฟ์ตต. ในภาพไม่ใช่ตัวเอง พี่คิงส์ลำใยก็เลยแบนไป แกก็โป๊ะนะ บ่นใหญ่เลย ว่าคนจะอธิบายก็มาแบน ร่ายอีกยาว บลาๆๆๆๆ พี่คิงส์เห็นแล้วซึ่งความพยายามของชายชราหนึ่งคน ที่อยากมีคนคุยด้วยแหละ ดูออก จริงๆพี่คิงส์เคยใส่แกยับนะ โพสนั้น ตั้งใจให้แกเกิดสำนึก กลับไปใส่ใจกับครอบครัว มิได้นำพาไม่ แรงกระตุ้นจากอะไรู้มั๊ย ก็อิโจ กับไอ่เปร็ดอะดิ ไปชี้เป้าทุกเพจ ทุกช่อง ที่เล่นงานน้องแน๊ก ให้อิเหม็นส่งติ๊กเกอร์ของขวัญ ดอกไม้ให้ใน แชทตต. หูยยยตาลุง อวดเลย ยังไม่พอ พออิโจทักไป ก็โพสอีก ปล่อยไก่เลย อิโจมณทนี ผู้ซึ่งตีแบ๊วว่าไม่เคยคิดไม่ดีกับน้องแน๊กเลย กลับทักมาหาตาลุงซึ่งเล่นแน๊กหนักมาก แถมตาลุงเปิดแชตให้ดูด้วย ประมาณว่าเรียกโจมณฑทนีผู้จบแค่ม.ต้นว่า อาจารย์ นี่แหละคือเรื่องราวส่วนหนึ่งของลุงผู้คลั่งรัก เพื่อนบ้านระอา เวลามาวขึ้นมาก็ชอบเอะอะโวยวาย เลยต้องมาเฝ้าอยู่ในโลกโซเชียล ได้พาดพิงพี่คิงส์บ้าง ก็มีคนทุยๆมากดเห็นด้วย สนุกนานในโลกกะลาของแกไป คือพี่คิงส์ก็สงสารแฟนเพจนะบางที ว่าเอาภาพเอาเพจกากๆที่ไหน เอาจริงๆนะ จำนวนไม่น้อยนะที่บอกว่า ใครครับ ใครค่ะพี่คิงส์ ไม่เห็นรู้จักเลย นี่แหละ จึงเป็นที่มาต้องอธิบายรายละเอียดยาวขนาดนี้ แต่ขอพี่คิงส์สงเคราะห์แกหน่อยนะทุกคน อย่าว่าพี่คิงส์เลย ใจก็อยากให้แกตาหลับแบบไม่ติดค้าง แต่ก็ก็ไม่อยากไปโดยธรรมชาติ ลูกหลานไม่นับถือ เพราะลุงแกทำตัวแบบนี้แหละ ฝันอยากเป็นชายผู้โชคดีคนต่อไป ของอิเหม็น 55555555555555555555 เอ้าๆ มาถึงประเด็นของภาพ คือ แกโพสภาพแกไง ว่าแกน่ะกล้าเปิดหน้า โชว์หล่อเลย แล้วบอกว่าตัวเองเหมือนอาโนล แต่พี่คิงส์มองยังไง ก็ดูแล้ว"อาหนาด" แล้วพี่คิงส์ก็เลยท้าแก ว่าแน่จริงลุงยิ้มแล้วถ่ายรุปมา ถ้ากล้า พี่คิงส์จะโพสขอขมาแก เออพี่คิงส์เอาจริงนะ ปรากฏว่า แกไปโพสุว้ยว่า ถ้าเชื่อก็กลัวดิ 5555 ลุงเหมือนวัยรุ่นเหงือกแดงเลย ได้ฮาทุกวัน แล้วตอนนี้นะ เพจแกอะ มีคนติดตามเยอะขึ้นะ ใครรู้ป่ะ ก็แฟนเพจพี่คิงส์อะแหละ ชอบแอบไปส่องแก แล้วก็ขำคนเดียว แล้วอย่าเผลอไปคอมเม้นให้แกเสียใจนะ แกแบน 55555555555 นี่แหละ สรุป แกไม่ยอมยิ้มให้เห็นฟัน แกอ่อน แกไม่กล้า อ้างนั่นอ้างนี่สารพัด พี่คิงส์เลยทำภาพนี้มาให้ทาย ว่า แฟนเพจคิดว่า ถ้าลุงแกยิ้ม น่าจะเป็นเลขไหน ลองทายกันมาสนุกๆเบาๆตอนเย็นๆครับ ลุงผู้คลั่งรักเห็นโพสแล้วจะได้ไม่มีอะไรติดค้าง คืนนี้เผื่อแกไปจะได้ไปตาหลับครับ สงเคราะห์แกหน่อย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    Yay
    9
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1226 มุมมอง 0 รีวิว
  • Good book. ว่าด้วยเต้า(เต๋า)​และเต๋อในมุมมอง​ผ่านเรื่องราวของ​ Winnie-the-Pooh​
    ถึงจะไม่ได้สนใจในลัทธิ​นี้แต่ก็ให้มุมมองที่ดี
    Good book. ว่าด้วยเต้า(เต๋า)​และเต๋อในมุมมอง​ผ่านเรื่องราวของ​ Winnie-the-Pooh​ ถึงจะไม่ได้สนใจในลัทธิ​นี้แต่ก็ให้มุมมองที่ดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tire Pressure Monitoring System #ThaiTimes #EV #ThaiEV #EVThai ผมเติมลมที่ 35 psi บนจอตรวจวัดได้ตามนี้ ตำแหน่งของล้อไม่ตรงตามจริงแล้วนะครับ สลับยางทุก 1 หมื่นโลไม่ได้สนใจส่าตำแหน่ง sensor ต้องตรงตามหน้าจอแสดงผลลมยาง คิดเสียว่าถ้าลงมาดูลมยางก็จะดูทั้ง 4 ล้อแหละครับ
    Tire Pressure Monitoring System #ThaiTimes #EV #ThaiEV #EVThai ผมเติมลมที่ 35 psi บนจอตรวจวัดได้ตามนี้ ตำแหน่งของล้อไม่ตรงตามจริงแล้วนะครับ สลับยางทุก 1 หมื่นโลไม่ได้สนใจส่าตำแหน่ง sensor ต้องตรงตามหน้าจอแสดงผลลมยาง คิดเสียว่าถ้าลงมาดูลมยางก็จะดูทั้ง 4 ล้อแหละครับ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 818 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเน็ตเซ็ง Facebook มีแต่ Feed ขยะ 90% เป็นโพสต์ที่ไม่อยากดู
    .
    แทนที่จะได้เห็นเรื่องราวของเพื่อนหรือครอบครัว ผู้ใช้ Quora.com ชื่อ Leandro Mattos ตั้งกระทู้ถามหาวิธีลบเนื้อหาที่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยากชม โดยบอกว่าจากที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้มาตั้งแต่ปี 2013 และไม่เคยใช้งานค่ายอื่นเลยมาตลอด 11 ปี แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงจังแล้วว่าจะเลิกใช้งาน
    .
    ผู้ใช้รายนี้ระบุว่าครั้งหนึ่ง facebook เคยเป็นเครือข่ายสังคมที่ดี มีเนื้อหาเฉพาะของแต่ละคน และสำหรับเขาก็เคยเป็นพื้นที่สนุกสนานที่ได้สังสรรค์กับเพื่อนบนเนื้อหาที่เกี่ยวกับเกมในดวงใจ แต่วันนี้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง เนื้อหาที่เคยกดติดตามหรือถูกใจไว้นั้นไม่ปรากฏให้เห็นเลย ตรงกันข้ามหน้าฟีดกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากอ่าน
    .
    ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายเข้ามาตอบคำถามในทำนองว่า น่าเสียใจที่ขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้แบบ 100% ซึ่งหลายคนบอกว่า Facebook เวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นตายไปแล้ว และจะไม่มีทางกลับมา
    .
    บางคนบอกว่าไม่มีคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้เลย เพราะว่าแทบทุกคนต้องพบปัญหาเดียวกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความข้องใจของผู้ใช้ ซึ่งมีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่กดไลค์ หรือกดติดตามเพจที่ชื่นชอบ เนื้อหาจากเพจนั้นจะหายวับไป จนอดคิดไม่ได้ว่า Facebook ตั้งใจปิดกั้น ไม่ให้เห็นเนื้อหาเพจนั้น แต่จะเลือกจากเพจอื่น ที่มี "ผู้แชร์เยอะๆ โต้ตอบเยอะๆ" แทน
    .
    ไม่แน่ นี่อาจเป็นกับดักของ Facebook ที่หวังจะเพิ่มรายได้โฆษณามากขึ้น เพราะในมุมของเพจ ผู้สร้างเนื้อหามักต้องการยอดแชร์และโต้ตอบที่คึกคัก ซึ่งการจะทำให้เกิดการแชร์และโต้ตอบได้นั้นก็จะต้องเริ่มจากการทำให้คนเห็นโพสต์ จึงต้องมีการซื้อโฆษณา และเมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ของ Facebook ได้เห็น ยอดชมจึงจะเพิ่มขึ้น กดดันให้เพจต้องทุ่มงบซื้อโฆษณากับ Facebook ในที่สุด
    .
    สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นว่า เนื้อหาจากเพจที่มีเงินซื้อโฆษณา ได้ถูกกระจายไปเต็มหน้าฟีด Facebook จนทำให้เกิดการแชร์มากกว่าเพจที่ไม่ได้ซื้อโฆษณาซึ่งผู้ใช้กดติดตามไว้ สะท้อนให้เห็นเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ 90% ของหน้าฟีด Facebook แนะนำเนื้อหาจากเพจหรือคนที่ผู้ใช้ไม่รู้จัก ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากจะดู แบบไม่รู้จบ
    .
    Cr : FB CyberBiz Online
    ชาวเน็ตเซ็ง Facebook มีแต่ Feed ขยะ 90% เป็นโพสต์ที่ไม่อยากดู . แทนที่จะได้เห็นเรื่องราวของเพื่อนหรือครอบครัว ผู้ใช้ Quora.com ชื่อ Leandro Mattos ตั้งกระทู้ถามหาวิธีลบเนื้อหาที่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยากชม โดยบอกว่าจากที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้มาตั้งแต่ปี 2013 และไม่เคยใช้งานค่ายอื่นเลยมาตลอด 11 ปี แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงจังแล้วว่าจะเลิกใช้งาน . ผู้ใช้รายนี้ระบุว่าครั้งหนึ่ง facebook เคยเป็นเครือข่ายสังคมที่ดี มีเนื้อหาเฉพาะของแต่ละคน และสำหรับเขาก็เคยเป็นพื้นที่สนุกสนานที่ได้สังสรรค์กับเพื่อนบนเนื้อหาที่เกี่ยวกับเกมในดวงใจ แต่วันนี้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง เนื้อหาที่เคยกดติดตามหรือถูกใจไว้นั้นไม่ปรากฏให้เห็นเลย ตรงกันข้ามหน้าฟีดกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากอ่าน . ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายเข้ามาตอบคำถามในทำนองว่า น่าเสียใจที่ขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้แบบ 100% ซึ่งหลายคนบอกว่า Facebook เวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นตายไปแล้ว และจะไม่มีทางกลับมา . บางคนบอกว่าไม่มีคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้เลย เพราะว่าแทบทุกคนต้องพบปัญหาเดียวกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความข้องใจของผู้ใช้ ซึ่งมีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่กดไลค์ หรือกดติดตามเพจที่ชื่นชอบ เนื้อหาจากเพจนั้นจะหายวับไป จนอดคิดไม่ได้ว่า Facebook ตั้งใจปิดกั้น ไม่ให้เห็นเนื้อหาเพจนั้น แต่จะเลือกจากเพจอื่น ที่มี "ผู้แชร์เยอะๆ โต้ตอบเยอะๆ" แทน . ไม่แน่ นี่อาจเป็นกับดักของ Facebook ที่หวังจะเพิ่มรายได้โฆษณามากขึ้น เพราะในมุมของเพจ ผู้สร้างเนื้อหามักต้องการยอดแชร์และโต้ตอบที่คึกคัก ซึ่งการจะทำให้เกิดการแชร์และโต้ตอบได้นั้นก็จะต้องเริ่มจากการทำให้คนเห็นโพสต์ จึงต้องมีการซื้อโฆษณา และเมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ของ Facebook ได้เห็น ยอดชมจึงจะเพิ่มขึ้น กดดันให้เพจต้องทุ่มงบซื้อโฆษณากับ Facebook ในที่สุด . สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นว่า เนื้อหาจากเพจที่มีเงินซื้อโฆษณา ได้ถูกกระจายไปเต็มหน้าฟีด Facebook จนทำให้เกิดการแชร์มากกว่าเพจที่ไม่ได้ซื้อโฆษณาซึ่งผู้ใช้กดติดตามไว้ สะท้อนให้เห็นเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ 90% ของหน้าฟีด Facebook แนะนำเนื้อหาจากเพจหรือคนที่ผู้ใช้ไม่รู้จัก ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากจะดู แบบไม่รู้จบ . Cr : FB CyberBiz Online
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    20
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 756 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗

    คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด

    1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel

    อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ

    📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม

    จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน

    🏨

    รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น

    🏨

    เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ

    🏨

    นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้

    🏨

    ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้

    งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ

    🏨

    ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง

    ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ

    🏨

    อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ

    🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง

    เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย

    🏨

    เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ

    🏨

    แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี

    🏨

    จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

    หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง

    บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน.

    .........................................

    2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve

    เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาย่อของเล่มนี้

    ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์

    🏨

    เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี

    🏨

    ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้

    🏨

    ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น

    🏨

    ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า

    ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น

    ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น

    นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ

    ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว

    ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า

    นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี

    ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย

    📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ

    ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด

    ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ

    #thaitimes
    #หนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #นิยายสืบสวน
    #สืบสวน
    #คดีฆาตกรรม
    #งานโรงแรม
    #พนักงานต้อนรับ
    #ตำรวจ
    #นักสืบ
    #ลูกค้า
    #งานบริการ
    #อาชีพ
    #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗ คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด 1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ 📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน 🏨 รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น 🏨 เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ 🏨 นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้ 🏨 ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้ งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ 🏨 ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ 🏨 อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ 🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย 🏨 เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ 🏨 แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี 🏨 จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน. ......................................... 2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาย่อของเล่มนี้ ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์ 🏨 เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี 🏨 ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้ 🏨 ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น 🏨 ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย 📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ #thaitimes #หนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #นิยายสืบสวน #สืบสวน #คดีฆาตกรรม #งานโรงแรม #พนักงานต้อนรับ #ตำรวจ #นักสืบ #ลูกค้า #งานบริการ #อาชีพ #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1575 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts