• ❤️ Bob Moore เจ้านายใจบุญ ยกบริษัทให้พนักงานทุกคนเป็นเจ้าของ

    บ็อบ มัวร์ (Bob Moore) ผู้ก่อตั้ง Bob's Red Mill แบรนด์อาหารธัญพืชและผลิตภัณฑ์อบขนมไม่ขัดสีสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในวัย 94 ปี

    บ็อบหลงใหลในอาหารสุขภาพและธัญพืชไม่ขัดสีเป็นอย่างมาก บ็อบและภรรยา-ชาร์ลีจึงก่อตั้ง Bob's Red Mill ในปี 2521 ช่วงแรกบริษัทผลิตให้เฉพาะคนในท้องถิ่นพื้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ต่อมาเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นธุรกิจอาหารธรรมชาติที่มั่นคง ปัจจุบันเป็นแบรนด์อาหารชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 รายการในกว่า 70 ประเทศ

    ในวันเกิดอายุครบ 81 ปีของบ็อบ แทนที่จะขายแบรนด์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร เขากลับก่อตั้ง Employee Stock Ownership Plan (ESOP) หรือแผนความเป็นเจ้าของหุ้นของพนักงาน และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของบริษัทของเขา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ ให้กับพนักงานของเขากว่า 700 คน เพราะบ็อบรู้สึกชื่นชมความทุ่มเทของพนักงานที่ช่วยเปลี่ยนแปลงบริษัทให้มายืนในจุดนี้ได้ เขาจึงต้องการตอบแทนพนักงานทุกคน

    นอกจากเป็นเจ้านายใจบุญแล้ว สำหรับคนทั่วไปที่ได้พบกับบ็อบและภรรยา ก็จะสัมผัสได้ถึงความเฉลียวฉลาด ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา การให้เกียรติผู้อื่น และที่สำคัญคือใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับจริยธรรมที่บ็อบยึดมั่นมาตลอดคือ มีความรับผิดชอบและมีแรงบันดาลใจที่จะรักษาแนวทางในเรื่องอาหารไม่แปรรูป ใช้ส่วนผสมที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง เพื่อนำอาหารที่มีประโยชน์มาสู่ผู้คนทั่วโลก

    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบ็อบและชาร์ลี (เสียชีวิตในปี 2561) มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปผ่านการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับสถาบันการศึกษาหลายแห่งในโอเรกอน เช่น ให้ทุนวิจัย Oregon State University สนับสนุนทุนให้กับ Moore Family Center for Whole Grain Foods, Nutrition and Preventive Health ใน College of Health and Human Sciences มีส่วนร่วมก่อตั้งสถาบัน Bob and Charlee Moore Institute for Nutrition & Wellness ที่ Oregon Health & Science University รวมถึงโครงการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากมายทั่วรัฐ

    Trey Winthrop ซีอีโอของ Bob’s Red Mill กล่าวว่า

    “มรดกของบ็อบจะคงอยู่ตลอดไปในตัวพวกเราทุกคนที่มีโอกาสร่วมงานกับเขาและได้ซึมซับเข้าสู่แบรนด์ Bob’s Red Mill”

    ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี
    📷 ภาพ : FB Bob's Red Mill Natural Foods

    #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #ใจบุญ #goodstory #เรื่องราวดีดี
    ❤️ Bob Moore เจ้านายใจบุญ ยกบริษัทให้พนักงานทุกคนเป็นเจ้าของ บ็อบ มัวร์ (Bob Moore) ผู้ก่อตั้ง Bob's Red Mill แบรนด์อาหารธัญพืชและผลิตภัณฑ์อบขนมไม่ขัดสีสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในวัย 94 ปี บ็อบหลงใหลในอาหารสุขภาพและธัญพืชไม่ขัดสีเป็นอย่างมาก บ็อบและภรรยา-ชาร์ลีจึงก่อตั้ง Bob's Red Mill ในปี 2521 ช่วงแรกบริษัทผลิตให้เฉพาะคนในท้องถิ่นพื้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ต่อมาเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นธุรกิจอาหารธรรมชาติที่มั่นคง ปัจจุบันเป็นแบรนด์อาหารชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 รายการในกว่า 70 ประเทศ ในวันเกิดอายุครบ 81 ปีของบ็อบ แทนที่จะขายแบรนด์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร เขากลับก่อตั้ง Employee Stock Ownership Plan (ESOP) หรือแผนความเป็นเจ้าของหุ้นของพนักงาน และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของบริษัทของเขา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ ให้กับพนักงานของเขากว่า 700 คน เพราะบ็อบรู้สึกชื่นชมความทุ่มเทของพนักงานที่ช่วยเปลี่ยนแปลงบริษัทให้มายืนในจุดนี้ได้ เขาจึงต้องการตอบแทนพนักงานทุกคน นอกจากเป็นเจ้านายใจบุญแล้ว สำหรับคนทั่วไปที่ได้พบกับบ็อบและภรรยา ก็จะสัมผัสได้ถึงความเฉลียวฉลาด ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา การให้เกียรติผู้อื่น และที่สำคัญคือใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับจริยธรรมที่บ็อบยึดมั่นมาตลอดคือ มีความรับผิดชอบและมีแรงบันดาลใจที่จะรักษาแนวทางในเรื่องอาหารไม่แปรรูป ใช้ส่วนผสมที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง เพื่อนำอาหารที่มีประโยชน์มาสู่ผู้คนทั่วโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบ็อบและชาร์ลี (เสียชีวิตในปี 2561) มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปผ่านการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับสถาบันการศึกษาหลายแห่งในโอเรกอน เช่น ให้ทุนวิจัย Oregon State University สนับสนุนทุนให้กับ Moore Family Center for Whole Grain Foods, Nutrition and Preventive Health ใน College of Health and Human Sciences มีส่วนร่วมก่อตั้งสถาบัน Bob and Charlee Moore Institute for Nutrition & Wellness ที่ Oregon Health & Science University รวมถึงโครงการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากมายทั่วรัฐ Trey Winthrop ซีอีโอของ Bob’s Red Mill กล่าวว่า “มรดกของบ็อบจะคงอยู่ตลอดไปในตัวพวกเราทุกคนที่มีโอกาสร่วมงานกับเขาและได้ซึมซับเข้าสู่แบรนด์ Bob’s Red Mill” ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี 📷 ภาพ : FB Bob's Red Mill Natural Foods #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #ใจบุญ #goodstory #เรื่องราวดีดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอแชร์เรื่องราวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวท่านหนึงที่ต้องเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพัง และลูกสาวคุณแม่ป่วยเป็นโรคน้ำในโพรงสมอง ศรีษะใหญ่ผิดปกติไม่สามารถลุกนั่งหรือขยับตัวได้ต้งนอนติดเตียงและมีคุณแม่น้องดูแลเพียงลำพัง คุณแม่หารายได้จาดการ live tiktok เพืาอเลี้ยงน้อง ดิฉันขอเป็นสะพานบุญให้กับท่านใดที่มีความประสงค์จะช่วยเหลือน้องโดยการมอบสิ่งของกินของใช้ประจำของน้องหรือจะให้เงินโอนเข้าบัญชีแม่ของน้องโดยตรง สิ่งของที่น้องใช้ประจำคือ
    แพมเพิด3XL,ทิชชู่เปียก,ทิชชู่แห้ง,นมหนองโพรสหวาน,น้ำยาซักผ้าเด็ก โดยท่านสามานถส่งสิ่งของมาที่ น้องอัญญารินทร์ บ้านเลขที่ 164/5 ต.สำราญ อ.สามชัย จ.กาฬสินธิ์ 46150 โทร 0855354910
    หรือสะดวกโอนเงินช่วยน้องเข้าบัญชีชื่อ จิราพร อันทรบุตร ธนาคารกรุงไทย 2920253085 🙏🙏ขอขอบคุณท่านผู้ใจบุญท่านและอนุโมทนาบุญให้ทุกท่านเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยเงินทองสุขภาพแข็งแรง🙏🙏
    ถ้าเจอคุณแม่และน้องใน tiktok ฝากกดติดตามให้กำลังใจน้องด้วยนะคะ
    ขอแชร์เรื่องราวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวท่านหนึงที่ต้องเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพัง และลูกสาวคุณแม่ป่วยเป็นโรคน้ำในโพรงสมอง ศรีษะใหญ่ผิดปกติไม่สามารถลุกนั่งหรือขยับตัวได้ต้งนอนติดเตียงและมีคุณแม่น้องดูแลเพียงลำพัง คุณแม่หารายได้จาดการ live tiktok เพืาอเลี้ยงน้อง ดิฉันขอเป็นสะพานบุญให้กับท่านใดที่มีความประสงค์จะช่วยเหลือน้องโดยการมอบสิ่งของกินของใช้ประจำของน้องหรือจะให้เงินโอนเข้าบัญชีแม่ของน้องโดยตรง สิ่งของที่น้องใช้ประจำคือ แพมเพิด3XL,ทิชชู่เปียก,ทิชชู่แห้ง,นมหนองโพรสหวาน,น้ำยาซักผ้าเด็ก โดยท่านสามานถส่งสิ่งของมาที่ น้องอัญญารินทร์ บ้านเลขที่ 164/5 ต.สำราญ อ.สามชัย จ.กาฬสินธิ์ 46150 โทร 0855354910 หรือสะดวกโอนเงินช่วยน้องเข้าบัญชีชื่อ จิราพร อันทรบุตร ธนาคารกรุงไทย 2920253085 🙏🙏ขอขอบคุณท่านผู้ใจบุญท่านและอนุโมทนาบุญให้ทุกท่านเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยเงินทองสุขภาพแข็งแรง🙏🙏 ถ้าเจอคุณแม่และน้องใน tiktok ฝากกดติดตามให้กำลังใจน้องด้วยนะคะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความบ้าของอีลอน มัสก์ที่เขย่าอุตสาหกรรมEVในปี 2014 อีลอนได้ “เปิดเผย” ความลับของ Tesla ให้กับ BMW ทุกคนคิดว่าเขาบ้าแต่ “การกระทำอันเป็นการกุศล” นี้กลับกลายเป็นการดำเนินธุรกิจที่โหดและเฉียบแหลมที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจองค์กรขณะนั้นBMW พร้อมที่จะครองตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในยุโรป: BMW มีแบรนด์ที่ทรงพลัง มีวิศวกรรมรถยนต์ชั้นเลิศ และพวกเขามีกลยุทธ์การตลาดที่สมบูรณ์แบบแต่พวกเขาได้คาดเดาผิดๆ เกี่ยวกับ "ของขวัญ" ของอีลอน มัสก์ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการเดิมพัน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐขณะที่ BMW กำลังลงนามสัญญาผลิตแบตเตอรี่...อีลอน มัสก์ประกาศเปิดตัวโรงงานกิกะแฟคทอรี่ ซึ่งเป็นโรงงานที่ได้รับการออกแบบให้ผลิตแบตเตอรี่ได้มากกว่าที่ทั้งโลกผลิตได้ในปี 2013ในวันที่ 12 มิถุนายน 2014 อีลอนได้เผยแพร่โพสต์บล็อกที่มีหัวข้อว่า“สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ”เขาประกาศว่า Tesla จะมอบสิทธิบัตรทั้งหมดของตนฟรีโลกแห่งยานยนต์คิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว แต่ความบ้าคลั่งนี้มีความอัจฉริยะซ่อนอยู่:แต่นั่นยังไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่กล้าหาญที่สุดของเขา...นี่คือเหตุผลที่ BMW ไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน: ขณะนั้นปี2014  Tesla มีปัญหา 2 ประการ:• ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีขนาดเล็กเกินไป• ไม่มีใครสร้างสถานีชาร์จอีลอน มัสก์ตระหนักดีว่า เทสลาไม่สามารถชนะเพียงลำพังได้ พวกเขาจำเป็นต้องขยายตลาดทั้งหมดเขาจึงได้ทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน:อีลอน มัสก์ใช้ความใจบุญเป็นอาวุธ ด้วยการให้สิทธิบัตร Tesla เพื่อ• ส่งเสริมให้ผู้อื่นสร้างรถยนต์ไฟฟ้า• โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่ขยายเพิ่มขึ้น• ทำให้เทคโนโลยีของตนเป็นมาตรฐานขณะที่ BMW มุ่งเน้นไปที่การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา แต่อีลอน มัสก์เล่นเกมที่ใหญ่กว่านี้:Gigafactory ไม่ได้มีแค่แบตเตอรี่เท่านั้น มันเป็นเรื่องของขนาดในขณะที่คู่แข่งใช้สิทธิบัตรของ Tesla เพื่อไล่ตาม อีลอน มัสก์ได้สร้างอาณาจักรที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ได้ถูกกว่าใครๆ อยู่แล้วสิทธิบัตรของ Tesla ทำให้คนอื่นๆ ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยี EVแต่หากไม่มีขนาดของ Tesla พวกเขาไม่สามารถแข่งขันในเรื่องต้นทุนได้BMW ได้เรียนรู้บทเรียนนี้ด้วยวิธีที่ยากลำบาก:• ต้นทุนแบตเตอรี่ของ Tesla: 187 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ kWh• ต้นทุนแบตเตอรี่ของ BMW: 280 เหรียญสหรัฐฯ/kWhช่องว่างก็ยิ่งกว้างขึ้น และ“ของขวัญ” จริงๆ แล้วเป็นกับดักภายในปี 2016 Tesla ผลิตแบตเตอรี่ได้ราคาถูกกว่าคู่แข่งถึง 60%การ "แจกฟรี" สิทธิบัตรมีดังต่อไปนี้:• ทำให้เทคโนโลยีของ Tesla กลายเป็นมาตรฐาน• ได้ให้คนอื่นมาตรวจสอบตลาด• ในขณะที่ Tesla สร้างข้อได้เปรียบด้านต้นทุนที่ไม่อาจเอาชนะได้ นี่คือความฉลาดทางยุทธศาสตร์แต่สิ่งที่ทุกคนพลาดไปก็คือ:นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการเอาชนะ BMW เท่านั้นอีลอนพิสูจน์บางอย่างที่มีค่ายิ่งกว่านั้น:ในยุคดิจิทัล ยิ่งให้ ยิ่งได้ ด้วยวิธีเปิด เอาชนะความลับ พวกเขาแบ่งปันอย่างมีกลยุทธ์เพื่อ:• สร้างระบบนิเวศ• กำหนดมาตรฐาน• สร้างเอฟเฟกต์เครือข่ายในขณะที่ยังรักษาข้อได้เปรียบการแข่งขันที่สำคัญทั้งในด้านขนาดและการดำเนินการนี่คือเหตุผลว่าทำไมการเข้าใจเทคโนโลยีเกิดใหม่จึงไม่เพียงพอ…นวัตกรรมที่แท้จริงมาจากการมองภาพรวม:เทคโนโลยีสามารถสร้างมูลค่าผ่านความร่วมมือ ไม่ใช่แค่การแข่งขันเพียงอย่างเดียวได้อย่างไรเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ความสำเร็จเกิดจาก:• ความเปิดกว้างเชิงกลยุทธ์ Openess • เทคโนโลยีเพื่อรองรับความก้าวหน้าของมนุษย์ไม่ใช่แค่ขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ…ดังนั้น“ความร่วมมือ” อยู่ใน DNA ของ Tesla และ อีลอน มัสก์  รวมถึงผู้ติดตามของอีลอน  ไม่ได้มาจาก “แนวคิดผลรวมเป็นศูนย์” ที่ทุกคนต้องสูญเสียแต่ผู้ชนะในปัจจุบันคือเปิดว้างไม่กั๊กเทคโนโลยี
    ความบ้าของอีลอน มัสก์ที่เขย่าอุตสาหกรรมEVในปี 2014 อีลอนได้ “เปิดเผย” ความลับของ Tesla ให้กับ BMW ทุกคนคิดว่าเขาบ้าแต่ “การกระทำอันเป็นการกุศล” นี้กลับกลายเป็นการดำเนินธุรกิจที่โหดและเฉียบแหลมที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจองค์กรขณะนั้นBMW พร้อมที่จะครองตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในยุโรป: BMW มีแบรนด์ที่ทรงพลัง มีวิศวกรรมรถยนต์ชั้นเลิศ และพวกเขามีกลยุทธ์การตลาดที่สมบูรณ์แบบแต่พวกเขาได้คาดเดาผิดๆ เกี่ยวกับ "ของขวัญ" ของอีลอน มัสก์ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการเดิมพัน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐขณะที่ BMW กำลังลงนามสัญญาผลิตแบตเตอรี่...อีลอน มัสก์ประกาศเปิดตัวโรงงานกิกะแฟคทอรี่ ซึ่งเป็นโรงงานที่ได้รับการออกแบบให้ผลิตแบตเตอรี่ได้มากกว่าที่ทั้งโลกผลิตได้ในปี 2013ในวันที่ 12 มิถุนายน 2014 อีลอนได้เผยแพร่โพสต์บล็อกที่มีหัวข้อว่า“สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ”เขาประกาศว่า Tesla จะมอบสิทธิบัตรทั้งหมดของตนฟรีโลกแห่งยานยนต์คิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว แต่ความบ้าคลั่งนี้มีความอัจฉริยะซ่อนอยู่:แต่นั่นยังไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่กล้าหาญที่สุดของเขา...นี่คือเหตุผลที่ BMW ไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน: ขณะนั้นปี2014  Tesla มีปัญหา 2 ประการ:• ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีขนาดเล็กเกินไป• ไม่มีใครสร้างสถานีชาร์จอีลอน มัสก์ตระหนักดีว่า เทสลาไม่สามารถชนะเพียงลำพังได้ พวกเขาจำเป็นต้องขยายตลาดทั้งหมดเขาจึงได้ทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน:อีลอน มัสก์ใช้ความใจบุญเป็นอาวุธ ด้วยการให้สิทธิบัตร Tesla เพื่อ• ส่งเสริมให้ผู้อื่นสร้างรถยนต์ไฟฟ้า• โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่ขยายเพิ่มขึ้น• ทำให้เทคโนโลยีของตนเป็นมาตรฐานขณะที่ BMW มุ่งเน้นไปที่การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา แต่อีลอน มัสก์เล่นเกมที่ใหญ่กว่านี้:Gigafactory ไม่ได้มีแค่แบตเตอรี่เท่านั้น มันเป็นเรื่องของขนาดในขณะที่คู่แข่งใช้สิทธิบัตรของ Tesla เพื่อไล่ตาม อีลอน มัสก์ได้สร้างอาณาจักรที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ได้ถูกกว่าใครๆ อยู่แล้วสิทธิบัตรของ Tesla ทำให้คนอื่นๆ ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยี EVแต่หากไม่มีขนาดของ Tesla พวกเขาไม่สามารถแข่งขันในเรื่องต้นทุนได้BMW ได้เรียนรู้บทเรียนนี้ด้วยวิธีที่ยากลำบาก:• ต้นทุนแบตเตอรี่ของ Tesla: 187 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ kWh• ต้นทุนแบตเตอรี่ของ BMW: 280 เหรียญสหรัฐฯ/kWhช่องว่างก็ยิ่งกว้างขึ้น และ“ของขวัญ” จริงๆ แล้วเป็นกับดักภายในปี 2016 Tesla ผลิตแบตเตอรี่ได้ราคาถูกกว่าคู่แข่งถึง 60%การ "แจกฟรี" สิทธิบัตรมีดังต่อไปนี้:• ทำให้เทคโนโลยีของ Tesla กลายเป็นมาตรฐาน• ได้ให้คนอื่นมาตรวจสอบตลาด• ในขณะที่ Tesla สร้างข้อได้เปรียบด้านต้นทุนที่ไม่อาจเอาชนะได้ นี่คือความฉลาดทางยุทธศาสตร์แต่สิ่งที่ทุกคนพลาดไปก็คือ:นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการเอาชนะ BMW เท่านั้นอีลอนพิสูจน์บางอย่างที่มีค่ายิ่งกว่านั้น:ในยุคดิจิทัล ยิ่งให้ ยิ่งได้ ด้วยวิธีเปิด เอาชนะความลับ พวกเขาแบ่งปันอย่างมีกลยุทธ์เพื่อ:• สร้างระบบนิเวศ• กำหนดมาตรฐาน• สร้างเอฟเฟกต์เครือข่ายในขณะที่ยังรักษาข้อได้เปรียบการแข่งขันที่สำคัญทั้งในด้านขนาดและการดำเนินการนี่คือเหตุผลว่าทำไมการเข้าใจเทคโนโลยีเกิดใหม่จึงไม่เพียงพอ…นวัตกรรมที่แท้จริงมาจากการมองภาพรวม:เทคโนโลยีสามารถสร้างมูลค่าผ่านความร่วมมือ ไม่ใช่แค่การแข่งขันเพียงอย่างเดียวได้อย่างไรเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ความสำเร็จเกิดจาก:• ความเปิดกว้างเชิงกลยุทธ์ Openess • เทคโนโลยีเพื่อรองรับความก้าวหน้าของมนุษย์ไม่ใช่แค่ขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ…ดังนั้น“ความร่วมมือ” อยู่ใน DNA ของ Tesla และ อีลอน มัสก์  รวมถึงผู้ติดตามของอีลอน  ไม่ได้มาจาก “แนวคิดผลรวมเป็นศูนย์” ที่ทุกคนต้องสูญเสียแต่ผู้ชนะในปัจจุบันคือเปิดว้างไม่กั๊กเทคโนโลยี
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 816 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนาน "#ผู้หญิง" สร้างร้านสุกี้ #MK ในไทย
    ความสำเร็จของ "ผู้หญิง" ผู้สร้าง "เอ็มเคสุกี้" จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" "ยุพิน" เป็นภรรยาของ "ฤทธิ์ ธีระโกเมน"

    เอ็มเคสุกี้" เริ่มต้นมาจากร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ คุณแม่ทองคำ เมฆโต แม่ของ "ยุพิน" เป็นผู้บุกเบิก แต่เจ้าของร้านเอ็มเคต้นตำรับ เป็นผู้หญิงชาวฮ่องกง ชื่อว่า "มาคอง คิงยี" "มาคอง คิงยี" อยู่ กทม. บ้านติดกับคุณแม่ทองคำ เธอเป็นคนรวยมาก ส่วนคุณแม่ทองคำเป็น "แม่บ้าน" ทำอาหารเก่ง

    วันหนึ่ง "มาคอง คิงยี" อยากเปิดร้านอาหารที่สยามสแควร์ ก็เลยชวนคุณแม่ทองคำมาเป็น "แม่ครัว" ชื่อร้าน "เอ็มเค" ก็มาจากชื่อ "มาคอง " ทำอยู่พักหนึ่งก็เบื่อ เพราะลูกค้าเริ่มจู้จี้จุกจิก สุดท้ายก็เลิกทำ และยกให้คุณแม่ทองคำทำต่อไป โดยให้ทยอยผ่อนชำระไปเรื่อยๆ คุณนายมาคองย้ายไปปักหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

    ส่วนคุณแม่ทองคำก็บุกเบิกร้านเอ็มเคจนประสบความสำเร็จ "คุณแม่ถือเป็นคนเกื้อกูลและเอื้ออารีแบบคนโบราณ เราติดแม่เขา ติดเจ้าของ เจ้าของไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกค้า ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จักมาก่อน"

    จากร้านเอ็มเคที่สยามสแควร์ ขยายเป็น "กรีนเอ็มเค" ที่ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" และ "เอ็มเคสุกี้" ในที่สุด

    ตํานาน "เอ็มเคสุกี้" มาจาก "ผู้หญิง" 2 คนครับ

    ตอนที่ "ยุพิน" บุกเบิกร้าน "กรีนเอ็มเค" ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร้านนี้ขายอาหารไทยเหมือนกับร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ "ยุพิน" เป็นคนขยันเหมือนแม่ ตีห้าจะออกจากบ้าน เข้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ "สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์" พักอยู่ที่ "เซ็นทรัล" เขาตื่นเช้ามาออกกำลังกายทุกวัน และเจอ "ยุพิน" เป็นประจำ

    เขาถามว่า "มาทำอะไรตั้งแต่เช้า" เธอตอบว่ามาเตรียมตัวเปิดร้าน

    "สัมฤทธิ์" คงเห็นความขยันของ "ยุพิน"

    วันหนึ่ง เขาจึงบอกว่าจะให้ทำร้านสุกี้ที่ชั้นล่างพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร

    "ยุพิน" ปฏิเสธทันที "หนูไม่มีเงินค่ะ"

    "สัมฤทธิ์" บอกว่าเธอไม่ต้องทำอะไร "เดี๋ยวฉันจะทำให้หมด"

    เงินที่ใช้ในการลงทุนตกแต่งร้าน "เอ็มเคสุกี้" สาขาแรกเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท

    "สัมฤทธิ์" ควักให้

    แต่ถึงกระนั้น การทำร้านสุกี้ขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยง

    เพราะเป็น "สินค้า" ที่ "ยุพิน" ไม่มีประสบการณ์มาก่อน

    วันที่ "ยุพิน" นำเรื่องนี้มาเล่าให้ที่บ้านฟัง คุณแม่ทองคำตัดสินใจทันที "ทำไปเลยลูก เดี๋ยวแม่จะช่วยเอง" วันนั้น "ฤทธิ์" สามีของ ยุพินไม่เห็นด้วย พ่อของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย น้องชายของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย "ผู้ชาย" ในบ้านทุกคน ไม่เห็นด้วย มีคนที่เห็นด้วยเพียง 2 คน คือ "ยุพิน" และคุณแม่ทองคำ "ผู้หญิง" ทั้งคู่

    "ผู้หญิง" ที่เป็นเสียงส่วนน้อย "เห็นด้วย"

    แต่ร้าน "เอ็มเคสุกี้" ก็กำเนิดขึ้นมา ร้านเอ็มเคสุกี้มีหลักคิดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนทำร้านอาหาร คือ "เจ้าของ" ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง กินอะไรที่ร้าน ต้องจ่าย "ยุพิน" เป็นคนวางกฎนี้เอง เพราะแต่ละคนก็มีน้อง มีเพื่อน มีน้องเพื่อน ลูกเพื่อน ถ้าไม่กำหนดหลักการไว้จะลำบากในการดูแล

    วันแรกที่เปิดร้าน พ่อของ "ยุพิน" พาเพื่อนไปเลี้ยง แต่ต้องจ่ายตังค์ เขาโมโหมาก เพราะเสียหน้า แต่ตอนหลังก็เข้าใจว่าทำไมต้องใช้กติกานี้ ตอนนี้ถ้าลูกสาวพาเพื่อนไปเลี้ยง คุณยุพินก็จะโอนเงินไปจ่ายที่ร้าน กลายเป็นกติกาที่รู้กันใน "เอ็มเคสุกี้"

    คำสอนของคุณแม่ทองคำตอนเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอสอนลูกสาวและลูกเขยว่า เมื่อได้อะไรมาก็แล้วแต่ ให้ทำให้ดีที่สุด "และถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ถือว่าเราไม่ได้เจตนา มันเกิดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจ" เพราะการทำงานนั้น "ใจ" ของเราสำคัญที่สุด การเริ่มต้นงานใหม่ "กำลังใจ" เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ามัวแต่มองความผิดพลาดและโทษตัวเอง เราจะหมดกำลังใจ

    ต้องถือหลักว่าถ้าเจตนา เขาเรียกว่า "ความผิด" แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้ว และไม่เจตนา เขาเรียกว่า "พลาด" แค่พลาดก็แก้ไขใหม่ เท่านั้นเอง คุณแม่ทองคำเป็นคนมัธยัสถ์มาก ตอนทำเอ็มเคยุคแรกๆ จะใส่เสื้อผ้าเพียงแค่ 2 ชุด หรือช่วงเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอจะไปจ่ายตลาดเอง ไปรถเมล์ กลับรถตุ๊กๆ

    เธอใช้เงินเพื่อตัวเองน้อยมาก แต่ถ้าให้คนอื่นหรือบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน หรือวัด เท่าไรเท่ากัน เป็นที่รู้กันในครอบครัวว่าคุณแม่ทองคำเป็นคนใจบุญ
    และนี่คือสิ่งที่ "ฤทธิ์-ยุพิน" ทำตาม ล่าสุด ตอนที่แม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกคุณหมอว่า ถ้าที่โรงพยาบาลมีสถานที่ เธอจะเปิดร้านเอ็มเคสุกี้ให้
    กำไรเท่าไร ยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ตอนนี้ "เอ็มเคสุกี้" เริ่มแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช

    กำลังจะขยายไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลรามาฯ แนวคิดเหมือนเดิม คือ กำไรเท่าไรมอบให้โรงพยาบาลทั้งหมด

    "เพิ่งคุยกับคุณฤทธิ์ว่าเราน่าจะไปโรงพยาบาลต่างจังหวัดบ้าง" พนักงานของ "เอ็มเคสุกี้" สาขาโรงพยาบาลเหล่านี้ ทำงานมีความสุขมาก เพราะสาขามีกำไรเท่าไรก็ได้ทำบุญเท่านั้น ทำงานเหมือนกับทำบุญ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร

    จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร"
    Cr: เพจเจาะเวลาหาอดีต
    ตำนาน "#ผู้หญิง" สร้างร้านสุกี้ #MK ในไทย ความสำเร็จของ "ผู้หญิง" ผู้สร้าง "เอ็มเคสุกี้" จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" "ยุพิน" เป็นภรรยาของ "ฤทธิ์ ธีระโกเมน" เอ็มเคสุกี้" เริ่มต้นมาจากร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ คุณแม่ทองคำ เมฆโต แม่ของ "ยุพิน" เป็นผู้บุกเบิก แต่เจ้าของร้านเอ็มเคต้นตำรับ เป็นผู้หญิงชาวฮ่องกง ชื่อว่า "มาคอง คิงยี" "มาคอง คิงยี" อยู่ กทม. บ้านติดกับคุณแม่ทองคำ เธอเป็นคนรวยมาก ส่วนคุณแม่ทองคำเป็น "แม่บ้าน" ทำอาหารเก่ง วันหนึ่ง "มาคอง คิงยี" อยากเปิดร้านอาหารที่สยามสแควร์ ก็เลยชวนคุณแม่ทองคำมาเป็น "แม่ครัว" ชื่อร้าน "เอ็มเค" ก็มาจากชื่อ "มาคอง " ทำอยู่พักหนึ่งก็เบื่อ เพราะลูกค้าเริ่มจู้จี้จุกจิก สุดท้ายก็เลิกทำ และยกให้คุณแม่ทองคำทำต่อไป โดยให้ทยอยผ่อนชำระไปเรื่อยๆ คุณนายมาคองย้ายไปปักหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนคุณแม่ทองคำก็บุกเบิกร้านเอ็มเคจนประสบความสำเร็จ "คุณแม่ถือเป็นคนเกื้อกูลและเอื้ออารีแบบคนโบราณ เราติดแม่เขา ติดเจ้าของ เจ้าของไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกค้า ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จักมาก่อน" จากร้านเอ็มเคที่สยามสแควร์ ขยายเป็น "กรีนเอ็มเค" ที่ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" และ "เอ็มเคสุกี้" ในที่สุด ตํานาน "เอ็มเคสุกี้" มาจาก "ผู้หญิง" 2 คนครับ ตอนที่ "ยุพิน" บุกเบิกร้าน "กรีนเอ็มเค" ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร้านนี้ขายอาหารไทยเหมือนกับร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ "ยุพิน" เป็นคนขยันเหมือนแม่ ตีห้าจะออกจากบ้าน เข้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ "สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์" พักอยู่ที่ "เซ็นทรัล" เขาตื่นเช้ามาออกกำลังกายทุกวัน และเจอ "ยุพิน" เป็นประจำ เขาถามว่า "มาทำอะไรตั้งแต่เช้า" เธอตอบว่ามาเตรียมตัวเปิดร้าน "สัมฤทธิ์" คงเห็นความขยันของ "ยุพิน" วันหนึ่ง เขาจึงบอกว่าจะให้ทำร้านสุกี้ที่ชั้นล่างพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร "ยุพิน" ปฏิเสธทันที "หนูไม่มีเงินค่ะ" "สัมฤทธิ์" บอกว่าเธอไม่ต้องทำอะไร "เดี๋ยวฉันจะทำให้หมด" เงินที่ใช้ในการลงทุนตกแต่งร้าน "เอ็มเคสุกี้" สาขาแรกเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท "สัมฤทธิ์" ควักให้ แต่ถึงกระนั้น การทำร้านสุกี้ขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยง เพราะเป็น "สินค้า" ที่ "ยุพิน" ไม่มีประสบการณ์มาก่อน วันที่ "ยุพิน" นำเรื่องนี้มาเล่าให้ที่บ้านฟัง คุณแม่ทองคำตัดสินใจทันที "ทำไปเลยลูก เดี๋ยวแม่จะช่วยเอง" วันนั้น "ฤทธิ์" สามีของ ยุพินไม่เห็นด้วย พ่อของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย น้องชายของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย "ผู้ชาย" ในบ้านทุกคน ไม่เห็นด้วย มีคนที่เห็นด้วยเพียง 2 คน คือ "ยุพิน" และคุณแม่ทองคำ "ผู้หญิง" ทั้งคู่ "ผู้หญิง" ที่เป็นเสียงส่วนน้อย "เห็นด้วย" แต่ร้าน "เอ็มเคสุกี้" ก็กำเนิดขึ้นมา ร้านเอ็มเคสุกี้มีหลักคิดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนทำร้านอาหาร คือ "เจ้าของ" ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง กินอะไรที่ร้าน ต้องจ่าย "ยุพิน" เป็นคนวางกฎนี้เอง เพราะแต่ละคนก็มีน้อง มีเพื่อน มีน้องเพื่อน ลูกเพื่อน ถ้าไม่กำหนดหลักการไว้จะลำบากในการดูแล วันแรกที่เปิดร้าน พ่อของ "ยุพิน" พาเพื่อนไปเลี้ยง แต่ต้องจ่ายตังค์ เขาโมโหมาก เพราะเสียหน้า แต่ตอนหลังก็เข้าใจว่าทำไมต้องใช้กติกานี้ ตอนนี้ถ้าลูกสาวพาเพื่อนไปเลี้ยง คุณยุพินก็จะโอนเงินไปจ่ายที่ร้าน กลายเป็นกติกาที่รู้กันใน "เอ็มเคสุกี้" คำสอนของคุณแม่ทองคำตอนเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอสอนลูกสาวและลูกเขยว่า เมื่อได้อะไรมาก็แล้วแต่ ให้ทำให้ดีที่สุด "และถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ถือว่าเราไม่ได้เจตนา มันเกิดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจ" เพราะการทำงานนั้น "ใจ" ของเราสำคัญที่สุด การเริ่มต้นงานใหม่ "กำลังใจ" เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ามัวแต่มองความผิดพลาดและโทษตัวเอง เราจะหมดกำลังใจ ต้องถือหลักว่าถ้าเจตนา เขาเรียกว่า "ความผิด" แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้ว และไม่เจตนา เขาเรียกว่า "พลาด" แค่พลาดก็แก้ไขใหม่ เท่านั้นเอง คุณแม่ทองคำเป็นคนมัธยัสถ์มาก ตอนทำเอ็มเคยุคแรกๆ จะใส่เสื้อผ้าเพียงแค่ 2 ชุด หรือช่วงเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอจะไปจ่ายตลาดเอง ไปรถเมล์ กลับรถตุ๊กๆ เธอใช้เงินเพื่อตัวเองน้อยมาก แต่ถ้าให้คนอื่นหรือบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน หรือวัด เท่าไรเท่ากัน เป็นที่รู้กันในครอบครัวว่าคุณแม่ทองคำเป็นคนใจบุญ และนี่คือสิ่งที่ "ฤทธิ์-ยุพิน" ทำตาม ล่าสุด ตอนที่แม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกคุณหมอว่า ถ้าที่โรงพยาบาลมีสถานที่ เธอจะเปิดร้านเอ็มเคสุกี้ให้ กำไรเท่าไร ยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ตอนนี้ "เอ็มเคสุกี้" เริ่มแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช กำลังจะขยายไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลรามาฯ แนวคิดเหมือนเดิม คือ กำไรเท่าไรมอบให้โรงพยาบาลทั้งหมด "เพิ่งคุยกับคุณฤทธิ์ว่าเราน่าจะไปโรงพยาบาลต่างจังหวัดบ้าง" พนักงานของ "เอ็มเคสุกี้" สาขาโรงพยาบาลเหล่านี้ ทำงานมีความสุขมาก เพราะสาขามีกำไรเท่าไรก็ได้ทำบุญเท่านั้น ทำงานเหมือนกับทำบุญ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" Cr: เพจเจาะเวลาหาอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 720 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลที่สนธิลิ้มทองกุลเปิดโปงพฤติกรรมของทนายตั้ม นายสิทธา เบี้ยบังเกิด ตอกย้ําว่าอ้อยจตุพร ที่โอนเงินสองล้านยูโรหรือเจ็ดสิบเอ็ดล้านบาทเข้าบัญชีชื่อสิทธ์ธาเบี้ยบังเกิด ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หายอย่างที่ทนายตั้มอ้าง และในเมื่อทนายตั้ม อมเงินก้อนนี้ไปโดยไม่ยอมคืนให้เจ้าของก็เท่ากับมีภาระต้องเสียภาษีอีกมหาศาล
    ถึงขั้นนายสนธิ ท้า ถ้าทนายตั้มมีหลักฐานการจ่ายภาษีจะยอมกราบตีนและไหนๆทนายตั้มอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง สนธิ ลิ้มทองกุลก็จะยื่นหนังสือถึงกรมสรรพากรให้ตรวจสอบการเสียภาษี จากรายได้ก้อนนี้ด้วย จัดหนักให้สุดซอยแบบเดียวกับที่เคยจัดให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ตอนที่เปิดศึกกันครั้งที่ผ่านมา หลังรายการจบลงสื่อต่างๆก็นําไปรายงานข่าวกันอย่างคึกคัก แหกพฤติกรรมฉ้อโกงเงิน ไปจากเศรษฐีนีใจบุญที่เคยให้ความรักความเมตตากับทนายตั้มอย่างจริงใจ
    ชาวเน็ตมีความเห็นตรงกันมากว่า เป็นไปไม่ได้หรือไม่เชื่อที่ใครจะให้เงิน71 ล้านด้วยความเสน่หากับคนที่ไม่ใช่ญาติรวมถึงตรรกะว่า ถ้าอ้อย จตุพรให้ด้วยความเสน่หาจริงแล้วจะมาแจ้งจับทนายตั้มทําไม งานนี้ สนธิ ลิ้มทองกุลชนะขาด เครดิตความน่าเชื่อถือต่างกันลิบลับในด้านคดีความ ต้องบอกว่าทนายตั้มงานนี้เหนื่อยแน่เพราะสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งให้โอนคดีจาก สภ ปากช่อง มายังกองปราบปรามเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากทนายตั้มใช้วิธีดักคอว่าพลตํารวจตรีจรูญ เกียรติปานแก้ว เหมือนเป็นคู่กรณีกลายๆจะมาคุมสํานวน
    สํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงไม่เปิดช่องทางให้ทนายตั้มใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้คดี จึงมอบหมายให้บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางรับผิดชอบซึ่งตามประวัติบิ๊กหมูเป็นถึงผู้การกองปราบมาก่อน ลีลาก็ถึงลูกถึงคน ไม่กลัวใครหน้าไหนเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่เห็นว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ํา ทนายตั้มเลยยกเลิกเกมที่จะไปแจ้งจับใครต่อใครเปลี่ยนวิธีจะไปขอเจรจากับเจ้าของเงินแทน แต่โชคร้ายที่ออกแนวหลอกลวงมันรุนแรงเกินกว่าที่คู่กรณีจะยอมให้อภัยจึงจัดการปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ทนายตั้มไม่สามารถติดต่อคุณอ้อยได้แล้ว
    การเปิดศึกกับสนธิ ลิ้มทองกุลและการไปบี้เอาเงินจากบอสพอล ทนายตั้มใช้วิธีการอ้างถึงรายการโหนกระแสเหมือนๆกัน เล่นเอาหนุ่มกรรชัยสุดทนพูดตําหนิทนายตั้มตรงๆ ว่าอย่าลากชื่อรายการไปเกี่ยวข้องและหนุ่มกรรชัยต้องรีบโทรเคลียร์กับสนธิลิ้มทองกุลว่ารายการโหนกระแสไม่ได้ตั้งใจจะฟอกขาวให้ทนายตั้ม ซึ่งต่างเข้าใจกันด้วยดี ดูเหลี่ยมไหนทนายตั้มก็รอดยากผู้คนกําลังรุมประณามลามปามไปถึงสังคมทนาย คิงส์ดำบอกเลยว่า ตั้มเอ้ย ซ้อมกินฉี่ไว้ล่วงหน้าได้เลย
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #สนธิลิ้มทองกุล
    #ทนายตั้ม
    ข้อมูลที่สนธิลิ้มทองกุลเปิดโปงพฤติกรรมของทนายตั้ม นายสิทธา เบี้ยบังเกิด ตอกย้ําว่าอ้อยจตุพร ที่โอนเงินสองล้านยูโรหรือเจ็ดสิบเอ็ดล้านบาทเข้าบัญชีชื่อสิทธ์ธาเบี้ยบังเกิด ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หายอย่างที่ทนายตั้มอ้าง และในเมื่อทนายตั้ม อมเงินก้อนนี้ไปโดยไม่ยอมคืนให้เจ้าของก็เท่ากับมีภาระต้องเสียภาษีอีกมหาศาล ถึงขั้นนายสนธิ ท้า ถ้าทนายตั้มมีหลักฐานการจ่ายภาษีจะยอมกราบตีนและไหนๆทนายตั้มอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง สนธิ ลิ้มทองกุลก็จะยื่นหนังสือถึงกรมสรรพากรให้ตรวจสอบการเสียภาษี จากรายได้ก้อนนี้ด้วย จัดหนักให้สุดซอยแบบเดียวกับที่เคยจัดให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ตอนที่เปิดศึกกันครั้งที่ผ่านมา หลังรายการจบลงสื่อต่างๆก็นําไปรายงานข่าวกันอย่างคึกคัก แหกพฤติกรรมฉ้อโกงเงิน ไปจากเศรษฐีนีใจบุญที่เคยให้ความรักความเมตตากับทนายตั้มอย่างจริงใจ ชาวเน็ตมีความเห็นตรงกันมากว่า เป็นไปไม่ได้หรือไม่เชื่อที่ใครจะให้เงิน71 ล้านด้วยความเสน่หากับคนที่ไม่ใช่ญาติรวมถึงตรรกะว่า ถ้าอ้อย จตุพรให้ด้วยความเสน่หาจริงแล้วจะมาแจ้งจับทนายตั้มทําไม งานนี้ สนธิ ลิ้มทองกุลชนะขาด เครดิตความน่าเชื่อถือต่างกันลิบลับในด้านคดีความ ต้องบอกว่าทนายตั้มงานนี้เหนื่อยแน่เพราะสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งให้โอนคดีจาก สภ ปากช่อง มายังกองปราบปรามเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากทนายตั้มใช้วิธีดักคอว่าพลตํารวจตรีจรูญ เกียรติปานแก้ว เหมือนเป็นคู่กรณีกลายๆจะมาคุมสํานวน สํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงไม่เปิดช่องทางให้ทนายตั้มใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้คดี จึงมอบหมายให้บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางรับผิดชอบซึ่งตามประวัติบิ๊กหมูเป็นถึงผู้การกองปราบมาก่อน ลีลาก็ถึงลูกถึงคน ไม่กลัวใครหน้าไหนเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่เห็นว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ํา ทนายตั้มเลยยกเลิกเกมที่จะไปแจ้งจับใครต่อใครเปลี่ยนวิธีจะไปขอเจรจากับเจ้าของเงินแทน แต่โชคร้ายที่ออกแนวหลอกลวงมันรุนแรงเกินกว่าที่คู่กรณีจะยอมให้อภัยจึงจัดการปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ทนายตั้มไม่สามารถติดต่อคุณอ้อยได้แล้ว การเปิดศึกกับสนธิ ลิ้มทองกุลและการไปบี้เอาเงินจากบอสพอล ทนายตั้มใช้วิธีการอ้างถึงรายการโหนกระแสเหมือนๆกัน เล่นเอาหนุ่มกรรชัยสุดทนพูดตําหนิทนายตั้มตรงๆ ว่าอย่าลากชื่อรายการไปเกี่ยวข้องและหนุ่มกรรชัยต้องรีบโทรเคลียร์กับสนธิลิ้มทองกุลว่ารายการโหนกระแสไม่ได้ตั้งใจจะฟอกขาวให้ทนายตั้ม ซึ่งต่างเข้าใจกันด้วยดี ดูเหลี่ยมไหนทนายตั้มก็รอดยากผู้คนกําลังรุมประณามลามปามไปถึงสังคมทนาย คิงส์ดำบอกเลยว่า ตั้มเอ้ย ซ้อมกินฉี่ไว้ล่วงหน้าได้เลย #คิงส์โพธิ์ดำ #สนธิลิ้มทองกุล #ทนายตั้ม
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 829 มุมมอง 0 รีวิว
  • 100 ศัพท์ยาก สอบเข้า + เรียนต่อ ต้องรู้ 📌📌📌

    Generic (adj.) - ทั่วไป
    Bureaucracy (n.) - ระบบราชการ
    Mandatory (adj.) - ซึ่งเป็นภาคบังคับ
    Exile (n./ v.) - การเนรเทศ / เนรเทศ
    Expedition (n.) - การเดินทางสำรวจ
    Mundane (adj.) - ธรรมดา
    Bulletin (n.) - ประกาศ
    Contemporary (adj.) - ร่วมสมัย
    Vanity (n.) - ความหยิ่งยโส
    Indulge (v.) - ตามใจ
    Enormous (adj.) - ใหญ่โต
    Jeopardy (n.) - ภัยอันตราย
    Parliament (n.) - รัฐสภา
    Scandalous (adj.) - อื้อฉาว
    Satire (n.) - การเสียดสี
    Census (n.) - การสำรวจสำมะโนประชากร
    Amateur (n./ adj.) - มือสมัครเล่น / สมัครเล่น
    Contradict (v.) - ขัดแย้ง
    Facilitate (v.) - อำนวยความสะดวก
    Integrate (v.) - รวมเข้าด้วยกัน
    Skeptical (adj.) - สงสัย
    Rhetoric (n.) - วาทศิลป์
    Gesture (n./ v.) - ท่าทาง / แสดงท่าทาง
    Welfare (n.) - สวัสดิการ
    Compensate (v.) - ชดเชย
    Heritage (n.) - มรดก
    Equivalent (adj./ n.) - เทียบเท่า / สิ่งที่เทียบเท่า
    Resource (n.) - ทรัพยากร
    Philanthropist (n.) - ผู้ใจบุญ
    Reinforce (v.) - เสริมกำลัง
    Hierarchy (n.) - ลำดับขั้น
    Viable (adj.) - ใช้การได้
    Nostalgic (adj.) - รำลึกความหลัง
    Tangible (adj.) - จับต้องได้
    Fluctuate (v.) - ผันผวน
    Excessive (adj.) - มากเกินไป
    Innovate (v.) - สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
    Sustain (v.) - รักษาไว้
    Empathy (n.) - ความเห็นอกเห็นใจ
    Diplomatic (adj.) - ทางการทูต
    Solemn (adj.) - จริงจัง
    Warrant (n./ v.) - หมายจับ / รับประกัน
    Chronic (adj.) - เรื้อรัง
    Designate (v.) - กำหนด
    Frugal (adj.) - ประหยัด
    Commemorate (v.) - รำลึก
    Prestige (n.) - เกียรติยศ
    Omit (v.) - ละเว้น
    Legislator (n.) - ผู้บัญญัติกฎหมาย
    Monarchy (n.) - ระบอบกษัตริย์
    Violent (adj.) - รุนแรง
    Auspicious (adj.) - เป็นมงคล
    Invaluable (adj.) - มีค่ามหาศาล
    Contribute (v.) - มีส่วนร่วม
    Acquisition (n.) - การได้มา
    Resuscitate (v.) - ฟื้นคืนชีพ
    Nonchalant (adj.) - ไม่ใส่ใจ
    Harvest (v./ n.) - เก็บเกี่ยว / การเก็บเกี่ยว
    Misconduct (n.) - การประพฤติมิชอบ
    Genre (n.) - ประเภท
    Territory (n.) - อาณาเขต
    Reckless (adj.) - ประมาท
    Weaponise (v.) - เปลี่ยนเป็นอาวุธ
    Hallucinate (v.) - เห็นภาพหลอน
    Manipulate (v.) - จัดการโดยเจตนาแอบแฝง
    Addiction (n.) - การเสพติด
    Vital (adj.) - สำคัญ
    Silhouette (n.) - ภาพเงา
    Unique (adj.) - เป็นเอกลักษณ์
    Preach (v.) - สั่งสอน
    Pioneer (n./ v.) - ผู้บุกเบิก / บุกเบิก
    Resemble (v.) - คล้ายคลึง
    Assimilate (v.) - กลมกลืน
    Superstition (n.) - ความเชื่อโชคลาง
    Memoir (n.) - บันทึกความทรงจำ
    Extinction (n.) - การสูญพันธุ์
    Solidarity (n.) - ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
    Reluctant (adj.) - ไม่เต็มใจ
    Juvenile (adj./ n.) - เยาวชน / เกี่ยวกับเยาวชน
    Activist (n.) - นักกิจกรรม
    Consumer (n.) - ผู้บริโภค
    Democracy (n.) - ประชาธิปไตย
    Flammable (adj.) - ติดไฟได้
    Scholar (n.) - นักวิชาการ
    Advocate (v./ n.) - สนับสนุน / ผู้สนับสนุน
    Mitigate (v.) - บรรเทา
    Ambiguity (n.) - ความคลุมเครือ
    Stigma (n.) - ตราบาป
    Reprehensible (adj.) - น่าตำหนิ
    Offer (v./ n.) - เสนอ / ข้อเสนอ
    Operation (n.) - การดำเนินการ
    Impoverished (adj.) - ยากจน
    Detective (n.) - นักสืบ
    Textile (n.) - สิ่งทอ
    Catering (n.) - บริการจัดเลี้ยง
    Hereditary (adj.) - สืบทอดทางพันธุกรรม
    Indigenous (adj.) - พื้นเมือง
    Recruitment (n.) - การสรรหาบุคลากร
    Negotiate (v.) - เจรจา
    Diverse (adj.) - หลากหลาย
    100 ศัพท์ยาก สอบเข้า + เรียนต่อ ต้องรู้ 📌📌📌 Generic (adj.) - ทั่วไป Bureaucracy (n.) - ระบบราชการ Mandatory (adj.) - ซึ่งเป็นภาคบังคับ Exile (n./ v.) - การเนรเทศ / เนรเทศ Expedition (n.) - การเดินทางสำรวจ Mundane (adj.) - ธรรมดา Bulletin (n.) - ประกาศ Contemporary (adj.) - ร่วมสมัย Vanity (n.) - ความหยิ่งยโส Indulge (v.) - ตามใจ Enormous (adj.) - ใหญ่โต Jeopardy (n.) - ภัยอันตราย Parliament (n.) - รัฐสภา Scandalous (adj.) - อื้อฉาว Satire (n.) - การเสียดสี Census (n.) - การสำรวจสำมะโนประชากร Amateur (n./ adj.) - มือสมัครเล่น / สมัครเล่น Contradict (v.) - ขัดแย้ง Facilitate (v.) - อำนวยความสะดวก Integrate (v.) - รวมเข้าด้วยกัน Skeptical (adj.) - สงสัย Rhetoric (n.) - วาทศิลป์ Gesture (n./ v.) - ท่าทาง / แสดงท่าทาง Welfare (n.) - สวัสดิการ Compensate (v.) - ชดเชย Heritage (n.) - มรดก Equivalent (adj./ n.) - เทียบเท่า / สิ่งที่เทียบเท่า Resource (n.) - ทรัพยากร Philanthropist (n.) - ผู้ใจบุญ Reinforce (v.) - เสริมกำลัง Hierarchy (n.) - ลำดับขั้น Viable (adj.) - ใช้การได้ Nostalgic (adj.) - รำลึกความหลัง Tangible (adj.) - จับต้องได้ Fluctuate (v.) - ผันผวน Excessive (adj.) - มากเกินไป Innovate (v.) - สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ Sustain (v.) - รักษาไว้ Empathy (n.) - ความเห็นอกเห็นใจ Diplomatic (adj.) - ทางการทูต Solemn (adj.) - จริงจัง Warrant (n./ v.) - หมายจับ / รับประกัน Chronic (adj.) - เรื้อรัง Designate (v.) - กำหนด Frugal (adj.) - ประหยัด Commemorate (v.) - รำลึก Prestige (n.) - เกียรติยศ Omit (v.) - ละเว้น Legislator (n.) - ผู้บัญญัติกฎหมาย Monarchy (n.) - ระบอบกษัตริย์ Violent (adj.) - รุนแรง Auspicious (adj.) - เป็นมงคล Invaluable (adj.) - มีค่ามหาศาล Contribute (v.) - มีส่วนร่วม Acquisition (n.) - การได้มา Resuscitate (v.) - ฟื้นคืนชีพ Nonchalant (adj.) - ไม่ใส่ใจ Harvest (v./ n.) - เก็บเกี่ยว / การเก็บเกี่ยว Misconduct (n.) - การประพฤติมิชอบ Genre (n.) - ประเภท Territory (n.) - อาณาเขต Reckless (adj.) - ประมาท Weaponise (v.) - เปลี่ยนเป็นอาวุธ Hallucinate (v.) - เห็นภาพหลอน Manipulate (v.) - จัดการโดยเจตนาแอบแฝง Addiction (n.) - การเสพติด Vital (adj.) - สำคัญ Silhouette (n.) - ภาพเงา Unique (adj.) - เป็นเอกลักษณ์ Preach (v.) - สั่งสอน Pioneer (n./ v.) - ผู้บุกเบิก / บุกเบิก Resemble (v.) - คล้ายคลึง Assimilate (v.) - กลมกลืน Superstition (n.) - ความเชื่อโชคลาง Memoir (n.) - บันทึกความทรงจำ Extinction (n.) - การสูญพันธุ์ Solidarity (n.) - ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน Reluctant (adj.) - ไม่เต็มใจ Juvenile (adj./ n.) - เยาวชน / เกี่ยวกับเยาวชน Activist (n.) - นักกิจกรรม Consumer (n.) - ผู้บริโภค Democracy (n.) - ประชาธิปไตย Flammable (adj.) - ติดไฟได้ Scholar (n.) - นักวิชาการ Advocate (v./ n.) - สนับสนุน / ผู้สนับสนุน Mitigate (v.) - บรรเทา Ambiguity (n.) - ความคลุมเครือ Stigma (n.) - ตราบาป Reprehensible (adj.) - น่าตำหนิ Offer (v./ n.) - เสนอ / ข้อเสนอ Operation (n.) - การดำเนินการ Impoverished (adj.) - ยากจน Detective (n.) - นักสืบ Textile (n.) - สิ่งทอ Catering (n.) - บริการจัดเลี้ยง Hereditary (adj.) - สืบทอดทางพันธุกรรม Indigenous (adj.) - พื้นเมือง Recruitment (n.) - การสรรหาบุคลากร Negotiate (v.) - เจรจา Diverse (adj.) - หลากหลาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ความรักของผู้หญิงเกิดวันพฤหัสบดี

    เธอเป็นคนใจดี ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคน เป็นคนชอบออกคำสั่ง มีความซับซ้อนในจิต เป็นคนช่างเลือก ย้ำคิดย้ำทำ พูดตรงพูดแรงเก็บความรู้สึกไม่ได้ เป็นคนเจ้าอารมณ์เก็บกด ถ้าทำให้เธอโมโหบ้านต้องแตกแน่ ขี้เหวี่ยง ขี้วีน หากทำให้เธอไม่ไว้ใจ เธอจะคาดคั้นคะยั้นคะยอจะเอาความจริงจะเอาคำตอบให้ได้ เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ รักความยุติธรรม ...คนที่เป็นเนื้อคู่ของเธอนั้นก็จะต้องเป็นคนที่ยอมเธอทุกอย่าง เพราะเธอจะคุมทุกอย่างในบ้าน แม้กระทั่งเรื่องเงินเดือน ก็ต้องให้เธอจัดการ เป็นคนจอมบงการ เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ขี้น้อยใจ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ เธอจะชอบคนที่มีหลักฐานการงานมั่นคง สามารถดูแลเธอและลูกได้แบบสุขสบาย ถึงแม้ว่าจะไม่หล่อ หน้าตาไม่ดี หุ่นไม่ดี ก็ไม่เป็นไร เธอชอบคนตรงไปตรงมา ชีวิตความรักของเธอนั้นถ้าดูแล้วชีวิตคู่ก็มีโอกาสว่าจะยั่งยืนและยาวนาน เพียงแต่ว่าจะต้องอยู่กันแบบอดทน อยู่แบบเป็นเพื่อนกัน เพราะมีโอกาสว่าจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรกหรืออาจจะมีใครบางคนนอกลู่นอกทางไปทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง ถ้าอดทนผ่านไปได้ก็จะได้ครองรักกันยาวนาน คนที่จะอยู่กับเธอได้ยาวนานนั้นต้องเป็นคนที่ไม่มีปากมีเสียง และยอมเธอได้ทุกอย่าง ดูแล้วความรักของเธอนั้นจะไม่ค่อยมีอะไรหวือหวามาก ค่อนข้างที่จะราบเรียบส่วนเรื่องคนรักก็เช่นกันไม่ได้มีสเปคอะไรมาก ขอแค่เลี้ยงดูครอบครัวได้ จะรูปร่างหน้าตาอายุเท่าไหร่เธอรับได้หมด ส่วนใหญ่ชีวิตรักจะสุขสมบูรณ์ ไม่ได้มีอะไรขัดสน เพราะจะได้คู่ครองที่คอยอุปถัมภ์ช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดี จะไม่ลำบาก หรือบางคนก็อาจจะมีกิจการที่ทำร่วมกันจะมีรายได้ดี แต่อาจจะมีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับบุตรบริวารเป็นส่วนใหญ่ หรือจะมีคนอื่นนำเรื่องเดือดร้อนมาให้มากกว่า
    --------
    #ดูดวง #ดูดวงแม่นๆ #หมอดูแม่นๆ
    #ดูดวงแบบโทรคุย #ดูดวงไพ่ยิปซี #ดูดวงจิตสัมผัส #ดูดวงทางแชท
    #ดูดวงคำถามละ 9 บาท
    สนใจดูดวง แอดไลน์ @342shvrt
    #ความรักของผู้หญิงเกิดวันพฤหัสบดี เธอเป็นคนใจดี ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคน เป็นคนชอบออกคำสั่ง มีความซับซ้อนในจิต เป็นคนช่างเลือก ย้ำคิดย้ำทำ พูดตรงพูดแรงเก็บความรู้สึกไม่ได้ เป็นคนเจ้าอารมณ์เก็บกด ถ้าทำให้เธอโมโหบ้านต้องแตกแน่ ขี้เหวี่ยง ขี้วีน หากทำให้เธอไม่ไว้ใจ เธอจะคาดคั้นคะยั้นคะยอจะเอาความจริงจะเอาคำตอบให้ได้ เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ รักความยุติธรรม ...คนที่เป็นเนื้อคู่ของเธอนั้นก็จะต้องเป็นคนที่ยอมเธอทุกอย่าง เพราะเธอจะคุมทุกอย่างในบ้าน แม้กระทั่งเรื่องเงินเดือน ก็ต้องให้เธอจัดการ เป็นคนจอมบงการ เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ขี้น้อยใจ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ เธอจะชอบคนที่มีหลักฐานการงานมั่นคง สามารถดูแลเธอและลูกได้แบบสุขสบาย ถึงแม้ว่าจะไม่หล่อ หน้าตาไม่ดี หุ่นไม่ดี ก็ไม่เป็นไร เธอชอบคนตรงไปตรงมา ชีวิตความรักของเธอนั้นถ้าดูแล้วชีวิตคู่ก็มีโอกาสว่าจะยั่งยืนและยาวนาน เพียงแต่ว่าจะต้องอยู่กันแบบอดทน อยู่แบบเป็นเพื่อนกัน เพราะมีโอกาสว่าจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรกหรืออาจจะมีใครบางคนนอกลู่นอกทางไปทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง ถ้าอดทนผ่านไปได้ก็จะได้ครองรักกันยาวนาน คนที่จะอยู่กับเธอได้ยาวนานนั้นต้องเป็นคนที่ไม่มีปากมีเสียง และยอมเธอได้ทุกอย่าง ดูแล้วความรักของเธอนั้นจะไม่ค่อยมีอะไรหวือหวามาก ค่อนข้างที่จะราบเรียบส่วนเรื่องคนรักก็เช่นกันไม่ได้มีสเปคอะไรมาก ขอแค่เลี้ยงดูครอบครัวได้ จะรูปร่างหน้าตาอายุเท่าไหร่เธอรับได้หมด ส่วนใหญ่ชีวิตรักจะสุขสมบูรณ์ ไม่ได้มีอะไรขัดสน เพราะจะได้คู่ครองที่คอยอุปถัมภ์ช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดี จะไม่ลำบาก หรือบางคนก็อาจจะมีกิจการที่ทำร่วมกันจะมีรายได้ดี แต่อาจจะมีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับบุตรบริวารเป็นส่วนใหญ่ หรือจะมีคนอื่นนำเรื่องเดือดร้อนมาให้มากกว่า -------- #ดูดวง #ดูดวงแม่นๆ #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงแบบโทรคุย #ดูดวงไพ่ยิปซี #ดูดวงจิตสัมผัส #ดูดวงทางแชท #ดูดวงคำถามละ 9 บาท สนใจดูดวง แอดไลน์ @342shvrt
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 รีวิว
  • "พระใจบุญ" หลวงตาได้กล่าวกับหลวงปู่สังวาลย์ #หลวงปู่สังวาลย์_เขมโก #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน 🙏🙏
    "พระใจบุญ" หลวงตาได้กล่าวกับหลวงปู่สังวาลย์ #หลวงปู่สังวาลย์_เขมโก #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน 🙏🙏
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 73 0 รีวิว
  • ฆ่าลูกไม่ลง! แม้รู้ว่าลูกจะเกิดมาพิการ ไม่ขอยุติการตั้งครรภ์ ทั้งแม่และตายายทุ่มเทดูแลหลานอย่างสุดกำลัง ถึงขั้นยอมออกจากงานประจำ-อดมื้อกินมื้อ พร้อมสู้เพื่อลูกอิ่ม!

    “ตอนช่วงประมาณ 8 เดือนกว่าเกือบ 9 เดือน ใกล้จะคลอดแล้ว หมอตรวจเจอความผิดปกติที่ศีรษะของน้อง มันไม่โตตามเกณฑ์ เหมือนมีน้ำ รักษาไม่ได้เลย ตอนนั้นยังไม่เจอความผิดปกติของขานะ เจอแค่หัวของน้อง หมอก็บอกว่า ยุติการตั้งครรภ์ไหม ก็ถามว่าทำยังไง คือเข้าไปตัดชิ้นส่วนของน้อง ทั้งๆ ที่น้องยังหายใจอยู่ พอได้ยิน หนูก็ช็อกแล้ว ทำใจไม่ได้”

    ไม่ใช่แค่ “ส้มแป้น” คณิศร แสงอุไร ผู้เป็นแม่ที่รับไม่ได้หากต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่ตากับยายก็รู้สึกไม่ต่างกัน และไม่อยากสร้างบาปด้วยการจบชีวิตหลาน อยากให้หลานได้มีโอกาสลืมตาดูโลก “ให้เขาออกมาดีกว่า เพราะไหนๆ เขาก็อยากจะเกิดแล้ว ถ้าเกิดมาผิดรูปผิดร่างหรือจะเป็นยังไงก็หลานเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราก็บอกเขาเลยว่า เราขอไม่ยุติการตั้งครรภ์”

    ขณะที่ตาและยายพร้อมช่วยดูแลหลานพิการที่จะเกิดมา แต่ผู้เป็นพ่อที่ทำให้ลูกเกิด กลับทอดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีเพียงเพราะคำว่าพิการ “วันที่รู้ช่วงใกล้คลอดว่า น้องไม่สมประกอบ น้องมีความผิดปกติ ก็โทรไปบอกเขาก่อน เขาก็รับรู้เรื่อง ..วันต่อมา เราก็โทรไปอีก ไม่รับสาย ..ตั้งแต่ที่ยังไม่คลอดจนคลอด ก็ติดต่อไม่ได้เลย หลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของเราพิการ”

    ปัจจุบัน “น้องบุญรักษา” อายุ 6 ขวบ มีภาวะหัวโตหรือที่เรียกว่า เด็กหัวบาตร และแขนขาพิการผิดรูป นั่งไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้ ซึ่งผู้เป็นแม่และตายายไม่เคยคิดเสียใจกับสภาพที่น้องเป็น แต่ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสดูแลน้อง

    “(ถาม-ตอนเห็นหน้าน้องหลังคลอด คุณตารู้สึกยังไงบ้าง?) ไม่รู้สึกเสียใจ ยังไงก็เป็นหลานของเรา เราภูมิใจที่เขาเกิดมา และเลือกครอบครัวของเราที่จะเป็นผู้ดูแลเขา เราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดในชีวิตหนึ่งที่เขาอยู่กับเรา ไม่ว่าจะสั้นหรือน้อย ตรงนี้เราก็ทุ่มเทให้กับเขา”

    ความพิการและเจ็บป่วยของน้องบุญรักษาทำให้น้องต้องเข้า-ออก รพ.บ่อยๆ บางครั้งต้องอยู่ รพ.นานนับเดือน จึงส่งผลให้แม่ และตากับยาย ต้องทยอยลาออกจากงานประจำ เพื่อดูแลน้องบุญรักษา “ตอนนั้นยายทำงานร้านยาเป็นผู้ช่วยเภสัช เขาจ้างเราคนเดียว เราก็ผลัดกันลากับเจ้าส้มไปเฝ้าหลาน ทางเภสัชก็สงสารและเข้าใจ แต่ร้านเขาก็ต้องเปิดทุกวัน เราก็ขอลาออกก่อนแล้วกัน เพื่อให้ส้มยังทำงานได้ แต่สุดท้ายร่างกายเรามันก็รับไม่ไหว เพราะเป็นเนื้องอกและความดันด้วย ก็ต้องดึงเจ้าส้มมาเฝ้าอีก เพราะน้องอยู่ในห้องวิกฤต”

    “ก่อนคลอด หนูทำงานร้านเบอเกอร์ พอลาคลอด แล้วรู้ว่าลูกพิการ ช่วงนั้นน้องบุญรักษาต้องอยู่ที่ รพ. เกือบ 1 เดือนเต็มๆ แล้วลูกผิดปกติ เราเลยต้องขอลาออก”

    “ตอนแรกพ่อทำงานบริษัทอยู่ พอหลานเราต้องไป รพ.บ่อย เราต้องหยุดงานบ่อย ทางบริษัทก็ตำหนิ เราก็ออกจากงานมาดูแลหลาน แล้วก็ไปเช่าแท็กซี่มาขับเพื่อพยุงไปก่อน เพราะมันเป็นพาหนะในการพาหลานเดินทางไป รพ.ด้วย”

    ไม่ใช่แค่รายได้หดหายหลังออกจากงานประจำทั้ง 3 คน แต่วิกฤตใหญ่ที่ตามมาคือบ้านถูกยึด เพราะส่งไม่ไหว “ช่วงนั้นแย่ บ้านโดนยึด โชคดีมีเพื่อนของยายเขาให้มาอยู่ที่นวนคร เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เขาเลยให้ครอบครัวหนูไปอยู่ฟรีๆ ให้เราจ่ายแค่ค่าไฟค่าน้ำเอง ก็ขอขอบพระคุณเพื่อนยายมากที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีเพื่อนยาย ครอบครัวหนูคงต้องไปพึ่งวัด”

    ปัจจุบันส้มแป้นกับลูกๆ และตายายย้ายมาอยู่ที่ไทรน้อย จ.นนทบุรี โดยเธอช่วยตาหารายได้ด้วยการขายของออนไลน์ เช่น ขนมอบกรอบ และไส้กรอกอีสาน ซึ่งไส้กรอกอีสานทำเองทุกขั้นตอน หลังได้สูตรจากผู้ใจบุญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้จากการขายของออนไลน์และขับแท็กซี่ของตา ยังไม่ค่อยครอบคลุมรายจ่ายของครอบครัว แม้อาศัยเบี้ยคนชราของยาย และเบี้ยพิการของน้องบุญรักษาแล้วก็ตาม

    “ตอนนี้รายได้จากการขายของยังพอบรรเทาด้วยการซื้อนม ซื้อแพมเพิสของน้องไปได้ ส่วนตัวของหนู ตา ยาย ไม่เป็นไร อดมื้อกินมื้อได้..”

    ขณะที่ตา ยอมรับว่า “รายได้จากการวิ่งแท็กซี่บางทีชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ติดค่าเช่าไว้ก่อน เราก็เอาเงินตรงนั้นมาหมุนในครอบครัวก่อน ..(ถาม-รายจ่ายหลักๆ ตอนนี้มีอะไรบ้าง?) ค่าบ้านค่าน้ำไฟ ค่าน้องต้นน้ำไปโรงเรียน ค่านม ค่าแพมเพิส และพวกยูนิซัน (ถาม-โห แสดงว่าน่าจะเกิดปัญหาขัดสนไหม?) ขัดสนแน่นอนเลย”

    ด้านน้องต้นน้ำ พี่สาวของน้องบุญรักษา ซึ่งเป็นเด็กเรียนดี ยอมรับว่า เข้าใจดีถึงความยากลำบากของครอบครัว “(ถาม-หนูเข้าใจความลำบากไหมมันเป็นยังไง?) บางทีก็ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน (ถาม-ตอนนี้ต้นน้ำเรียนอยู่ชั้นไหน?) ป.5 (ถาม-ได้เกรดเท่าไหร่?) เกรด 4 (โห แล้วตอนนี้หนูเริ่มมีความฝัน โตขึ้นอยากเป็นอะไร เคยคิดไว้หรือยัง?) เป็นหมอ (ถาม-ทำไมล่ะ?) จะได้รักษาน้อง”

    ขณะที่ยาย แม้ปัจจุบันจะมีเนื้องอกที่บริเวณหลังหลายจุด แต่ก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อตรวจรักษา เพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้หลานกินอิ่มมากกว่า

    ทุกคนสู้สุดตัว เพื่อน้องบุญรักษา ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงเรื่องนอน เพราะหมอเคยบอกว่า น้องบุญรักษาสามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ทุกคนจึงพร้อมอดหลับอดนอนเพื่อน้อง “(ถาม-กลางคืนไม่มีใครได้นอนพร้อมกัน?) ไม่มี แบ่งกันหลับ เพราะน้องพร้อมที่จะชักตลอดเวลา พอเขาชักขึ้นมา เราต้องช่วยกันเลย...”

    หวังให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด!

    “ทุกๆ วัน แม่จะบอกน้องบุญรักษาอยู่กับแม่ก่อนนะ เพราะหมอบอกว่า น้องพร้อมไปได้ทุกเมื่อเลย เราต้องคอยดูน้องทุกวันทุกวินาทีว่า น้องยังหายใจไหม น้องเป็นอะไรไหม คือพยายามให้เขาอยู่สู้กับแม่ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าตอนไหนที่หนูไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้หนูไปแบบไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบสบาย อย่าทรมานนะลูก ให้หนูไปตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่กับตายายนะ”

    6 ปีแล้วที่น้องบุญรักษาเกิดมาพร้อมกับความพิการ แม้น้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่น้องคงรับรู้ได้ว่าทุกคนรักและห่วงน้องมากแค่ไหน หากน้องพูดได้ น้องคงอยากขอบคุณแม่ ตา และยายที่ตัดสินใจไม่ยุติการตั้งครรภ์ในวันนั้น

    ติดตามเรื่องราวความรักความทุ่มเทของแม่และตายายที่มีต่อน้องบุญรักษาได้
    ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “บุญรักษานะลูก”
    วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2567 เวลา 9.00-9.30 น.
    ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211)

    และเฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กต็อก : ฅนจริงใจไม่ท้อ

    (หากท่านใดต้องการอุดหนุนขนมอบกรอบและไส้กรอกอีสานของส้มแป้น เพื่อให้มีทุนดูแลรักษาพยาบาลลูก ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก ต้นน้ำ บุญรักษา หรือโทรไปได้ที่ 099-278-3163 หากต้องการช่วยเหลือ โอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.คณิศร แสงอุไร เลขที่บัญชี 108-0-71624-6)

    #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #รักไม่มีเงื่อนไข #พิการ #สู้เพื่อหลาน
    ฆ่าลูกไม่ลง! แม้รู้ว่าลูกจะเกิดมาพิการ ไม่ขอยุติการตั้งครรภ์ ทั้งแม่และตายายทุ่มเทดูแลหลานอย่างสุดกำลัง ถึงขั้นยอมออกจากงานประจำ-อดมื้อกินมื้อ พร้อมสู้เพื่อลูกอิ่ม! “ตอนช่วงประมาณ 8 เดือนกว่าเกือบ 9 เดือน ใกล้จะคลอดแล้ว หมอตรวจเจอความผิดปกติที่ศีรษะของน้อง มันไม่โตตามเกณฑ์ เหมือนมีน้ำ รักษาไม่ได้เลย ตอนนั้นยังไม่เจอความผิดปกติของขานะ เจอแค่หัวของน้อง หมอก็บอกว่า ยุติการตั้งครรภ์ไหม ก็ถามว่าทำยังไง คือเข้าไปตัดชิ้นส่วนของน้อง ทั้งๆ ที่น้องยังหายใจอยู่ พอได้ยิน หนูก็ช็อกแล้ว ทำใจไม่ได้” ไม่ใช่แค่ “ส้มแป้น” คณิศร แสงอุไร ผู้เป็นแม่ที่รับไม่ได้หากต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่ตากับยายก็รู้สึกไม่ต่างกัน และไม่อยากสร้างบาปด้วยการจบชีวิตหลาน อยากให้หลานได้มีโอกาสลืมตาดูโลก “ให้เขาออกมาดีกว่า เพราะไหนๆ เขาก็อยากจะเกิดแล้ว ถ้าเกิดมาผิดรูปผิดร่างหรือจะเป็นยังไงก็หลานเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราก็บอกเขาเลยว่า เราขอไม่ยุติการตั้งครรภ์” ขณะที่ตาและยายพร้อมช่วยดูแลหลานพิการที่จะเกิดมา แต่ผู้เป็นพ่อที่ทำให้ลูกเกิด กลับทอดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีเพียงเพราะคำว่าพิการ “วันที่รู้ช่วงใกล้คลอดว่า น้องไม่สมประกอบ น้องมีความผิดปกติ ก็โทรไปบอกเขาก่อน เขาก็รับรู้เรื่อง ..วันต่อมา เราก็โทรไปอีก ไม่รับสาย ..ตั้งแต่ที่ยังไม่คลอดจนคลอด ก็ติดต่อไม่ได้เลย หลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของเราพิการ” ปัจจุบัน “น้องบุญรักษา” อายุ 6 ขวบ มีภาวะหัวโตหรือที่เรียกว่า เด็กหัวบาตร และแขนขาพิการผิดรูป นั่งไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้ ซึ่งผู้เป็นแม่และตายายไม่เคยคิดเสียใจกับสภาพที่น้องเป็น แต่ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสดูแลน้อง “(ถาม-ตอนเห็นหน้าน้องหลังคลอด คุณตารู้สึกยังไงบ้าง?) ไม่รู้สึกเสียใจ ยังไงก็เป็นหลานของเรา เราภูมิใจที่เขาเกิดมา และเลือกครอบครัวของเราที่จะเป็นผู้ดูแลเขา เราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดในชีวิตหนึ่งที่เขาอยู่กับเรา ไม่ว่าจะสั้นหรือน้อย ตรงนี้เราก็ทุ่มเทให้กับเขา” ความพิการและเจ็บป่วยของน้องบุญรักษาทำให้น้องต้องเข้า-ออก รพ.บ่อยๆ บางครั้งต้องอยู่ รพ.นานนับเดือน จึงส่งผลให้แม่ และตากับยาย ต้องทยอยลาออกจากงานประจำ เพื่อดูแลน้องบุญรักษา “ตอนนั้นยายทำงานร้านยาเป็นผู้ช่วยเภสัช เขาจ้างเราคนเดียว เราก็ผลัดกันลากับเจ้าส้มไปเฝ้าหลาน ทางเภสัชก็สงสารและเข้าใจ แต่ร้านเขาก็ต้องเปิดทุกวัน เราก็ขอลาออกก่อนแล้วกัน เพื่อให้ส้มยังทำงานได้ แต่สุดท้ายร่างกายเรามันก็รับไม่ไหว เพราะเป็นเนื้องอกและความดันด้วย ก็ต้องดึงเจ้าส้มมาเฝ้าอีก เพราะน้องอยู่ในห้องวิกฤต” “ก่อนคลอด หนูทำงานร้านเบอเกอร์ พอลาคลอด แล้วรู้ว่าลูกพิการ ช่วงนั้นน้องบุญรักษาต้องอยู่ที่ รพ. เกือบ 1 เดือนเต็มๆ แล้วลูกผิดปกติ เราเลยต้องขอลาออก” “ตอนแรกพ่อทำงานบริษัทอยู่ พอหลานเราต้องไป รพ.บ่อย เราต้องหยุดงานบ่อย ทางบริษัทก็ตำหนิ เราก็ออกจากงานมาดูแลหลาน แล้วก็ไปเช่าแท็กซี่มาขับเพื่อพยุงไปก่อน เพราะมันเป็นพาหนะในการพาหลานเดินทางไป รพ.ด้วย” ไม่ใช่แค่รายได้หดหายหลังออกจากงานประจำทั้ง 3 คน แต่วิกฤตใหญ่ที่ตามมาคือบ้านถูกยึด เพราะส่งไม่ไหว “ช่วงนั้นแย่ บ้านโดนยึด โชคดีมีเพื่อนของยายเขาให้มาอยู่ที่นวนคร เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เขาเลยให้ครอบครัวหนูไปอยู่ฟรีๆ ให้เราจ่ายแค่ค่าไฟค่าน้ำเอง ก็ขอขอบพระคุณเพื่อนยายมากที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีเพื่อนยาย ครอบครัวหนูคงต้องไปพึ่งวัด” ปัจจุบันส้มแป้นกับลูกๆ และตายายย้ายมาอยู่ที่ไทรน้อย จ.นนทบุรี โดยเธอช่วยตาหารายได้ด้วยการขายของออนไลน์ เช่น ขนมอบกรอบ และไส้กรอกอีสาน ซึ่งไส้กรอกอีสานทำเองทุกขั้นตอน หลังได้สูตรจากผู้ใจบุญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้จากการขายของออนไลน์และขับแท็กซี่ของตา ยังไม่ค่อยครอบคลุมรายจ่ายของครอบครัว แม้อาศัยเบี้ยคนชราของยาย และเบี้ยพิการของน้องบุญรักษาแล้วก็ตาม “ตอนนี้รายได้จากการขายของยังพอบรรเทาด้วยการซื้อนม ซื้อแพมเพิสของน้องไปได้ ส่วนตัวของหนู ตา ยาย ไม่เป็นไร อดมื้อกินมื้อได้..” ขณะที่ตา ยอมรับว่า “รายได้จากการวิ่งแท็กซี่บางทีชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ติดค่าเช่าไว้ก่อน เราก็เอาเงินตรงนั้นมาหมุนในครอบครัวก่อน ..(ถาม-รายจ่ายหลักๆ ตอนนี้มีอะไรบ้าง?) ค่าบ้านค่าน้ำไฟ ค่าน้องต้นน้ำไปโรงเรียน ค่านม ค่าแพมเพิส และพวกยูนิซัน (ถาม-โห แสดงว่าน่าจะเกิดปัญหาขัดสนไหม?) ขัดสนแน่นอนเลย” ด้านน้องต้นน้ำ พี่สาวของน้องบุญรักษา ซึ่งเป็นเด็กเรียนดี ยอมรับว่า เข้าใจดีถึงความยากลำบากของครอบครัว “(ถาม-หนูเข้าใจความลำบากไหมมันเป็นยังไง?) บางทีก็ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน (ถาม-ตอนนี้ต้นน้ำเรียนอยู่ชั้นไหน?) ป.5 (ถาม-ได้เกรดเท่าไหร่?) เกรด 4 (โห แล้วตอนนี้หนูเริ่มมีความฝัน โตขึ้นอยากเป็นอะไร เคยคิดไว้หรือยัง?) เป็นหมอ (ถาม-ทำไมล่ะ?) จะได้รักษาน้อง” ขณะที่ยาย แม้ปัจจุบันจะมีเนื้องอกที่บริเวณหลังหลายจุด แต่ก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อตรวจรักษา เพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้หลานกินอิ่มมากกว่า ทุกคนสู้สุดตัว เพื่อน้องบุญรักษา ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงเรื่องนอน เพราะหมอเคยบอกว่า น้องบุญรักษาสามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ทุกคนจึงพร้อมอดหลับอดนอนเพื่อน้อง “(ถาม-กลางคืนไม่มีใครได้นอนพร้อมกัน?) ไม่มี แบ่งกันหลับ เพราะน้องพร้อมที่จะชักตลอดเวลา พอเขาชักขึ้นมา เราต้องช่วยกันเลย...” หวังให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด! “ทุกๆ วัน แม่จะบอกน้องบุญรักษาอยู่กับแม่ก่อนนะ เพราะหมอบอกว่า น้องพร้อมไปได้ทุกเมื่อเลย เราต้องคอยดูน้องทุกวันทุกวินาทีว่า น้องยังหายใจไหม น้องเป็นอะไรไหม คือพยายามให้เขาอยู่สู้กับแม่ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าตอนไหนที่หนูไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้หนูไปแบบไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบสบาย อย่าทรมานนะลูก ให้หนูไปตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่กับตายายนะ” 6 ปีแล้วที่น้องบุญรักษาเกิดมาพร้อมกับความพิการ แม้น้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่น้องคงรับรู้ได้ว่าทุกคนรักและห่วงน้องมากแค่ไหน หากน้องพูดได้ น้องคงอยากขอบคุณแม่ ตา และยายที่ตัดสินใจไม่ยุติการตั้งครรภ์ในวันนั้น ติดตามเรื่องราวความรักความทุ่มเทของแม่และตายายที่มีต่อน้องบุญรักษาได้ ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “บุญรักษานะลูก” วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2567 เวลา 9.00-9.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211) และเฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กต็อก : ฅนจริงใจไม่ท้อ (หากท่านใดต้องการอุดหนุนขนมอบกรอบและไส้กรอกอีสานของส้มแป้น เพื่อให้มีทุนดูแลรักษาพยาบาลลูก ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก ต้นน้ำ บุญรักษา หรือโทรไปได้ที่ 099-278-3163 หากต้องการช่วยเหลือ โอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.คณิศร แสงอุไร เลขที่บัญชี 108-0-71624-6) #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #รักไม่มีเงื่อนไข #พิการ #สู้เพื่อหลาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1316 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จักรวาลพีเคกับโมเดลฟอกให้ขาว
    ไม่เอ๊ะเหรอ
    เปย์ขนาดนี้แต่ไม่อยากให้ตัวแสดงรู้จัก
    ช่างใจบุญเหลือเกิน
    เดินหน้าต่ออีกยาวๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #จักรวาลพีเคกับโมเดลฟอกให้ขาว ไม่เอ๊ะเหรอ เปย์ขนาดนี้แต่ไม่อยากให้ตัวแสดงรู้จัก ช่างใจบุญเหลือเกิน เดินหน้าต่ออีกยาวๆ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1237 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกเปิดผนึก 📝

    กระบวนการทางความคิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก มากที่สุดที่มีอิทธิพลส่งผลต่อพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกมาทางกาย วาจา

    คุณเคยสงสัยไหม เหตุใดคนจำนวนมากเขาสามารถทำในสิ่งที่คนปกติโดยทั่วไปมองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ที่สุด เช่น ขโมยของในร้านสะดวกซื้อ และก็ถูกจับได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายอ้างความจน ไม่มีเงินบ้างละ มีลูกเล็กต้องเลี้ยงบ้างละ หาค่านมลูกบ้างละ สารพัดข้ออ้างตามแต่จะนึกขึ้นได้ ณ ตอนนั้น จริงหรือเท็จก็เป็นอีกเรื่อง

    แต่..ทำไมก่อนหน้าที่จะลงมือขโมย ถึงคิดไม่ได้เลยเชียวหรือว่า

    🟢ขโมยเนี่ยคือความชั่ว ความเลว ผิดทั้งทางกฎหมายต้องได้รับโทษ ผิดทั้งทางธรรม สะสมเวรกรรมใส่ตัว บาปเกิดขึ้นย่อมได้รับผล ไม่ต้องรอตาย ได้ตอนยังมีชีวิตนี้แหละ

    🟢อย่างไรก็หนีไม่รอด สุดท้ายถูกจับเป็นคดีติดคุก แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้

    🟢เป็นแม่คนแล้ว ไม่ทำความดีไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก แต่กลับเลือกทำความผิด ต่อให้หนีรอดมือกฎหมายได้ ในอนาคต ลูกจะเติบโตมาอย่างไร เพราะเห็นแม่ขโมยมาให้ตนตลอด

    🟢ตัวเองเดือดร้อนย่อมรู้ถึงความทุกข์ที่ตนได้รับ แล้วเจ้าของที่ตนไปขโมยของเขาจะไม่เดือดร้อนจากการกระทำของเราหรือ เขาไม่ทุกข์หรือ

    🟢ทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องทำผิดล่วงละเมิดกับใครย่อมมีอยู่ แต่ไฉนเลือกที่จะทำความไม่ดี เพราะการเลือกทำความไม่ดีง่ายกว่าหรือไร

    🟢คนจนคือพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ไม่ใช่คนจนทุกคนที่เลือกทำสิ่งผิดเพื่อให้ตนเองมีอยู่มีกิน ดังนั้นความจนไม่ใช่ข้ออ้าง

    และอีกมากมายหากจะไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำสิ่งใดลงไป

    หรือยกอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นประจำ ชัดเจนมาก นั่นคือบรรดาคนรักสัตว์ส่วนใหญ่ เรียกว่าเกือบทั้งหมด ที่ปากก็เอาแต่ท่องวนซ้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าฉันรักสัตว์ จึงทนเห็นหมาแมวหิวโหยไม่ได้ เจอหมาแมวจรจัดที่ไหน ต่อมความเมตตาจะพลุ่งพล่าน หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการใจสั่นพลิ้ว ต้องเอาอาหารอะไรก็ได้ไปให้หมาแมวที่หิวเหล่านั้นให้ได้ โดยไม่สนใจอื่นใดทั้งสิ้น

    🟢เขาจะไม่สนว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน

    🟢เขาจะไม่สนว่าการให้อาหารจะนำพาซึ่งความลำบาก ทุกข์ร้อน มาสู่ผู้คน เจ้าของที่ ซึ่งอาศัยในบริเวณนั้นหรือไม่

    🟢เขาจะเข้าใจอยู่มุมเดียวในชุดความคิดที่ไม่เหลือที่พอให้ใส่ความจริงชุดอื่นเข้าไปในกลีบสมองเลยว่า เขาสิที่เมตตาสูง ใครอื่นที่ไม่เห็นด้วย ขัดกับสิ่งที่เขาต้องการ คือคนที่ใจดำ ไร้เมตตา ไม่รักสัตว์ทั้งหมด

    🟢เขาจะมืดบอดมองไม่เห็นว่าตนกำลังเบียดเบียนคนด้วยกันจำนวนมากโดยไม่รู้ตัวเองสักนิด เพราะคิดอยู่เพียงว่า เขากำลังทำบุญช่วยเหลือหมาแมวที่น่าเวทนา

    🟢ทั้งที่เขาสร้างบาปอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ให้อาหารหมาแมวจรตามที่สาธารณะ และที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตน แต่เขากลับภาคภูมิใจในความดีที่เขากระทำ ในขณะที่เขาเมตตากับสัตว์ผู้ยาก แต่วันเดียวกันเขากลับเอาแต่หากินอาหารที่ชอบ ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรุงมาจากสัตว์ผู้ยากเช่นกันที่โดนฆ่ามาอย่างโหดเหี้ยม แต่เมตตาของเขามีข้อจำกัดอยู่เพียงกรอบของสัตว์สองชนิด ที่เหลือเขาจะอ้างว่าก็มันอร่อย, เขาไม่ได้ฆ่า, สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้คนกิน ฯลฯ

    🟢เขาจะให้อาหารเสร็จก็สะบัดก้นจากไป ไม่สนใจว่าถุงพลาสติก ห่อกระดาษ ภาชนะใดก็ตามที่วางไว้ จะมีเศษอาหารเหลือ เป็นความสกปรกเลอะเทอะต่อสถานที่อย่างไร เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคหรือไม่ ใครต้องมาเก็บกวาดหลังจากนั้น

    🟢เขาไม่เคยต้องมาทนทุกข์กับกลิ่นของอึ ฉี่ และกองปฏิกูลมูลสัตว์ที่ปล่อยเรี่ยราดอยู่ในพื้นที่ ซากของเสียเหล่านั้นรบกวนคน สร้างความสกปรก ไม่เจริญตาเจริญใจ ก่อโรค ไหลปนกับน้ำฝนลงแหล่งน้ำสาธารณะ ฟุ้งลอยไปในอากาศอย่างไร เขาไม่ได้คิดไปถึง เสียงเห่าหอนรบกวนคนที่อาจป่วยต้องการพักผ่อน หนูน้อยกำลังหลับเพลิน คนชรากำลังหลับพัก ชาวบ้านเข้านอนยามดึก เขาไม่ใส่ใจ คนผ่านทางถูกไล่กวด ถูกรุมล้อมทำร้าย บาดเจ็บต้องเสียค่ารักษา ตื่นกลัวตกใจ แต่เขาไม่อนาทร เพราะเขาอยู่ไกลจากจุดนั้น เขาไม่เดือดร้อน เขาสบายใจแล้วที่ได้ถมความต้องการอันบ้าคลั่งจนเต็มเป็นการชั่วคราว

    🟢เขาไม่เคยมาแสดงตนรับผิดชอบ หรือกล้าเสนอหน้าผ่าเผย ยามเมื่อมีคนถูกหมาแมวจรที่เขาให้อาหารทำร้าย หรือทำลายทรัพย์สินเสียหาย เขาจะมุดลงรู หลบเข้าถ้ำ นิ่งสนิท เงียบเหมือนอมสาก ไม่ปากเก่งดังเช่นตอนไม่เกิดเรื่อง หมาแมวถูกทำร้าย ถูกจับออกไป เขาจะรีบโผล่ขึ้นจากหลุมมาอย่างไว เพื่อพิทักษ์สิทธิให้ แต่คนถูกทำร้าย เขาจะดำดินหนีหายไวกว่า ไหนเลยเคยพิทักษ์สิทธิให้ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

    🟢ความเมตตาของเขามันจะทะแม่งประหลาดพิกล มาเป็นพัก ๆ แบบกะปริดกะปรอยในบางช่วง และล้นทะลักในบางคราว ขึ้นกับสภาพอารมณ์อันปรวนแปร แต่ที่แน่ใจได้คือ เขาจะเมตตาสัตว์เฉพาะชนิดที่เขาชอบ และอำมหิตกับคนที่เห็นต่างจากตน คนที่ไม่สนองในความชอบความใคร่อันตนมีอย่างฝังรากลึก เขาจะผลักให้คนเห็นต่างเป็นคนใจดำ คนไร้เมตตาโดยทันที

    🟢แท้จริงเขาอัตตาใหญ่ยิ่งกว่าแกแลคซีทางช้างเผือก แต่เสือกโปรโมตตนเองว่าคือคนใจบุญที่รักและเห็นใจสัตว์

    ทั้งหมดทั้งมวล เพราะกระบวนการทางความคิดเขาผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวมาแต่ต้นทาง จึงมองไม่เห็นเส้นทางสายอื่น แม้นมีคนพยายามอธิบาย แนะนำอย่างไร เขาก็จะเห็นแค่สิ่งที่เขาคิด

    ถึงบอกแต่ย่อหน้าแรกว่า กระบวนการทางความคิดนี้ สำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคน สำคัญและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เราคาดไปถึง จึงควรพึงระวังว่าเรานี้ ในทุกการกระทำและตัดสินใจในแต่ละเหตุการณ์ ได้กระทำลงไปอย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากที่สุดแล้วหรือยัง

    หรือสักแต่เชื่อในความเห็นในหัวตัวเอง ว่าที่ฉันเชื่อ ฉันคิด นั้นดีสุด ถูกต้องแน่นอน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับรองรับความจริงที่เราไม่ชอบ ไม่เชื่อ ไม่อยากรับฟัง

    ดังเช่นคนที่อ้างความยากจนไม่มีจะกิน แล้วเอะอะปล้นร้านทอง วิ่งราวชาวบ้าน ยักยอกขโมยของ ปล้นชิงฆ่าเจ้าทรัพย์ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงลูก ก็จงอย่าปล่อยตัวให้มีลูก ถ้าหัดฝึกเชื่อมโยงแล้ว ก็จะเห็นต้นตอ แทนที่จะไปแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเก่ามาถมทับตนเอง

    คนเมตตาแท้จริง จะไม่เลือกช่วยชีวิตใดไม่ว่าคนหรือสัตว์ เพียงแค่เอาความชอบหรือชังส่วนตนนำหน้า พวกที่ทำอย่างนั้นคือพวกบ้าที่ทำไปเพื่อสนองความรู้สึกให้ตนพอใจชั่วครั้งคราวไม่ยาวยืน เป็นลักษณะที่ข้าพเจ้าอยากขอใช้คำว่า "เมตตาอำมหิต" เพราะจิตเขาตั้งไว้ผิดทาง

    เมตตาแบบนี้นี่น่ากลัว
    เพราะเอาแต่ใจตัวคืออัตตา

    #thaitimes
    #ความเมตตา
    #ข้อคิด
    #บทความ

    บันทึกเปิดผนึก 📝 กระบวนการทางความคิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก มากที่สุดที่มีอิทธิพลส่งผลต่อพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกมาทางกาย วาจา คุณเคยสงสัยไหม เหตุใดคนจำนวนมากเขาสามารถทำในสิ่งที่คนปกติโดยทั่วไปมองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ที่สุด เช่น ขโมยของในร้านสะดวกซื้อ และก็ถูกจับได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายอ้างความจน ไม่มีเงินบ้างละ มีลูกเล็กต้องเลี้ยงบ้างละ หาค่านมลูกบ้างละ สารพัดข้ออ้างตามแต่จะนึกขึ้นได้ ณ ตอนนั้น จริงหรือเท็จก็เป็นอีกเรื่อง แต่..ทำไมก่อนหน้าที่จะลงมือขโมย ถึงคิดไม่ได้เลยเชียวหรือว่า 🟢ขโมยเนี่ยคือความชั่ว ความเลว ผิดทั้งทางกฎหมายต้องได้รับโทษ ผิดทั้งทางธรรม สะสมเวรกรรมใส่ตัว บาปเกิดขึ้นย่อมได้รับผล ไม่ต้องรอตาย ได้ตอนยังมีชีวิตนี้แหละ 🟢อย่างไรก็หนีไม่รอด สุดท้ายถูกจับเป็นคดีติดคุก แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้ 🟢เป็นแม่คนแล้ว ไม่ทำความดีไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก แต่กลับเลือกทำความผิด ต่อให้หนีรอดมือกฎหมายได้ ในอนาคต ลูกจะเติบโตมาอย่างไร เพราะเห็นแม่ขโมยมาให้ตนตลอด 🟢ตัวเองเดือดร้อนย่อมรู้ถึงความทุกข์ที่ตนได้รับ แล้วเจ้าของที่ตนไปขโมยของเขาจะไม่เดือดร้อนจากการกระทำของเราหรือ เขาไม่ทุกข์หรือ 🟢ทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องทำผิดล่วงละเมิดกับใครย่อมมีอยู่ แต่ไฉนเลือกที่จะทำความไม่ดี เพราะการเลือกทำความไม่ดีง่ายกว่าหรือไร 🟢คนจนคือพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ไม่ใช่คนจนทุกคนที่เลือกทำสิ่งผิดเพื่อให้ตนเองมีอยู่มีกิน ดังนั้นความจนไม่ใช่ข้ออ้าง และอีกมากมายหากจะไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำสิ่งใดลงไป หรือยกอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นประจำ ชัดเจนมาก นั่นคือบรรดาคนรักสัตว์ส่วนใหญ่ เรียกว่าเกือบทั้งหมด ที่ปากก็เอาแต่ท่องวนซ้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าฉันรักสัตว์ จึงทนเห็นหมาแมวหิวโหยไม่ได้ เจอหมาแมวจรจัดที่ไหน ต่อมความเมตตาจะพลุ่งพล่าน หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการใจสั่นพลิ้ว ต้องเอาอาหารอะไรก็ได้ไปให้หมาแมวที่หิวเหล่านั้นให้ได้ โดยไม่สนใจอื่นใดทั้งสิ้น 🟢เขาจะไม่สนว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน 🟢เขาจะไม่สนว่าการให้อาหารจะนำพาซึ่งความลำบาก ทุกข์ร้อน มาสู่ผู้คน เจ้าของที่ ซึ่งอาศัยในบริเวณนั้นหรือไม่ 🟢เขาจะเข้าใจอยู่มุมเดียวในชุดความคิดที่ไม่เหลือที่พอให้ใส่ความจริงชุดอื่นเข้าไปในกลีบสมองเลยว่า เขาสิที่เมตตาสูง ใครอื่นที่ไม่เห็นด้วย ขัดกับสิ่งที่เขาต้องการ คือคนที่ใจดำ ไร้เมตตา ไม่รักสัตว์ทั้งหมด 🟢เขาจะมืดบอดมองไม่เห็นว่าตนกำลังเบียดเบียนคนด้วยกันจำนวนมากโดยไม่รู้ตัวเองสักนิด เพราะคิดอยู่เพียงว่า เขากำลังทำบุญช่วยเหลือหมาแมวที่น่าเวทนา 🟢ทั้งที่เขาสร้างบาปอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ให้อาหารหมาแมวจรตามที่สาธารณะ และที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตน แต่เขากลับภาคภูมิใจในความดีที่เขากระทำ ในขณะที่เขาเมตตากับสัตว์ผู้ยาก แต่วันเดียวกันเขากลับเอาแต่หากินอาหารที่ชอบ ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรุงมาจากสัตว์ผู้ยากเช่นกันที่โดนฆ่ามาอย่างโหดเหี้ยม แต่เมตตาของเขามีข้อจำกัดอยู่เพียงกรอบของสัตว์สองชนิด ที่เหลือเขาจะอ้างว่าก็มันอร่อย, เขาไม่ได้ฆ่า, สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้คนกิน ฯลฯ 🟢เขาจะให้อาหารเสร็จก็สะบัดก้นจากไป ไม่สนใจว่าถุงพลาสติก ห่อกระดาษ ภาชนะใดก็ตามที่วางไว้ จะมีเศษอาหารเหลือ เป็นความสกปรกเลอะเทอะต่อสถานที่อย่างไร เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคหรือไม่ ใครต้องมาเก็บกวาดหลังจากนั้น 🟢เขาไม่เคยต้องมาทนทุกข์กับกลิ่นของอึ ฉี่ และกองปฏิกูลมูลสัตว์ที่ปล่อยเรี่ยราดอยู่ในพื้นที่ ซากของเสียเหล่านั้นรบกวนคน สร้างความสกปรก ไม่เจริญตาเจริญใจ ก่อโรค ไหลปนกับน้ำฝนลงแหล่งน้ำสาธารณะ ฟุ้งลอยไปในอากาศอย่างไร เขาไม่ได้คิดไปถึง เสียงเห่าหอนรบกวนคนที่อาจป่วยต้องการพักผ่อน หนูน้อยกำลังหลับเพลิน คนชรากำลังหลับพัก ชาวบ้านเข้านอนยามดึก เขาไม่ใส่ใจ คนผ่านทางถูกไล่กวด ถูกรุมล้อมทำร้าย บาดเจ็บต้องเสียค่ารักษา ตื่นกลัวตกใจ แต่เขาไม่อนาทร เพราะเขาอยู่ไกลจากจุดนั้น เขาไม่เดือดร้อน เขาสบายใจแล้วที่ได้ถมความต้องการอันบ้าคลั่งจนเต็มเป็นการชั่วคราว 🟢เขาไม่เคยมาแสดงตนรับผิดชอบ หรือกล้าเสนอหน้าผ่าเผย ยามเมื่อมีคนถูกหมาแมวจรที่เขาให้อาหารทำร้าย หรือทำลายทรัพย์สินเสียหาย เขาจะมุดลงรู หลบเข้าถ้ำ นิ่งสนิท เงียบเหมือนอมสาก ไม่ปากเก่งดังเช่นตอนไม่เกิดเรื่อง หมาแมวถูกทำร้าย ถูกจับออกไป เขาจะรีบโผล่ขึ้นจากหลุมมาอย่างไว เพื่อพิทักษ์สิทธิให้ แต่คนถูกทำร้าย เขาจะดำดินหนีหายไวกว่า ไหนเลยเคยพิทักษ์สิทธิให้ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต 🟢ความเมตตาของเขามันจะทะแม่งประหลาดพิกล มาเป็นพัก ๆ แบบกะปริดกะปรอยในบางช่วง และล้นทะลักในบางคราว ขึ้นกับสภาพอารมณ์อันปรวนแปร แต่ที่แน่ใจได้คือ เขาจะเมตตาสัตว์เฉพาะชนิดที่เขาชอบ และอำมหิตกับคนที่เห็นต่างจากตน คนที่ไม่สนองในความชอบความใคร่อันตนมีอย่างฝังรากลึก เขาจะผลักให้คนเห็นต่างเป็นคนใจดำ คนไร้เมตตาโดยทันที 🟢แท้จริงเขาอัตตาใหญ่ยิ่งกว่าแกแลคซีทางช้างเผือก แต่เสือกโปรโมตตนเองว่าคือคนใจบุญที่รักและเห็นใจสัตว์ ทั้งหมดทั้งมวล เพราะกระบวนการทางความคิดเขาผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวมาแต่ต้นทาง จึงมองไม่เห็นเส้นทางสายอื่น แม้นมีคนพยายามอธิบาย แนะนำอย่างไร เขาก็จะเห็นแค่สิ่งที่เขาคิด ถึงบอกแต่ย่อหน้าแรกว่า กระบวนการทางความคิดนี้ สำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคน สำคัญและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เราคาดไปถึง จึงควรพึงระวังว่าเรานี้ ในทุกการกระทำและตัดสินใจในแต่ละเหตุการณ์ ได้กระทำลงไปอย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากที่สุดแล้วหรือยัง หรือสักแต่เชื่อในความเห็นในหัวตัวเอง ว่าที่ฉันเชื่อ ฉันคิด นั้นดีสุด ถูกต้องแน่นอน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับรองรับความจริงที่เราไม่ชอบ ไม่เชื่อ ไม่อยากรับฟัง ดังเช่นคนที่อ้างความยากจนไม่มีจะกิน แล้วเอะอะปล้นร้านทอง วิ่งราวชาวบ้าน ยักยอกขโมยของ ปล้นชิงฆ่าเจ้าทรัพย์ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงลูก ก็จงอย่าปล่อยตัวให้มีลูก ถ้าหัดฝึกเชื่อมโยงแล้ว ก็จะเห็นต้นตอ แทนที่จะไปแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเก่ามาถมทับตนเอง คนเมตตาแท้จริง จะไม่เลือกช่วยชีวิตใดไม่ว่าคนหรือสัตว์ เพียงแค่เอาความชอบหรือชังส่วนตนนำหน้า พวกที่ทำอย่างนั้นคือพวกบ้าที่ทำไปเพื่อสนองความรู้สึกให้ตนพอใจชั่วครั้งคราวไม่ยาวยืน เป็นลักษณะที่ข้าพเจ้าอยากขอใช้คำว่า "เมตตาอำมหิต" เพราะจิตเขาตั้งไว้ผิดทาง เมตตาแบบนี้นี่น่ากลัว เพราะเอาแต่ใจตัวคืออัตตา #thaitimes #ความเมตตา #ข้อคิด #บทความ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1062 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิติเรื่องของ"กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย"
    .
    มิติเรื่องของ "กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย" นั้น มันมีมิติหลายๆ อย่างที่ผมจะพูด นอกเหนือจากความกะล่อน การต้มตุ๋น มาหลอกลวงความรัก ความอบอุ่น ความหวังดีของคนไทยที่มองโลกในแง่ดี
    .
    สัปดาห์ที่แล้วจนถึงสัปดาห์นี้ ไม่มีกระแสใดจะแรงเท่ากระแสอินฟลูเอนเซอร์ของไทยและเกาหลี กระแสดาราไทยลูกเสี้ยวฮอลแลนด์ ชื่อ "ชาลี ปอทเจส" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "แน็ก ชาลี" กับ TikToker ชาวเกาหลี ชื่อ "จี กามิน" หรือที่คนไทยเรียกสั้นๆ ว่า "กามิน" อายุ 31 ปี พอๆ กับแน็ก
    .
    เรื่องนี้ให้บทเรียนกับคนไทยหลายๆ แง่มุมด้วยกัน คือ ข้อแรก อย่าโง่ ถูกเกาหลีปั่น สร้างกระแสโอนเงินหรือแจกสติกเกอร์ใครง่ายๆ คุณอาจจะยากจนกว่าคนที่รับเงินไปแบบเทียบไม่ได้
    .
    ข้อสอง ถ้าให้ผมวิเคราะห์ความเป็นมนุษย์ผู้หญิงในเกาหลีที่ไลฟ์สดหารายได้ กินอยู่อย่างประหยัด สะท้อนให้เห็นว่าความจริงแล้ว กามินเป็นคนปากกัดตีนถีบ เอาแต่ได้ ซึ่งเป็นสันดานของคนเกาหลีส่วนหนึ่ง เมื่อได้เงินมา รวยฉับพลัน จึงเหมือนสามล้อถูกหวยที่ปรับตัวไม่ทัน ไม่คำนึงถึงบุญคุณของคนอื่นที่ดึงตัวเองขึ้นมาจากความลำบาก และมองโลกในแง่ร้ายว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ ไม่เป็นมืออาชีพ คิดจะกอบโกยอย่างเดียว
    .
    ข้อสาม ครูเดวิด วิลเลียม ชาวอเมริกันที่สอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยมา และพูดภาษาไทยชัดมาก ออกมาเตือนสติว่า “ กามิน ไม่มีทางมีวันนี้ถ้าไม่มีคนไทย ถ้าใครรักประเทศใด ต้องลงทุนกับเวลา 2 เรื่อง คือ เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมเขาหรือไปเที่ยวทั่วไทย ไม่ใช่มาประเทศไทยทำงานหาเงิน หาเงิน แล้วแยกย้ายกลับบ้าน มันไม่ใช่”
    .
    ข้อสี่ แน็ก ชาลี เป็นศิลปินนักแสดงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็กในภาพยนตร์เรื่องแฟนฉันเมื่อปี 2546 และเป็นศิลปินแบบที่พวกเราเรียกกันว่า "พวกติสท์แตก" เป็นผู้ให้ ช่วยและให้โอกาสคนที่ลำบากที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างกามิน แต่การจีบกันในโซเชียลมีเดียไม่สามารถจะรู้นิสัยตัวตนที่แท้จริงได้ ดังนั้น พื้นฐานในเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เพราะว่า "ศีลไม่เสมอกัน" ความเป็นมืออาชีพไม่เสมอกัน
    .
    ข้อสุดท้าย สังคมเกาหลีส่วนใหญ่มีการแข่งขันกันสูงมาก จึงหาความจริงใจหรือการหวังจะมีจิตสำนึกบุญคุณจากคนเกาหลีได้ยากมาก ยกเว้นคนเกาหลีที่ตัดสินใจมาอยู่ในเมืองไทยจริงๆ อย่าง โค้ชเชและพี่เรืองที่ต่างกว่าเกาหลีทั่วไป
    .
    แต่ถ้าในอนาคต แน็ก ชาลี จะติสท์แตกจนหน้ามืดตามัวกลับไปคืนดีคบหากับ จี กามิน อีกครั้ง ด้วยความขี้สงสารหรือขี้ใจบุญ ผมคงไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่ผมจะต้องหันกลับมาด่า แน็ก ชาลี เพิ่มเติมอีกคนหนึ่ง
    .
    ท่านผู้ชมครับ พวกเราคนไทยเป็นคนเปิดกว้าง ไม่เคยเหยียดชนชั้น ชาติ หรือศาสนาใด อย่าให้พวกเกาหลีมาดูถูกพวกเราแบบนี้ ว่าคนไทยโง่และหลอกง่าย จึงงดที่จะสนับสนุนพวกดาราเกาหลี เลิกเที่ยวเกาหลี สถานที่เที่ยวไม่ได้มีอะไร อาหารก็ไม่ได้เรื่อง เรารักคนไทย รักประเทศไทยมากขึ้น หรือว่าไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ดีกว่าครับ

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/iKQhhVuez7szj2is/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    มิติเรื่องของ"กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย" . มิติเรื่องของ "กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย" นั้น มันมีมิติหลายๆ อย่างที่ผมจะพูด นอกเหนือจากความกะล่อน การต้มตุ๋น มาหลอกลวงความรัก ความอบอุ่น ความหวังดีของคนไทยที่มองโลกในแง่ดี . สัปดาห์ที่แล้วจนถึงสัปดาห์นี้ ไม่มีกระแสใดจะแรงเท่ากระแสอินฟลูเอนเซอร์ของไทยและเกาหลี กระแสดาราไทยลูกเสี้ยวฮอลแลนด์ ชื่อ "ชาลี ปอทเจส" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "แน็ก ชาลี" กับ TikToker ชาวเกาหลี ชื่อ "จี กามิน" หรือที่คนไทยเรียกสั้นๆ ว่า "กามิน" อายุ 31 ปี พอๆ กับแน็ก . เรื่องนี้ให้บทเรียนกับคนไทยหลายๆ แง่มุมด้วยกัน คือ ข้อแรก อย่าโง่ ถูกเกาหลีปั่น สร้างกระแสโอนเงินหรือแจกสติกเกอร์ใครง่ายๆ คุณอาจจะยากจนกว่าคนที่รับเงินไปแบบเทียบไม่ได้ . ข้อสอง ถ้าให้ผมวิเคราะห์ความเป็นมนุษย์ผู้หญิงในเกาหลีที่ไลฟ์สดหารายได้ กินอยู่อย่างประหยัด สะท้อนให้เห็นว่าความจริงแล้ว กามินเป็นคนปากกัดตีนถีบ เอาแต่ได้ ซึ่งเป็นสันดานของคนเกาหลีส่วนหนึ่ง เมื่อได้เงินมา รวยฉับพลัน จึงเหมือนสามล้อถูกหวยที่ปรับตัวไม่ทัน ไม่คำนึงถึงบุญคุณของคนอื่นที่ดึงตัวเองขึ้นมาจากความลำบาก และมองโลกในแง่ร้ายว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ ไม่เป็นมืออาชีพ คิดจะกอบโกยอย่างเดียว . ข้อสาม ครูเดวิด วิลเลียม ชาวอเมริกันที่สอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยมา และพูดภาษาไทยชัดมาก ออกมาเตือนสติว่า “ กามิน ไม่มีทางมีวันนี้ถ้าไม่มีคนไทย ถ้าใครรักประเทศใด ต้องลงทุนกับเวลา 2 เรื่อง คือ เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมเขาหรือไปเที่ยวทั่วไทย ไม่ใช่มาประเทศไทยทำงานหาเงิน หาเงิน แล้วแยกย้ายกลับบ้าน มันไม่ใช่” . ข้อสี่ แน็ก ชาลี เป็นศิลปินนักแสดงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็กในภาพยนตร์เรื่องแฟนฉันเมื่อปี 2546 และเป็นศิลปินแบบที่พวกเราเรียกกันว่า "พวกติสท์แตก" เป็นผู้ให้ ช่วยและให้โอกาสคนที่ลำบากที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างกามิน แต่การจีบกันในโซเชียลมีเดียไม่สามารถจะรู้นิสัยตัวตนที่แท้จริงได้ ดังนั้น พื้นฐานในเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เพราะว่า "ศีลไม่เสมอกัน" ความเป็นมืออาชีพไม่เสมอกัน . ข้อสุดท้าย สังคมเกาหลีส่วนใหญ่มีการแข่งขันกันสูงมาก จึงหาความจริงใจหรือการหวังจะมีจิตสำนึกบุญคุณจากคนเกาหลีได้ยากมาก ยกเว้นคนเกาหลีที่ตัดสินใจมาอยู่ในเมืองไทยจริงๆ อย่าง โค้ชเชและพี่เรืองที่ต่างกว่าเกาหลีทั่วไป . แต่ถ้าในอนาคต แน็ก ชาลี จะติสท์แตกจนหน้ามืดตามัวกลับไปคืนดีคบหากับ จี กามิน อีกครั้ง ด้วยความขี้สงสารหรือขี้ใจบุญ ผมคงไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่ผมจะต้องหันกลับมาด่า แน็ก ชาลี เพิ่มเติมอีกคนหนึ่ง . ท่านผู้ชมครับ พวกเราคนไทยเป็นคนเปิดกว้าง ไม่เคยเหยียดชนชั้น ชาติ หรือศาสนาใด อย่าให้พวกเกาหลีมาดูถูกพวกเราแบบนี้ ว่าคนไทยโง่และหลอกง่าย จึงงดที่จะสนับสนุนพวกดาราเกาหลี เลิกเที่ยวเกาหลี สถานที่เที่ยวไม่ได้มีอะไร อาหารก็ไม่ได้เรื่อง เรารักคนไทย รักประเทศไทยมากขึ้น หรือว่าไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ดีกว่าครับ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/iKQhhVuez7szj2is/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2477 มุมมอง 0 รีวิว