• "ถ้าเข้าใจความไม่รู้ของตัวเองอย่างแท้จริง
    ก็จะเข้าใจความไม่รู้ของคนอื่นได้อย่างแท้จริงเช่นกัน"

    นี่คือก้าวแรกสู่ความเมตตา และก้าวสำคัญของผู้เดินทางบนหนทางพุทธะ
    "ถ้าเข้าใจความไม่รู้ของตัวเองอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจความไม่รู้ของคนอื่นได้อย่างแท้จริงเช่นกัน" นี่คือก้าวแรกสู่ความเมตตา และก้าวสำคัญของผู้เดินทางบนหนทางพุทธะ
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • ครั้งแรกที่คิงส์ไม่แฮปปี้กับความเมตตา เพราะอีตี้ อีเบญจา ละเมิด112 ปราศรัยหมิ่น ร.5 ร.7 ร.8 ร.9 และ ร.10 โทษจำคุก 4 ปี แต่ศาลฯ เห็นเป็นเยาวชน ไม่เคยทำผิด จึงให้โอกาสกลับตัว รอการลงโทษ 5 ปี 😠😠😠😠😠
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ครั้งแรกที่คิงส์ไม่แฮปปี้กับความเมตตา เพราะอีตี้ อีเบญจา ละเมิด112 ปราศรัยหมิ่น ร.5 ร.7 ร.8 ร.9 และ ร.10 โทษจำคุก 4 ปี แต่ศาลฯ เห็นเป็นเยาวชน ไม่เคยทำผิด จึงให้โอกาสกลับตัว รอการลงโทษ 5 ปี 😠😠😠😠😠 #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    1
    1 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • 23 มีนา เป็นวัน "ลูกหมาแห่งชาติ" ไม่รู้ว่าแห่งชาติไหน แต่เอาเหอะก็กูเกิลมันบอกอย่างนั้นว่าวันนี้เป็นวันลูกหมาแห่งชาติ ซึ่งเหมือนจะเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2006 จนถึงตอนนี้ 2025 แล้ว
    ....
    วันนี้มีเจตจำนงค์เพื่อหวังให้ผู้คนมีความเมตตาต่อลูกหมาผู้ใสสื่อและบริสุทธิ์ ไอ้สองตัวบาทของ lit nit ตัวหนึ่งหมาทรายในตำนาน lit nit ให้นมมาตั้งแต่แม่มันตายเมื่ออายุหนึ่งเดือน ตอนนั้นยังจำได้ lit nit พยายามไปปรึกษาหมอสูติแพทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ lit nit มีน้ำนม หมอบอกว่า
    "มึงก็หาเงินแล้วไปซื้อค่ะ !"
    ....
    ส่วนนังซอน้องอีทรายเป็นหมาหลงมาอยู่กับ lit nit เมื่อโตได้หลายเดือนหน่อยก็เลยไม่ต้องให้นม แต่ lit nit ก็ต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อที่จะให้มาให้คำปรึกษากับไอ้สองตัว ว่าอยู่ร่วมกันอย่างไรจึงจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หมอจิตฯบอกว่า
    "ช่างหมามันก่อนค่ะ มึงอะควรต้องฟังหมอก่อนนะคะ การฝึกหมาต้องไปโรงเรียนสอนหมา ไม่ใช่จิตแพทย์ค่ะ !"
    ....
    จากลูกหมาในวันนั้น มันสองตัวก็ใช้ lit nit ทำนู่นนี่นั่นทุกวันนี้ พูดแล้วน้ำตามันก็ปริ่ม ๆ...ใช้กูเป็นลูกเลย โปรดเมตตากูบ้างเถอะ !
    #สวัสดีวันลูกหมาแห่งชาติ !
    23 มีนา เป็นวัน "ลูกหมาแห่งชาติ" ไม่รู้ว่าแห่งชาติไหน แต่เอาเหอะก็กูเกิลมันบอกอย่างนั้นว่าวันนี้เป็นวันลูกหมาแห่งชาติ ซึ่งเหมือนจะเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2006 จนถึงตอนนี้ 2025 แล้ว .... วันนี้มีเจตจำนงค์เพื่อหวังให้ผู้คนมีความเมตตาต่อลูกหมาผู้ใสสื่อและบริสุทธิ์ ไอ้สองตัวบาทของ lit nit ตัวหนึ่งหมาทรายในตำนาน lit nit ให้นมมาตั้งแต่แม่มันตายเมื่ออายุหนึ่งเดือน ตอนนั้นยังจำได้ lit nit พยายามไปปรึกษาหมอสูติแพทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ lit nit มีน้ำนม หมอบอกว่า "มึงก็หาเงินแล้วไปซื้อค่ะ !" .... ส่วนนังซอน้องอีทรายเป็นหมาหลงมาอยู่กับ lit nit เมื่อโตได้หลายเดือนหน่อยก็เลยไม่ต้องให้นม แต่ lit nit ก็ต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อที่จะให้มาให้คำปรึกษากับไอ้สองตัว ว่าอยู่ร่วมกันอย่างไรจึงจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หมอจิตฯบอกว่า "ช่างหมามันก่อนค่ะ มึงอะควรต้องฟังหมอก่อนนะคะ การฝึกหมาต้องไปโรงเรียนสอนหมา ไม่ใช่จิตแพทย์ค่ะ !" .... จากลูกหมาในวันนั้น มันสองตัวก็ใช้ lit nit ทำนู่นนี่นั่นทุกวันนี้ พูดแล้วน้ำตามันก็ปริ่ม ๆ...ใช้กูเป็นลูกเลย โปรดเมตตากูบ้างเถอะ ! #สวัสดีวันลูกหมาแห่งชาติ !
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • พระปรกใบมะขามหลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา ปี2540
    พระปรกใบมะขามหลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา ปี2540 //พระมีขนาดเล็ก หลวงปู่ทิมได้รับการยกย่องว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งความเมตตา" //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พระมีขนาดเล็ก >เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารัก >>

    ** พุทธคุณ ด้านเมตตามหานิยม และโชคลาภสูง ค้าขาย เรียกทรัพย์ แคล้วคลาดปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ป้องกันภัยอันตรายจากศาสตราวุธทั้งหลาย สรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ >>>

    ** หลวงปู่ทิมได้รับการยกย่องว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งความเมตตา" หลวงปู่ทิมศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อสังข์ พระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ธนบุรี จนมีความเชี่ยวชาญชำนาญด้านวิปัสสนากรรมฐาน และคาถาอาคมต่างๆ รวมทั้งการสร้างและเสกวัตถุมงคลจนเลื่องชื่อ เป็นที่ต้องการของนักสะสมและลูกศิษย์ลูกหา พระเครื่อง พระหลวงปู่ทิมรุ่น ต่างๆ จำนวนมาก กำไลหลวงปู่ทิม ผ้ายันต์ พระขุนแผน ปลาเงินปลาทอง ลูกอมชานหมาก ภาพถ่าย ทั้งหมดมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม และโชคลาภสูง ขลังด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จนได้รับขนานนามว่า เทพเจ้าแห่งความเมตตา >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระปรกใบมะขามหลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา ปี2540 พระปรกใบมะขามหลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา ปี2540 //พระมีขนาดเล็ก หลวงปู่ทิมได้รับการยกย่องว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งความเมตตา" //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พระมีขนาดเล็ก >เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารัก >> ** พุทธคุณ ด้านเมตตามหานิยม และโชคลาภสูง ค้าขาย เรียกทรัพย์ แคล้วคลาดปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ป้องกันภัยอันตรายจากศาสตราวุธทั้งหลาย สรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ >>> ** หลวงปู่ทิมได้รับการยกย่องว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งความเมตตา" หลวงปู่ทิมศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อสังข์ พระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ธนบุรี จนมีความเชี่ยวชาญชำนาญด้านวิปัสสนากรรมฐาน และคาถาอาคมต่างๆ รวมทั้งการสร้างและเสกวัตถุมงคลจนเลื่องชื่อ เป็นที่ต้องการของนักสะสมและลูกศิษย์ลูกหา พระเครื่อง พระหลวงปู่ทิมรุ่น ต่างๆ จำนวนมาก กำไลหลวงปู่ทิม ผ้ายันต์ พระขุนแผน ปลาเงินปลาทอง ลูกอมชานหมาก ภาพถ่าย ทั้งหมดมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม และโชคลาภสูง ขลังด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จนได้รับขนานนามว่า เทพเจ้าแห่งความเมตตา >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน (ตอนที่ 1)
    .
    การทำงานคือหน้าที่ของทุกคนตามธรรมชาติ การดิ้นรนเก็บของป่า ล่าสัตว์ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ของครอบครัว และของสังคมมนุษย์แต่ดึกดำบรรพ์ ก็คือการทำงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่ต่างไปจากการประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือการเป็นลูกจ้างของรัฐหรือเอกชนในปัจจุบัน เพื่อหาเงินมาซื้ออาหารยังชีวิต และซื้อหาความสุขสบายต่างๆ
    .
    ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ทำหน้าที่นี้ เพื่อเลี้ยงตนเอง บุคคลอื่นในครอบครัวและในสังคมก็ต้องแบกรับภาระแทน ดังนั้น การทำงานจึงเป็นสิ่งที่มีเกียรติเพราะเป็นการดูแลตนเอง และช่วยมิให้คนอื่นต้งเดือดร้อนแบกรับภาระอุ้มชูตนโดยไม่จำเป็น หรือพูดอีกอย่างว่า การทำงานช่วยให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย
    .
    เมื่อทำงาน ก็มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย สำหรับผู้ที่มีความรู้และพยายามเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีความบากบั่นมานะ ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ก็จะมีรายได้สูง และมีช่วงเวลาในการทำงานหารายได้ยาวนาน สร้างความสุขกายและใจ และความมั่นคงในชีวิตให้แก่ตนเอง และครอบครัวได้ยาวนานไปด้วย
    .
    อย่างไรก็ดี การทำงานหาเงินแต่ละบาทนั้น มิใช่เรื่องง่าย หากเป็นลูกจ้าง การที่นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างให้นั้น ลูกจ้างต้องทำงานให้ได้อย่างคุ้มค่ากับการจ้าง และหากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ การมีรายได้จากกำไรก็ต้องมาจากการขายสินค้าหรือบริการที่มีผู้ต้องการซื้อ ยิ่งไปกว่านั้น รายรับจากการขายจะต้องสูงกว่าต้นทุนอีกด้วย
    .
    การทำให้ตนเองสามารถทำงานได้อย่างคุ้มค่า หรือขายสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในราคาอันเป็นที่ยอมรับได้ และมีกำไรอีกด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ยากพอควร ดังนั้น การหาเงินจึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความรู้ ความสามารถ ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงจำเป็นต้องไขว่คว้าหาความรู้ และพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อเตรียมพร้อม
    .
    เงินนั้นมิได้ "งอกบนต้นไม้" ทุกคนต้องดิ้นรนต่อสู้หามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากกายและใจ การหวังพึ่งความเมตตาของคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมานั้น คือการอาศัยจมูกคนอื่นหายใจโดยแท้ เป็นสิ่งที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี และอยู่บนความประมาทอย่างยิ่ง เพราะหากผู้ให้เปลี่ยนใจ เงินจะขาดมีอย่างฉับพลัน
    .
    เมื่อเงินหามาได้ยากเย็นและด้วยต้นทุนที่สูงเช่นนี้ เงินจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า การใช้จ่ายทุกบาทจึงควรเป็นไปอย่างรอบคอบ และให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ากับแรงงานที่เสียไป
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน (ตอนที่ 1) . การทำงานคือหน้าที่ของทุกคนตามธรรมชาติ การดิ้นรนเก็บของป่า ล่าสัตว์ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ของครอบครัว และของสังคมมนุษย์แต่ดึกดำบรรพ์ ก็คือการทำงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่ต่างไปจากการประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือการเป็นลูกจ้างของรัฐหรือเอกชนในปัจจุบัน เพื่อหาเงินมาซื้ออาหารยังชีวิต และซื้อหาความสุขสบายต่างๆ . ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ทำหน้าที่นี้ เพื่อเลี้ยงตนเอง บุคคลอื่นในครอบครัวและในสังคมก็ต้องแบกรับภาระแทน ดังนั้น การทำงานจึงเป็นสิ่งที่มีเกียรติเพราะเป็นการดูแลตนเอง และช่วยมิให้คนอื่นต้งเดือดร้อนแบกรับภาระอุ้มชูตนโดยไม่จำเป็น หรือพูดอีกอย่างว่า การทำงานช่วยให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย . เมื่อทำงาน ก็มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย สำหรับผู้ที่มีความรู้และพยายามเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีความบากบั่นมานะ ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ก็จะมีรายได้สูง และมีช่วงเวลาในการทำงานหารายได้ยาวนาน สร้างความสุขกายและใจ และความมั่นคงในชีวิตให้แก่ตนเอง และครอบครัวได้ยาวนานไปด้วย . อย่างไรก็ดี การทำงานหาเงินแต่ละบาทนั้น มิใช่เรื่องง่าย หากเป็นลูกจ้าง การที่นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างให้นั้น ลูกจ้างต้องทำงานให้ได้อย่างคุ้มค่ากับการจ้าง และหากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ การมีรายได้จากกำไรก็ต้องมาจากการขายสินค้าหรือบริการที่มีผู้ต้องการซื้อ ยิ่งไปกว่านั้น รายรับจากการขายจะต้องสูงกว่าต้นทุนอีกด้วย . การทำให้ตนเองสามารถทำงานได้อย่างคุ้มค่า หรือขายสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในราคาอันเป็นที่ยอมรับได้ และมีกำไรอีกด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ยากพอควร ดังนั้น การหาเงินจึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความรู้ ความสามารถ ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงจำเป็นต้องไขว่คว้าหาความรู้ และพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อเตรียมพร้อม . เงินนั้นมิได้ "งอกบนต้นไม้" ทุกคนต้องดิ้นรนต่อสู้หามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากกายและใจ การหวังพึ่งความเมตตาของคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมานั้น คือการอาศัยจมูกคนอื่นหายใจโดยแท้ เป็นสิ่งที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี และอยู่บนความประมาทอย่างยิ่ง เพราะหากผู้ให้เปลี่ยนใจ เงินจะขาดมีอย่างฉับพลัน . เมื่อเงินหามาได้ยากเย็นและด้วยต้นทุนที่สูงเช่นนี้ เงินจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า การใช้จ่ายทุกบาทจึงควรเป็นไปอย่างรอบคอบ และให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ากับแรงงานที่เสียไป
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • 46 ปี สิ้น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์ วีรสตรีอุบลราชธานี แม่คนที่สองของเชลยศึก 🌺

    ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของ “ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์” วีรสตรีแห่งอุบลราชธานี ผู้เป็นเสมือนแม่คนที่สอง ของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลก ครั้งที่สอง บทเรียนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญ ที่ควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์

    🌏 เรื่องราวที่โลกต้องไม่ลืม ✨ ถ้าจะพูดถึงสงครามโลก ครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความโหดร้าย การสูญเสีย และความพินาศของชีวิตมนุษย์นับล้านคน แต่ในความโหดร้ายนั้น...กลับมีความงดงามของมนุษยธรรม และน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เรื่องเล่าของ "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" วีรสตรีแห่งเมืองอุบลราชธานี คือหนึ่งในเรื่องราวที่โลกต้องจารึก ✍️

    ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ ไม่ได้มีอาวุธใด ๆ แต่เธอมี “หัวใจ” ที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็น “แม่คนที่สอง” ของเชลยศึกสัมพันธมิตร ที่ถูกกักขังในสงครามมหาเอเชียบูรพา ยืนหยัดช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง และครอบครัวเลยแม้แต่น้อย...

    🕊️ ย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 46 ปี ที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2522 โลกได้สูญเสีย “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” แห่งอุบลราชธานี "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" ในวัย 86 ปี เหล่าทหารสัมพันธมิตรจากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ, อเมริกา, แคนาดา, ฮอลแลนด์, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างร่วมไว้อาลัยด้วยความอาลัยรัก ❤️ เพราะยาไหลคือคนที่เคยให้ชีวิตใหม่ แก่พวกเขา

    "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" เป็นหญิงชาวอุบลราชธานีธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาในหัวใจ ✨ ถูกกล่าวขานว่าเป็น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” เพราะในยามที่ เชลยศึกสัมพันธมิตรหลายพันชีวิต ถูกกักขังอย่างโหดร้ายในจังหวัดอุบลราชธานี ย่าไหลและชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลับไม่ละทิ้งมนุษยธรรม นำอาหาร, ยารักษาโรค, เครื่องนุ่งห่ม และแม้แต่การช่วยเหลือหลบหนี มาให้กับเชลยเหล่านั้น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ 🌾

    🕊️ ความกล้าหาญท่ามกลางความโหดร้าย 🗡️ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 ญี่ปุ่นได้เข้ายึดประเทศไทย และกักขังเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี พวกเขาถูกทรมาน, อดอยาก และเผชิญโรคภัยต่าง ๆ ทหารญี่ปุ่นมีบทลงโทษที่โหดเหี้ยม เช่น หากจับได้ว่าใครขโมยน้ำมัน จะถูกกรอกน้ำมันจนตาย หรือขโมยตะปู ก็จะถูกตอกตะปูเข้าขา 😨

    แม้จะรู้ว่าความช่วยเหลือ อาจนำมาซึ่งความตาย แต่ย่าไหลก็ยังคงพายเรือฝ่าฝนฟ้าคะนอง นำเชลยศึกบางคน ที่อ่อนแอป่วยไข้ไปหายารักษา บางคืนถึงกับพาเชลยหนีไปตามแม่น้ำ โดยให้พวกเขาเกาะข้างเรือ ลอยไปในความมืด... ย่าไหลกล่าวไว้ว่า “เราคือข้าของแผ่นดิน จำไว้นะลูก เราต้องมีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่ต้องหวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน” 💖

    🌏 อนุสาวรีย์แห่งความดีที่คนทั้งโลกต้องรู้ เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ชาวเชลยศึกสัมพันธมิตร จึงร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์แห่งความดี” (Monument of Merit) ตั้งอยู่ที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 🏛️ โดยมีการจัดงานรำลึกทุกปีในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11:11 น. เพื่อยกย่องน้ำใจของชาวอุบลฯ และย่าไหลที่ไม่เลือกฝ่าย แต่เลือกช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

    🏅พิธีเชิดชูเกียรติ และรางวัลแห่งคุณงามความดี หลังสงครามสิ้นสุดในปี 2488 เหล่าทหารสัมพันธมิตร ได้เชิญย่าไหลไปยังค่ายทหาร ที่สนามบินอุบลราชธานี เพื่อแสดงความขอบคุณแ ละมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ รวมถึงสิ่งของและเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐ 🙏

    ❤️วีรสตรีที่ไม่ได้ถืออาวุธ แต่ถือหัวใจแห่งเมตตา ต่างจากวีรสตรีที่เราคุ้นเคยในประวัติศาสตร์ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ แต่เธอคือแม่พระที่ “ให้ชีวิตใหม่” ในยามที่คนหนึ่งไม่มีแม้แต่ความหวัง ในการมีชีวิตรอด... ย่าไหลใช้เพียง “หัวใจ” และ “มือเปล่า” เพื่อหยิบยื่นอาหาร ยารักษาโรค และเสื้อผ้าให้พวกเขา แม้จะเสี่ยงตายก็ไม่หวั่นเกรง 🌿

    คุณธรรมที่ส่งต่อผ่านสายเลือด และจิตวิญญาณ สิ่งที่ย่าไหลทำ ไม่ได้เกิดจากการอยากเป็นวีรสตรี แต่เป็นความเชื่อ และการปลูกฝังจากบรรพบุรุษ “เราคือข้าของแผ่นดิน” คือคำสอนที่แม่ถ่ายทอดสู่ย่าไหล และย่าไหลก็ถ่ายทอดต่อให้ลูกหลานเช่นกัน ✨

    🌾 มรดกทางจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่จนถึงวันนี้ เรื่องราวของย่าไหลก ลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง เชลยศึกและทายาท ยังคงเดินทางกลับมาอุบลราชธานีทุกปี เพื่อแสดงความเคารพต่อย่าไหล และสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างชาวอุบลราชธานีและนานาชาติ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191130 มี.ค. 2568

    #แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่ #ย่าไหลอุไรวรรณ #อนุสาวรีย์แห่งความดี #วีรสตรีอุบล #ช่วยเหลือเชลยศึก #ประวัติศาสตร์ไทย #อุบลราชธานี #สงครามโลกครั้งที่2 #มนุษยธรรม #แรงบันดาลใจ
    46 ปี สิ้น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์ วีรสตรีอุบลราชธานี แม่คนที่สองของเชลยศึก 🌺 ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของ “ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์” วีรสตรีแห่งอุบลราชธานี ผู้เป็นเสมือนแม่คนที่สอง ของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลก ครั้งที่สอง บทเรียนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญ ที่ควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ 🌏 เรื่องราวที่โลกต้องไม่ลืม ✨ ถ้าจะพูดถึงสงครามโลก ครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความโหดร้าย การสูญเสีย และความพินาศของชีวิตมนุษย์นับล้านคน แต่ในความโหดร้ายนั้น...กลับมีความงดงามของมนุษยธรรม และน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เรื่องเล่าของ "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" วีรสตรีแห่งเมืองอุบลราชธานี คือหนึ่งในเรื่องราวที่โลกต้องจารึก ✍️ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ ไม่ได้มีอาวุธใด ๆ แต่เธอมี “หัวใจ” ที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็น “แม่คนที่สอง” ของเชลยศึกสัมพันธมิตร ที่ถูกกักขังในสงครามมหาเอเชียบูรพา ยืนหยัดช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง และครอบครัวเลยแม้แต่น้อย... 🕊️ ย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 46 ปี ที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2522 โลกได้สูญเสีย “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” แห่งอุบลราชธานี "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" ในวัย 86 ปี เหล่าทหารสัมพันธมิตรจากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ, อเมริกา, แคนาดา, ฮอลแลนด์, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างร่วมไว้อาลัยด้วยความอาลัยรัก ❤️ เพราะยาไหลคือคนที่เคยให้ชีวิตใหม่ แก่พวกเขา "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" เป็นหญิงชาวอุบลราชธานีธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาในหัวใจ ✨ ถูกกล่าวขานว่าเป็น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” เพราะในยามที่ เชลยศึกสัมพันธมิตรหลายพันชีวิต ถูกกักขังอย่างโหดร้ายในจังหวัดอุบลราชธานี ย่าไหลและชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลับไม่ละทิ้งมนุษยธรรม นำอาหาร, ยารักษาโรค, เครื่องนุ่งห่ม และแม้แต่การช่วยเหลือหลบหนี มาให้กับเชลยเหล่านั้น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ 🌾 🕊️ ความกล้าหาญท่ามกลางความโหดร้าย 🗡️ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 ญี่ปุ่นได้เข้ายึดประเทศไทย และกักขังเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี พวกเขาถูกทรมาน, อดอยาก และเผชิญโรคภัยต่าง ๆ ทหารญี่ปุ่นมีบทลงโทษที่โหดเหี้ยม เช่น หากจับได้ว่าใครขโมยน้ำมัน จะถูกกรอกน้ำมันจนตาย หรือขโมยตะปู ก็จะถูกตอกตะปูเข้าขา 😨 แม้จะรู้ว่าความช่วยเหลือ อาจนำมาซึ่งความตาย แต่ย่าไหลก็ยังคงพายเรือฝ่าฝนฟ้าคะนอง นำเชลยศึกบางคน ที่อ่อนแอป่วยไข้ไปหายารักษา บางคืนถึงกับพาเชลยหนีไปตามแม่น้ำ โดยให้พวกเขาเกาะข้างเรือ ลอยไปในความมืด... ย่าไหลกล่าวไว้ว่า “เราคือข้าของแผ่นดิน จำไว้นะลูก เราต้องมีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่ต้องหวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน” 💖 🌏 อนุสาวรีย์แห่งความดีที่คนทั้งโลกต้องรู้ เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ชาวเชลยศึกสัมพันธมิตร จึงร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์แห่งความดี” (Monument of Merit) ตั้งอยู่ที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 🏛️ โดยมีการจัดงานรำลึกทุกปีในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11:11 น. เพื่อยกย่องน้ำใจของชาวอุบลฯ และย่าไหลที่ไม่เลือกฝ่าย แต่เลือกช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ 🏅พิธีเชิดชูเกียรติ และรางวัลแห่งคุณงามความดี หลังสงครามสิ้นสุดในปี 2488 เหล่าทหารสัมพันธมิตร ได้เชิญย่าไหลไปยังค่ายทหาร ที่สนามบินอุบลราชธานี เพื่อแสดงความขอบคุณแ ละมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ รวมถึงสิ่งของและเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐ 🙏 ❤️วีรสตรีที่ไม่ได้ถืออาวุธ แต่ถือหัวใจแห่งเมตตา ต่างจากวีรสตรีที่เราคุ้นเคยในประวัติศาสตร์ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ แต่เธอคือแม่พระที่ “ให้ชีวิตใหม่” ในยามที่คนหนึ่งไม่มีแม้แต่ความหวัง ในการมีชีวิตรอด... ย่าไหลใช้เพียง “หัวใจ” และ “มือเปล่า” เพื่อหยิบยื่นอาหาร ยารักษาโรค และเสื้อผ้าให้พวกเขา แม้จะเสี่ยงตายก็ไม่หวั่นเกรง 🌿 คุณธรรมที่ส่งต่อผ่านสายเลือด และจิตวิญญาณ สิ่งที่ย่าไหลทำ ไม่ได้เกิดจากการอยากเป็นวีรสตรี แต่เป็นความเชื่อ และการปลูกฝังจากบรรพบุรุษ “เราคือข้าของแผ่นดิน” คือคำสอนที่แม่ถ่ายทอดสู่ย่าไหล และย่าไหลก็ถ่ายทอดต่อให้ลูกหลานเช่นกัน ✨ 🌾 มรดกทางจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่จนถึงวันนี้ เรื่องราวของย่าไหลก ลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง เชลยศึกและทายาท ยังคงเดินทางกลับมาอุบลราชธานีทุกปี เพื่อแสดงความเคารพต่อย่าไหล และสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างชาวอุบลราชธานีและนานาชาติ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191130 มี.ค. 2568 #แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่ #ย่าไหลอุไรวรรณ #อนุสาวรีย์แห่งความดี #วีรสตรีอุบล #ช่วยเหลือเชลยศึก #ประวัติศาสตร์ไทย #อุบลราชธานี #สงครามโลกครั้งที่2 #มนุษยธรรม #แรงบันดาลใจ
    0 Comments 0 Shares 410 Views 0 Reviews
  • หลวงพ่อครน วัดบางแซะ มาเลเซีย ปี2505
    เนื้อว่านหลวงพ่อครน พิมพ์ใหญ่ ด้านหลังกดยันต์ไม้เท้า วัดบางแซะ (วัดอุตตมาราม) มาเลเซีย ปี 2505 //เนื้อว่านผสมมวลสาร 108 พระสถาพสวยมาก พระหายาก เนื้อแห้งเก่าถึงยุค // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณโดดเด่นในด้านอยู่ยงกระพัน มหาอุด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เมตตามหานิยมและลาภผลพูนทวี โชคลาภ ค้าขายดีและเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก. >>

    ** หลวงพ่อครน วัดบางแซะท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาแฝงไว้ด้วยแววแห่งอำนาจ ลิ้นของท่านเป็นปานสีดำ ชาวบ้านจึงเรียกท่านกันอีกชื่อหนึ่งว่า หลวงพ่อลิ้นดำ มีวาจาสิทธิ์ เป็นที่เคารพและเกรงขามทั้งชาวพุทธศาสนิกชน และมุสลิม หลวงพ่อครนท่านเป็นคนพูดน้อย มีศีลจารวัตรงดงาม เป็นที่เลื่อมใสของผู้คนที่ได้พบเห็นหลวงพ่อให้ความเมตตาต่อทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะหรือแม้แต่ศาสนา ในยามเมื่อเขาเดือดร้อนตกอยู่ในกองทุกข์ หลวงพ่อก็จะช่วยเหลือปัดเป่าให้พ้นทุกข์ได้เสมอ อีกทั้งท่านยังมีความรู้เรื่องเครื่องยาสมุนไพรอย่างแตกฉาน ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งวิทยาคมของท่านก็เข้มขลังเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวบ้านในแถบนั้นเป็นอย่างดี จึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างมาก ในด้านวัตถุมงคล ท่านสร้างพระเครื่องที่มีชื่อเสียงมาก หาของแท้ชมยากมาก ๆ เพราะเป็นที่นิยมมาก ในหมู่ชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้จนปัจจุบันนี้ คนไทยในประเทศไทยนิยมสมเด็จวัดระฆังอย่างไร ชาวสิงคโปร์และมาเลเซียที่เป็นพุทธก็นิยมพระปิดตาของหลวงพ่อครนไม่แพ้กัน กล่าวกันว่าวัดบางแซะนั้น แวดล้อมไปด้วยชาวบ้านที่เป็นมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ แต่หลวงพ่อครน ท่านก็ได้รับความเคารพนับถือและเกรงใจอย่างยิ่งจากชาวบ้าน และวัดบางแซะก็สามารถดำรงอยู่ได้ แม้จนปัจจุบันนี้ ด้วยบารมีของท่านนั่นเอง >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงพ่อครน วัดบางแซะ มาเลเซีย ปี2505 เนื้อว่านหลวงพ่อครน พิมพ์ใหญ่ ด้านหลังกดยันต์ไม้เท้า วัดบางแซะ (วัดอุตตมาราม) มาเลเซีย ปี 2505 //เนื้อว่านผสมมวลสาร 108 พระสถาพสวยมาก พระหายาก เนื้อแห้งเก่าถึงยุค // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณโดดเด่นในด้านอยู่ยงกระพัน มหาอุด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เมตตามหานิยมและลาภผลพูนทวี โชคลาภ ค้าขายดีและเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก. >> ** หลวงพ่อครน วัดบางแซะท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาแฝงไว้ด้วยแววแห่งอำนาจ ลิ้นของท่านเป็นปานสีดำ ชาวบ้านจึงเรียกท่านกันอีกชื่อหนึ่งว่า หลวงพ่อลิ้นดำ มีวาจาสิทธิ์ เป็นที่เคารพและเกรงขามทั้งชาวพุทธศาสนิกชน และมุสลิม หลวงพ่อครนท่านเป็นคนพูดน้อย มีศีลจารวัตรงดงาม เป็นที่เลื่อมใสของผู้คนที่ได้พบเห็นหลวงพ่อให้ความเมตตาต่อทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะหรือแม้แต่ศาสนา ในยามเมื่อเขาเดือดร้อนตกอยู่ในกองทุกข์ หลวงพ่อก็จะช่วยเหลือปัดเป่าให้พ้นทุกข์ได้เสมอ อีกทั้งท่านยังมีความรู้เรื่องเครื่องยาสมุนไพรอย่างแตกฉาน ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งวิทยาคมของท่านก็เข้มขลังเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวบ้านในแถบนั้นเป็นอย่างดี จึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างมาก ในด้านวัตถุมงคล ท่านสร้างพระเครื่องที่มีชื่อเสียงมาก หาของแท้ชมยากมาก ๆ เพราะเป็นที่นิยมมาก ในหมู่ชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้จนปัจจุบันนี้ คนไทยในประเทศไทยนิยมสมเด็จวัดระฆังอย่างไร ชาวสิงคโปร์และมาเลเซียที่เป็นพุทธก็นิยมพระปิดตาของหลวงพ่อครนไม่แพ้กัน กล่าวกันว่าวัดบางแซะนั้น แวดล้อมไปด้วยชาวบ้านที่เป็นมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ แต่หลวงพ่อครน ท่านก็ได้รับความเคารพนับถือและเกรงใจอย่างยิ่งจากชาวบ้าน และวัดบางแซะก็สามารถดำรงอยู่ได้ แม้จนปัจจุบันนี้ ด้วยบารมีของท่านนั่นเอง >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 398 Views 0 Reviews
  • 📌 ความเข้มแข็ง : ทางออกจากวงจรเวรกรรมและทุกข์


    ---

    🔍 1️⃣ "ใจอ่อน" คืออะไร? ทำไมต้องเลิกให้ได้?

    🌿 "ใจอ่อน" ไม่ได้หมายถึงความเมตตาเสมอไป
    แต่หมายถึง "การปล่อยให้กิเลสครอบงำ"

    ใจอ่อนให้กับ ความกลัว → ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง

    ใจอ่อนให้กับ ความหลง → เชื่อแต่สิ่งที่ถูกใจ

    ใจอ่อนให้กับ อารมณ์ชั่ววูบ → ทำผิดซ้ำๆ แม้รู้ว่าไม่ดี


    💡 ทุกครั้งที่ใจอ่อน → เท่ากับให้กิเลสชนะ

    เราจะติดอยู่ในวงจรเดิม เจอทุกข์เดิมๆ

    เหมือนอยู่ใน "เวรกรรม" ที่สร้างซ้ำไปมา


    📌 "เมื่อใดเลิกใจอ่อนเสียได้ → ก็เหมือนหมดเวรหมดกรรมกับทุกข์นั้นๆ"


    ---

    🔍 2️⃣ วิธีพ้นจากการถูก "ครอบงำ" โดยชีวิต

    📌 คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตตาม อารมณ์ ไม่ใช่ สติ

    อารมณ์ดี → คิดว่าทุกอย่างดี

    อารมณ์ร้าย → คิดว่าทุกอย่างแย่

    อารมณ์หลง → คิดว่าไม่มีทางเลือกอื่น


    🌱 แต่แท้จริงแล้ว ชีวิตเป็นของเรา
    เราไม่จำเป็นต้องถูกอารมณ์ หรือสภาพแวดล้อม "ครอบงำ"

    💡 ทางออกคือ... "ฝึกจิตให้เป็นอิสระจากอารมณ์"
    ✅ ฝึกหยุดคิดก่อนทำ → อย่าให้ความอยากหรือโกรธพาไป
    ✅ ฝึกมีสติรู้ทันอารมณ์ → สังเกตว่ากำลังรู้สึกแบบไหน
    ✅ ฝึกปล่อยวาง → ไม่ตามใจตัวเองตลอดเวลา

    📌 "ที่สุดของความคุ้มในชีวิต ไม่ใช่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจ
    แต่คือการไม่ต้องถูกชีวิตครอบงำตามอำเภอใจ"


    ---

    🔍 3️⃣ ความเข้มแข็ง = พลังของ "สติ"

    🌟 "ความเข้มแข็งที่แท้จริง" ไม่ใช่แค่ใจแข็ง แต่คือ...
    ✅ "ไม่ใจอ่อนให้กิเลส" → เลือกทางที่ถูก แม้จะยาก
    ✅ "ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ชั่วคราว" → รู้ว่าทุกข์ก็แค่ชั่วคราว
    ✅ "ไม่ปล่อยให้สิ่งไม่ดีครอบงำ" → มีสติรู้ทันใจตัวเอง

    📌 ความเข้มแข็งแท้จริง → คือฝึกสติจนชนะกิเลสได้
    🌱 สติที่แข็งแรง = ใจที่เข้มแข็ง = ชีวิตที่อิสระจากทุกข์


    ---

    🔍 4️⃣ สรุป : อยากหมดทุกข์ ต้องเลิก "ใจอ่อน"

    ✅ ใจอ่อน = ยอมแพ้ให้กิเลส → ต้องทุกข์ซ้ำๆ
    ✅ ใจแข็ง = ไม่ยอมให้กิเลสครอบงำ → หมดเวรหมดกรรม
    ✅ ความเข้มแข็ง = ฝึกสติให้รู้เท่าทันใจตัวเอง

    🌿 "ที่สุดของความสุข ไม่ใช่ได้ทุกอย่างที่อยากได้
    แต่คือไม่ต้องเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไป"

    💡 เริ่มตั้งแต่วันนี้ ฝึกใจให้แข็งแรงขึ้นทุกวัน
    💙 แล้ววันหนึ่ง... ชีวิตจะเป็นของเราจริงๆ!

    📌 ความเข้มแข็ง : ทางออกจากวงจรเวรกรรมและทุกข์ --- 🔍 1️⃣ "ใจอ่อน" คืออะไร? ทำไมต้องเลิกให้ได้? 🌿 "ใจอ่อน" ไม่ได้หมายถึงความเมตตาเสมอไป แต่หมายถึง "การปล่อยให้กิเลสครอบงำ" ใจอ่อนให้กับ ความกลัว → ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ใจอ่อนให้กับ ความหลง → เชื่อแต่สิ่งที่ถูกใจ ใจอ่อนให้กับ อารมณ์ชั่ววูบ → ทำผิดซ้ำๆ แม้รู้ว่าไม่ดี 💡 ทุกครั้งที่ใจอ่อน → เท่ากับให้กิเลสชนะ เราจะติดอยู่ในวงจรเดิม เจอทุกข์เดิมๆ เหมือนอยู่ใน "เวรกรรม" ที่สร้างซ้ำไปมา 📌 "เมื่อใดเลิกใจอ่อนเสียได้ → ก็เหมือนหมดเวรหมดกรรมกับทุกข์นั้นๆ" --- 🔍 2️⃣ วิธีพ้นจากการถูก "ครอบงำ" โดยชีวิต 📌 คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตตาม อารมณ์ ไม่ใช่ สติ อารมณ์ดี → คิดว่าทุกอย่างดี อารมณ์ร้าย → คิดว่าทุกอย่างแย่ อารมณ์หลง → คิดว่าไม่มีทางเลือกอื่น 🌱 แต่แท้จริงแล้ว ชีวิตเป็นของเรา เราไม่จำเป็นต้องถูกอารมณ์ หรือสภาพแวดล้อม "ครอบงำ" 💡 ทางออกคือ... "ฝึกจิตให้เป็นอิสระจากอารมณ์" ✅ ฝึกหยุดคิดก่อนทำ → อย่าให้ความอยากหรือโกรธพาไป ✅ ฝึกมีสติรู้ทันอารมณ์ → สังเกตว่ากำลังรู้สึกแบบไหน ✅ ฝึกปล่อยวาง → ไม่ตามใจตัวเองตลอดเวลา 📌 "ที่สุดของความคุ้มในชีวิต ไม่ใช่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจ แต่คือการไม่ต้องถูกชีวิตครอบงำตามอำเภอใจ" --- 🔍 3️⃣ ความเข้มแข็ง = พลังของ "สติ" 🌟 "ความเข้มแข็งที่แท้จริง" ไม่ใช่แค่ใจแข็ง แต่คือ... ✅ "ไม่ใจอ่อนให้กิเลส" → เลือกทางที่ถูก แม้จะยาก ✅ "ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ชั่วคราว" → รู้ว่าทุกข์ก็แค่ชั่วคราว ✅ "ไม่ปล่อยให้สิ่งไม่ดีครอบงำ" → มีสติรู้ทันใจตัวเอง 📌 ความเข้มแข็งแท้จริง → คือฝึกสติจนชนะกิเลสได้ 🌱 สติที่แข็งแรง = ใจที่เข้มแข็ง = ชีวิตที่อิสระจากทุกข์ --- 🔍 4️⃣ สรุป : อยากหมดทุกข์ ต้องเลิก "ใจอ่อน" ✅ ใจอ่อน = ยอมแพ้ให้กิเลส → ต้องทุกข์ซ้ำๆ ✅ ใจแข็ง = ไม่ยอมให้กิเลสครอบงำ → หมดเวรหมดกรรม ✅ ความเข้มแข็ง = ฝึกสติให้รู้เท่าทันใจตัวเอง 🌿 "ที่สุดของความสุข ไม่ใช่ได้ทุกอย่างที่อยากได้ แต่คือไม่ต้องเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไป" 💡 เริ่มตั้งแต่วันนี้ ฝึกใจให้แข็งแรงขึ้นทุกวัน 💙 แล้ววันหนึ่ง... ชีวิตจะเป็นของเราจริงๆ!
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP14 | รอมฎอน เดือนอันประเสริฐ (กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2025)

    รอมฎอน (Ramadan) เป็นเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม (ฮิจเราะห์) ซึ่งเป็นปฏิทินจันทรคติ แต่เนื่องจากปฏิทินอิสลามสั้นกว่าปฏิทินสากลประมาณ 10-12 วันต่อปี วันเริ่มต้นของรอมฎอนในปฏิทินสากลจึงเปลี่ยนไปทุกปี

    สำหรับปี 2025 (ฮ.ศ. 1446) คาดว่า รอมฎอนจะเริ่มในช่วงค่ำของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 และสิ้นสุดในช่วงค่ำของวันที่ 30 มีนาคม 2025 (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดูดวงจันทร์ในแต่ละประเทศ)

    "รอมฎอน: เดือนแห่งการฝึกฝนจิตใจและการเชื่อมสัมพันธ์"
    ✅ ถือศีลอด ตั้งแต่รุ่งอรุณถึงพลบค่ำ เพื่อฝึกความอดทนและละเว้นจากสิ่งที่ไม่ดี
    ✅ ละหมาด ตื่นตัวทางจิตใจ และอ่านอัลกุรอาน เพื่อเสริมสร้างศรัทธา
    ✅ บริจาค ซะกาต และช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อส่งต่อความเมตตา
    ✅ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับครอบครัวและชุมชน

    "มากกว่าการถือศีลอด แต่คือการพัฒนาตนเอง"
    เดือนรอมฎอนไม่ใช่แค่ช่วงเวลาของการงดอาหารและน้ำ แต่เป็น เดือนแห่งการให้อภัย การเสียสละ และการเชื่อมความสัมพันธ์กับพระเจ้าและพี่น้องมุสลิมทั่วโลก

    📌 รับชมเทปย้อนหลังรอมฎอน และเรียนรู้ความสำคัญของเดือนอันประเสริฐนี้ ที่เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาและการปฏิบัติตนเพื่อความดีงาม

    #สลามเมืองไทย #EP14 #เทปย้อนหลัง #รอมฎอนเดือนอันประเสริฐ #Ramadan2025 #ถือศีลอด #IslamicFaith #เดือนแห่งศรัทธา #MuslimCommunity #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP14 | รอมฎอน เดือนอันประเสริฐ (กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2025) รอมฎอน (Ramadan) เป็นเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม (ฮิจเราะห์) ซึ่งเป็นปฏิทินจันทรคติ แต่เนื่องจากปฏิทินอิสลามสั้นกว่าปฏิทินสากลประมาณ 10-12 วันต่อปี วันเริ่มต้นของรอมฎอนในปฏิทินสากลจึงเปลี่ยนไปทุกปี สำหรับปี 2025 (ฮ.ศ. 1446) คาดว่า รอมฎอนจะเริ่มในช่วงค่ำของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 และสิ้นสุดในช่วงค่ำของวันที่ 30 มีนาคม 2025 (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดูดวงจันทร์ในแต่ละประเทศ) "รอมฎอน: เดือนแห่งการฝึกฝนจิตใจและการเชื่อมสัมพันธ์" ✅ ถือศีลอด ตั้งแต่รุ่งอรุณถึงพลบค่ำ เพื่อฝึกความอดทนและละเว้นจากสิ่งที่ไม่ดี ✅ ละหมาด ตื่นตัวทางจิตใจ และอ่านอัลกุรอาน เพื่อเสริมสร้างศรัทธา ✅ บริจาค ซะกาต และช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อส่งต่อความเมตตา ✅ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับครอบครัวและชุมชน "มากกว่าการถือศีลอด แต่คือการพัฒนาตนเอง" เดือนรอมฎอนไม่ใช่แค่ช่วงเวลาของการงดอาหารและน้ำ แต่เป็น เดือนแห่งการให้อภัย การเสียสละ และการเชื่อมความสัมพันธ์กับพระเจ้าและพี่น้องมุสลิมทั่วโลก 📌 รับชมเทปย้อนหลังรอมฎอน และเรียนรู้ความสำคัญของเดือนอันประเสริฐนี้ ที่เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาและการปฏิบัติตนเพื่อความดีงาม #สลามเมืองไทย #EP14 #เทปย้อนหลัง #รอมฎอนเดือนอันประเสริฐ #Ramadan2025 #ถือศีลอด #IslamicFaith #เดือนแห่งศรัทธา #MuslimCommunity #เรียนรู้ศรัทธา #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 475 Views 11 0 Reviews
  • 📌 ยิ่งสวดมนต์นาน ยิ่งได้อานิสงส์มากจริงไหม?


    ---

    🔍 คำตอบสั้นๆ:

    ⏳ "ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาสวดมนต์ แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตที่สวด"

    ✅ สวดน้อยแต่จิตเป็นสมาธิ สงบ ผ่องใส → ได้บุญมาก
    ❌ สวดนานแต่จิตฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ → ได้บุญน้อย


    ---

    💡 คุณภาพ vs. ระยะเวลา ในการสวดมนต์

    ✅ สวดมนต์อย่างมีคุณภาพ คืออะไร?

    ✔ สวดด้วย จิตตั้งมั่น (สมาธิ)
    ✔ สวดด้วย จิตเลื่อมใส (ศรัทธา)
    ✔ สวดด้วย จิตผ่องใส (ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ)
    ✔ สวดด้วย เจตนาบริสุทธิ์ (ไม่ได้หวังรางวัลทางโลก)

    🎯 ถ้าสวด 5-10 นาที แต่จิตสงบและผ่องใส → ได้อานิสงส์มาก
    🎯 ถ้าสวด 3-4 ชั่วโมง แต่จิตฟุ้งซ่าน คิดแต่โลภะ → แทบไม่ได้อะไรเลย


    ---

    ❌ สวดนานแต่จิตมีโลภะ = ไม่เกิดอานิสงส์แท้จริง

    🚫 สวดมนต์เพื่อหวังลาภยศ เงินทอง → จิตมีแต่ความโลภ
    🚫 สวดมนต์เพื่อหวังให้เป็นเทวดา นางฟ้า → จิตติดอยู่กับความอยาก
    🚫 สวดมนต์เพราะกลัวนรก ไม่ใช่เพราะศรัทธา → จิตมีแต่ความกลัว

    🎯 จิตมืด = อานิสงส์ก็น้อย
    🎯 จิตเปิดกว้าง สว่าง สงบ = อานิสงส์มาก


    ---

    📌 วิธีสวดมนต์ให้ได้บุญสูงสุด

    ✅ 1️⃣ ตั้งจิตให้ถูกต้อง

    ✔ ไม่หวังผลตอบแทน
    ✔ มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย
    ✔ สวดเพื่อฝึกสติ สมาธิ ปัญญา


    ---

    ✅ 2️⃣ ใส่ใจคุณภาพของจิต มากกว่าจำนวนบท

    ✔ สวดช้าๆ ด้วยความรู้ตัว
    ✔ ทำความเข้าใจความหมายของบทสวด
    ✔ ถ้าสวดแล้วจิตสงบ มีสมาธิ ถือว่าได้บุญแล้ว


    ---

    ✅ 3️⃣ ไม่กดดันตัวเอง ต้องสวดกี่ชั่วโมง

    ✔ ถ้าสวด 5-10 นาทีแล้วจิตดีขึ้น → พอแล้ว
    ✔ ถ้าสวดนานแล้วจิตฟุ้งซ่าน → หยุดแล้วกลับมาสำรวมใหม่


    ---

    ✅ 4️⃣ สวดมนต์ + เจริญเมตตา

    ✔ ถ้าสวดมนต์แล้วจิตเต็มไปด้วยความเมตตา → ได้บุญมาก
    ✔ สวดแล้วอารมณ์สงบ เย็น ใจเบาสบาย → อานิสงส์สูง


    ---

    🎯 สรุป: "สวดมนต์นาน ≠ ได้บุญมาก" แต่

    ✅ "สวดมนต์ด้วยจิตสงบ ผ่องใส = ได้บุญแท้จริง"
    ✅ "สวดมนต์ด้วยศรัทธาและสมาธิ แม้แค่ 5 นาที = ได้อานิสงส์มาก"
    ❌ "สวดมนต์ 3 ชั่วโมง แต่จิตฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยโลภะ = ได้บุญน้อย"

    🔥 "เน้นคุณภาพของจิต มากกว่าปริมาณของเวลาสวด" 🔥

    📌 ยิ่งสวดมนต์นาน ยิ่งได้อานิสงส์มากจริงไหม? --- 🔍 คำตอบสั้นๆ: ⏳ "ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาสวดมนต์ แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตที่สวด" ✅ สวดน้อยแต่จิตเป็นสมาธิ สงบ ผ่องใส → ได้บุญมาก ❌ สวดนานแต่จิตฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ → ได้บุญน้อย --- 💡 คุณภาพ vs. ระยะเวลา ในการสวดมนต์ ✅ สวดมนต์อย่างมีคุณภาพ คืออะไร? ✔ สวดด้วย จิตตั้งมั่น (สมาธิ) ✔ สวดด้วย จิตเลื่อมใส (ศรัทธา) ✔ สวดด้วย จิตผ่องใส (ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ) ✔ สวดด้วย เจตนาบริสุทธิ์ (ไม่ได้หวังรางวัลทางโลก) 🎯 ถ้าสวด 5-10 นาที แต่จิตสงบและผ่องใส → ได้อานิสงส์มาก 🎯 ถ้าสวด 3-4 ชั่วโมง แต่จิตฟุ้งซ่าน คิดแต่โลภะ → แทบไม่ได้อะไรเลย --- ❌ สวดนานแต่จิตมีโลภะ = ไม่เกิดอานิสงส์แท้จริง 🚫 สวดมนต์เพื่อหวังลาภยศ เงินทอง → จิตมีแต่ความโลภ 🚫 สวดมนต์เพื่อหวังให้เป็นเทวดา นางฟ้า → จิตติดอยู่กับความอยาก 🚫 สวดมนต์เพราะกลัวนรก ไม่ใช่เพราะศรัทธา → จิตมีแต่ความกลัว 🎯 จิตมืด = อานิสงส์ก็น้อย 🎯 จิตเปิดกว้าง สว่าง สงบ = อานิสงส์มาก --- 📌 วิธีสวดมนต์ให้ได้บุญสูงสุด ✅ 1️⃣ ตั้งจิตให้ถูกต้อง ✔ ไม่หวังผลตอบแทน ✔ มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ✔ สวดเพื่อฝึกสติ สมาธิ ปัญญา --- ✅ 2️⃣ ใส่ใจคุณภาพของจิต มากกว่าจำนวนบท ✔ สวดช้าๆ ด้วยความรู้ตัว ✔ ทำความเข้าใจความหมายของบทสวด ✔ ถ้าสวดแล้วจิตสงบ มีสมาธิ ถือว่าได้บุญแล้ว --- ✅ 3️⃣ ไม่กดดันตัวเอง ต้องสวดกี่ชั่วโมง ✔ ถ้าสวด 5-10 นาทีแล้วจิตดีขึ้น → พอแล้ว ✔ ถ้าสวดนานแล้วจิตฟุ้งซ่าน → หยุดแล้วกลับมาสำรวมใหม่ --- ✅ 4️⃣ สวดมนต์ + เจริญเมตตา ✔ ถ้าสวดมนต์แล้วจิตเต็มไปด้วยความเมตตา → ได้บุญมาก ✔ สวดแล้วอารมณ์สงบ เย็น ใจเบาสบาย → อานิสงส์สูง --- 🎯 สรุป: "สวดมนต์นาน ≠ ได้บุญมาก" แต่ ✅ "สวดมนต์ด้วยจิตสงบ ผ่องใส = ได้บุญแท้จริง" ✅ "สวดมนต์ด้วยศรัทธาและสมาธิ แม้แค่ 5 นาที = ได้อานิสงส์มาก" ❌ "สวดมนต์ 3 ชั่วโมง แต่จิตฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยโลภะ = ได้บุญน้อย" 🔥 "เน้นคุณภาพของจิต มากกว่าปริมาณของเวลาสวด" 🔥
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ
    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 Comments 0 Shares 651 Views 0 Reviews
  • แจ้งข่าวต่างประเทศสั้นๆ 01/03/2025

    1. ล่าสุดไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ในการไปเยือนสหรัฐของเซเลนสกีเพื่อลงนามในดีลแร่ธาตุธรรมชาติฯ เกิดการโต้เถียงระหว่างเซเลนสกี กับแวนซ์รองประธานาธิบดีฯและลุงทรัมป์ในห้องรูปไข่ แล้วลงเอยด้วยเซเลนสกีถูกลุงทรัมป์เอ็ดต่อหน้ากองทัพสื่อฯจนนั่งหน้าจ๋อย ..... โดนเอ็ด โดนชักสีหน้าใส่แบบไม่เหลือเกียรติศักดิ์ศรีของผู้นำประเทศ ประเทศนึงเลย (คลิปอยู่ในเม้นความยาวสิบนาที ดูเถอะ ดูบรรยากาศความเดือดก็น่าจะพอเห็นอะไรบ้างแล้ว)
    .
    เรื่องใหญ่แบบนี้เดี๋ยวสื่อบ้านเราคงรายงานแบบถอดเทปกัน ถ้าไม่รายงานเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก็น่าเกลียดเกิน แต่จะสรุปใจความสั้นๆให้ว่า เซเลนสกีถูกลุงทรัมป์และแวนซ์ตำหนิต่อหน้าต่อตาแบบไม่ให้ราคาเลยว่า ...... "ไม่ได้รู้สึกขอบคุณสหรัฐ" "disrespectful" "attitude ของเซเลนสกีมีปัญหา" "เอาคนไปตุยทำบ้านเมืองเสียหายเพราะความเกลียดปูติน(เป็นการส่วนตัว)" "เซเลนสกีเอาโลกไปเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม" "เซเลนสกีไม่มีอำนาจที่จะต่อรองอะไรได้เลย ไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อรองอะไร(แต่ชอบทำเรื่องเยอะ)" "ถ้าสหรัฐหยุดความช่วยเหลือวันนี้ยูเครนจะเสร็จรัสเซียในเวลารวดเร็ว" "การหยุดยิง สันติภาพไม่เกิดขึ้นก็เพราะเซเลนสกีเรื่องเยอะ" "ยังไม่ทันไร ยังไม่เริ่มคุย ไอนั่นก็ไม่เอาไอนี่ก็ไม่เอา" ฯลฯ
    .
    2. จากข้อ1 ...... ลุงทรัมป์เลยเปลี่ยนใจไม่ลงนามในดีลแร่ธาตุธรรมชาติฯกับเซเลนสกีแล้ว โดยบอกว่า
    เซเลนสกีไม่พร้อมสำหรับสันติภาพตราบใดที่มีสหรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วประชดด้วยว่าเซเลนสกีรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมของสหรัฐจะทำให้เค้าได้เปรียบอย่างมากในการเจรจาฯ ลุงทรัมป์ไม่ได้ต้องการความได้เปรียบแต่ต้องการสันติภาพ
    เซเลนสกีแสดงความไม่เคารพสหรัฐในห้องรูปไข่ (ห้องทำงานของประธานาธิบดีฯ สัญลักษณ์แห่งอำนาจของสหรัฐ) เอาไว้เซเลนสกีพร้อมสำหรับสันติภาพแล้วค่อยกลับมา
    และได้ทำการยกเลิกการแถลงข่าวร่วมฯของผู้นำสั้งสอง
    ..... แล้วก็มีรายงานข่าวว่า เซเลนสกีถูกเชิญออกจากทำเนียบขาวแบบไม่ให้เกียรติ ..... ถ้าเป็นเรื่องจริง นั่นผู้นำประเทศหนึ่งนะ ไม่เหลือทรงเลย เฮ้อออออ เห็นใจชาวยูเครนจริงๆ 🥹🥹
    .
    นั่นแหละครับ เซเลนสกีไม่มีอานาจ ไม่มีอะไรที่จะเอาไปต่อรองได้เลย
    นอกจากชีวิตของชาวยูเครนแล้วก็ไม่ได้มีต้นทุนสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการทำสงครามเลย ทุกอย่างต้องขอชาวบ้านมาตลอดสามปี ตลอดสามปีที่ผ่านมาเคยเห็นเค้าหยุดเดินสายขอชาวบ้านมั้ย?
    จะทำสงครามต่อไปได้แค่ไหนก็ต้องอาศัยความเมตตาจากประเทศอื่น
    แต่ก็ยังจะลากประเทศเข้าสู่สงครามที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตั้งแต่แรก สงครามเกิดแล้วก็ยังสามารถยุติได้ตั้งแต่ต้นๆ แต่ก็ไม่เอาอีก
    .
    ผ่านมาสามปี วันนี้ประเทศผู้สนับสนุนหลักที่เคยเมตตา เค้าไม่เมตตาเหมือนเดิมบอกให้หยุดสู้รบได้แล้ว ถ้าไม่หยุดก็ไปหาทางทำสงครามต่อเอาเอง แล้วจะไปยังไงต่อ?
    ผู้คนก็ตุยไปแล้ว ดินแดนก็เสียไปแล้ว จะทำสงครามต่อก็ไม่มีปัญญารบได้ด้วยตัวเอง แถมล่าสุดก็ไปโดนสหรัฐฉีกหน้าต่อหน้าโลกซะขนาดนั้น ...... แต่ส่วนตัวเชื่อว่ายังไงเซเลนสกีก็ต้องเดินตัวลีบๆไปขอร้องให้เค้าช่วยอยู่ดี
    เฮ้ออออ ถึงได้บอกว่า คนนี้เค้าเหมือนเด็กอมมือบทเวทีโลก
    ก่อนสงครามไปจนถึงช่วงต้นของสงคราม อำนาจต่อรองอยู่ที่เซเลนสกี แต่เค้าไม่ยอมเจรจาฯเอง ..... พอตอนนี้ไม่มีอำนาจต่อรองอะไรแล้ว กลับมางอแงจะมีส่วนร่วมในการเจรจาฯ
    .
    ส่วนทางทรัมป์กับแวนซ์ เค้าเคยบอกว่าไม่ได้จะไปเอาเงื่อนไขของรัสเซียมาบังคับให้ยูเครนยอมรับ แต่ต้องการไปคุยกับรัสเซียก่อน แล้วค่อยมาคุยกับเซเลนสกี จะรับไม่รับ ทั้งสองฝ่ายค่อยมาต่อรองอีกที
    ก็เพราะเซเลนสกีเป็นแบบนี้แหละ ยังไม่ทันไรก็ตั้งเงื่อนไขเว่อร์ๆผ่านสื่อฯไว้ก่อน ไปเอาเซเลนสกีเข้ามาตั้งแต่แรก การเจรจายุติสงครามฯก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
    (หนึ่งในตัวอย่างของความเว่อร์เซเลนสกีที่เคยพูดไว้ สงครามจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อรัสเซียคืนดินแดนทั้งหมด ปลดอาวุธนิวเคลียร์ ลดขนาดกองทัพ และ ลดความสามารถทางทหารของตัวเอง ..... เอาแค่ข้อไหนข้อเดียวก็เป็นไปไม่ได้แล้ว)
    .
    ที่สำคัญ ลุงทรัมป์เค้าชัดมาตั้งแต่แรกแล้วว่า เค้าอยู่ในฐานะตัวกลางที่จะยึดเอาตามสถานการณ์จริงในพื้นที่สู้รบ
    มันไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของลุงทรัมป์ที่ต้องไปทวงดินแดนที่เสียไปคืนให้ยูเครน (ที่เซเลนสกีงอแงมีปัญหาก็เพราะตรงนี้แหละ)
    ทางยูเครนเองก็ไม่ได้มีต้นทุนสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการทำสงครามเลย ยิ่งไม่มีทางที่จะเอาชนะรัสเซียยึดดินแดนที่เสียไปคืนมาได้อยู่แล้ว
    ..... หยุดซะตอนนี้เลยดีกว่า ยูเครนจะเสียน้อยกว่าปล่อยให้สงครามยืดเยื้อออกไป เป็นการดีต่อชาวยูเครนเอง
    .
    3. ต้นเดือนที่ผ่านมา สหรัฐประสบความสำเร็จในการใช้อาวุธแสงเลเซอร์ "HELIOS" ที่ติดตั้งบนเรือรบสอยโดรนลงได้ ..... มีข่าวออกมาสองทาง ทางหนึ่งบอกว่าเป็นการทดสอบ ส่วนอีกทางบอกว่าสอยโดรนของฮูตีลงมาได้
    แต่ไม่ว่าอย่างไร เชื่อว่าในตอนนี้อาวุธแสงเลเซอร์ "HELIOS" ของสหรัฐสามารถนำมาใช้จริงในสนามรบได้แล้ว
    .
    4. มีข่าวว่าสหรัฐจะปิดคลังอาวุธลับในกรีซ ซึ่งเป็นคลังที่เก็บอาวุธเพื่อส่งเข้าไปในยูเครน
    .
    5. เมื่อวานนี้ เกาหลีใต้ได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียในส่วนที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว
    .
    6. นครนิวยอร์คเก็บค่า Congestion Charge จากรถยนต์ชนิดต่างๆในการเข้าเขตเศรษฐกิจที่มีการจราจรหนาแน่นในแมนแฮทตันในเดือนแรกได้เกือบ 50 ล้านเหรียญ หรือราวๆ 1.7 พันล้านบาท
    (Congestion Charge คือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นมากๆ ส่วนใหญ่ก็จะเรียกเก็บกันในเวลากลางวันหรือในชั่วโมงเร่งด่วน เพื่อจูงใจให้ผู้คนหันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะ เพื่อลดความหนาแน่นของรถยนต์ในพื้นที่นั้นๆ ..... เห็นผ่านๆตาว่าบ้านเราก็กำลังมีแนวคิดที่จะทำอยู่)
    .
    ภาพประกอบ ..... เรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นทำเนียบขาว 🥹🥹

    ***เช่นเคย ขอความร่วมมืออย่าโยงมาการเมืองและนักการเมืองบ้านเรากันนะครับ ...... ถ้าทนไม่ไหวแนะนำให้แชร์ไปด่าที่กลุ่มหรือที่เฟสตัวเองครับ*** CR. https://www.facebook.com/share/1X94bYrs7p/?mibextid=wwXIfr ซิริอุส เป็นเรื่องของดวงดาว
    แจ้งข่าวต่างประเทศสั้นๆ 01/03/2025 1. ล่าสุดไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ในการไปเยือนสหรัฐของเซเลนสกีเพื่อลงนามในดีลแร่ธาตุธรรมชาติฯ เกิดการโต้เถียงระหว่างเซเลนสกี กับแวนซ์รองประธานาธิบดีฯและลุงทรัมป์ในห้องรูปไข่ แล้วลงเอยด้วยเซเลนสกีถูกลุงทรัมป์เอ็ดต่อหน้ากองทัพสื่อฯจนนั่งหน้าจ๋อย ..... โดนเอ็ด โดนชักสีหน้าใส่แบบไม่เหลือเกียรติศักดิ์ศรีของผู้นำประเทศ ประเทศนึงเลย (คลิปอยู่ในเม้นความยาวสิบนาที ดูเถอะ ดูบรรยากาศความเดือดก็น่าจะพอเห็นอะไรบ้างแล้ว) . เรื่องใหญ่แบบนี้เดี๋ยวสื่อบ้านเราคงรายงานแบบถอดเทปกัน ถ้าไม่รายงานเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก็น่าเกลียดเกิน แต่จะสรุปใจความสั้นๆให้ว่า เซเลนสกีถูกลุงทรัมป์และแวนซ์ตำหนิต่อหน้าต่อตาแบบไม่ให้ราคาเลยว่า ...... "ไม่ได้รู้สึกขอบคุณสหรัฐ" "disrespectful" "attitude ของเซเลนสกีมีปัญหา" "เอาคนไปตุยทำบ้านเมืองเสียหายเพราะความเกลียดปูติน(เป็นการส่วนตัว)" "เซเลนสกีเอาโลกไปเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม" "เซเลนสกีไม่มีอำนาจที่จะต่อรองอะไรได้เลย ไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อรองอะไร(แต่ชอบทำเรื่องเยอะ)" "ถ้าสหรัฐหยุดความช่วยเหลือวันนี้ยูเครนจะเสร็จรัสเซียในเวลารวดเร็ว" "การหยุดยิง สันติภาพไม่เกิดขึ้นก็เพราะเซเลนสกีเรื่องเยอะ" "ยังไม่ทันไร ยังไม่เริ่มคุย ไอนั่นก็ไม่เอาไอนี่ก็ไม่เอา" ฯลฯ . 2. จากข้อ1 ...... ลุงทรัมป์เลยเปลี่ยนใจไม่ลงนามในดีลแร่ธาตุธรรมชาติฯกับเซเลนสกีแล้ว โดยบอกว่า เซเลนสกีไม่พร้อมสำหรับสันติภาพตราบใดที่มีสหรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วประชดด้วยว่าเซเลนสกีรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมของสหรัฐจะทำให้เค้าได้เปรียบอย่างมากในการเจรจาฯ ลุงทรัมป์ไม่ได้ต้องการความได้เปรียบแต่ต้องการสันติภาพ เซเลนสกีแสดงความไม่เคารพสหรัฐในห้องรูปไข่ (ห้องทำงานของประธานาธิบดีฯ สัญลักษณ์แห่งอำนาจของสหรัฐ) เอาไว้เซเลนสกีพร้อมสำหรับสันติภาพแล้วค่อยกลับมา และได้ทำการยกเลิกการแถลงข่าวร่วมฯของผู้นำสั้งสอง ..... แล้วก็มีรายงานข่าวว่า เซเลนสกีถูกเชิญออกจากทำเนียบขาวแบบไม่ให้เกียรติ ..... ถ้าเป็นเรื่องจริง นั่นผู้นำประเทศหนึ่งนะ ไม่เหลือทรงเลย เฮ้อออออ เห็นใจชาวยูเครนจริงๆ 🥹🥹 . นั่นแหละครับ เซเลนสกีไม่มีอานาจ ไม่มีอะไรที่จะเอาไปต่อรองได้เลย นอกจากชีวิตของชาวยูเครนแล้วก็ไม่ได้มีต้นทุนสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการทำสงครามเลย ทุกอย่างต้องขอชาวบ้านมาตลอดสามปี ตลอดสามปีที่ผ่านมาเคยเห็นเค้าหยุดเดินสายขอชาวบ้านมั้ย? จะทำสงครามต่อไปได้แค่ไหนก็ต้องอาศัยความเมตตาจากประเทศอื่น แต่ก็ยังจะลากประเทศเข้าสู่สงครามที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตั้งแต่แรก สงครามเกิดแล้วก็ยังสามารถยุติได้ตั้งแต่ต้นๆ แต่ก็ไม่เอาอีก . ผ่านมาสามปี วันนี้ประเทศผู้สนับสนุนหลักที่เคยเมตตา เค้าไม่เมตตาเหมือนเดิมบอกให้หยุดสู้รบได้แล้ว ถ้าไม่หยุดก็ไปหาทางทำสงครามต่อเอาเอง แล้วจะไปยังไงต่อ? ผู้คนก็ตุยไปแล้ว ดินแดนก็เสียไปแล้ว จะทำสงครามต่อก็ไม่มีปัญญารบได้ด้วยตัวเอง แถมล่าสุดก็ไปโดนสหรัฐฉีกหน้าต่อหน้าโลกซะขนาดนั้น ...... แต่ส่วนตัวเชื่อว่ายังไงเซเลนสกีก็ต้องเดินตัวลีบๆไปขอร้องให้เค้าช่วยอยู่ดี เฮ้ออออ ถึงได้บอกว่า คนนี้เค้าเหมือนเด็กอมมือบทเวทีโลก ก่อนสงครามไปจนถึงช่วงต้นของสงคราม อำนาจต่อรองอยู่ที่เซเลนสกี แต่เค้าไม่ยอมเจรจาฯเอง ..... พอตอนนี้ไม่มีอำนาจต่อรองอะไรแล้ว กลับมางอแงจะมีส่วนร่วมในการเจรจาฯ . ส่วนทางทรัมป์กับแวนซ์ เค้าเคยบอกว่าไม่ได้จะไปเอาเงื่อนไขของรัสเซียมาบังคับให้ยูเครนยอมรับ แต่ต้องการไปคุยกับรัสเซียก่อน แล้วค่อยมาคุยกับเซเลนสกี จะรับไม่รับ ทั้งสองฝ่ายค่อยมาต่อรองอีกที ก็เพราะเซเลนสกีเป็นแบบนี้แหละ ยังไม่ทันไรก็ตั้งเงื่อนไขเว่อร์ๆผ่านสื่อฯไว้ก่อน ไปเอาเซเลนสกีเข้ามาตั้งแต่แรก การเจรจายุติสงครามฯก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ (หนึ่งในตัวอย่างของความเว่อร์เซเลนสกีที่เคยพูดไว้ สงครามจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อรัสเซียคืนดินแดนทั้งหมด ปลดอาวุธนิวเคลียร์ ลดขนาดกองทัพ และ ลดความสามารถทางทหารของตัวเอง ..... เอาแค่ข้อไหนข้อเดียวก็เป็นไปไม่ได้แล้ว) . ที่สำคัญ ลุงทรัมป์เค้าชัดมาตั้งแต่แรกแล้วว่า เค้าอยู่ในฐานะตัวกลางที่จะยึดเอาตามสถานการณ์จริงในพื้นที่สู้รบ มันไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของลุงทรัมป์ที่ต้องไปทวงดินแดนที่เสียไปคืนให้ยูเครน (ที่เซเลนสกีงอแงมีปัญหาก็เพราะตรงนี้แหละ) ทางยูเครนเองก็ไม่ได้มีต้นทุนสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการทำสงครามเลย ยิ่งไม่มีทางที่จะเอาชนะรัสเซียยึดดินแดนที่เสียไปคืนมาได้อยู่แล้ว ..... หยุดซะตอนนี้เลยดีกว่า ยูเครนจะเสียน้อยกว่าปล่อยให้สงครามยืดเยื้อออกไป เป็นการดีต่อชาวยูเครนเอง . 3. ต้นเดือนที่ผ่านมา สหรัฐประสบความสำเร็จในการใช้อาวุธแสงเลเซอร์ "HELIOS" ที่ติดตั้งบนเรือรบสอยโดรนลงได้ ..... มีข่าวออกมาสองทาง ทางหนึ่งบอกว่าเป็นการทดสอบ ส่วนอีกทางบอกว่าสอยโดรนของฮูตีลงมาได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เชื่อว่าในตอนนี้อาวุธแสงเลเซอร์ "HELIOS" ของสหรัฐสามารถนำมาใช้จริงในสนามรบได้แล้ว . 4. มีข่าวว่าสหรัฐจะปิดคลังอาวุธลับในกรีซ ซึ่งเป็นคลังที่เก็บอาวุธเพื่อส่งเข้าไปในยูเครน . 5. เมื่อวานนี้ เกาหลีใต้ได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียในส่วนที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว . 6. นครนิวยอร์คเก็บค่า Congestion Charge จากรถยนต์ชนิดต่างๆในการเข้าเขตเศรษฐกิจที่มีการจราจรหนาแน่นในแมนแฮทตันในเดือนแรกได้เกือบ 50 ล้านเหรียญ หรือราวๆ 1.7 พันล้านบาท (Congestion Charge คือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นมากๆ ส่วนใหญ่ก็จะเรียกเก็บกันในเวลากลางวันหรือในชั่วโมงเร่งด่วน เพื่อจูงใจให้ผู้คนหันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะ เพื่อลดความหนาแน่นของรถยนต์ในพื้นที่นั้นๆ ..... เห็นผ่านๆตาว่าบ้านเราก็กำลังมีแนวคิดที่จะทำอยู่) . ภาพประกอบ ..... เรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นทำเนียบขาว 🥹🥹 ***เช่นเคย ขอความร่วมมืออย่าโยงมาการเมืองและนักการเมืองบ้านเรากันนะครับ ...... ถ้าทนไม่ไหวแนะนำให้แชร์ไปด่าที่กลุ่มหรือที่เฟสตัวเองครับ*** CR. https://www.facebook.com/share/1X94bYrs7p/?mibextid=wwXIfr ซิริอุส เป็นเรื่องของดวงดาว
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • #เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ

    (แปลโดย SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ

    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    #เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ (แปลโดย SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 Comments 0 Shares 641 Views 0 Reviews
  • อดีตนั่งไลฟ์แดรกมาม่าหากิน ยากจนข้นแค้น ได้รับความเมตตาจากคนไทยสู่วันปีกล้าขาแข็ง จ้างคนไทยเฮี้ยๆ จัดหาทนายฟ๊องคนไทย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    อดีตนั่งไลฟ์แดรกมาม่าหากิน ยากจนข้นแค้น ได้รับความเมตตาจากคนไทยสู่วันปีกล้าขาแข็ง จ้างคนไทยเฮี้ยๆ จัดหาทนายฟ๊องคนไทย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • พรุ่งนี้เริ่มหยุดยาว เลยมาอัพบทความเร็วหน่อย วันนี้คุยกันต่อเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก แน่นอนว่าความยากในการหาข้อมูลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะสิบสองภาพวาดนี้สูญหายไปเกือบหมดแล้ว และอย่างที่ Storyฯ ได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ ตำหนักที่ประทับของแต่ละท่านในละครก็ใช่ว่าจะตรงกันกับในประวัติศาสตร์

    ภาพที่จะเล่าถึงกันในวันนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่หาข้อมูลยาก คือภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ (徐妃直谏图) ซึ่งในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ภาพนี้ถูกพระราชทานให้เสียนเฟยที่ตำหนักเฉิงเฉียนกง แต่อย่างที่เพื่อนเพจอาจพอทราบมาบ้าง เสียนเฟย (ซึ่งต่อมาคือฮองเฮาสกุลอูลาน่าลา) ถูกลบเลือนออกไปจากบันทึกต่างๆ มีบางข้อมูลบอกว่าพระนางประทับที่ตำหนักอี้คุนกง และภาพที่ได้รับพระราชทานมาที่ตำหนักอี้คุนกงคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图)

    อย่างไรก็ดี เท่าที่ Storyฯ พอจะหาข้อมูลได้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เคยแขวนอยู่ที่เฉิงเฉียนกง วันนี้เราคุยกันเรื่องภาพนี้

    ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ Storyฯ หาไม่พบว่าจริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะภาพที่ใช้ประกอบในละครนั้น จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นภาพวาดชีวิตสตรีในตระกูลขุนนางของเจียวปิ่งเจินในสมัยต้นราชวงศ์ชิง (รูปประกอบ1) ส่วนภาพที่เกี่ยวกับสวีเฟยที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนั้น มีชื่อว่า ‘สวีเฟยถวายฎีกา’ (徐惠上疏 รูปประกอบ2) เป็นผลงานของหวางเจิ้งเผิงสมัยราชวงศ์หยวนจากคอลเลคชั่นเกี่ยวกับพระภรรยาที่มีชื่อเสียงด้านคุณงามความดีในประวัติศาสตร์จีน

    ‘สวีเฟย’ คือใคร? นางคือหนึ่งในพระสนมของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินหรือถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง (ขออภัยไม่ใช่ราชาศัพท์) นามเดิมว่า ‘สวีฮุ่ย’ (ค.ศ. 627-650) เป็นบุตรีของอดีตขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ใต้ พื้นเพเดิมจากหูโจว มลฑลเจ้อเจียง นางเชี่ยวชาญด้านงานอักษรและบทกวี ว่ากันว่านางสามารถเริ่มเขียนบทความยาวๆ และท่องจำหนังสือปรัชญาของขงจื๊อที่ผู้ใหญ่ใช้เรียนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียงสี่ขวบ ตอนนางอายุแปดขวบได้แต่งบทกลอนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเลิศ โด่งดังไปถึงหูขององค์ถังไท่จงในวังหลวง จนทำให้ถูกรับเข้าวังเป็นสนมเมื่อมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี (ตอนนั้นฮ่องเต้อายุสี่สิบปี) ด้วยตำแหน่งไฉเหริน ความสามารถด้านต่างๆ ของนางเป็นที่โปรดปรานขององค์ถังไท่จงมาก จึงได้รับการปรับตำแหน่งขึ้นเรื่อยมาจนเป็นถึงชงหรง

    เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยขององค์ถังไท่จง จากที่เคยเป็นฮ่องเต้ที่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนและผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พอถึงช่วงปลายรัชสมัยนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูจะใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนน้อยลง ประหยัดน้อยลง หาความสำราญส่วนตนมากขึ้น หมดเงินไม่น้อยกับการสร้างพระราชวังใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อนเพื่อเป็นที่ระลึกถึงรัชสมัยอันเกรียงไกรของตัวเอง และก่อสงครามใหญ่สองครั้ง ประชาชนเริ่มลำบากยากจน สร้างความกังวลให้กับเหล่าขุนนาง

    สวีเฟยเองแม้อยู่ในวังหลังแต่ใส่ใจเรื่องราวบ้านเมืองและทุกข์สุขของประชาชน ทั้งกังวลทั้งอดรนทนไม่ไหว จึงร่างบทความวิจารณ์ทางการเมืองขึ้นยื่นถวายเป็นฎีกา เนื้อความสรุปโดยคร่าวคือ
    – ขอให้ถังไท่จงอย่าได้ทำตามตัวอย่างกษัตริย์ในอดีตที่ใช้เวลาและทรัพย์สินไปกับการป่าวประกาศคุณงามความดีของตน เพราะเมื่อมีผลงานไม่ต้องโอ้อวด ประชาชนก็สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสร้างพระราชวังหรือวิหารอลังการ ความดีที่ทำก็จะคงอยู่ได้ยาวนานเป็นหมื่นปี
    – สงครามที่ไม่หยุดสิ้น เป็นการสิ้นเปลืองเสบียงอาหารและสร้างความลำบากให้ประชาชน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขอองค์ถังไท่จงอย่าได้มัวแต่โหยหาอำนาจจากการขยายอาณาเขตเพิ่มจนสูญเสียไพร่พลคนม้าของตนเองไปโดยไม่รู้ตัว และหลงลืมความเมตตากรุณาอันเป็นคุณสมบัติสำคัญ พร้อมกับยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้บ้านเมืองต้องล่มจมเพราะความกระหายอำนาจของกษัตริย์
    – การก่อสร้างไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือแรงงาน ต้องเกณฑ์คนมาขนหินขนไม้ สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน แรงของคนควรสงวนไว้เพื่อสิ่งที่จำเป็น ให้เขาได้พักบ้าง เมื่อถึงคราวต้องใช้จึงเป็นคนที่บ้านเมืองพึ่งพาได้
    – ของฟุ่มเฟือยเงินทองมุกหยก ล้วนทำให้เมามายได้ดั่งสุรา แม้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการ แต่การนำมาใช้อย่างมากมายกลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างและระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับประชาชน ดังนั้น แทนที่จะหลงระเริงกับของเหล่านี้ มิสู้ทุ่มแรงใจให้กับการเสริมสร้างความรู้และการศึกษาให้กับคน
    ฯลฯ

    บทความของสวีเฟยนี้ยาวมากจน Storyฯ สรุปให้ไม่ได้หมด ฎีกาฉบับนี้มีชื่อเรียกว่า ‘เจี้ยนไท่จงซี่ปิงป้าอี้ซู’ (谏太宗息兵罢役疏 แปลได้ประมาณว่า ฏีกาตำหนิให้ไท่จงหยุดทหารหยุดทัพ) ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นบทวิจารณ์ทางการเมืองโดยสตรีที่หายาก และแม้ว่าเป็นการตำหนิอย่างตรงไปตรงมา แต่สามารถสื่อออกมาได้อย่างมีเหตุผลและแสดงความเคารพนบนอบ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาของนาง และยังเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สมัยถัง เหตุเพราะองค์ถังไท่จงได้รับฟังอย่างจริงจังและเห็นด้วย ไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังยกย่องชื่นชมและให้รางวัลนางอีกด้วย

    ว่ากันว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตขององค์ถังไท่จงนั้น นางคือคนที่เขาโปรดปรานที่สุด ต่อมาเมื่อองค์ถังไท่จงเสียชีวิต นางก็ตรอมใจจนตายตามไปด้วย ขณะนั้นอายุนางเพียงยี่สิบสี่ปี ภายหลังได้รับการอวยยศย้อนหลังจากฮ่องเต้หลี่จื้อ (ถังเกาจง) ให้เป็นเสียนเฟย ผลงานที่สืบทอดมาเป็นวรรณกรรมให้ชนรุ่นหลังศึกษามีมากมายหลายชิ้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ถูกยกย่องด้านความฉลาดและความเชี่ยวชาญด้านงานอักษรของประวัติศาสตร์จีน

    ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ถูกตีความว่าเป็นภาพที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีและความตรงไปตรงมา ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปพร้อมกับภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ เขียนว่า ‘เต๋อเฉิงโหรวซุ่น’ (德成柔顺) แปลได้ประมาณว่า เปี่ยมด้วยศีลธรรมและความนอบน้อม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://inmywordz.com/archives/66897
    https://www.duitang.com/blog/?id=1246591620
    https://baike.sogou.com/v74971288.htm

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    https://baike.sogou.com/v74971288.htm
    https://baike.baidu.com/item/徐惠/11444
    https://baike.baidu.com/item/谏太宗息兵罢役疏

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เสียนเฟย #สวีเฟยวิพากษ์ #สวีเฟย #สวีเฟยถวายฎีกา #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    พรุ่งนี้เริ่มหยุดยาว เลยมาอัพบทความเร็วหน่อย วันนี้คุยกันต่อเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก แน่นอนว่าความยากในการหาข้อมูลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะสิบสองภาพวาดนี้สูญหายไปเกือบหมดแล้ว และอย่างที่ Storyฯ ได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ ตำหนักที่ประทับของแต่ละท่านในละครก็ใช่ว่าจะตรงกันกับในประวัติศาสตร์ ภาพที่จะเล่าถึงกันในวันนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่หาข้อมูลยาก คือภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ (徐妃直谏图) ซึ่งในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ภาพนี้ถูกพระราชทานให้เสียนเฟยที่ตำหนักเฉิงเฉียนกง แต่อย่างที่เพื่อนเพจอาจพอทราบมาบ้าง เสียนเฟย (ซึ่งต่อมาคือฮองเฮาสกุลอูลาน่าลา) ถูกลบเลือนออกไปจากบันทึกต่างๆ มีบางข้อมูลบอกว่าพระนางประทับที่ตำหนักอี้คุนกง และภาพที่ได้รับพระราชทานมาที่ตำหนักอี้คุนกงคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图) อย่างไรก็ดี เท่าที่ Storyฯ พอจะหาข้อมูลได้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เคยแขวนอยู่ที่เฉิงเฉียนกง วันนี้เราคุยกันเรื่องภาพนี้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ Storyฯ หาไม่พบว่าจริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะภาพที่ใช้ประกอบในละครนั้น จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นภาพวาดชีวิตสตรีในตระกูลขุนนางของเจียวปิ่งเจินในสมัยต้นราชวงศ์ชิง (รูปประกอบ1) ส่วนภาพที่เกี่ยวกับสวีเฟยที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนั้น มีชื่อว่า ‘สวีเฟยถวายฎีกา’ (徐惠上疏 รูปประกอบ2) เป็นผลงานของหวางเจิ้งเผิงสมัยราชวงศ์หยวนจากคอลเลคชั่นเกี่ยวกับพระภรรยาที่มีชื่อเสียงด้านคุณงามความดีในประวัติศาสตร์จีน ‘สวีเฟย’ คือใคร? นางคือหนึ่งในพระสนมของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินหรือถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง (ขออภัยไม่ใช่ราชาศัพท์) นามเดิมว่า ‘สวีฮุ่ย’ (ค.ศ. 627-650) เป็นบุตรีของอดีตขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ใต้ พื้นเพเดิมจากหูโจว มลฑลเจ้อเจียง นางเชี่ยวชาญด้านงานอักษรและบทกวี ว่ากันว่านางสามารถเริ่มเขียนบทความยาวๆ และท่องจำหนังสือปรัชญาของขงจื๊อที่ผู้ใหญ่ใช้เรียนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียงสี่ขวบ ตอนนางอายุแปดขวบได้แต่งบทกลอนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเลิศ โด่งดังไปถึงหูขององค์ถังไท่จงในวังหลวง จนทำให้ถูกรับเข้าวังเป็นสนมเมื่อมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี (ตอนนั้นฮ่องเต้อายุสี่สิบปี) ด้วยตำแหน่งไฉเหริน ความสามารถด้านต่างๆ ของนางเป็นที่โปรดปรานขององค์ถังไท่จงมาก จึงได้รับการปรับตำแหน่งขึ้นเรื่อยมาจนเป็นถึงชงหรง เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยขององค์ถังไท่จง จากที่เคยเป็นฮ่องเต้ที่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนและผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พอถึงช่วงปลายรัชสมัยนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูจะใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนน้อยลง ประหยัดน้อยลง หาความสำราญส่วนตนมากขึ้น หมดเงินไม่น้อยกับการสร้างพระราชวังใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อนเพื่อเป็นที่ระลึกถึงรัชสมัยอันเกรียงไกรของตัวเอง และก่อสงครามใหญ่สองครั้ง ประชาชนเริ่มลำบากยากจน สร้างความกังวลให้กับเหล่าขุนนาง สวีเฟยเองแม้อยู่ในวังหลังแต่ใส่ใจเรื่องราวบ้านเมืองและทุกข์สุขของประชาชน ทั้งกังวลทั้งอดรนทนไม่ไหว จึงร่างบทความวิจารณ์ทางการเมืองขึ้นยื่นถวายเป็นฎีกา เนื้อความสรุปโดยคร่าวคือ – ขอให้ถังไท่จงอย่าได้ทำตามตัวอย่างกษัตริย์ในอดีตที่ใช้เวลาและทรัพย์สินไปกับการป่าวประกาศคุณงามความดีของตน เพราะเมื่อมีผลงานไม่ต้องโอ้อวด ประชาชนก็สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสร้างพระราชวังหรือวิหารอลังการ ความดีที่ทำก็จะคงอยู่ได้ยาวนานเป็นหมื่นปี – สงครามที่ไม่หยุดสิ้น เป็นการสิ้นเปลืองเสบียงอาหารและสร้างความลำบากให้ประชาชน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขอองค์ถังไท่จงอย่าได้มัวแต่โหยหาอำนาจจากการขยายอาณาเขตเพิ่มจนสูญเสียไพร่พลคนม้าของตนเองไปโดยไม่รู้ตัว และหลงลืมความเมตตากรุณาอันเป็นคุณสมบัติสำคัญ พร้อมกับยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้บ้านเมืองต้องล่มจมเพราะความกระหายอำนาจของกษัตริย์ – การก่อสร้างไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือแรงงาน ต้องเกณฑ์คนมาขนหินขนไม้ สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน แรงของคนควรสงวนไว้เพื่อสิ่งที่จำเป็น ให้เขาได้พักบ้าง เมื่อถึงคราวต้องใช้จึงเป็นคนที่บ้านเมืองพึ่งพาได้ – ของฟุ่มเฟือยเงินทองมุกหยก ล้วนทำให้เมามายได้ดั่งสุรา แม้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการ แต่การนำมาใช้อย่างมากมายกลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างและระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับประชาชน ดังนั้น แทนที่จะหลงระเริงกับของเหล่านี้ มิสู้ทุ่มแรงใจให้กับการเสริมสร้างความรู้และการศึกษาให้กับคน ฯลฯ บทความของสวีเฟยนี้ยาวมากจน Storyฯ สรุปให้ไม่ได้หมด ฎีกาฉบับนี้มีชื่อเรียกว่า ‘เจี้ยนไท่จงซี่ปิงป้าอี้ซู’ (谏太宗息兵罢役疏 แปลได้ประมาณว่า ฏีกาตำหนิให้ไท่จงหยุดทหารหยุดทัพ) ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นบทวิจารณ์ทางการเมืองโดยสตรีที่หายาก และแม้ว่าเป็นการตำหนิอย่างตรงไปตรงมา แต่สามารถสื่อออกมาได้อย่างมีเหตุผลและแสดงความเคารพนบนอบ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาของนาง และยังเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สมัยถัง เหตุเพราะองค์ถังไท่จงได้รับฟังอย่างจริงจังและเห็นด้วย ไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังยกย่องชื่นชมและให้รางวัลนางอีกด้วย ว่ากันว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตขององค์ถังไท่จงนั้น นางคือคนที่เขาโปรดปรานที่สุด ต่อมาเมื่อองค์ถังไท่จงเสียชีวิต นางก็ตรอมใจจนตายตามไปด้วย ขณะนั้นอายุนางเพียงยี่สิบสี่ปี ภายหลังได้รับการอวยยศย้อนหลังจากฮ่องเต้หลี่จื้อ (ถังเกาจง) ให้เป็นเสียนเฟย ผลงานที่สืบทอดมาเป็นวรรณกรรมให้ชนรุ่นหลังศึกษามีมากมายหลายชิ้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ถูกยกย่องด้านความฉลาดและความเชี่ยวชาญด้านงานอักษรของประวัติศาสตร์จีน ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ถูกตีความว่าเป็นภาพที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีและความตรงไปตรงมา ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปพร้อมกับภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ เขียนว่า ‘เต๋อเฉิงโหรวซุ่น’ (德成柔顺) แปลได้ประมาณว่า เปี่ยมด้วยศีลธรรมและความนอบน้อม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://inmywordz.com/archives/66897 https://www.duitang.com/blog/?id=1246591620 https://baike.sogou.com/v74971288.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html https://baike.sogou.com/v74971288.htm https://baike.baidu.com/item/徐惠/11444 https://baike.baidu.com/item/谏太宗息兵罢役疏 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เสียนเฟย #สวีเฟยวิพากษ์ #สวีเฟย #สวีเฟยถวายฎีกา #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    INMYWORDZ.COM
    《延禧攻略》最受寵的是令妃,生得最多的是純妃!乾隆為何卻選擇最心狠毒辣嫻妃為繼后?-我們用電影寫日記 - 冒牌生:寫作 • 旅行 • 生活
    而且還是在富察皇后離開後就馬上決定了😱 #延禧攻略 #繼皇后為什麼是她 #皇上考慮的真多 *正文開始 來源:美映椒房 整理:冒牌生 乾隆十三年三月,乾隆皇帝元配富察皇后忍著喪子悲痛,強顏歡笑帶病伺候皇帝和太后東巡,最終病逝於東巡途中。
    0 Comments 0 Shares 604 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP11 | เดือนรอมฎอน เดือนแห่งศรัทธา

    ✨ เทปย้อนหลังรอมฎอน: เสียงและภาพแห่งความศรัทธา ✨

    เดือนรอมฎอน (Ramadan) ซึ่งถือว่าเป็น เดือนแห่งศรัทธา เป็นช่วงเวลาแห่งการถือศีลอด การทำความดี และการฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง พร้อมทั้งระลึกถึงผู้ที่ด้อยโอกาส

    ร่วมย้อนรำลึกถึงบรรยากาศของเดือนอันประเสริฐ ผ่านเรื่องราวแห่งศรัทธาและภาพความประทับใจที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ 📿💫

    📌 ติดตามรับชมเทปย้อนหลังได้ที่นี่

    #สลามเมืองไทย #EP11 #รอมฎอนเดือนแห่งศรัทธา #Ramadan #RamadanKareem #ถือศีลอด #IslamicFaith #รอมฎอนแห่งความเมตตา #เสียงและภาพแห่งศรัทธา #MuslimCommunity #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP11 | เดือนรอมฎอน เดือนแห่งศรัทธา ✨ เทปย้อนหลังรอมฎอน: เสียงและภาพแห่งความศรัทธา ✨ เดือนรอมฎอน (Ramadan) ซึ่งถือว่าเป็น เดือนแห่งศรัทธา เป็นช่วงเวลาแห่งการถือศีลอด การทำความดี และการฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง พร้อมทั้งระลึกถึงผู้ที่ด้อยโอกาส ร่วมย้อนรำลึกถึงบรรยากาศของเดือนอันประเสริฐ ผ่านเรื่องราวแห่งศรัทธาและภาพความประทับใจที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ 📿💫 📌 ติดตามรับชมเทปย้อนหลังได้ที่นี่ #สลามเมืองไทย #EP11 #รอมฎอนเดือนแห่งศรัทธา #Ramadan #RamadanKareem #ถือศีลอด #IslamicFaith #รอมฎอนแห่งความเมตตา #เสียงและภาพแห่งศรัทธา #MuslimCommunity #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 572 Views 27 0 Reviews
  • พลังแห่งเต๋า

    เหลาจื่อกล่าวว่า เต๋าไร้รูปลักษณ์ ดูอ่อนด้อย เสมือนว่าไร้พลัง หากแต่โคจรสรรพสิ่ง
    เต๋าทำได้อย่างไร นั่นเพราะเต๋ามีพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คุณธรรม"

    ในบทที่ ๕๑ ได้เขียนไว้อย่างนี้

    เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การหล่อเลี้ยง (道生之 德畜之)
    หมายความไฉน

    สรรพสิ่งในใต้หล้าจะต้องประกอบด้วยสองคุณลักษณะ คุณลักษณะหนึ่งคือแก่น อีกคุณลักษณะหนึ่งคืออานุภาพ แก่นคือประธาน อานุภาพคือพลังที่แสดงออกแห่งประธานนั้น แก่นคือส่วนใน อานุภาพคือส่วนนอก แก่นคือหลักของอานุภาพ อานุภาพคือการแสดงออกของแก่น ไร้แก่นมิอาจมีอานุภาพ ไร้อานุภาพก็มิอาจเห็นซึ่งประโยชน์ของแก่น
    แก่นและอานุภาพเป็นสองสิ่งในสิ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้ อยู่อย่างเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ สองสิ่งจะเอื้อซึ่งกันและกัน และกระทบซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น แก้วน้ำคือแก่น การใส่น้ำคืออานุภาพของแก้ว ดินคือแก่น การให้ผลผลิต การเก็บกักน้ำ การสร้างอาคารบ้านอาศัยคืออานุภาพของดิน ไฟคือแก่น แสงที่เกิดจากไฟคืออานุภาพ เป็นต้น

    สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นไปเช่นนี้ ทุกสิ่งเกิดมาจะต้องมีอานุภาพ มีประโยชน์ ต่อให้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในสายตาของชาวโลก สุดท้ายก็ย่อมจะต้องมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในวงจรแห่งธรรมชาติอยู่ดี นี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแก่นและอานุภาพ

    สรรพสิ่งที่มีความสัมพันธ์ของแก่นและอานุภาพเป็นฉันใด เต๋าที่เป็นเอกแห่งสากล เป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง ก็ย่อมเป็นฉันนั้นดุจเดียวกัน

    กล่าวคือ เต๋าเป็นแก่น คุณธรรมเป็นอานุภาพแห่งเต๋า เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง เป็นหลักของสรรพสิ่ง ส่วนคุณธรรมก็ทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เติบใหญ่ บำรุงสรรพสิ่งให้มีชีวิตชีวา

    คุณธรรมคืออานุภาพแห่งเต๋า เต๋าเป็นแก่นแห่งคุณธรรม คุณธรรมนั้นไร้รูปลักษณ์ คือพลานุภาพที่แสดงออกแห่งเต๋า เป็นพลังที่บำรุงสรรพสิ่ง ผลักดันสิ่งเลวร้ายให้มลาย เป็นพลังที่จับต้องได้ยาก แต่จะแสดงออกให้เราเห็นในรูปของความกตัญญู ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ ความสุจริตยุติธรรม และอื่นๆ อีกมากมายสุดที่จะพรรณนาสิ้น ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงเต๋า จึงพึงบำเพ็ญคุณธรรมทั้งปวงให้ถึงพร้อม ปฏิบัติคุณธรรมทั้งปวงให้สมบูรณ์ เช่นนี้จึงจะเข้าถึงเต๋าได้

    คุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋ามีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ผู้คนไม่รู้จักพลังที่คอยหนุนนำสรรพสิ่งในโลกหล้านี้ เหลาจื่อจึงเรียกพลังที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้ว่า “คุณธรรม”

    คุณธรรมทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงสรรพสิ่ง หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง เป็นพลังที่มิอาจจับต้องมองเห็น หากแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ

    ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีขุนนางผู้มีใจอาจหาญท่านหนึ่งนามว่า “เหวินเทียนเสียง (文天祥)” ก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังแห่งคุณธรรมนี้

    ในสมัยนั้น เหวินเทียนเสียงเป็นขุนนางตงฉินที่ถูกขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานานถึงห้าปี หลายคนมิอาจทนอยู่กับสภาพอันโหดร้ายภายในคุกจนเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สาเหตุเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับพลังร้ายในคุกใต้ดินถึงเจ็ดอย่าง เหวินเทียนเสียงเรียกพลังทั้งเจ็ดนี้ว่าเจ็ดพิษร้าย ประกอบด้วยพิษน้ำ (水氣) พิษดิน (土氣) พิษแดด (日氣) พิษไฟ (火氣) พิษข้าว (米氣) พิษไคล (人氣) พิษโสโครก (穢氣) ทุกคนต่างมิอาจทนอยู่กับสภาพของพิษร้ายทั้งเจ็ดนี้ได้ หากจะมีเหวินเทียนเสียงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถหยัดยืนมั่นคงในท่ามกลางพิษทั้งเจ็ดนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน

    เหวินเทียนเสียงสันนิษฐานว่าต้องมีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่คอยทานพิษทั้งเจ็ดนี้ไว้ ท่านไม่รู้ว่าพลังในท่ามกลางฟ้าดินนี้คือสิ่งใด จึงเรียกพลังนี้ว่าเจิ้งชี่ (正氣) หรือก็คือพลังเที่ยงธรรม เรียกสั้นๆ ว่าพลังธรรม

    พลังธรรมที่เหวินเทียนเสียงพบคือรูปแบบหนึ่งของพลังคุณธรรมแห่งเต๋านี้ คุณธรรมนี้เป็นพลังที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ไร้รูปไร้ลักษณ์ มีอยู่ทุกแห่งหน เป็นพลังที่ต่อต้านสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ยามที่จิตใจของผู้คนมีความเมตตาอันสูงส่ง มีความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ มีสัจจะวาจาที่เข้มแข็ง มีความจงรักภักดีอย่างไม่ห่วงกายา มีจิตกรุณาอารียิ่งเทียมฟ้า ยามนั้น คนผู้นี้ก็จะเป็นผู้ที่เข้าถึงเต๋า ด้วยเพราะคุณธรรมต่างๆ ที่เขาได้บำเพ็ญเพียรมา แท้ก็คือพลังคุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้นั่นแล
    พลังแห่งเต๋า เหลาจื่อกล่าวว่า เต๋าไร้รูปลักษณ์ ดูอ่อนด้อย เสมือนว่าไร้พลัง หากแต่โคจรสรรพสิ่ง เต๋าทำได้อย่างไร นั่นเพราะเต๋ามีพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คุณธรรม" ในบทที่ ๕๑ ได้เขียนไว้อย่างนี้ เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การหล่อเลี้ยง (道生之 德畜之) หมายความไฉน สรรพสิ่งในใต้หล้าจะต้องประกอบด้วยสองคุณลักษณะ คุณลักษณะหนึ่งคือแก่น อีกคุณลักษณะหนึ่งคืออานุภาพ แก่นคือประธาน อานุภาพคือพลังที่แสดงออกแห่งประธานนั้น แก่นคือส่วนใน อานุภาพคือส่วนนอก แก่นคือหลักของอานุภาพ อานุภาพคือการแสดงออกของแก่น ไร้แก่นมิอาจมีอานุภาพ ไร้อานุภาพก็มิอาจเห็นซึ่งประโยชน์ของแก่น แก่นและอานุภาพเป็นสองสิ่งในสิ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้ อยู่อย่างเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ สองสิ่งจะเอื้อซึ่งกันและกัน และกระทบซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น แก้วน้ำคือแก่น การใส่น้ำคืออานุภาพของแก้ว ดินคือแก่น การให้ผลผลิต การเก็บกักน้ำ การสร้างอาคารบ้านอาศัยคืออานุภาพของดิน ไฟคือแก่น แสงที่เกิดจากไฟคืออานุภาพ เป็นต้น สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นไปเช่นนี้ ทุกสิ่งเกิดมาจะต้องมีอานุภาพ มีประโยชน์ ต่อให้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในสายตาของชาวโลก สุดท้ายก็ย่อมจะต้องมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในวงจรแห่งธรรมชาติอยู่ดี นี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแก่นและอานุภาพ สรรพสิ่งที่มีความสัมพันธ์ของแก่นและอานุภาพเป็นฉันใด เต๋าที่เป็นเอกแห่งสากล เป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง ก็ย่อมเป็นฉันนั้นดุจเดียวกัน กล่าวคือ เต๋าเป็นแก่น คุณธรรมเป็นอานุภาพแห่งเต๋า เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง เป็นหลักของสรรพสิ่ง ส่วนคุณธรรมก็ทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เติบใหญ่ บำรุงสรรพสิ่งให้มีชีวิตชีวา คุณธรรมคืออานุภาพแห่งเต๋า เต๋าเป็นแก่นแห่งคุณธรรม คุณธรรมนั้นไร้รูปลักษณ์ คือพลานุภาพที่แสดงออกแห่งเต๋า เป็นพลังที่บำรุงสรรพสิ่ง ผลักดันสิ่งเลวร้ายให้มลาย เป็นพลังที่จับต้องได้ยาก แต่จะแสดงออกให้เราเห็นในรูปของความกตัญญู ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ ความสุจริตยุติธรรม และอื่นๆ อีกมากมายสุดที่จะพรรณนาสิ้น ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงเต๋า จึงพึงบำเพ็ญคุณธรรมทั้งปวงให้ถึงพร้อม ปฏิบัติคุณธรรมทั้งปวงให้สมบูรณ์ เช่นนี้จึงจะเข้าถึงเต๋าได้ คุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋ามีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ผู้คนไม่รู้จักพลังที่คอยหนุนนำสรรพสิ่งในโลกหล้านี้ เหลาจื่อจึงเรียกพลังที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้ว่า “คุณธรรม” คุณธรรมทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงสรรพสิ่ง หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง เป็นพลังที่มิอาจจับต้องมองเห็น หากแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีขุนนางผู้มีใจอาจหาญท่านหนึ่งนามว่า “เหวินเทียนเสียง (文天祥)” ก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังแห่งคุณธรรมนี้ ในสมัยนั้น เหวินเทียนเสียงเป็นขุนนางตงฉินที่ถูกขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานานถึงห้าปี หลายคนมิอาจทนอยู่กับสภาพอันโหดร้ายภายในคุกจนเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สาเหตุเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับพลังร้ายในคุกใต้ดินถึงเจ็ดอย่าง เหวินเทียนเสียงเรียกพลังทั้งเจ็ดนี้ว่าเจ็ดพิษร้าย ประกอบด้วยพิษน้ำ (水氣) พิษดิน (土氣) พิษแดด (日氣) พิษไฟ (火氣) พิษข้าว (米氣) พิษไคล (人氣) พิษโสโครก (穢氣) ทุกคนต่างมิอาจทนอยู่กับสภาพของพิษร้ายทั้งเจ็ดนี้ได้ หากจะมีเหวินเทียนเสียงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถหยัดยืนมั่นคงในท่ามกลางพิษทั้งเจ็ดนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน เหวินเทียนเสียงสันนิษฐานว่าต้องมีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่คอยทานพิษทั้งเจ็ดนี้ไว้ ท่านไม่รู้ว่าพลังในท่ามกลางฟ้าดินนี้คือสิ่งใด จึงเรียกพลังนี้ว่าเจิ้งชี่ (正氣) หรือก็คือพลังเที่ยงธรรม เรียกสั้นๆ ว่าพลังธรรม พลังธรรมที่เหวินเทียนเสียงพบคือรูปแบบหนึ่งของพลังคุณธรรมแห่งเต๋านี้ คุณธรรมนี้เป็นพลังที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ไร้รูปไร้ลักษณ์ มีอยู่ทุกแห่งหน เป็นพลังที่ต่อต้านสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ยามที่จิตใจของผู้คนมีความเมตตาอันสูงส่ง มีความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ มีสัจจะวาจาที่เข้มแข็ง มีความจงรักภักดีอย่างไม่ห่วงกายา มีจิตกรุณาอารียิ่งเทียมฟ้า ยามนั้น คนผู้นี้ก็จะเป็นผู้ที่เข้าถึงเต๋า ด้วยเพราะคุณธรรมต่างๆ ที่เขาได้บำเพ็ญเพียรมา แท้ก็คือพลังคุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้นั่นแล
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • 🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน

    🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว

    แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน

    วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️

    🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜
    วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ

    แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ

    💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก
    ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน

    แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏

    💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก
    แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่

    🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น

    - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่
    - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด
    - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์

    🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น

    - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่
    - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก
    - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย

    💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย
    📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล
    ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ
    💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท
    📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก
    🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ

    💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์
    ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว

    ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
    💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม?
    ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้

    🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์?
    - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก
    - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์
    - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก

    🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี?
    ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น
    จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰

    🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ
    ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖

    🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568

    🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน 🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️ 🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜 วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ 💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏 💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ 🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่ - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์ 🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย 💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย 📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ 💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท 📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก 🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ 💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์ ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ 💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม? ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้ 🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์? - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์ - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก 🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี? ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰 🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖 🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568 🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    0 Comments 0 Shares 993 Views 0 Reviews
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 Comments 0 Shares 875 Views 0 Reviews
  • ถู่ที้กง 土地公 "เจ้าแห่งผืนดิน"
    หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า ถู่ตี้ 土地 "ผืนดิน"
    หรือ ชาวจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ตี่จู๋เอี๊ยะ 地主爷 "เทพเจ้าแห่งผืนดิน"

    เทพถู่ที้กงมีตัวตนจริง ตามประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์จิว ชื่อเดิมว่าเตียเม่งเต็ก เป็นข้ารับใช้ขุนนางผู้มั่งคั่งนายหนึ่ง ครั้งหนึ่งขุนนางท่านนั้นได้ถูกเรียกให้เข้ารับราชการที่วังหลวงอย่างกะทันหัน จึงได้รีบออกเดินทางไปพร้อมกับภรรยาของเขา และให้เตียเม่งเต็กนำธิดาของเขาตามไปในวังหลวงทีหลัง เตียเม่งเต็กได้ออกเดินทางโดยแบกธิดาของขุนนางไว้บนหลัง และในมือทั้งสองได้ถือข้าวของสัมพาระต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางนั้นได้เกิดพายุหิมะถล่มขึ้น เตียเม่งเต็กจึงจำถอดเสื้อคลุมของเขาสวมให้กับธิดาของขุนนางที่แบกไว้บนหลังจนกระทั่งตนเองเสียชีวิตจากความหนาวเหน็บ หลังเตียเม่งเต็กได้เสียชีวิตลงด้วยความเสียสละและจงรักภักดีต่อเจ้านาย บนท้องฟ้าได้ปรากฏดวงดาวขึ้นมาเป็นอักษรใจความว่า "ประตูสวรรค์ทางใต้ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ฮกเต็ก" ภายหลังได้มีผู้มาพบกับนางและได้ช่วยเหลือ นำไปส่งถึงครอบครัวโดยปลอดภัย หลังนางเติบโตขึ้นได้มีจิตใจกตัญญูต่อเตียเม่งเต็กและได้สร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อยกขึ้นเป็นเทพเจ้า ชื่อศาลเจ้าว่า "ศาลเจ้าฮกเต็ก" ศาลเจ้าดังกล่าวได้รับการนับถือมากจากฮ่องเต้พระองค์หนึ่งซึ่งได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับเทพฮกเต็กว่า "ถู่ที้กง" อันแปลว่าเทพเจ้าแห่งผืนดินทั้งหลาย ชาวจีนจึงยึดถือว่าท่านเป็นเทพเจ้าที่มานับแต่นั้น.

    ภาพ : ถู่ที้กง 土地公 ที่เปี่ยมด้วยความสุข มีความเมตตา สร้างได้สวยที่สุดในโลก สั่งจากจากจีน ผลิตโดย บริษัท Putian Dazhuangyan Buddha Statue Craft Co., Ltd. (Miaozhuangyan Art (Fujian) Co., Ltd.
    ถู่ที้กง 土地公 "เจ้าแห่งผืนดิน" หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า ถู่ตี้ 土地 "ผืนดิน" หรือ ชาวจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ตี่จู๋เอี๊ยะ 地主爷 "เทพเจ้าแห่งผืนดิน" เทพถู่ที้กงมีตัวตนจริง ตามประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์จิว ชื่อเดิมว่าเตียเม่งเต็ก เป็นข้ารับใช้ขุนนางผู้มั่งคั่งนายหนึ่ง ครั้งหนึ่งขุนนางท่านนั้นได้ถูกเรียกให้เข้ารับราชการที่วังหลวงอย่างกะทันหัน จึงได้รีบออกเดินทางไปพร้อมกับภรรยาของเขา และให้เตียเม่งเต็กนำธิดาของเขาตามไปในวังหลวงทีหลัง เตียเม่งเต็กได้ออกเดินทางโดยแบกธิดาของขุนนางไว้บนหลัง และในมือทั้งสองได้ถือข้าวของสัมพาระต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางนั้นได้เกิดพายุหิมะถล่มขึ้น เตียเม่งเต็กจึงจำถอดเสื้อคลุมของเขาสวมให้กับธิดาของขุนนางที่แบกไว้บนหลังจนกระทั่งตนเองเสียชีวิตจากความหนาวเหน็บ หลังเตียเม่งเต็กได้เสียชีวิตลงด้วยความเสียสละและจงรักภักดีต่อเจ้านาย บนท้องฟ้าได้ปรากฏดวงดาวขึ้นมาเป็นอักษรใจความว่า "ประตูสวรรค์ทางใต้ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ฮกเต็ก" ภายหลังได้มีผู้มาพบกับนางและได้ช่วยเหลือ นำไปส่งถึงครอบครัวโดยปลอดภัย หลังนางเติบโตขึ้นได้มีจิตใจกตัญญูต่อเตียเม่งเต็กและได้สร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อยกขึ้นเป็นเทพเจ้า ชื่อศาลเจ้าว่า "ศาลเจ้าฮกเต็ก" ศาลเจ้าดังกล่าวได้รับการนับถือมากจากฮ่องเต้พระองค์หนึ่งซึ่งได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับเทพฮกเต็กว่า "ถู่ที้กง" อันแปลว่าเทพเจ้าแห่งผืนดินทั้งหลาย ชาวจีนจึงยึดถือว่าท่านเป็นเทพเจ้าที่มานับแต่นั้น. ภาพ : ถู่ที้กง 土地公 ที่เปี่ยมด้วยความสุข มีความเมตตา สร้างได้สวยที่สุดในโลก สั่งจากจากจีน ผลิตโดย บริษัท Putian Dazhuangyan Buddha Statue Craft Co., Ltd. (Miaozhuangyan Art (Fujian) Co., Ltd.
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • ออร่าของคน มาจากอะไร?

    คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น

    ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน


    ---

    ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น

    1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น

    คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส

    จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย

    ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



    2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น

    คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส

    รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง

    คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ



    3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล

    คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ

    ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส

    คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ



    4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ

    คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส

    ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้

    ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง





    ---

    ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน

    ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง

    คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี

    คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว

    ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน


    ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม
    แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล
    ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!

    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 Comments 0 Shares 320 Views 0 Reviews
  • มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง
    สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ

    เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้

    อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้ อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 Comments 0 Shares 546 Views 0 Reviews
  • ไมตรีจากใจจริง: หนทางสู่จิตอันอบอุ่น

    การทักทายหรือแสดงความมีไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย เช่น รอยยิ้ม คำทักถาม หรือการแสดงความสนใจต่ออีกฝ่าย อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว มันเป็น การฝึกจิตใจให้เปลี่ยนแปลง

    หากทักทายด้วยใจแห้งแล้ง ในช่วงแรกอาจดูฝืน แต่ ความตั้งใจดีและการทำอย่างสม่ำเสมอ จะหล่อหลอมให้ไมตรีนั้นออกมาจากใจจริงในที่สุด

    เมื่อเราเริ่มใส่ ความแคร์ ต่อเพื่อนมนุษย์ในทุกการกระทำ จิตใจของเราจะเริ่มอบอุ่นขึ้น และความรู้สึกสุขสงบจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ



    ---

    ไมตรีในชีวิตการงาน

    แม้การทำงานอาจต้องพบเจอคนที่ทำให้ไม่สบายใจ เช่น คนที่พูดจาไม่ดีหรือปฏิบัติร้ายต่อเรา แต่การเลือกแสดงไมตรีตอบแทน ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อสร้าง กุศลในจิตใจของเราเอง เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งและอบอุ่น


    ---

    ไมตรี: กุศลในกองอกุศล

    1. ฝึกทักทายด้วยไมตรี
    การฝึกกล่าวคำทักทาย หรือแสดงความสนใจอย่างจริงใจ จะช่วยหล่อหลอมจิตใจให้มีความเมตตาเพิ่มขึ้น


    2. เริ่มต้นด้วยใจของเราเอง
    หากใจยังไม่รู้สึกอบอุ่น ให้เริ่มจาก แสดงไมตรี ต่อผู้อื่นก่อน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การพูดจาสุภาพหรือการยิ้ม


    3. มองเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง
    แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือผู้คนที่ไม่เป็นมิตร อย่ามองเป็นอุปสรรค แต่ให้ถือว่าเป็น โอกาสทอง ในการฝึกจิตของเราให้เข้มแข็ง




    ---

    ไมตรี: สะพานสู่ความสุขภายใน

    ไมตรีจากใจจริงไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับผู้อื่น แต่ยังเป็นการสร้างความสุขและความอบอุ่นในใจเราเอง

    ในท่ามกลางโลกที่มีอกุศลมากมาย ไมตรีจากใจจริง คือหนึ่งในแสงสว่างที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้ เป็นแสงที่ช่วยให้เราและผู้คนรอบข้างอบอุ่นขึ้นในทุกๆ วัน

    ไมตรีจากใจจริง: หนทางสู่จิตอันอบอุ่น การทักทายหรือแสดงความมีไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย เช่น รอยยิ้ม คำทักถาม หรือการแสดงความสนใจต่ออีกฝ่าย อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว มันเป็น การฝึกจิตใจให้เปลี่ยนแปลง หากทักทายด้วยใจแห้งแล้ง ในช่วงแรกอาจดูฝืน แต่ ความตั้งใจดีและการทำอย่างสม่ำเสมอ จะหล่อหลอมให้ไมตรีนั้นออกมาจากใจจริงในที่สุด เมื่อเราเริ่มใส่ ความแคร์ ต่อเพื่อนมนุษย์ในทุกการกระทำ จิตใจของเราจะเริ่มอบอุ่นขึ้น และความรู้สึกสุขสงบจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ --- ไมตรีในชีวิตการงาน แม้การทำงานอาจต้องพบเจอคนที่ทำให้ไม่สบายใจ เช่น คนที่พูดจาไม่ดีหรือปฏิบัติร้ายต่อเรา แต่การเลือกแสดงไมตรีตอบแทน ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อสร้าง กุศลในจิตใจของเราเอง เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งและอบอุ่น --- ไมตรี: กุศลในกองอกุศล 1. ฝึกทักทายด้วยไมตรี การฝึกกล่าวคำทักทาย หรือแสดงความสนใจอย่างจริงใจ จะช่วยหล่อหลอมจิตใจให้มีความเมตตาเพิ่มขึ้น 2. เริ่มต้นด้วยใจของเราเอง หากใจยังไม่รู้สึกอบอุ่น ให้เริ่มจาก แสดงไมตรี ต่อผู้อื่นก่อน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การพูดจาสุภาพหรือการยิ้ม 3. มองเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือผู้คนที่ไม่เป็นมิตร อย่ามองเป็นอุปสรรค แต่ให้ถือว่าเป็น โอกาสทอง ในการฝึกจิตของเราให้เข้มแข็ง --- ไมตรี: สะพานสู่ความสุขภายใน ไมตรีจากใจจริงไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับผู้อื่น แต่ยังเป็นการสร้างความสุขและความอบอุ่นในใจเราเอง ในท่ามกลางโลกที่มีอกุศลมากมาย ไมตรีจากใจจริง คือหนึ่งในแสงสว่างที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้ เป็นแสงที่ช่วยให้เราและผู้คนรอบข้างอบอุ่นขึ้นในทุกๆ วัน
    0 Comments 0 Shares 357 Views 0 Reviews
  • วันครู 2568

    ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568
    ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต
    ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา
    ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส

    ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง
    เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน
    และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต
    พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่
    และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี

    ด้วยความเคารพรักอย่างสูง
    ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    วันครู 2568 ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568 ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่ และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี ด้วยความเคารพรักอย่างสูง ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • การเจริญอสุภกรรมฐาน

    นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

    1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ)

    แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ

    จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง

    ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น

    2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง

    มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย

    มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก

    3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ

    ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย

    ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว

    4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ

    เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น

    ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน

    5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ

    หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา

    แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ

    6. การใช้สติรู้ทัน

    เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต"

    อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป

    หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน

    ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ

    ข้อควรระวัง

    การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี

    ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ

    สรุป:
    อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    การเจริญอสุภกรรมฐาน นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้: 1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ) แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น 2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก 3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว 4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน 5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ 6. การใช้สติรู้ทัน เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต" อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป 7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ ข้อควรระวัง การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ สรุป: อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    0 Comments 0 Shares 471 Views 0 Reviews
More Results