• Generation Beta เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่เกิดหลังจาก Generation Alpha ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงเด็กที่เกิดตั้งแต่ประมาณปี 2025 เป็นต้นไป

    ลักษณะของ Generation Beta (คาดการณ์)

    1. เกิดในยุคเทคโนโลยีล้ำหน้า – เติบโตมาพร้อมกับ AI, Automation, และ Metaverse


    2. ใช้ชีวิตแบบดิจิทัลเป็นหลัก – การเรียน การทำงาน และความบันเทิงจะเชื่อมต่อกับโลกเสมือนจริงมากขึ้น


    3. ได้รับอิทธิพลจากสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม – โตมาในโลกที่เผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


    4. มีแนวคิดเกี่ยวกับความหลากหลายและความเท่าเทียมมากขึ้น – สังคมเปิดกว้างด้านวัฒนธรรมและเพศสภาพ


    5. พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียจะเปลี่ยนไป – อาจใช้งานแพลตฟอร์มที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น หรือแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับ AI



    เนื่องจาก Generation Beta ยังไม่เกิดขึ้นจริง คำนี้จึงเป็นเพียงแนวคิดที่นักวิเคราะห์ใช้คาดการณ์อนาคตของกลุ่มคนรุ่นใหม่

    Generation Beta เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่เกิดหลังจาก Generation Alpha ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงเด็กที่เกิดตั้งแต่ประมาณปี 2025 เป็นต้นไป ลักษณะของ Generation Beta (คาดการณ์) 1. เกิดในยุคเทคโนโลยีล้ำหน้า – เติบโตมาพร้อมกับ AI, Automation, และ Metaverse 2. ใช้ชีวิตแบบดิจิทัลเป็นหลัก – การเรียน การทำงาน และความบันเทิงจะเชื่อมต่อกับโลกเสมือนจริงมากขึ้น 3. ได้รับอิทธิพลจากสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม – โตมาในโลกที่เผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. มีแนวคิดเกี่ยวกับความหลากหลายและความเท่าเทียมมากขึ้น – สังคมเปิดกว้างด้านวัฒนธรรมและเพศสภาพ 5. พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียจะเปลี่ยนไป – อาจใช้งานแพลตฟอร์มที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น หรือแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับ AI เนื่องจาก Generation Beta ยังไม่เกิดขึ้นจริง คำนี้จึงเป็นเพียงแนวคิดที่นักวิเคราะห์ใช้คาดการณ์อนาคตของกลุ่มคนรุ่นใหม่
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ประเทศที่ชอบอ้างประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเท่าเทียม แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรง การใช้อาวุธ การเหยียดเชื้อชาติ และมีนายทุนนวัตกรรมอู้ฟู่ผงาดครองโลก
    #7ดอกจิก
    ♣ ประเทศที่ชอบอ้างประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเท่าเทียม แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรง การใช้อาวุธ การเหยียดเชื้อชาติ และมีนายทุนนวัตกรรมอู้ฟู่ผงาดครองโลก #7ดอกจิก
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • "นิพนธ์" ย้ำ คนรุ่นใหม่อย่าหมดหวังในการเลือกตั้งท้องถิ่น ชี้รัฐต้องให้ความสำคัญลต.เท่าเทียมทุกระดับ
    https://www.thai-tai.tv/news/17280/
    "นิพนธ์" ย้ำ คนรุ่นใหม่อย่าหมดหวังในการเลือกตั้งท้องถิ่น ชี้รัฐต้องให้ความสำคัญลต.เท่าเทียมทุกระดับ https://www.thai-tai.tv/news/17280/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปธ.กมธ.มั่นคง ลั่น เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย-ไม่รู้ใครต้องรับผิดชอบ หลัง กมธ.คอนเฟิร์มระบบ 'ไบโอเมตริกซ์' ไทย หมดอายุ 3 ปีแล้ว เผย ต้องใช้วิธีโบราณถ่ายภาพ-ปั๊มนิ้วคนผ่านเข้าออก คนจีนในเมียวดีไม่ถูกจำแนกเหยื่อ-อาชญากร อาจทำให้ประเทศอื่นได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียม ไทยอยู่ภายใต้อิทธิพล

    เมื่อวันที่ (20 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าภายหลังการประชุม กมธ.ถึงแนวทางการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีหลายส่วนเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องกับข้อมูลอัตลักษณ์ และเกี่ยวกับอาชญากรข้ามชาติและยาเสพติด

    โดยนายรังสิมันต์ ระบุว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้ระบบไบโอเมตริกซ์อีกแล้ว ซึ่งแปลว่าเวลา 3 ปีเต็มนี้ ไม่มีเครื่องมือในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์นักท่องเที่ยว ทำให้มีโอกาสผิดพลาด จากการที่นักท่องเที่ยวใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการก่ออาชญากรรม โดยที่ตัวเขาเองมีสัญชาติที่แตกต่างกัน

    นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า แม้วันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้วิธีการถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลที่ได้นั้น ชัดเจนว่าไม่เพียงพอ และกลายเป็นช่องว่างสำคัญ ในการที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภายใต้ความอันตรายของปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000016989

    #MGROnline #ไบโอเมตริกซ์
    ปธ.กมธ.มั่นคง ลั่น เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย-ไม่รู้ใครต้องรับผิดชอบ หลัง กมธ.คอนเฟิร์มระบบ 'ไบโอเมตริกซ์' ไทย หมดอายุ 3 ปีแล้ว เผย ต้องใช้วิธีโบราณถ่ายภาพ-ปั๊มนิ้วคนผ่านเข้าออก คนจีนในเมียวดีไม่ถูกจำแนกเหยื่อ-อาชญากร อาจทำให้ประเทศอื่นได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียม ไทยอยู่ภายใต้อิทธิพล • เมื่อวันที่ (20 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าภายหลังการประชุม กมธ.ถึงแนวทางการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีหลายส่วนเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องกับข้อมูลอัตลักษณ์ และเกี่ยวกับอาชญากรข้ามชาติและยาเสพติด • โดยนายรังสิมันต์ ระบุว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้ระบบไบโอเมตริกซ์อีกแล้ว ซึ่งแปลว่าเวลา 3 ปีเต็มนี้ ไม่มีเครื่องมือในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์นักท่องเที่ยว ทำให้มีโอกาสผิดพลาด จากการที่นักท่องเที่ยวใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการก่ออาชญากรรม โดยที่ตัวเขาเองมีสัญชาติที่แตกต่างกัน • นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า แม้วันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้วิธีการถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลที่ได้นั้น ชัดเจนว่าไม่เพียงพอ และกลายเป็นช่องว่างสำคัญ ในการที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภายใต้ความอันตรายของปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000016989 • #MGROnline #ไบโอเมตริกซ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่ AI พัฒนาไปถึงจุดสูงสุดและสมบูรณ์แบบที่สุด จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของมนุษย์อาจถูกมองผ่านมุมมองต่าง ๆ ดังนี้:

    ### จุดสูงสุดของมนุษย์:
    1. **การปลดปล่อยศักยภาพ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ โดยรับมือกับงาน routine และปล่อยให้มนุษย์มุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเอง
    2. **การขยายขีดความสามารถ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์เข้าถึงความรู้และความสามารถที่เกินขีดจำกัดทางกายภาพ เช่น การวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ การออกแบบนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
    3. **การสร้างความหมาย**: ในโลกที่ AI ทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง มนุษย์อาจมีโอกาสค้นหาความหมายของชีวิตมากขึ้น ผ่านการสร้างสรรค์ศิลปะ ปรัชญา หรือการเชื่อมโยงกับผู้อื่น
    4. **การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล**: มนุษย์อาจเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับ AI อย่างสมดุล โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม

    ### จุดต่ำสุดของมนุษย์:
    1. **การสูญเสียจุดมุ่งหมาย**: หาก AI ทำงานแทนมนุษย์ได้ทุกอย่าง มนุษย์อาจสูญเสียความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายหรือคุณค่าในชีวิต
    2. **การพึ่งพาเกินไป**: มนุษย์อาจกลายเป็นผู้พึ่งพา AI มากเกินไป จนสูญเสียทักษะและความสามารถพื้นฐาน
    3. **ความเหลื่อมล้ำ**: หากการเข้าถึง AI ไม่เท่าเทียม อาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น
    4. **การสูญเสียความเป็นมนุษย์**: การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม

    ### สรุป:
    ในยุคที่ AI สมบูรณ์แบบที่สุด มนุษย์อาจเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความเป็นมนุษย์และความสมดุลในชีวิต การใช้ AI อย่างชาญฉลาดและมีจริยธรรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดว่ายยุคนี้จะเป็นจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของมนุษยชาติ
    ในยุคที่ AI พัฒนาไปถึงจุดสูงสุดและสมบูรณ์แบบที่สุด จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของมนุษย์อาจถูกมองผ่านมุมมองต่าง ๆ ดังนี้: ### จุดสูงสุดของมนุษย์: 1. **การปลดปล่อยศักยภาพ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ โดยรับมือกับงาน routine และปล่อยให้มนุษย์มุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเอง 2. **การขยายขีดความสามารถ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์เข้าถึงความรู้และความสามารถที่เกินขีดจำกัดทางกายภาพ เช่น การวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ การออกแบบนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน 3. **การสร้างความหมาย**: ในโลกที่ AI ทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง มนุษย์อาจมีโอกาสค้นหาความหมายของชีวิตมากขึ้น ผ่านการสร้างสรรค์ศิลปะ ปรัชญา หรือการเชื่อมโยงกับผู้อื่น 4. **การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล**: มนุษย์อาจเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับ AI อย่างสมดุล โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม ### จุดต่ำสุดของมนุษย์: 1. **การสูญเสียจุดมุ่งหมาย**: หาก AI ทำงานแทนมนุษย์ได้ทุกอย่าง มนุษย์อาจสูญเสียความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายหรือคุณค่าในชีวิต 2. **การพึ่งพาเกินไป**: มนุษย์อาจกลายเป็นผู้พึ่งพา AI มากเกินไป จนสูญเสียทักษะและความสามารถพื้นฐาน 3. **ความเหลื่อมล้ำ**: หากการเข้าถึง AI ไม่เท่าเทียม อาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น 4. **การสูญเสียความเป็นมนุษย์**: การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม ### สรุป: ในยุคที่ AI สมบูรณ์แบบที่สุด มนุษย์อาจเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความเป็นมนุษย์และความสมดุลในชีวิต การใช้ AI อย่างชาญฉลาดและมีจริยธรรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดว่ายยุคนี้จะเป็นจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของมนุษยชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • การศึกษาของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากเทคโนโลยีและสภาพสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับการศึกษาของคนรุ่นใหม่:

    ### 1. **เทคโนโลยีและการเรียนรู้ดิจิทัล**
    - **การเข้าถึงข้อมูล**: คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน
    - **การเรียนรู้แบบออนไลน์**: คอร์สออนไลน์และแพลตฟอร์มการเรียนรู้เช่น Coursera, Udemy, Khan Academy ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา
    - **การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัล**: คนรุ่นใหม่ใช้เครื่องมือเช่น ChatGPT, Google Scholar และแอปพลิเคชันอื่นๆ เพื่อช่วยในการศึกษาและการวิจัย

    ### 2. **การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)**
    - คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานและเทคโนโลยี
    - การเรียนไม่จำกัดเฉพาะในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงการฝึกอบรม การเรียนรู้นอกระบบ และการพัฒนาทักษะใหม่ๆ

    ### 3. **ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21**
    - **ทักษะดิจิทัล**: การใช้เทคโนโลยีเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็น
    - **ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา**: คนรุ่นใหม่ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - **ทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม**: การทำงานร่วมกับผู้อื่นและการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ
    - **ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม**: การคิดนอกกรอบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นทักษะที่ถูกต้องการในยุคนี้

    ### 4. **การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง**
    - คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
    - การศึกษาต้องไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และปรับตัวได้

    ### 5. **ความท้าทาย**
    - **ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา**: การเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรทางการศึกษายังไม่เท่าเทียมกันในทุกพื้นที่
    - **การแข่งขันสูง**: คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงทั้งในด้านการศึกษาและการทำงาน
    - **สุขภาพจิต**: ความกดดันจากการเรียนและการทำงานอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่

    ### 6. **แนวโน้มในอนาคต**
    - **การเรียนรู้แบบ personalized**: การศึกษาจะปรับให้เหมาะกับความต้องการและความสนใจของแต่ละคนมากขึ้น
    - **การเรียนรู้นอกระบบ**: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการทำงานจะมีความสำคัญมากขึ้น
    - **การศึกษาแบบบูรณาการ**: การเรียนจะไม่แยกส่วนระหว่างวิชาการและทักษะชีวิต แต่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตจริง

    การศึกษาของคนรุ่นใหม่จึงไม่เพียงแต่เป็นการเรียนในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตและการทำงานในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    การศึกษาของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากเทคโนโลยีและสภาพสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับการศึกษาของคนรุ่นใหม่: ### 1. **เทคโนโลยีและการเรียนรู้ดิจิทัล** - **การเข้าถึงข้อมูล**: คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน - **การเรียนรู้แบบออนไลน์**: คอร์สออนไลน์และแพลตฟอร์มการเรียนรู้เช่น Coursera, Udemy, Khan Academy ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา - **การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัล**: คนรุ่นใหม่ใช้เครื่องมือเช่น ChatGPT, Google Scholar และแอปพลิเคชันอื่นๆ เพื่อช่วยในการศึกษาและการวิจัย ### 2. **การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)** - คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานและเทคโนโลยี - การเรียนไม่จำกัดเฉพาะในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงการฝึกอบรม การเรียนรู้นอกระบบ และการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ### 3. **ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21** - **ทักษะดิจิทัล**: การใช้เทคโนโลยีเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็น - **ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา**: คนรุ่นใหม่ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ - **ทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม**: การทำงานร่วมกับผู้อื่นและการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ - **ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม**: การคิดนอกกรอบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นทักษะที่ถูกต้องการในยุคนี้ ### 4. **การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง** - คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ - การศึกษาต้องไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และปรับตัวได้ ### 5. **ความท้าทาย** - **ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา**: การเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรทางการศึกษายังไม่เท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ - **การแข่งขันสูง**: คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงทั้งในด้านการศึกษาและการทำงาน - **สุขภาพจิต**: ความกดดันจากการเรียนและการทำงานอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ ### 6. **แนวโน้มในอนาคต** - **การเรียนรู้แบบ personalized**: การศึกษาจะปรับให้เหมาะกับความต้องการและความสนใจของแต่ละคนมากขึ้น - **การเรียนรู้นอกระบบ**: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการทำงานจะมีความสำคัญมากขึ้น - **การศึกษาแบบบูรณาการ**: การเรียนจะไม่แยกส่วนระหว่างวิชาการและทักษะชีวิต แต่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตจริง การศึกษาของคนรุ่นใหม่จึงไม่เพียงแต่เป็นการเรียนในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตและการทำงานในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • เช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียประท้วงการถูกกีดกันจากประชุมปารีส

    สาธารณรัฐเช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมผู้นำยุโรปที่ปารีส

    แหล่งข่าวจากรัฐบาลเช็กระบุว่าไม่มีประเทศยุโรปใดรับผู้ลี้ภัยยูเครนต่อประชากรมากกว่าเช็ก พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งกำลังบำรุงอาวุธให้ยูเครน โดยเฉพาะการจัดหากระสุนให้เคียฟ "นอกจากโปแลนด์แล้ว ไม่มีประเทศใดใกล้ชิดสงครามมากกว่าเช็ก" เจ้าหน้าที่กล่าว พร้อมวิจารณ์ "ความหยิ่งยโส" ของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ที่กีดกันพวกเขา

    ด้าน Cristian Diaconescu ที่ปรึกษาด้านกลาโหมและความมั่นคงของโรมาเนียแสดงความผิดหวังที่ถูกกีดกัน "แม้จะทุ่มเทช่วยเหลือมาตลอด" แต่ยืนยันว่าหากมีการประชุมต่อเนื่อง พวกเขาก็พร้อมจะมีส่วนร่วม

    ประธานาธิบดี Nataša Pirc Musar แห่งสโลวีเนียวิจารณ์การเลือกเชิญว่าส่งสัญญาณว่า "สมาชิก EU ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม" และเสริมว่า "นี่ไม่ใช่ยุโรปที่จะเป็นพันธมิตรที่คู่ควรกับสหรัฐฯ"
    เช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียประท้วงการถูกกีดกันจากประชุมปารีส สาธารณรัฐเช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมผู้นำยุโรปที่ปารีส แหล่งข่าวจากรัฐบาลเช็กระบุว่าไม่มีประเทศยุโรปใดรับผู้ลี้ภัยยูเครนต่อประชากรมากกว่าเช็ก พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งกำลังบำรุงอาวุธให้ยูเครน โดยเฉพาะการจัดหากระสุนให้เคียฟ "นอกจากโปแลนด์แล้ว ไม่มีประเทศใดใกล้ชิดสงครามมากกว่าเช็ก" เจ้าหน้าที่กล่าว พร้อมวิจารณ์ "ความหยิ่งยโส" ของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ที่กีดกันพวกเขา ด้าน Cristian Diaconescu ที่ปรึกษาด้านกลาโหมและความมั่นคงของโรมาเนียแสดงความผิดหวังที่ถูกกีดกัน "แม้จะทุ่มเทช่วยเหลือมาตลอด" แต่ยืนยันว่าหากมีการประชุมต่อเนื่อง พวกเขาก็พร้อมจะมีส่วนร่วม ประธานาธิบดี Nataša Pirc Musar แห่งสโลวีเนียวิจารณ์การเลือกเชิญว่าส่งสัญญาณว่า "สมาชิก EU ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม" และเสริมว่า "นี่ไม่ใช่ยุโรปที่จะเป็นพันธมิตรที่คู่ควรกับสหรัฐฯ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภาสูงเดือดแน่ ! "สว.อังคณา" ชงญัตติป่วยทิพย์ "ชั้น 14" พรุ่งนี้ ลั่นสิทธิการรักษา "ผู้ต้องขัง" ต้องเท่าเทียม
    https://www.thai-tai.tv/news/17187/
    สภาสูงเดือดแน่ ! "สว.อังคณา" ชงญัตติป่วยทิพย์ "ชั้น 14" พรุ่งนี้ ลั่นสิทธิการรักษา "ผู้ต้องขัง" ต้องเท่าเทียม https://www.thai-tai.tv/news/17187/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้พบปะกับบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ รวมถึงแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ปักกิ่งกำลังพยายามฟื้นฟูธุรกิจเอกชนและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    สีจิ้นผิงได้กล่าว "สุนทรพจน์สำคัญ" ในงานประชุมที่จัดขึ้นในเมืองหลวงของจีน หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนธุรกิจ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐ

    หม่าได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงร่วมกับโรบิน เจิ้ง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำ และหวาง ซิง หัวหน้าบริษัท Meituan ซึ่งสื่อของรัฐรายงานนั้นว่าเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei และเล่ย จุน หัวหน้าบริษัท Xiaomi ได้กล่าวปราศรัยต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง

    โพนี่ หม่า หัวหน้าบริษัท Tencent และหวาง ชวนฟู่ ประธานบริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และหวาง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหุ่นยนต์ Unitree เข้าร่วมงานด้วย

    ปักกิ่งได้พยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนและเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากดำเนินแคมเปญมาหลายปีเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ

    หม่าเป็นเหยื่อรายสำคัญที่สุดในการปราบปรามเทคโนโลยีของปักกิ่ง และส่วนใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาแทรกแซงอย่างดุเดือดในช่วงปลายปี 2020 เพื่อยกเลิกการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกของ Ant Financial Group ตามแผน

    การที่หม่าเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันจันทร์ถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์จากปักกิ่งเพื่อยืนยันทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นต่อภาคเอกชน นักวิเคราะห์กล่าว

    จาง เซียวหยาน ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวในการประชุมที่สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินแห่งเอเชียในฮ่องกง

    เธอเสริมว่ารัฐบาลต้องการ "สร้างความเชื่อมั่น" ให้กับบริษัทจีน

    การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอกชน ขณะที่ผู้บริหารต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกกล่าวหาและการกักขังหลายครั้งโดยหน่วยงานท้องถิ่น
    ในอดีต สี จิ้นผิงเคยใช้การประชุมกับผู้นำธุรกิจเพื่อสัญญาว่าจะลดหย่อนภาษีและให้โอกาสกับรัฐวิสาหกิจอย่างเท่าเทียมกัน

    การเกิดขึ้นของโมเดลปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัยจากสตาร์ทอัพ DeepSeek ช่วยกระตุ้นความสนใจในเทคโนโลยีของจีนอีกครั้ง และจุดประกายให้ตลาดกระทิงเป็นดัชนีอ้างอิงหลักของหุ้นเทคโนโลยีของประเทศ

    ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 30 แห่งที่จดทะเบียนในฮ่องกง เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนตอบรับต่อความก้าวหน้าของ DeepSeek และข้อความเชิงบวกของปักกิ่งต่อภาคเทคโนโลยี

    https://www.ft.com/content/ac8da614-6bd4-4328-a522-a1712986d73f
    ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้พบปะกับบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ รวมถึงแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ปักกิ่งกำลังพยายามฟื้นฟูธุรกิจเอกชนและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สีจิ้นผิงได้กล่าว "สุนทรพจน์สำคัญ" ในงานประชุมที่จัดขึ้นในเมืองหลวงของจีน หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนธุรกิจ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐ หม่าได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงร่วมกับโรบิน เจิ้ง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำ และหวาง ซิง หัวหน้าบริษัท Meituan ซึ่งสื่อของรัฐรายงานนั้นว่าเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei และเล่ย จุน หัวหน้าบริษัท Xiaomi ได้กล่าวปราศรัยต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง โพนี่ หม่า หัวหน้าบริษัท Tencent และหวาง ชวนฟู่ ประธานบริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และหวาง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหุ่นยนต์ Unitree เข้าร่วมงานด้วย ปักกิ่งได้พยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนและเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากดำเนินแคมเปญมาหลายปีเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ หม่าเป็นเหยื่อรายสำคัญที่สุดในการปราบปรามเทคโนโลยีของปักกิ่ง และส่วนใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาแทรกแซงอย่างดุเดือดในช่วงปลายปี 2020 เพื่อยกเลิกการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกของ Ant Financial Group ตามแผน การที่หม่าเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันจันทร์ถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์จากปักกิ่งเพื่อยืนยันทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นต่อภาคเอกชน นักวิเคราะห์กล่าว จาง เซียวหยาน ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวในการประชุมที่สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินแห่งเอเชียในฮ่องกง เธอเสริมว่ารัฐบาลต้องการ "สร้างความเชื่อมั่น" ให้กับบริษัทจีน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอกชน ขณะที่ผู้บริหารต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกกล่าวหาและการกักขังหลายครั้งโดยหน่วยงานท้องถิ่น ในอดีต สี จิ้นผิงเคยใช้การประชุมกับผู้นำธุรกิจเพื่อสัญญาว่าจะลดหย่อนภาษีและให้โอกาสกับรัฐวิสาหกิจอย่างเท่าเทียมกัน การเกิดขึ้นของโมเดลปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัยจากสตาร์ทอัพ DeepSeek ช่วยกระตุ้นความสนใจในเทคโนโลยีของจีนอีกครั้ง และจุดประกายให้ตลาดกระทิงเป็นดัชนีอ้างอิงหลักของหุ้นเทคโนโลยีของประเทศ ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 30 แห่งที่จดทะเบียนในฮ่องกง เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนตอบรับต่อความก้าวหน้าของ DeepSeek และข้อความเชิงบวกของปักกิ่งต่อภาคเทคโนโลยี https://www.ft.com/content/ac8da614-6bd4-4328-a522-a1712986d73f
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่

    แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา

    ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ

    ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ

    การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก
    โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว

    นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก

    สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ 

    สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที

    อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

    ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6%

    ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
    สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้

    การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน

    อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

    คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง

    การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง

    ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ

    แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร

    ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่ แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ  สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6% ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้ การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • การผลิตเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis)

    เกิดขึ้นในไขกระดูกภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอีริโทรโพอีติน (erythropoietin-EPO) ไฟโบรบลาสต์ระหว่างหลอดไตสร้างอีริโทรโพอีติน เพื่อตอบสนองต่อการส่งออกซิเจน ที่ลดลง (เช่น ในโรคโลหิตจางหรือภาวะขาดออกซิเจน) นอกจากอีริโทรโพอีตินแล้ว การผลิตเม็ดเลือดแดงยังต้องการสารตั้งต้นที่เพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลตและฮีม

    เม็ดเลือดแดงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 120 วัน จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะสูญเสียเยื่อหุ้มเซลล์และส่วนใหญ่จะถูกกำจัดออกจากระบบไหลเวียนเลือดโดยเซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินเซลล์ของม้ามและในตับด้วย ฮีโมโกลบินจะถูกย่อยสลายโดยระบบฮีมออกซิเจเนสเป็นหลัก โดยจะรักษา (และนำกลับมาใช้ใหม่) ของธาตุเหล็ก ย่อยสลายฮีมให้เป็นบิลิรูบินผ่านขั้นตอนของเอนไซม์ชุดหนึ่ง และนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ การรักษาจำนวนเม็ดเลือดแดงให้คงที่นั้นต้องอาศัยการสร้างเซลล์ใหม่ 1/120 เซลล์ทุกวัน และเม็ดเลือดแดงผลิตได้เฉลี่ยนาทีละ 25 ล้านเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มที่ (เรติคิวโลไซต์-reticulocytes) จะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและคิดเป็น 0.5 ถึง 2.5% ของประชากรเม็ดเลือดแดงรอบนอกในผู้ใหญ่

    เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริต (Hct) จะลดลงเล็กน้อยแต่ไม่ต่ำกว่าค่าปกติ ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของระดับเม็ดเลือดแดงต่ำคือการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรังอันเป็นผลจากการมีประจำเดือน

    ธาตุเหล็กมีมากในอาหารดังต่อไปนี้

    หอย

    หอยเป็นอาหารที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ หอยทุกชนิดมีธาตุเหล็กสูง แต่หอยตลับ หอยนางรม และหอยแมลงภู่เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีโดยเฉพาะ

    ตัวอย่างเช่น หอยตลับ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) อาจมีธาตุเหล็กสูงถึง 3 มก. ซึ่งคิดเป็น 17% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    อย่างไรก็ตาม ปริมาณธาตุเหล็กในหอยตลับนั้นผันผวนมาก และหอยตลับบางชนิดอาจมีธาตุเหล็กน้อยกว่ามาก

    ธาตุเหล็กในหอยตลับคือธาตุเหล็กในรูปแบบฮีม ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งพบในพืช

    ในความเป็นจริง หอยเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ที่ดีต่อหัวใจ

    EPA และ FDA แนะนำให้กินอาหารทะเล 2 ถึง 3 จานต่อสัปดาห์จากรายการ "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ซึ่งรวมถึงหอยเช่น หอยตลับ หอยนางรม และหอยเชลล์

    ผักโขม

    มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายแต่มีแคลอรี่น้อยมาก

    ผักโขมดิบประมาณ 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. หรือ 15% ของ DV ( คำแนะนำการบริโภคต่อวัน)
    แม้ว่านี่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งดูดซึมได้ไม่ดีนัก แต่ผักโขมก็อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมาก

    ผักโขมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ลดการอักเสบ และปกป้องดวงตาของคุณจากโรคต่างๆ

    การรับประทานผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ ที่มีไขมันจะช่วยให้ร่างกายดูดซับแคโรทีนอยด์ได้ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานไขมันที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอกกับผักโขม

    ตับและเครื่องในอื่นๆ

    มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประเภทที่นิยมรับประทาน ได้แก่ ตับ ไต สมอง และหัวใจ ซึ่งล้วนมีธาตุเหล็กสูง

    ตัวอย่างเช่น ตับวัว 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.5 มก. หรือ 36% ของ DV

    เครื่องในสัตว์ยังมีโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยวิตามินบี ทองแดง และซีลีเนียม

    ตับมีวิตามินเอสูงเป็นพิเศษ โดยให้มากถึง 1,049% ของ DV ต่อ 3.5 ออนซ์

    ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องในสัตว์ยังเป็นแหล่งโคลีนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพสมองและตับที่หลายคนไม่ได้รับอย่างเพียงพอ

    พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งธาตุเหล็กชั้นดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ ถั่วเลนทิลปรุงสุก 1 ถ้วย (198 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.6 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 37% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    ถั่ว

    ถั่วดำ ถั่วเนวี่ และถั่วแดง ล้วนช่วยเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายได้รับได้อย่างง่ายดาย

    ถั่วดำปรุงสุก 1 ถ้วย (86 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.8 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 10% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    พืชตระกูลถั่วยังเป็นแหล่งโฟเลต แมกนีเซียม และโพแทสเซียมที่ดีอีกด้วย

    นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าถั่วและพืชตระกูลถั่วชนิดอื่นๆ สามารถลดการอักเสบในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมได้อีกด้วย

    นอกจากนี้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ดี พืชตระกูลถั่วมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้สูงมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดการบริโภคแคลอรี่ และส่งเสริมแบคทีเรียในลำไส้ที่มีสุขภาพดี ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนัก การอักเสบ และความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง

    แต่มีข้อควรระวังคือ ถั่วทุกชนิดนำไปสู่กรดไหลย้อน

    เนื้อแดง

    มีคุณค่าทางโภชนาการและน่าพอใจ เนื้อบด 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. ซึ่งคิดเป็น 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    เนื้อสัตว์ยังอุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ซีลีเนียม และวิตามินบีหลายชนิด

    นักวิจัยแนะนำว่าผู้ที่กินเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และปลาเป็นประจำอาจมีแนวโน้มขาดธาตุเหล็กน้อยลง

    ในความเป็นจริง เนื้อแดงอาจเป็นแหล่งธาตุเหล็กฮีมที่หาได้ง่ายที่สุด จึงอาจทำให้เนื้อแดงเป็นอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคโลหิตจางได้

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดงน้อยกว่า 2 ออนซ์ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะได้รับสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โพแทสเซียม และวิตามินดีไม่เพียงพอมากกว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดง 2 ถึง 3 ออนซ์ต่อวัน

    เมล็ดฟักทอง

    เป็นอาหารว่างที่อร่อยและพกพาสะดวก

    เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.5 มก. ซึ่งคิดเป็น 14% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค สังกะสี และแมงกานีส นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแมกนีเซียมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งเป็นภาวะขาดแคลนอาหารที่พบบ่อย

    เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีแมกนีเซียม 40% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า

    บรอกโคลี

    มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก บรอกโคลีปรุงสุก 1 ถ้วย (156 กรัม) มีธาตุเหล็ก 1 มก. ซึ่งคิดเป็น 6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
    นอกจากนี้ บร็อคโคลี 1 มื้อยังมีวิตามินซี 112% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

    ปริมาณที่รับประทานเท่ากันนี้ยังมีโฟเลตสูงและมีไฟเบอร์ 5 กรัม รวมถึงวิตามินเคอีกด้วย บร็อคโคลีเป็นสมาชิกของตระกูลผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งรวมถึงกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ คะน้า และกะหล่ำปลี

    ผักตระกูลกะหล่ำมีอินโดล ซัลโฟราเฟน และกลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่เชื่อว่าช่วยป้องกันมะเร็ง

    โกโก้และช็อกโกแลตดำ

    มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญคล้ายกับสารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่

    การศึกษายังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า โกโก้และช็อกโกแลตมีผลดีต่อคอเลสเตอรอลและอาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง

    อย่างไรก็ตาม โกโก้และช็อกโกแลตไม่ได้ถูกผลิตมาเท่าเทียมกันทั้งหมด เชื่อกันว่าสารประกอบที่เรียกว่าฟลาโวนอลเป็นสารที่รับผิดชอบต่อประโยชน์ของพวกเขาและปริมาณฟลาโวนอลในช็อกโกแลตดำสูงกว่าช็อกโกแลตนมมาก

    ดังนั้น จึงควรบริโภคช็อกโกแลตที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมอย่างน้อย 70% เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

    ปลา

    เป็นส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และปลาบางชนิด เช่น ปลาทูน่า มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ

    อันที่จริง ปลาทูน่ากระป๋อง 3 ออนซ์ (85 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.4 มก. ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    ปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีต่อหัวใจชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งเสริมสุขภาพสมอง เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่แข็งแรง

    นอกจากปลาทูน่าแล้ว ปลาแฮดด็อก ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนแล้ว ยังมีปลาอีกไม่กี่ชนิดที่มีธาตุเหล็กสูงซึ่งคุณสามารถนำมารับประทานได้

    วิตามินบี 12

    วิตามินบี 12 (ไซยาโนโคบาลามิน) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเกี่ยวกับระบบประสาท หากขาดจะเกิดอาการโลหิตจางได้ มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ พบในกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่แดง โยเกิร์ต

    ปริมาณที่ควรได้รับ

    วัยเด็ก 4-8 ปี 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยรุ่น 9-12 ปี 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยรุ่น 13-18 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยผู้ใหญ่ 19-71 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
    โฟเลตหรือกรดโฟลิก ( Folic acid)

    โฟเลตหรือกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นสารอาหารที่หาง่าย สามารถพบได้ใน ผักสดใบเขียว คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักปวยเล้ง บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลิสง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ อะโวคาโด เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย

    โฟเลตเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและขับออกทางปัสสาวะ

    โฟเลตกับความจำเป็นในชีวิตวัยต่างๆ

    -หญิงสาว โฟลิกจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยทดแทนการสูญเสียเลือดในแต่ละเดือน ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงเมื่อรับประทานร่วมกับพาบาและวิตามินบี และยังพบว่ามีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสตรีอีกด้วย

    -หญิงตั้งครรภ์ นอกจากช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อการเจริญของลูกในครรภ์และเตรียมสำรองเลือดเผื่อไว้ตอนคลอดแล้ว โฟลิกยังช่วยการสร้างเนื้อเยื่อของลูกในครรภ์ สร้างเซลล์ประสาทสมองช่วยลดความพิการแต่กำเนิด ช่วยความฉลาดและเชาว์ปัญญาของลูกที่จะเกิดมาและยังช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร

    -โฟเลตในเด็กทารก ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เป็นตัวการสำคัญในการสร้างกรดนิวคลิอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกายและสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมรวมถึงสีผิวของทารก

    สร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมัสให้แก่ทารกแรกเกิด และเด็กเล็ก
    -ทุกเพศทุกวัย โฟเลตจะช่วยการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล และกรดอะมิโนผ่านทางขบวนการระดับเซลล์ป้องกันเบาหวาน

    -ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง

    - กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริกซึ่งช่วยในการป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ

    -ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    -ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีนและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่

    -กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยไขมันและการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นและวิตามินเอ ดี อี เค

    -ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น ในรายที่รู้สึกเบื่ออาหาร

    -โฟเลตสามารถช่วยป้องกันหัวใจได้หลายวิธี ประการแรก โฟเลตสามารถช่วยลดสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการปวดหน้าอก และลดอัตราการตายลงด้วย

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำสำหรับเม็ดเลือดแดง

    น้ำปั่นป๋า
    โกโก้ป๋า
    Glap
    Whole c

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    การผลิตเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis) เกิดขึ้นในไขกระดูกภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอีริโทรโพอีติน (erythropoietin-EPO) ไฟโบรบลาสต์ระหว่างหลอดไตสร้างอีริโทรโพอีติน เพื่อตอบสนองต่อการส่งออกซิเจน ที่ลดลง (เช่น ในโรคโลหิตจางหรือภาวะขาดออกซิเจน) นอกจากอีริโทรโพอีตินแล้ว การผลิตเม็ดเลือดแดงยังต้องการสารตั้งต้นที่เพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลตและฮีม เม็ดเลือดแดงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 120 วัน จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะสูญเสียเยื่อหุ้มเซลล์และส่วนใหญ่จะถูกกำจัดออกจากระบบไหลเวียนเลือดโดยเซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินเซลล์ของม้ามและในตับด้วย ฮีโมโกลบินจะถูกย่อยสลายโดยระบบฮีมออกซิเจเนสเป็นหลัก โดยจะรักษา (และนำกลับมาใช้ใหม่) ของธาตุเหล็ก ย่อยสลายฮีมให้เป็นบิลิรูบินผ่านขั้นตอนของเอนไซม์ชุดหนึ่ง และนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ การรักษาจำนวนเม็ดเลือดแดงให้คงที่นั้นต้องอาศัยการสร้างเซลล์ใหม่ 1/120 เซลล์ทุกวัน และเม็ดเลือดแดงผลิตได้เฉลี่ยนาทีละ 25 ล้านเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มที่ (เรติคิวโลไซต์-reticulocytes) จะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและคิดเป็น 0.5 ถึง 2.5% ของประชากรเม็ดเลือดแดงรอบนอกในผู้ใหญ่ เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริต (Hct) จะลดลงเล็กน้อยแต่ไม่ต่ำกว่าค่าปกติ ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของระดับเม็ดเลือดแดงต่ำคือการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรังอันเป็นผลจากการมีประจำเดือน ธาตุเหล็กมีมากในอาหารดังต่อไปนี้ หอย หอยเป็นอาหารที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ หอยทุกชนิดมีธาตุเหล็กสูง แต่หอยตลับ หอยนางรม และหอยแมลงภู่เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น หอยตลับ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) อาจมีธาตุเหล็กสูงถึง 3 มก. ซึ่งคิดเป็น 17% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณธาตุเหล็กในหอยตลับนั้นผันผวนมาก และหอยตลับบางชนิดอาจมีธาตุเหล็กน้อยกว่ามาก ธาตุเหล็กในหอยตลับคือธาตุเหล็กในรูปแบบฮีม ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งพบในพืช ในความเป็นจริง หอยเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ที่ดีต่อหัวใจ EPA และ FDA แนะนำให้กินอาหารทะเล 2 ถึง 3 จานต่อสัปดาห์จากรายการ "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ซึ่งรวมถึงหอยเช่น หอยตลับ หอยนางรม และหอยเชลล์ ผักโขม มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายแต่มีแคลอรี่น้อยมาก ผักโขมดิบประมาณ 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. หรือ 15% ของ DV ( คำแนะนำการบริโภคต่อวัน) แม้ว่านี่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งดูดซึมได้ไม่ดีนัก แต่ผักโขมก็อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมาก ผักโขมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ลดการอักเสบ และปกป้องดวงตาของคุณจากโรคต่างๆ การรับประทานผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ ที่มีไขมันจะช่วยให้ร่างกายดูดซับแคโรทีนอยด์ได้ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานไขมันที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอกกับผักโขม ตับและเครื่องในอื่นๆ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประเภทที่นิยมรับประทาน ได้แก่ ตับ ไต สมอง และหัวใจ ซึ่งล้วนมีธาตุเหล็กสูง ตัวอย่างเช่น ตับวัว 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.5 มก. หรือ 36% ของ DV เครื่องในสัตว์ยังมีโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยวิตามินบี ทองแดง และซีลีเนียม ตับมีวิตามินเอสูงเป็นพิเศษ โดยให้มากถึง 1,049% ของ DV ต่อ 3.5 ออนซ์ ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องในสัตว์ยังเป็นแหล่งโคลีนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพสมองและตับที่หลายคนไม่ได้รับอย่างเพียงพอ พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งธาตุเหล็กชั้นดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ ถั่วเลนทิลปรุงสุก 1 ถ้วย (198 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.6 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 37% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ถั่ว ถั่วดำ ถั่วเนวี่ และถั่วแดง ล้วนช่วยเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายได้รับได้อย่างง่ายดาย ถั่วดำปรุงสุก 1 ถ้วย (86 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.8 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 10% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน พืชตระกูลถั่วยังเป็นแหล่งโฟเลต แมกนีเซียม และโพแทสเซียมที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าถั่วและพืชตระกูลถั่วชนิดอื่นๆ สามารถลดการอักเสบในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมได้อีกด้วย นอกจากนี้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ดี พืชตระกูลถั่วมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้สูงมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดการบริโภคแคลอรี่ และส่งเสริมแบคทีเรียในลำไส้ที่มีสุขภาพดี ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนัก การอักเสบ และความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง แต่มีข้อควรระวังคือ ถั่วทุกชนิดนำไปสู่กรดไหลย้อน เนื้อแดง มีคุณค่าทางโภชนาการและน่าพอใจ เนื้อบด 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. ซึ่งคิดเป็น 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน เนื้อสัตว์ยังอุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ซีลีเนียม และวิตามินบีหลายชนิด นักวิจัยแนะนำว่าผู้ที่กินเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และปลาเป็นประจำอาจมีแนวโน้มขาดธาตุเหล็กน้อยลง ในความเป็นจริง เนื้อแดงอาจเป็นแหล่งธาตุเหล็กฮีมที่หาได้ง่ายที่สุด จึงอาจทำให้เนื้อแดงเป็นอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคโลหิตจางได้ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดงน้อยกว่า 2 ออนซ์ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะได้รับสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โพแทสเซียม และวิตามินดีไม่เพียงพอมากกว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดง 2 ถึง 3 ออนซ์ต่อวัน เมล็ดฟักทอง เป็นอาหารว่างที่อร่อยและพกพาสะดวก เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.5 มก. ซึ่งคิดเป็น 14% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค สังกะสี และแมงกานีส นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแมกนีเซียมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งเป็นภาวะขาดแคลนอาหารที่พบบ่อย เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีแมกนีเซียม 40% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า บรอกโคลี มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก บรอกโคลีปรุงสุก 1 ถ้วย (156 กรัม) มีธาตุเหล็ก 1 มก. ซึ่งคิดเป็น 6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้ บร็อคโคลี 1 มื้อยังมีวิตามินซี 112% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น ปริมาณที่รับประทานเท่ากันนี้ยังมีโฟเลตสูงและมีไฟเบอร์ 5 กรัม รวมถึงวิตามินเคอีกด้วย บร็อคโคลีเป็นสมาชิกของตระกูลผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งรวมถึงกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ คะน้า และกะหล่ำปลี ผักตระกูลกะหล่ำมีอินโดล ซัลโฟราเฟน และกลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่เชื่อว่าช่วยป้องกันมะเร็ง โกโก้และช็อกโกแลตดำ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญคล้ายกับสารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่ การศึกษายังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า โกโก้และช็อกโกแลตมีผลดีต่อคอเลสเตอรอลและอาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม โกโก้และช็อกโกแลตไม่ได้ถูกผลิตมาเท่าเทียมกันทั้งหมด เชื่อกันว่าสารประกอบที่เรียกว่าฟลาโวนอลเป็นสารที่รับผิดชอบต่อประโยชน์ของพวกเขาและปริมาณฟลาโวนอลในช็อกโกแลตดำสูงกว่าช็อกโกแลตนมมาก ดังนั้น จึงควรบริโภคช็อกโกแลตที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมอย่างน้อย 70% เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ปลา เป็นส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และปลาบางชนิด เช่น ปลาทูน่า มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ อันที่จริง ปลาทูน่ากระป๋อง 3 ออนซ์ (85 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.4 มก. ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีต่อหัวใจชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งเสริมสุขภาพสมอง เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่แข็งแรง นอกจากปลาทูน่าแล้ว ปลาแฮดด็อก ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนแล้ว ยังมีปลาอีกไม่กี่ชนิดที่มีธาตุเหล็กสูงซึ่งคุณสามารถนำมารับประทานได้ วิตามินบี 12 วิตามินบี 12 (ไซยาโนโคบาลามิน) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเกี่ยวกับระบบประสาท หากขาดจะเกิดอาการโลหิตจางได้ มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ พบในกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่แดง โยเกิร์ต ปริมาณที่ควรได้รับ วัยเด็ก 4-8 ปี 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน วัยรุ่น 9-12 ปี 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน วัยรุ่น 13-18 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน วัยผู้ใหญ่ 19-71 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน โฟเลตหรือกรดโฟลิก ( Folic acid) โฟเลตหรือกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นสารอาหารที่หาง่าย สามารถพบได้ใน ผักสดใบเขียว คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักปวยเล้ง บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลิสง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ อะโวคาโด เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย โฟเลตเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและขับออกทางปัสสาวะ โฟเลตกับความจำเป็นในชีวิตวัยต่างๆ -หญิงสาว โฟลิกจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยทดแทนการสูญเสียเลือดในแต่ละเดือน ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงเมื่อรับประทานร่วมกับพาบาและวิตามินบี และยังพบว่ามีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสตรีอีกด้วย -หญิงตั้งครรภ์ นอกจากช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อการเจริญของลูกในครรภ์และเตรียมสำรองเลือดเผื่อไว้ตอนคลอดแล้ว โฟลิกยังช่วยการสร้างเนื้อเยื่อของลูกในครรภ์ สร้างเซลล์ประสาทสมองช่วยลดความพิการแต่กำเนิด ช่วยความฉลาดและเชาว์ปัญญาของลูกที่จะเกิดมาและยังช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร -โฟเลตในเด็กทารก ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เป็นตัวการสำคัญในการสร้างกรดนิวคลิอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกายและสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมรวมถึงสีผิวของทารก สร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมัสให้แก่ทารกแรกเกิด และเด็กเล็ก -ทุกเพศทุกวัย โฟเลตจะช่วยการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล และกรดอะมิโนผ่านทางขบวนการระดับเซลล์ป้องกันเบาหวาน -ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง - กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริกซึ่งช่วยในการป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ -ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น -ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีนและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ -กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยไขมันและการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นและวิตามินเอ ดี อี เค -ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น ในรายที่รู้สึกเบื่ออาหาร -โฟเลตสามารถช่วยป้องกันหัวใจได้หลายวิธี ประการแรก โฟเลตสามารถช่วยลดสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการปวดหน้าอก และลดอัตราการตายลงด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำสำหรับเม็ดเลือดแดง น้ำปั่นป๋า โกโก้ป๋า Glap Whole c ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 350 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเด็นบางส่วนที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีต เฮกเซธ กล่าวในการประชุมกลาโหมที่สำนักงานใหญ่นาโต้ กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม:

    - การสูญเสียเลือดเนื้อควรต้องยุติลง
    - การกลับใช้พรมแดนของยูเครนก่อนปี 2014 คงเป็นเป้าหมายที่ไม่สมจริง และจะยิ่งเพิ่มปัญหาเข้าไปอีก
    - สหรัฐไม่เชื่อว่าการเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนจะเป็นไปได้จากการเจรจาที่กำลังจะมีขึ้น
    - ในอนาคตหากมีกองกำลังรักษาสันติภาพของนาโต้อยู่ในยูเครน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ายูเครนจะอยู่ภายใต้มาตรา 5 ของกฎบัตรนาโต้
    - สหรัฐจะไม่ส่งกองกำลังเข้ามาในยูเครน การมีทหารสหรัฐไม่ได้หมายความว่าจะรับประกันความปลอดภัยให้ยูเครนได้
    - สหรัฐกำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่อพรมแดนของตนเอง และจะมุ่งเน้นไปที่การปกป้องพรมแดนเหล่านั้น
    - ยุโรปควรให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนมากขึ้นกว่าเดิม
    - การใช้จ่ายทางทหารเพียง 2% ยังไม่เพียงพอ ยุโรปควรเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารเป็น 5% ของ GDP
    - จีนคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามต่อพรมแดนสหรัฐฯ และสหรัฐจะมุ่งเน้นไปที่ภัยคุกคามดังกล่าว
    - สหรัฐจะไม่ทนต่อนโยบายการป้องกันที่ไม่เท่าเทียมของนาโตอีกต่อไป ซึ่งมีแต่การพึ่งพาสหรัฐ
    ประเด็นบางส่วนที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีต เฮกเซธ กล่าวในการประชุมกลาโหมที่สำนักงานใหญ่นาโต้ กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม: - การสูญเสียเลือดเนื้อควรต้องยุติลง - การกลับใช้พรมแดนของยูเครนก่อนปี 2014 คงเป็นเป้าหมายที่ไม่สมจริง และจะยิ่งเพิ่มปัญหาเข้าไปอีก - สหรัฐไม่เชื่อว่าการเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนจะเป็นไปได้จากการเจรจาที่กำลังจะมีขึ้น - ในอนาคตหากมีกองกำลังรักษาสันติภาพของนาโต้อยู่ในยูเครน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ายูเครนจะอยู่ภายใต้มาตรา 5 ของกฎบัตรนาโต้ - สหรัฐจะไม่ส่งกองกำลังเข้ามาในยูเครน การมีทหารสหรัฐไม่ได้หมายความว่าจะรับประกันความปลอดภัยให้ยูเครนได้ - สหรัฐกำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่อพรมแดนของตนเอง และจะมุ่งเน้นไปที่การปกป้องพรมแดนเหล่านั้น - ยุโรปควรให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนมากขึ้นกว่าเดิม - การใช้จ่ายทางทหารเพียง 2% ยังไม่เพียงพอ ยุโรปควรเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารเป็น 5% ของ GDP - จีนคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามต่อพรมแดนสหรัฐฯ และสหรัฐจะมุ่งเน้นไปที่ภัยคุกคามดังกล่าว - สหรัฐจะไม่ทนต่อนโยบายการป้องกันที่ไม่เท่าเทียมของนาโตอีกต่อไป ซึ่งมีแต่การพึ่งพาสหรัฐ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)**
    หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    ---

    ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา**
    - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้
    - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ

    2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)**
    - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง)

    3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์**
    - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

    ---

    ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง**
    - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น
    - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง

    2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ**
    - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์

    3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร**
    - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต**
    - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง

    ---

    ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก**
    1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)**
    - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI)

    2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น**
    - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม

    3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด**
    - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ

    4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร**
    - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน

    5. **มาตรการระดับสากล**
    - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม

    ---

    ### **กรณีศึกษา**
    - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว
    - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ

    ---

    **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)** หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง --- ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา** - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้ - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ 2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)** - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง) 3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์** - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ --- ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง** - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง 2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ** - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์ 3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร** - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต** - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง --- ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก** 1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)** - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI) 2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น** - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม 3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด** - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ 4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร** - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน 5. **มาตรการระดับสากล** - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม --- ### **กรณีศึกษา** - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ --- **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI:

    ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)**
    - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
    - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)**
    - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้
    - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล

    ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)**
    - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้
    - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน

    ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)**
    - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล
    - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล

    ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)**
    - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง
    - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ

    ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)**
    - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย
    - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย

    ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)**
    - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ
    - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย

    ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)**
    - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ
    - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

    ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)**
    - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล
    - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)**
    - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล
    - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล

    ### จริยธรรมและความเสี่ยง
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด

    ### สรุป
    AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI: ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)** - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)** - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้ - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)** - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้ - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)** - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)** - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)** - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)** - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)** - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)** - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)** - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล ### จริยธรรมและความเสี่ยง การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด ### สรุป AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google เป็นบริษัทระดับโลกรายล่าสุดที่บอกลานโยบายความเท่าเทียมหรือ DEI ตามทิศทางนโยบายของทรัมป์

    มีรายานว่า Google กำลังกลับมาใช้วิธีการจ้างพนักงานตามความสามารถ จากเดิมที่จะเน้นไปที่กลุ่ม DEI เป็นพิเศษ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางใหม่ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว

    โดยบริษัทได้ลดความสำคัญของนโยบายด้านความหลากหลาย (Diversity), ความเท่าเทียม (Equity), และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Inclusion) หรือที่เรียกว่านโยบาย DEI

    นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย DEI ในรายงานประจำปีของ Google ได้ถูกถอดออกจากรายงานฉบับล่าสุด อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Google ได้ออกมายืนยันว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เท่าเทียม และเปิดโอกาสให้กับพนักงานทุกคน

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้า Google มีบริษัทขนาดใหญหลายแห่งที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบาย DEI ไปก่อนแล้ว เช่น Meta, Amazon, Pepsi, McDonald's, Walmart ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้ลดหรือละทิ้งแนวทาง DEI ของตน โดยมีปัจจัยด้านแรงกดดันจากภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ

    Google เป็นบริษัทระดับโลกรายล่าสุดที่บอกลานโยบายความเท่าเทียมหรือ DEI ตามทิศทางนโยบายของทรัมป์ มีรายานว่า Google กำลังกลับมาใช้วิธีการจ้างพนักงานตามความสามารถ จากเดิมที่จะเน้นไปที่กลุ่ม DEI เป็นพิเศษ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางใหม่ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว โดยบริษัทได้ลดความสำคัญของนโยบายด้านความหลากหลาย (Diversity), ความเท่าเทียม (Equity), และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Inclusion) หรือที่เรียกว่านโยบาย DEI นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย DEI ในรายงานประจำปีของ Google ได้ถูกถอดออกจากรายงานฉบับล่าสุด อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Google ได้ออกมายืนยันว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เท่าเทียม และเปิดโอกาสให้กับพนักงานทุกคน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้า Google มีบริษัทขนาดใหญหลายแห่งที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบาย DEI ไปก่อนแล้ว เช่น Meta, Amazon, Pepsi, McDonald's, Walmart ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้ลดหรือละทิ้งแนวทาง DEI ของตน โดยมีปัจจัยด้านแรงกดดันจากภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี่อาชีพในสังคมจีนโบราณ

    ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> จะยังจำได้ไหมว่าในตอนต้นเรื่องนั้น จางผิงผู้เป็นบัณฑิตตกยากออกมาขายของกินยามค่ำคืนกับเพื่อนซี้ เขาโดนคนที่เดินผ่านมาถากถางว่าเป็นบัณฑิตแต่กลับไม่รักดีมาขายของโดยสาธยายว่า “ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด” (士农工商 商为最贱)

    ‘บัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้า’ หรือที่เรียกว่า ‘ซื่อหนงกงซัง” (士农工商) นั้น เป็นสี่หมวดอาชีพในสังคมจีนโบราณโดยในประโยคที่ยกมาจากในละครข้างต้นได้จัดเรียงลำดับชนชั้นจากความสูงส่งไปจนต่ำต้อย

    แล้วในสมัยจีนโบราณอาชีพพ่อค้าต่ำต้อยที่สุดจริงหรือ?

    จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ แรกเริ่มเลยในสมัยราชวงศ์ซาง (1600-1050 ก่อนคริสตกาล) การเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่คนชอบ ทำให้มีเกษตรกรน้อย ต่อมาในราชวงศ์ถัดๆ ไปจึงถูกมองว่านั่นทำให้รากฐานสังคมไม่แข็งแรงและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของราชวงศ์ซาง ในสมัยราชวงศ์โจวจึงมีการสนับสนุนให้ประชาชนทำการเกษตรมากกว่าการค้า

    ในยุคสมัยชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) สี่หมวดอาชีพ ‘ซื่อหนงกงซัง’ นี้ถูกรวมกันเป็น ‘ซื่อหมิน’ (四民 แปลตรงตัวว่า ‘สี่ประชาชน’ หมายถึงสี่อาชีพ) ในบันทึกสั้นโบราณว่าด้วยปรัชญาการปกครองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เสี่ยวควง’ ของก่วนจ้ง อัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉีในยุคสมัยชุนชิว ซึ่งต่อมาถูกผนวกรวมเข้าไปไว้ในหมวดที่สามของประมวลสาส์นสี่พระคลัง (四库全书 / ซื่อคู่เฉวียนซู) ที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง

    ก่วนจ้งเองมาจากครอบครัวพ่อค้า เขามองอาชีพพ่อค้าเป็นอาชีพเท่าเทียมกับอาชีพอื่น ข้อความเดิมของเขาระบุไว้ว่า ‘ซื่อหนงกงซังสี่ประชาชนนั้น ล้วนเป็นศิลารากฐานแห่งประเทศชาติ’ โดยมีนัยว่าสังคมจะขาดหนึ่งกลุ่มอาชีพใดไม่ได้ และก่วนจ้งไม่ได้มีการจัดแบ่งชนชั้นต่ำสูง แต่ให้แง่คิดสำหรับระบบการปกครองว่าควรจัดสรรที่ดินทำกินและเขตพำนักให้เหมาะสมกับกลุ่มอาชีพ เพราะแต่ละกลุ่มจะมีความสันทัดและมีรูปแบบชีวิตของตน และหากคนในวิชาชีพเดียวกันได้อยู่ด้วยกันจะสืบทอดและพัฒนาความรู้ในวิชาชีพนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังเอื้อต่อการปกครอง (หมายเหตุ ‘ซื่อ’ ไม่เพียงหมายถึงบัณฑิต หากแต่หมายรวมถึงผู้มีการศึกษาสามารถดูแลปกครองผู้อื่นได้ และหมายรวมถึงผู้ที่เข้ารับราชการด้วย)

    จะเห็นได้ว่า แรกเริ่มเลย ‘สี่ประชาชน’ นั้นเป็นการวางระบบการปกครองตามหมวดหมู่วิชาชีพโดยมองทุกกลุ่มชนเท่าเทียมกัน แต่ผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรเกิดในครอบครัวเกษตรกร คนมีการศึกษาเกิดในตระกูลคนมีการศึกษาด้วยกัน พอผ่านไปหลายชั่วคน ประชาชนจะถูกจำกัดให้อยู่ภายในกลุ่มหมวดอาชีพของตนโดยปริยาย

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น ปรัชญาขงจื๊อได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างแพร่หลายและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปกครองบ้านเมือง ผลที่ตามมาคือการยกระดับกลุ่มคนมีการศึกษาขึ้นสูงเหนือกลุ่มอื่น และเริ่มมีการมองอย่างดูแคลนว่าพ่อค้าเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งมากกว่าความเจริญของส่วนรวม นี่ไม่ใช่คำสอนของขงจื๊อ แต่เป็นวิวัฒนาการทางความคิดของสังคมที่ไปในทิศทางนั้น

    ในตำราประวัติศาสตร์สมัยถังต้น (旧唐书¬) มีการบันทึกไว้ว่า ‘ผู้ที่รับเบี้ยหวัดราชการ ห้ามแก่งแย่งผลประโยชน์จากผู้ที่ต่ำกว่า ช่างและพ่อค้าหลากประเภท ห้ามมิให้เข้ารับราชการ’ (食禄之家,不得与下人争利。工商杂类,不得预于士伍。) เป็นที่สังเกตได้ว่ามีการใช้คำ ‘ผู้ที่ต่ำกว่า’ และ ‘หลากประเภท’ ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งแยกต่ำและสูง (หมายเหตุ ‘หลากประเภท’ ในที่นี้เป็นคำเรียกที่สะท้อนความหมายถึงชนชั้นต่ำ) และในสมัยถังไท่จงมีกฎว่า ห้ามไม่ให้ขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปทำการค้า วัตถุประสงค์ของกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่อย่างไรก็ดี มันเสริมสร้างการแบ่งแยกทางชนชั้นด้วยอาชีพ สุดท้ายกลายเป็นการตอกย้ำความเชื่อของสังคมที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’

    แต่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางและปลายของสมัยถัง และได้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์บางอย่าง การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ มีอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในสมัยซ่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง เกิดการคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวางข้ามกลุ่มอาชีพ และพ่อค้ากลับกลายมาเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของสังคม โดยมีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือจุนเจือสังคมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า บทบาทและสถานะทางสังคมของอาชีพต่างๆ แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

    Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดของวิวัฒนาการต่างๆ ทางด้านการปกครองและเศรษฐกิจเพราะเป็นสองศาสตร์วิชาที่ทั้งกว้างทั้งลึก วันนี้จึงเพียงคุยโดยคร่าวให้เพื่อนเพจฟังในแง่ที่ว่า สี่หมวดหมู่อาชีพนี้ เป็นการจัดหมวดหมู่เพื่อการปกครองมาแต่โบราณกาลและเดิมไม่ได้เป็นการตั้งใจแบ่งชนชั้นวรรณะตามอาชีพ เพียงแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไปจนเกิดเป็นการแบ่งแยกให้ชนชั้นที่มีการศึกษาเป็นชั้นสูงและให้พ่อค้าเป็นชนชั้นล่างสุด แต่นี่ไม่ใช่สถานะที่ถาวร หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน

    ละครเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเครื่องแบบข้าราชการแล้วเป็นการอิงตามสมัยถัง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นวลีที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ นี้ในละครเรื่องนี้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.themoviedb.org/tv/128712/images/posters?language=zh-HK
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/531009133
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://ctext.org/guanzi/xiao-kuang/zhs
    http://www.qulishi.com/article/201909/363094.html
    https://www.163.com/dy/article/FLEULDGE0543KAMS.html
    https://www.sxlib.org.cn/dfzy/sczl/wwgjp/qb/201808/t20180806_929973.html
    http://www.rmlt.com.cn/2018/1116/533321.shtml
    http://www.jjckb.cn/2016-12/05/c_135881236.htm#
    http://economy.guoxue.com/?p=888

    #ยอดบุรุษพลิกคดี #สี่อาชีพจีนโบราณ #ซี่อหนงกงซัง #ซื่อหมิน #สี่ประชาชน
    สี่อาชีพในสังคมจีนโบราณ ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> จะยังจำได้ไหมว่าในตอนต้นเรื่องนั้น จางผิงผู้เป็นบัณฑิตตกยากออกมาขายของกินยามค่ำคืนกับเพื่อนซี้ เขาโดนคนที่เดินผ่านมาถากถางว่าเป็นบัณฑิตแต่กลับไม่รักดีมาขายของโดยสาธยายว่า “ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด” (士农工商 商为最贱) ‘บัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้า’ หรือที่เรียกว่า ‘ซื่อหนงกงซัง” (士农工商) นั้น เป็นสี่หมวดอาชีพในสังคมจีนโบราณโดยในประโยคที่ยกมาจากในละครข้างต้นได้จัดเรียงลำดับชนชั้นจากความสูงส่งไปจนต่ำต้อย แล้วในสมัยจีนโบราณอาชีพพ่อค้าต่ำต้อยที่สุดจริงหรือ? จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ แรกเริ่มเลยในสมัยราชวงศ์ซาง (1600-1050 ก่อนคริสตกาล) การเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่คนชอบ ทำให้มีเกษตรกรน้อย ต่อมาในราชวงศ์ถัดๆ ไปจึงถูกมองว่านั่นทำให้รากฐานสังคมไม่แข็งแรงและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของราชวงศ์ซาง ในสมัยราชวงศ์โจวจึงมีการสนับสนุนให้ประชาชนทำการเกษตรมากกว่าการค้า ในยุคสมัยชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) สี่หมวดอาชีพ ‘ซื่อหนงกงซัง’ นี้ถูกรวมกันเป็น ‘ซื่อหมิน’ (四民 แปลตรงตัวว่า ‘สี่ประชาชน’ หมายถึงสี่อาชีพ) ในบันทึกสั้นโบราณว่าด้วยปรัชญาการปกครองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เสี่ยวควง’ ของก่วนจ้ง อัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉีในยุคสมัยชุนชิว ซึ่งต่อมาถูกผนวกรวมเข้าไปไว้ในหมวดที่สามของประมวลสาส์นสี่พระคลัง (四库全书 / ซื่อคู่เฉวียนซู) ที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ก่วนจ้งเองมาจากครอบครัวพ่อค้า เขามองอาชีพพ่อค้าเป็นอาชีพเท่าเทียมกับอาชีพอื่น ข้อความเดิมของเขาระบุไว้ว่า ‘ซื่อหนงกงซังสี่ประชาชนนั้น ล้วนเป็นศิลารากฐานแห่งประเทศชาติ’ โดยมีนัยว่าสังคมจะขาดหนึ่งกลุ่มอาชีพใดไม่ได้ และก่วนจ้งไม่ได้มีการจัดแบ่งชนชั้นต่ำสูง แต่ให้แง่คิดสำหรับระบบการปกครองว่าควรจัดสรรที่ดินทำกินและเขตพำนักให้เหมาะสมกับกลุ่มอาชีพ เพราะแต่ละกลุ่มจะมีความสันทัดและมีรูปแบบชีวิตของตน และหากคนในวิชาชีพเดียวกันได้อยู่ด้วยกันจะสืบทอดและพัฒนาความรู้ในวิชาชีพนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังเอื้อต่อการปกครอง (หมายเหตุ ‘ซื่อ’ ไม่เพียงหมายถึงบัณฑิต หากแต่หมายรวมถึงผู้มีการศึกษาสามารถดูแลปกครองผู้อื่นได้ และหมายรวมถึงผู้ที่เข้ารับราชการด้วย) จะเห็นได้ว่า แรกเริ่มเลย ‘สี่ประชาชน’ นั้นเป็นการวางระบบการปกครองตามหมวดหมู่วิชาชีพโดยมองทุกกลุ่มชนเท่าเทียมกัน แต่ผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรเกิดในครอบครัวเกษตรกร คนมีการศึกษาเกิดในตระกูลคนมีการศึกษาด้วยกัน พอผ่านไปหลายชั่วคน ประชาชนจะถูกจำกัดให้อยู่ภายในกลุ่มหมวดอาชีพของตนโดยปริยาย ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น ปรัชญาขงจื๊อได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างแพร่หลายและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปกครองบ้านเมือง ผลที่ตามมาคือการยกระดับกลุ่มคนมีการศึกษาขึ้นสูงเหนือกลุ่มอื่น และเริ่มมีการมองอย่างดูแคลนว่าพ่อค้าเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งมากกว่าความเจริญของส่วนรวม นี่ไม่ใช่คำสอนของขงจื๊อ แต่เป็นวิวัฒนาการทางความคิดของสังคมที่ไปในทิศทางนั้น ในตำราประวัติศาสตร์สมัยถังต้น (旧唐书¬) มีการบันทึกไว้ว่า ‘ผู้ที่รับเบี้ยหวัดราชการ ห้ามแก่งแย่งผลประโยชน์จากผู้ที่ต่ำกว่า ช่างและพ่อค้าหลากประเภท ห้ามมิให้เข้ารับราชการ’ (食禄之家,不得与下人争利。工商杂类,不得预于士伍。) เป็นที่สังเกตได้ว่ามีการใช้คำ ‘ผู้ที่ต่ำกว่า’ และ ‘หลากประเภท’ ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งแยกต่ำและสูง (หมายเหตุ ‘หลากประเภท’ ในที่นี้เป็นคำเรียกที่สะท้อนความหมายถึงชนชั้นต่ำ) และในสมัยถังไท่จงมีกฎว่า ห้ามไม่ให้ขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปทำการค้า วัตถุประสงค์ของกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่อย่างไรก็ดี มันเสริมสร้างการแบ่งแยกทางชนชั้นด้วยอาชีพ สุดท้ายกลายเป็นการตอกย้ำความเชื่อของสังคมที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ แต่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางและปลายของสมัยถัง และได้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์บางอย่าง การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ มีอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในสมัยซ่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง เกิดการคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวางข้ามกลุ่มอาชีพ และพ่อค้ากลับกลายมาเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของสังคม โดยมีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือจุนเจือสังคมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า บทบาทและสถานะทางสังคมของอาชีพต่างๆ แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดของวิวัฒนาการต่างๆ ทางด้านการปกครองและเศรษฐกิจเพราะเป็นสองศาสตร์วิชาที่ทั้งกว้างทั้งลึก วันนี้จึงเพียงคุยโดยคร่าวให้เพื่อนเพจฟังในแง่ที่ว่า สี่หมวดหมู่อาชีพนี้ เป็นการจัดหมวดหมู่เพื่อการปกครองมาแต่โบราณกาลและเดิมไม่ได้เป็นการตั้งใจแบ่งชนชั้นวรรณะตามอาชีพ เพียงแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไปจนเกิดเป็นการแบ่งแยกให้ชนชั้นที่มีการศึกษาเป็นชั้นสูงและให้พ่อค้าเป็นชนชั้นล่างสุด แต่นี่ไม่ใช่สถานะที่ถาวร หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน ละครเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเครื่องแบบข้าราชการแล้วเป็นการอิงตามสมัยถัง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นวลีที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ นี้ในละครเรื่องนี้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.themoviedb.org/tv/128712/images/posters?language=zh-HK https://zhuanlan.zhihu.com/p/531009133 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://ctext.org/guanzi/xiao-kuang/zhs http://www.qulishi.com/article/201909/363094.html https://www.163.com/dy/article/FLEULDGE0543KAMS.html https://www.sxlib.org.cn/dfzy/sczl/wwgjp/qb/201808/t20180806_929973.html http://www.rmlt.com.cn/2018/1116/533321.shtml http://www.jjckb.cn/2016-12/05/c_135881236.htm# http://economy.guoxue.com/?p=888 #ยอดบุรุษพลิกคดี #สี่อาชีพจีนโบราณ #ซี่อหนงกงซัง #ซื่อหมิน #สี่ประชาชน
    WWW.THEMOVIEDB.ORG
    神探同盟
    故事改編自內地網絡作家大風颳過撰寫嘅原創長篇網絡小說《張公案》.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • โอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ประณาม "เห็นแก่ตัวและคิดเข้าข้างตนเอง" ต่อข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐน ที่เสนอขอแร่แร์เอิร์ธจากยูเครน แลกกับความช่วยเหลือทางทหารจากอเมริกา ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแห่งหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์(8ก.พ.)
    .
    แรร์เอิร์ธ เป็นแร่ที่มีองค์ประกอบของธาตุเคมี 17 ชนิดในตารางธาตุ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ และไม่มีอะไรมาแทนที่มันได้
    .
    "ยูเครนกำลังถูกโจมตีและเรากำลังช่วยเหลือพวกเขา โดยไม่ได้ร้องขอให้จ่ายค่าตอบแทน นี่ควรเป็นจุดยืนของทุกคน" โชลซ์กล่าวผ่านสำนักข่าวอาร์เอ็นดี เมื่อถูกถามเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของทรัมป์ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ยูเครนจะให้แร่แรร์เอิร์ธเป็นการแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ
    .
    ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเคยออกมาให้คำจกกัดความข้อเรียกร้องของทรัมป์ มาแล้วรอบหนึ่งว่า "เห็นแก่ตัวมากๆ" หลังเสร็จสิ้นการประชุมซัมมิตสหภาพยุโรปในบรัสเซลส์
    .
    เขาบอกว่าทรัพยากรต่างๆของยูเครนควรถูกใช้เป็นทุนสนับสนุนทุกๆอย่างที่จำเป็นหลังจบสงคราม อย่างเช่นการฟื้นฟูและทำนุบำรุงกองทัพที่เข้มแข็ง "มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างมาก และรับใช้แต่ผลประโยชน์ของตนเอง ในการเรียกร้องบางอย่างจากยูเครนแลกกับความช่วยเหลือ" โชลซ์ระบุ
    .
    ทรัมป์ กล่าวว่าเขาต้องการ "ความเท่าเทียม" จากยูเครน สำหรับความช่วยเหลือทางการเงินที่วอชิงตันมอบให้ และบอกว่า "เราอยากบอกกับยูเครนว่า พวกเขามีแร่แรร์เอิร์ธที่มีค่ามากๆ เรากำลังหาทางตกลงกับยูเครน ข้อตกลงที่พวกเขาจะได้รับคำรับประกันในสิ่งในเราจะมอบให้แก่พวกเขา แลกกับแร่แร์เอิร์ธของพวกเขาและสิ่งอื่นๆ"
    .
    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกต่อว่า "เราต้องการมีความมั่นคงด้านแร่แรร์เอิร์ธ เรากำลังใส่เงินลงไปหลายแสนล้านดอลลาร์ พวกเขามีแร่แรร์เอิร์ธมหาศาล เและผมต้องการความมั่นคงด้านแร่แรร์เอิร์ธ และพวกเขามีความตั้งใจที่จะทำมัน"
    .
    ในวันศุกร์(7ก.พ.) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เปิดเผยว่าวอชิงตันและเคียฟกำลังมีแผน "พบปะพูดคุยกัน" หลัง ทรัมป์ หยิบยกความเป็นไปได้ที่จะประชุมร่วมกับเขาในสัปดาห์หน้า
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ เซเลนสกี บอกว่ายูเครนพร้อมอ้าแขนต้อนรับการลงทุนจากเหล่าบริษัทสหรัฐฯในแร่แรร์เอิร์ธ หรือโลหะต่างๆที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางในงานอิเล็กทรอนิกส์
    .
    ในแผนสันติภาพที่เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน เซเลนสกี เสนอ "ข้อตกลงพิเศษ" กับบรรดาพันธมิตรของประเทศ เปิดทางสำหรับการปกป้องร่วมกันและสำรวจร่วมกันในด้านทรัพยากรทางยุทธศาสตร์ทั้งหลาย อย่างไรก็ตามครั้งนั้น เขาไม่ได้พาดพิงอย่างเจาะจงถึงแร่แรร์เอิร์ธ โดยที่เขาอ้างถึงนั้นมีเพียง ยูเรเนียม, ไทเทเนียม, ลิเธียม, แกรไฟต์ และทรัพยากรทางยุทธศาสตร์มูลค่าสูงอื่นๆ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012938
    ..............
    Sondhi X
    โอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ประณาม "เห็นแก่ตัวและคิดเข้าข้างตนเอง" ต่อข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐน ที่เสนอขอแร่แร์เอิร์ธจากยูเครน แลกกับความช่วยเหลือทางทหารจากอเมริกา ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแห่งหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์(8ก.พ.) . แรร์เอิร์ธ เป็นแร่ที่มีองค์ประกอบของธาตุเคมี 17 ชนิดในตารางธาตุ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ และไม่มีอะไรมาแทนที่มันได้ . "ยูเครนกำลังถูกโจมตีและเรากำลังช่วยเหลือพวกเขา โดยไม่ได้ร้องขอให้จ่ายค่าตอบแทน นี่ควรเป็นจุดยืนของทุกคน" โชลซ์กล่าวผ่านสำนักข่าวอาร์เอ็นดี เมื่อถูกถามเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของทรัมป์ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ยูเครนจะให้แร่แรร์เอิร์ธเป็นการแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ . ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเคยออกมาให้คำจกกัดความข้อเรียกร้องของทรัมป์ มาแล้วรอบหนึ่งว่า "เห็นแก่ตัวมากๆ" หลังเสร็จสิ้นการประชุมซัมมิตสหภาพยุโรปในบรัสเซลส์ . เขาบอกว่าทรัพยากรต่างๆของยูเครนควรถูกใช้เป็นทุนสนับสนุนทุกๆอย่างที่จำเป็นหลังจบสงคราม อย่างเช่นการฟื้นฟูและทำนุบำรุงกองทัพที่เข้มแข็ง "มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างมาก และรับใช้แต่ผลประโยชน์ของตนเอง ในการเรียกร้องบางอย่างจากยูเครนแลกกับความช่วยเหลือ" โชลซ์ระบุ . ทรัมป์ กล่าวว่าเขาต้องการ "ความเท่าเทียม" จากยูเครน สำหรับความช่วยเหลือทางการเงินที่วอชิงตันมอบให้ และบอกว่า "เราอยากบอกกับยูเครนว่า พวกเขามีแร่แรร์เอิร์ธที่มีค่ามากๆ เรากำลังหาทางตกลงกับยูเครน ข้อตกลงที่พวกเขาจะได้รับคำรับประกันในสิ่งในเราจะมอบให้แก่พวกเขา แลกกับแร่แร์เอิร์ธของพวกเขาและสิ่งอื่นๆ" . ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกต่อว่า "เราต้องการมีความมั่นคงด้านแร่แรร์เอิร์ธ เรากำลังใส่เงินลงไปหลายแสนล้านดอลลาร์ พวกเขามีแร่แรร์เอิร์ธมหาศาล เและผมต้องการความมั่นคงด้านแร่แรร์เอิร์ธ และพวกเขามีความตั้งใจที่จะทำมัน" . ในวันศุกร์(7ก.พ.) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เปิดเผยว่าวอชิงตันและเคียฟกำลังมีแผน "พบปะพูดคุยกัน" หลัง ทรัมป์ หยิบยกความเป็นไปได้ที่จะประชุมร่วมกับเขาในสัปดาห์หน้า . ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ เซเลนสกี บอกว่ายูเครนพร้อมอ้าแขนต้อนรับการลงทุนจากเหล่าบริษัทสหรัฐฯในแร่แรร์เอิร์ธ หรือโลหะต่างๆที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางในงานอิเล็กทรอนิกส์ . ในแผนสันติภาพที่เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน เซเลนสกี เสนอ "ข้อตกลงพิเศษ" กับบรรดาพันธมิตรของประเทศ เปิดทางสำหรับการปกป้องร่วมกันและสำรวจร่วมกันในด้านทรัพยากรทางยุทธศาสตร์ทั้งหลาย อย่างไรก็ตามครั้งนั้น เขาไม่ได้พาดพิงอย่างเจาะจงถึงแร่แรร์เอิร์ธ โดยที่เขาอ้างถึงนั้นมีเพียง ยูเรเนียม, ไทเทเนียม, ลิเธียม, แกรไฟต์ และทรัพยากรทางยุทธศาสตร์มูลค่าสูงอื่นๆ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012938 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1481 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับก่อนพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ที่เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียงว่า การแข่งขันครั้งนี้สะท้อนถึงปณิธานร่วมกันของประชาชนชาวเอเชียที่มุ่งมั่นสู่สันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และมิตรภาพ พร้อมกระตุ้นความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้

    สี จิ้นผิงเน้นย้ำว่า เอเชียต้องยึดมั่นในความเป็นปึกแผ่น รับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคง และร่วมสร้างโลกที่มีความเท่าเทียมและเป็นระเบียบ นอกจากนี้ เขาได้ส่งเสริมแนวคิดการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนชาวเอเชียขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างอารยธรรม

    ทั้งนี้ สี จิ้นผิงยังกล่าวถึงบทบาทของ “น้ำแข็งและหิมะ” ในฐานะตัวขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจฮาร์บิน โดยการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ไม่เพียงเป็นเวทีแห่งมิตรภาพระหว่างประเทศในเอเชีย แต่ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเมืองฮาร์บิน ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะ “เมืองน้ำแข็ง” ของจีน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000012608

    #MGROnline #เมืองน้ำแข็ง #เมืองฮาร์บิน #เอเชียนเกมส์ฤดูหนาว
    สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับก่อนพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ที่เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียงว่า การแข่งขันครั้งนี้สะท้อนถึงปณิธานร่วมกันของประชาชนชาวเอเชียที่มุ่งมั่นสู่สันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และมิตรภาพ พร้อมกระตุ้นความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ • สี จิ้นผิงเน้นย้ำว่า เอเชียต้องยึดมั่นในความเป็นปึกแผ่น รับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคง และร่วมสร้างโลกที่มีความเท่าเทียมและเป็นระเบียบ นอกจากนี้ เขาได้ส่งเสริมแนวคิดการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนชาวเอเชียขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างอารยธรรม • ทั้งนี้ สี จิ้นผิงยังกล่าวถึงบทบาทของ “น้ำแข็งและหิมะ” ในฐานะตัวขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจฮาร์บิน โดยการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ไม่เพียงเป็นเวทีแห่งมิตรภาพระหว่างประเทศในเอเชีย แต่ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเมืองฮาร์บิน ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะ “เมืองน้ำแข็ง” ของจีน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000012608 • #MGROnline #เมืองน้ำแข็ง #เมืองฮาร์บิน #เอเชียนเกมส์ฤดูหนาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI:

    ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)**
    - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
    - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)**
    - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้
    - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล

    ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)**
    - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้
    - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน

    ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)**
    - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล
    - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล

    ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)**
    - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง
    - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ

    ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)**
    - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย
    - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย

    ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)**
    - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ
    - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย

    ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)**
    - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ
    - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

    ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)**
    - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล
    - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)**
    - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล
    - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล

    ### จริยธรรมและความเสี่ยง
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด

    ### สรุป
    AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI: ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)** - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)** - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้ - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)** - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้ - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)** - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)** - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)** - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)** - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)** - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)** - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)** - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล ### จริยธรรมและความเสี่ยง การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด ### สรุป AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ซึ่งเคยมีหลักการนำ AI ไปใช้งานในแบบที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ได้ทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้โดยการเปิดโอกาสให้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธ นโยบายใหม่นี้ถูกสังเกตครั้งแรกโดย Bloomberg ซึ่งได้พบว่า Google ได้ลบข้อความสำคัญในหลักการ AI ของตนที่เคยระบุไว้ว่าจะไม่พัฒนาเทคโนโลยีที่ "อาจก่อให้เกิดความเสียหาย" รวมถึงอาวุธด้วย

    ในคำตอบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ Google ได้ชี้ไปที่บล็อกโพสต์ที่เผยแพร่โดย James Manyika รองประธานอาวุโสของ Google และ Demis Hassabis ผู้บริหาร Google DeepMind ซึ่งกล่าวว่าประชาธิปไตยควรเป็นผู้นำในการพัฒนา AI โดยมีค่านิยมหลัก เช่น เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน และการเคารพสิทธิมนุษยชน

    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักวิชาการด้าน AI โดย Margaret Mitchell อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Google และปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ Hugging Face ได้กล่าวว่า "การลบข้อความเรื่องความเสียหายออกไปนั้นหมายความว่า Google อาจกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถฆ่าคนได้โดยตรง"

    แม้ว่า Google จะยืนยันว่า AI ของตนจะไม่ถูกใช้ในการทำลายมนุษย์ แต่การที่บริษัทเริ่มทำงานร่วมกับหน่วยงานทหารมากขึ้น เช่น การให้บริการคลาวด์กับกองทัพสหรัฐและอิสราเอล ก็ทำให้เกิดความกังวลภายในบริษัทเอง

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ Google คาดหวังว่าจะได้รับทุนวิจัยและพัฒนาจากแหล่งรัฐบาลมากขึ้น ทำให้การพัฒนา AI ของ Google ก้าวหน้าเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ Google สามารถแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งที่มีส่วนร่วมในโครงการ AI ทหารอยู่แล้วได้มากขึ้น

    สรุปแล้ว Google ได้เปลี่ยนนโยบาย AI ที่เคยยึดหลักไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย โดยการเปิดโอกาสให้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความกังวลและวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มีโอกาสที่จะทำให้การพัฒนา AI ก้าวหน้าเร็วขึ้น

    https://www.techspot.com/news/106646-google-abandons-do-no-harm-ai-stance-opens.html
    Google ซึ่งเคยมีหลักการนำ AI ไปใช้งานในแบบที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ได้ทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้โดยการเปิดโอกาสให้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธ นโยบายใหม่นี้ถูกสังเกตครั้งแรกโดย Bloomberg ซึ่งได้พบว่า Google ได้ลบข้อความสำคัญในหลักการ AI ของตนที่เคยระบุไว้ว่าจะไม่พัฒนาเทคโนโลยีที่ "อาจก่อให้เกิดความเสียหาย" รวมถึงอาวุธด้วย ในคำตอบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ Google ได้ชี้ไปที่บล็อกโพสต์ที่เผยแพร่โดย James Manyika รองประธานอาวุโสของ Google และ Demis Hassabis ผู้บริหาร Google DeepMind ซึ่งกล่าวว่าประชาธิปไตยควรเป็นผู้นำในการพัฒนา AI โดยมีค่านิยมหลัก เช่น เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน และการเคารพสิทธิมนุษยชน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักวิชาการด้าน AI โดย Margaret Mitchell อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Google และปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ Hugging Face ได้กล่าวว่า "การลบข้อความเรื่องความเสียหายออกไปนั้นหมายความว่า Google อาจกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถฆ่าคนได้โดยตรง" แม้ว่า Google จะยืนยันว่า AI ของตนจะไม่ถูกใช้ในการทำลายมนุษย์ แต่การที่บริษัทเริ่มทำงานร่วมกับหน่วยงานทหารมากขึ้น เช่น การให้บริการคลาวด์กับกองทัพสหรัฐและอิสราเอล ก็ทำให้เกิดความกังวลภายในบริษัทเอง สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ Google คาดหวังว่าจะได้รับทุนวิจัยและพัฒนาจากแหล่งรัฐบาลมากขึ้น ทำให้การพัฒนา AI ของ Google ก้าวหน้าเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ Google สามารถแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งที่มีส่วนร่วมในโครงการ AI ทหารอยู่แล้วได้มากขึ้น สรุปแล้ว Google ได้เปลี่ยนนโยบาย AI ที่เคยยึดหลักไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย โดยการเปิดโอกาสให้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความกังวลและวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มีโอกาสที่จะทำให้การพัฒนา AI ก้าวหน้าเร็วขึ้น https://www.techspot.com/news/106646-google-abandons-do-no-harm-ai-stance-opens.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google abandons 'do no harm' AI stance, opens door to military weapons
    This change, first noticed by Bloomberg, marks a shift from the company's earlier stance on responsible AI development.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน
    .
    ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร
    .
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
    .
    นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด
    .
    นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis
    .
    ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่
    .
    ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน
    .
    รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว
    .
    แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด
    .
    กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929
    ..............
    Sondhi X
    จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน . ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร . ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. . นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด . นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis . ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่ . ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน . รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว . แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด . กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2134 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝุ่น PM 2.5 เต็มเมืองหนักและยาวนาน
    .. ดารา นักร้อง นักพูด นักแสดง เด่นดัง
    และเหล่าคนที่เคยออกมาโวยวายมะก่อน
    ตอนนี้เขาหายไปไหนฮึครับฮะ
    ไหนบอกเท่าเทียม รึว่ามันคือหมอกสวย

    อยากรู้นะเขาคิดยังไงกันยามนี้ รึเขาอาย55
    เวลาและสถานการณ์ มักบอกตัวตนคน

    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    ฝุ่น PM 2.5 เต็มเมืองหนักและยาวนาน .. ดารา นักร้อง นักพูด นักแสดง เด่นดัง และเหล่าคนที่เคยออกมาโวยวายมะก่อน ตอนนี้เขาหายไปไหนฮึครับฮะ ไหนบอกเท่าเทียม รึว่ามันคือหมอกสวย อยากรู้นะเขาคิดยังไงกันยามนี้ รึเขาอาย55 เวลาและสถานการณ์ มักบอกตัวตนคน มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ต้องการให้ยูเครนมอบแร่หายาก (rare earth) แก่อเมริกา ที่มีอยู่มากมายในดินแดนของยูเครน

    ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว ว่าในที่สุดยูเครนจะต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ ซึ่งสหรัฐต้องการแร่หายากจากยูเครน โดยใช้เป็นรูปแบบหนึ่งของการชำระเงินคืนในจำนวนเงินที่เท่าเทียมกับที่สหรัฐจ่ายไปเกือบ 300,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยในการทำสงครามกับรัสเซียที่ผ่านมา

    เมื่อปี 2024 ลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันเคยกล่าวเกี่ยวกับแร่หายากในยูเครนไว้ว่า แร่ธาตุที่สำคัญที่มีมูลค่าสูงถึง 10 - 12 ล้านล้านดอลลาร์ ควรถูกนำมาใช้โดยยูเครนและชาติตะวันตก ไม่ใช่มอบให้กับปูตินหรือแม้แต่จีน

    “ผมต้องการเปลี่ยนแพ็คเกจความช่วยเหลือ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเงินกู้ของเรา เรามีหนี้อยู่ 34 ล้านล้านดอลลาร์ ยูเครนมีแร่ธาตุ พวกเขามีทรัพยากรมากมาย เราน่าจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ ทรัมป์ก็เคยคิดแบบนี้ หากเรานำมาใช้ได้จริง คิดว่าเราน่าจะได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากมาย (สำหรับการให้ความช่วยเหลือแก่เคียฟ) ในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา” เกรแฮม กล่าวไว้เมื่อปี 2024
    ทรัมป์ต้องการให้ยูเครนมอบแร่หายาก (rare earth) แก่อเมริกา ที่มีอยู่มากมายในดินแดนของยูเครน ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว ว่าในที่สุดยูเครนจะต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ ซึ่งสหรัฐต้องการแร่หายากจากยูเครน โดยใช้เป็นรูปแบบหนึ่งของการชำระเงินคืนในจำนวนเงินที่เท่าเทียมกับที่สหรัฐจ่ายไปเกือบ 300,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยในการทำสงครามกับรัสเซียที่ผ่านมา เมื่อปี 2024 ลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันเคยกล่าวเกี่ยวกับแร่หายากในยูเครนไว้ว่า แร่ธาตุที่สำคัญที่มีมูลค่าสูงถึง 10 - 12 ล้านล้านดอลลาร์ ควรถูกนำมาใช้โดยยูเครนและชาติตะวันตก ไม่ใช่มอบให้กับปูตินหรือแม้แต่จีน “ผมต้องการเปลี่ยนแพ็คเกจความช่วยเหลือ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเงินกู้ของเรา เรามีหนี้อยู่ 34 ล้านล้านดอลลาร์ ยูเครนมีแร่ธาตุ พวกเขามีทรัพยากรมากมาย เราน่าจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ ทรัมป์ก็เคยคิดแบบนี้ หากเรานำมาใช้ได้จริง คิดว่าเราน่าจะได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากมาย (สำหรับการให้ความช่วยเหลือแก่เคียฟ) ในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา” เกรแฮม กล่าวไว้เมื่อปี 2024
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts