• พนักงานจำนวนมากขึ้นกำลังต่อต้านนโยบาย กลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยผลสำรวจล่าสุดจาก King's College London (KCL) พบว่า น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับข้อกำหนดนี้ โดยเฉพาะ ผู้หญิงและพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด

    การทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) ได้รับความนิยมมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 และหลายบริษัทเลือกใช้ รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Google, Intel และ Amazon กำลังผลักดันให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยอ้างว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าผลสำรวจหลายฉบับจะชี้ว่า การทำงานจากที่บ้านไม่ได้ลดประสิทธิภาพลง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - 42% ของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ลดลงจาก 54% ในปี 2022
    - 50% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะหางานใหม่แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา เพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2022
    - 10% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะลาออกทันทีหากถูกบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศ
    - ผู้หญิงมีแนวโน้มลาออกมากกว่าผู้ชาย โดย 55% ของผู้หญิง ระบุว่าจะหางานใหม่ เทียบกับ 43% ของผู้ชาย
    - พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก เป็นกลุ่มที่ต่อต้านมากที่สุด โดย เพียง 33% ของแม่ที่มีลูกเล็ก ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - บริษัทที่บังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อาจเผชิญกับอัตราการลาออกที่สูงขึ้น
    - แรงงานที่มีภาระครอบครัว อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้
    - ความไม่เท่าเทียมในสถานที่ทำงาน อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บางกลุ่มแรงงานยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศมากกว่ากลุ่มอื่น
    - บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังลดโอกาสการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการจ้างงานในอนาคต

    การเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานของบริษัทต่างๆ กำลังส่งผลต่อแรงงานทั่วโลก และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือหางานใหม่

    https://www.techspot.com/news/108084-more-workers-theyll-quit-instead-going-back-office.html
    พนักงานจำนวนมากขึ้นกำลังต่อต้านนโยบาย กลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยผลสำรวจล่าสุดจาก King's College London (KCL) พบว่า น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับข้อกำหนดนี้ โดยเฉพาะ ผู้หญิงและพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด การทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) ได้รับความนิยมมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 และหลายบริษัทเลือกใช้ รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Google, Intel และ Amazon กำลังผลักดันให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยอ้างว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าผลสำรวจหลายฉบับจะชี้ว่า การทำงานจากที่บ้านไม่ได้ลดประสิทธิภาพลง ✅ ข้อมูลจากข่าว - 42% ของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ลดลงจาก 54% ในปี 2022 - 50% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะหางานใหม่แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา เพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2022 - 10% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะลาออกทันทีหากถูกบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศ - ผู้หญิงมีแนวโน้มลาออกมากกว่าผู้ชาย โดย 55% ของผู้หญิง ระบุว่าจะหางานใหม่ เทียบกับ 43% ของผู้ชาย - พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก เป็นกลุ่มที่ต่อต้านมากที่สุด โดย เพียง 33% ของแม่ที่มีลูกเล็ก ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - บริษัทที่บังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อาจเผชิญกับอัตราการลาออกที่สูงขึ้น - แรงงานที่มีภาระครอบครัว อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้ - ความไม่เท่าเทียมในสถานที่ทำงาน อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บางกลุ่มแรงงานยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศมากกว่ากลุ่มอื่น - บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังลดโอกาสการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการจ้างงานในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานของบริษัทต่างๆ กำลังส่งผลต่อแรงงานทั่วโลก และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือหางานใหม่ https://www.techspot.com/news/108084-more-workers-theyll-quit-instead-going-back-office.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    More workers say they'll quit instead of going back to the office full time
    The report comes from researchers at King's College London (KCL) and King's Business School. They analyzed over a million data points from the UK government's Labour Force...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เจ้าท่าฯ”ลุยยกระดับปรับปรุงท่าเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยาออกแบบ “อารยสถาปัตย์” ส่งเสริมสิทธิเท่าเทียม รองรับบริการทุกกลุ่ม บริหารท่าเรืออัจฉริยะ Smart Pier ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมพลังงาน ตั้งเป้าปี 69 เสร็จครบ 29 แห่ง เชื่อม”ล้อ - ราง – เรือ” สะดวกไร้รอยต่อ คาดปี 70 มีผู้ใช้บริการท่าเรือโดยสารเฉลี่ย 53,000 คนต่อวัน

    นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรือเป็นสถานีเรือโดยสารอัจฉริยะ (Smart Pier) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 29 ท่า นั้นปัจจุบันมีการปรับปรุงและแก้ไขในรูปแบบอารยสถาปัตย์แล้วเสร็จ 16 แห่ง อาทิ ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือนนทบุรี ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือสาทร ท่าเรือราชินี ท่าเรือบางโพ ท่าเรือพายัพ ท่าเรือเตียน เป็นต้น ยังเหลืออีก 13 แห่ง ที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 ตามแผนงานที่วางไว้

    โดยเมื่อเดือนเม.ย. 2568 เพิ่งเปิดให้บริการท่าเรือพระราม 7 อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นอีกท่าเรือที่ปรับปรุงด้วยแนวคิด “ท่าเรือยุคใหม่ สะดวกปลอดภัย เทคโนโลยีก้าวไกล ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ซึ่งถือเป็นท่าเรือที่ได้ร่วมมือกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านพลังงาน ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปบนหลังคาท่าเรือ พร้อมสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV CHARGER) ให้เป็นท่าเรือ Smart Pier อย่างสมบูรณ์แบบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000049615

    #MGROnline #ท่าเรืออัจฉริยะ #SmartPier
    “เจ้าท่าฯ”ลุยยกระดับปรับปรุงท่าเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยาออกแบบ “อารยสถาปัตย์” ส่งเสริมสิทธิเท่าเทียม รองรับบริการทุกกลุ่ม บริหารท่าเรืออัจฉริยะ Smart Pier ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมพลังงาน ตั้งเป้าปี 69 เสร็จครบ 29 แห่ง เชื่อม”ล้อ - ราง – เรือ” สะดวกไร้รอยต่อ คาดปี 70 มีผู้ใช้บริการท่าเรือโดยสารเฉลี่ย 53,000 คนต่อวัน • นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรือเป็นสถานีเรือโดยสารอัจฉริยะ (Smart Pier) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 29 ท่า นั้นปัจจุบันมีการปรับปรุงและแก้ไขในรูปแบบอารยสถาปัตย์แล้วเสร็จ 16 แห่ง อาทิ ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือนนทบุรี ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือสาทร ท่าเรือราชินี ท่าเรือบางโพ ท่าเรือพายัพ ท่าเรือเตียน เป็นต้น ยังเหลืออีก 13 แห่ง ที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 ตามแผนงานที่วางไว้ • โดยเมื่อเดือนเม.ย. 2568 เพิ่งเปิดให้บริการท่าเรือพระราม 7 อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นอีกท่าเรือที่ปรับปรุงด้วยแนวคิด “ท่าเรือยุคใหม่ สะดวกปลอดภัย เทคโนโลยีก้าวไกล ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ซึ่งถือเป็นท่าเรือที่ได้ร่วมมือกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านพลังงาน ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปบนหลังคาท่าเรือ พร้อมสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV CHARGER) ให้เป็นท่าเรือ Smart Pier อย่างสมบูรณ์แบบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000049615 • #MGROnline #ท่าเรืออัจฉริยะ #SmartPier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิถุนายนนี้ ชวนปักหมุดเช็คอินภาคอีสาน กับอีกหนึ่ง Carnival สุดยิ่งใหญ่ งาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช

    ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIA+ ทั่วโลก เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH อย่างยิ่งใหญ่ทั่วศูนย์การค้าและห้างฯ ทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง “เดอะมอลล์โคราช” จัดไพรด์คาร์นิวาลสุดยิ่งใหญ่ กับงาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช พบขบวนพาเหรดสีรุ้งแห่งความหลากหลายที่ยิ่งใหญ่ ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เฉลิมฉลองความเท่าเทียมตลอดเดือนมิถุนายน

    “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” จุดไฟพลังชาว LGBTQIA+ ทุกเจนฯ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม
    ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน ภายใต้คอนเซปต์ THE CENTER OF LOVE | PEACE | EQUALITY ศูนย์กลางความเท่าเทียมและความภาคภูมิใจของคนโคราช โดย เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH ทั่วศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง สนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี การเปิดใจและมีความเข้าใจต่อกันทุกเพศ ทุกวัยอย่างลึกซึ้งร่วมเฉลิมฉลองความเป็นตัวตนที่ภาคภูมิใจไปพร้อมกัน

    วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำศูนย์การค้าระดับพรีเมียม มุ่งขับเคลื่อนความหลากหลายอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติธุรกิจ สังคม และการท่องเที่ยว
    "Rainbow Economy และ Rainbow Tourism คือกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลุ่ม LGBTQIA+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีไลฟ์สไตล์เฉพาะเปิดกว้าง พร้อมใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ที่สะท้อนตัวตน เป็นเซกเมนต์ใหม่ที่ธุรกิจให้ความสำคัญและโฟกัสความลึกซึ้งในตัวตนนี้มากขึ้น"

    "สำหรับปีนี้ แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ และ ร้านอาหารยอดนิยม มีการจัดทำคอลเลกชันสินค้า เมนูพิเศษเพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นมิติของไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย กระตุ้นและสร้างความตื่นตัวในภาพธุรกิจได้ชัดเจน พร้อมตกแต่งศูนย์ฯ ด้วยแลนด์มาร์กสีรุ้งขนาดใหญ่ เสริมบรรยากาศเฉลิมฉลองทั่วทุกสาขา และคาดว่าการจับจ่ายในศูนย์การค้าจะคึกคัก หนุนยอดขายกลุ่มแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์-ร้านอาหารเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าแคมเปญจะช่วยเพิ่มทราฟฟิกในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา"

    สะท้อนความตั้งใจของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ต้องการกระจายโอกาสและการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ทุกภูมิภาค ซึ่งในช่วงดังกล่าวเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ จัดแคมเปญ “Bangkok No.1 Shopping Festival 2025” มาช่วยตอบโจทย์การใช้จ่ายในการเฉลิมฉลองของกลุ่ม LGBTQIA+ อีกด้วย “เดอะมอลล์ กรุ๊ป มองว่า PRIDE ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เป็นพลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความหลากหลายระดับโลก” นางสาววรลักษณ์ กล่าวปิดท้าย

    โดยวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 7-8 มิ.ย.2568 ได้จัดกิจกรรมแบ่งเป็น 2 วัน ดังนี้
    ไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมปีนึ้ ในวันที่ 7 มิ.ย.2568 ตั้งแต่เวลา 13.00น.เป็นต้นไป พบขบวนพาเหรด “Pride Carnival” สุดยิ่งใหญ่ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม ซึ่งร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน LGBTQIA+ ทุกเจนฯ กว่า 400 คน ในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน

    มีรูปแบบขบวนแบ่งเป็น 4 ขบวน ได้แก่ We All Love “รัก” ในทุกสิ่ง, We All Understanding เรียนรู้อย่าง “เข้าใจ”, We All Dignity พร้อมด้วย “ศักดิ์ศรี” และ We All Equality ยึดมั่นในความเสมอภาค “เท่าเทียม” โดยกิจกรรมยกระดับงานนี้ให้เป็นเทศกาลระดับเมืองของโคราชที่สะท้อนหัวใจของ “ความรัก ความเข้าใจ และความเท่าเทียม” และเวลา 16.00 น. สนุกสุขมันส์กับฟรีมินิคอนเสิร์ตจาก ZOLAR ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3

    8 มิ.ย.2568 พบการประกวด MISS QUEEN M PLUS นครราชสีมา ชิงเงินรางวัลและ Gift Voucher มูลค่าร่วมกว่า 300,000 บาท สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
    ดาวน์โหลดใบสมัคร พร้อมรับรายละเอียดการประกวด ได้แล้ววันนี้ที่ลิงก์ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfTL0jixMRovzjF45ArPcNYemAg8AWNyca3lePatzWAcvPWpA/viewform?usp=header สมัครตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤษภาคม 2568 รอบตัดสิน วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 083-429-6491 (คุณเหินฟ้า) หรือ 096-704-5372 (คุณโมโม่)
    มิถุนายนนี้ ชวนปักหมุดเช็คอินภาคอีสาน กับอีกหนึ่ง Carnival สุดยิ่งใหญ่ งาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIA+ ทั่วโลก เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH อย่างยิ่งใหญ่ทั่วศูนย์การค้าและห้างฯ ทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง “เดอะมอลล์โคราช” จัดไพรด์คาร์นิวาลสุดยิ่งใหญ่ กับงาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช พบขบวนพาเหรดสีรุ้งแห่งความหลากหลายที่ยิ่งใหญ่ ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เฉลิมฉลองความเท่าเทียมตลอดเดือนมิถุนายน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” จุดไฟพลังชาว LGBTQIA+ ทุกเจนฯ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน ภายใต้คอนเซปต์ THE CENTER OF LOVE | PEACE | EQUALITY ศูนย์กลางความเท่าเทียมและความภาคภูมิใจของคนโคราช โดย เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH ทั่วศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง สนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี การเปิดใจและมีความเข้าใจต่อกันทุกเพศ ทุกวัยอย่างลึกซึ้งร่วมเฉลิมฉลองความเป็นตัวตนที่ภาคภูมิใจไปพร้อมกัน วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำศูนย์การค้าระดับพรีเมียม มุ่งขับเคลื่อนความหลากหลายอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติธุรกิจ สังคม และการท่องเที่ยว "Rainbow Economy และ Rainbow Tourism คือกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลุ่ม LGBTQIA+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีไลฟ์สไตล์เฉพาะเปิดกว้าง พร้อมใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ที่สะท้อนตัวตน เป็นเซกเมนต์ใหม่ที่ธุรกิจให้ความสำคัญและโฟกัสความลึกซึ้งในตัวตนนี้มากขึ้น" "สำหรับปีนี้ แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ และ ร้านอาหารยอดนิยม มีการจัดทำคอลเลกชันสินค้า เมนูพิเศษเพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นมิติของไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย กระตุ้นและสร้างความตื่นตัวในภาพธุรกิจได้ชัดเจน พร้อมตกแต่งศูนย์ฯ ด้วยแลนด์มาร์กสีรุ้งขนาดใหญ่ เสริมบรรยากาศเฉลิมฉลองทั่วทุกสาขา และคาดว่าการจับจ่ายในศูนย์การค้าจะคึกคัก หนุนยอดขายกลุ่มแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์-ร้านอาหารเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าแคมเปญจะช่วยเพิ่มทราฟฟิกในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา" สะท้อนความตั้งใจของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ต้องการกระจายโอกาสและการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ทุกภูมิภาค ซึ่งในช่วงดังกล่าวเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ จัดแคมเปญ “Bangkok No.1 Shopping Festival 2025” มาช่วยตอบโจทย์การใช้จ่ายในการเฉลิมฉลองของกลุ่ม LGBTQIA+ อีกด้วย “เดอะมอลล์ กรุ๊ป มองว่า PRIDE ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เป็นพลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความหลากหลายระดับโลก” นางสาววรลักษณ์ กล่าวปิดท้าย โดยวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 7-8 มิ.ย.2568 ได้จัดกิจกรรมแบ่งเป็น 2 วัน ดังนี้ ไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมปีนึ้ ในวันที่ 7 มิ.ย.2568 ตั้งแต่เวลา 13.00น.เป็นต้นไป พบขบวนพาเหรด “Pride Carnival” สุดยิ่งใหญ่ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม ซึ่งร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน LGBTQIA+ ทุกเจนฯ กว่า 400 คน ในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน มีรูปแบบขบวนแบ่งเป็น 4 ขบวน ได้แก่ We All Love “รัก” ในทุกสิ่ง, We All Understanding เรียนรู้อย่าง “เข้าใจ”, We All Dignity พร้อมด้วย “ศักดิ์ศรี” และ We All Equality ยึดมั่นในความเสมอภาค “เท่าเทียม” โดยกิจกรรมยกระดับงานนี้ให้เป็นเทศกาลระดับเมืองของโคราชที่สะท้อนหัวใจของ “ความรัก ความเข้าใจ และความเท่าเทียม” และเวลา 16.00 น. สนุกสุขมันส์กับฟรีมินิคอนเสิร์ตจาก ZOLAR ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 8 มิ.ย.2568 พบการประกวด MISS QUEEN M PLUS นครราชสีมา ชิงเงินรางวัลและ Gift Voucher มูลค่าร่วมกว่า 300,000 บาท สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดใบสมัคร พร้อมรับรายละเอียดการประกวด ได้แล้ววันนี้ที่ลิงก์ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfTL0jixMRovzjF45ArPcNYemAg8AWNyca3lePatzWAcvPWpA/viewform?usp=header สมัครตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤษภาคม 2568 รอบตัดสิน วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 083-429-6491 (คุณเหินฟ้า) หรือ 096-704-5372 (คุณโมโม่)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิถุนายนนี้ ชวนปักหมุดเช็คอินภาคอีสาน กับอีกหนึ่ง Carnival สุดยิ่งใหญ่ งาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช

    ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIA+ ทั่วโลก เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH อย่างยิ่งใหญ่ทั่วศูนย์การค้าและห้างฯ ทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง “เดอะมอลล์โคราช” จัดไพรด์คาร์นิวาลสุดยิ่งใหญ่ กับงาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช พบขบวนพาเหรดสีรุ้งแห่งความหลากหลายที่ยิ่งใหญ่ ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เฉลิมฉลองความเท่าเทียมตลอดเดือนมิถุนายน

    “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” จุดไฟพลังชาว LGBTQIA+ ทุกเจนฯ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม
    ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน ภายใต้คอนเซปต์ THE CENTER OF LOVE | PEACE | EQUALITY ศูนย์กลางความเท่าเทียมและความภาคภูมิใจของคนโคราช โดย เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH ทั่วศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง สนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี การเปิดใจและมีความเข้าใจต่อกันทุกเพศ ทุกวัยอย่างลึกซึ้งร่วมเฉลิมฉลองความเป็นตัวตนที่ภาคภูมิใจไปพร้อมกัน

    วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำศูนย์การค้าระดับพรีเมียม มุ่งขับเคลื่อนความหลากหลายอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติธุรกิจ สังคม และการท่องเที่ยว
    "Rainbow Economy และ Rainbow Tourism คือกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลุ่ม LGBTQIA+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีไลฟ์สไตล์เฉพาะเปิดกว้าง พร้อมใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ที่สะท้อนตัวตน เป็นเซกเมนต์ใหม่ที่ธุรกิจให้ความสำคัญและโฟกัสความลึกซึ้งในตัวตนนี้มากขึ้น"

    "สำหรับปีนี้ แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ และ ร้านอาหารยอดนิยม มีการจัดทำคอลเลกชันสินค้า เมนูพิเศษเพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นมิติของไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย กระตุ้นและสร้างความตื่นตัวในภาพธุรกิจได้ชัดเจน พร้อมตกแต่งศูนย์ฯ ด้วยแลนด์มาร์กสีรุ้งขนาดใหญ่ เสริมบรรยากาศเฉลิมฉลองทั่วทุกสาขา และคาดว่าการจับจ่ายในศูนย์การค้าจะคึกคัก หนุนยอดขายกลุ่มแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์-ร้านอาหารเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าแคมเปญจะช่วยเพิ่มทราฟฟิกในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา"

    สะท้อนความตั้งใจของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ต้องการกระจายโอกาสและการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ทุกภูมิภาค ซึ่งในช่วงดังกล่าวเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ จัดแคมเปญ “Bangkok No.1 Shopping Festival 2025” มาช่วยตอบโจทย์การใช้จ่ายในการเฉลิมฉลองของกลุ่ม LGBTQIA+ อีกด้วย “เดอะมอลล์ กรุ๊ป มองว่า PRIDE ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เป็นพลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความหลากหลายระดับโลก” นางสาววรลักษณ์ กล่าวปิดท้าย

    โดยวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 7-8 มิ.ย.2568 ได้จัดกิจกรรมแบ่งเป็น 2 วัน ดังนี้
    ไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมปีนึ้ ในวันที่ 7 มิ.ย.2568 ตั้งแต่เวลา 13.00น.เป็นต้นไป พบขบวนพาเหรด “Pride Carnival” สุดยิ่งใหญ่ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม ซึ่งร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน LGBTQIA+ ทุกเจนฯ กว่า 400 คน ในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน

    มีรูปแบบขบวนแบ่งเป็น 4 ขบวน ได้แก่ We All Love “รัก” ในทุกสิ่ง, We All Understanding เรียนรู้อย่าง “เข้าใจ”, We All Dignity พร้อมด้วย “ศักดิ์ศรี” และ We All Equality ยึดมั่นในความเสมอภาค “เท่าเทียม” โดยกิจกรรมยกระดับงานนี้ให้เป็นเทศกาลระดับเมืองของโคราชที่สะท้อนหัวใจของ “ความรัก ความเข้าใจ และความเท่าเทียม” และเวลา 16.00 น. สนุกสุขมันส์กับฟรีมินิคอนเสิร์ตจาก ZOLAR ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3

    8 มิ.ย.2568 พบการประกวด MISS QUEEN M PLUS นครราชสีมา ชิงเงินรางวัลและ Gift Voucher มูลค่าร่วมกว่า 300,000 บาท สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
    ดาวน์โหลดใบสมัคร พร้อมรับรายละเอียดการประกวด ได้แล้ววันนี้ที่ลิงก์ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfTL0jixMRovzjF45ArPcNYemAg8AWNyca3lePatzWAcvPWpA/viewform?usp=header สมัครตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤษภาคม 2568 รอบตัดสิน วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 083-429-6491 (คุณเหินฟ้า) หรือ 096-704-5372 (คุณโมโม่)
    มิถุนายนนี้ ชวนปักหมุดเช็คอินภาคอีสาน กับอีกหนึ่ง Carnival สุดยิ่งใหญ่ งาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIA+ ทั่วโลก เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH อย่างยิ่งใหญ่ทั่วศูนย์การค้าและห้างฯ ทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง “เดอะมอลล์โคราช” จัดไพรด์คาร์นิวาลสุดยิ่งใหญ่ กับงาน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” 7-8 มิ.ย.2568 ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช พบขบวนพาเหรดสีรุ้งแห่งความหลากหลายที่ยิ่งใหญ่ ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เฉลิมฉลองความเท่าเทียมตลอดเดือนมิถุนายน “THE MALL KORAT THE HEART OF PRIDE” จุดไฟพลังชาว LGBTQIA+ ทุกเจนฯ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน ภายใต้คอนเซปต์ THE CENTER OF LOVE | PEACE | EQUALITY ศูนย์กลางความเท่าเทียมและความภาคภูมิใจของคนโคราช โดย เดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินหน้าตอกย้ำจุดยืน “LGBTQIA+ Friendly Destination” ผ่านแคมเปญใหญ่ “THE MALL LIFESTORE: THE HEART OF PRIDE” ร่วมฉลอง PRIDE MONTH ทั่วศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทุกสาขา หนุนเศรษฐกิจสีรุ้ง สนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี การเปิดใจและมีความเข้าใจต่อกันทุกเพศ ทุกวัยอย่างลึกซึ้งร่วมเฉลิมฉลองความเป็นตัวตนที่ภาคภูมิใจไปพร้อมกัน วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำศูนย์การค้าระดับพรีเมียม มุ่งขับเคลื่อนความหลากหลายอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติธุรกิจ สังคม และการท่องเที่ยว "Rainbow Economy และ Rainbow Tourism คือกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลุ่ม LGBTQIA+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีไลฟ์สไตล์เฉพาะเปิดกว้าง พร้อมใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ที่สะท้อนตัวตน เป็นเซกเมนต์ใหม่ที่ธุรกิจให้ความสำคัญและโฟกัสความลึกซึ้งในตัวตนนี้มากขึ้น" "สำหรับปีนี้ แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ และ ร้านอาหารยอดนิยม มีการจัดทำคอลเลกชันสินค้า เมนูพิเศษเพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นมิติของไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย กระตุ้นและสร้างความตื่นตัวในภาพธุรกิจได้ชัดเจน พร้อมตกแต่งศูนย์ฯ ด้วยแลนด์มาร์กสีรุ้งขนาดใหญ่ เสริมบรรยากาศเฉลิมฉลองทั่วทุกสาขา และคาดว่าการจับจ่ายในศูนย์การค้าจะคึกคัก หนุนยอดขายกลุ่มแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์-ร้านอาหารเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าแคมเปญจะช่วยเพิ่มทราฟฟิกในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา" สะท้อนความตั้งใจของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ต้องการกระจายโอกาสและการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ทุกภูมิภาค ซึ่งในช่วงดังกล่าวเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ จัดแคมเปญ “Bangkok No.1 Shopping Festival 2025” มาช่วยตอบโจทย์การใช้จ่ายในการเฉลิมฉลองของกลุ่ม LGBTQIA+ อีกด้วย “เดอะมอลล์ กรุ๊ป มองว่า PRIDE ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เป็นพลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความหลากหลายระดับโลก” นางสาววรลักษณ์ กล่าวปิดท้าย โดยวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 7-8 มิ.ย.2568 ได้จัดกิจกรรมแบ่งเป็น 2 วัน ดังนี้ ไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมปีนึ้ ในวันที่ 7 มิ.ย.2568 ตั้งแต่เวลา 13.00น.เป็นต้นไป พบขบวนพาเหรด “Pride Carnival” สุดยิ่งใหญ่ สร้างพื้นที่แห่งความเท่าเทียม ซึ่งร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน LGBTQIA+ ทุกเจนฯ กว่า 400 คน ในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยหัวใจเดียวกัน มีรูปแบบขบวนแบ่งเป็น 4 ขบวน ได้แก่ We All Love “รัก” ในทุกสิ่ง, We All Understanding เรียนรู้อย่าง “เข้าใจ”, We All Dignity พร้อมด้วย “ศักดิ์ศรี” และ We All Equality ยึดมั่นในความเสมอภาค “เท่าเทียม” โดยกิจกรรมยกระดับงานนี้ให้เป็นเทศกาลระดับเมืองของโคราชที่สะท้อนหัวใจของ “ความรัก ความเข้าใจ และความเท่าเทียม” และเวลา 16.00 น. สนุกสุขมันส์กับฟรีมินิคอนเสิร์ตจาก ZOLAR ณ วาไรตี้ ฮอลล์ ชั้น 3 8 มิ.ย.2568 พบการประกวด MISS QUEEN M PLUS นครราชสีมา ชิงเงินรางวัลและ Gift Voucher มูลค่าร่วมกว่า 300,000 บาท สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดใบสมัคร พร้อมรับรายละเอียดการประกวด ได้แล้ววันนี้ที่ลิงก์ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfTL0jixMRovzjF45ArPcNYemAg8AWNyca3lePatzWAcvPWpA/viewform?usp=header สมัครตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤษภาคม 2568 รอบตัดสิน วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 083-429-6491 (คุณเหินฟ้า) หรือ 096-704-5372 (คุณโมโม่)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลเยอรมนีตัดสินให้เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้

    ศาลปกครองเมืองฮันโนเวอร์ ออกคำตัดสินที่เข้มงวดเกี่ยวกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัลในเยอรมนี โดยกำหนดให้ เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" ที่เห็นได้ชัดเจนบนแบนเนอร์คุกกี้ หากมีตัวเลือก "ยอมรับทั้งหมด"

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเยอรมนี
    ✅ เว็บไซต์ต้องให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่ชัดเจนและเป็นธรรมในการยอมรับหรือปฏิเสธคุกกี้
    - ห้ามใช้ แบนเนอร์ที่บีบให้ผู้ใช้ต้องยอมรับคุกกี้โดยไม่มีทางเลือกที่เท่าเทียมกัน

    ✅ กรณีนี้เกิดจากการร้องเรียนของหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในรัฐโลว์เออร์แซกโซนี
    - หน่วยงานพบว่า เว็บไซต์ของสื่อ NOZ ใช้แบนเนอร์ที่ทำให้การปฏิเสธคุกกี้ยากกว่าการยอมรับ

    ✅ ศาลระบุว่าแบนเนอร์คุกกี้ที่บิดเบือนข้อมูลถือเป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR
    - เช่น การใช้ข้อความที่ชวนให้เข้าใจผิดว่า "ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด" เพื่อกระตุ้นให้กด "ยอมรับและปิด"

    ✅ คำตัดสินนี้อาจส่งผลให้เว็บไซต์อื่น ๆ ต้องปรับปรุงแบนเนอร์คุกกี้ให้สอดคล้องกับกฎหมาย
    - คาดว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการขอความยินยอมจากผู้ใช้ในยุโรป

    ✅ ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวสนับสนุนคำตัดสินนี้
    - มองว่า เป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิของผู้ใช้บนโลกออนไลน์

    https://www.techspot.com/news/108043-german-court-takes-stand-against-manipulative-cookie-banners.html
    ศาลเยอรมนีตัดสินให้เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้ ศาลปกครองเมืองฮันโนเวอร์ ออกคำตัดสินที่เข้มงวดเกี่ยวกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัลในเยอรมนี โดยกำหนดให้ เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" ที่เห็นได้ชัดเจนบนแบนเนอร์คุกกี้ หากมีตัวเลือก "ยอมรับทั้งหมด" 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเยอรมนี ✅ เว็บไซต์ต้องให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่ชัดเจนและเป็นธรรมในการยอมรับหรือปฏิเสธคุกกี้ - ห้ามใช้ แบนเนอร์ที่บีบให้ผู้ใช้ต้องยอมรับคุกกี้โดยไม่มีทางเลือกที่เท่าเทียมกัน ✅ กรณีนี้เกิดจากการร้องเรียนของหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในรัฐโลว์เออร์แซกโซนี - หน่วยงานพบว่า เว็บไซต์ของสื่อ NOZ ใช้แบนเนอร์ที่ทำให้การปฏิเสธคุกกี้ยากกว่าการยอมรับ ✅ ศาลระบุว่าแบนเนอร์คุกกี้ที่บิดเบือนข้อมูลถือเป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR - เช่น การใช้ข้อความที่ชวนให้เข้าใจผิดว่า "ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด" เพื่อกระตุ้นให้กด "ยอมรับและปิด" ✅ คำตัดสินนี้อาจส่งผลให้เว็บไซต์อื่น ๆ ต้องปรับปรุงแบนเนอร์คุกกี้ให้สอดคล้องกับกฎหมาย - คาดว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการขอความยินยอมจากผู้ใช้ในยุโรป ✅ ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวสนับสนุนคำตัดสินนี้ - มองว่า เป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิของผู้ใช้บนโลกออนไลน์ https://www.techspot.com/news/108043-german-court-takes-stand-against-manipulative-cookie-banners.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    German court takes a stand against manipulative cookie banners
    Lower Saxony Data Protection Officer Denis Lehmkemper has won a legal battle in his push for fairer digital privacy practices in Germany. The Hanover Administrative Court ruled...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัญหาภายในของซาอุดีอาระเบียมีหลากหลายประเด็นทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม. ปัญหาทางเศรษฐกิจรวมถึงการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันที่มากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ปัญหาสังคมรวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 และปัญหาการทุจริต. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมรวมถึงการขยายตัวของเมืองที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ มลพิษทางดิน และปัญหาการขาดแคลนน้ำ.
    รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาภายในซาอุดีอาระเบีย:
    ปัญหาทางเศรษฐกิจ:
    การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน: ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก แต่การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก.
    ขาดดุลงบประมาณ: ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงทำให้ซาอุดีอาระเบียประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณ.
    การกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ: ซาอุดีอาระเบียพยายามกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่นผ่านโครงการวิสัยทัศน์ 2030.
    ปัญหาการทุจริต: มีรายงานการทุจริตในระบบราชการซาอุดีอาระเบีย.
    ปัญหาสังคม:
    ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ: ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในซาอุดีอาระเบีย.
    ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030: บางกลุ่มมีความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 ที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้.
    การอพยพออกนอกประเทศ: มีชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากขึ้นที่อพยพออกนอกประเทศ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ.
    แรงงานต่างชาติ: ซาอุดีอาระเบียพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และอาจเผชิญกับปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน.
    ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม:
    มลพิษทางอากาศ: ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตะวันออกกลาง.
    มลพิษทางดิน: การขุดเจาะน้ำมันและการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดมลพิษทางดิน.
    ปัญหาการขาดแคลนน้ำ: พื้นที่เพาะปลูกสามในสี่เสื่อมโทรม และประชากร 60% ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ.
    ปัญหาการใช้พลังงาน: การใช้เครื่องปรับอากาศปริมาณมากส่งผลต่อปัญหาการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก.
    ปัญหาภายในของซาอุดีอาระเบียมีหลากหลายประเด็นทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม. ปัญหาทางเศรษฐกิจรวมถึงการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันที่มากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ปัญหาสังคมรวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 และปัญหาการทุจริต. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมรวมถึงการขยายตัวของเมืองที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ มลพิษทางดิน และปัญหาการขาดแคลนน้ำ. รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาภายในซาอุดีอาระเบีย: ปัญหาทางเศรษฐกิจ: การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน: ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก แต่การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ขาดดุลงบประมาณ: ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงทำให้ซาอุดีอาระเบียประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณ. การกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ: ซาอุดีอาระเบียพยายามกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่นผ่านโครงการวิสัยทัศน์ 2030. ปัญหาการทุจริต: มีรายงานการทุจริตในระบบราชการซาอุดีอาระเบีย. ปัญหาสังคม: ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ: ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในซาอุดีอาระเบีย. ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030: บางกลุ่มมีความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 ที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้. การอพยพออกนอกประเทศ: มีชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากขึ้นที่อพยพออกนอกประเทศ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ. แรงงานต่างชาติ: ซาอุดีอาระเบียพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และอาจเผชิญกับปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม: มลพิษทางอากาศ: ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตะวันออกกลาง. มลพิษทางดิน: การขุดเจาะน้ำมันและการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดมลพิษทางดิน. ปัญหาการขาดแคลนน้ำ: พื้นที่เพาะปลูกสามในสี่เสื่อมโทรม และประชากร 60% ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ. ปัญหาการใช้พลังงาน: การใช้เครื่องปรับอากาศปริมาณมากส่งผลต่อปัญหาการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' เผยวิสัยทัศน์ 'โรงพยาบาลของคนไทยทุกคน' สวย สะอาด หมอเก่ง รักษาเท่าเทียม เชิญชวนร่วมบริจาคจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์
    https://www.thai-tai.tv/news/18861/
    'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' เผยวิสัยทัศน์ 'โรงพยาบาลของคนไทยทุกคน' สวย สะอาด หมอเก่ง รักษาเท่าเทียม เชิญชวนร่วมบริจาคจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ https://www.thai-tai.tv/news/18861/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

    รายงานจาก องค์การแรงงานระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (ILO) ระบุว่า งานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจาก AI มากกว่างานที่ผู้ชายทำ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้สูง เนื่องจาก AI กำลังเข้ามาแทนที่งานด้านธุรการและงานเอกสาร เช่น งานเลขานุการ

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานของผู้หญิง
    ✅ 9.6% ของงานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มถูกเปลี่ยนแปลงโดย AI เทียบกับ 3.5% ของงานที่ผู้ชายทำ
    - งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือธุรการและงานเอกสาร

    ✅ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานเลขานุการและงานด้านเอกสารในองค์กร
    - ทำให้ ตำแหน่งงานเหล่านี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

    ✅ ประเทศที่มีรายได้สูงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้ต่ำ
    - เนื่องจาก องค์กรในประเทศที่พัฒนาแล้วมีการนำ AI มาใช้มากขึ้น

    ✅ ILO เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อความเท่าเทียมทางเพศในตลาดแรงงาน
    - หากไม่มีมาตรการรองรับ ผู้หญิงอาจเผชิญกับความท้าทายในการหางานใหม่

    ✅ การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีอาจช่วยให้ผู้หญิงปรับตัวเข้ากับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง
    - เช่น การเรียนรู้ทักษะด้าน AI และการวิเคราะห์ข้อมูล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/20/ai-poses-a-bigger-threat-to-women039s-work-than-men039s-says-report
    AI ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย รายงานจาก องค์การแรงงานระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (ILO) ระบุว่า งานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจาก AI มากกว่างานที่ผู้ชายทำ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้สูง เนื่องจาก AI กำลังเข้ามาแทนที่งานด้านธุรการและงานเอกสาร เช่น งานเลขานุการ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานของผู้หญิง ✅ 9.6% ของงานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มถูกเปลี่ยนแปลงโดย AI เทียบกับ 3.5% ของงานที่ผู้ชายทำ - งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือธุรการและงานเอกสาร ✅ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานเลขานุการและงานด้านเอกสารในองค์กร - ทำให้ ตำแหน่งงานเหล่านี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ✅ ประเทศที่มีรายได้สูงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้ต่ำ - เนื่องจาก องค์กรในประเทศที่พัฒนาแล้วมีการนำ AI มาใช้มากขึ้น ✅ ILO เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อความเท่าเทียมทางเพศในตลาดแรงงาน - หากไม่มีมาตรการรองรับ ผู้หญิงอาจเผชิญกับความท้าทายในการหางานใหม่ ✅ การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีอาจช่วยให้ผู้หญิงปรับตัวเข้ากับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง - เช่น การเรียนรู้ทักษะด้าน AI และการวิเคราะห์ข้อมูล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/20/ai-poses-a-bigger-threat-to-women039s-work-than-men039s-says-report
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI poses a bigger threat to women's work, than men's, says report
    GENEVA (Reuters) -Jobs traditionally done by women are more vulnerable to the impact of artificial intelligence than those done by men, especially in high-income countries, a report by the United Nations' International Labour Organization showed on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากทุกคนบนโลกเกิดมาพร้อมกับต้นไม้ที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ต้องดูแลตลอดชีวิต สิ่งที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและแง่ที่ต้องแก้ไข:

    ### **ผลกระทบเชิงบวก:**
    1. **สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว**
    - ประชากรโลก 8 พันล้านคน = ต้นไม้เพิ่มขึ้น 8 พันล้านต้น (หรือมากกว่านั้นหากคนปลูกเพิ่ม)
    - ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อน ปรับสมดุลระบบนิเวศ

    2. **การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ**
    - คนจะตระหนักถึงการพึ่งพาต้นไม้มากขึ้น เช่น รู้จักวงจรชีวิตพืช ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลาย
    - อาจเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่เคารพธรรมชาติ เช่น การจัดพิธีกรรมเมื่อต้นไม้ของตนตาย

    3. **เศรษฐกิจใหม่ที่เกิดจาก "ตลาดต้นไม้ส่วนตัว"**
    - ต้นไม้กลายเป็นสินทรัพย์ซื้อขาย/มรดกได้ (เช่น ต้นโอ๊กอายุ 100 ปีอาจมีมูลค่าสูง)
    - เกิดอาชีพใหม่ เช่น "ที่ปรึกษาดูแลต้นไม้ส่วนตัว" "นักออกแบบสวนส่วนบุคคล"

    4. **นวัตกรรมเพื่อการดูแลต้นไม้**
    - เทคโนโลยีติดตามสุขภาพต้นไม้ (เซ็นเซอร์วัดดิน แอป提醒การรดน้ำ)
    - การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ

    ### **ความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิด:**
    1. **ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร**
    - คนในเมืองอาจไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ → เกิดตลาดเช่าพื้นที่ปลูก
    - ต้นไม้หายากบางชนิดอาจกลายเป็นสัญลักษณ์สถานะทางสังคม

    2. **ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย**
    - หากต้นไม้ของใครโตเกินไปและสร้างความเสียหายให้เพื่อนบ้าน (เช่น รากชอนไช)
    - กรณีต้นไม้ตายก่อนเจ้าของ: จะมีบทลงโทษหรือไม่?

    3. **ผลกระทบต่อระบบนิเวศเดิม**
    - หากทุกคนปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกัน (เช่น ไม้เศรษฐกิจ) อาจลดความหลากหลายทางชีวภาพ
    - สปีชีส์พันธุ์รุกรานอาจแพร่กระจายหากไม่ควบคุม

    4. **ความเครียดจากการดูแล**
    - บางคนอาจรู้สึกว่าต้นไม้เป็น "ภาระ" ตลอดชีวิต
    - อาจเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับต้นไม้ (เช่น ขโมยต้นไม้เก่าแก่ ลอบทำลายต้นไม้ของศัตรู)

    ### **แนวโน้มทางสังคมที่อาจตามมา:**
    - **การเมืองสีเขียวเข้มข้นขึ้น:** พรรคการเมืองอาจเสนอนโยบายเช่น "เงินอุดหนุนดูแลต้นไม้"
    - **ศิลปะ/วัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นเจ้าของต้นไม้:** เช่น นวนิยายเกี่ยวกับชีวิตคู่ขนานของคนและต้นไม้
    - **ความเชื่อใหม่:** อาจมีศาสนาที่นับถือต้นไม้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ

    ### **ข้อสรุป:**
    โลกจะเปลี่ยนไปในทางที่ "เขียว" ขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนใหม่ๆ เกี่ยวกับสิทธิ์ในทรัพย์สิน ระบบนิเวศ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่น่าสนใจคือ มนุษย์อาจพัฒนาความเป็นเจ้าของที่ลึกซึ้งต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มากกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง
    หากทุกคนบนโลกเกิดมาพร้อมกับต้นไม้ที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ต้องดูแลตลอดชีวิต สิ่งที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและแง่ที่ต้องแก้ไข: ### **ผลกระทบเชิงบวก:** 1. **สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว** - ประชากรโลก 8 พันล้านคน = ต้นไม้เพิ่มขึ้น 8 พันล้านต้น (หรือมากกว่านั้นหากคนปลูกเพิ่ม) - ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อน ปรับสมดุลระบบนิเวศ 2. **การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ** - คนจะตระหนักถึงการพึ่งพาต้นไม้มากขึ้น เช่น รู้จักวงจรชีวิตพืช ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลาย - อาจเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่เคารพธรรมชาติ เช่น การจัดพิธีกรรมเมื่อต้นไม้ของตนตาย 3. **เศรษฐกิจใหม่ที่เกิดจาก "ตลาดต้นไม้ส่วนตัว"** - ต้นไม้กลายเป็นสินทรัพย์ซื้อขาย/มรดกได้ (เช่น ต้นโอ๊กอายุ 100 ปีอาจมีมูลค่าสูง) - เกิดอาชีพใหม่ เช่น "ที่ปรึกษาดูแลต้นไม้ส่วนตัว" "นักออกแบบสวนส่วนบุคคล" 4. **นวัตกรรมเพื่อการดูแลต้นไม้** - เทคโนโลยีติดตามสุขภาพต้นไม้ (เซ็นเซอร์วัดดิน แอป提醒การรดน้ำ) - การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ ### **ความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิด:** 1. **ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร** - คนในเมืองอาจไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ → เกิดตลาดเช่าพื้นที่ปลูก - ต้นไม้หายากบางชนิดอาจกลายเป็นสัญลักษณ์สถานะทางสังคม 2. **ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย** - หากต้นไม้ของใครโตเกินไปและสร้างความเสียหายให้เพื่อนบ้าน (เช่น รากชอนไช) - กรณีต้นไม้ตายก่อนเจ้าของ: จะมีบทลงโทษหรือไม่? 3. **ผลกระทบต่อระบบนิเวศเดิม** - หากทุกคนปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกัน (เช่น ไม้เศรษฐกิจ) อาจลดความหลากหลายทางชีวภาพ - สปีชีส์พันธุ์รุกรานอาจแพร่กระจายหากไม่ควบคุม 4. **ความเครียดจากการดูแล** - บางคนอาจรู้สึกว่าต้นไม้เป็น "ภาระ" ตลอดชีวิต - อาจเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับต้นไม้ (เช่น ขโมยต้นไม้เก่าแก่ ลอบทำลายต้นไม้ของศัตรู) ### **แนวโน้มทางสังคมที่อาจตามมา:** - **การเมืองสีเขียวเข้มข้นขึ้น:** พรรคการเมืองอาจเสนอนโยบายเช่น "เงินอุดหนุนดูแลต้นไม้" - **ศิลปะ/วัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นเจ้าของต้นไม้:** เช่น นวนิยายเกี่ยวกับชีวิตคู่ขนานของคนและต้นไม้ - **ความเชื่อใหม่:** อาจมีศาสนาที่นับถือต้นไม้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ ### **ข้อสรุป:** โลกจะเปลี่ยนไปในทางที่ "เขียว" ขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนใหม่ๆ เกี่ยวกับสิทธิ์ในทรัพย์สิน ระบบนิเวศ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่น่าสนใจคือ มนุษย์อาจพัฒนาความเป็นเจ้าของที่ลึกซึ้งต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มากกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านดีๆ ดูดีๆ

    ทำความรู้จัก G-Token เครื่องมือกู้เงินใหม่ของรัฐบาลไทย คล้าย ‘พันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบโทเคน’ หวังเข้าถึง ‘คนรุ่นใหม่’ เพิ่มการออมของประชาชน และเพิ่มการเข้าถึงการเงินให้ทั่วถึงและเท่าเทียม (Financial Inclusion) มากขึ้น โดยเล็งออก G-Token ในราคาเริ่มต้น หน่วยละ 1 บาทเท่านั้น ยืนยันผลตอบแทนดี สามารถซื้อได้ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เร็วสุดในกรกฎาคมปีนี้



    เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. นับเป็นการเปิดทางให้ กระทรวงการคลังสามารถออกและเสนอขาย ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (Government Token: G-Token) เป็นประเทศแรกของโลก



    ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับว่ามีขึ้นหลัง เมื่อปลายปีที่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเสนอแนวคิดการออกสเตเบิลคอยน์ที่ค้ำประกันด้วยพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยว่า มีแผนการ Bond Tokenization หรือการออกโทเคนโดยมีพันธบัตรรัฐบาลหนุน (Backed)



    ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (G-Token) คืออะไร?


    ไม่ใช่เงินตรา เนื่องจาก ไม่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือชำระเงินได้
    ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี
    เป็น ‘เครื่องมือการระดมทุน’ โดยเทียบเคียงได้กับ ‘พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง’
    เป็นการกู้เงินโดยตรงจากประชาชนของรัฐบาล


    G-Token ไม่กระทบหนี้สาธารณะ ไม่เกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ต


    พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) อธิบายเพิ่มเติมว่า การออก G-Token นี้เป็นการระดมทุนรูปแบบใหม่ คล้ายคลึงกับการออกพันธบัตรออมทรัพย์สำหรับประชาชนตามปกติของ สบน.



    โดยการออก G-Token รอบแรก คาดว่า จะออกในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการระดมเงิน ภายใต้กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ตามปกติ และเป็นไปตามกรอบวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ สบน. วางแผนไว้ว่าในวงเงินไม่เกิน 1 แสนล้านบาท



    ดังนั้นการออก G-Token ในรอบแรกนี้จึงจะไม่เพิ่ม หรือไม่กระทบต่อ ‘หนี้สาธารณะ’ และไม่ใช่การระดมทุนเพื่อนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด



    ยืนยันการออกเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ


    พชรยังยืนยันว่า การออก G-Token นี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2567 ของ ก.ล.ต.



    “มติ ครม. วันนี้ เป็นการเปิดทางให้กระทรวงการคลัง ออก G-Token ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 10 ที่ระบุว่า การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ” พชร กล่าว



    นอกจากนี้พชรยังเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้ขอความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้ยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้ดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ G-Token นี้
    อ่านดีๆ ดูดีๆ ทำความรู้จัก G-Token เครื่องมือกู้เงินใหม่ของรัฐบาลไทย คล้าย ‘พันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบโทเคน’ หวังเข้าถึง ‘คนรุ่นใหม่’ เพิ่มการออมของประชาชน และเพิ่มการเข้าถึงการเงินให้ทั่วถึงและเท่าเทียม (Financial Inclusion) มากขึ้น โดยเล็งออก G-Token ในราคาเริ่มต้น หน่วยละ 1 บาทเท่านั้น ยืนยันผลตอบแทนดี สามารถซื้อได้ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เร็วสุดในกรกฎาคมปีนี้ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. นับเป็นการเปิดทางให้ กระทรวงการคลังสามารถออกและเสนอขาย ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (Government Token: G-Token) เป็นประเทศแรกของโลก ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับว่ามีขึ้นหลัง เมื่อปลายปีที่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเสนอแนวคิดการออกสเตเบิลคอยน์ที่ค้ำประกันด้วยพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยว่า มีแผนการ Bond Tokenization หรือการออกโทเคนโดยมีพันธบัตรรัฐบาลหนุน (Backed) ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (G-Token) คืออะไร? ไม่ใช่เงินตรา เนื่องจาก ไม่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือชำระเงินได้ ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี เป็น ‘เครื่องมือการระดมทุน’ โดยเทียบเคียงได้กับ ‘พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง’ เป็นการกู้เงินโดยตรงจากประชาชนของรัฐบาล G-Token ไม่กระทบหนี้สาธารณะ ไม่เกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ต พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) อธิบายเพิ่มเติมว่า การออก G-Token นี้เป็นการระดมทุนรูปแบบใหม่ คล้ายคลึงกับการออกพันธบัตรออมทรัพย์สำหรับประชาชนตามปกติของ สบน. โดยการออก G-Token รอบแรก คาดว่า จะออกในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการระดมเงิน ภายใต้กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ตามปกติ และเป็นไปตามกรอบวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ สบน. วางแผนไว้ว่าในวงเงินไม่เกิน 1 แสนล้านบาท ดังนั้นการออก G-Token ในรอบแรกนี้จึงจะไม่เพิ่ม หรือไม่กระทบต่อ ‘หนี้สาธารณะ’ และไม่ใช่การระดมทุนเพื่อนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด ยืนยันการออกเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ พชรยังยืนยันว่า การออก G-Token นี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2567 ของ ก.ล.ต. “มติ ครม. วันนี้ เป็นการเปิดทางให้กระทรวงการคลัง ออก G-Token ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 10 ที่ระบุว่า การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ” พชร กล่าว นอกจากนี้พชรยังเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้ขอความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้ยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้ดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ G-Token นี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์คุย “รีเซ็ตความสัมพันธ์จีน-อเมริกาใหม่หมด” หลังจากทั้งสองประเทศตกลงพักสงครามการค้า 90 วัน ด้วยการลดอัตราภาษีศุลกากรลงมา 115% อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์มองว่า ข้อตกลงที่เจนีวาคราวนี้ถือเป็นชัยชนะสำหรับปักกิ่งในการยึดมั่นหลักการความเท่าเทียมและการเคารพกันและกัน ถึงแม้บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ความสำเร็จนี้ไม่ได้สะท้อนวิธีแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และไม่ได้รับประกันว่า ปักกิ่งและวอชิงตันจะไม่ขัดแย้งรุนแรงกันอีกในอนาคต
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000044806

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทรัมป์คุย “รีเซ็ตความสัมพันธ์จีน-อเมริกาใหม่หมด” หลังจากทั้งสองประเทศตกลงพักสงครามการค้า 90 วัน ด้วยการลดอัตราภาษีศุลกากรลงมา 115% อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์มองว่า ข้อตกลงที่เจนีวาคราวนี้ถือเป็นชัยชนะสำหรับปักกิ่งในการยึดมั่นหลักการความเท่าเทียมและการเคารพกันและกัน ถึงแม้บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ความสำเร็จนี้ไม่ได้สะท้อนวิธีแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และไม่ได้รับประกันว่า ปักกิ่งและวอชิงตันจะไม่ขัดแย้งรุนแรงกันอีกในอนาคต . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000044806 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1337 มุมมอง 0 รีวิว
  • แลกเปลี่ยน รับรู้ เข้าใจ
    พัฒนาการศึกษาไทยที่เท่าเทียม

    วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ที่ โรงแรมโคราชโฮเต็ล #นายธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายก อบจ.นครราชสีมา ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการติดตามความก้าวหน้าการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา (SDG4) และพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา (SDG4) ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา ปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เพื่อแลกเปลี่ยน สร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา ระดับพื้นที่ ตามหลักการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในเป้าหมายที่ 4 คือการสร้างหลักประกันว่าทุกคนต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุม และเท่าเทียม สนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    แลกเปลี่ยน รับรู้ เข้าใจ พัฒนาการศึกษาไทยที่เท่าเทียม วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ที่ โรงแรมโคราชโฮเต็ล #นายธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายก อบจ.นครราชสีมา ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการติดตามความก้าวหน้าการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา (SDG4) และพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา (SDG4) ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา ปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เพื่อแลกเปลี่ยน สร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา ระดับพื้นที่ ตามหลักการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในเป้าหมายที่ 4 คือการสร้างหลักประกันว่าทุกคนต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุม และเท่าเทียม สนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฏิวัติการจัดการเวลาครอบครัวด้วยปฏิทินดิจิทัลราคาแพง

    ในยุคที่ชีวิตครอบครัวเต็มไปด้วยภารกิจมากมาย ปฏิทินดิจิทัลราคาแพง กำลังกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การจัดการตารางเวลามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์อย่าง Skylight Calendar และ Hearth Display ได้รับความนิยมในกลุ่มครอบครัวที่ต้องการลดภาระ "mental load" หรือภาระทางจิตใจในการวางแผนชีวิต

    ✅ Skylight Calendar มีราคาตั้งแต่ 170 ถึง 630 ดอลลาร์สหรัฐฯ
    - พร้อมค่าบริการรายปี 79 ดอลลาร์ เพื่อปลดล็อกฟีเจอร์พิเศษ

    ✅ Hearth Display เป็นปฏิทินดิจิทัลขนาดใหญ่ที่ออกแบบโดยสามคุณแม่ทำงาน
    - มีราคาสูงถึง 700 ดอลลาร์ พร้อมค่าบริการรายเดือน 9 ดอลลาร์

    ✅ แนวคิดของ Hearth Display คือการทำให้ข้อมูลสำคัญของครอบครัวมองเห็นได้ชัดเจน
    - ลดปัญหาการสื่อสารที่กระจัดกระจาย

    ✅ ผู้ใช้บางรายพบว่าปฏิทินดิจิทัลช่วยให้การจัดการตารางเวลาครอบครัวดีขึ้น
    - เช่น การแจ้งเตือนให้สมาชิกทำงานบ้านหรือดูแลเด็ก

    ✅ นักสังคมวิทยาชี้ว่าปฏิทินดิจิทัลอาจไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในการแบ่งงานบ้านได้
    - เพราะยังคงมีแนวโน้มที่ คู่สมรสฝ่ายหนึ่งจะเป็น "calendar partner" ที่ต้องคอยจัดการข้อมูลทั้งหมด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/13/can-a-us700-calendar-save-your-marriage
    ฏิวัติการจัดการเวลาครอบครัวด้วยปฏิทินดิจิทัลราคาแพง ในยุคที่ชีวิตครอบครัวเต็มไปด้วยภารกิจมากมาย ปฏิทินดิจิทัลราคาแพง กำลังกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การจัดการตารางเวลามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์อย่าง Skylight Calendar และ Hearth Display ได้รับความนิยมในกลุ่มครอบครัวที่ต้องการลดภาระ "mental load" หรือภาระทางจิตใจในการวางแผนชีวิต ✅ Skylight Calendar มีราคาตั้งแต่ 170 ถึง 630 ดอลลาร์สหรัฐฯ - พร้อมค่าบริการรายปี 79 ดอลลาร์ เพื่อปลดล็อกฟีเจอร์พิเศษ ✅ Hearth Display เป็นปฏิทินดิจิทัลขนาดใหญ่ที่ออกแบบโดยสามคุณแม่ทำงาน - มีราคาสูงถึง 700 ดอลลาร์ พร้อมค่าบริการรายเดือน 9 ดอลลาร์ ✅ แนวคิดของ Hearth Display คือการทำให้ข้อมูลสำคัญของครอบครัวมองเห็นได้ชัดเจน - ลดปัญหาการสื่อสารที่กระจัดกระจาย ✅ ผู้ใช้บางรายพบว่าปฏิทินดิจิทัลช่วยให้การจัดการตารางเวลาครอบครัวดีขึ้น - เช่น การแจ้งเตือนให้สมาชิกทำงานบ้านหรือดูแลเด็ก ✅ นักสังคมวิทยาชี้ว่าปฏิทินดิจิทัลอาจไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในการแบ่งงานบ้านได้ - เพราะยังคงมีแนวโน้มที่ คู่สมรสฝ่ายหนึ่งจะเป็น "calendar partner" ที่ต้องคอยจัดการข้อมูลทั้งหมด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/13/can-a-us700-calendar-save-your-marriage
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Can a US$700 calendar save your marriage?
    Your spouse can't read your mind. But these products promise to "externalise the primary caregiver's brain".
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลาปลดล็อก รถทัวร์ไทย-มาเลเซีย

    การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2 พ.ค. อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ไทยและมาเลเซียกำลังพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างเอ็มโอยูว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย (CBTG) และ ร่างเอ็มโอยูว่าด้วยการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย (CBTP) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาการขนส่งสินค้า อำนวยความสะดวกการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศ และเกิดสิทธิในการขนส่งทางถนนที่เท่าเทียมกัน คาดว่าจะได้ข้อยุติและลงนามเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับภายในเดือน ก.ค.2568

    ที่ผ่านมารถโดยสารจากมาเลเซีย เดินรถเข้ามาในจังหวัดสงขลาได้ เพราะมีประกาศจังหวัดสงขลา ลงวันที่ 25 ส.ค. 2557 อนุญาตนำรถโดยสารที่จดทะเบียนต่างประเทศเข้ามาใน จ.สงขลา สามารถเข้าถึงทุกอำเภอได้ จากเดิมเฉพาะ อ.หาดใหญ่ แต่ถ้าจะไปจังหวัดอื่นต้องขออนุญาตต่อกรมการขนส่งทางบกล่วงหน้า ซึ่งที่ผ่านมามีรถทัวร์ให้บริการจากหาดใหญ่ไปยังประเทศมาเลเซียหลายบริษัท ได้แก่ ปีนัง มีทั้งรถตู้และรถทัวร์ ราคาประมาณ 600-800 บาท กัวลาลัมเปอร์ ราคาประมาณ 500-1,000 บาท และยะโฮร์บาห์รู ราคาประมาณ 1,300-1,500 บาท ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก ปี 2522 มาตรา 26 แต่รถโดยสารของฝ่ายไทยวิ่งเข้าไปในประเทศมาเลเซียไม่ได้ ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบมาเลเซีย ทำลายธุรกิจการขนส่งในประเทศไทย

    การลงนามเอ็มโอยูดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถประกอบธุรกิจเดินรถไปยังประเทศมาเลเซียได้ หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม ที่มีประสบการณ์เดินรถโดยสารระหว่างประเทศกับลาวและกัมพูชา 12 เส้นทาง รวม 61 เที่ยววิ่งต่อวัน สามารถร่วมกับผู้ประกอบการจากมาเลเซีย ให้บริการเดินรถโดยสารจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมในมาเลเซีย เช่น ปีนัง กัวลาลัมเปอร์ หรือยะโฮร์บาห์รู โดยไม่ปล่อยให้ผูกขาดเฉพาะรถโดยสารจากมาเลเซียแต่เพียงฝ่ายเดียว

    นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเที่ยวหาดใหญ่ หรือคนไทยมาเที่ยวมาเลเซีย นักท่องเที่ยวแบบประหยัด (Budget Travelers) ชาวไทย สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินไปยังหาดใหญ่ แล้วต่อรถโดยสารไปยังประเทศมาเลเซีย เช่นเดียวกับเดินทางด้วยเครื่องบินไปยังอุดรธานี แล้วต่อรถโดยสารไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ช่วยให้ประหยัดค่าเดินทาง จากเดิมต้องจ่ายภาษีสนามบินระหว่างประเทศ 730 บาท เหลือแค่ภาษีสนามบินในประเทศ 130 บาท

    #Newskit
    ถึงเวลาปลดล็อก รถทัวร์ไทย-มาเลเซีย การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2 พ.ค. อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ไทยและมาเลเซียกำลังพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างเอ็มโอยูว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย (CBTG) และ ร่างเอ็มโอยูว่าด้วยการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย (CBTP) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาการขนส่งสินค้า อำนวยความสะดวกการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศ และเกิดสิทธิในการขนส่งทางถนนที่เท่าเทียมกัน คาดว่าจะได้ข้อยุติและลงนามเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับภายในเดือน ก.ค.2568 ที่ผ่านมารถโดยสารจากมาเลเซีย เดินรถเข้ามาในจังหวัดสงขลาได้ เพราะมีประกาศจังหวัดสงขลา ลงวันที่ 25 ส.ค. 2557 อนุญาตนำรถโดยสารที่จดทะเบียนต่างประเทศเข้ามาใน จ.สงขลา สามารถเข้าถึงทุกอำเภอได้ จากเดิมเฉพาะ อ.หาดใหญ่ แต่ถ้าจะไปจังหวัดอื่นต้องขออนุญาตต่อกรมการขนส่งทางบกล่วงหน้า ซึ่งที่ผ่านมามีรถทัวร์ให้บริการจากหาดใหญ่ไปยังประเทศมาเลเซียหลายบริษัท ได้แก่ ปีนัง มีทั้งรถตู้และรถทัวร์ ราคาประมาณ 600-800 บาท กัวลาลัมเปอร์ ราคาประมาณ 500-1,000 บาท และยะโฮร์บาห์รู ราคาประมาณ 1,300-1,500 บาท ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก ปี 2522 มาตรา 26 แต่รถโดยสารของฝ่ายไทยวิ่งเข้าไปในประเทศมาเลเซียไม่ได้ ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบมาเลเซีย ทำลายธุรกิจการขนส่งในประเทศไทย การลงนามเอ็มโอยูดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถประกอบธุรกิจเดินรถไปยังประเทศมาเลเซียได้ หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม ที่มีประสบการณ์เดินรถโดยสารระหว่างประเทศกับลาวและกัมพูชา 12 เส้นทาง รวม 61 เที่ยววิ่งต่อวัน สามารถร่วมกับผู้ประกอบการจากมาเลเซีย ให้บริการเดินรถโดยสารจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมในมาเลเซีย เช่น ปีนัง กัวลาลัมเปอร์ หรือยะโฮร์บาห์รู โดยไม่ปล่อยให้ผูกขาดเฉพาะรถโดยสารจากมาเลเซียแต่เพียงฝ่ายเดียว นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเที่ยวหาดใหญ่ หรือคนไทยมาเที่ยวมาเลเซีย นักท่องเที่ยวแบบประหยัด (Budget Travelers) ชาวไทย สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินไปยังหาดใหญ่ แล้วต่อรถโดยสารไปยังประเทศมาเลเซีย เช่นเดียวกับเดินทางด้วยเครื่องบินไปยังอุดรธานี แล้วต่อรถโดยสารไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ช่วยให้ประหยัดค่าเดินทาง จากเดิมต้องจ่ายภาษีสนามบินระหว่างประเทศ 730 บาท เหลือแค่ภาษีสนามบินในประเทศ 130 บาท #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายเทศบาลพรรคส้ม
    ทุกชุมชนเสพได้ขายคล่อง
    สท.ส้มพร้อมจำหน่ายปลีก-ส่ง
    เข้าถึงเยาวชนอย่างเท่าเทียม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    นโยบายเทศบาลพรรคส้ม ทุกชุมชนเสพได้ขายคล่อง สท.ส้มพร้อมจำหน่ายปลีก-ส่ง เข้าถึงเยาวชนอย่างเท่าเทียม #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ-จีนนัดถกคลายปมขัดแย้งการค้าสุดสัปดาห์นี้ ขุนคลังมะกันหวังเป็นก้าวแรกยุติสงครามการค้า ขณะปักกิ่งย้ำต้องหารือแบบเท่าเทียม-เลิกข่มขู่คุกคาม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000042902

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สหรัฐฯ-จีนนัดถกคลายปมขัดแย้งการค้าสุดสัปดาห์นี้ ขุนคลังมะกันหวังเป็นก้าวแรกยุติสงครามการค้า ขณะปักกิ่งย้ำต้องหารือแบบเท่าเทียม-เลิกข่มขู่คุกคาม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000042902 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1265 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชนวนปะทุเดือดชายแดนไทย-สปป.ลาว ความสุ่มเสี่ยงความมั่นคงลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่จะลุกลามรอบไทย

    เสียงปืนลั่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และนับเป็นปัญหาเฉพาะในแผ่นดินลาวที่ไม่ได้มีชายแดนติดกับเมียนมาร์ การปะทะเริ่มเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ในฝั่ง สปป.ลาว บริเวณค่ายภูผาหม่น เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันกรมทหารพรานที่ 31 และกองกำลังผาเมือง ตรึงกำลังเฝ้าระวัง

    ทั้งแถบชายแดนทยอดปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 68 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะฝั่งตรงข้ามมีการใช้อาวุธปืนขนาด 7.62 ใช้สำหรับปืนอาก้า และอาวุธหนักกระทั่งมีเจ้าหน้าทีทหารของสปป.ลาวเสียชีวิต

    ความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์นี้คือจุดเริ่มที่ต้องสืบสาวหาต้นตอต้นเหตุ เพราะพื้นที่สถานการณ์ติดกับชายแดนไทยอย่างมาก

    The Analyzt ขอนำเสนอข้อมูลประกอบความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์สถานการณ์นี้ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยที่ติดกับจังหวัดเชียงราย ที่จะไม่เป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ ความมั่นคงในอนาคต

    1. การวิเคราะห์สถานการณ์
    บริบททางประวัติศาสตร์และสาเหตุที่อาจเป็นไปได้:

    สงครามกลางเมืองลาว (พ.ศ. 2502-2518): ในอดีต ลาวตอนเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนักระหว่างฝ่ายปะเทดลาว (คอมมิวนิสต์) และรัฐบาลราชอาณาจักรลาว โดยมีมหาอำนาจในสงครามเย็น (สหรัฐฯ และสหภาพโซเวีย ศูนย์กลางของการสู้รบอยู่ในพื้นที่เช่น แขวงเชียงขวาง ซึ่งกองพันปะเทดลาวเคยตั้งมั่น. สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี รวมถึงการแทรกแซงจากต่างชาติ เช่น เวียดนามเหนือและสหรัฐฯ

    ความขัดแย้งชาติพันธุ์: ลาวตอนเหนือเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ชาวม้ง ลาวสูง และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางเนื่องจากความต้องการปกครองตนเองหรือความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม.
    ยาเสพติดและการค้ามนุษย์: พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ (รอยต่อระหว่างลาว เมียนมา และไทย) เป็นแหล่งผลิตและลักลอบขนส่งยาเสพติด เช่น ไอซ์และยาบ้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะระหว่างกลุ่มค้ายาและกองกำลังรัฐบาล

    ข้อพิพาทชายแดน: ความไม่ชัดเจนของเขตแดนในลุ่มแม่น้ำโขงระหว่างลาวและไทยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งเคยเกิดข้อพิพาทในอดีต.

    อิทธิพลจากเพื่อนบ้าน: สถานการณ์ในเมียนมา เช่น การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ (เช่น KIA, MNDAA) อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังลาวตอนเหนือ

    กลุ่มกองกำลังที่อาจเกี่ยวข้อง:

    กองทัพประชาชนลาว (LPAF): เป็นกองทัพอย่างเป็นทางการของลาว มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและปกป้องพรมแดน อาจเกี่ยวข้องหากมีการปะทะกับกลุ่มค้ายาหรือกลุ่มกบฏ.

    กลุ่มชาติพันธุ์: เช่น ชาวม้งหรือกลุ่มลาวสูง ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้เพื่อปกครองตนเอง อาจยังคงมีความเคลื่อนไหวในระดับเล็กน้อย.

    กลุ่มค้ายาเสพติด: กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้ลาวตอนเหนือเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด มักปะทะกับกองกำลังรัฐบาลหรือทหารไทยบริเวณชายแดน.

    กลุ่มกบฏหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล: แม้ว่าปะเทดลาวจะสิ้นสุดบทบาทในฐานะกองกำลังติดอาวุธหลังสงครามกลางเมือง แต่กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลอาจยังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่ห่างไกล.

    แนวโน้มในอนาคต:
    การปะทะจากยาเสพติด: พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนจะยังคงเป็นจุดร้อนของการค้ายา ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะเป็นระยะๆ ระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกลุ่มค้ายา.

    ผลกระทบจากเมียนมา: หากสถานการณ์ในเมียนมา (เช่น ปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มพันธมิตร 3 พี่น้อง) ทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนเข้าสู่ลาว สร้างความตึงเครียดในพื้นที่.

    ความร่วมมือในภูมิภาค: ลาวอาจเพิ่มความร่วมมือกับจีนและไทยในการควบคุมยาเสพติดและความมั่นคงชายแดน ซึ่งอาจลดการปะทะในระยะยาว.

    ข้อพิพาทแม่น้ำโขง: ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนในแม่น้ำโขงอาจทวีความรุนแรงหากมีการอ้างสิทธิ์ในเกาะกลางน้ำหรือทรัพยากรในแม่น้ำ.

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
    ความเชื่อมโยงด้านพลังงานระหว่างลาวและไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาหนี้สินของลาวและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเขื่อนอาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว

    รายงานระบุว่าลาวมีหนี้สูงและต้องชำระหนี้ต่อจีน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้า Opportunities for Development Cooperation in Lao Strategic Sectors | CSIS. นอกจากนี้ การอพยพแรงงานจากลาวอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานในไทย แต่ก็อาจสร้างความตึงเครียดทางสังคม

    ความเชื่อมโยงทางพลังงาน: ลาวถูกเรียกว่า "แบตเตอรี่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากส่งออกไฟฟ้าจากเขื่อนไฮโดรพาวเวอร์ไปยังไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย Energy in Laos - Wikipedia.

    การค้าข้ามพรมแดน: ลาวและไทยมีความเชื่อมโยงผ่านการค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค หากลาวประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการลงทุนหรือการชะลอตัวของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาจส่งผลให้การค้าข้ามพรมแดนลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ชายแดนของไทย เช่น จังหวัดเชียงรายและหนองคาย Laos - The World Factbook

    การปรับตัวของระบบการค้าในภูมิภาคอาจเกิดการปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการลงทุนไทยอาจลดการพึ่งพาเส้นทางผ่านลาวไปยังจีน โดยหันไปใช้เส้นทางอื่นมากขึ้นอาจมีการพัฒนาเส้นทางการค้าทางทะเลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง

    แรงงานข้ามชาติ: ปัญหาเศรษฐกิจในลาวอาจทำให้มีแรงงานชาวลาวเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานให้กับนายจ้างไทย แต่ในทางกลับกันอาจสร้างความตึงเครียดทางสังคมและแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของไทย BTI 2024 Laos Country Report: BTI 2024.
    ท่าทีของไทยและการประเมินสถานการณ์

    ท่าทีของไทย
    ไทยมีแนวโน้มร่วมมือกับลาวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ:

    การปราบปรามยาเสพติด: ไทยและลาวมีความร่วมมือกันในการปราบปรามยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ เช่น การจัดตั้งจุดตรวจชายแดนร่วมและการลาดตระเวนร่วม Fighting drug trafficking in the Golden Triangle: a UN Resident Coordinator blog | UN News. นอกจากนี้ ไทยยังทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC เพื่อลดการลักลอบขนยา Thai authorities and UNODC meet about precursor chemical trafficking in the Golden Triangle - UNODC.

    ความร่วมมือด้านพลังงาน: ไทยยังคงเป็นตลาดหลักในการซื้อไฟฟ้าจากลาว และอาจผลักดันการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนร่วมกันเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม Alternative Development Pathways for Thailand’s Sustainable Electricity Trade with Laos • Stimson Center

    การเตรียมพร้อมรับมือ: ไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันชายแดน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่สงบในลาว Guide to Investigating Organized Crime in the Golden Triangle — Introduction.

    มิติความมั่นคง: ดูเหมือนว่าปัญหายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีการผลิตและลักลอบขนส่งเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่ากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนเส้นทางผ่านลาวและกลับเข้ามาในไทย Asia's infamous Golden Triangle and the soldiers tracking down the drug smugglers who rule its narcotics trade - ABC News.

    นอกจากนี้ หากสถานการณ์ในเมียนมาทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้มีกลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนมายังไทยเพิ่มขึ้น.

    การค้ายาเสพติด: ดูเหมือนว่าการค้ายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีตลาดเพิ่มขึ้นในภูมิภาค Q&A: The opium surge in Southeast Asia’s ‘Golden Triangle’ | Drugs News | Al Jazeera.

    ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: ไทยและลาวจะยังคงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านพลังงาน แต่ไทยควรพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนในลาวด้วย Locked In – Why Thailand Buys Electricity from Laos | Earth Journalism Network.

    ความมั่นคงชายแดน: ไทยควรเสริมสร้างความร่วมมือกับลาวและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เมียนมาและจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางความมั่นคงข้ามพรมแดน Lao delegation explores renewable energy in Thailand | Partnerships for Infrastructure.

    ข้อสรุป
    สถานการณ์ในลาวตอนเหนือกำลังส่งผลกระทบและจะยังคงส่งผลต่อไทยในหลายมิติ หากประเมินแล้วสถานการณ์ในลาวตอนเหนือมีผลกระทบต่อไทยทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการค้ายาเสพติดและความเชื่อมโยงด้านพลังงาน ไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดนและพิจารณาผลกระทบจากโครงการพัฒนาในลาวอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ


    การอ้างอิง:
    Laotian Civil War - Wikipedia
    Insurgency in Laos - Wikipedia
    Unprecedented Protests Are Putting Laos in Uncharted Waters | Council on Foreign Relations
    Assessment for Hmong in Laos | Refworld
    Laos | History, Flag, Map, Capital, Population, & Facts | Britannica
    From jungles to suburbs, warlord led Hmong struggle | Reuters
    Apocalypse Laos: The devastating legacy of the ‘Secret War’ | CEPR
    Laos country profile - BBC News
    Violence Flares in Laos | Council on Foreign Relations
    Laos: Latest News and Updates | South China Morning Post
    Collateral Damage: The Legacy of the Secret War in Laos | The Economic Journal | Oxford Academic
    Laos | AP News






    ชนวนปะทุเดือดชายแดนไทย-สปป.ลาว ความสุ่มเสี่ยงความมั่นคงลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่จะลุกลามรอบไทย เสียงปืนลั่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และนับเป็นปัญหาเฉพาะในแผ่นดินลาวที่ไม่ได้มีชายแดนติดกับเมียนมาร์ การปะทะเริ่มเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ในฝั่ง สปป.ลาว บริเวณค่ายภูผาหม่น เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันกรมทหารพรานที่ 31 และกองกำลังผาเมือง ตรึงกำลังเฝ้าระวัง ทั้งแถบชายแดนทยอดปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 68 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะฝั่งตรงข้ามมีการใช้อาวุธปืนขนาด 7.62 ใช้สำหรับปืนอาก้า และอาวุธหนักกระทั่งมีเจ้าหน้าทีทหารของสปป.ลาวเสียชีวิต ความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์นี้คือจุดเริ่มที่ต้องสืบสาวหาต้นตอต้นเหตุ เพราะพื้นที่สถานการณ์ติดกับชายแดนไทยอย่างมาก The Analyzt ขอนำเสนอข้อมูลประกอบความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์สถานการณ์นี้ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยที่ติดกับจังหวัดเชียงราย ที่จะไม่เป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ ความมั่นคงในอนาคต 1. การวิเคราะห์สถานการณ์ บริบททางประวัติศาสตร์และสาเหตุที่อาจเป็นไปได้: สงครามกลางเมืองลาว (พ.ศ. 2502-2518): ในอดีต ลาวตอนเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนักระหว่างฝ่ายปะเทดลาว (คอมมิวนิสต์) และรัฐบาลราชอาณาจักรลาว โดยมีมหาอำนาจในสงครามเย็น (สหรัฐฯ และสหภาพโซเวีย ศูนย์กลางของการสู้รบอยู่ในพื้นที่เช่น แขวงเชียงขวาง ซึ่งกองพันปะเทดลาวเคยตั้งมั่น. สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี รวมถึงการแทรกแซงจากต่างชาติ เช่น เวียดนามเหนือและสหรัฐฯ ความขัดแย้งชาติพันธุ์: ลาวตอนเหนือเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ชาวม้ง ลาวสูง และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางเนื่องจากความต้องการปกครองตนเองหรือความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม. ยาเสพติดและการค้ามนุษย์: พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ (รอยต่อระหว่างลาว เมียนมา และไทย) เป็นแหล่งผลิตและลักลอบขนส่งยาเสพติด เช่น ไอซ์และยาบ้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะระหว่างกลุ่มค้ายาและกองกำลังรัฐบาล ข้อพิพาทชายแดน: ความไม่ชัดเจนของเขตแดนในลุ่มแม่น้ำโขงระหว่างลาวและไทยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งเคยเกิดข้อพิพาทในอดีต. อิทธิพลจากเพื่อนบ้าน: สถานการณ์ในเมียนมา เช่น การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ (เช่น KIA, MNDAA) อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังลาวตอนเหนือ กลุ่มกองกำลังที่อาจเกี่ยวข้อง: กองทัพประชาชนลาว (LPAF): เป็นกองทัพอย่างเป็นทางการของลาว มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและปกป้องพรมแดน อาจเกี่ยวข้องหากมีการปะทะกับกลุ่มค้ายาหรือกลุ่มกบฏ. กลุ่มชาติพันธุ์: เช่น ชาวม้งหรือกลุ่มลาวสูง ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้เพื่อปกครองตนเอง อาจยังคงมีความเคลื่อนไหวในระดับเล็กน้อย. กลุ่มค้ายาเสพติด: กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้ลาวตอนเหนือเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด มักปะทะกับกองกำลังรัฐบาลหรือทหารไทยบริเวณชายแดน. กลุ่มกบฏหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล: แม้ว่าปะเทดลาวจะสิ้นสุดบทบาทในฐานะกองกำลังติดอาวุธหลังสงครามกลางเมือง แต่กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลอาจยังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่ห่างไกล. แนวโน้มในอนาคต: การปะทะจากยาเสพติด: พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนจะยังคงเป็นจุดร้อนของการค้ายา ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะเป็นระยะๆ ระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกลุ่มค้ายา. ผลกระทบจากเมียนมา: หากสถานการณ์ในเมียนมา (เช่น ปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มพันธมิตร 3 พี่น้อง) ทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนเข้าสู่ลาว สร้างความตึงเครียดในพื้นที่. ความร่วมมือในภูมิภาค: ลาวอาจเพิ่มความร่วมมือกับจีนและไทยในการควบคุมยาเสพติดและความมั่นคงชายแดน ซึ่งอาจลดการปะทะในระยะยาว. ข้อพิพาทแม่น้ำโขง: ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนในแม่น้ำโขงอาจทวีความรุนแรงหากมีการอ้างสิทธิ์ในเกาะกลางน้ำหรือทรัพยากรในแม่น้ำ. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงด้านพลังงานระหว่างลาวและไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาหนี้สินของลาวและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเขื่อนอาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว รายงานระบุว่าลาวมีหนี้สูงและต้องชำระหนี้ต่อจีน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้า Opportunities for Development Cooperation in Lao Strategic Sectors | CSIS. นอกจากนี้ การอพยพแรงงานจากลาวอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานในไทย แต่ก็อาจสร้างความตึงเครียดทางสังคม ความเชื่อมโยงทางพลังงาน: ลาวถูกเรียกว่า "แบตเตอรี่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากส่งออกไฟฟ้าจากเขื่อนไฮโดรพาวเวอร์ไปยังไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย Energy in Laos - Wikipedia. การค้าข้ามพรมแดน: ลาวและไทยมีความเชื่อมโยงผ่านการค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค หากลาวประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการลงทุนหรือการชะลอตัวของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาจส่งผลให้การค้าข้ามพรมแดนลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ชายแดนของไทย เช่น จังหวัดเชียงรายและหนองคาย Laos - The World Factbook การปรับตัวของระบบการค้าในภูมิภาคอาจเกิดการปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการลงทุนไทยอาจลดการพึ่งพาเส้นทางผ่านลาวไปยังจีน โดยหันไปใช้เส้นทางอื่นมากขึ้นอาจมีการพัฒนาเส้นทางการค้าทางทะเลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง แรงงานข้ามชาติ: ปัญหาเศรษฐกิจในลาวอาจทำให้มีแรงงานชาวลาวเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานให้กับนายจ้างไทย แต่ในทางกลับกันอาจสร้างความตึงเครียดทางสังคมและแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของไทย BTI 2024 Laos Country Report: BTI 2024. ท่าทีของไทยและการประเมินสถานการณ์ ท่าทีของไทย ไทยมีแนวโน้มร่วมมือกับลาวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ: การปราบปรามยาเสพติด: ไทยและลาวมีความร่วมมือกันในการปราบปรามยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ เช่น การจัดตั้งจุดตรวจชายแดนร่วมและการลาดตระเวนร่วม Fighting drug trafficking in the Golden Triangle: a UN Resident Coordinator blog | UN News. นอกจากนี้ ไทยยังทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC เพื่อลดการลักลอบขนยา Thai authorities and UNODC meet about precursor chemical trafficking in the Golden Triangle - UNODC. ความร่วมมือด้านพลังงาน: ไทยยังคงเป็นตลาดหลักในการซื้อไฟฟ้าจากลาว และอาจผลักดันการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนร่วมกันเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม Alternative Development Pathways for Thailand’s Sustainable Electricity Trade with Laos • Stimson Center การเตรียมพร้อมรับมือ: ไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันชายแดน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่สงบในลาว Guide to Investigating Organized Crime in the Golden Triangle — Introduction. มิติความมั่นคง: ดูเหมือนว่าปัญหายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีการผลิตและลักลอบขนส่งเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่ากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนเส้นทางผ่านลาวและกลับเข้ามาในไทย Asia's infamous Golden Triangle and the soldiers tracking down the drug smugglers who rule its narcotics trade - ABC News. นอกจากนี้ หากสถานการณ์ในเมียนมาทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้มีกลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนมายังไทยเพิ่มขึ้น. การค้ายาเสพติด: ดูเหมือนว่าการค้ายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีตลาดเพิ่มขึ้นในภูมิภาค Q&A: The opium surge in Southeast Asia’s ‘Golden Triangle’ | Drugs News | Al Jazeera. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: ไทยและลาวจะยังคงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านพลังงาน แต่ไทยควรพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนในลาวด้วย Locked In – Why Thailand Buys Electricity from Laos | Earth Journalism Network. ความมั่นคงชายแดน: ไทยควรเสริมสร้างความร่วมมือกับลาวและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เมียนมาและจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางความมั่นคงข้ามพรมแดน Lao delegation explores renewable energy in Thailand | Partnerships for Infrastructure. ข้อสรุป สถานการณ์ในลาวตอนเหนือกำลังส่งผลกระทบและจะยังคงส่งผลต่อไทยในหลายมิติ หากประเมินแล้วสถานการณ์ในลาวตอนเหนือมีผลกระทบต่อไทยทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการค้ายาเสพติดและความเชื่อมโยงด้านพลังงาน ไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดนและพิจารณาผลกระทบจากโครงการพัฒนาในลาวอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ การอ้างอิง: Laotian Civil War - Wikipedia Insurgency in Laos - Wikipedia Unprecedented Protests Are Putting Laos in Uncharted Waters | Council on Foreign Relations Assessment for Hmong in Laos | Refworld Laos | History, Flag, Map, Capital, Population, & Facts | Britannica From jungles to suburbs, warlord led Hmong struggle | Reuters Apocalypse Laos: The devastating legacy of the ‘Secret War’ | CEPR Laos country profile - BBC News Violence Flares in Laos | Council on Foreign Relations Laos: Latest News and Updates | South China Morning Post Collateral Damage: The Legacy of the Secret War in Laos | The Economic Journal | Oxford Academic Laos | AP News
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 923 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาหวานเจี๊ยบ!!! เซเลนสกียืนยัน ข้อตกลงแร่ธาตุกับสหรัฐฯ 'เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง'
    https://www.thai-tai.tv/news/18488/
    อเมริกาหวานเจี๊ยบ!!! เซเลนสกียืนยัน ข้อตกลงแร่ธาตุกับสหรัฐฯ 'เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง' https://www.thai-tai.tv/news/18488/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วเปรียบเทียบสิทธิของภรรยาเอกและอนุภรรยาโดยยกตัวอย่างจากละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> วันนี้มาคุยกันต่อว่าจีนโบราณแบ่งแยกเมียหลวงและเมียน้อยเป็นกี่ประเภท

    ก่อนอื่น พูดกันถึงภรรยาเอก ตามที่ Storyฯ เล่าไปสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนสมัยราชวงศ์ชิงนั้น กฎหมายกำหนดให้มีภรรยาเอกได้คนเดียว และจำนวนอนุภรรยานั้นเป็นไปตามบรรดาศักดิ์ของผู้ชาย ภรรยาเอกนี้มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เจิ้งชี (ภรรยาหลัก) เจี๋ยฟ่าชี (ภรรยาผูกปมผม) หยวนเพ่ยชี (ภรรยาดั้งเดิม) เจิ้งฝาง (ห้องหลัก) ฯลฯ หากภรรยาเอกเสียชีวิตไปแล้วจึงจะสามารถแต่งภรรยาเอกเข้ามาใหม่ได้อีกคน ภรรยาทดแทนคนนี้เรียกว่า ‘จี้ซื่อ’ (继室 แปลตรงตัวว่า สืบทอด+ห้อง) ตามธรรมเนียมแล้ว คนที่กราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันมีเพียงภรรยาเอกเท่านั้น

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงมีธรรมเนียมที่ว่า หากบ้านใดไม่มีบุตรชายสืบสกุล สามารถให้หลาน (ลูกของลุงหรือน้า สกุลเดียวกัน) มาเป็นทายาทสืบสกุลตามกฎหมายได้ ดังนั้นเขามีหน้าที่สืบสกุลให้กับสองบ้านและสามารถแต่งภรรยาเอกได้สองคน เรียกว่า ‘เจี๊ยนเที้ยว’ (兼祧) และภรรยาเอกทั้งสองคนจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน

    นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว เมียอื่นๆ จัดเป็นเมียน้อยหมด และจัดกลุ่มได้ตามนี้
    1. กลุ่มที่หนึ่งเป็นญาติพี่น้องของภรรยาเอกที่ถูกเลือกให้ติดตามไปกับเจ้าสาวตอนแต่งเข้าไปเรือนฝ่ายชาย (หมายเหตุ คนที่ตามเจ้าสาวมาอยู่บ้านฝ่ายชายทั้งหมดเรียกว่า เผยเจี้ย /陪嫁 ซึ่งรวมถึงบ่าวไพร่) แต่เป็นกรณีที่เจ้าสาวมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นอนุภรรยากลุ่มนี้จะมีสถานะสูงกว่าอนุภรรยาอื่นๆ สามารถเข้าร่วมรับประทานอาหารหรืองานเลี้ยงกับสามีได้ และอาจถูกบันทึกชื่อเข้าไปในหนังสือตระกูลของฝ่ายชายได้เพราะนางมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์มากเช่นกัน และโดยปกติฝ่ายชายมักยกระดับขึ้นเป็นภรรยาเอกได้เมื่อภรรยาเอกคนเดิมเสียชีวิตไป ในกลุ่มนี้จำแนกได้เป็นอีกสี่แบบ (เรียงจากสูงศักดิ์ที่สุดไปต่ำ) คือ
    a. อิ้ง (媵) หรือ อิ้งเฉี้ย – เป็นพี่สาวหรือน้องสาวที่เกิดจากพ่อคนเดียวกันกับเจ้าสาว แต่เจ้าสาวมีแม่เป็นภรรยาเอกในขณะที่พี่หรือน้องสาวที่แต่งตามไปจะเกิดจากอนุภรรยาของพ่อ
    b. เช่อซึ (侧室 แปลตรงตัวว่าห้องข้าง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เช่อซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของพ่อ (ถือนามสกุลเดียวกันกับเจ้าสาว)
    c. ฟู่ซึ (副室 แปลตรงตัวว่าห้องรอง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า ฟู่ซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของแม่ (ถือนามสกุลเดิมของแม่เจ้าสาว)
    d. เพียนซึ (偏室 แปลตรงตัวว่าห้องเบี่ยง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เพียนซึ เป็นลูกจากอนุภรรยาในตระกูลเดิมของแม่ ใช้นามสกุลเดียวกับแม่ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าสาวแต่จริงๆ แล้วไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเจ้าสาวเลย
    2. กลุ่มที่สองคือ เฉี้ย (妾) หรือ เพียนฝาง (偏房) คืออนุภรรยาทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภรรยาเอก แบ่งเป็นระดับได้อีก คือ
    a. กุ้ยเฉี้ย (贵妾) เป็นอนุที่มาจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลขุนนางแต่อาจเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาในตระกูลนั้นๆ หากฝ่ายชายเป็นบุตรจากภรรยาเอกในตระกูลสูงศักดิ์ โดยปกตินางผู้เป็นลูกอนุจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งตำแหน่งภรรยาเอกของเขาได้
    b. เหลียงเฉี้ย (良妾) เป็นอนุที่มาจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เช่น ครอบครัวค้าขายหรือชาวไร่ชาวสวน ระดับความรู้การศึกษาก็จะแตกต่างกันไป
    c. เจี้ยนเฉี้ย (贱妾) เป็นอนุที่มีชาติตระกูลหรือสถานะที่ต่ำต้อยมาก เช่น นางรำ นางคณิกา นักแสดงละคร ฯลฯ พวกนี้ส่วนใหญ่อ่านเขียนได้และมีวิชาศิลปะติดตัว
    d. เผยฝาง (陪房) หมายถึงสาวใช้ของภรรยาเอกที่ติดตามมาเป็นเผยเจี้ยและช่วยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงให้ฝ่ายชายตามคำสั่งของภรรยาเอก โดยปกติชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดีเพราะภรรยาเอกจะส่งเสริมเพื่อให้ช่วยมัดใจสามีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีพิษมีภัยเพราะเอกสารสำหรับสัญญาซื้อขายสาวใช้คนนี้จะอยู่ในมือของภรรยาเอกเอง
    e. ซื่อเฉี้ย (侍妾) หมายถึงสาวใช้ในบ้านฝ่ายชายที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแล้วถูกยกขึ้นเป็นอนุ
    f. ปี้เฉี้ย (婢妾) หมายถึงลูกของนักโทษทางการที่ถูกซื้อเข้ามาเป็นทาสในบ้านและยกขึ้นเป็นอนุ
    3. กลุ่มสุดท้ายไม่นับเป็นอนุภรรยา เป็นช่องทางที่ฝ่ายชายใช้ระบายความใคร่ได้อย่างไม่ต้องกลัวผิดกฎหมายว่าด้วยเรื่องจำนวนอนุภรรยา แบ่งได้อีกเป็น
    a. ทงฝาง (通房) คือสาวใช้ในเรือนที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแต่ไม่ได้รับการยกขึ้นเป็นอนุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวใช้ที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อ ‘เปิดประสบการณ์’ ให้แก่คุณชายในตระกูลใหญ่ที่กำลังโตขึ้นเป็นหนุ่ม
    b. ไว่ซึ (外室) หมายถึงเมียเก็บนอกบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่อาจจะดีเพราะฝ่ายชายอาจซื้อบ้านให้อยู่มีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมาคอยปรนนิบัติแม่สามีหรือเมียหลวง และไม่โดนโขกสับ แต่ก็คือไม่ได้ถูกรับรองเป็นอนุภรรยา บุตรที่เกิดมาก็ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นลูกหลานของตระกูลฝ่ายชาย

    เป็นอย่างไรคะ? ซับซ้อนและแบ่งแยกไว้ละเอียดกว่าที่คิดใช่ไหม? ทีนี้เพื่อนเพจคงเข้าใจในบริบทแล้วว่า ทำไมเป็นอนุภรรยาเหมือนกันยังสามารถข่มกันได้ และทำไมการยกอนุภรรยาขึ้นเป็นภรรยาเอกหลังจากคนเดิมเสียไปจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไม่ใช่อนุภรรยาทุกประเภทมีความพร้อมทางชาติตระกูลและการศึกษาที่จะมาปกครองเป็นนายหญิงของบ้านได้

    Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าละครหรือนิยายแปลมีการแบ่งแยกในรายละเอียดหรือไม่ หากมีใครเคยผ่านหูผ่านตาก็บอกกล่าวกันได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กดติดตามกันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.popdaily.com.tw/forum/entertainment/935802
    https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/x48b2bg.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/rain/a/20200223A0A37000
    http://m.qulishi.com//article/201905/335331.html
    https://www.sohu.com/a/251827031_100152441

    #ร้อยรักปักดวงใจ #อนุภรรยา #ภรรยาเอก #หยวนเพ่ย #ภรรยาผูกปมผม #เจิ้งฝาง #จี้ซื่อ #จี้สื้อ #เชี่ยซื่อ #เชี่ยสื้อ #เฉี้ย #อิ้งเฉี้ย #เช่อซึ #ฟู่ซึ #เพียนซึ #เพียนฝาง #กุ้ยเฉี้ย #เหลียงเฉี้ย #เจี้ยนเฉี้ย #ปี้เฉี้ย #ทงฝาง #ไว่ซึ
    สัปดาห์ที่แล้วเปรียบเทียบสิทธิของภรรยาเอกและอนุภรรยาโดยยกตัวอย่างจากละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> วันนี้มาคุยกันต่อว่าจีนโบราณแบ่งแยกเมียหลวงและเมียน้อยเป็นกี่ประเภท ก่อนอื่น พูดกันถึงภรรยาเอก ตามที่ Storyฯ เล่าไปสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนสมัยราชวงศ์ชิงนั้น กฎหมายกำหนดให้มีภรรยาเอกได้คนเดียว และจำนวนอนุภรรยานั้นเป็นไปตามบรรดาศักดิ์ของผู้ชาย ภรรยาเอกนี้มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เจิ้งชี (ภรรยาหลัก) เจี๋ยฟ่าชี (ภรรยาผูกปมผม) หยวนเพ่ยชี (ภรรยาดั้งเดิม) เจิ้งฝาง (ห้องหลัก) ฯลฯ หากภรรยาเอกเสียชีวิตไปแล้วจึงจะสามารถแต่งภรรยาเอกเข้ามาใหม่ได้อีกคน ภรรยาทดแทนคนนี้เรียกว่า ‘จี้ซื่อ’ (继室 แปลตรงตัวว่า สืบทอด+ห้อง) ตามธรรมเนียมแล้ว คนที่กราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันมีเพียงภรรยาเอกเท่านั้น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงมีธรรมเนียมที่ว่า หากบ้านใดไม่มีบุตรชายสืบสกุล สามารถให้หลาน (ลูกของลุงหรือน้า สกุลเดียวกัน) มาเป็นทายาทสืบสกุลตามกฎหมายได้ ดังนั้นเขามีหน้าที่สืบสกุลให้กับสองบ้านและสามารถแต่งภรรยาเอกได้สองคน เรียกว่า ‘เจี๊ยนเที้ยว’ (兼祧) และภรรยาเอกทั้งสองคนจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว เมียอื่นๆ จัดเป็นเมียน้อยหมด และจัดกลุ่มได้ตามนี้ 1. กลุ่มที่หนึ่งเป็นญาติพี่น้องของภรรยาเอกที่ถูกเลือกให้ติดตามไปกับเจ้าสาวตอนแต่งเข้าไปเรือนฝ่ายชาย (หมายเหตุ คนที่ตามเจ้าสาวมาอยู่บ้านฝ่ายชายทั้งหมดเรียกว่า เผยเจี้ย /陪嫁 ซึ่งรวมถึงบ่าวไพร่) แต่เป็นกรณีที่เจ้าสาวมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นอนุภรรยากลุ่มนี้จะมีสถานะสูงกว่าอนุภรรยาอื่นๆ สามารถเข้าร่วมรับประทานอาหารหรืองานเลี้ยงกับสามีได้ และอาจถูกบันทึกชื่อเข้าไปในหนังสือตระกูลของฝ่ายชายได้เพราะนางมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์มากเช่นกัน และโดยปกติฝ่ายชายมักยกระดับขึ้นเป็นภรรยาเอกได้เมื่อภรรยาเอกคนเดิมเสียชีวิตไป ในกลุ่มนี้จำแนกได้เป็นอีกสี่แบบ (เรียงจากสูงศักดิ์ที่สุดไปต่ำ) คือ a. อิ้ง (媵) หรือ อิ้งเฉี้ย – เป็นพี่สาวหรือน้องสาวที่เกิดจากพ่อคนเดียวกันกับเจ้าสาว แต่เจ้าสาวมีแม่เป็นภรรยาเอกในขณะที่พี่หรือน้องสาวที่แต่งตามไปจะเกิดจากอนุภรรยาของพ่อ b. เช่อซึ (侧室 แปลตรงตัวว่าห้องข้าง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เช่อซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของพ่อ (ถือนามสกุลเดียวกันกับเจ้าสาว) c. ฟู่ซึ (副室 แปลตรงตัวว่าห้องรอง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า ฟู่ซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของแม่ (ถือนามสกุลเดิมของแม่เจ้าสาว) d. เพียนซึ (偏室 แปลตรงตัวว่าห้องเบี่ยง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เพียนซึ เป็นลูกจากอนุภรรยาในตระกูลเดิมของแม่ ใช้นามสกุลเดียวกับแม่ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าสาวแต่จริงๆ แล้วไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเจ้าสาวเลย 2. กลุ่มที่สองคือ เฉี้ย (妾) หรือ เพียนฝาง (偏房) คืออนุภรรยาทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภรรยาเอก แบ่งเป็นระดับได้อีก คือ a. กุ้ยเฉี้ย (贵妾) เป็นอนุที่มาจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลขุนนางแต่อาจเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาในตระกูลนั้นๆ หากฝ่ายชายเป็นบุตรจากภรรยาเอกในตระกูลสูงศักดิ์ โดยปกตินางผู้เป็นลูกอนุจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งตำแหน่งภรรยาเอกของเขาได้ b. เหลียงเฉี้ย (良妾) เป็นอนุที่มาจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เช่น ครอบครัวค้าขายหรือชาวไร่ชาวสวน ระดับความรู้การศึกษาก็จะแตกต่างกันไป c. เจี้ยนเฉี้ย (贱妾) เป็นอนุที่มีชาติตระกูลหรือสถานะที่ต่ำต้อยมาก เช่น นางรำ นางคณิกา นักแสดงละคร ฯลฯ พวกนี้ส่วนใหญ่อ่านเขียนได้และมีวิชาศิลปะติดตัว d. เผยฝาง (陪房) หมายถึงสาวใช้ของภรรยาเอกที่ติดตามมาเป็นเผยเจี้ยและช่วยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงให้ฝ่ายชายตามคำสั่งของภรรยาเอก โดยปกติชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดีเพราะภรรยาเอกจะส่งเสริมเพื่อให้ช่วยมัดใจสามีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีพิษมีภัยเพราะเอกสารสำหรับสัญญาซื้อขายสาวใช้คนนี้จะอยู่ในมือของภรรยาเอกเอง e. ซื่อเฉี้ย (侍妾) หมายถึงสาวใช้ในบ้านฝ่ายชายที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแล้วถูกยกขึ้นเป็นอนุ f. ปี้เฉี้ย (婢妾) หมายถึงลูกของนักโทษทางการที่ถูกซื้อเข้ามาเป็นทาสในบ้านและยกขึ้นเป็นอนุ 3. กลุ่มสุดท้ายไม่นับเป็นอนุภรรยา เป็นช่องทางที่ฝ่ายชายใช้ระบายความใคร่ได้อย่างไม่ต้องกลัวผิดกฎหมายว่าด้วยเรื่องจำนวนอนุภรรยา แบ่งได้อีกเป็น a. ทงฝาง (通房) คือสาวใช้ในเรือนที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแต่ไม่ได้รับการยกขึ้นเป็นอนุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวใช้ที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อ ‘เปิดประสบการณ์’ ให้แก่คุณชายในตระกูลใหญ่ที่กำลังโตขึ้นเป็นหนุ่ม b. ไว่ซึ (外室) หมายถึงเมียเก็บนอกบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่อาจจะดีเพราะฝ่ายชายอาจซื้อบ้านให้อยู่มีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมาคอยปรนนิบัติแม่สามีหรือเมียหลวง และไม่โดนโขกสับ แต่ก็คือไม่ได้ถูกรับรองเป็นอนุภรรยา บุตรที่เกิดมาก็ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นลูกหลานของตระกูลฝ่ายชาย เป็นอย่างไรคะ? ซับซ้อนและแบ่งแยกไว้ละเอียดกว่าที่คิดใช่ไหม? ทีนี้เพื่อนเพจคงเข้าใจในบริบทแล้วว่า ทำไมเป็นอนุภรรยาเหมือนกันยังสามารถข่มกันได้ และทำไมการยกอนุภรรยาขึ้นเป็นภรรยาเอกหลังจากคนเดิมเสียไปจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไม่ใช่อนุภรรยาทุกประเภทมีความพร้อมทางชาติตระกูลและการศึกษาที่จะมาปกครองเป็นนายหญิงของบ้านได้ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าละครหรือนิยายแปลมีการแบ่งแยกในรายละเอียดหรือไม่ หากมีใครเคยผ่านหูผ่านตาก็บอกกล่าวกันได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กดติดตามกันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.popdaily.com.tw/forum/entertainment/935802 https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/x48b2bg.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/rain/a/20200223A0A37000 http://m.qulishi.com//article/201905/335331.html https://www.sohu.com/a/251827031_100152441 #ร้อยรักปักดวงใจ #อนุภรรยา #ภรรยาเอก #หยวนเพ่ย #ภรรยาผูกปมผม #เจิ้งฝาง #จี้ซื่อ #จี้สื้อ #เชี่ยซื่อ #เชี่ยสื้อ #เฉี้ย #อิ้งเฉี้ย #เช่อซึ #ฟู่ซึ #เพียนซึ #เพียนฝาง #กุ้ยเฉี้ย #เหลียงเฉี้ย #เจี้ยนเฉี้ย #ปี้เฉี้ย #ทงฝาง #ไว่ซึ
    WWW.POPDAILY.COM.TW
    《錦心似玉》鍾漢良、譚松韵先婚後愛!2021最甜寵的宅鬥古裝劇 | PopDaily 波波黛莉
    受封2021最甜寵宅鬥古裝劇的《錦心似玉》,改編自作者吱吱的原著小說《庶女攻略》,鍾漢良飾演的永平侯徐令宜娶了於徐家有恩的羅家嫡女羅元娘為妻,後因羅元娘死前所託續弦娶了譚松韵飾演的羅家庶女羅十一娘,自此展開一段本不相愛,因被迫成婚而先婚後愛的宅鬥古裝偶像劇。
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 751 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศธ.เร่งถลุงงบแท็บเล็ต นักเรียนทันใช้เทอมสอง ย้อนดูความพังยุค 'ยิ่งลักษณ์'
    .
    ถ้าใครยังจำกันได้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ โดยอนุมัติงบประมาณ 4,214,738,090 บาท และโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ ทุกเวลา
    .
    อย่างไรก็ตาม โครงการลักษณะนี้เคยมีมาก่อนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับโครงการ "One Tablet PC per Child" (ปี 2555-2556) ใช้งบรวมกว่า 6,600 ล้านบาท แต่ประสบปัญหาความล่าช้าและปัญหาความปลอดภัยในการใช้งาน ก่อนถูกยกเลิกหลังการรัฐประหารปี 2557
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000039951
    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศธ.เร่งถลุงงบแท็บเล็ต นักเรียนทันใช้เทอมสอง ย้อนดูความพังยุค 'ยิ่งลักษณ์' . ถ้าใครยังจำกันได้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ โดยอนุมัติงบประมาณ 4,214,738,090 บาท และโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ ทุกเวลา . อย่างไรก็ตาม โครงการลักษณะนี้เคยมีมาก่อนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับโครงการ "One Tablet PC per Child" (ปี 2555-2556) ใช้งบรวมกว่า 6,600 ล้านบาท แต่ประสบปัญหาความล่าช้าและปัญหาความปลอดภัยในการใช้งาน ก่อนถูกยกเลิกหลังการรัฐประหารปี 2557 . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000039951 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1420 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบดิจิทัล (Digital Divide) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยความเหลื่อมล้ำนี้สามารถแบ่งออกได้หลายมิติ ดังนี้:

    ### 1. **ความเหลื่อมล้ำด้านโครงสร้างพื้นฐาน**
    - **พื้นที่เมือง vs. ชนบท**: ในเขตเมืองมักมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดีกว่า ในขณะที่พื้นที่ห่างไกลหรือชนบทอาจขาดแคลนสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือไฟฟ้า
    - **ความเร็วและความเสถียร**: แม้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ความเร็วและความเสถียรอาจไม่เท่ากัน ทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพต่างกัน

    ### 2. **ความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ**
    - **ค่าใช้จ่าย**: การเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัล (เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์) และค่าบริการอินเทอร์เน็ตอาจเป็นภาระสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
    - **รายได้และโอกาส**: กลุ่มที่มีรายได้สูงมักมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลได้ดีกว่า ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจมากขึ้น

    ### 3. **ความเหลื่อมล้ำด้านทักษะและการศึกษา**
    - **ทักษะดิจิทัล**: กลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ขาดโอกาสในการเรียนรู้อาจไม่มีความรู้เพียงพอในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
    - **การศึกษา**: โรงเรียนในเมืองอาจมีทรัพยากรด้านดิจิทัล (เช่น อุปกรณ์การเรียนออนไลน์) ดีกว่าโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล

    ### 4. **ความเหลื่อมล้ำด้านสังคมและประชากรศาสตร์**
    - **วัย**: คนรุ่นใหม่อาจปรับตัวกับเทคโนโลยีได้ดีกว่าผู้สูงอายุ
    - **เพศ**: ในบางสังคม ผู้หญิงอาจมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีน้อยกว่าผู้ชายเนื่องจากอคติทางวัฒนธรรม

    ### 5. **นโยบายและการสนับสนุนจากรัฐ**
    - **การกระจายทรัพยากร**: นโยบายของรัฐอาจไม่ทั่วถึง ทำให้บางพื้นที่หรือกลุ่มคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
    - **การส่งเสริมทักษะดิจิทัล**: โครงการฝึกอบรมอาจไม่เพียงพอหรือไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม

    ### ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำดิจิทัล
    - **เศรษฐกิจ**: กลุ่มที่ขาดแคลนโอกาสดิจิทัลอาจถูกกีดกันจากตลาดงานสมัยใหม่
    - **การศึกษา**: นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลอาจเสียเปรียบเนื่องจากขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนออนไลน์
    - **สุขภาพ**: การเข้าถึงบริการสุขภาพดิจิทัล (Telemedicine) อาจจำกัดในบางพื้นที่
    - **สังคม**: ความเหลื่อมล้ำอาจทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมระหว่างกลุ่มคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีและกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    ### แนทางแก้ไข
    - **พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน** โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
    - **ลดค่าใช้จ่าย** ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัล
    - **ส่งเสริมการศึกษาและฝึกทักษะดิจิทัล** ให้กับทุกกลุ่มวัย
    - **ออกนโยบายที่ครอบคลุม** เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านหรือแจกแท็บเล็ตสำหรับนักเรียน

    ความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะในยุคที่เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต การเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียมจะช่วยลดความไม่เสมอภาคทางสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
    การเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบดิจิทัล (Digital Divide) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยความเหลื่อมล้ำนี้สามารถแบ่งออกได้หลายมิติ ดังนี้: ### 1. **ความเหลื่อมล้ำด้านโครงสร้างพื้นฐาน** - **พื้นที่เมือง vs. ชนบท**: ในเขตเมืองมักมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดีกว่า ในขณะที่พื้นที่ห่างไกลหรือชนบทอาจขาดแคลนสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือไฟฟ้า - **ความเร็วและความเสถียร**: แม้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ความเร็วและความเสถียรอาจไม่เท่ากัน ทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพต่างกัน ### 2. **ความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ** - **ค่าใช้จ่าย**: การเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัล (เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์) และค่าบริการอินเทอร์เน็ตอาจเป็นภาระสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย - **รายได้และโอกาส**: กลุ่มที่มีรายได้สูงมักมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลได้ดีกว่า ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจมากขึ้น ### 3. **ความเหลื่อมล้ำด้านทักษะและการศึกษา** - **ทักษะดิจิทัล**: กลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ขาดโอกาสในการเรียนรู้อาจไม่มีความรู้เพียงพอในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล - **การศึกษา**: โรงเรียนในเมืองอาจมีทรัพยากรด้านดิจิทัล (เช่น อุปกรณ์การเรียนออนไลน์) ดีกว่าโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ### 4. **ความเหลื่อมล้ำด้านสังคมและประชากรศาสตร์** - **วัย**: คนรุ่นใหม่อาจปรับตัวกับเทคโนโลยีได้ดีกว่าผู้สูงอายุ - **เพศ**: ในบางสังคม ผู้หญิงอาจมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีน้อยกว่าผู้ชายเนื่องจากอคติทางวัฒนธรรม ### 5. **นโยบายและการสนับสนุนจากรัฐ** - **การกระจายทรัพยากร**: นโยบายของรัฐอาจไม่ทั่วถึง ทำให้บางพื้นที่หรือกลุ่มคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง - **การส่งเสริมทักษะดิจิทัล**: โครงการฝึกอบรมอาจไม่เพียงพอหรือไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ### ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำดิจิทัล - **เศรษฐกิจ**: กลุ่มที่ขาดแคลนโอกาสดิจิทัลอาจถูกกีดกันจากตลาดงานสมัยใหม่ - **การศึกษา**: นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลอาจเสียเปรียบเนื่องจากขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนออนไลน์ - **สุขภาพ**: การเข้าถึงบริการสุขภาพดิจิทัล (Telemedicine) อาจจำกัดในบางพื้นที่ - **สังคม**: ความเหลื่อมล้ำอาจทำให้เกิดช่องว่างทางสังคมระหว่างกลุ่มคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีและกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ### แนทางแก้ไข - **พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน** โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล - **ลดค่าใช้จ่าย** ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัล - **ส่งเสริมการศึกษาและฝึกทักษะดิจิทัล** ให้กับทุกกลุ่มวัย - **ออกนโยบายที่ครอบคลุม** เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านหรือแจกแท็บเล็ตสำหรับนักเรียน ความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะในยุคที่เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต การเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียมจะช่วยลดความไม่เสมอภาคทางสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • 63 ปี "ครูรวม วงศ์พันธ์" จากลูกชาวนา สู่เป้าประหารชีวิต “คอมมิวนิสต์” คนแรกของไทย 🔥

    ย้อนไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ยังคงสะเทือนใจคนรุ่นหลัง “ครูรวม วงศ์พันธ์” ครูผู้ใฝ่รู้ ผู้กลายเป็นนักโทษคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกยิงเป้า ประหารชีวิตตามคำสั่งมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

    🟦 จากลูกชาวนาแห่งสุพรรณบุรี สู่ผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์คนแรกของไทย ที่ถูกประหารชีวิต เรื่องราวสะท้อนยุคสมัย ที่อุดมการณ์นำมาสู่ชะตากรรม อันน่าเศร้า

    🔶 ช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย ในยุคสงครามเย็น มีบุคคลหนึ่งที่ชื่อ “รวม วงศ์พันธ์” ถูกจารึกไว้ว่าเป็น “ผู้กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์” คนแรกที่ถูกประหารชีวิต ตามกฎหมายมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2502 ✍️

    จะพาย้อนกลับไป 63 ปี ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาทั้งชีวิตของครูรวม เบื้องหลังคำสั่งประหาร และบริบทของการเมืองไทยยุคนั้น 🕯️

    🟤 จากลูกชาวนา...สู่ครูใหญ่โรงเรียนจีน 👨‍🏫 “รวม วงศ์พันธ์” เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465 ที่บ้านมะขามล้ม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายของนายอยู่ และนางไร มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เติบโตในครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความใฝ่เรียน 📚

    เรียนหนังสือจากโรงเรียนวัดเล็กๆ ใกล้บ้าน ต่อมาได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ อย่างสวนกุหลาบวิทยาลัย และพาณิชยการพระนคร ก่อนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในยุคนั้น ถือเป็นแหล่งเพาะบ่มความคิดเสรี ของนักศึกษาไทย 🇹🇭

    ความรักในการเรียน รักในการสอน ครูรวมเริ่มต้นอาชีพครูในโรงเรียนจีน “กวงกงสวย” ก่อนก้าวขึ้นเป็นครูใหญ่ฝ่ายไทย เป็นที่เคารพรักของนักเรียน และครูร่วมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้แต่งงานกับ "ครูประดิษฐ์ สุทธิจิตร์" คู่ชีวิตผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ในชีวิตอุดมการณ์ 💞

    🟥 สถานการณ์โลกกับภัยคอมมิวนิสต์ 🌍 ช่วงปี 2460–2500 โลกกำลังเผชิญกับ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อรัสเซียกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ จีนถูกยึดครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดย "เหมา เจ๋อตง" และในหลายประเทศอุดมการณ์นี้แผ่ขยายเข้าสู่ สังคมชนบทและแรงงาน 🛠️

    ความกลัวในสายตารัฐ ประเทศไทยในยุคนั้น อยู่ภายใต้ความตื่นกลัวต่อภัย “แดง” หรือภัยคอมมิวนิสต์จากต่างประเทศ รัฐบาลในหลายยุค รวมถึงยุคของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" จึงเลือกใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ⛔

    🟩 แม้รัฐจะมีกฎหมายควบคุมแนวคิดคอมมิวนิสต์ มาตั้งแต่ปี 2476 แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวนา และครู ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยตรง 👩‍🌾

    ครูรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อ ในอุดมการณ์ความเท่าเทียม และใช้วิธีการพูดคุย แบ่งปันความรู้กับชาวบ้านในชนบท รวมถึงสร้าง “ไร่รวม” ที่กาญจนบุรี เพื่อเป็นโรงเรียนการเมืองอย่างลับๆ 🏕️

    🟦 การจับกุม คำพิพากษา และคำสั่งประหาร ⚖️ ในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลจับกุมครูรวม จากการสืบสวน และคำให้การของพยานร่วมกลุ่ม กล่าวหาว่า เป็นผู้นำเครือข่ายคอมมิวนิสต์ ลอบรับคำสั่งจากต่างชาติ และพยายามล้มล้างสถาบันชาติ

    จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตาม “มาตรา 17” สั่งให้ประหารชีวิตทันที โดยไม่ต้องขึ้นศาล ⛓️

    🕕 ค่ำวันอังคารที่ 24 เมษายน 2505 เวลา 18.00 น. ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครูรวมถูกยิงเป้าจนเสียชีวิต นับเป็นครั้งแรก ที่มีการประหารผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭⚰️

    🟨 วิเคราะห์คดีครูรวม ในบริบทสังคมไทย “ฮีโร่” หรือ “กบฏ”? กรณีของครูรวม สะท้อนถึงยุคสมัยที่ “ความเชื่อ” อาจถูกตีความว่าเป็น “ภัย” การกระทำของครูรวมในสายตารัฐ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง แต่ในสายตาของชาวบ้าน และนักศึกษาในยุคต่อมา คือผู้จุดประกายความคิด เพื่อเสรีภาพ 🕊️

    🟪 มรดกแห่งความทรงจำ กว่า 33 ปีหลังการประหาร ศพของครูรวมเพิ่งถูกพบ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยไร้ป้ายบอกชื่อ เป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายคำถาม ที่สะท้อนว่า... เรื่องราวนี้ อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร ❗

    แม้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ชื่อของ “ครูรวม วงศ์พันธ์” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อในอุดมการณ์ เสรีภาพ และความเสมอภาค

    🧭 ครูรวมไม่ใช่แค่ครูธรรมดา แต่เป็นบุคคลหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอย่างแน่วแน่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต

    ✊ แม้ถูกประหารในฐานะ “คอมมิวนิสต์” แต่ยังคงเป็น “ครูของประชาชน” ในความทรงจำของผู้คนมากมาย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241115 เม.ย. 2568

    🔖 #ครูรวมวงศ์พันธ์ #คอมมิวนิสต์ไทย #คดีประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #มาตรา17 #ยุคสงครามเย็น #การศึกษากับอุดมการณ์ #ครูไทยในอดีต #ประหารชีวิต #วีรบุรุษประชาชน
    63 ปี "ครูรวม วงศ์พันธ์" จากลูกชาวนา สู่เป้าประหารชีวิต “คอมมิวนิสต์” คนแรกของไทย 🔥 ย้อนไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ยังคงสะเทือนใจคนรุ่นหลัง “ครูรวม วงศ์พันธ์” ครูผู้ใฝ่รู้ ผู้กลายเป็นนักโทษคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกยิงเป้า ประหารชีวิตตามคำสั่งมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 🟦 จากลูกชาวนาแห่งสุพรรณบุรี สู่ผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์คนแรกของไทย ที่ถูกประหารชีวิต เรื่องราวสะท้อนยุคสมัย ที่อุดมการณ์นำมาสู่ชะตากรรม อันน่าเศร้า 🔶 ช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย ในยุคสงครามเย็น มีบุคคลหนึ่งที่ชื่อ “รวม วงศ์พันธ์” ถูกจารึกไว้ว่าเป็น “ผู้กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์” คนแรกที่ถูกประหารชีวิต ตามกฎหมายมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2502 ✍️ จะพาย้อนกลับไป 63 ปี ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาทั้งชีวิตของครูรวม เบื้องหลังคำสั่งประหาร และบริบทของการเมืองไทยยุคนั้น 🕯️ 🟤 จากลูกชาวนา...สู่ครูใหญ่โรงเรียนจีน 👨‍🏫 “รวม วงศ์พันธ์” เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465 ที่บ้านมะขามล้ม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายของนายอยู่ และนางไร มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เติบโตในครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความใฝ่เรียน 📚 เรียนหนังสือจากโรงเรียนวัดเล็กๆ ใกล้บ้าน ต่อมาได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ อย่างสวนกุหลาบวิทยาลัย และพาณิชยการพระนคร ก่อนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในยุคนั้น ถือเป็นแหล่งเพาะบ่มความคิดเสรี ของนักศึกษาไทย 🇹🇭 ความรักในการเรียน รักในการสอน ครูรวมเริ่มต้นอาชีพครูในโรงเรียนจีน “กวงกงสวย” ก่อนก้าวขึ้นเป็นครูใหญ่ฝ่ายไทย เป็นที่เคารพรักของนักเรียน และครูร่วมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้แต่งงานกับ "ครูประดิษฐ์ สุทธิจิตร์" คู่ชีวิตผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ในชีวิตอุดมการณ์ 💞 🟥 สถานการณ์โลกกับภัยคอมมิวนิสต์ 🌍 ช่วงปี 2460–2500 โลกกำลังเผชิญกับ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อรัสเซียกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ จีนถูกยึดครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดย "เหมา เจ๋อตง" และในหลายประเทศอุดมการณ์นี้แผ่ขยายเข้าสู่ สังคมชนบทและแรงงาน 🛠️ ความกลัวในสายตารัฐ ประเทศไทยในยุคนั้น อยู่ภายใต้ความตื่นกลัวต่อภัย “แดง” หรือภัยคอมมิวนิสต์จากต่างประเทศ รัฐบาลในหลายยุค รวมถึงยุคของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" จึงเลือกใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ⛔ 🟩 แม้รัฐจะมีกฎหมายควบคุมแนวคิดคอมมิวนิสต์ มาตั้งแต่ปี 2476 แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวนา และครู ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยตรง 👩‍🌾 ครูรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อ ในอุดมการณ์ความเท่าเทียม และใช้วิธีการพูดคุย แบ่งปันความรู้กับชาวบ้านในชนบท รวมถึงสร้าง “ไร่รวม” ที่กาญจนบุรี เพื่อเป็นโรงเรียนการเมืองอย่างลับๆ 🏕️ 🟦 การจับกุม คำพิพากษา และคำสั่งประหาร ⚖️ ในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลจับกุมครูรวม จากการสืบสวน และคำให้การของพยานร่วมกลุ่ม กล่าวหาว่า เป็นผู้นำเครือข่ายคอมมิวนิสต์ ลอบรับคำสั่งจากต่างชาติ และพยายามล้มล้างสถาบันชาติ จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตาม “มาตรา 17” สั่งให้ประหารชีวิตทันที โดยไม่ต้องขึ้นศาล ⛓️ 🕕 ค่ำวันอังคารที่ 24 เมษายน 2505 เวลา 18.00 น. ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครูรวมถูกยิงเป้าจนเสียชีวิต นับเป็นครั้งแรก ที่มีการประหารผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭⚰️ 🟨 วิเคราะห์คดีครูรวม ในบริบทสังคมไทย “ฮีโร่” หรือ “กบฏ”? กรณีของครูรวม สะท้อนถึงยุคสมัยที่ “ความเชื่อ” อาจถูกตีความว่าเป็น “ภัย” การกระทำของครูรวมในสายตารัฐ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง แต่ในสายตาของชาวบ้าน และนักศึกษาในยุคต่อมา คือผู้จุดประกายความคิด เพื่อเสรีภาพ 🕊️ 🟪 มรดกแห่งความทรงจำ กว่า 33 ปีหลังการประหาร ศพของครูรวมเพิ่งถูกพบ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยไร้ป้ายบอกชื่อ เป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายคำถาม ที่สะท้อนว่า... เรื่องราวนี้ อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร ❗ แม้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ชื่อของ “ครูรวม วงศ์พันธ์” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อในอุดมการณ์ เสรีภาพ และความเสมอภาค 🧭 ครูรวมไม่ใช่แค่ครูธรรมดา แต่เป็นบุคคลหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอย่างแน่วแน่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ✊ แม้ถูกประหารในฐานะ “คอมมิวนิสต์” แต่ยังคงเป็น “ครูของประชาชน” ในความทรงจำของผู้คนมากมาย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241115 เม.ย. 2568 🔖 #ครูรวมวงศ์พันธ์ #คอมมิวนิสต์ไทย #คดีประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #มาตรา17 #ยุคสงครามเย็น #การศึกษากับอุดมการณ์ #ครูไทยในอดีต #ประหารชีวิต #วีรบุรุษประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 869 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสร้างสมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติ (Human Universe) เป็นแนวคิดที่ซับซ้อน ครอบคลุมทั้งมิติทางสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและความปรองดองร่วมกัน ต่อไปนี้คือแนวทางหลักที่อาจนำไปสู่การสร้างสมดุลดังกล่าว:

    ### 1. **สมดุลทางสิ่งแวดล้อม**
    - **เปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด**: ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หันไปใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) และส่งเสริมเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ
    - **ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)**: ลดการผลิตของเสียโดยออกแบบระบบการใช้วัสดุใหม่ (Reuse-Recycle) และส่งเสริมการบริโภคอย่างรับผิดชอบ
    - **ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ**: ฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างพื้นที่อนุรักษ์ และควบคุมการตัดไม้ทำลายป่า

    ### 2. **สมดุลทางสังคม**
    - **ลดความเหลื่อมล้ำ**: สร้างระบบสวัสดิการที่ทั่วถึง สนับสนุนการศึกษาและสุขภาพฟรีหรือราคาเข้าถึงได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล
    - **ส่งเสริมความเท่าเทียม**: ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา และสถานะทางสังคม
    - **สร้างชุมชนเข้มแข็ง**: สนับสนุนการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในการตัดสินใจ และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

    ### 3. **สมดุลทางเศรษฐกิจ**
    - **เศรษฐกิจแบบกระจายศูนย์**: ลดการผูกขาดโดยบริษัทขนาดใหญ่ สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและสตาร์ทอัพ
    - **วัดความเจริญด้วยดัชนีใหม่**: ไม่ใช้เพียง GDP แต่รวมถึงความสุขมวลรวม (Gross National Happiness) หรือดัชนีความยั่งยืน
    - **ภาษีโปรเกรสซีฟ**: เก็บภาษีจากกลุ่มรายได้สูงและบริษัทข้ามชาติเพื่อกระจายความมั่งคั่ง

    ### 4. **สมดุลทางเทคโนโลยี**
    - **จริยธรรมเทคโนโลยี**: ควบคุมการใช้ AI และข้อมูลส่วนตัวเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ
    - **เทคโนโลยีเพื่อสังคม**: พัฒนานวัตกรรมที่แก้ปัญหาสังคม เช่น เทคโนโลยีช่วยเกษตรกรหรือระบบสุขภาพดิจิทัล
    - **ลดช่องว่างดิจิทัล**: ให้ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและความรู้ดิจิทัล

    ### 5. **สมดุลทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ**
    - **เคารพความหลากหลาย**: ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
    - **สร้างจิตสำนึกใหม่**: ปลูกฝังค่านิยมเช่นความพอเพียง (ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง) และความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
    - **ส่งเสริมสติและสุขภาพจิต**: บูรณาการ mindfulness ในการศึกษาและการทำงาน

    ### 6. **สมดุลทางการเมืองและการปกครอง**
    - **ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม**: เปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมนโยบายผ่าน Digital Platform
    - **ความร่วมมือระดับโลก**: เสริมสร้างองค์กรระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาร่วม เช่น ภาวะโลกร้อนหรือการค้ามนุษย์
    - **ต่อต้านการทุจริต**: สร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใส และส่งเสริมหลักนิติธรรม

    ### 7. **การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง**
    - **เรียนรู้นอกกรอบ**: สอนทักษะศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และทักษะการอยู่ร่วมกัน
    - **การศึกษาเชิงบูรณาการ**: ผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับศิลปะและมนุษยศาสตร์

    ### บทสรุป
    สมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติไม่ใช่สถานะที่ตายตัว แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการปรับตัว ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการมองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ไม่ใช่ผู้ครอบครอง การสร้างสมดุลนี้ต้องเริ่มจาก "การเปลี่ยนแปลงภายใน" ของแต่ละคน สู่การขับเคลื่อนนโยบายระดับโลก พร้อมกันนั้น ต้องไม่ลืมว่าความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรมคือพลังขับเคลื่อน ไม่ใช่สิ่งต้องกำจัด!
    การสร้างสมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติ (Human Universe) เป็นแนวคิดที่ซับซ้อน ครอบคลุมทั้งมิติทางสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและความปรองดองร่วมกัน ต่อไปนี้คือแนวทางหลักที่อาจนำไปสู่การสร้างสมดุลดังกล่าว: ### 1. **สมดุลทางสิ่งแวดล้อม** - **เปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด**: ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หันไปใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) และส่งเสริมเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ - **ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)**: ลดการผลิตของเสียโดยออกแบบระบบการใช้วัสดุใหม่ (Reuse-Recycle) และส่งเสริมการบริโภคอย่างรับผิดชอบ - **ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ**: ฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างพื้นที่อนุรักษ์ และควบคุมการตัดไม้ทำลายป่า ### 2. **สมดุลทางสังคม** - **ลดความเหลื่อมล้ำ**: สร้างระบบสวัสดิการที่ทั่วถึง สนับสนุนการศึกษาและสุขภาพฟรีหรือราคาเข้าถึงได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล - **ส่งเสริมความเท่าเทียม**: ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา และสถานะทางสังคม - **สร้างชุมชนเข้มแข็ง**: สนับสนุนการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในการตัดสินใจ และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ### 3. **สมดุลทางเศรษฐกิจ** - **เศรษฐกิจแบบกระจายศูนย์**: ลดการผูกขาดโดยบริษัทขนาดใหญ่ สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและสตาร์ทอัพ - **วัดความเจริญด้วยดัชนีใหม่**: ไม่ใช้เพียง GDP แต่รวมถึงความสุขมวลรวม (Gross National Happiness) หรือดัชนีความยั่งยืน - **ภาษีโปรเกรสซีฟ**: เก็บภาษีจากกลุ่มรายได้สูงและบริษัทข้ามชาติเพื่อกระจายความมั่งคั่ง ### 4. **สมดุลทางเทคโนโลยี** - **จริยธรรมเทคโนโลยี**: ควบคุมการใช้ AI และข้อมูลส่วนตัวเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ - **เทคโนโลยีเพื่อสังคม**: พัฒนานวัตกรรมที่แก้ปัญหาสังคม เช่น เทคโนโลยีช่วยเกษตรกรหรือระบบสุขภาพดิจิทัล - **ลดช่องว่างดิจิทัล**: ให้ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและความรู้ดิจิทัล ### 5. **สมดุลทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ** - **เคารพความหลากหลาย**: ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น - **สร้างจิตสำนึกใหม่**: ปลูกฝังค่านิยมเช่นความพอเพียง (ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง) และความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ - **ส่งเสริมสติและสุขภาพจิต**: บูรณาการ mindfulness ในการศึกษาและการทำงาน ### 6. **สมดุลทางการเมืองและการปกครอง** - **ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม**: เปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมนโยบายผ่าน Digital Platform - **ความร่วมมือระดับโลก**: เสริมสร้างองค์กรระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาร่วม เช่น ภาวะโลกร้อนหรือการค้ามนุษย์ - **ต่อต้านการทุจริต**: สร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใส และส่งเสริมหลักนิติธรรม ### 7. **การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง** - **เรียนรู้นอกกรอบ**: สอนทักษะศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และทักษะการอยู่ร่วมกัน - **การศึกษาเชิงบูรณาการ**: ผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับศิลปะและมนุษยศาสตร์ ### บทสรุป สมดุลของจักรวาลมนุษย์ชาติไม่ใช่สถานะที่ตายตัว แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการปรับตัว ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการมองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ไม่ใช่ผู้ครอบครอง การสร้างสมดุลนี้ต้องเริ่มจาก "การเปลี่ยนแปลงภายใน" ของแต่ละคน สู่การขับเคลื่อนนโยบายระดับโลก พร้อมกันนั้น ต้องไม่ลืมว่าความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรมคือพลังขับเคลื่อน ไม่ใช่สิ่งต้องกำจัด!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 603 มุมมอง 0 รีวิว
  • 170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️

    📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️

    🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍

    แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม"

    📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

    จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂

    กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง

    นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย

    💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก…

    ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต

    หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร

    ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น

    👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้

    การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾

    🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล

    ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️

    📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง...
    ✅ เปิดประตูการค้าเสรี
    ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก
    ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว
    ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง
    ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง

    📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง

    😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้

    ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด

    ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่

    ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้

    ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย

    ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”?
    📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ
    📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ
    📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก
    📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น

    📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต

    🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม

    ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า?

    “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง

    ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5

    สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568

    📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
    #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม
    #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย
    #โลกาภิวัตน์กับไทย
    170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️ 📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️ 🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍 แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" 📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂 กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย 💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก… ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น 👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้ การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾 🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️ 📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง... ✅ เปิดประตูการค้าเสรี ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง 📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง 😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้ ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่ ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้ ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”? 📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ 📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ 📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก 📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น 📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต 🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า? “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5 สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568 📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย #โลกาภิวัตน์กับไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 934 มุมมอง 0 รีวิว
  • อังกฤษอย่าทำอย่างนี้สิ แล้วพรรคการเมืองบางพรรคในไทยจะทำยังไง "ทิ้งฉันไว้กลางทาง" งี้เหรอ 😂😂

    ศาลสูงสุดสหราชอาณาจักรตัดสินชี้ขาดว่า คำจำกัดความของผู้หญิงตามกฎหมาย ไม่รวมหญิงข้ามเพศ สิ้นสุดการฟ้องร้องปมขัดแย้งเรื่องสิทธิสตรีกับคนข้ามเพศ ในกฎหมายความเท่าเทียม

    https://www.thairath.co.th/news/foreign/2853387
    อังกฤษอย่าทำอย่างนี้สิ แล้วพรรคการเมืองบางพรรคในไทยจะทำยังไง "ทิ้งฉันไว้กลางทาง" งี้เหรอ 😂😂 ศาลสูงสุดสหราชอาณาจักรตัดสินชี้ขาดว่า คำจำกัดความของผู้หญิงตามกฎหมาย ไม่รวมหญิงข้ามเพศ สิ้นสุดการฟ้องร้องปมขัดแย้งเรื่องสิทธิสตรีกับคนข้ามเพศ ในกฎหมายความเท่าเทียม https://www.thairath.co.th/news/foreign/2853387
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts