• เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis

    เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก

    ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น

    คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น

    ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป

    Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง

    กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth

    ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน

    ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น

    ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024

    กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ

    ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    🎶 เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis ▶️ เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก 🎂 ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น ✍️ คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น 🎼 ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป 🎤 Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง 💿 กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth 🎗️ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน 🏆 ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น 🌏 ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024 ⌛ กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ 📻 ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ปิดทางสร้างบัญชี Local บน Windows 11 — บังคับใช้ Microsoft Account ท่ามกลางการสิ้นสุดของ Windows 10”

    Microsoft กำลังทดสอบการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงกระเพื่อมในกลุ่มผู้ใช้ Windows 11 โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและควบคุมระบบของตนเองมากขึ้น ล่าสุดใน Insider Preview Build 26220.6772 ทั้งใน Dev และ Beta Channel ได้มีการ “ปิดช่องทางทั้งหมด” ที่เคยใช้เพื่อสร้างบัญชี Local ระหว่างขั้นตอนติดตั้งระบบ (OOBE - Out-of-Box Experience)

    ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่งพิเศษ เช่น oobe\bypassnro หรือ start ms-cxh:localonly เพื่อข้ามการล็อกอินด้วย Microsoft Account ได้ แต่ในเวอร์ชันใหม่นี้ วิธีเหล่านั้นถูกปิดหมด ทำให้ผู้ใช้ Windows 11 Home ต้องล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft เท่านั้นในขั้นตอนติดตั้ง

    แม้ว่า Windows 11 Pro ยังสามารถใช้ “Domain Join” เพื่อสร้างบัญชี Local ได้ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ซับซ้อนและไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ส่วนผู้ใช้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคอาจใช้เครื่องมืออย่าง Rufus เพื่อสร้างไฟล์ติดตั้งที่ปรับแต่งให้ข้ามขั้นตอนนี้ได้

    ที่น่าสนใจคือ หลังจากติดตั้งเสร็จ ผู้ใช้ยังสามารถลบบัญชี Microsoft และสร้างบัญชี Local ได้ตามปกติ ซึ่งทำให้เหตุผลของ Microsoft ที่ว่า “ต้องใช้บัญชีเพื่อการตั้งค่าที่ถูกต้อง” ดูขัดแย้งในตัวเอง

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้หลายล้านคนต้องย้ายไป Windows 11 และอาจพบข้อจำกัดนี้โดยไม่ทันตั้งตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft ปิดช่องทางสร้างบัญชี Local ระหว่างติดตั้ง Windows 11 ใน Insider Build 26220.6772
    คำสั่ง oobe\bypassnro และ start ms-cxh:localonly ถูกปิดใช้งาน
    Windows 11 Home ต้องล็อกอินด้วย Microsoft Account ในขั้นตอนติดตั้ง
    Windows 11 Pro ยังสามารถใช้ Domain Join เพื่อสร้างบัญชี Local ได้
    เครื่องมืออย่าง Rufus ยังสามารถใช้สร้างไฟล์ติดตั้งที่ข้ามขั้นตอนนี้ได้
    หลังติดตั้งเสร็จ ผู้ใช้ยังสามารถลบบัญชี Microsoft และสร้างบัญชี Local ได้
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นก่อน Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    Microsoft อ้างว่าเพื่อ “การตั้งค่าที่ถูกต้อง” แต่ยังเปิดให้ลบบัญชีหลังติดตั้ง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Windows 11 มีการผสาน Copilot และ AI เข้ากับแอปพื้นฐาน เช่น Paint และ Notepad
    การใช้ Microsoft Account ทำให้ข้อมูลผู้ใช้ถูกเชื่อมโยงกับบริการคลาวด์ เช่น OneDrive และ Microsoft 365
    ผู้ใช้บางกลุ่มมองว่าการบังคับใช้บัญชี Microsoft เป็น “dark pattern” ที่ลดเสรีภาพในการใช้งาน
    Linux กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    การใช้บัญชี Microsoft อาจทำให้ระบบติดตั้งแอปหรือแสดงโฆษณาโดยอัตโนมัติ

    https://news.itsfoss.com/windows-11-local-account-setup-killed/
    🔒 “Microsoft ปิดทางสร้างบัญชี Local บน Windows 11 — บังคับใช้ Microsoft Account ท่ามกลางการสิ้นสุดของ Windows 10” Microsoft กำลังทดสอบการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงกระเพื่อมในกลุ่มผู้ใช้ Windows 11 โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและควบคุมระบบของตนเองมากขึ้น ล่าสุดใน Insider Preview Build 26220.6772 ทั้งใน Dev และ Beta Channel ได้มีการ “ปิดช่องทางทั้งหมด” ที่เคยใช้เพื่อสร้างบัญชี Local ระหว่างขั้นตอนติดตั้งระบบ (OOBE - Out-of-Box Experience) ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่งพิเศษ เช่น oobe\bypassnro หรือ start ms-cxh:localonly เพื่อข้ามการล็อกอินด้วย Microsoft Account ได้ แต่ในเวอร์ชันใหม่นี้ วิธีเหล่านั้นถูกปิดหมด ทำให้ผู้ใช้ Windows 11 Home ต้องล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft เท่านั้นในขั้นตอนติดตั้ง แม้ว่า Windows 11 Pro ยังสามารถใช้ “Domain Join” เพื่อสร้างบัญชี Local ได้ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ซับซ้อนและไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ส่วนผู้ใช้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคอาจใช้เครื่องมืออย่าง Rufus เพื่อสร้างไฟล์ติดตั้งที่ปรับแต่งให้ข้ามขั้นตอนนี้ได้ ที่น่าสนใจคือ หลังจากติดตั้งเสร็จ ผู้ใช้ยังสามารถลบบัญชี Microsoft และสร้างบัญชี Local ได้ตามปกติ ซึ่งทำให้เหตุผลของ Microsoft ที่ว่า “ต้องใช้บัญชีเพื่อการตั้งค่าที่ถูกต้อง” ดูขัดแย้งในตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้หลายล้านคนต้องย้ายไป Windows 11 และอาจพบข้อจำกัดนี้โดยไม่ทันตั้งตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft ปิดช่องทางสร้างบัญชี Local ระหว่างติดตั้ง Windows 11 ใน Insider Build 26220.6772 ➡️ คำสั่ง oobe\bypassnro และ start ms-cxh:localonly ถูกปิดใช้งาน ➡️ Windows 11 Home ต้องล็อกอินด้วย Microsoft Account ในขั้นตอนติดตั้ง ➡️ Windows 11 Pro ยังสามารถใช้ Domain Join เพื่อสร้างบัญชี Local ได้ ➡️ เครื่องมืออย่าง Rufus ยังสามารถใช้สร้างไฟล์ติดตั้งที่ข้ามขั้นตอนนี้ได้ ➡️ หลังติดตั้งเสร็จ ผู้ใช้ยังสามารถลบบัญชี Microsoft และสร้างบัญชี Local ได้ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นก่อน Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ Microsoft อ้างว่าเพื่อ “การตั้งค่าที่ถูกต้อง” แต่ยังเปิดให้ลบบัญชีหลังติดตั้ง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Windows 11 มีการผสาน Copilot และ AI เข้ากับแอปพื้นฐาน เช่น Paint และ Notepad ➡️ การใช้ Microsoft Account ทำให้ข้อมูลผู้ใช้ถูกเชื่อมโยงกับบริการคลาวด์ เช่น OneDrive และ Microsoft 365 ➡️ ผู้ใช้บางกลุ่มมองว่าการบังคับใช้บัญชี Microsoft เป็น “dark pattern” ที่ลดเสรีภาพในการใช้งาน ➡️ Linux กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ การใช้บัญชี Microsoft อาจทำให้ระบบติดตั้งแอปหรือแสดงโฆษณาโดยอัตโนมัติ https://news.itsfoss.com/windows-11-local-account-setup-killed/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Microsoft Kills Windows 11 Local Account Setup Just as Windows 10 Reaches End of Life
    Local account workarounds removed just before Windows 10 goes dark.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบช่องโหว่ร้ายแรงใน OpenSSH (CVE-2025-61984) — แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งผ่านชื่อผู้ใช้ได้!”

    ช่องโหว่ใหม่ใน OpenSSH ที่ถูกเปิดเผยโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย David Leadbeater ได้สร้างความตื่นตระหนกในวงการไซเบอร์ โดยช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-61984 และส่งผลกระทบต่อ OpenSSH เวอร์ชันก่อน 10.1 ซึ่งเปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลผ่านการใช้ชื่อผู้ใช้ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจง

    ปัญหาเกิดจากการที่ OpenSSH อนุญาตให้มีอักขระควบคุม (control characters) ในชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับคำสั่ง ProxyCommand ที่มีการแทรกชื่อผู้ใช้ผ่านตัวแปร %r ซึ่งจะถูกนำไปสร้างคำสั่ง exec เพื่อรันผ่าน shell ของผู้ใช้ หากชื่อผู้ใช้มีอักขระพิเศษ เช่น $[ และ \n (ขึ้นบรรทัดใหม่) จะทำให้ shell เช่น Bash หรือ csh ตีความผิดพลาด แล้วรันคำสั่งถัดไปที่แฮกเกอร์แอบแทรกไว้

    ตัวอย่างการโจมตีที่เป็นไปได้คือการฝังชื่อผู้ใช้อันตรายไว้ในไฟล์ .gitmodules ของ Git repository แล้วใช้ SSH configuration ที่มี ProxyCommand แบบ %r@%h:%p เมื่อผู้ใช้ clone repository แบบ recursive (git clone --recursive) ระบบจะรันคำสั่งที่แฮกเกอร์แอบใส่ไว้ก่อนจะเชื่อมต่อจริง

    แม้การโจมตีจะต้องใช้เงื่อนไขเฉพาะ เช่น shell ที่ไม่หยุดทำงานเมื่อเจอ syntax error และการตั้งค่า SSH ที่ใช้ %r แต่ก็ถือเป็นช่องโหว่ที่อันตราย เพราะสามารถใช้โจมตีผ่านเครื่องมือที่นักพัฒนาใช้งานเป็นประจำ เช่น Git, Teleport หรือ CI/CD pipeline

    OpenSSH ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 10.1 โดยเพิ่มการตรวจสอบอักขระควบคุมในชื่อผู้ใช้ผ่านฟังก์ชัน iscntrl() เพื่อป้องกันการแทรกคำสั่ง สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที ควรใช้ single quote ครอบ %r ใน ProxyCommand เช่น 'some-command '%r@%h:%p' และปิดการใช้งาน SSH-based submodules ใน Git

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-61984 ส่งผลต่อ OpenSSH ก่อนเวอร์ชัน 10.1
    เกิดจากการอนุญาตให้ใช้ control characters ในชื่อผู้ใช้
    ใช้ร่วมกับ ProxyCommand ที่มี %r จะสร้างคำสั่ง exec ผ่าน shell
    หากชื่อผู้ใช้มี $[ และ \n จะทำให้ shell รันคำสั่งถัดไปโดยไม่ตั้งใจ
    ตัวอย่างการโจมตีคือการฝังชื่อผู้ใช้ใน Git submodule แล้ว clone แบบ recursive
    Shell ที่ได้รับผลกระทบคือ Bash, csh และ fish — Zsh ไม่ได้รับผลกระทบ
    OpenSSH 10.1 แก้ไขโดยใช้ iscntrl() ตรวจสอบชื่อผู้ใช้
    แนะนำให้ใช้ single quote ครอบ %r ใน ProxyCommand เพื่อป้องกัน
    ควรปิดการใช้งาน SSH-based submodules ใน Git โดยค่าเริ่มต้น
    ช่องโหว่นี้เป็นการต่อยอดจาก CVE-2023-51385 ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Git submodules มักใช้ SSH ในการเชื่อมต่อ ทำให้เป็นช่องทางโจมตีที่นิยม
    Teleport และเครื่องมือ cloud gateway อื่น ๆ มักสร้าง SSH config โดยอัตโนมัติ
    Shell เช่น Bash จะไม่หยุดทำงานเมื่อเจอ syntax error แต่จะรันบรรทัดถัดไป
    การใช้ %r โดยไม่ครอบด้วย single quote เปิดช่องให้ shell ตีความอักขระพิเศษ
    การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อรันสคริปต์อันตราย เช่น source poc.sh ก่อนเชื่อมต่อ

    https://securityonline.info/openssh-flaw-cve-2025-61984-allows-remote-code-execution-via-usernames/
    🛑 “พบช่องโหว่ร้ายแรงใน OpenSSH (CVE-2025-61984) — แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งผ่านชื่อผู้ใช้ได้!” ช่องโหว่ใหม่ใน OpenSSH ที่ถูกเปิดเผยโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย David Leadbeater ได้สร้างความตื่นตระหนกในวงการไซเบอร์ โดยช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-61984 และส่งผลกระทบต่อ OpenSSH เวอร์ชันก่อน 10.1 ซึ่งเปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลผ่านการใช้ชื่อผู้ใช้ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจง ปัญหาเกิดจากการที่ OpenSSH อนุญาตให้มีอักขระควบคุม (control characters) ในชื่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับคำสั่ง ProxyCommand ที่มีการแทรกชื่อผู้ใช้ผ่านตัวแปร %r ซึ่งจะถูกนำไปสร้างคำสั่ง exec เพื่อรันผ่าน shell ของผู้ใช้ หากชื่อผู้ใช้มีอักขระพิเศษ เช่น $[ และ \n (ขึ้นบรรทัดใหม่) จะทำให้ shell เช่น Bash หรือ csh ตีความผิดพลาด แล้วรันคำสั่งถัดไปที่แฮกเกอร์แอบแทรกไว้ ตัวอย่างการโจมตีที่เป็นไปได้คือการฝังชื่อผู้ใช้อันตรายไว้ในไฟล์ .gitmodules ของ Git repository แล้วใช้ SSH configuration ที่มี ProxyCommand แบบ %r@%h:%p เมื่อผู้ใช้ clone repository แบบ recursive (git clone --recursive) ระบบจะรันคำสั่งที่แฮกเกอร์แอบใส่ไว้ก่อนจะเชื่อมต่อจริง แม้การโจมตีจะต้องใช้เงื่อนไขเฉพาะ เช่น shell ที่ไม่หยุดทำงานเมื่อเจอ syntax error และการตั้งค่า SSH ที่ใช้ %r แต่ก็ถือเป็นช่องโหว่ที่อันตราย เพราะสามารถใช้โจมตีผ่านเครื่องมือที่นักพัฒนาใช้งานเป็นประจำ เช่น Git, Teleport หรือ CI/CD pipeline OpenSSH ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 10.1 โดยเพิ่มการตรวจสอบอักขระควบคุมในชื่อผู้ใช้ผ่านฟังก์ชัน iscntrl() เพื่อป้องกันการแทรกคำสั่ง สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที ควรใช้ single quote ครอบ %r ใน ProxyCommand เช่น 'some-command '%r@%h:%p' และปิดการใช้งาน SSH-based submodules ใน Git ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-61984 ส่งผลต่อ OpenSSH ก่อนเวอร์ชัน 10.1 ➡️ เกิดจากการอนุญาตให้ใช้ control characters ในชื่อผู้ใช้ ➡️ ใช้ร่วมกับ ProxyCommand ที่มี %r จะสร้างคำสั่ง exec ผ่าน shell ➡️ หากชื่อผู้ใช้มี $[ และ \n จะทำให้ shell รันคำสั่งถัดไปโดยไม่ตั้งใจ ➡️ ตัวอย่างการโจมตีคือการฝังชื่อผู้ใช้ใน Git submodule แล้ว clone แบบ recursive ➡️ Shell ที่ได้รับผลกระทบคือ Bash, csh และ fish — Zsh ไม่ได้รับผลกระทบ ➡️ OpenSSH 10.1 แก้ไขโดยใช้ iscntrl() ตรวจสอบชื่อผู้ใช้ ➡️ แนะนำให้ใช้ single quote ครอบ %r ใน ProxyCommand เพื่อป้องกัน ➡️ ควรปิดการใช้งาน SSH-based submodules ใน Git โดยค่าเริ่มต้น ➡️ ช่องโหว่นี้เป็นการต่อยอดจาก CVE-2023-51385 ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Git submodules มักใช้ SSH ในการเชื่อมต่อ ทำให้เป็นช่องทางโจมตีที่นิยม ➡️ Teleport และเครื่องมือ cloud gateway อื่น ๆ มักสร้าง SSH config โดยอัตโนมัติ ➡️ Shell เช่น Bash จะไม่หยุดทำงานเมื่อเจอ syntax error แต่จะรันบรรทัดถัดไป ➡️ การใช้ %r โดยไม่ครอบด้วย single quote เปิดช่องให้ shell ตีความอักขระพิเศษ ➡️ การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อรันสคริปต์อันตราย เช่น source poc.sh ก่อนเชื่อมต่อ https://securityonline.info/openssh-flaw-cve-2025-61984-allows-remote-code-execution-via-usernames/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenSSH Flaw (CVE-2025-61984) Allows Remote Code Execution via Usernames
    OpenSSH (before 10.1) has a flaw (CVE-2025-61984) that allows RCE when ProxyCommand is used. Attackers exploit control characters in usernames to inject commands.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Oracle รีบออกแพตช์อุดช่องโหว่ Zero-Day หลังถูกโจมตีจริง — แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ RCE ยึดระบบองค์กร”

    Oracle ต้องออกแพตช์ฉุกเฉินในต้นเดือนตุลาคม 2025 เพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ E-Business Suite หลังพบว่าถูกโจมตีจริงโดยกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังอย่าง Cl0p และ FIN11 ซึ่งใช้ช่องโหว่แบบ Zero-Day ที่ยังไม่มีใครรู้มาก่อนในการเจาะระบบขององค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐฯ

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-61882 โดยมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 และสามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึดการควบคุม Oracle Concurrent Processing ได้ทันที

    การโจมตีเริ่มต้นจากการส่งอีเมลข่มขู่ไปยังผู้บริหารองค์กร โดยอ้างว่าขโมยข้อมูลสำคัญจากระบบ Oracle EBS ไปแล้ว ซึ่งตอนแรกยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เมื่อ Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและยืนยันว่ามีการโจมตีเกิดขึ้นจริง ก็ทำให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น

    กลุ่มแฮกเกอร์ใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่ และมีหลักฐานเชื่อมโยงกับบัญชีที่เคยใช้โดย FIN11 รวมถึงมีการพบข้อมูลติดต่อที่เคยปรากฏบนเว็บไซต์ของ Cl0p ทำให้เชื่อได้ว่าทั้งสองกลุ่มอาจร่วมมือกันหรือแชร์ทรัพยากรในการโจมตีครั้งนี้

    Oracle ได้เผยแพร่ Indicators of Compromise (IoCs) เพื่อให้ลูกค้าตรวจสอบว่าระบบของตนถูกเจาะหรือไม่ และเตือนว่าแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว ก็ยังควรตรวจสอบย้อนหลัง เพราะการโจมตีอาจเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-61882 เป็น Zero-Day ที่ถูกใช้โจมตี Oracle E-Business Suite
    ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง 9.8/10 และไม่ต้องยืนยันตัวตนในการโจมตี
    แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึด Oracle Concurrent Processing ได้
    กลุ่ม Cl0p และ FIN11 ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี
    เริ่มจากการส่งอีเมลข่มขู่ผู้บริหารองค์กรในสหรัฐฯ
    Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและเผยแพร่ IoCs ให้ลูกค้าตรวจสอบระบบ
    มีการใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่
    พบข้อมูลติดต่อที่เคยอยู่บนเว็บไซต์ของ Cl0p ในอีเมลที่ส่งถึงเหยื่อ
    Oracle แนะนำให้ตรวจสอบย้อนหลังแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cl0p เคยใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในการโจมตี MOVEit และ Fortra มาก่อน
    FIN11 เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีแรงจูงใจทางการเงินและมีประวัติการใช้แรนซัมแวร์
    ช่องโหว่ใน Oracle EBS เคยถูกใช้โจมตีในปี 2022 โดยกลุ่มไม่ทราบชื่อ
    การโจมตีแบบ Zero-Day มักเกิดก่อนที่ผู้ผลิตจะรู้และออกแพตช์
    การใช้ XSLT ร่วมกับ JavaScript และ ScriptEngine เป็นเทคนิคที่ใช้ใน exploit ล่าสุด

    https://www.techradar.com/pro/security/oracle-forced-to-rush-out-patch-for-zero-day-exploited-in-attacks
    🛡️ “Oracle รีบออกแพตช์อุดช่องโหว่ Zero-Day หลังถูกโจมตีจริง — แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ RCE ยึดระบบองค์กร” Oracle ต้องออกแพตช์ฉุกเฉินในต้นเดือนตุลาคม 2025 เพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ E-Business Suite หลังพบว่าถูกโจมตีจริงโดยกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังอย่าง Cl0p และ FIN11 ซึ่งใช้ช่องโหว่แบบ Zero-Day ที่ยังไม่มีใครรู้มาก่อนในการเจาะระบบขององค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-61882 โดยมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 และสามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึดการควบคุม Oracle Concurrent Processing ได้ทันที การโจมตีเริ่มต้นจากการส่งอีเมลข่มขู่ไปยังผู้บริหารองค์กร โดยอ้างว่าขโมยข้อมูลสำคัญจากระบบ Oracle EBS ไปแล้ว ซึ่งตอนแรกยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เมื่อ Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและยืนยันว่ามีการโจมตีเกิดขึ้นจริง ก็ทำให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น กลุ่มแฮกเกอร์ใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่ และมีหลักฐานเชื่อมโยงกับบัญชีที่เคยใช้โดย FIN11 รวมถึงมีการพบข้อมูลติดต่อที่เคยปรากฏบนเว็บไซต์ของ Cl0p ทำให้เชื่อได้ว่าทั้งสองกลุ่มอาจร่วมมือกันหรือแชร์ทรัพยากรในการโจมตีครั้งนี้ Oracle ได้เผยแพร่ Indicators of Compromise (IoCs) เพื่อให้ลูกค้าตรวจสอบว่าระบบของตนถูกเจาะหรือไม่ และเตือนว่าแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว ก็ยังควรตรวจสอบย้อนหลัง เพราะการโจมตีอาจเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-61882 เป็น Zero-Day ที่ถูกใช้โจมตี Oracle E-Business Suite ➡️ ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง 9.8/10 และไม่ต้องยืนยันตัวตนในการโจมตี ➡️ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึด Oracle Concurrent Processing ได้ ➡️ กลุ่ม Cl0p และ FIN11 ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี ➡️ เริ่มจากการส่งอีเมลข่มขู่ผู้บริหารองค์กรในสหรัฐฯ ➡️ Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและเผยแพร่ IoCs ให้ลูกค้าตรวจสอบระบบ ➡️ มีการใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่ ➡️ พบข้อมูลติดต่อที่เคยอยู่บนเว็บไซต์ของ Cl0p ในอีเมลที่ส่งถึงเหยื่อ ➡️ Oracle แนะนำให้ตรวจสอบย้อนหลังแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cl0p เคยใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในการโจมตี MOVEit และ Fortra มาก่อน ➡️ FIN11 เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีแรงจูงใจทางการเงินและมีประวัติการใช้แรนซัมแวร์ ➡️ ช่องโหว่ใน Oracle EBS เคยถูกใช้โจมตีในปี 2022 โดยกลุ่มไม่ทราบชื่อ ➡️ การโจมตีแบบ Zero-Day มักเกิดก่อนที่ผู้ผลิตจะรู้และออกแพตช์ ➡️ การใช้ XSLT ร่วมกับ JavaScript และ ScriptEngine เป็นเทคนิคที่ใช้ใน exploit ล่าสุด https://www.techradar.com/pro/security/oracle-forced-to-rush-out-patch-for-zero-day-exploited-in-attacks
    WWW.TECHRADAR.COM
    Oracle forced to rush out patch for zero-day exploited in attacks
    Zero-day in Oracle E-Business Suite is being exploited in the wild
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักร หลังถูกสอบสวนเรื่องข้อมูลเด็ก — เมื่อความนิยมไม่อาจต้านกฎคุ้มครองเยาวชน”

    Imgur เว็บไซต์แชร์ภาพยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 130 ล้านคนทั่วโลก ได้ตัดสินใจ “ปิดบริการในสหราชอาณาจักร” อย่างกะทันหันในวันที่ 30 กันยายน 2025 หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านข้อมูลของอังกฤษ หรือ Information Commissioner’s Office (ICO) ออก “หนังสือแจ้งเจตนา” เพื่อปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc. จากข้อสงสัยว่ามีการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก

    การสอบสวนเริ่มต้นตั้งแต่ต้นปี 2025 ภายใต้กรอบ “Children’s Code” ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องมีมาตรการปกป้องข้อมูลของเยาวชนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบอายุและการจำกัดการติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของเด็ก

    ICO ระบุว่า แม้ Imgur จะเลือกถอนตัวออกจากตลาดอังกฤษ แต่ “การออกจากประเทศไม่ได้หมายความว่าจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการละเมิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น” และการสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป โดยบริษัทมีสิทธิ์ยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะปรับเงินหรือไม่

    การตัดสินใจของ Imgur ถูกมองว่าเป็น “การตัดสินใจเชิงพาณิชย์” แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นผลโดยตรงจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะเมื่อแพลตฟอร์มอื่นในเครือ MediaLab เช่น Kik Messenger ยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ เพราะมีการปรับตัวตามข้อกำหนดใหม่

    กรณีนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่เข้มงวดขึ้นของยุโรปในการคุ้มครองข้อมูลเด็ก โดยก่อนหน้านี้ TikTok ก็เคยถูกปรับกว่า 15.8 ล้านดอลลาร์จากการปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีใช้งานโดยไม่ตรวจสอบอายุอย่างเหมาะสม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025
    ICO ออกหนังสือแจ้งเจตนาปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc.
    การสอบสวนเกี่ยวข้องกับการละเมิด Children’s Code ซึ่งเน้นการคุ้มครองข้อมูลเด็ก
    ICO ระบุว่า Imgur ไม่ได้ตรวจสอบอายุผู้ใช้อย่างเหมาะสม
    การถอนตัวจากประเทศไม่ช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมาย
    MediaLab ยังสามารถยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย
    Kik Messenger ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกันยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ
    ICO ยืนยันว่าการคุ้มครองข้อมูลเด็กเป็น “ภารกิจหลัก” ขององค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Children’s Code หรือ Age-Appropriate Design Code มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2021
    กฎหมายนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องลดการติดตามพฤติกรรมเด็กและเพิ่มความโปร่งใส
    TikTok เคยถูกปรับในอังกฤษจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็ก
    Snapchat ก็เคยถูกสอบสวนเรื่อง AI chatbot ที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็ก
    การใช้เทคโนโลยีตรวจสอบอายุ เช่น facial recognition หรือ document verification กำลังเป็นที่ถกเถียง

    https://www.express.co.uk/news/uk/2115228/image-site-imgur-pulls-out
    🚫 “Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักร หลังถูกสอบสวนเรื่องข้อมูลเด็ก — เมื่อความนิยมไม่อาจต้านกฎคุ้มครองเยาวชน” Imgur เว็บไซต์แชร์ภาพยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 130 ล้านคนทั่วโลก ได้ตัดสินใจ “ปิดบริการในสหราชอาณาจักร” อย่างกะทันหันในวันที่ 30 กันยายน 2025 หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านข้อมูลของอังกฤษ หรือ Information Commissioner’s Office (ICO) ออก “หนังสือแจ้งเจตนา” เพื่อปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc. จากข้อสงสัยว่ามีการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก การสอบสวนเริ่มต้นตั้งแต่ต้นปี 2025 ภายใต้กรอบ “Children’s Code” ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องมีมาตรการปกป้องข้อมูลของเยาวชนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบอายุและการจำกัดการติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของเด็ก ICO ระบุว่า แม้ Imgur จะเลือกถอนตัวออกจากตลาดอังกฤษ แต่ “การออกจากประเทศไม่ได้หมายความว่าจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการละเมิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น” และการสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป โดยบริษัทมีสิทธิ์ยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะปรับเงินหรือไม่ การตัดสินใจของ Imgur ถูกมองว่าเป็น “การตัดสินใจเชิงพาณิชย์” แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นผลโดยตรงจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะเมื่อแพลตฟอร์มอื่นในเครือ MediaLab เช่น Kik Messenger ยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ เพราะมีการปรับตัวตามข้อกำหนดใหม่ กรณีนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่เข้มงวดขึ้นของยุโรปในการคุ้มครองข้อมูลเด็ก โดยก่อนหน้านี้ TikTok ก็เคยถูกปรับกว่า 15.8 ล้านดอลลาร์จากการปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีใช้งานโดยไม่ตรวจสอบอายุอย่างเหมาะสม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Imgur ปิดบริการในสหราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025 ➡️ ICO ออกหนังสือแจ้งเจตนาปรับเงินบริษัทแม่ MediaLab AI Inc. ➡️ การสอบสวนเกี่ยวข้องกับการละเมิด Children’s Code ซึ่งเน้นการคุ้มครองข้อมูลเด็ก ➡️ ICO ระบุว่า Imgur ไม่ได้ตรวจสอบอายุผู้ใช้อย่างเหมาะสม ➡️ การถอนตัวจากประเทศไม่ช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมาย ➡️ MediaLab ยังสามารถยื่นคำชี้แจงก่อนที่ ICO จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย ➡️ Kik Messenger ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกันยังคงเปิดให้บริการในอังกฤษ ➡️ ICO ยืนยันว่าการคุ้มครองข้อมูลเด็กเป็น “ภารกิจหลัก” ขององค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Children’s Code หรือ Age-Appropriate Design Code มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2021 ➡️ กฎหมายนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องลดการติดตามพฤติกรรมเด็กและเพิ่มความโปร่งใส ➡️ TikTok เคยถูกปรับในอังกฤษจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็ก ➡️ Snapchat ก็เคยถูกสอบสวนเรื่อง AI chatbot ที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็ก ➡️ การใช้เทคโนโลยีตรวจสอบอายุ เช่น facial recognition หรือ document verification กำลังเป็นที่ถกเถียง https://www.express.co.uk/news/uk/2115228/image-site-imgur-pulls-out
    WWW.EXPRESS.CO.UK
    Image site Imgur pulls out of UK as data watchdog threatens fine
    A popular image hosting website has stopped its services in the UK after regulators threatened a fine.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม”

    Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย

    PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)

    Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง

    กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์
    ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25%
    ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน
    EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์
    Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California
    PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
    ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)
    EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์
    Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ
    Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom
    EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC
    การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    🎮 “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม” Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% ➡️ ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน ➡️ EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ ➡️ Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California ➡️ PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) ➡️ EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ ➡️ Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom ➡️ EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC ➡️ การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    EA acquired by Saudi Arabian investment fund and others for $55 billion — largest ever buyout of a public company
    “Our creative and passionate teams at EA have delivered extraordinary experiences for hundreds of millions of fans, built some of the world’s most iconic IP, and created significant value for our business. This moment is a powerful recognition of their remarkable work."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์โจมตีระบบเช็กอินสนามบินยุโรป — เมื่อจุดรวมศูนย์กลายเป็นจุดอ่อนของโครงสร้างการบิน

    สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบบเช็กอินอัตโนมัติของสนามบินใหญ่ในยุโรป เช่น Heathrow, Berlin Brandenburg และ Brussels Zaventem เกิดความล่มอย่างหนักจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยังระบบ cMUSE ของบริษัท Collins Aerospace ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบ “common-use” ที่ให้สายการบินหลายแห่งใช้ร่วมกันผ่าน backend เดียว

    ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้สนามบินสามารถแชร์เคาน์เตอร์เช็กอิน คีออส และระบบ boarding ได้อย่างยืดหยุ่น โดยใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียวเพื่อความสะดวกในการจัดการ แต่เมื่อ backend ล่ม ทุกอย่างก็หยุดลงทันที

    Brussels ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 45 เที่ยวจากทั้งหมด 257 เที่ยวในวันเดียว และแจ้งผู้โดยสารว่าอาจมีดีเลย์สูงสุดถึง 90 นาที ส่วน Berlin ปิดการใช้งานคีออสทั้งหมดและเปลี่ยนไปใช้การเช็กอินแบบ manual โดยตรงจากสายการบิน ขณะที่ Heathrow ยังสามารถดำเนินการได้ส่วนใหญ่ แต่ต้องใช้วิธี fallback แบบแมนนวลซึ่งทำให้กระบวนการช้าลง

    Collins Aerospace ยืนยันว่าเป็น “เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์” แต่ยังไม่เปิดเผยรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้น โดยระบบ cMUSE ที่ล่มนั้นยังรวมถึงเครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพที่เชื่อมต่อกับ backend เดียวกัน ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ EU จะบังคับใช้กฎ NIS2 ในเดือนตุลาคม ซึ่งจะขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ให้ครอบคลุมถึงผู้ให้บริการ IT ที่สนับสนุนสนามบินและสายการบินโดยตรง รวมถึงกฎ Part-IS ของ EASA ที่มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน

    ระบบ cMUSE ของ Collins Aerospace ถูกโจมตีทางไซเบอร์
    เป็นแพลตฟอร์มเช็กอินแบบ common-use ที่ใช้ร่วมกันหลายสายการบิน
    ใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียว

    สนามบินใหญ่ในยุโรปได้รับผลกระทบ
    Brussels ยกเลิก 45 เที่ยวบิน / ดีเลย์สูงสุด 90 นาที
    Berlin ปิดคีออสทั้งหมด / Heathrow ใช้ fallback แบบ manual

    ระบบที่เชื่อมต่อกับ cMUSE ก็ล่มตามไปด้วย
    เครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพไม่สามารถใช้งานได้
    ระบบไม่สามารถ fallback ได้แบบ graceful ต้องใช้แรงงานคนแทน

    EU เตรียมบังคับใช้กฎ NIS2 และ Part-IS
    ขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ไปยังผู้ให้บริการ IT
    มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/europes-check-in-systems-knocked-offline-after-cyberattack
    📰 แฮกเกอร์โจมตีระบบเช็กอินสนามบินยุโรป — เมื่อจุดรวมศูนย์กลายเป็นจุดอ่อนของโครงสร้างการบิน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบบเช็กอินอัตโนมัติของสนามบินใหญ่ในยุโรป เช่น Heathrow, Berlin Brandenburg และ Brussels Zaventem เกิดความล่มอย่างหนักจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยังระบบ cMUSE ของบริษัท Collins Aerospace ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบ “common-use” ที่ให้สายการบินหลายแห่งใช้ร่วมกันผ่าน backend เดียว ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้สนามบินสามารถแชร์เคาน์เตอร์เช็กอิน คีออส และระบบ boarding ได้อย่างยืดหยุ่น โดยใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียวเพื่อความสะดวกในการจัดการ แต่เมื่อ backend ล่ม ทุกอย่างก็หยุดลงทันที Brussels ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 45 เที่ยวจากทั้งหมด 257 เที่ยวในวันเดียว และแจ้งผู้โดยสารว่าอาจมีดีเลย์สูงสุดถึง 90 นาที ส่วน Berlin ปิดการใช้งานคีออสทั้งหมดและเปลี่ยนไปใช้การเช็กอินแบบ manual โดยตรงจากสายการบิน ขณะที่ Heathrow ยังสามารถดำเนินการได้ส่วนใหญ่ แต่ต้องใช้วิธี fallback แบบแมนนวลซึ่งทำให้กระบวนการช้าลง Collins Aerospace ยืนยันว่าเป็น “เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์” แต่ยังไม่เปิดเผยรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้น โดยระบบ cMUSE ที่ล่มนั้นยังรวมถึงเครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพที่เชื่อมต่อกับ backend เดียวกัน ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ EU จะบังคับใช้กฎ NIS2 ในเดือนตุลาคม ซึ่งจะขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ให้ครอบคลุมถึงผู้ให้บริการ IT ที่สนับสนุนสนามบินและสายการบินโดยตรง รวมถึงกฎ Part-IS ของ EASA ที่มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน ✅ ระบบ cMUSE ของ Collins Aerospace ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ➡️ เป็นแพลตฟอร์มเช็กอินแบบ common-use ที่ใช้ร่วมกันหลายสายการบิน ➡️ ใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียว ✅ สนามบินใหญ่ในยุโรปได้รับผลกระทบ ➡️ Brussels ยกเลิก 45 เที่ยวบิน / ดีเลย์สูงสุด 90 นาที ➡️ Berlin ปิดคีออสทั้งหมด / Heathrow ใช้ fallback แบบ manual ✅ ระบบที่เชื่อมต่อกับ cMUSE ก็ล่มตามไปด้วย ➡️ เครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพไม่สามารถใช้งานได้ ➡️ ระบบไม่สามารถ fallback ได้แบบ graceful ต้องใช้แรงงานคนแทน ✅ EU เตรียมบังคับใช้กฎ NIS2 และ Part-IS ➡️ ขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ไปยังผู้ให้บริการ IT ➡️ มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/europes-check-in-systems-knocked-offline-after-cyberattack
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Hackers attack Europe’s automatic flight check-in systems — flight delayed and cancelled after Collins cyberattack
    An incident at Collins Aerospace shut down the cloud back-end for its cMUSE platform this weekend, crippling kiosks and forcing manual fallback at Heathrow, Berlin, and Brussels.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่พร้อมเพย์ ใช้เลขผีผูกบัญชีกองทุน

    เรื่องอื้อฉาวของพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ยังคงถูกสังคมตั้งคำถามหลายประเด็น ทั้งความไม่โปร่งใสของเงินบริจาค การโอนทรัพย์สินให้คนใกล้ชิด วุฒิการศึกษาที่คลาดเคลื่อน การพบศพมากกว่า 20 ศพภายในวัด กรณีล่าสุดคือการนำชื่อ "อลงกต พลมุข" และเลขประจำตัวประชาชน ของบุคคลอื่นที่เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2566 มาแอบอ้างในใบสุทธิ แม้กรมการปกครองจะชี้แจงว่าทั้งหลวงพ่ออลงกต และผู้เสียชีวิตไม่ใช่บุคคลเดียวกัน แต่เมื่อมีชาวเน็ตนำเลขประจำตัวประชาชนของผู้เสียชีวิตไปโอนเงินพร้อมเพย์ พบว่าขึ้นบัญชีปลายทาง "กองทุนอาทรประชานาถ"

    Newskit ทำการทดลองโอนเงินจำนวน 0.10 บาท เมื่อเวลา 23.07 น. วันที่ 23 ส.ค. เมื่อสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อตรวจสอบ พบว่าเป็นการโอนเงินพร้อมเพย์ เข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ เลขที่ xxx-x-xx697-1 ชื่อบัญชี กองทุนอาทรประชานาถ ตรงกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี เลขที่บัญชี 289-0-84697-1 ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช้ประชาสัมพันธ์ร่วมบุญกับวัดพระบาทน้ำพุ จึงเกิดคำถามว่า โดยปกติการลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ ชื่อบัญชีปลายทาง จะต้องเป็นชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชี ทำไมธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี ถึงสามารถผูกบัญชี กับชื่อบัญชีที่ไม่ใช่ชื่อและนามสกุลได้

    ทั้งนี้ หลักการลงทะเบียนพร้อมเพย์ นอกจากจะให้ประชาชนสามารถโอนเงินให้กันได้ โดยไม่ต้องจำเลขบัญชีธนาคารแล้ว สำหรับพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ โอนเงินผ่านเลขประจำตัวประชาชนได้โดยตรง เช่น การจ่ายเงินสวัสดิการต่างๆ การคืนเงินภาษี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น แจกเงิน 10,000 บาท โดยหลักการชื่อบัญชีจะต้องตรงกับบุคคลตามเลขประจำตัวประชาชน

    ถ้าหากเป็นการโอนเงินให้วัด จะต้องทำผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ซึ่งวัดพระบาทน้ำพุ มีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาค 0994002092188 โดยวัดพระบาทน้ำพุ ได้ทำระบบ e-Donation ไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ โดยได้ออก QR Code เลขที่ Biller ID : 099400209218893

    ไม่นับรวมการผูกพร้อมเพย์ด้วยเบอร์มือถือกับบัญชีธนาคาร ยังมีช่องโหว่ตรงที่หากชื่อผู้จดทะเบียนหรือลงทะเบียนเบอร์มือถือที่ให้ไว้กับสำนักงาน กสทช. กับชื่อบัญชีธนาคารไม่ตรงกัน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีมาตรการเข้มงวด จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและตรวจสอบย้อนหลังอย่างไร เพื่อไม่ให้กลายเป็นช่องทางในการทุจริตหรือนำไปใช้เพื่อหลอกลวงผู้อื่น ถือเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยที่สมาคมธนาคารไทยต้องชี้แจง

    #Newskit
    ช่องโหว่พร้อมเพย์ ใช้เลขผีผูกบัญชีกองทุน เรื่องอื้อฉาวของพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ยังคงถูกสังคมตั้งคำถามหลายประเด็น ทั้งความไม่โปร่งใสของเงินบริจาค การโอนทรัพย์สินให้คนใกล้ชิด วุฒิการศึกษาที่คลาดเคลื่อน การพบศพมากกว่า 20 ศพภายในวัด กรณีล่าสุดคือการนำชื่อ "อลงกต พลมุข" และเลขประจำตัวประชาชน ของบุคคลอื่นที่เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2566 มาแอบอ้างในใบสุทธิ แม้กรมการปกครองจะชี้แจงว่าทั้งหลวงพ่ออลงกต และผู้เสียชีวิตไม่ใช่บุคคลเดียวกัน แต่เมื่อมีชาวเน็ตนำเลขประจำตัวประชาชนของผู้เสียชีวิตไปโอนเงินพร้อมเพย์ พบว่าขึ้นบัญชีปลายทาง "กองทุนอาทรประชานาถ" Newskit ทำการทดลองโอนเงินจำนวน 0.10 บาท เมื่อเวลา 23.07 น. วันที่ 23 ส.ค. เมื่อสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อตรวจสอบ พบว่าเป็นการโอนเงินพร้อมเพย์ เข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ เลขที่ xxx-x-xx697-1 ชื่อบัญชี กองทุนอาทรประชานาถ ตรงกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี เลขที่บัญชี 289-0-84697-1 ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช้ประชาสัมพันธ์ร่วมบุญกับวัดพระบาทน้ำพุ จึงเกิดคำถามว่า โดยปกติการลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ ชื่อบัญชีปลายทาง จะต้องเป็นชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชี ทำไมธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี ถึงสามารถผูกบัญชี กับชื่อบัญชีที่ไม่ใช่ชื่อและนามสกุลได้ ทั้งนี้ หลักการลงทะเบียนพร้อมเพย์ นอกจากจะให้ประชาชนสามารถโอนเงินให้กันได้ โดยไม่ต้องจำเลขบัญชีธนาคารแล้ว สำหรับพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ โอนเงินผ่านเลขประจำตัวประชาชนได้โดยตรง เช่น การจ่ายเงินสวัสดิการต่างๆ การคืนเงินภาษี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น แจกเงิน 10,000 บาท โดยหลักการชื่อบัญชีจะต้องตรงกับบุคคลตามเลขประจำตัวประชาชน ถ้าหากเป็นการโอนเงินให้วัด จะต้องทำผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ซึ่งวัดพระบาทน้ำพุ มีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาค 0994002092188 โดยวัดพระบาทน้ำพุ ได้ทำระบบ e-Donation ไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ โดยได้ออก QR Code เลขที่ Biller ID : 099400209218893 ไม่นับรวมการผูกพร้อมเพย์ด้วยเบอร์มือถือกับบัญชีธนาคาร ยังมีช่องโหว่ตรงที่หากชื่อผู้จดทะเบียนหรือลงทะเบียนเบอร์มือถือที่ให้ไว้กับสำนักงาน กสทช. กับชื่อบัญชีธนาคารไม่ตรงกัน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีมาตรการเข้มงวด จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและตรวจสอบย้อนหลังอย่างไร เพื่อไม่ให้กลายเป็นช่องทางในการทุจริตหรือนำไปใช้เพื่อหลอกลวงผู้อื่น ถือเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยที่สมาคมธนาคารไทยต้องชี้แจง #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 558 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน

    ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ

    การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่

    แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง

    นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang
    การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google
    Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ
    โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน
    Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี
    หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI
    Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ
    เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก
    ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น
    GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
    Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000
    บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน

    https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    🎙️ เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang ➡️ การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google ➡️ Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ ➡️ โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน ➡️ Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี ➡️ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI ➡️ Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ ➡️ เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก ➡️ ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น ➡️ GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ➡️ Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 ➡️ บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ChatGPT แตะ 700 ล้านผู้ใช้ต่อสัปดาห์—ก่อนเปิดตัว GPT-5 ที่ “คิดก่อนตอบ”

    OpenAI ประกาศว่า ChatGPT กำลังจะถึงจุดสูงสุดใหม่ที่ 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม และมากกว่า 4 เท่าจากปีที่แล้ว ความนิยมนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว GPT-5 ซึ่งจะรวมโมเดลสาย o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน โดยมีความสามารถใหม่คือ “คิดก่อนตอบ” หรือการเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลนานขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกซึ้งกว่า

    GPT-5 จะเปิดให้ใช้งานในทุก tier ของ ChatGPT โดยผู้ใช้ทั่วไปจะได้ใช้เวอร์ชันพื้นฐานแบบไม่จำกัด ส่วนผู้ใช้ Plus และ Pro จะสามารถเข้าถึงระดับความฉลาดที่สูงขึ้นตามลำดับ

    นอกจากนี้ OpenAI ยังเตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่อีกมากในเดือนถัดไป โดยได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $8.3 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, Andreessen Horowitz และ Fidelity เพื่อรองรับต้นทุนการพัฒนาและขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    ChatGPT กำลังจะถึง 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากปีที่แล้ว
    เพิ่มจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม 2025
    สะท้อนการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวัน

    GPT-5 จะรวมโมเดล o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน
    มีความสามารถ “คิดก่อนตอบ” เพื่อให้คำตอบลึกซึ้งขึ้น
    เป็นการเปลี่ยนแนวทางการออกแบบโมเดลจากเดิมที่เน้นความเร็ว

    ผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถใช้ GPT-5 ได้แบบไม่จำกัดในระดับพื้นฐาน
    Plus tier จะได้ใช้ GPT-5 ที่ฉลาดขึ้น
    Pro tier ($200/เดือน) จะได้ใช้ GPT-5 ในระดับสูงสุด

    OpenAI มีผู้ใช้แบบธุรกิจถึง 5 ล้านราย เพิ่มจาก 3 ล้านในเดือนมิถุนายน
    สะท้อนการนำ AI ไปใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย
    รวมถึงภาคการศึกษาและการสร้างสรรค์เนื้อหา

    รายได้ประจำต่อปี (ARR) ของ OpenAI พุ่งถึง $13 พันล้าน และคาดว่าจะเกิน $20 พันล้านภายในสิ้นปี
    ได้รับเงินลงทุนใหม่ $8.3 พันล้านจากนักลงทุนชั้นนำ
    เป็นส่วนหนึ่งของรอบการระดมทุน $40 พันล้านที่นำโดย SoftBank

    OpenAI เตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนถัดไป
    เลื่อนจากเดือนก่อนเพื่อทดสอบความปลอดภัยเพิ่มเติม
    เน้นการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงสูงก่อนเปิดใช้งาน

    “คิดก่อนตอบ” คือแนวคิดใหม่ใน AI ที่ให้โมเดลเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลมากขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกกว่า
    คล้ายกับการ “หยุดคิด” ก่อนพูดของมนุษย์
    ช่วยให้คำตอบมีความละเอียดและมีบริบทมากขึ้น

    การเติบโตของ ChatGPT สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลก
    จากเครื่องมือทดลองกลายเป็นส่วนหนึ่งของ workflow จริง
    ใช้ในงานเขียน, การเรียน, การวิเคราะห์ และการสื่อสาร

    การเปิดโมเดลแบบ open-weight เป็นแนวทางที่หลายบริษัท AI เริ่มนำมาใช้ เช่น Meta และ Mistral
    ช่วยให้ชุมชนวิจัยสามารถพัฒนาและตรวจสอบได้
    แต่ต้องมีการควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด

    https://www.neowin.net/news/openai-chatgpt-on-track-to-reach-700m-weekly-active-users-ahead-of-gpt-5-launch/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ChatGPT แตะ 700 ล้านผู้ใช้ต่อสัปดาห์—ก่อนเปิดตัว GPT-5 ที่ “คิดก่อนตอบ” OpenAI ประกาศว่า ChatGPT กำลังจะถึงจุดสูงสุดใหม่ที่ 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม และมากกว่า 4 เท่าจากปีที่แล้ว ความนิยมนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว GPT-5 ซึ่งจะรวมโมเดลสาย o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน โดยมีความสามารถใหม่คือ “คิดก่อนตอบ” หรือการเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลนานขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกซึ้งกว่า GPT-5 จะเปิดให้ใช้งานในทุก tier ของ ChatGPT โดยผู้ใช้ทั่วไปจะได้ใช้เวอร์ชันพื้นฐานแบบไม่จำกัด ส่วนผู้ใช้ Plus และ Pro จะสามารถเข้าถึงระดับความฉลาดที่สูงขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ OpenAI ยังเตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่อีกมากในเดือนถัดไป โดยได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $8.3 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, Andreessen Horowitz และ Fidelity เพื่อรองรับต้นทุนการพัฒนาและขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ ChatGPT กำลังจะถึง 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากปีที่แล้ว ➡️ เพิ่มจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม 2025 ➡️ สะท้อนการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวัน ✅ GPT-5 จะรวมโมเดล o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน ➡️ มีความสามารถ “คิดก่อนตอบ” เพื่อให้คำตอบลึกซึ้งขึ้น ➡️ เป็นการเปลี่ยนแนวทางการออกแบบโมเดลจากเดิมที่เน้นความเร็ว ✅ ผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถใช้ GPT-5 ได้แบบไม่จำกัดในระดับพื้นฐาน ➡️ Plus tier จะได้ใช้ GPT-5 ที่ฉลาดขึ้น ➡️ Pro tier ($200/เดือน) จะได้ใช้ GPT-5 ในระดับสูงสุด ✅ OpenAI มีผู้ใช้แบบธุรกิจถึง 5 ล้านราย เพิ่มจาก 3 ล้านในเดือนมิถุนายน ➡️ สะท้อนการนำ AI ไปใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย ➡️ รวมถึงภาคการศึกษาและการสร้างสรรค์เนื้อหา ✅ รายได้ประจำต่อปี (ARR) ของ OpenAI พุ่งถึง $13 พันล้าน และคาดว่าจะเกิน $20 พันล้านภายในสิ้นปี ➡️ ได้รับเงินลงทุนใหม่ $8.3 พันล้านจากนักลงทุนชั้นนำ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของรอบการระดมทุน $40 พันล้านที่นำโดย SoftBank ✅ OpenAI เตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนถัดไป ➡️ เลื่อนจากเดือนก่อนเพื่อทดสอบความปลอดภัยเพิ่มเติม ➡️ เน้นการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงสูงก่อนเปิดใช้งาน ✅ “คิดก่อนตอบ” คือแนวคิดใหม่ใน AI ที่ให้โมเดลเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลมากขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกกว่า ➡️ คล้ายกับการ “หยุดคิด” ก่อนพูดของมนุษย์ ➡️ ช่วยให้คำตอบมีความละเอียดและมีบริบทมากขึ้น ✅ การเติบโตของ ChatGPT สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลก ➡️ จากเครื่องมือทดลองกลายเป็นส่วนหนึ่งของ workflow จริง ➡️ ใช้ในงานเขียน, การเรียน, การวิเคราะห์ และการสื่อสาร ✅ การเปิดโมเดลแบบ open-weight เป็นแนวทางที่หลายบริษัท AI เริ่มนำมาใช้ เช่น Meta และ Mistral ➡️ ช่วยให้ชุมชนวิจัยสามารถพัฒนาและตรวจสอบได้ ➡️ แต่ต้องมีการควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด https://www.neowin.net/news/openai-chatgpt-on-track-to-reach-700m-weekly-active-users-ahead-of-gpt-5-launch/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI: ChatGPT on track to reach 700M weekly active users ahead of GPT-5 launch
    OpenAI's ChatGPT is set to hit a new milestone of 700 million weekly active users, marking significant growth from last year.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: คดีสะเทือนวงการ—เมื่อแพลตฟอร์ม X ต้องรับผิดชอบต่อการละเลยรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก

    ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้รื้อฟื้นบางส่วนของคดีที่ฟ้องแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวหาว่า X ละเลยหน้าที่ในการรายงานวิดีโอที่มีภาพล่วงละเมิดเด็กชายสองคน ซึ่งถูกหลอกลวงผ่าน Snapchat ให้ส่งภาพเปลือย ก่อนถูกแบล็กเมล์และนำภาพไปเผยแพร่บน Twitter

    วิดีโอนั้นอยู่บนแพลตฟอร์มนานถึง 9 วัน และมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้ง ก่อนจะถูกลบและรายงานไปยังศูนย์ NCMEC (National Center for Missing and Exploited Children)

    แม้ศาลจะยืนยันว่า X ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 230 ของกฎหมาย Communications Decency Act ในหลายข้อกล่าวหา แต่ก็ชี้ว่าเมื่อแพลตฟอร์ม “รับรู้จริง” ถึงเนื้อหาละเมิดแล้ว ยังไม่ดำเนินการทันที ถือเป็นความประมาทเลินเล่อที่ต้องรับผิดชอบ

    ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ให้ดำเนินคดีต่อ X ในข้อหาละเลยการรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก
    วิดีโอมีภาพเด็กชายสองคนที่ถูกแบล็กเมล์ผ่าน Snapchat
    ถูกเผยแพร่บน Twitter และอยู่บนระบบถึง 9 วัน

    วิดีโอดังกล่าวมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้งก่อนถูกลบและรายงานไปยัง NCMEC
    การล่าช้าในการลบและรายงานถือเป็นการละเลย
    ศาลชี้ว่าเมื่อมี “ความรู้จริง” แพลตฟอร์มต้องรายงานทันที

    ศาลอนุญาตให้ดำเนินคดีในข้อกล่าวหาว่าโครงสร้างของ X ทำให้รายงานเนื้อหาล่วงละเมิดได้ยาก
    ระบบแจ้งเนื้อหาของผู้ใช้ไม่สะดวกหรือไม่ชัดเจน
    อาจเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันการละเมิด

    ข้อกล่าวหาอื่น เช่น การได้ประโยชน์จากการค้ามนุษย์หรือการขยายเนื้อหาผ่านระบบค้นหา ถูกศาลยกฟ้อง
    ศาลเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ
    X ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในข้อกล่าวหาเหล่านั้น

    คดีนี้เกิดขึ้นก่อน Elon Musk ซื้อ Twitter ในปี 2022 และเขาไม่ใช่จำเลยในคดีนี้
    การดำเนินคดีจึงไม่เกี่ยวกับการบริหารของ Musk โดยตรง
    แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของแพลตฟอร์ม

    การล่าช้าในการลบเนื้อหาล่วงละเมิดเด็กอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเหยื่อ
    เหยื่ออาจถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่สามารถควบคุมได้
    ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัยในระยะยาว

    ระบบแจ้งเนื้อหาที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถรายงานเนื้อหาผิดกฎหมายได้ทันเวลา
    แพลตฟอร์มต้องออกแบบให้ผู้ใช้สามารถแจ้งเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็ว
    การละเลยในจุดนี้อาจเป็นช่องโหว่ให้เนื้อหาผิดกฎหมายเผยแพร่ต่อไป

    การพึ่งพากฎหมายคุ้มครองแพลตฟอร์มอาจทำให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางจริยธรรม
    แม้จะไม่ผิดตามกฎหมาย แต่ก็อาจละเมิดหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
    ผู้ใช้และสังคมควรเรียกร้องให้แพลตฟอร์มมีมาตรฐานสูงกว่าข้อกฎหมายขั้นต่ำ

    การไม่ดำเนินการทันทีเมื่อรับรู้เนื้อหาละเมิดเด็ก อาจทำให้แพลตฟอร์มถูกฟ้องร้องในข้อหาประมาทเลินเล่อ
    ศาลชี้ว่า “ความรู้จริง” คือจุดเริ่มต้นของหน้าที่ในการรายงาน
    การเพิกเฉยหลังจากรับรู้ถือเป็นการละเมิดกฎหมาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/musk039s-x-must-face-part-of-lawsuit-over-child-pornography-video
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: คดีสะเทือนวงการ—เมื่อแพลตฟอร์ม X ต้องรับผิดชอบต่อการละเลยรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้รื้อฟื้นบางส่วนของคดีที่ฟ้องแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวหาว่า X ละเลยหน้าที่ในการรายงานวิดีโอที่มีภาพล่วงละเมิดเด็กชายสองคน ซึ่งถูกหลอกลวงผ่าน Snapchat ให้ส่งภาพเปลือย ก่อนถูกแบล็กเมล์และนำภาพไปเผยแพร่บน Twitter วิดีโอนั้นอยู่บนแพลตฟอร์มนานถึง 9 วัน และมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้ง ก่อนจะถูกลบและรายงานไปยังศูนย์ NCMEC (National Center for Missing and Exploited Children) แม้ศาลจะยืนยันว่า X ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 230 ของกฎหมาย Communications Decency Act ในหลายข้อกล่าวหา แต่ก็ชี้ว่าเมื่อแพลตฟอร์ม “รับรู้จริง” ถึงเนื้อหาละเมิดแล้ว ยังไม่ดำเนินการทันที ถือเป็นความประมาทเลินเล่อที่ต้องรับผิดชอบ ✅ ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ให้ดำเนินคดีต่อ X ในข้อหาละเลยการรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก ➡️ วิดีโอมีภาพเด็กชายสองคนที่ถูกแบล็กเมล์ผ่าน Snapchat ➡️ ถูกเผยแพร่บน Twitter และอยู่บนระบบถึง 9 วัน ✅ วิดีโอดังกล่าวมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้งก่อนถูกลบและรายงานไปยัง NCMEC ➡️ การล่าช้าในการลบและรายงานถือเป็นการละเลย ➡️ ศาลชี้ว่าเมื่อมี “ความรู้จริง” แพลตฟอร์มต้องรายงานทันที ✅ ศาลอนุญาตให้ดำเนินคดีในข้อกล่าวหาว่าโครงสร้างของ X ทำให้รายงานเนื้อหาล่วงละเมิดได้ยาก ➡️ ระบบแจ้งเนื้อหาของผู้ใช้ไม่สะดวกหรือไม่ชัดเจน ➡️ อาจเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันการละเมิด ✅ ข้อกล่าวหาอื่น เช่น การได้ประโยชน์จากการค้ามนุษย์หรือการขยายเนื้อหาผ่านระบบค้นหา ถูกศาลยกฟ้อง ➡️ ศาลเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ ➡️ X ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในข้อกล่าวหาเหล่านั้น ✅ คดีนี้เกิดขึ้นก่อน Elon Musk ซื้อ Twitter ในปี 2022 และเขาไม่ใช่จำเลยในคดีนี้ ➡️ การดำเนินคดีจึงไม่เกี่ยวกับการบริหารของ Musk โดยตรง ➡️ แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของแพลตฟอร์ม ‼️ การล่าช้าในการลบเนื้อหาล่วงละเมิดเด็กอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเหยื่อ ⛔ เหยื่ออาจถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่สามารถควบคุมได้ ⛔ ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัยในระยะยาว ‼️ ระบบแจ้งเนื้อหาที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถรายงานเนื้อหาผิดกฎหมายได้ทันเวลา ⛔ แพลตฟอร์มต้องออกแบบให้ผู้ใช้สามารถแจ้งเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็ว ⛔ การละเลยในจุดนี้อาจเป็นช่องโหว่ให้เนื้อหาผิดกฎหมายเผยแพร่ต่อไป ‼️ การพึ่งพากฎหมายคุ้มครองแพลตฟอร์มอาจทำให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางจริยธรรม ⛔ แม้จะไม่ผิดตามกฎหมาย แต่ก็อาจละเมิดหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ⛔ ผู้ใช้และสังคมควรเรียกร้องให้แพลตฟอร์มมีมาตรฐานสูงกว่าข้อกฎหมายขั้นต่ำ ‼️ การไม่ดำเนินการทันทีเมื่อรับรู้เนื้อหาละเมิดเด็ก อาจทำให้แพลตฟอร์มถูกฟ้องร้องในข้อหาประมาทเลินเล่อ ⛔ ศาลชี้ว่า “ความรู้จริง” คือจุดเริ่มต้นของหน้าที่ในการรายงาน ⛔ การเพิกเฉยหลังจากรับรู้ถือเป็นการละเมิดกฎหมาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/musk039s-x-must-face-part-of-lawsuit-over-child-pornography-video
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk's X must face part of lawsuit over child pornography video
    (Reuters) -A federal appeals court on Friday revived part of a lawsuit accusing Elon Musk's X of becoming a haven for child exploitation, though the court said the platform deserves broad immunity from claims over objectionable content.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 469 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ธีม WordPress “Alone” ถูกเจาะทะลุ—เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บแบบเงียบ ๆ

    ธีม Alone – Charity Multipurpose Non-profit ซึ่งถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลกว่า 200 แห่งทั่วโลก ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394 ที่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถอัปโหลดไฟล์ ZIP ที่มี backdoor PHP เพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบปลอมได้ทันที

    ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5 ซึ่งเพิ่งได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 แต่การโจมตีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ก่อนที่ช่องโหว่จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเพียง 2 วัน โดย Wordfence รายงานว่ามีความพยายามโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้วจากหลาย IP ทั่วโลก

    แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ:
    - สร้างบัญชีแอดมินปลอม
    - อัปโหลดมัลแวร์
    - เปลี่ยนเส้นทางผู้เยี่ยมชมไปยังเว็บฟิชชิ่ง
    - ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์อื่น

    ธีม Alone – Charity Multipurpose ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394
    คะแนนความรุนแรง 9.8/10
    เปิดทางให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์และรันคำสั่งจากระยะไกล

    ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5
    เวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 7.8.5 ขึ้นไป
    ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้ว
    เริ่มโจมตีตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2025
    ใช้ไฟล์ ZIP ที่มี backdoor เช่น wp-classic-editor.zip

    แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชีแอดมินปลอมและควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ
    ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือ redirect ไปยังเว็บอันตราย
    อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและข้อมูลผู้ใช้งาน

    ธีมนี้ถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลและ NGO กว่า 200 แห่งทั่วโลก
    มีฟีเจอร์ donation integration และรองรับ Elementor/WPBakery
    เป็นธีมเชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มไม่แสวงหากำไร

    หากยังใช้เวอร์ชันก่อน 7.8.5 เว็บไซต์ของคุณเสี่ยงต่อการถูกยึดครองทันที
    ช่องโหว่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน
    อาจถูกใช้เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผู้ใช้

    การโจมตีเกิดขึ้นก่อนการเปิดเผยช่องโหว่ต่อสาธารณะ
    แสดงว่าแฮกเกอร์ติดตามการเปลี่ยนแปลงโค้ดอย่างใกล้ชิด
    อาจมีการโจมตีแบบ zero-day ในธีมอื่น ๆ อีก

    ผู้ดูแลเว็บไซต์อาจไม่รู้ว่าถูกเจาะ เพราะมัลแวร์ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน
    เช่น การสร้างผู้ใช้ชื่อ “officialwp” หรือการซ่อนไฟล์ใน mu-plugins
    ต้องตรวจสอบ log และผู้ใช้แอดมินอย่างละเอียด

    การใช้ธีมและปลั๊กอินจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก
    ธีมเชิงพาณิชย์ที่ไม่มีการอัปเดตสม่ำเสมออาจมีช่องโหว่
    ควรใช้ธีมที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-target-critical-wordpress-theme-flaw-thousands-of-sites-at-risk-from-potential-takeover-find-out-if-youre-affected
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ธีม WordPress “Alone” ถูกเจาะทะลุ—เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บแบบเงียบ ๆ ธีม Alone – Charity Multipurpose Non-profit ซึ่งถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลกว่า 200 แห่งทั่วโลก ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394 ที่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถอัปโหลดไฟล์ ZIP ที่มี backdoor PHP เพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบปลอมได้ทันที ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5 ซึ่งเพิ่งได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 แต่การโจมตีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ก่อนที่ช่องโหว่จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเพียง 2 วัน โดย Wordfence รายงานว่ามีความพยายามโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้วจากหลาย IP ทั่วโลก แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ: - สร้างบัญชีแอดมินปลอม - อัปโหลดมัลแวร์ - เปลี่ยนเส้นทางผู้เยี่ยมชมไปยังเว็บฟิชชิ่ง - ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์อื่น ✅ ธีม Alone – Charity Multipurpose ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394 ➡️ คะแนนความรุนแรง 9.8/10 ➡️ เปิดทางให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์และรันคำสั่งจากระยะไกล ✅ ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5 ➡️ เวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 7.8.5 ขึ้นไป ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้ว ➡️ เริ่มโจมตีตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2025 ➡️ ใช้ไฟล์ ZIP ที่มี backdoor เช่น wp-classic-editor.zip ✅ แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชีแอดมินปลอมและควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ ➡️ ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือ redirect ไปยังเว็บอันตราย ➡️ อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและข้อมูลผู้ใช้งาน ✅ ธีมนี้ถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลและ NGO กว่า 200 แห่งทั่วโลก ➡️ มีฟีเจอร์ donation integration และรองรับ Elementor/WPBakery ➡️ เป็นธีมเชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มไม่แสวงหากำไร ‼️ หากยังใช้เวอร์ชันก่อน 7.8.5 เว็บไซต์ของคุณเสี่ยงต่อการถูกยึดครองทันที ⛔ ช่องโหว่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผู้ใช้ ‼️ การโจมตีเกิดขึ้นก่อนการเปิดเผยช่องโหว่ต่อสาธารณะ ⛔ แสดงว่าแฮกเกอร์ติดตามการเปลี่ยนแปลงโค้ดอย่างใกล้ชิด ⛔ อาจมีการโจมตีแบบ zero-day ในธีมอื่น ๆ อีก ‼️ ผู้ดูแลเว็บไซต์อาจไม่รู้ว่าถูกเจาะ เพราะมัลแวร์ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ⛔ เช่น การสร้างผู้ใช้ชื่อ “officialwp” หรือการซ่อนไฟล์ใน mu-plugins ⛔ ต้องตรวจสอบ log และผู้ใช้แอดมินอย่างละเอียด ‼️ การใช้ธีมและปลั๊กอินจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก ⛔ ธีมเชิงพาณิชย์ที่ไม่มีการอัปเดตสม่ำเสมออาจมีช่องโหว่ ⛔ ควรใช้ธีมที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/hackers-target-critical-wordpress-theme-flaw-thousands-of-sites-at-risk-from-potential-takeover-find-out-if-youre-affected
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • อันวาร์แจกเงิน 100 ริงกิต ประชานิยมสกัดม็อบ

    นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ประกาศมาตรการช่วยเหลือชาวมาเลเซียเพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. โดยชาวมาเลเซียที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินช่วยเหลือแบบครั้งเดียว 100 ริงกิต (ประมาณ 760 บาท) ผ่านบัตรประชาชน (MyKAD) เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านค้าและห้างค้าปลีกกว่า 4,100 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. ถึง 31 ธ.ค. คาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ 22 ล้านคน ใช้งบประมาณ 2,000 ล้านริงกิต

    พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศปรับลดราคาน้ำมัน RON95 สำหรับภาคการขนส่งในมาเลเซียอีก 0.06 ริงกิต ตามแผนอุดหนุนราคาน้ำมัน จากเดิม 2.05 ริงกิต เหลือ 1.99 ริงกิตต่อลิตร การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า การระงับขึ้นค่าผ่านทางบนทางด่วน 10 เส้นทาง ที่มีกำหนดปรับขึ้นในปีนี้ การเพิ่มวันจันทร์ที่ 15 ก.ย. เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม เพื่อให้หยุดยาว 4 วันในวันมาเลเซียปีนี้ 13-16 ก.ย. เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ

    การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชุมนุมใหญ่ภายใต้ชื่อ Himpunan Turun Anwar ซึ่งจัดโดยกลุ่มเยาวชนพรรคพาส (PAS) ในวันเสาร์นี้ (26 ก.ค.) ที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก ด้วยข้อกล่าวหาบริหารประเทศล้มเหลว ทั้งการปฎิรูปการเมืองและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์คาดว่าจะมีผู้ชุมนุมราว 10,000-15,000 คน โดยจัดกำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยและควบคุมฝูงชนราว 2,000 นาย

    นายฟัดห์ลี ชาอารี (Fadhli Shaari) สส.เขตปาร์เซมัส หัวหน้าฝ่ายสารสนเทศของพรรคพาส กล่าวว่า การประกาศแจกเงิน 100 ริงกิตน่าสนใจที่สุด ส่วนมาตรการอื่นเป็นเพียงนโยบายทั่วไปที่ประกาศได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการปรับลดราคาน้ำมัน RON95 ลง 6 เซน ไม่สมกับที่นายกฯ ต้องประกาศเอง ถึงกระนั้นการแจกเงินไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับรายได้ที่รัฐบาลได้รับจากการลดเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลสูงถึง 7,500 ล้านริงกิต โดยไม่มีมาตรการใดที่ส่งผลในระยะยาวอย่างแท้จริง เป็นเพียงการลดกระแสความไม่พอใจของประชาชนที่จะออกมาชุมนุมเท่านั้น

    ก่อนหน้านี้อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด กล่าวปราศรัยที่เมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดะห์ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. เรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก เพราะขาดความสามารถในการบริหารประเทศ และแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งการบริหารจัดการความมั่งคั่งของชาติที่ผิดพลาด ยกเลิกการอุดหนุนต่างๆ ทำให้ประชาชนยากลำบาก ชาวมาเลเซียจำนวนมากเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร บางคนเจอแรงกดดันจนเสียสติและจบชีวิตตัวเองหรือใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเกิดขึ้นจากความยากจน

    #Newskit
    อันวาร์แจกเงิน 100 ริงกิต ประชานิยมสกัดม็อบ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ประกาศมาตรการช่วยเหลือชาวมาเลเซียเพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. โดยชาวมาเลเซียที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินช่วยเหลือแบบครั้งเดียว 100 ริงกิต (ประมาณ 760 บาท) ผ่านบัตรประชาชน (MyKAD) เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านค้าและห้างค้าปลีกกว่า 4,100 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. ถึง 31 ธ.ค. คาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ 22 ล้านคน ใช้งบประมาณ 2,000 ล้านริงกิต พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศปรับลดราคาน้ำมัน RON95 สำหรับภาคการขนส่งในมาเลเซียอีก 0.06 ริงกิต ตามแผนอุดหนุนราคาน้ำมัน จากเดิม 2.05 ริงกิต เหลือ 1.99 ริงกิตต่อลิตร การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า การระงับขึ้นค่าผ่านทางบนทางด่วน 10 เส้นทาง ที่มีกำหนดปรับขึ้นในปีนี้ การเพิ่มวันจันทร์ที่ 15 ก.ย. เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม เพื่อให้หยุดยาว 4 วันในวันมาเลเซียปีนี้ 13-16 ก.ย. เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชุมนุมใหญ่ภายใต้ชื่อ Himpunan Turun Anwar ซึ่งจัดโดยกลุ่มเยาวชนพรรคพาส (PAS) ในวันเสาร์นี้ (26 ก.ค.) ที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก ด้วยข้อกล่าวหาบริหารประเทศล้มเหลว ทั้งการปฎิรูปการเมืองและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์คาดว่าจะมีผู้ชุมนุมราว 10,000-15,000 คน โดยจัดกำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยและควบคุมฝูงชนราว 2,000 นาย นายฟัดห์ลี ชาอารี (Fadhli Shaari) สส.เขตปาร์เซมัส หัวหน้าฝ่ายสารสนเทศของพรรคพาส กล่าวว่า การประกาศแจกเงิน 100 ริงกิตน่าสนใจที่สุด ส่วนมาตรการอื่นเป็นเพียงนโยบายทั่วไปที่ประกาศได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการปรับลดราคาน้ำมัน RON95 ลง 6 เซน ไม่สมกับที่นายกฯ ต้องประกาศเอง ถึงกระนั้นการแจกเงินไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับรายได้ที่รัฐบาลได้รับจากการลดเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลสูงถึง 7,500 ล้านริงกิต โดยไม่มีมาตรการใดที่ส่งผลในระยะยาวอย่างแท้จริง เป็นเพียงการลดกระแสความไม่พอใจของประชาชนที่จะออกมาชุมนุมเท่านั้น ก่อนหน้านี้อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด กล่าวปราศรัยที่เมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดะห์ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. เรียกร้องให้นายอันวาร์ลาออก เพราะขาดความสามารถในการบริหารประเทศ และแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งการบริหารจัดการความมั่งคั่งของชาติที่ผิดพลาด ยกเลิกการอุดหนุนต่างๆ ทำให้ประชาชนยากลำบาก ชาวมาเลเซียจำนวนมากเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร บางคนเจอแรงกดดันจนเสียสติและจบชีวิตตัวเองหรือใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเกิดขึ้นจากความยากจน #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 695 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน

    “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้

    เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก

    ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว

    คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ

    รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง

    อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก

    สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว

    “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว

    รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน

    ที่มา :
    https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้ เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน ที่มา : https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ก่อตั้ง Telegram ปฏิเสธคำขอจากรัฐบาลตะวันตกให้ปิดเสียงกลุ่มอนุรักษ์นิยมในโรมาเนีย

    Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เปิดเผยว่าเขาได้รับคำขอจากรัฐบาลตะวันตก (ซึ่งอาจเป็นฝรั่งเศส) ให้ปิดกั้นเสียงของกลุ่มอนุรักษ์นิยมในโรมาเนีย ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสอง อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธคำขอดังกล่าว โดยยืนยันว่า Telegram เป็นแพลตฟอร์มที่ให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกรณี Telegram และโรมาเนีย
    Durov เปิดเผยว่าเขาได้รับคำขอจากรัฐบาลตะวันตกให้ปิดกั้นกลุ่มอนุรักษ์นิยมในโรมาเนีย
    - คำขอนี้ เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสองในโรมาเนีย

    การเลือกตั้งครั้งนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโรมาเนียและความเป็นเอกภาพของสหภาพยุโรป
    - ผู้สมัคร เป็นฝ่ายขวายุโรสเซปติก (Eurosceptic) และฝ่ายกลางอิสระ

    Durov ปฏิเสธคำขอ โดยยืนยันว่า Telegram สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
    - Telegram เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลใด ๆ

    Telegram มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารทางการเมืองในหลายประเทศ
    - โดยเฉพาะ ในช่วงการประท้วงและการเลือกตั้ง

    รัฐบาลตะวันตกมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายข้อมูลผิดบน Telegram
    - เนื่องจาก แพลตฟอร์มนี้มีการเข้ารหัสและไม่สามารถตรวจสอบเนื้อหาได้ง่าย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/18/telegram-founder-says-he-rejects-request-to-039silence039-conservative-voices-in-romania
    ผู้ก่อตั้ง Telegram ปฏิเสธคำขอจากรัฐบาลตะวันตกให้ปิดเสียงกลุ่มอนุรักษ์นิยมในโรมาเนีย Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เปิดเผยว่าเขาได้รับคำขอจากรัฐบาลตะวันตก (ซึ่งอาจเป็นฝรั่งเศส) ให้ปิดกั้นเสียงของกลุ่มอนุรักษ์นิยมในโรมาเนีย ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสอง อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธคำขอดังกล่าว โดยยืนยันว่า Telegram เป็นแพลตฟอร์มที่ให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกรณี Telegram และโรมาเนีย ✅ Durov เปิดเผยว่าเขาได้รับคำขอจากรัฐบาลตะวันตกให้ปิดกั้นกลุ่มอนุรักษ์นิยมในโรมาเนีย - คำขอนี้ เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสองในโรมาเนีย ✅ การเลือกตั้งครั้งนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโรมาเนียและความเป็นเอกภาพของสหภาพยุโรป - ผู้สมัคร เป็นฝ่ายขวายุโรสเซปติก (Eurosceptic) และฝ่ายกลางอิสระ ✅ Durov ปฏิเสธคำขอ โดยยืนยันว่า Telegram สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น - Telegram เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลใด ๆ ✅ Telegram มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารทางการเมืองในหลายประเทศ - โดยเฉพาะ ในช่วงการประท้วงและการเลือกตั้ง ✅ รัฐบาลตะวันตกมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายข้อมูลผิดบน Telegram - เนื่องจาก แพลตฟอร์มนี้มีการเข้ารหัสและไม่สามารถตรวจสอบเนื้อหาได้ง่าย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/18/telegram-founder-says-he-rejects-request-to-039silence039-conservative-voices-in-romania
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Telegram founder says he rejected a Western request to silence conservative voices in Romania
    MOSCOW (Reuters) - The founder of the Telegram messaging app said on Sunday he had refused a request by a Western government, which he did not name but appeared to imply was France, to silence conservative voices in Romania ahead of a presidential election run-off there.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 399 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tencent สะสมชิป AI จำนวนมาก พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีในประเทศ

    Martin Lau ประธานของ Tencent เปิดเผยว่าบริษัทมีการสะสมชิป AI ของ NVIDIA เป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับกลยุทธ์ AI ในอนาคต โดยการสะสมนี้เกิดขึ้นก่อนที่สหรัฐฯ จะออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการส่งออกชิป AI ไปยังจีน

    Tencent สะสมชิป AI ของ NVIDIA เป็นจำนวนมากก่อนข้อจำกัดการส่งออก
    - คาดว่ามีการใช้เงินกว่า 16 พันล้านดอลลาร์ในการซื้อชิป NVIDIA H20

    ชิปเหล่านี้จะถูกใช้ในธุรกิจโฆษณาและระบบแนะนำเนื้อหา
    - Tencent มองว่าการใช้ AI จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนทางธุรกิจ

    Tencent มีแผนใช้ชิป AI สำหรับการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM)
    - การฝึกโมเดลต้องใช้ ชิปประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    บริษัทเริ่มพิจารณาใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีน เช่น Huawei Ascend 910C
    - เพื่อ ลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และปรับตัวตามข้อจำกัดใหม่

    Tencent มองว่าการพัฒนา AI สามารถทำได้แม้มีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์
    - บริษัท เริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันซอฟต์แวร์มากขึ้น

    https://www.techpowerup.com/336823/tencent-president-discusses-significant-stockpiling-of-ai-gpus-open-to-future-adoption-of-native-designs
    Tencent สะสมชิป AI จำนวนมาก พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีในประเทศ Martin Lau ประธานของ Tencent เปิดเผยว่าบริษัทมีการสะสมชิป AI ของ NVIDIA เป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับกลยุทธ์ AI ในอนาคต โดยการสะสมนี้เกิดขึ้นก่อนที่สหรัฐฯ จะออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ✅ Tencent สะสมชิป AI ของ NVIDIA เป็นจำนวนมากก่อนข้อจำกัดการส่งออก - คาดว่ามีการใช้เงินกว่า 16 พันล้านดอลลาร์ในการซื้อชิป NVIDIA H20 ✅ ชิปเหล่านี้จะถูกใช้ในธุรกิจโฆษณาและระบบแนะนำเนื้อหา - Tencent มองว่าการใช้ AI จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนทางธุรกิจ ✅ Tencent มีแผนใช้ชิป AI สำหรับการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) - การฝึกโมเดลต้องใช้ ชิปประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ✅ บริษัทเริ่มพิจารณาใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีน เช่น Huawei Ascend 910C - เพื่อ ลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และปรับตัวตามข้อจำกัดใหม่ ✅ Tencent มองว่าการพัฒนา AI สามารถทำได้แม้มีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ - บริษัท เริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันซอฟต์แวร์มากขึ้น https://www.techpowerup.com/336823/tencent-president-discusses-significant-stockpiling-of-ai-gpus-open-to-future-adoption-of-native-designs
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Tencent President Discusses Significant Stockpiling of AI GPUs - Open to Future Adoption of Native Designs
    Martin Lau, President of Tencent, has divulged that his company has accumulated a "pretty strong stockpile" of NVIDIA AI chips. In a mid-week earnings call, the Chinese executive reckoned that this surplus will come in handy—upon the company unleashing its full-on upcoming "AI strategy." Lau was res...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลสูงรัฐกรณาฏกะของอินเดียได้มีคำสั่งให้รัฐบาลอินเดีย บล็อก Proton Mail ซึ่งเป็นบริการอีเมลเข้ารหัสจากสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากบริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิงของบริษัท

    คำสั่งบล็อกนี้ออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลอินเดีย บล็อกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อกบริการนี้

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Proton Mail ถูกขู่ว่าจะถูกบล็อกในอินเดีย ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อกบริการนี้หลังจากพบว่า มีการใช้ Proton Mail ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม

    เหตุผลในการบล็อก Proton Mail
    - บริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิง
    - คำสั่งบล็อกออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008

    การตอบสนองของ Proton Mail
    - Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อก
    - บริการยังสามารถเข้าถึงได้ในอินเดีย ณ วันที่ 30 เมษายน 2025

    เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
    - ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อก Proton Mail หลังจากพบว่า มีการใช้บริการนี้ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม

    Proton Mail และบริการอื่นๆ
    - Proton Mail เป็นบริการอีเมลเข้ารหัสที่ได้รับความนิยม
    - บริษัทยังให้บริการ Proton VPN, Proton Drive และ Proton Calendar

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/proton-mail-hit-with-blocking-order-in-india-heres-everything-we-know-so-far
    ศาลสูงรัฐกรณาฏกะของอินเดียได้มีคำสั่งให้รัฐบาลอินเดีย บล็อก Proton Mail ซึ่งเป็นบริการอีเมลเข้ารหัสจากสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากบริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิงของบริษัท คำสั่งบล็อกนี้ออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลอินเดีย บล็อกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อกบริการนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Proton Mail ถูกขู่ว่าจะถูกบล็อกในอินเดีย ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อกบริการนี้หลังจากพบว่า มีการใช้ Proton Mail ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม ✅ เหตุผลในการบล็อก Proton Mail - บริษัทในกรุงนิวเดลีร้องเรียนว่ามีผู้ใช้ที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่ง อีเมลที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทและภาพ deepfake ไปยังพนักงานหญิง - คำสั่งบล็อกออกภายใต้ มาตรา 69 ของพระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศปี 2008 ✅ การตอบสนองของ Proton Mail - Proton Mail ระบุว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์กำลังเจรจากับทางการอินเดีย เพื่อป้องกันการบล็อก - บริการยังสามารถเข้าถึงได้ในอินเดีย ณ วันที่ 30 เมษายน 2025 ✅ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ - ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีข้อเสนอให้บล็อก Proton Mail หลังจากพบว่า มีการใช้บริการนี้ในการส่งคำขู่ระเบิดปลอม ✅ Proton Mail และบริการอื่นๆ - Proton Mail เป็นบริการอีเมลเข้ารหัสที่ได้รับความนิยม - บริษัทยังให้บริการ Proton VPN, Proton Drive และ Proton Calendar https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/proton-mail-hit-with-blocking-order-in-india-heres-everything-we-know-so-far
    WWW.TECHRADAR.COM
    Proton Mail hit with blocking order in India - here's everything we know so far
    Proton Mail could soon stop working in India after a court ruling
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกภูมิใจไทย แจง 'เอกราช ช่างเหลา' ร่วมงานพรรคกล้าธรรมนานแล้ว คดีที่เกิดขึ้นก่อนมาอยู่พรรคภูมิใจไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/18190/
    โฆษกภูมิใจไทย แจง 'เอกราช ช่างเหลา' ร่วมงานพรรคกล้าธรรมนานแล้ว คดีที่เกิดขึ้นก่อนมาอยู่พรรคภูมิใจไทย https://www.thai-tai.tv/news/18190/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พีระพันธุ์” แจงสภารับซื้อไฟฟ้าเกิดขึ้นก่อนรัฐบาลปัจจุบัน ยันไม่นิ่งนอนใจ เร่งหาแนวทางแก้ไขกฎหมาย
    https://www.thai-tai.tv/news/18127/
    “พีระพันธุ์” แจงสภารับซื้อไฟฟ้าเกิดขึ้นก่อนรัฐบาลปัจจุบัน ยันไม่นิ่งนอนใจ เร่งหาแนวทางแก้ไขกฎหมาย https://www.thai-tai.tv/news/18127/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ออกอัปเดต Windows 11 KB5055523 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดสำคัญในระบบ Kerberos Authentication ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ โดยข้อผิดพลาดนี้ทำให้เครื่องมือสำคัญในองค์กร เช่น Credential Guard เกิดการขัดข้อง

    == สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการแก้ไข ==
    ปัญหาที่พบ:
    - อุปกรณ์ที่ใช้ Identity Update Manager และ Public Key Cryptography for Initial Authentication (PKINIT) พบว่ารหัสผ่านไม่ได้ถูกเปลี่ยนตามรอบเวลา 30 วัน ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้น
    - ส่งผลให้ระบบมองว่ารหัสผ่านใน Machine Accounts เป็น “รหัสผ่านที่ล้าสมัย” และนำไปสู่การยกเลิกการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน

    ความเชื่อมโยงกับ Credential Guard:
    - ฟีเจอร์ Credential Guard ซึ่งย้ายข้อมูลรับรองจาก registry ไปยังพื้นที่ปลอดภัย มีการปิดใช้งานชั่วคราวเนื่องจาก Kerberos Authentication ที่มีข้อผิดพลาด

    == การแก้ปัญหาในอัปเดตใหม่ ==
    ฟื้นฟูความมั่นคงของระบบ:
    - Microsoft ได้แก้ไขข้อผิดพลาดใน KB5055523 ซึ่งช่วยให้ระบบ Kerberos สามารถเปลี่ยนรหัสผ่านได้ตามรอบเวลา ทำให้ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Credential Guard กลับมาทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

    ลดผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั่วไป:
    - ปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในองค์กรที่ใช้ระบบ Enterprise Environment โดยผู้ใช้ Windows Home Edition แทบไม่ได้รับผลกระทบ

    https://www.neowin.net/news/microsoft-windows-11-kb5055523-fixes-kerberos-bug-that-wont-let-passwords-change/
    Microsoft ได้ออกอัปเดต Windows 11 KB5055523 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดสำคัญในระบบ Kerberos Authentication ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ โดยข้อผิดพลาดนี้ทำให้เครื่องมือสำคัญในองค์กร เช่น Credential Guard เกิดการขัดข้อง == สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการแก้ไข == ✅ ปัญหาที่พบ: - อุปกรณ์ที่ใช้ Identity Update Manager และ Public Key Cryptography for Initial Authentication (PKINIT) พบว่ารหัสผ่านไม่ได้ถูกเปลี่ยนตามรอบเวลา 30 วัน ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้น - ส่งผลให้ระบบมองว่ารหัสผ่านใน Machine Accounts เป็น “รหัสผ่านที่ล้าสมัย” และนำไปสู่การยกเลิกการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน ✅ ความเชื่อมโยงกับ Credential Guard: - ฟีเจอร์ Credential Guard ซึ่งย้ายข้อมูลรับรองจาก registry ไปยังพื้นที่ปลอดภัย มีการปิดใช้งานชั่วคราวเนื่องจาก Kerberos Authentication ที่มีข้อผิดพลาด == การแก้ปัญหาในอัปเดตใหม่ == ✅ ฟื้นฟูความมั่นคงของระบบ: - Microsoft ได้แก้ไขข้อผิดพลาดใน KB5055523 ซึ่งช่วยให้ระบบ Kerberos สามารถเปลี่ยนรหัสผ่านได้ตามรอบเวลา ทำให้ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Credential Guard กลับมาทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ✅ ลดผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั่วไป: - ปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในองค์กรที่ใช้ระบบ Enterprise Environment โดยผู้ใช้ Windows Home Edition แทบไม่ได้รับผลกระทบ https://www.neowin.net/news/microsoft-windows-11-kb5055523-fixes-kerberos-bug-that-wont-let-passwords-change/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft: Windows 11 KB5055523 fixes Kerberos bug that won't let passwords change
    Microsoft has fixed a Windows 11 24H2 and Server 2025 bug where passwords were failing to change, leading to authentication failures.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ฉลองครบรอบ 50 ปีด้วยชุดวอลเปเปอร์สุดคลาสสิกที่รวมไอคอนของ Windows ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ออกแบบโดยแฟน Windows และทีมนักออกแบบจาก Microsoft วอลเปเปอร์มีให้เลือกทั้งแบบมืดและสว่าง รองรับจอ 16:9 และ 21:9 สามารถดาวน์โหลดได้จาก Microsoft Design นอกจากนี้ Bill Gates ยังร่วมฉลองด้วยการเผยแพร่โค้ดต้นฉบับของ Altair BASIC ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่เกิดขึ้นก่อน Windows

    https://www.neowin.net/news/celebrate-50-years-of-microsoft-with-these-beautiful-wallpapers/
    Microsoft ฉลองครบรอบ 50 ปีด้วยชุดวอลเปเปอร์สุดคลาสสิกที่รวมไอคอนของ Windows ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ออกแบบโดยแฟน Windows และทีมนักออกแบบจาก Microsoft วอลเปเปอร์มีให้เลือกทั้งแบบมืดและสว่าง รองรับจอ 16:9 และ 21:9 สามารถดาวน์โหลดได้จาก Microsoft Design นอกจากนี้ Bill Gates ยังร่วมฉลองด้วยการเผยแพร่โค้ดต้นฉบับของ Altair BASIC ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่เกิดขึ้นก่อน Windows https://www.neowin.net/news/celebrate-50-years-of-microsoft-with-these-beautiful-wallpapers/
    WWW.NEOWIN.NET
    Celebrate 50 years of Microsoft with these beautiful wallpapers
    Microsoft is turning 50 this week, and the company is celebrating the occasion with a fresh pack of beautiful high-res wallpapers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • OnlyFans และ Hbar Foundation ได้เสนอซื้อ TikTok โดยส่งข้อเสนอไปยังทำเนียบขาว ขณะที่ Amazon ก็ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย ByteDance ต้องขาย TikTok ก่อน 5 เมษายน 2025 มิฉะนั้นอาจถูกแบนในสหรัฐฯ รัฐบาลกังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของจีน ทำให้การขายกิจการกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง

    Zoop—แพลตฟอร์มใหม่ของ Stokely ที่แตกต่างจาก OnlyFans
    - แม้ว่า OnlyFans จะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ แต่ Zoop เป็นแพลตฟอร์มที่ เหมาะสำหรับครอบครัว
    - Zoop ให้ ส่วนแบ่งรายได้แก่ผู้สร้างคอนเทนต์มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

    เหตุผลที่ Stokely และ Hbar Foundation ต้องการซื้อ TikTok
    - ต้องการสร้าง โมเดลใหม่ที่ให้ผู้สร้างและชุมชนได้รับผลตอบแทนโดยตรงจากมูลค่าที่พวกเขาสร้างขึ้น
    - มีการร่วมมือกับ กลุ่มนักลงทุน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

    Amazon ก็เข้าร่วมแข่งขันเพื่อซื้อ TikTok
    - New York Times รายงานว่า Amazon ได้ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย
    - การแข่งขันนี้เกิดขึ้นก่อน เส้นตายวันที่ 5 เมษายน ซึ่ง ByteDance ต้องขาย TikTok หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ

    TikTok อาจถูกแบนในสหรัฐฯ หาก ByteDance ไม่ขายกิจการ
    - กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 19 มกราคม 2025 กำหนดให้ ByteDance ต้องขาย TikTok ด้วยเหตุผลด้าน ความมั่นคงแห่งชาติ
    - รัฐบาลสหรัฐฯ กังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการดำเนินการด้านอิทธิพล

    การประมูล TikTok ถูกควบคุมโดยทำเนียบขาว
    - รองประธานาธิบดี JD Vance เป็นผู้ดูแลกระบวนการประมูล
    - ทรัมป์ระบุว่ามี 4 กลุ่มที่สนใจซื้อ TikTok แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/onlyfans-founder-crypto-foundation-submit-late-stage-bid-to-buy-tiktok
    OnlyFans และ Hbar Foundation ได้เสนอซื้อ TikTok โดยส่งข้อเสนอไปยังทำเนียบขาว ขณะที่ Amazon ก็ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย ByteDance ต้องขาย TikTok ก่อน 5 เมษายน 2025 มิฉะนั้นอาจถูกแบนในสหรัฐฯ รัฐบาลกังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของจีน ทำให้การขายกิจการกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง ✅ Zoop—แพลตฟอร์มใหม่ของ Stokely ที่แตกต่างจาก OnlyFans - แม้ว่า OnlyFans จะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ แต่ Zoop เป็นแพลตฟอร์มที่ เหมาะสำหรับครอบครัว - Zoop ให้ ส่วนแบ่งรายได้แก่ผู้สร้างคอนเทนต์มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ✅ เหตุผลที่ Stokely และ Hbar Foundation ต้องการซื้อ TikTok - ต้องการสร้าง โมเดลใหม่ที่ให้ผู้สร้างและชุมชนได้รับผลตอบแทนโดยตรงจากมูลค่าที่พวกเขาสร้างขึ้น - มีการร่วมมือกับ กลุ่มนักลงทุน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด ✅ Amazon ก็เข้าร่วมแข่งขันเพื่อซื้อ TikTok - New York Times รายงานว่า Amazon ได้ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย - การแข่งขันนี้เกิดขึ้นก่อน เส้นตายวันที่ 5 เมษายน ซึ่ง ByteDance ต้องขาย TikTok หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ ✅ TikTok อาจถูกแบนในสหรัฐฯ หาก ByteDance ไม่ขายกิจการ - กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 19 มกราคม 2025 กำหนดให้ ByteDance ต้องขาย TikTok ด้วยเหตุผลด้าน ความมั่นคงแห่งชาติ - รัฐบาลสหรัฐฯ กังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการดำเนินการด้านอิทธิพล ✅ การประมูล TikTok ถูกควบคุมโดยทำเนียบขาว - รองประธานาธิบดี JD Vance เป็นผู้ดูแลกระบวนการประมูล - ทรัมป์ระบุว่ามี 4 กลุ่มที่สนใจซื้อ TikTok แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/onlyfans-founder-crypto-foundation-submit-late-stage-bid-to-buy-tiktok
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OnlyFans founder, crypto foundation submit late-stage bid to buy TikTok
    A startup run by Tim Stokely, founder of adult content social media site OnlyFans, has partnered with a cryptocurrency foundation to submit a late-stage plan to acquire short video app TikTok from Chinese owner ByteDance, the two said on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ของ OpenAI สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นศิลปะสไตล์ Studio Ghibli ที่สวยงามและแปลกใหม่ ซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องลิขสิทธิ์และข้อผิดพลาดทางเทคนิค เหตุการณ์นี้แสดงถึงศักยภาพของ AI ในการสร้างสรรค์งานศิลป์ แต่ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับความถูกต้องและผลกระทบทางกฎหมายที่ต้องพิจารณา

    ความเห็นจาก Hayao Miyazaki:
    - ผู้กำกับ Studio Ghibli อย่าง Hayao Miyazaki เคยแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับอนิเมชั่นที่สร้างจาก AI โดยกล่าวในปี 2016 ว่าการสร้างภาพเหล่านี้เป็นการ “ดูถูกชีวิต” อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นนี้เกิดขึ้นก่อนที่ AI จะพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถสร้างภาพได้ใกล้เคียงผลงานของ Ghibli อย่างมากในปัจจุบัน.

    ปฏิกิริยาในสังคมออนไลน์:
    - ผู้คนในโลกออนไลน์แสดงความทึ่งในภาพที่ AI สร้างขึ้น และมีการแชร์ภาพเหล่านี้อย่างกว้างขวาง หลายคนยังขอคำแนะนำว่าพวกเขาจะสร้างภาพเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ AI ของ OpenAI ถูกจำกัดด้วยนโยบายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ จึงไม่สามารถสร้างภาพบางประเภทได้.

    ข้อจำกัดและความผิดพลาดของ AI:
    - แม้ว่าภาพจะดูน่าทึ่ง แต่ยังพบข้อผิดพลาด เช่น การสร้างภาพที่มีมือสองข้างเหมือนกันในภาพบุคคล ทำให้แสดงถึงความจำกัดของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน.

    ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์:
    - แม้ภาพส่วนใหญ่จะถูกสร้างในลักษณะที่อยู่ในขอบเขต “fair use” แต่คาดว่าการแชร์ภาพเหล่านี้อาจทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์บางคนเริ่มออกคำสั่งลบภาพในเร็ว ๆ นี้.

    https://www.techspot.com/news/107306-people-turning-iconic-photos-art-style-studio-ghibli.html
    AI ของ OpenAI สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นศิลปะสไตล์ Studio Ghibli ที่สวยงามและแปลกใหม่ ซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องลิขสิทธิ์และข้อผิดพลาดทางเทคนิค เหตุการณ์นี้แสดงถึงศักยภาพของ AI ในการสร้างสรรค์งานศิลป์ แต่ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับความถูกต้องและผลกระทบทางกฎหมายที่ต้องพิจารณา ความเห็นจาก Hayao Miyazaki: - ผู้กำกับ Studio Ghibli อย่าง Hayao Miyazaki เคยแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับอนิเมชั่นที่สร้างจาก AI โดยกล่าวในปี 2016 ว่าการสร้างภาพเหล่านี้เป็นการ “ดูถูกชีวิต” อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นนี้เกิดขึ้นก่อนที่ AI จะพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถสร้างภาพได้ใกล้เคียงผลงานของ Ghibli อย่างมากในปัจจุบัน. ปฏิกิริยาในสังคมออนไลน์: - ผู้คนในโลกออนไลน์แสดงความทึ่งในภาพที่ AI สร้างขึ้น และมีการแชร์ภาพเหล่านี้อย่างกว้างขวาง หลายคนยังขอคำแนะนำว่าพวกเขาจะสร้างภาพเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ AI ของ OpenAI ถูกจำกัดด้วยนโยบายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ จึงไม่สามารถสร้างภาพบางประเภทได้. ข้อจำกัดและความผิดพลาดของ AI: - แม้ว่าภาพจะดูน่าทึ่ง แต่ยังพบข้อผิดพลาด เช่น การสร้างภาพที่มีมือสองข้างเหมือนกันในภาพบุคคล ทำให้แสดงถึงความจำกัดของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน. ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์: - แม้ภาพส่วนใหญ่จะถูกสร้างในลักษณะที่อยู่ในขอบเขต “fair use” แต่คาดว่าการแชร์ภาพเหล่านี้อาจทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์บางคนเริ่มออกคำสั่งลบภาพในเร็ว ๆ นี้. https://www.techspot.com/news/107306-people-turning-iconic-photos-art-style-studio-ghibli.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    People are turning iconic photos into art in the style of Studio Ghibli after ChatGPT update
    OpenAI just updated ChatGPT's image generator, and users have begun flooding social media with famous pictures reproduced in the anime style of Studio Ghibli. The results are...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง
    .
    ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้
    .
    แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย
    .
    ---------------
    ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก"
    ---------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป...
    .
    ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ
    .
    ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ
    .
    อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี)
    .
    เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย
    .
    เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้...
    .
    ------------------------
    กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง
    ------------------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551
    .
    ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ
    .
    ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล
    .
    ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่
    .
    หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664
    .
    แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน
    .
    ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค
    .
    ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง
    .
    และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี
    .
    ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด
    ---------------------------------
    แหล่งข้อมูล
    - https://www.git.or.th/g20130410.html
    - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true
    - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175?
    - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater
    - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป
    - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง . ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้ . แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย . --------------- ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก" --------------- . อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป... . ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ . ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ . อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี) . เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย . เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้... . ------------------------ กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง ------------------------ . อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551 . ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ . ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล . ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่ . หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664 . แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน . ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค . ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง . และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี . ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด --------------------------------- แหล่งข้อมูล - https://www.git.or.th/g20130410.html - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175? - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/ ------------------------------- ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่ Website : http://www.thailandvision.co Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1891 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2112 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts