• เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ
    .
    ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว
    .
    ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น
    .
    ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง
    .
    ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ
    .
    สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
    .
    นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35
    ...........
    Sondhi X
    เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ . ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว . ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น . ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง . ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ . สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ . นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35 ........... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 507 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชื่อหลุดว่อนเน็ต! ถูกดีเอสไอเรียกสอบปม “ฮั้วเลือก สว.” เป็นโหวตเตอร์นับพันราย แหล่งข่าวยันตรงเกือบ 100% พร้อมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกด้วย

    วันที่ (2 มี.ค.) ความคืบหน้าคดีสอบฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา ปี 2567 ล่าสุด มีรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อข้อมูลที่อ้างว่าเป็นรายชื่อของผู้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมเรียกสอบ ซึ่งเป็นเอกสารจำนวนกว่า 5 หน้ากระดาษมากกว่า 1,000 รายชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สมัคร สว. บรรดาโหวตเตอร์ในจังหวัดต่างๆ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท เชียงราย ตรัง ตราด นครนายก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พิจิตร เพชรบุรี ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ยะลา ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุทัยธานี และอุบลราชธานี

    แหล่งข่าวจากดีเอสไอ ระบุว่า จากตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า รายชื่อส่วนใหญ่จากเอกสารที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์นั้น ตรงกับที่พนักงานสอบสวนเตรียมเรียกมาสอบเกือบ 100% แต่ในส่วนของพนักงานสอบสวนเตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกที่ไม่ใช่เฉพาะโหวตเตอร์มาสอบด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000020319

    #MGROnline #ดีเอสไอ
    ชื่อหลุดว่อนเน็ต! ถูกดีเอสไอเรียกสอบปม “ฮั้วเลือก สว.” เป็นโหวตเตอร์นับพันราย แหล่งข่าวยันตรงเกือบ 100% พร้อมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกด้วย • วันที่ (2 มี.ค.) ความคืบหน้าคดีสอบฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา ปี 2567 ล่าสุด มีรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อข้อมูลที่อ้างว่าเป็นรายชื่อของผู้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมเรียกสอบ ซึ่งเป็นเอกสารจำนวนกว่า 5 หน้ากระดาษมากกว่า 1,000 รายชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สมัคร สว. บรรดาโหวตเตอร์ในจังหวัดต่างๆ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท เชียงราย ตรัง ตราด นครนายก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พิจิตร เพชรบุรี ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ยะลา ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุทัยธานี และอุบลราชธานี • แหล่งข่าวจากดีเอสไอ ระบุว่า จากตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า รายชื่อส่วนใหญ่จากเอกสารที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์นั้น ตรงกับที่พนักงานสอบสวนเตรียมเรียกมาสอบเกือบ 100% แต่ในส่วนของพนักงานสอบสวนเตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกที่ไม่ใช่เฉพาะโหวตเตอร์มาสอบด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000020319 • #MGROnline #ดีเอสไอ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • เช้านี้ที่อุบลราชธานี 01/03/2025

    #อุบล #เที่ยวไทย #อีสาน #ความทรงจำ
    เช้านี้ที่อุบลราชธานี 01/03/2025 #อุบล #เที่ยวไทย #อีสาน #ความทรงจำ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • โศกนาฏกรรมบัสดูงานเทศบาลพรเจริญ พลิกคว่ำทางลงเขาศาลปู่โทน เสียชีวิต 18 ศพ เจ็บ 23 ราย สูญหาย 1 คน

    เกิดอุบัติเหตุสะเทือนขวัญ ช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 03.30 น. เมื่อรถบัสสองชั้น นำคณะดูงานจากเทศบาลตำบลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ พลิกคว่ำบริเวณทางลงเขาศาลปู่โทน บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 ฝั่งขาเข้ามุ่งหน้ากบินทร์บุรี ช่วง กม. 210+500 ตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

    เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 16 ศพ และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลอีก 2 ศพ รวมเป็น 18 ศพ บาดเจ็บอีก 23 ราย และยังมีผู้สูญหาย 1 คน โดยสาเหตุเบื้องต้นคาดว่า เกิดจากลมเบรกหมด และคนขับไม่ชำนาญเส้นทาง

    🚍 เจ้าหน้าที่พบรถบัส 2 ชั้น ยี่ห้อสแกนเนีย หมายเลขทะเบียน 30-0040 บึงกาฬ พลิกคะแคงอยู่นอกแบริเออร์ ในที่เกิดอุบัติเหตุ หลังคารถถูกเปิดออก สภาพพังยับเยิน

    🔴 ผู้โดยสารกระเด็นออกจากตัวรถ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่นั่งชั้นสอง มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย

    ⚰️ มีการยืนยันรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้งหมด 18 ศพ ซึ่งประกอบด้วยชาย 2 ราย และหญิง 16 ราย

    1. น.ส.ยุภาวดี สุวรรณโคตร
    2. น.ส. ปภัสสร ทองปาน
    3. น.ส. พิรานันท์ ภิรมย์จรัลฐาวร
    4. น.ส. ทองอินทร์ จันทรอ่อน
    5. น.ส. อภิญญา บุตรวัง
    6. นางเลียว ไชยเสนา
    7. น.ส. สุจิตตรา วิเศษทรัพย์
    8. น.ส. บัวเงิน สุดาบุตร
    9. นางมะโยลี วงศ์สุภา
    10. นางสมบุญ ธิพัน
    11. นางสมหวัง พรหมพิทักษ์
    12. นางประหยัด เสียงล้ำ
    13. นางทองใบ สอนเชียงคำ
    14. น.ส.ฤานรินทร์ จ่าพบ
    15. นางราตรี ลบพันธ์ทอง
    16. นางสาวพิมพ์กานต์ พินทะเนาว์ หรือนางสาวนวลศรี พินทะเนาว์
    17. นายบุญโฮม จันทร์อ่อน
    18. นายทองใส พรมเลิศ เสียชีวิตที่ รพ.กบินทร์บุรี

    🚑 ผู้บาดเจ็บ 23 ราย
    แบ่งเป็น ชาย 9 ราย หญิง 14 ราย โดยมีอาการแตกต่างกัน บางรายมีแผลฉีกขาด ศีรษะแตก อาการปวดหลัง และจุกหน้าอก 🚨
    1. น.ส. จริญา เสนา อายุ 36 ปี
    2. นายนาวิน ชูปัญญา อายุ 50 ปี
    3. นายอดุลย์ มณทางาม อายุ 40 ปี
    4. นายประสงค์ ปัตภัย อายุ 60 ปี
    5. นายอมร เพญจันทร์ อายุ 67 ปี
    6. นายไอ่คำ แก้วกันหา อายุ 67 ปี
    7. นางดรุณี ศรีษะ อายุ 25 ปี
    8. นางทองคำ สมคำภิ อายุ 67 ปี
    9. นางบุญปั่น สมคำภิ อายุ 64 ปี
    10. นายสมควร พาพิจิตร อายุ 54 ปี
    11. นางปราณี แสนอุบล อายุ 67 ปี
    12. นางลำภู ศรีบุญเรือง อายุ 50 ปี
    13. นางประเทียน พรมโคตร อายุ 67 ปี
    14. นางทองยุ่น พลขำ อายุ 62 ปี
    15. นางเขมจิรา อยู่คำพันธ์
    16. นางอนงค์เยาว์ ศรีสุพรรณ อายุ 68 ปี
    17. นายพงษ์กร คำภูแสน อายุ 41 ปี
    18. นางบุญทัน ชาตรี อายุ 67 ปี
    19. น.ส. เครือวรรณ ฤทธิ์ดู อายุ 62 ปี
    20. นางดอกรักษ์ พรมนาค อายุ 68 ปี
    21. นางเด่น ปะโพทิง อายุ 67 ปี
    22. นายอนุพงศ์ พรมอินทร์ อายุ 49 ปี
    23. นายนาถวัฒน์ บริหาร อายุ 24 ปี

    และนางทองใบ สอนเชียงคำ อยู่ระหว่างการค้นหา

    สาเหตุเบื้องต้นของอุบัติเหตุ
    จากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่ารถบัสคันนี้เป็นคณะดูงานใน “โครงการพัฒนาศักยภาพ และศึกษาดูงานคณะกรรมการธนาคารขยะหมู่บ้าน” เดินทางจากจังหวัดบึงกาฬ ไปยังจังหวัดระยอง

    🛑 สาเหตุที่เป็นไปได้
    ✅ ลมเบรกหมด ทำให้คนขับไม่สามารถควบคุมรถได้
    ✅ ไม่ชินเส้นทาง ถนนเส้นนี้เป็นทางลงเขายาวกว่า 6 กิโลเมตร ต้องใช้ความระมัดระวังสูง
    ✅ ไม่จอดพักที่จุดพักรถ ปกติรถขนาดใหญ่ ต้องจอดเช็คเบรกที่จุดพักผางาม ก่อนลงเขา แต่รถบัสคันนี้ไม่ได้แวะพัก

    🚑 การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
    หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัย และรถพยาบาลจากหลายหน่วยงาน ได้ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
    🏥 โรงพยาบาลที่รับรักษา
    ✅ โรงพยาบาลนาดี
    ✅ โรงพยาบาลกบินทร์บุรี
    ✅ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทับลาน

    💰 ความคุ้มครองจากประกันภัย
    🚍 รถบัสคันนี้ทำประกันไว้กับ บริษัทมิตรแท้ ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
    💵 วงเงินคุ้มครอง:
    ประกันภาคสมัครใจ จ่ายสูงสุด 500,000 บาท ต่อราย วงเงินคุ้มครองรวม 10 ล้านบาท ต่อครั้ง

    ⚠️ หากยอดผู้เสียชีวิตเกิน 20 ราย จะต้องมีการพิจารณาวงเงินค่าสินไหมเพิ่มเติม

    เหตุการณ์นี้ ถือเป็นอุบัติเหตุรุนแรงที่สุดบนเส้นทางนี้ ในรอบหลายปี ซึ่งมีข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ สำหรับรถบัสที่ต้องใช้เส้นทางลงเขา

    ✅ จุดพักรถผางาม ต้องบังคับให้รถโดยสารทุกคันจอดพัก เพื่อตรวจเช็คเบรก
    ✅ การอบรมคนขับ คนขับรถโดยสาร ควรมีความคุ้นเคยกับเส้นทางก่อนเดินทาง
    ✅ การบังคับใช้กฎหมาย ควรมีมาตรการตรวจสอบความพร้อมของรถ และคนขับก่อนออกเดินทาง

    อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นโศกนาฏกรรม ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิต 18 ราย บาดเจ็บ 23 ราย และยังมีผู้สูญหาย 1 คน

    💔 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็น ในการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยบนถนน โดยเฉพาะการตรวจเช็คสภาพรถ การกำหนดจุดพักรถที่บังคับใช้จริง และการอบรมคนขับ ให้มีความชำนาญเส้นทาง

    📢 ขอให้ผู้โดยสารทุกคนเดินทางปลอดภัยเสมอ และอย่าลืมตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย ของรถโดยสารที่เดินทาง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 262115 ก.พ. 2568

    📌 #อุบัติเหตุ #รถบัสคว่ำ #เขาศาลปู่โทน #ข่าวด่วน #บึงกาฬ #ปราจีนบุรี #อุบัติเหตุทางถนน #ปลอดภัยไว้ก่อน #ข่าววันนี้
    โศกนาฏกรรมบัสดูงานเทศบาลพรเจริญ พลิกคว่ำทางลงเขาศาลปู่โทน เสียชีวิต 18 ศพ เจ็บ 23 ราย สูญหาย 1 คน เกิดอุบัติเหตุสะเทือนขวัญ ช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 03.30 น. เมื่อรถบัสสองชั้น นำคณะดูงานจากเทศบาลตำบลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ พลิกคว่ำบริเวณทางลงเขาศาลปู่โทน บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 ฝั่งขาเข้ามุ่งหน้ากบินทร์บุรี ช่วง กม. 210+500 ตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 16 ศพ และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลอีก 2 ศพ รวมเป็น 18 ศพ บาดเจ็บอีก 23 ราย และยังมีผู้สูญหาย 1 คน โดยสาเหตุเบื้องต้นคาดว่า เกิดจากลมเบรกหมด และคนขับไม่ชำนาญเส้นทาง 🚍 เจ้าหน้าที่พบรถบัส 2 ชั้น ยี่ห้อสแกนเนีย หมายเลขทะเบียน 30-0040 บึงกาฬ พลิกคะแคงอยู่นอกแบริเออร์ ในที่เกิดอุบัติเหตุ หลังคารถถูกเปิดออก สภาพพังยับเยิน 🔴 ผู้โดยสารกระเด็นออกจากตัวรถ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่นั่งชั้นสอง มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย ⚰️ มีการยืนยันรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้งหมด 18 ศพ ซึ่งประกอบด้วยชาย 2 ราย และหญิง 16 ราย 1. น.ส.ยุภาวดี สุวรรณโคตร 2. น.ส. ปภัสสร ทองปาน 3. น.ส. พิรานันท์ ภิรมย์จรัลฐาวร 4. น.ส. ทองอินทร์ จันทรอ่อน 5. น.ส. อภิญญา บุตรวัง 6. นางเลียว ไชยเสนา 7. น.ส. สุจิตตรา วิเศษทรัพย์ 8. น.ส. บัวเงิน สุดาบุตร 9. นางมะโยลี วงศ์สุภา 10. นางสมบุญ ธิพัน 11. นางสมหวัง พรหมพิทักษ์ 12. นางประหยัด เสียงล้ำ 13. นางทองใบ สอนเชียงคำ 14. น.ส.ฤานรินทร์ จ่าพบ 15. นางราตรี ลบพันธ์ทอง 16. นางสาวพิมพ์กานต์ พินทะเนาว์ หรือนางสาวนวลศรี พินทะเนาว์ 17. นายบุญโฮม จันทร์อ่อน 18. นายทองใส พรมเลิศ เสียชีวิตที่ รพ.กบินทร์บุรี 🚑 ผู้บาดเจ็บ 23 ราย แบ่งเป็น ชาย 9 ราย หญิง 14 ราย โดยมีอาการแตกต่างกัน บางรายมีแผลฉีกขาด ศีรษะแตก อาการปวดหลัง และจุกหน้าอก 🚨 1. น.ส. จริญา เสนา อายุ 36 ปี 2. นายนาวิน ชูปัญญา อายุ 50 ปี 3. นายอดุลย์ มณทางาม อายุ 40 ปี 4. นายประสงค์ ปัตภัย อายุ 60 ปี 5. นายอมร เพญจันทร์ อายุ 67 ปี 6. นายไอ่คำ แก้วกันหา อายุ 67 ปี 7. นางดรุณี ศรีษะ อายุ 25 ปี 8. นางทองคำ สมคำภิ อายุ 67 ปี 9. นางบุญปั่น สมคำภิ อายุ 64 ปี 10. นายสมควร พาพิจิตร อายุ 54 ปี 11. นางปราณี แสนอุบล อายุ 67 ปี 12. นางลำภู ศรีบุญเรือง อายุ 50 ปี 13. นางประเทียน พรมโคตร อายุ 67 ปี 14. นางทองยุ่น พลขำ อายุ 62 ปี 15. นางเขมจิรา อยู่คำพันธ์ 16. นางอนงค์เยาว์ ศรีสุพรรณ อายุ 68 ปี 17. นายพงษ์กร คำภูแสน อายุ 41 ปี 18. นางบุญทัน ชาตรี อายุ 67 ปี 19. น.ส. เครือวรรณ ฤทธิ์ดู อายุ 62 ปี 20. นางดอกรักษ์ พรมนาค อายุ 68 ปี 21. นางเด่น ปะโพทิง อายุ 67 ปี 22. นายอนุพงศ์ พรมอินทร์ อายุ 49 ปี 23. นายนาถวัฒน์ บริหาร อายุ 24 ปี และนางทองใบ สอนเชียงคำ อยู่ระหว่างการค้นหา สาเหตุเบื้องต้นของอุบัติเหตุ จากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่ารถบัสคันนี้เป็นคณะดูงานใน “โครงการพัฒนาศักยภาพ และศึกษาดูงานคณะกรรมการธนาคารขยะหมู่บ้าน” เดินทางจากจังหวัดบึงกาฬ ไปยังจังหวัดระยอง 🛑 สาเหตุที่เป็นไปได้ ✅ ลมเบรกหมด ทำให้คนขับไม่สามารถควบคุมรถได้ ✅ ไม่ชินเส้นทาง ถนนเส้นนี้เป็นทางลงเขายาวกว่า 6 กิโลเมตร ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ✅ ไม่จอดพักที่จุดพักรถ ปกติรถขนาดใหญ่ ต้องจอดเช็คเบรกที่จุดพักผางาม ก่อนลงเขา แต่รถบัสคันนี้ไม่ได้แวะพัก 🚑 การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัย และรถพยาบาลจากหลายหน่วยงาน ได้ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 🏥 โรงพยาบาลที่รับรักษา ✅ โรงพยาบาลนาดี ✅ โรงพยาบาลกบินทร์บุรี ✅ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทับลาน 💰 ความคุ้มครองจากประกันภัย 🚍 รถบัสคันนี้ทำประกันไว้กับ บริษัทมิตรแท้ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) 💵 วงเงินคุ้มครอง: ประกันภาคสมัครใจ จ่ายสูงสุด 500,000 บาท ต่อราย วงเงินคุ้มครองรวม 10 ล้านบาท ต่อครั้ง ⚠️ หากยอดผู้เสียชีวิตเกิน 20 ราย จะต้องมีการพิจารณาวงเงินค่าสินไหมเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้ ถือเป็นอุบัติเหตุรุนแรงที่สุดบนเส้นทางนี้ ในรอบหลายปี ซึ่งมีข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ สำหรับรถบัสที่ต้องใช้เส้นทางลงเขา ✅ จุดพักรถผางาม ต้องบังคับให้รถโดยสารทุกคันจอดพัก เพื่อตรวจเช็คเบรก ✅ การอบรมคนขับ คนขับรถโดยสาร ควรมีความคุ้นเคยกับเส้นทางก่อนเดินทาง ✅ การบังคับใช้กฎหมาย ควรมีมาตรการตรวจสอบความพร้อมของรถ และคนขับก่อนออกเดินทาง อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นโศกนาฏกรรม ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิต 18 ราย บาดเจ็บ 23 ราย และยังมีผู้สูญหาย 1 คน 💔 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็น ในการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยบนถนน โดยเฉพาะการตรวจเช็คสภาพรถ การกำหนดจุดพักรถที่บังคับใช้จริง และการอบรมคนขับ ให้มีความชำนาญเส้นทาง 📢 ขอให้ผู้โดยสารทุกคนเดินทางปลอดภัยเสมอ และอย่าลืมตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย ของรถโดยสารที่เดินทาง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 262115 ก.พ. 2568 📌 #อุบัติเหตุ #รถบัสคว่ำ #เขาศาลปู่โทน #ข่าวด่วน #บึงกาฬ #ปราจีนบุรี #อุบัติเหตุทางถนน #ปลอดภัยไว้ก่อน #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย

    🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ

    ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹
    "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง

    เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น

    🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่"

    📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ สาวกาฬสินธุ์
    ✔ รักสองแผ่นดิน
    ✔ ขอแล้วไม่แต่ง

    ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

    🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535
    📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ

    💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน

    🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก

    👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ

    🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย

    📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน

    🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน"

    🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน

    🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้

    🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง

    📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ รักสองแผ่นดิน

    🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่

    🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568

    🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย 🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น 🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่" 📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ สาวกาฬสินธุ์ ✔ รักสองแผ่นดิน ✔ ขอแล้วไม่แต่ง ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ 🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535 📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน 🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก 👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ 🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย 📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน 🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน" 🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน 🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้ 🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง 📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ รักสองแผ่นดิน 🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ 🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568 🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน

    “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่

    - นครราชสีมา
    - ชัยภูมิ
    - บุรีรัมย์
    - สุรินทร์
    - ศรีสะเกษ
    - อุบลราชธานี
    - อำนาจเจริญ
    - ยโสธร

    กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน

    ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร?
    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

    1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง
    เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย”

    2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย
    หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
    การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่

    ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน

    สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง

    ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ

    ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน

    ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย

    แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ
    เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

    📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง

    📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร

    📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่

    🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน
    🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ
    🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย

    ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้
    🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน
    ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้

    🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช
    เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม

    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568

    #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ - นครราชสีมา - ชัยภูมิ - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีสะเกษ - อุบลราชธานี - อำนาจเจริญ - ยโสธร กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร? ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย” 2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" 📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ 📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง 📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร 📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่ 🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน 🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ 🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้ 🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้ 🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568 #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้อง “สนธิ” ฟ้องหมิ่น “ทนายจุ๊กกรู” ที่ประสงค์จะขอไกล่เกลี่ย แต่ไม่มาศาล อ้างติดภารกิจศาลอื่น จึงเลื่อนนัดไปไต่สวนมูลฟ้อง 16 มิ.ย.นี้ ด้านทนายความ “สนธิ” ยืนยันในชั้นนี้ไม่ไกล่เกลี่ยแน่นอน

    ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (24 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณา 812 ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำ อ.3618/2567 ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายงานสนธิทอล์ค เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเดชา กิตต์วิทยานันท์ (ทนายจุ๊กกรู) หรือ ทนายคลายทุกข์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และมาตรา 332

    คดีนี้โจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2567 ว่า โจทก์ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมากว่า 50 ปี ยึดมั่นในหลักวิชาชีพและจรรยาบรรณของสื่อมวลชนมาโดยตลอด ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันมาทุกยุคทุกสมัย รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นหลัก เกี่ยวกับคดีนี้ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ (อ้อย) ได้มาพบกับโจทก์และทีมงานข่าวบ้านพระอาทิตย์ เพื่อร้องเรียนพฤติกรรมของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ว่า ฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท อีกทั้งเคยเป็นทนายความที่ปรึกษากฎหมายให้กับน.ส.จตุพร ดังกล่าว จนต่อมานายษิทราถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000018090

    #MGROnline #สนธิ #ฟ้องหมิ่น #ทนายจุ๊กกรู
    ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้อง “สนธิ” ฟ้องหมิ่น “ทนายจุ๊กกรู” ที่ประสงค์จะขอไกล่เกลี่ย แต่ไม่มาศาล อ้างติดภารกิจศาลอื่น จึงเลื่อนนัดไปไต่สวนมูลฟ้อง 16 มิ.ย.นี้ ด้านทนายความ “สนธิ” ยืนยันในชั้นนี้ไม่ไกล่เกลี่ยแน่นอน • ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (24 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณา 812 ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำ อ.3618/2567 ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายงานสนธิทอล์ค เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเดชา กิตต์วิทยานันท์ (ทนายจุ๊กกรู) หรือ ทนายคลายทุกข์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และมาตรา 332 • คดีนี้โจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2567 ว่า โจทก์ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมากว่า 50 ปี ยึดมั่นในหลักวิชาชีพและจรรยาบรรณของสื่อมวลชนมาโดยตลอด ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันมาทุกยุคทุกสมัย รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นหลัก เกี่ยวกับคดีนี้ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ (อ้อย) ได้มาพบกับโจทก์และทีมงานข่าวบ้านพระอาทิตย์ เพื่อร้องเรียนพฤติกรรมของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ว่า ฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท อีกทั้งเคยเป็นทนายความที่ปรึกษากฎหมายให้กับน.ส.จตุพร ดังกล่าว จนต่อมานายษิทราถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000018090 • #MGROnline #สนธิ #ฟ้องหมิ่น #ทนายจุ๊กกรู
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว

  • #วัดหนองป่าพง
    #อุบลราชธานี

    วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ)

    คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา

    หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต"

    หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483)

    หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา

    กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง”

    จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น

    ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม

    รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ

    #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    #วัดหนองป่าพง #อุบลราชธานี วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ) คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483) หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง” จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 691 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น

    📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️

    การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️

    🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568
    การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่

    ✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร
    - มีสัญชาติไทย 🇹🇭
    - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ
    - ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥
    - ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน
    - ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓

    🚨 ข้อกำหนดพิเศษ
    - ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨
    - บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน

    📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
    การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป

    🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร
    ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน
    ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
    ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง
    ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว
    ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี
    ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี
    ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล

    📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
    🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท

    🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ

    🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ

    📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568
    การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่
    📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน
    - ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน
    - ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน
    - ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน
    - ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ!

    📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน
    -เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร

    🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน
    เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร

    📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568
    🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์:
    ➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com
    📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง

    🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร
    ✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸
    ✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔
    ✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠
    ✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓
    ✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง
    ✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖

    📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB

    💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ
    - ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท
    - ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท
    📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้

    📍 ช่องทางชำระเงิน:
    - เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦
    - แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲
    - ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย
    🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น!

    📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ
    📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่
    📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com

    🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน!
    🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน
    📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า
    🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย

    🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง
    ✅ ท่องศัพท์
    ✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า
    ✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ

    🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ
    🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง

    🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ
    😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ

    🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀

    📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่
    🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568

    📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปท
    สมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น 📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️ การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️ 🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568 การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ ✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร - มีสัญชาติไทย 🇹🇭 - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ - ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥 - ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน - ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓 🚨 ข้อกำหนดพิเศษ - ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨ - บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน 📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป 🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล 📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร 🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท 🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ 🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ 📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568 การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่ 📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน - ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน - ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ! 📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน -เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร 🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร 📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568 🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์: ➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com 📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง 🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร ✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸 ✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔 ✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠 ✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓 ✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง ✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖 📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB 💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ - ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท - ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท 📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้ 📍 ช่องทางชำระเงิน: - เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦 - แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲 - ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย 🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น! 📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ 📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่ 📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com 🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน! 🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน 📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า 🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย 🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง ✅ ท่องศัพท์ ✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า ✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ 🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ 🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง 🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ 😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ 🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀 📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่ 🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568 📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 899 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงพ่ออุปัชฌาย์บัว รุ่น1 วัดบ้านนาซาว ปี2530
    เหรียญหลวงพ่ออุปัชฌาย์บัว รุ่น1 วัดบ้านนาซาว หรือ วัดสระแก้วนาซาว อำเภอเขื่องใน อุบลราชธานี ปี2530 //พระสถาพสวยมาก​ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรี ปราศจากภยันตราย เมตตามหานิยม เสริมบารมีอำนาจ มั่งมี ร่ำรวย เงินทอง. >>

    ** วัดบ้านนาซาว หรือ วัดสระแก้วนาซาว ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ โดยคนที่อพยพมาจากอำเภอราศีไศลและอำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาวบ้านมาตั้งหมู่บ้านจึงได้สร้างวัดบ้านนาซาวเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมีโบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ กุฏิ จำนวนทั้งสิ้น ๒ หลัง กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน >>

    ** พระสถาพสวยมาก​ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131

    เหรียญหลวงพ่ออุปัชฌาย์บัว รุ่น1 วัดบ้านนาซาว ปี2530 เหรียญหลวงพ่ออุปัชฌาย์บัว รุ่น1 วัดบ้านนาซาว หรือ วัดสระแก้วนาซาว อำเภอเขื่องใน อุบลราชธานี ปี2530 //พระสถาพสวยมาก​ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรี ปราศจากภยันตราย เมตตามหานิยม เสริมบารมีอำนาจ มั่งมี ร่ำรวย เงินทอง. >> ** วัดบ้านนาซาว หรือ วัดสระแก้วนาซาว ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ โดยคนที่อพยพมาจากอำเภอราศีไศลและอำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาวบ้านมาตั้งหมู่บ้านจึงได้สร้างวัดบ้านนาซาวเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมีโบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ กุฏิ จำนวนทั้งสิ้น ๒ หลัง กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน >> ** พระสถาพสวยมาก​ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สามพันโบก" อัศจรรย์แกรนด์แคนยอน แห่งลำน้ำโขง เที่ยวอุบลราชธานี สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌿🏞

    ✨ "สามพันโบก" คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดจากการกัดเซาะ ของกระแสน้ำในแม่น้ำโขง จนเกิดเป็นแอ่งหินน้อยใหญ่จำนวนมาก ซึ่งมีมากถึง 3,000 แอ่ง 🌊 จึงเป็นที่มาของชื่อ "สามพันโบก" โดยคำว่า "โบก" ในภาษาลาว หมายถึง "แอ่ง" หรือ "บ่อน้ำลึก"

    📍 ที่ตั้ง บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
    📏 พื้นที่ ครอบคลุมหลายกิโลเมตร ใต้แม่น้ำโขง
    🏜 ฉายา "แกรนด์แคนยอนแห่งลำน้ำโขง"

    ความสวยงามของสามพันโบ กจะปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูแล้ง เดือนธันวาคม-พฤษภาคม เมื่อระดับน้ำลดลง เผยให้เห็นหินรูปร่างแปลกตา คล้ายกับ "หาดชมดาว" ที่อำเภอนาตาล 🌄

    ตำนานและเรื่องเล่าของสามพันโบก
    💠 ตำนานหินหัวสุนัข
    ณ ทางเข้าไปสู่สามพันโบก มีหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหัวสุนัข 🐶 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่ว่า...

    "ในอดีต มีเจ้าเมืองผู้หนึ่งที่เรืองอำนาจ ได้ส่งเสนาเข้ามาสำรวจสามพันโบก และพบขุมทรัพย์ล้ำค่าในบริเวณนี้ เจ้าเมืองจึงสั่งให้สุนัขตัวหนึ่ง เฝ้าทางเข้าไว้ รอจนกว่าเขาจะออกมา แต่ด้วยความโลภ เจ้าเมืองกลับออกไปอีกทาง ปล่อยให้สุนัขเฝ้ารอจนตาย และกลายเป็นหินในที่สุด"

    💧 ตำนานพญานาคขุดลำน้ำ
    อีกเรื่องเล่าหนึ่งเกี่ยวกับ พญานาค 🐉 ที่ต้องการสร้างเส้นทางน้ำใหม่ จึงขุดลำน้ำขึ้นมา และให้สุนัขตัวหนึ่งเฝ้าทางเข้า จนในที่สุดสุนัขก็ตายลง กลายเป็นก้อนหิน ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

    ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวสามพันโบก
    🗓 ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ธันวาคม - พฤษภาคม
    ⛅ สภาพอากาศ อากาศเย็นสบาย ไม่มีฝน ทำให้สามารถเดินสำรวจแก่งหิน ได้เต็มที่

    📸 ช่วงเวลาถ่ายรูปสวย
    เช้า 6.00 - 8.00 น. แสงอ่อน ๆ สาดกระทบหิน
    เย็น 16.00 - 18.00 น. พระอาทิตย์ตกสวยงาม

    จุดเด่น และไฮไลท์ของสามพันโบก
    🌊 "แอ่งน้ำมหัศจรรย์"
    หินที่นี่ถูกน้ำกัดเซาะ เป็นโพรงรูปร่างแปลกตา เช่น รูปหัวใจ 🧡 รูปเต่า 🐢 หรือแม้แต่รูปร่างคล้ายสัตว์ในจินตนาการ

    🦴 "หินหัวสุนัข"
    แลนด์มาร์คทางเข้าของสามพันโบก ที่ไม่ควรพลาด

    🚤 "ล่องเรือชมโบก"
    นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือของชาวบ้าน เพื่อล่องไปชมวิวแม่น้ำโขงสุดอลังการ

    🌄 "พระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่แม่น้ำโขง"
    จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน

    สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
    🏖 หาดสลึง
    หาดทรายขาวละเอียด ยาวกว่า 860 เมตร จุดพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นจุดขึ้นเรือไปสามพันโบก

    ⛵ ปากบ้อง
    จุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุดในประเทศไทย กว้างเพียง 56 เมตร

    🗿 หินหัวพะเนียง
    หินรูปทรงแปลกตา เกิดจากกระแสน้ำพัดผ่านหินทราย

    🏜 หาดหงส์
    "มินิซาฮาร่า" ของอุบลราชธานี ทะเลทรายกลางลำน้ำโขง

    🎨 หาดหินสี
    หินสีสวยงาม มันวาวเป็นเอกลักษณ์

    การเดินทางไปสามพันโบก
    🚗 โดยรถยนต์
    จากอุบลราชธานี → ใช้ทางหลวงหมายเลข 2050 → ผ่านอำเภอตระการพืชผล → อำเภอโพธิ์ไทร → ใช้ทางหลวงชนบท อบ. 4090 → ถึงสามพันโบก ระยะทาง 118 กม.

    🚕 รถสองแถวท้องถิ่น
    บริเวณทางเข้า มีรถสองแถวให้บริการ พาลงไปชมสามพันโบก ราคา 200 บาท

    🚶‍♂️ เดินเท้า
    ระยะทางจากจุดจอดรถ ไปยังสามพันโบก ประมาณ 250 เมตร

    ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว
    ✅ ควรเตรียมตัวให้พร้อม หมวก, ครีมกันแดด, น้ำดื่ม
    ✅ ใส่รองเท้าผ้าใบ เดินง่าย ปลอดภัย
    ✅ รักษาธรรมชาติ ไม่ขีดเขียนหิน ไม่ทิ้งขยะ
    ✅ ใช้บริการไกด์ท้องถิ่น ช่วยสนับสนุนชุมชน

    FAQs คำถามที่พบบ่อย
    1. ไปสามพันโบกต้องเสียค่าเข้าไหม?
    💰 ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่ารถสองแถว 200 บาท

    2. สามพันโบกเปิดให้เข้าชมช่วงไหน?
    📅 เปิดตลอดทั้งปี แต่แนะนำให้ไปช่วง ธันวาคม - พฤษภาคม

    3. ควรไปเที่ยวกี่โมง?
    🌄 เช้าและเย็น จะดีที่สุด อากาศเย็นสบาย แสงสวย

    4. สามพันโบกเหมาะกับใคร?
    👨‍👩‍👧‍👦 เหมาะสำหรับทุกคนที่รักธรรมชาติ และการผจญภัย

    สามพันโบก เป็นสถานที่มหัศจรรย์ ที่เกิดจากธรรมชาติ ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌍 หากกำลังมองหาที่เที่ยวสุด Unseen ที่ให้ทั้งความสนุก ประสบการณ์ และความตื่นตาตื่นใจ สามพันโบกคือคำตอบ!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 10212 ก.พ. 2568

    📌 #สามพันโบก #เที่ยวอุบล #UnseenThailand #ลำน้ำโขง 🌊✨
    "สามพันโบก" อัศจรรย์แกรนด์แคนยอน แห่งลำน้ำโขง เที่ยวอุบลราชธานี สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌿🏞 ✨ "สามพันโบก" คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดจากการกัดเซาะ ของกระแสน้ำในแม่น้ำโขง จนเกิดเป็นแอ่งหินน้อยใหญ่จำนวนมาก ซึ่งมีมากถึง 3,000 แอ่ง 🌊 จึงเป็นที่มาของชื่อ "สามพันโบก" โดยคำว่า "โบก" ในภาษาลาว หมายถึง "แอ่ง" หรือ "บ่อน้ำลึก" 📍 ที่ตั้ง บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี 📏 พื้นที่ ครอบคลุมหลายกิโลเมตร ใต้แม่น้ำโขง 🏜 ฉายา "แกรนด์แคนยอนแห่งลำน้ำโขง" ความสวยงามของสามพันโบ กจะปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูแล้ง เดือนธันวาคม-พฤษภาคม เมื่อระดับน้ำลดลง เผยให้เห็นหินรูปร่างแปลกตา คล้ายกับ "หาดชมดาว" ที่อำเภอนาตาล 🌄 ตำนานและเรื่องเล่าของสามพันโบก 💠 ตำนานหินหัวสุนัข ณ ทางเข้าไปสู่สามพันโบก มีหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหัวสุนัข 🐶 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่ว่า... "ในอดีต มีเจ้าเมืองผู้หนึ่งที่เรืองอำนาจ ได้ส่งเสนาเข้ามาสำรวจสามพันโบก และพบขุมทรัพย์ล้ำค่าในบริเวณนี้ เจ้าเมืองจึงสั่งให้สุนัขตัวหนึ่ง เฝ้าทางเข้าไว้ รอจนกว่าเขาจะออกมา แต่ด้วยความโลภ เจ้าเมืองกลับออกไปอีกทาง ปล่อยให้สุนัขเฝ้ารอจนตาย และกลายเป็นหินในที่สุด" 💧 ตำนานพญานาคขุดลำน้ำ อีกเรื่องเล่าหนึ่งเกี่ยวกับ พญานาค 🐉 ที่ต้องการสร้างเส้นทางน้ำใหม่ จึงขุดลำน้ำขึ้นมา และให้สุนัขตัวหนึ่งเฝ้าทางเข้า จนในที่สุดสุนัขก็ตายลง กลายเป็นก้อนหิน ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวสามพันโบก 🗓 ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ธันวาคม - พฤษภาคม ⛅ สภาพอากาศ อากาศเย็นสบาย ไม่มีฝน ทำให้สามารถเดินสำรวจแก่งหิน ได้เต็มที่ 📸 ช่วงเวลาถ่ายรูปสวย เช้า 6.00 - 8.00 น. แสงอ่อน ๆ สาดกระทบหิน เย็น 16.00 - 18.00 น. พระอาทิตย์ตกสวยงาม จุดเด่น และไฮไลท์ของสามพันโบก 🌊 "แอ่งน้ำมหัศจรรย์" หินที่นี่ถูกน้ำกัดเซาะ เป็นโพรงรูปร่างแปลกตา เช่น รูปหัวใจ 🧡 รูปเต่า 🐢 หรือแม้แต่รูปร่างคล้ายสัตว์ในจินตนาการ 🦴 "หินหัวสุนัข" แลนด์มาร์คทางเข้าของสามพันโบก ที่ไม่ควรพลาด 🚤 "ล่องเรือชมโบก" นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือของชาวบ้าน เพื่อล่องไปชมวิวแม่น้ำโขงสุดอลังการ 🌄 "พระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่แม่น้ำโขง" จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง 🏖 หาดสลึง หาดทรายขาวละเอียด ยาวกว่า 860 เมตร จุดพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นจุดขึ้นเรือไปสามพันโบก ⛵ ปากบ้อง จุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุดในประเทศไทย กว้างเพียง 56 เมตร 🗿 หินหัวพะเนียง หินรูปทรงแปลกตา เกิดจากกระแสน้ำพัดผ่านหินทราย 🏜 หาดหงส์ "มินิซาฮาร่า" ของอุบลราชธานี ทะเลทรายกลางลำน้ำโขง 🎨 หาดหินสี หินสีสวยงาม มันวาวเป็นเอกลักษณ์ การเดินทางไปสามพันโบก 🚗 โดยรถยนต์ จากอุบลราชธานี → ใช้ทางหลวงหมายเลข 2050 → ผ่านอำเภอตระการพืชผล → อำเภอโพธิ์ไทร → ใช้ทางหลวงชนบท อบ. 4090 → ถึงสามพันโบก ระยะทาง 118 กม. 🚕 รถสองแถวท้องถิ่น บริเวณทางเข้า มีรถสองแถวให้บริการ พาลงไปชมสามพันโบก ราคา 200 บาท 🚶‍♂️ เดินเท้า ระยะทางจากจุดจอดรถ ไปยังสามพันโบก ประมาณ 250 เมตร ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว ✅ ควรเตรียมตัวให้พร้อม หมวก, ครีมกันแดด, น้ำดื่ม ✅ ใส่รองเท้าผ้าใบ เดินง่าย ปลอดภัย ✅ รักษาธรรมชาติ ไม่ขีดเขียนหิน ไม่ทิ้งขยะ ✅ ใช้บริการไกด์ท้องถิ่น ช่วยสนับสนุนชุมชน FAQs คำถามที่พบบ่อย 1. ไปสามพันโบกต้องเสียค่าเข้าไหม? 💰 ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่ารถสองแถว 200 บาท 2. สามพันโบกเปิดให้เข้าชมช่วงไหน? 📅 เปิดตลอดทั้งปี แต่แนะนำให้ไปช่วง ธันวาคม - พฤษภาคม 3. ควรไปเที่ยวกี่โมง? 🌄 เช้าและเย็น จะดีที่สุด อากาศเย็นสบาย แสงสวย 4. สามพันโบกเหมาะกับใคร? 👨‍👩‍👧‍👦 เหมาะสำหรับทุกคนที่รักธรรมชาติ และการผจญภัย สามพันโบก เป็นสถานที่มหัศจรรย์ ที่เกิดจากธรรมชาติ ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌍 หากกำลังมองหาที่เที่ยวสุด Unseen ที่ให้ทั้งความสนุก ประสบการณ์ และความตื่นตาตื่นใจ สามพันโบกคือคำตอบ! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 10212 ก.พ. 2568 📌 #สามพันโบก #เที่ยวอุบล #UnseenThailand #ลำน้ำโขง 🌊✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 510 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงปู่แหวนหลัง ภปร.ใหญ่ วัดดอยแม่ปั๋ง ปี2521
    เหรียญหลวงปู่แหวนหลัง ภปร.ใหญ่ เนื้อกะไหล่ทอง วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ปี2521 //เนื้อกะไหล่ทองนานๆจะเจอ หายากมาก สร้างน้อย // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเป็นเลิศในเรื่องเมตตามหานิยม ค้าขายเจริญรุ่งเรือง โภคทรัพย์ จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย โชคลาภ เรียกทรัพย์หนุนดวง อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า แคล้วคลาดการเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย ปราศจากภยันตรายต่างๆ >>

    ** หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ในช่วงก่อนปี 2520 เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรอาจารย์อ้วนซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้นำหลวงปู่แหวนไปฝากกับ พระอาจารย์สิงห์ ขนตฺยาคโร ศิษย์เอกสำคัญสูงสุดองค์หนึ่งของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์เอกทางวิปัสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงมากที่วัดบ้านสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี ขณะที่ท่านเดินฝ่าเปลวแดดมาหาพระอาจารย์สิงห์ อาจารย์สิงห์ได้เห็นนิมิตรปรากฏที่สามเณรแหวน เป็นแสงโอภาสออกจากร่างเยี่ยงผู้มีบุญญาธิการ อาจารย์สิงห์ล่วงรู้ด้วยอำนาจญาณโดยทันทีว่า สามเณรน้อยผู้นี้เป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิด จึงได้ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น ถือว่าเป็นพระสุปฏิปันโณรูปหนึ่ง ที่มีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส จนกระทั่งถึงปี 2528 อันเป็นปีที่ท่านมรณภาพท่าน มีอายุยืนยาวถึง 98 ปี เมื่อมรณภาพแล้วกระดูกของท่านกลายเป็นพระธาตุ บางเม็ดขาวใสคล้ายแก้วเลยครับ หลวงปู่แหวน ท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณรจนกระทั่งเป็นพระไม่เคยสึกเลย >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131

    เหรียญหลวงปู่แหวนหลัง ภปร.ใหญ่ วัดดอยแม่ปั๋ง ปี2521 เหรียญหลวงปู่แหวนหลัง ภปร.ใหญ่ เนื้อกะไหล่ทอง วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ปี2521 //เนื้อกะไหล่ทองนานๆจะเจอ หายากมาก สร้างน้อย // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเป็นเลิศในเรื่องเมตตามหานิยม ค้าขายเจริญรุ่งเรือง โภคทรัพย์ จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย โชคลาภ เรียกทรัพย์หนุนดวง อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า แคล้วคลาดการเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย ปราศจากภยันตรายต่างๆ >> ** หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ในช่วงก่อนปี 2520 เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรอาจารย์อ้วนซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้นำหลวงปู่แหวนไปฝากกับ พระอาจารย์สิงห์ ขนตฺยาคโร ศิษย์เอกสำคัญสูงสุดองค์หนึ่งของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์เอกทางวิปัสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงมากที่วัดบ้านสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี ขณะที่ท่านเดินฝ่าเปลวแดดมาหาพระอาจารย์สิงห์ อาจารย์สิงห์ได้เห็นนิมิตรปรากฏที่สามเณรแหวน เป็นแสงโอภาสออกจากร่างเยี่ยงผู้มีบุญญาธิการ อาจารย์สิงห์ล่วงรู้ด้วยอำนาจญาณโดยทันทีว่า สามเณรน้อยผู้นี้เป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิด จึงได้ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น ถือว่าเป็นพระสุปฏิปันโณรูปหนึ่ง ที่มีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส จนกระทั่งถึงปี 2528 อันเป็นปีที่ท่านมรณภาพท่าน มีอายุยืนยาวถึง 98 ปี เมื่อมรณภาพแล้วกระดูกของท่านกลายเป็นพระธาตุ บางเม็ดขาวใสคล้ายแก้วเลยครับ หลวงปู่แหวน ท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณรจนกระทั่งเป็นพระไม่เคยสึกเลย >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระรอดหลัง ภปร. วัดมหาวัน จ.ลำพูน ปี2549

    พระรอดหลัง ภปร.( ยิงโค้ดเลข ๙ และดวงตราสัญลักษณ์ด้วยเลเซอร์ที่ด้านหลัง ) วัดมหาวัน จ.ลำพูน ปี2549 //พระดีพิธีใหญ่ เฉลิมพระเกียรติ ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณแคล้วคลาด ปราศจากภัยอันตราย และความวิบัติต่างๆ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้ลาภผล และคงกระพันชาตรี เสริมสิริมงคล เสริมดวงชะตา กระทำการสิ่งใดสำเร็จทุกประการ >>

    ** พระรอดหลัง ภปร. วัดมหาวัน จ.ลำพูน ปี2549 มวลสารศักดิ์สิทธิ์จากวัดต้นกำเนิด ทั้ง 5 วัด และผงอิทธิเจ ปัตทะมัง จากเจ้าประคุณสมเด็จ

    ** รายนามพระเกจิที่อธิษฐานจิต
    1. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กทม.
    2. สมเด็จพระมหาธีรจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม กทม.
    3. สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) วัดเทพศิรินทร์ กทม.
    4. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) วัดสัมพันธวงศาราม กทม.
    5. สมเด็จมหารัชมัคลาจารย์ (ช่วง วรปุณฺโณ) วัดปากน้ำ กทม.
    6. หลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา
    7. หลวงพ่อรวย วัดตะโก อยุธยา
    8. หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว อยุธยา
    9. หลวงพ่อพูล วัดบ้านแพน อยุธยา
    10. หลวงพ่อเจือ วัดกลางบางแก้ว นครปฐม
    11. หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง เพชรบุรี
    12. หลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน นนทบุรี
    13. หลวงพ่อพูลทรัพย์ วัดอ่างศิลา ชลบุรี
    14. หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูน อยุธยา
    15. หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม อยุธยา
    16. หลวงพ่อทอง วัดพระธาตุจอมทอง เชียงใหม่
    17. หลวงพ่อเนื่อง วัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
    18. หลวงพ่อทองสืบ วัดอินทรวิหาร กทม.
    19. หลวงปู่แหวน วัดมหาธาตุ กทม.
    20. หลวงพ่อธงชัย วัดไตรมิตร กทม.
    21. หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย นนทบุรี
    22. หลวงพ่อเก๋ วัดปากน้ำ ปทุมธานี
    23. หลวงพ่อทองใบ วัดสายไหม ปทุมธานี
    24. หลวงพ่อทองกลึง วัดเจดีย์หอย ปทุมธานี
    25. หลวงพ่อวิเชียร วัดมูลจินดา ปทุมธานี
    26.. หลวงพ่อทองหล่อ วัดคันลัด สมุทรปราการ
    27. หลวงพ่อสมโภชน์ วัดแค สมุทรปราการ
    28. หลวงพ่อจรัญ วัดบางพลีใหญ่ใน สมุทรปราการ
    29. หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ อยุธยา
    30. หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก อยุธยา
    31. หลวงพ่อสงวน วัดเสาธงทอง ลพบุรี
    32. หลวงพ่อสมพร วัดป่าธรรมโสภณ ลพบุรี
    33. หลวงพ่อป่วน วัดบรรหารแจ่มใส สุพรรณบุรี
    34. หลวงพ่อสอิ้ง วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
    35. หลวงพ่อสุนทร วัดเพชรสมุทร สมุทรสงคราม
    36. หลวงพ่ออิฐ วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    37. หลวงพ่อแดง วัดอินทาราม สมุทรสงคราม
    38. หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก สมุทรสงคราม
    39. หลวงพ่อขาว วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา
    40. หลวงพ่อสมศักดิ์ วัดโสธร ฉะเชิงเทรา
    41. หลวงพ่อสมชาย วัดโพรงอากาศ ฉะเชิงเทรา
    42. หลวงพ่อฉิ้น เมืองยะลา
    43. หลวงพ่อกลัง เขาอ้อ
    44. หลวงพ่อพรหม วัดบ้านสวน พัทลุง
    45. หลวงพ่อจ่าง วัดน้ำรอบ สุราษฏร์ธานี
    46. หลวงพ่อบุญศรี วัดนาคาราม ภูเก็ต
    47. หลวงพ่อเสนอ วัดตะโปทาราม ระนอง
    48. หลวงพ่อห่วง วัดดอนกาหลง สตูล
    49. หลวงพ่อนวน วัดประดิษฐานราม นครศรีธรรมราช
    50. หลวงพ่อผัน วัดทรายขาว สงขลา
    51. หลวงพ่ออุทธีร์ วัดเวฬุวัน ร้อยเอ็ด
    52. หลวงพ่อเที่ยง วัดพระบาทเขากระโพง บุรีรัมย์
    53. หลวงพ่อทองจันทร์ วัดคำแคน กาฬสิทธิ์
    54. หลวงพ่อสมเกียรติ วัดมหาวนาราม อุบลราชธานี
    55. หลวงพ่อไพรินทร์ วัดพระศรีมหาธาตุ พิษณุโลก
    56. หลวงพ่อแขก วัดอรัญญิก พิษณุโลก
    57. หลวงพ่อธงชั วัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่
    58. หลวงพ่อสมพงศ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว นครปฐม
    59. หลวงพ่อศรี วัดหน้าพระลาน สระบุรี
    60. หลวงพ่อบุญธรรม วัดตะเคียน อ่างทอง
    61. หลวงพ่อทอด วัดหนองสุ่ม สิ่งห์บุรี
    62. หลวงพ่อประเทือง วัดบางกระเบา ปราจีนบุรี
    63. หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม นครปฐม
    64. หลวงพ่อแก่น วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา
    65. หลวงพ่อเกตุ วัดอุดมธานี นครนายก
    66. พระครูอนุกูลพิศาลกิจ วัดบางพระ นครปฐม
    67. พระครูเฉลียว วัดมหาธาตุ กทม.
    68. พระครูประดิษฐ์นวกิจ วัดท่าตะคร้อ กาญจนบุรี
    69. พระครูภาวนาวรกิจ วัดสันติคีรีศรีบรมธาตุ กาญจนบุรี

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระรอดหลัง ภปร. วัดมหาวัน จ.ลำพูน ปี2549 พระรอดหลัง ภปร.( ยิงโค้ดเลข ๙ และดวงตราสัญลักษณ์ด้วยเลเซอร์ที่ด้านหลัง ) วัดมหาวัน จ.ลำพูน ปี2549 //พระดีพิธีใหญ่ เฉลิมพระเกียรติ ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณแคล้วคลาด ปราศจากภัยอันตราย และความวิบัติต่างๆ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้ลาภผล และคงกระพันชาตรี เสริมสิริมงคล เสริมดวงชะตา กระทำการสิ่งใดสำเร็จทุกประการ >> ** พระรอดหลัง ภปร. วัดมหาวัน จ.ลำพูน ปี2549 มวลสารศักดิ์สิทธิ์จากวัดต้นกำเนิด ทั้ง 5 วัด และผงอิทธิเจ ปัตทะมัง จากเจ้าประคุณสมเด็จ ** รายนามพระเกจิที่อธิษฐานจิต 1. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กทม. 2. สมเด็จพระมหาธีรจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม กทม. 3. สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) วัดเทพศิรินทร์ กทม. 4. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) วัดสัมพันธวงศาราม กทม. 5. สมเด็จมหารัชมัคลาจารย์ (ช่วง วรปุณฺโณ) วัดปากน้ำ กทม. 6. หลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา 7. หลวงพ่อรวย วัดตะโก อยุธยา 8. หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว อยุธยา 9. หลวงพ่อพูล วัดบ้านแพน อยุธยา 10. หลวงพ่อเจือ วัดกลางบางแก้ว นครปฐม 11. หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง เพชรบุรี 12. หลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน นนทบุรี 13. หลวงพ่อพูลทรัพย์ วัดอ่างศิลา ชลบุรี 14. หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูน อยุธยา 15. หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม อยุธยา 16. หลวงพ่อทอง วัดพระธาตุจอมทอง เชียงใหม่ 17. หลวงพ่อเนื่อง วัดระฆังโฆสิตาราม กทม. 18. หลวงพ่อทองสืบ วัดอินทรวิหาร กทม. 19. หลวงปู่แหวน วัดมหาธาตุ กทม. 20. หลวงพ่อธงชัย วัดไตรมิตร กทม. 21. หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย นนทบุรี 22. หลวงพ่อเก๋ วัดปากน้ำ ปทุมธานี 23. หลวงพ่อทองใบ วัดสายไหม ปทุมธานี 24. หลวงพ่อทองกลึง วัดเจดีย์หอย ปทุมธานี 25. หลวงพ่อวิเชียร วัดมูลจินดา ปทุมธานี 26.. หลวงพ่อทองหล่อ วัดคันลัด สมุทรปราการ 27. หลวงพ่อสมโภชน์ วัดแค สมุทรปราการ 28. หลวงพ่อจรัญ วัดบางพลีใหญ่ใน สมุทรปราการ 29. หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ อยุธยา 30. หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก อยุธยา 31. หลวงพ่อสงวน วัดเสาธงทอง ลพบุรี 32. หลวงพ่อสมพร วัดป่าธรรมโสภณ ลพบุรี 33. หลวงพ่อป่วน วัดบรรหารแจ่มใส สุพรรณบุรี 34. หลวงพ่อสอิ้ง วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี 35. หลวงพ่อสุนทร วัดเพชรสมุทร สมุทรสงคราม 36. หลวงพ่ออิฐ วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม 37. หลวงพ่อแดง วัดอินทาราม สมุทรสงคราม 38. หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก สมุทรสงคราม 39. หลวงพ่อขาว วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา 40. หลวงพ่อสมศักดิ์ วัดโสธร ฉะเชิงเทรา 41. หลวงพ่อสมชาย วัดโพรงอากาศ ฉะเชิงเทรา 42. หลวงพ่อฉิ้น เมืองยะลา 43. หลวงพ่อกลัง เขาอ้อ 44. หลวงพ่อพรหม วัดบ้านสวน พัทลุง 45. หลวงพ่อจ่าง วัดน้ำรอบ สุราษฏร์ธานี 46. หลวงพ่อบุญศรี วัดนาคาราม ภูเก็ต 47. หลวงพ่อเสนอ วัดตะโปทาราม ระนอง 48. หลวงพ่อห่วง วัดดอนกาหลง สตูล 49. หลวงพ่อนวน วัดประดิษฐานราม นครศรีธรรมราช 50. หลวงพ่อผัน วัดทรายขาว สงขลา 51. หลวงพ่ออุทธีร์ วัดเวฬุวัน ร้อยเอ็ด 52. หลวงพ่อเที่ยง วัดพระบาทเขากระโพง บุรีรัมย์ 53. หลวงพ่อทองจันทร์ วัดคำแคน กาฬสิทธิ์ 54. หลวงพ่อสมเกียรติ วัดมหาวนาราม อุบลราชธานี 55. หลวงพ่อไพรินทร์ วัดพระศรีมหาธาตุ พิษณุโลก 56. หลวงพ่อแขก วัดอรัญญิก พิษณุโลก 57. หลวงพ่อธงชั วัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่ 58. หลวงพ่อสมพงศ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว นครปฐม 59. หลวงพ่อศรี วัดหน้าพระลาน สระบุรี 60. หลวงพ่อบุญธรรม วัดตะเคียน อ่างทอง 61. หลวงพ่อทอด วัดหนองสุ่ม สิ่งห์บุรี 62. หลวงพ่อประเทือง วัดบางกระเบา ปราจีนบุรี 63. หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม นครปฐม 64. หลวงพ่อแก่น วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา 65. หลวงพ่อเกตุ วัดอุดมธานี นครนายก 66. พระครูอนุกูลพิศาลกิจ วัดบางพระ นครปฐม 67. พระครูเฉลียว วัดมหาธาตุ กทม. 68. พระครูประดิษฐ์นวกิจ วัดท่าตะคร้อ กาญจนบุรี 69. พระครูภาวนาวรกิจ วัดสันติคีรีศรีบรมธาตุ กาญจนบุรี ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชัยนาท - ข้าราชการหญิงซี 7 ภรรยาอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ไปเปิดรีสอร์ต์ เพื่อหลอกให้โอนเงิน โชคดีสามีกับตำรวจ เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน

    วันนี้(5 ก.พ.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชัยนาท ได้รับแจ้งจาก ดร.ณัชรัตน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แล้ว ให้ช่วยติดตามหาภรรยา ที่เข้าไปเปิดห้องพักในรีสอร์ตแห่งหนึ่งในตัวอำเภอเมืองชัยนาท เนื่องจากสงสัยว่า ภรรยาจะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้มาเปิดห้องพัก เพื่อคุยหลอกให้โอนเงิน เมื่อตำรวจ สภ.เมืองชัยนาท และ ดร.ณัชรัตน์ เข้าไปตรวจสอบที่รีสอร์ตดังกล่าว ก็พบหญิง อายุ 44 ปี ทราบว่าเป็นข้าราชการ ระดับซี 7 อยู่ในห้องพัก และกำลังโทรศัพท์พูดคุยกับใครคนหนึ่ง

    ตำรวจและสามีของหญิงข้าราชการ จึงเข้าไปบอกว่าปลายสายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่าหลงเชื่อให้วางสาย แต่หญิงข้าราชการ กลับพยายามบอกให้ตำรวจจริงและสามีเข้าใจว่า ปลายสายที่โทร.มาหาตนนั้นเป็นตำรวจชื่อว่า ร.ต.อ.ธนาวิทย์ วงศ์มูน สังกัด สภ.เมืองอุบลราชธานี และมีข้อมูลส่วนตัวของตน บอกว่าตนไปพัวพันกับการฟอกเงิน 14 ล้านบาท เตรียมจะออกหมายจับตนด้วย

    หญิงข้าราชการ พยายามโทรศัพท์กลับไปหาปลายสาย แต่ก็ไม่มีคนรับ และหญิงข้าราชการ ยังเชื่อว่าปลายสายเป็นตำรวจ ทำให้ทั้ง ตำรวจตัวจริง สามีของหญิงข้าราชการ และพนักงานของรีสอร์ต ถึงกับปวดหัว เพราะทุกคนต่างพูดย้ำแล้วย้ำอีก เพื่อให้หญิงข้าราชการเข้าใจว่ามันคือแก๊งคลอเซ็นเตอร์ ก่อนที่จะพาหญิงข้าราชการ ไปพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชัยนาท เพื่อเข้าแจ้งความ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000011828

    #MGROnline #ข้าราชการหญิงซี7 #ภรรยา #อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #เปิดรีสอร์ต #หลอกให้โอนเงิน
    ชัยนาท - ข้าราชการหญิงซี 7 ภรรยาอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ไปเปิดรีสอร์ต์ เพื่อหลอกให้โอนเงิน โชคดีสามีกับตำรวจ เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน • วันนี้(5 ก.พ.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชัยนาท ได้รับแจ้งจาก ดร.ณัชรัตน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แล้ว ให้ช่วยติดตามหาภรรยา ที่เข้าไปเปิดห้องพักในรีสอร์ตแห่งหนึ่งในตัวอำเภอเมืองชัยนาท เนื่องจากสงสัยว่า ภรรยาจะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้มาเปิดห้องพัก เพื่อคุยหลอกให้โอนเงิน เมื่อตำรวจ สภ.เมืองชัยนาท และ ดร.ณัชรัตน์ เข้าไปตรวจสอบที่รีสอร์ตดังกล่าว ก็พบหญิง อายุ 44 ปี ทราบว่าเป็นข้าราชการ ระดับซี 7 อยู่ในห้องพัก และกำลังโทรศัพท์พูดคุยกับใครคนหนึ่ง • ตำรวจและสามีของหญิงข้าราชการ จึงเข้าไปบอกว่าปลายสายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่าหลงเชื่อให้วางสาย แต่หญิงข้าราชการ กลับพยายามบอกให้ตำรวจจริงและสามีเข้าใจว่า ปลายสายที่โทร.มาหาตนนั้นเป็นตำรวจชื่อว่า ร.ต.อ.ธนาวิทย์ วงศ์มูน สังกัด สภ.เมืองอุบลราชธานี และมีข้อมูลส่วนตัวของตน บอกว่าตนไปพัวพันกับการฟอกเงิน 14 ล้านบาท เตรียมจะออกหมายจับตนด้วย • หญิงข้าราชการ พยายามโทรศัพท์กลับไปหาปลายสาย แต่ก็ไม่มีคนรับ และหญิงข้าราชการ ยังเชื่อว่าปลายสายเป็นตำรวจ ทำให้ทั้ง ตำรวจตัวจริง สามีของหญิงข้าราชการ และพนักงานของรีสอร์ต ถึงกับปวดหัว เพราะทุกคนต่างพูดย้ำแล้วย้ำอีก เพื่อให้หญิงข้าราชการเข้าใจว่ามันคือแก๊งคลอเซ็นเตอร์ ก่อนที่จะพาหญิงข้าราชการ ไปพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชัยนาท เพื่อเข้าแจ้งความ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000011828 • #MGROnline #ข้าราชการหญิงซี7 #ภรรยา #อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #เปิดรีสอร์ต #หลอกให้โอนเงิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี จนท.ต้องระดมกำลังเคลื่อนย้ายคนป่วยออกจากตึกที่ไฟไหม้ได้อย่างปลอดภัย ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการสอบสวน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010202

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี จนท.ต้องระดมกำลังเคลื่อนย้ายคนป่วยออกจากตึกที่ไฟไหม้ได้อย่างปลอดภัย ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการสอบสวน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010202 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Sad
    Like
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1059 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกชิงนายก อบจ. ดุเดือดจนทักษิณยังหนาวหลัง
    ทักษิณ ชินวัตร ออกปากยอมรับ สนามเลือกตั้งนายกอบจ ศรีสะเกษ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ บ้านใหญ่ไตรสรณกุล สูสีกัน ทักษิณยอมรับความจริง เพราะแม้พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทยจะกวาด สส. เกือบค่อนจังหวัด
    แต่เมื่อเจาะลงไปในสนามท้องถิ่นบ้านใหญ่ ไตรสรณกุล ได้ตําแหน่งมาหลายปีสร้างผลงานเอาไว้มากมาย ในขณะที่ผู้สมัครนายกอบจของพรรคเพื่อไทยอย่างเสี่ยปู๊วิวัฒน์ชัย เป็นพวกกระดูกคนละเบอร์กับแชมป์เก่าอย่างนายกส้มเกลี้ยง เทียบกันให้ชัดชัดสนามเลือกตั้งส.ส.ศรีสะเกษที่เพิ่งผ่านมา พรรคเพื่อไทยหอบส.ส.เข้าสภาเกือบจะยกจังหวัดตกอยู่ไม่กี่เขต
    แต่หนึ่งในนั้นมีเสี่ยปู๊รวมอยู่ด้วย กระแสพรรคเพื่อไทยในศรีสะเกษเมื่อก่อนมีมาก โดยเฉพาะแคมเปญไล่หนูตีงูเห่า ที่เล่นเอาภาคภูมิใจไทยช็อตปั่นแต้มไม่ขึ้นพรรคเพื่อไทยแทบไม่ต้องออกแรงมาก นักการเมืองที่นั่นพาเหรดกันเข้าวิน แต่เสี่ยปู๊ดันตกขบวนทั้งที่ทําตัวเป็นหัวโจกค่ายสีแดงในจังหวัดถึงขั้นต้องพิจารณากันว่าต้องไม่เอาอ่าวขนาดไหน ขนาดกระแสพรรคเพื่อไทยดีขนาดนี้แต่ดันสอบตก
    หลังการเลือกตั้งเสี่ยปู๊ เข้ามาสังกัดก๊ก สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคมนาคม ท่อน้ําเลี้ยงนัมเบอร์วันของพรรคเพื่อไทยก่อนจะได้รับการปลอบใจให้มีตําแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
    พอได้อยู่กับท่อน้ําเลี้ยงแล้วคึกมีความหวัง กระแสไม่ได้ หันไปพึ่งกระสุนขอลงชิงชัยเก้าอี้นายก อบจ ศรีสะเกษ ดูสักตั้ง กระแสส่วนตัวในจังหวัดเป็นรองแต่ขอพึ่งบารมีทักษิณและสุริยะ เพื่อเข้าไปบริหารการเมืองท้องถิ่นดินแดนทุเรียนภูเขาไฟก็ยัง
    ยอมรับตรงๆว่าคะแนนสูสี ทั้งที่ความเป็นจริง ความนิยมในจังหวัดแชมป์เก่าเหนือกว่าหลายขุม ขณะที่นายกส้มเกลี้ยง เหนือกว่า เสี่ยปู๊ที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าพื้นเพเป็นคนอุบลราชธานีด้วยซ้ํา
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    ศึกชิงนายก อบจ. ดุเดือดจนทักษิณยังหนาวหลัง ทักษิณ ชินวัตร ออกปากยอมรับ สนามเลือกตั้งนายกอบจ ศรีสะเกษ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ บ้านใหญ่ไตรสรณกุล สูสีกัน ทักษิณยอมรับความจริง เพราะแม้พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทยจะกวาด สส. เกือบค่อนจังหวัด แต่เมื่อเจาะลงไปในสนามท้องถิ่นบ้านใหญ่ ไตรสรณกุล ได้ตําแหน่งมาหลายปีสร้างผลงานเอาไว้มากมาย ในขณะที่ผู้สมัครนายกอบจของพรรคเพื่อไทยอย่างเสี่ยปู๊วิวัฒน์ชัย เป็นพวกกระดูกคนละเบอร์กับแชมป์เก่าอย่างนายกส้มเกลี้ยง เทียบกันให้ชัดชัดสนามเลือกตั้งส.ส.ศรีสะเกษที่เพิ่งผ่านมา พรรคเพื่อไทยหอบส.ส.เข้าสภาเกือบจะยกจังหวัดตกอยู่ไม่กี่เขต แต่หนึ่งในนั้นมีเสี่ยปู๊รวมอยู่ด้วย กระแสพรรคเพื่อไทยในศรีสะเกษเมื่อก่อนมีมาก โดยเฉพาะแคมเปญไล่หนูตีงูเห่า ที่เล่นเอาภาคภูมิใจไทยช็อตปั่นแต้มไม่ขึ้นพรรคเพื่อไทยแทบไม่ต้องออกแรงมาก นักการเมืองที่นั่นพาเหรดกันเข้าวิน แต่เสี่ยปู๊ดันตกขบวนทั้งที่ทําตัวเป็นหัวโจกค่ายสีแดงในจังหวัดถึงขั้นต้องพิจารณากันว่าต้องไม่เอาอ่าวขนาดไหน ขนาดกระแสพรรคเพื่อไทยดีขนาดนี้แต่ดันสอบตก หลังการเลือกตั้งเสี่ยปู๊ เข้ามาสังกัดก๊ก สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคมนาคม ท่อน้ําเลี้ยงนัมเบอร์วันของพรรคเพื่อไทยก่อนจะได้รับการปลอบใจให้มีตําแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พอได้อยู่กับท่อน้ําเลี้ยงแล้วคึกมีความหวัง กระแสไม่ได้ หันไปพึ่งกระสุนขอลงชิงชัยเก้าอี้นายก อบจ ศรีสะเกษ ดูสักตั้ง กระแสส่วนตัวในจังหวัดเป็นรองแต่ขอพึ่งบารมีทักษิณและสุริยะ เพื่อเข้าไปบริหารการเมืองท้องถิ่นดินแดนทุเรียนภูเขาไฟก็ยัง ยอมรับตรงๆว่าคะแนนสูสี ทั้งที่ความเป็นจริง ความนิยมในจังหวัดแชมป์เก่าเหนือกว่าหลายขุม ขณะที่นายกส้มเกลี้ยง เหนือกว่า เสี่ยปู๊ที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าพื้นเพเป็นคนอุบลราชธานีด้วยซ้ํา ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 559 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัยการสั่งฟ้อง"ทนายตั้ม-เมีย" กับพวกข้อหาร่วมกันฉ้อโกง-ฟอกเงิน หลอก“เจ๊อ้อย”กว่า 100 ล้าน ตามความเห็นพนักงานสอบสวน-อัยการร่วมสอบทุกข้อหาเเล้ว อัยการคดีพิเศษนำตัวพนักงานขายรถเบนซ์ ฟ้องศาลอาญา

    วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 ที่ผ่านมานั้น เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ถือเป็นคดีสำคัญตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่งดังนี้

    สำนวนคดีที่ 1 คดีระหว่าง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ที่ 1, พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ ที่ 2 ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 1, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000009732

    #MGROnline #ทนายตั้ม #ฉ้อโกง #ฟอกเงิน #เจ๊อ้อย
    อัยการสั่งฟ้อง"ทนายตั้ม-เมีย" กับพวกข้อหาร่วมกันฉ้อโกง-ฟอกเงิน หลอก“เจ๊อ้อย”กว่า 100 ล้าน ตามความเห็นพนักงานสอบสวน-อัยการร่วมสอบทุกข้อหาเเล้ว อัยการคดีพิเศษนำตัวพนักงานขายรถเบนซ์ ฟ้องศาลอาญา • วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 ที่ผ่านมานั้น เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ถือเป็นคดีสำคัญตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่งดังนี้ • สำนวนคดีที่ 1 คดีระหว่าง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ที่ 1, พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ ที่ 2 ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหาที่ 1, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000009732 • #MGROnline #ทนายตั้ม #ฉ้อโกง #ฟอกเงิน #เจ๊อ้อย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยสำนักงานคดีพิเศษ สั่งฟ้องทนายตั้ม ฉ้อโกง-ฟอกเงิน ทั้งสำนวนทำผิดในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งภรรยา พี่สาว และพวก รวมทั้งพนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย พร้อมขอศาลสั่งให้กลุ่มผู้ต้องหาชดใช้เงินคุณอ้อย ทั้งแอปฯ หวยออนไลน์ ส่วนต่างรถเบนซ์ และสแกมเมอร์ทิพย์ รวม 111 ล้านบาท
    .
    วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม จากพนักงานสอบสวนกองปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 และได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้ สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่ง ได้แก่ สำนวนที่ 1 (สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร กรณีการออกแบบโรงแรม) ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สารวัตร กก.3 บก.ป. ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา และ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือดาว พี่สาวภรรยานายษิทรา พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 และสั่งฟ้อง น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60
    .
    สำนวนที่ 2 น.ส.จตุพร กับพวกรวม 4 คน ผู้กล่าวหา นายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยานายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ กับ น.ส.สารินี นุชนารถ สองสามีภรรยากรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ, น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยานายษิทรา, น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล และ น.ส.วมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ พนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 2566 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 2567 ในหลายท้องที่ในราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน สำนวนคดีนี้เป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้
    .
    1. สั่งฟ้องนายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกงโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60, 
    .
    2. สั่งฟ้องนางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60  
    .
    3. สั่งฟ้องนายนุวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.สารินี ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,        
    .
    4. สั่งฟ้อง น.ส.แก้วสวรรค์ ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265 
    .
    5. ขอศาลสั่งให้นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009738
    .........
    Sondhi X
    รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยสำนักงานคดีพิเศษ สั่งฟ้องทนายตั้ม ฉ้อโกง-ฟอกเงิน ทั้งสำนวนทำผิดในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งภรรยา พี่สาว และพวก รวมทั้งพนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย พร้อมขอศาลสั่งให้กลุ่มผู้ต้องหาชดใช้เงินคุณอ้อย ทั้งแอปฯ หวยออนไลน์ ส่วนต่างรถเบนซ์ และสแกมเมอร์ทิพย์ รวม 111 ล้านบาท . วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม จากพนักงานสอบสวนกองปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 และได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้ สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่ง ได้แก่ สำนวนที่ 1 (สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร กรณีการออกแบบโรงแรม) ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สารวัตร กก.3 บก.ป. ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา และ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือดาว พี่สาวภรรยานายษิทรา พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 และสั่งฟ้อง น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 . สำนวนที่ 2 น.ส.จตุพร กับพวกรวม 4 คน ผู้กล่าวหา นายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยานายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ กับ น.ส.สารินี นุชนารถ สองสามีภรรยากรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ, น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยานายษิทรา, น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล และ น.ส.วมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ พนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 2566 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 2567 ในหลายท้องที่ในราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน สำนวนคดีนี้เป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้ . 1. สั่งฟ้องนายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกงโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,  . 2. สั่งฟ้องนางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60   . 3. สั่งฟ้องนายนุวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.สารินี ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,         . 4. สั่งฟ้อง น.ส.แก้วสวรรค์ ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265  . 5. ขอศาลสั่งให้นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009738 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Yay
    41
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2654 มุมมอง 2 รีวิว
  • 52 ปี ข้อตกลงสันติภาพปารีส ปิดฉากสงครามเวียดนาม บทบาทของไทยในสงครามเย็น

    สงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุด ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งไม่ได้เพียงแค่ แสดงถึงความขัดแย้ง ระหว่างสองขั้วอำนาจของโลก ในยุคสงครามเย็น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยโดยตรง การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 นับเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 18 ปี 🌏

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
    สงครามเวียดนาม เริ่มต้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์ และเสรีนิยม ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามเหนือ ได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพโซเวียต และจีน ในขณะที่เวียดนามใต้ มีสหรัฐอเมริกา เป็นพันธมิตรสำคัญ

    นโยบายของสหรัฐ สกัดกั้นคอมมิวนิสต์
    สหรัฐตัดสินใจ เข้ามามีบทบาทในเวียดนาม ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2493 ด้วยเป้าหมายในการ "หยุดยั้งการขยายตัวของคอมมิวนิสต์" (Containment Policy) โดยมองว่า หากเวียดนามเหนือ ตกอยู่ใต้อิทธิพลคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจถูกครอบงำด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า "ทฤษฎีโดมิโน"

    ประเทศไทย พันธมิตรสำคัญของสหรัฐ
    ในยุคสงครามเย็น ประเทศไทย ได้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญ ของสหรัฐอเมริกา ในการต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ เนื่องจากไทย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ใกล้กับเวียดนามและลาว

    รัฐบาลไทยในยุคนั้น โดยเฉพาะภายใต้การนำของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" และ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" ให้การสนับสนุนสหรัฐเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ใช้ ฐานทัพในประเทศไทย หรือการส่งทหารไทยเข้าร่วมในสงคราม

    ฐานทัพในไทย ศูนย์กลางปฏิบัติการ
    สหรัฐได้ตั้งฐานทัพในประเทศไทยถึง 7 แห่ง ได้แก่
    - ดอนเมือง
    - นครราชสีมา
    - ตาคลี
    - อุบลราชธานี
    - อุดรธานี
    - นครพนม
    - อู่ตะเภา

    ฐานทัพเหล่านี้ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สำหรับการทิ้งระเบิด ในเวียดนามเหนือ และการดำเนินปฏิบัติการทางอากาศ โดยมีการประมาณว่า 80% ของการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ในเวียดนามเหนือ มาจากฐานทัพในประเทศไทย

    ข้อตกลงสันติภาพปารีส จุดสิ้นสุดของสงคราม
    ข้อตกลงสันติภาพปารีส ที่ลงนามในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 เป็นข้อตกลงสำคัญ ที่มีเป้าหมายเพื่อยุติสงคราม และฟื้นฟูสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงนี้ลงนามระหว่าง

    - รัฐบาลสหรัฐ
    - รัฐบาลเวียดนามเหนือ
    - รัฐบาลเวียดนามใต้
    - รัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาล แห่งสาธารณรัฐเวียดนามใต้

    เนื้อหาสำคัญ ได้แก่
    - การยุติการแทรกแซงทางทหาร ของสหรัฐในเวียดนาม
    - การถอนทหารอเมริกันทั้งหมด ออกจากเวียดนาม
    - การแลกเปลี่ยนนักโทษสงคราม
    - การยอมรับสถานะของรัฐบาล เวียดนามเหนือและใต้

    ผลกระทบจากข้อตกลง
    การลงนามในข้อตกลงนี้ ส่งผลให้สหรัฐ ถอนกำลังออกจากเวียดนาม อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือและใต้ ยังคงดำเนินต่อไป และสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2518 เมื่อเวียดนามเหนือ เข้ายึดครองไซง่อน

    ผลกระทบนามต่อประเทศไทย
    1. ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศรษฐกิจ
    - ความช่วยเหลือจากสหรัฐ การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม นำมาซึ่งการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานในไทย เช่น ถนน สนามบิน และเทคโนโลยีทางการทหาร
    - ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การที่ไทยเป็นฐานทัพ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม บาร์ และธุรกิจบริการ

    2. การสูญเสียเอกราช
    มีข้อถกเถียงว่า การที่ไทยอนุญาตให้สหรัฐ ใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ และมีทหารจำนวนมาก ประจำอยู่ในประเทศ เป็นการละเมิด อธิปไตยของชาติ และทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษา

    3. ผลกระทบทางสังคม
    การมีทหารอเมริกันในไทย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การนำวัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาในสังคมไทย ซึ่งทั้งส่งผลดี และผลเสียในระยะยาว

    สงครามเวียดนาม และบทบาทของไทยในยุคนั้นเ ป็นตัวอย่างที่สำคัญ ของการดำเนินนโยบาย ในยุคสงครามเย็น แม้จะมีผลกระทบทางลบในด้านสังคม และการสูญเสียเอกราชบางส่วน แต่การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม ก็ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการคุกคาม ของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค

    การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เป็นการเตือนให้เราตระหนัก ถึงความสำคัญของสันติภาพ และการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 270827 ม.ค. 2568

    #สงครามเวียดนาม #ข้อตกลงปารีส #การเมืองโลก #สงครามเย็น #บทบาทไทยในสงคราม #ประวัติศาสตร์เอเชีย #ฐานทัพสหรัฐในไทย #การเจรจาสันติภาพ #การเมืองระหว่างประเทศ #ประวัติศาสตร์สงคราม

    🎯
    52 ปี ข้อตกลงสันติภาพปารีส ปิดฉากสงครามเวียดนาม บทบาทของไทยในสงครามเย็น สงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุด ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งไม่ได้เพียงแค่ แสดงถึงความขัดแย้ง ระหว่างสองขั้วอำนาจของโลก ในยุคสงครามเย็น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยโดยตรง การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 นับเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 18 ปี 🌏 จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง สงครามเวียดนาม เริ่มต้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์ และเสรีนิยม ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามเหนือ ได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพโซเวียต และจีน ในขณะที่เวียดนามใต้ มีสหรัฐอเมริกา เป็นพันธมิตรสำคัญ นโยบายของสหรัฐ สกัดกั้นคอมมิวนิสต์ สหรัฐตัดสินใจ เข้ามามีบทบาทในเวียดนาม ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2493 ด้วยเป้าหมายในการ "หยุดยั้งการขยายตัวของคอมมิวนิสต์" (Containment Policy) โดยมองว่า หากเวียดนามเหนือ ตกอยู่ใต้อิทธิพลคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจถูกครอบงำด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า "ทฤษฎีโดมิโน" ประเทศไทย พันธมิตรสำคัญของสหรัฐ ในยุคสงครามเย็น ประเทศไทย ได้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญ ของสหรัฐอเมริกา ในการต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ เนื่องจากไทย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ใกล้กับเวียดนามและลาว รัฐบาลไทยในยุคนั้น โดยเฉพาะภายใต้การนำของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" และ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" ให้การสนับสนุนสหรัฐเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ใช้ ฐานทัพในประเทศไทย หรือการส่งทหารไทยเข้าร่วมในสงคราม ฐานทัพในไทย ศูนย์กลางปฏิบัติการ สหรัฐได้ตั้งฐานทัพในประเทศไทยถึง 7 แห่ง ได้แก่ - ดอนเมือง - นครราชสีมา - ตาคลี - อุบลราชธานี - อุดรธานี - นครพนม - อู่ตะเภา ฐานทัพเหล่านี้ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สำหรับการทิ้งระเบิด ในเวียดนามเหนือ และการดำเนินปฏิบัติการทางอากาศ โดยมีการประมาณว่า 80% ของการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ในเวียดนามเหนือ มาจากฐานทัพในประเทศไทย ข้อตกลงสันติภาพปารีส จุดสิ้นสุดของสงคราม ข้อตกลงสันติภาพปารีส ที่ลงนามในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 เป็นข้อตกลงสำคัญ ที่มีเป้าหมายเพื่อยุติสงคราม และฟื้นฟูสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงนี้ลงนามระหว่าง - รัฐบาลสหรัฐ - รัฐบาลเวียดนามเหนือ - รัฐบาลเวียดนามใต้ - รัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาล แห่งสาธารณรัฐเวียดนามใต้ เนื้อหาสำคัญ ได้แก่ - การยุติการแทรกแซงทางทหาร ของสหรัฐในเวียดนาม - การถอนทหารอเมริกันทั้งหมด ออกจากเวียดนาม - การแลกเปลี่ยนนักโทษสงคราม - การยอมรับสถานะของรัฐบาล เวียดนามเหนือและใต้ ผลกระทบจากข้อตกลง การลงนามในข้อตกลงนี้ ส่งผลให้สหรัฐ ถอนกำลังออกจากเวียดนาม อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือและใต้ ยังคงดำเนินต่อไป และสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2518 เมื่อเวียดนามเหนือ เข้ายึดครองไซง่อน ผลกระทบนามต่อประเทศไทย 1. ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศรษฐกิจ - ความช่วยเหลือจากสหรัฐ การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม นำมาซึ่งการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานในไทย เช่น ถนน สนามบิน และเทคโนโลยีทางการทหาร - ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การที่ไทยเป็นฐานทัพ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม บาร์ และธุรกิจบริการ 2. การสูญเสียเอกราช มีข้อถกเถียงว่า การที่ไทยอนุญาตให้สหรัฐ ใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ และมีทหารจำนวนมาก ประจำอยู่ในประเทศ เป็นการละเมิด อธิปไตยของชาติ และทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษา 3. ผลกระทบทางสังคม การมีทหารอเมริกันในไทย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การนำวัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาในสังคมไทย ซึ่งทั้งส่งผลดี และผลเสียในระยะยาว สงครามเวียดนาม และบทบาทของไทยในยุคนั้นเ ป็นตัวอย่างที่สำคัญ ของการดำเนินนโยบาย ในยุคสงครามเย็น แม้จะมีผลกระทบทางลบในด้านสังคม และการสูญเสียเอกราชบางส่วน แต่การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม ก็ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการคุกคาม ของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เป็นการเตือนให้เราตระหนัก ถึงความสำคัญของสันติภาพ และการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 270827 ม.ค. 2568 #สงครามเวียดนาม #ข้อตกลงปารีส #การเมืองโลก #สงครามเย็น #บทบาทไทยในสงคราม #ประวัติศาสตร์เอเชีย #ฐานทัพสหรัฐในไทย #การเจรจาสันติภาพ #การเมืองระหว่างประเทศ #ประวัติศาสตร์สงคราม 🎯
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 859 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่งสำนวน "ทนายตั้ม-พวก" ฉ้อโกง-ฟอกเงิน 4 คดีให้อัยการแล้ว เคาะสั่งฟ้องต่อศาลก่อนครบฝากขัง
    .
    กองปราบฯ ส่งสำนวนคดีทนายตั้มร่วมฉ้อโกง-ฟอกเงิน ให้อัยการพิเศษสั่งฟ้องต่อศาลก่อนสิ้นเดือนนี้ ครบกำหนดฝากขัง 30 ม.ค.นี้ พบมีผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 คน เป็นพนักงานโชว์รูมปลอมเอกสาร ส่วนคดีพินัยกรรมยังไม่พบทุจริต
    .
    วันนี้ (17 ม.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชเาภิเษก พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก.สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. นำสำนวนการสอบสวนที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหายได้กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันฉ้อโกง และฟอกเงิน มีสำนวนรวม 9,317 แผ่น พร้อมความเห็นทางสมควรสั่งฟ้องนายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม, น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาวของนุ และพนักงานของโชว์รูมรถยนต์ 2 คน ที่ร่วมมือกับทนายตั้มในการปลอมแปลงเอกสาร รวมผู้ต้องหา 7 คน ในคดีฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ไปมอบให้นายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีพิเศษ เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา
    .
    พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า สำนวนคดีทนายตั้มแบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร และกระทำผิดนอกราชอาณาจักร โดยการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรมี 3 เรื่อง คือ ฉ้อโกงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ ความเสียหาย 71 ล้านบาทเศษ, คดีกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ ความเสียหาย 39 ล้านบาทเศษ และสำนวนคดีซื้อรถเบนซ์ จี 400 เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง จำนวน 1,530,000 บาท ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักร คดีการออกแบบโรงแรม ได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนที่ร่วมกับทนายตั้มทำการฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
    .
    โดยวันนี้มีผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในการปลอมเอกสารที่จะต้องเข้ามาพบกับพนักงานอัยการ โดยมีการแจ้งความเพิ่มมา 2 คน เป็นการปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดในส่วนของการปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์ แต่รายละเอียดอยู่ในสำนวน ไม่ขอเปิดเผย ส่วน น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ที่ได้รับการประกันตัวอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่ได้ส่งตัววันนี้ ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนตามที่ทนายตั้มได้ร้องขอให้มีการสอบสวนในพยานหลักฐานเพิ่มเติม ถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ตัวผู้ต้องหาแล้ว
    .
    ส่วนคดีพินัยกรรม พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า ยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตเข้ามา แต่ถ้าการสืบสวนพบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมโยงการกระทำความผิด ก็จะสอบสวนต่อไป
    .
    ด้านนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังจากการรับมอบสำนวนแล้ว ทางพนักงานอัยการจะส่งมอบให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่าย 1 ไปพิจารณาเพื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จภายในระยะเวลาฝากขังผัดสุดท้าย วันที่ 30 ม.ค.นี้ สำหรับคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจะต้องส่งให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000005180
    .........
    Sondhi X
    ส่งสำนวน "ทนายตั้ม-พวก" ฉ้อโกง-ฟอกเงิน 4 คดีให้อัยการแล้ว เคาะสั่งฟ้องต่อศาลก่อนครบฝากขัง . กองปราบฯ ส่งสำนวนคดีทนายตั้มร่วมฉ้อโกง-ฟอกเงิน ให้อัยการพิเศษสั่งฟ้องต่อศาลก่อนสิ้นเดือนนี้ ครบกำหนดฝากขัง 30 ม.ค.นี้ พบมีผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 คน เป็นพนักงานโชว์รูมปลอมเอกสาร ส่วนคดีพินัยกรรมยังไม่พบทุจริต . วันนี้ (17 ม.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชเาภิเษก พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก.สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. นำสำนวนการสอบสวนที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหายได้กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันฉ้อโกง และฟอกเงิน มีสำนวนรวม 9,317 แผ่น พร้อมความเห็นทางสมควรสั่งฟ้องนายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม, น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาวของนุ และพนักงานของโชว์รูมรถยนต์ 2 คน ที่ร่วมมือกับทนายตั้มในการปลอมแปลงเอกสาร รวมผู้ต้องหา 7 คน ในคดีฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ไปมอบให้นายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีพิเศษ เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา . พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า สำนวนคดีทนายตั้มแบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร และกระทำผิดนอกราชอาณาจักร โดยการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรมี 3 เรื่อง คือ ฉ้อโกงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ ความเสียหาย 71 ล้านบาทเศษ, คดีกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ ความเสียหาย 39 ล้านบาทเศษ และสำนวนคดีซื้อรถเบนซ์ จี 400 เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง จำนวน 1,530,000 บาท ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักร คดีการออกแบบโรงแรม ได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนที่ร่วมกับทนายตั้มทำการฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน . โดยวันนี้มีผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในการปลอมเอกสารที่จะต้องเข้ามาพบกับพนักงานอัยการ โดยมีการแจ้งความเพิ่มมา 2 คน เป็นการปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดในส่วนของการปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์ แต่รายละเอียดอยู่ในสำนวน ไม่ขอเปิดเผย ส่วน น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ที่ได้รับการประกันตัวอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่ได้ส่งตัววันนี้ ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนตามที่ทนายตั้มได้ร้องขอให้มีการสอบสวนในพยานหลักฐานเพิ่มเติม ถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ตัวผู้ต้องหาแล้ว . ส่วนคดีพินัยกรรม พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า ยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตเข้ามา แต่ถ้าการสืบสวนพบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมโยงการกระทำความผิด ก็จะสอบสวนต่อไป . ด้านนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังจากการรับมอบสำนวนแล้ว ทางพนักงานอัยการจะส่งมอบให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่าย 1 ไปพิจารณาเพื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จภายในระยะเวลาฝากขังผัดสุดท้าย วันที่ 30 ม.ค.นี้ สำหรับคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจะต้องส่งให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000005180 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1751 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย

    ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน

    หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก

    วัยเยาว์หลวงปู่
    หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน

    เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง

    เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี"

    ธุดงค์พบทางธรรม
    หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น

    หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม

    ตั้งวัดหนองป่าพง
    หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น

    วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา

    เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ
    หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า

    “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง”

    วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์

    คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง
    คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า

    “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม”

    ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    บั้นปลายชีวิต
    ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด

    หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

    33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ

    หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568

    #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก วัยเยาว์หลวงปู่ หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี" ธุดงค์พบทางธรรม หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม ตั้งวัดหนองป่าพง หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม” ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน บั้นปลายชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก 33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568 #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 709 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘วัชรินทร์’ รอง อธ.อัยการสอบสวน เรียกสอบ "เจ๊อ้อย" พร้อมเลขาฯ คดีทนายตั้มฉ้อโกง-ฟอกเงิน เพิ่มเติม แย้มอาจมีคนโดนคดีเพิ่ม เร่งสรุปสำนวนส่ง อสส.สั่งคดี 15 ม.ค.นี้ เผยยังต้องสอบพยานเพิ่มอีก 15 ปาก

    วันนี้ (7 ม.ค.) ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี คณะทำงานอัยการเเละพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ร่วมสอบสวนคดี นอกราชอาณาจักร ในคดีที่ นางจตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เจ้าของธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐาน ฉ้อโกงฯร่วมกันฟอกเงิน และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง

    โดยมี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร

    โดยวันนี้ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐินีพร้อมด้วย น.ส.ปัทมพร แสงฤทธิ์ หรือคุณน้อย เลขานุการส่วนตัวเดินทางมาตามนัดสอบสวนเพิ่มเติม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000001772

    #MGROnline #เจ๊อ้อย #ทนายตั้ม #ฉ้อโกง #ฟอกเงิน
    ‘วัชรินทร์’ รอง อธ.อัยการสอบสวน เรียกสอบ "เจ๊อ้อย" พร้อมเลขาฯ คดีทนายตั้มฉ้อโกง-ฟอกเงิน เพิ่มเติม แย้มอาจมีคนโดนคดีเพิ่ม เร่งสรุปสำนวนส่ง อสส.สั่งคดี 15 ม.ค.นี้ เผยยังต้องสอบพยานเพิ่มอีก 15 ปาก • วันนี้ (7 ม.ค.) ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี คณะทำงานอัยการเเละพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ร่วมสอบสวนคดี นอกราชอาณาจักร ในคดีที่ นางจตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เจ้าของธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐาน ฉ้อโกงฯร่วมกันฟอกเงิน และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง • โดยมี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร • โดยวันนี้ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐินีพร้อมด้วย น.ส.ปัทมพร แสงฤทธิ์ หรือคุณน้อย เลขานุการส่วนตัวเดินทางมาตามนัดสอบสวนเพิ่มเติม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000001772 • #MGROnline #เจ๊อ้อย #ทนายตั้ม #ฉ้อโกง #ฟอกเงิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • มอเตอร์เวย์กาญจนบุรี ทำติดท็อปไฟว์เคานต์ดาวน์

    ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 น่าสนใจกับชุดข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรจากโทรศัพท์มือถือ (Mobility Data) ของสองค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ เอไอเอส และทรู-ดีแทค เปิดเผยจังหวัดที่นักท่องเที่ยวเดินทางช่วงปีใหม่ และใช้งานข้อมูลมือถือ (Data) สูงสุด หากไม่นับกรุงเทพฯ พบว่ามี 3 จังหวัดที่มีการใช้งานมากที่สุด ได้แก่ นครราชสีมา กาญจนบุรี และเชียงใหม่

    โดยเอไอเอสเปิดเผยจังหวัดที่มีการใช้งานข้อมูลมือถือสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. นครราชสีมา 3. เชียงใหม่ 4. กาญจนบุรี และ 5. ชลบุรี โดยโซเชียลมีเดียที่นิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ 1. เฟซบุ๊ก 2. ติ๊กต็อก 3. ยูทูบ 4. อินสตาแกรม 5. ไลน์ ด้านทรู-ดีแทค เปิดเผยนักท่องเที่ยวเดินทางและกลับภูมิลำเนาช่วงปีใหม่มากสุด 10 อันดับ คือ 1. นครราชสีมา 2. เพชรบูรณ์ 3. อุบลราชธานี 4. ศรีสะเกษ 5. กาญจนบุรี 6. ขอนแก่น 7. เชียงใหม่ 8. บุรีรัมย์ 9. นครสวรรค์ 10. สุรินทร์

    กล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรี แม้จะไม่ได้จัดงานเคานต์ดาวน์อย่างยิ่งใหญ่ แบบชนิดที่ว่าประชันกันระดับประเทศ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร จากปกติเปิดเฉพาะด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก (ถนนมาลัยแมน) ถึงด่านกาญจนบุรีเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างนนทบุรีและปทุมธานีสนใจทดลองใช้เส้นทางเป็นจำนวนมาก

    นับตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2567 ถึง 2 ม.ค. 2568 พบว่าช่วงบางใหญ่-นครปฐม มีปริมาณการจราจรรวม 276,316 คัน ส่วนช่วงนครปฐม-กาญจนบุรี มีปริมาณการจราจรรวม 219,181 คัน แบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนเพชรเกษม ช่วง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้ถึง 23% และถนนแสงชูโต ช่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้ถึง 43% ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี คาดการณ์ว่าเทศกาลปีใหม่ 2568 จะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ที่ช่วยลดเวลาการเดินทาง รวมทั้งอากาศเย็น 16-18 องศาเซลเซียส

    อย่างไรก็ตาม ในการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ระยะแรก เกิดการจราจรติดขัดบริเวณแยกวังสารภี ซึ่งรับรถมาจากด่านกาญจนบุรี รวมทั้งยังมีการก่อสร้างสะพานข้ามแยกวังสารภีและแยกแก่งเสี้ยน คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2570 ส่วนกรมทางหลวงเปิดใช้มอเตอร์เวย์หมายเลข 81 ชั่วคราว ระหว่างด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก ถึงด่านกาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ทุกวันศุกร์ เวลา 15.00 น. ถึงวันจันทร์ เวลา 12.00 น. จนกว่างานระบบ O&M จะแล้วเสร็จ

    #Newskit
    มอเตอร์เวย์กาญจนบุรี ทำติดท็อปไฟว์เคานต์ดาวน์ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 น่าสนใจกับชุดข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรจากโทรศัพท์มือถือ (Mobility Data) ของสองค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ เอไอเอส และทรู-ดีแทค เปิดเผยจังหวัดที่นักท่องเที่ยวเดินทางช่วงปีใหม่ และใช้งานข้อมูลมือถือ (Data) สูงสุด หากไม่นับกรุงเทพฯ พบว่ามี 3 จังหวัดที่มีการใช้งานมากที่สุด ได้แก่ นครราชสีมา กาญจนบุรี และเชียงใหม่ โดยเอไอเอสเปิดเผยจังหวัดที่มีการใช้งานข้อมูลมือถือสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. นครราชสีมา 3. เชียงใหม่ 4. กาญจนบุรี และ 5. ชลบุรี โดยโซเชียลมีเดียที่นิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ 1. เฟซบุ๊ก 2. ติ๊กต็อก 3. ยูทูบ 4. อินสตาแกรม 5. ไลน์ ด้านทรู-ดีแทค เปิดเผยนักท่องเที่ยวเดินทางและกลับภูมิลำเนาช่วงปีใหม่มากสุด 10 อันดับ คือ 1. นครราชสีมา 2. เพชรบูรณ์ 3. อุบลราชธานี 4. ศรีสะเกษ 5. กาญจนบุรี 6. ขอนแก่น 7. เชียงใหม่ 8. บุรีรัมย์ 9. นครสวรรค์ 10. สุรินทร์ กล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรี แม้จะไม่ได้จัดงานเคานต์ดาวน์อย่างยิ่งใหญ่ แบบชนิดที่ว่าประชันกันระดับประเทศ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร จากปกติเปิดเฉพาะด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก (ถนนมาลัยแมน) ถึงด่านกาญจนบุรีเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างนนทบุรีและปทุมธานีสนใจทดลองใช้เส้นทางเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2567 ถึง 2 ม.ค. 2568 พบว่าช่วงบางใหญ่-นครปฐม มีปริมาณการจราจรรวม 276,316 คัน ส่วนช่วงนครปฐม-กาญจนบุรี มีปริมาณการจราจรรวม 219,181 คัน แบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนเพชรเกษม ช่วง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้ถึง 23% และถนนแสงชูโต ช่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้ถึง 43% ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี คาดการณ์ว่าเทศกาลปีใหม่ 2568 จะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ที่ช่วยลดเวลาการเดินทาง รวมทั้งอากาศเย็น 16-18 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ในการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ระยะแรก เกิดการจราจรติดขัดบริเวณแยกวังสารภี ซึ่งรับรถมาจากด่านกาญจนบุรี รวมทั้งยังมีการก่อสร้างสะพานข้ามแยกวังสารภีและแยกแก่งเสี้ยน คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2570 ส่วนกรมทางหลวงเปิดใช้มอเตอร์เวย์หมายเลข 81 ชั่วคราว ระหว่างด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก ถึงด่านกาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ทุกวันศุกร์ เวลา 15.00 น. ถึงวันจันทร์ เวลา 12.00 น. จนกว่างานระบบ O&M จะแล้วเสร็จ #Newskit
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1025 มุมมอง 0 รีวิว
  • เก็บตก ศึกชิงนายก อบจ. อุบลราชธานี
    พรรคประชาชนรู้ตัวซะที แพ้ทุกที่เพราะหลงตัวเอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    เก็บตก ศึกชิงนายก อบจ. อุบลราชธานี พรรคประชาชนรู้ตัวซะที แพ้ทุกที่เพราะหลงตัวเอง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 16 0 รีวิว