• ปี​ แรก​ของ​ มะนาว​#บ้านสวน๑๐๙@ปราจีนบุรี​#อินทรีย์​100%
    ปี​ แรก​ของ​ มะนาว​#บ้านสวน๑๐๙@ปราจีนบุรี​#อินทรีย์​100%
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • เริ่ม​ วิถี​ ชาวสวน#บ้านสวน๑๐๙@ปราจีนบุร #อินทรีย์​100%ี​
    เริ่ม​ วิถี​ ชาวสวน#บ้านสวน๑๐๙@ปราจีนบุร #อินทรีย์​100%ี​
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 0 รีวิว

  • #วัดหนองป่าพง
    #อุบลราชธานี

    วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ)

    คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา

    หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต"

    หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483)

    หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา

    กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง”

    จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น

    ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม

    รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ

    #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    #วัดหนองป่าพง #อุบลราชธานี วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ) คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483) หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง” จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ พิมพ์สังฆาฏิสั้น EP.1

    สวัสดีสมาชิกแฟนเพจทุกท่านครับ อย่างที่กล่าวไว้ในโพสที่แล้วนะครับ ทีมงานแอดมินอยากเน้นเรื่องความรู้ในการดูพระ โดยเราจะเริ่มจากพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่กันอย่างเน้นๆ เมื่อท่านอาจารย์ได้ทราบถึงแนวทางของทีมงานแอดมิน ท่านจึงแนะนำว่าให้นำเอาบทความที่เน้นการดูเอกลักษณ์หรือตำหนิพุทธศิลป์มาลงมากยิ่งขึ้น โดยบทความเหล่านี้ท่านอาจารย์ได้เขียนให้ดูทีละจุด และในรูปจะมีการชี้ตำแหน่งที่ท่านเขียนถึง จะทำให้สมาชิกที่สนใจศึกษาการดูพระเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

    แอดมินขออนุญาตนำบทความที่เคยลงไปแล้วในเดือนที่แล้วมา Rewrite กันอีกซักครั้งนะครับ ท่านอาจารย์ได้นำรูปพระองค์นี้มาอธิบายให้แอดมินฟังถึงตำหนิต่างๆ แอดมินเลยนำคำบรรยายของท่านอาจารย์มา Rewrite รวมเข้าไปกับบทความเดิมนะครับ

    🙏🙏พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 พิมพ์สังฆาฏิสั้น ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทฒาจารย์ โต พรหมรังสี🙏🙏

    ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่า พระสมเด็จฯองค์นี้มีความสวยงาม 2 ประการใหญ่รวมอยู่ในองค์เดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก

    ประการที่ 1 ด้านความสวยงามจากสีขององค์พระ พระสมเด็จฯองค์นี้มีเนื้อเป็นสีเขียว ท่านอาจารย์บอกว่าหาได้ยากมาก ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่า ส่วนประกอบหนึ่งในมวลสารที่สมเด็จโตท่านนำมาสร้างเป็นพระสมเด็จฯ คือดอกไม้ที่ญาติโยมนำมาถวายพระ สมเด็จโตท่านน่าจะเห็นว่าดอกไม้เหล่านี้เป็นของสูง ไม่ควรนำไปทิ้งในที่ที่ไม่ควร ท่านจึงนำดอกไม้เหล่านี้มาตากแห้ง และผสมรวมเข้าไปเป็นมวลสาร หนึ่งในดอกไม้ที่คนสมัยนั้นนิยมนำมาถวายพระคือดอกมะลิซ้อน ซึ่งเวลาญาติโยมนำดอกมะลิซ้อนมาถวายบูชาพระจะนำมาทั้งดอกและก้านใบ โดยมัดมาเป็นช่อเล็กๆ นำมาถวายพระ สีเขียวของพระองค์นี้มาจากสีของก้านมะลิที่เมื่อนำไปตากแห่ง ตำให้ละเอียดและผสมกับมวลสารอื่นๆ การผ่านการผสมกับน้ำมันตังอิ้วที่มีทั้งน้ำมันและความชื้นจึงทำให้สีของก้านมะลิละลายออกมา เหมือนเป็นการย้อมสีมวลสารโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่านอาจารย์กล่าวว่าท่านเคยเห็นพระสมเด็จฯที่มีสีเขียวอยู่บ้าง บางองค์เขียวเข้ม บางองค์เขียวอ่อน ล้วนแล้วแต่เป็นพระสมเด็จฯ ที่เป็นที่นิยมทั้งสิ้น

    ประการที่ 2 ด้านความสวยงามจากพุทธศิลป์ ท่านอาจารย์อธิบายว่าพระองค์นี้นอกจากจะสีสวยแล้ว การกดพิมพ์ยังกดได้ลึกและแน่นมาก ทำให้องค์พระประธานดูล่ำใหญ่ สามารถมองเห็นเอกลักษณ์จากแม่พิมพ์และตำหนิพุทธศิลป์ได้อย่างชัดเจน ทำให้เป็นพระที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นท่านอาจารย์ยังกล่าวด้วยว่า ด้วยความที่เราสามารถมองเห็นเอกลักษณ์และตำหนิพุทธศิลป์ได้อย่างชัดเจน พระองค์นี้จึงเหมาะมากที่จะกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่สนใจในการดูพระ

    เอาละครับ เรามาเริ่มกันเลย กับเอกลักษณ์และตำหนิพุทธศิลป์ต่างๆที่ท่านอาจารย์ได้เคยอธิบายไว้ดังนี้ (ดูตามหมายเลขในภาพได้เลยนะครับ)

    1. กรอบแม่พิมพ์ เป็นพระที่ตัดปีกพอดีกับกรอบแม่พิมพ์ จึงเป็นกรอบแม่พิมพ์ไม่ชัดนัก

    2. กรอบแม่พิมพ์ด้านซ้าย เป็นกรอบกระจกที่เกิดจากการใช้ตอกตัดจากพิมพ์ด้านหลังมาพิมพ์ด้านหน้า ทำให้เกินเป็นสันเล็กๆที่ด้านหน้าเรียกว่ากรอบกระจก ซึ่งเอกลักษณ์ของพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ นั้นกรอบกระจกจะเป็นเส้นตรงลงมาจรดซุ้มเรือนแก้วบริเวณแนวข้อศอกซ้ายขององค์พระ

    3. พระเกศ ปลายพระเกศจะแหลมจรดซุ้มเรือนแก้ว แต่โคนพระเกศจะอ้วนใหญ่เป็นกรวย จุดนี้เป็นเอกลักษณ์ของสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 ทั้งพิมพ์สังฆาฏิสั้น และสังฆาฏิยาว

    4. พระเศียร ด้วยความที่พระองค์นี้กดพิมพ์ได้ลึกมาก ทำให้พระเศียรกลมโตเป็นพิเศษ

    5. จมูก การกดพิมพ์ที่ลึกมากนั้นยังทำให้บริเวณปลายพระเศียรบริเวณจมูกนูนออกมาเล็กน้อย ซึ่งมีน้อยองค์มากๆที่จะเห็นรอยนูนนี้

    6. พระกรรณ พระกรรณข้างซ้ายจะเป็นปีกคมชัด ปลายพระกรรณยาวเกือบจรดบ่า พระกรรณข้างขวาติดรำไร เพราะเวลาถอดพระออกจากพิมพ์จะออกทางด้านซ้าย ทำให้ซึกซ้ายขององค์พระดูคมชัดกว่าซีกขวา (ในรูปมองเห็นพระกรรณไม่ชัดนัก แม้แต่ด้านซ้ายก็ตาม การถ่ายรูปถึงแม้จะถ่ายจาก Studio ที่มีประสบการณ์ก็ยังไม่สามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆนี้ให้เห็นเด่นชัดได้ ท่านอาจารย์บอกว่าถ้าได้ส่องจากองค์จริงจะมองเห็นชัดกว่าในรูป)

    7. รักแร้ขององค์พระ จุดนี้ท่านอาจารย์เน้นย้ำว่า เป็นเอกลักษณ์ของพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ทุกพิมพ์ รักแร้ด้านซ้ายจะลึกกว่าด้านขวา

    8. ซุ้มเรือนแก้ว เป็นเส้นกลมเหมือนหวายผ่าซีก สำหรับพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 จะมีซุ้มเรือนแก้วที่อ้วนและใหญ่กว่าพิมพ์ใหญ่พิมพ์อื่นทุกพิมพ์ และการหดตัวของซุ้มเรือนแก้วจะหดตัวในแนวตั้งฉาก (ตัวซุ้มเรือนแก้วเป็นแนวตั้งฉากกับพื้นองค์พระ)

    9. แขนทั้ง 2 ข้าง กลมและใหญ่ มีการหดตัวในแนวตั้งฉากเช่นเดียวกับซุ้มเรือนแก้ว

    10. ตำหนิที่ต้นแขนซ้าย เราจะเห็นตำหนิการยุบลงเล็กน้อยบริเวณต้นแขนซ้าย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ทุกพิมพ์ ยกเว้นพิมพ์สังฆาฏิยาวเท่านั้นที่ต้นแขนจะเต็ม ไม่มีตำหนิแบบองค์นี้

    11. จีวรใต้ข้อศอกซ้าย เป็นเส้นเล็กๆยาวจรดที่หัวเข่า ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าต้องมองเทียบกันระหว่างใต้ศอกซ้าย กับใต้ศอกขวา จะเห็นว่าที่ใต้ศอกซ้ายจะมีเนื้อองค์พระที่ตื้นกว่าใต้ศอกขวา เส้นนี้แหละที่เรียกว่าจีวรใต้ศอกซ้าย

    12. ขอบจีวรที่พาดผ่านอก เป็นเส้นตื้นๆ รำไรพาดจากบ่าซ้ายเฉียงลงไปที่ซอกแขนขวา ตามจุดที่ชี้ในรูปจะเห็นเป็นรอย เนื่องจากพระสมเด็จฯองค์นี้กดพิมพ์ได้ลึก จึงทำให้สามารถมองเห็นเส้นขอบจีวรนี้ได้ชัดกว่าองค์อื่นๆ (บางองค์มองแทบไม่เห็น ถ้ามองจากแค่รูปอาจจะไม่เห็นเลย ต้องส่องดูที่องค์จริงอาจจะเห็นเป็นรอยรำไรเท่านั้น)

    13. เส้นสังฆาฏิ เป็นแผ่นโต และนูน พาดจากบ่าซ้ายลงมาที่ต้นช่องท้อง พระสมเด็จฯองค์นี้เราจะเห็นเส้นสังฆาฏิได้ง่ายและชัดมาก แต่บางองค์ที่กดพิมพ์ไม่ลึกมาก เส้นสังฆาฏิอาจจะมองยากซักนิดนึง โดยเฉพาะหากมองจากรูป อาจจะมองไม่เห็นเลย)

    14. พระบาทซ้าย แนบที่หน้าตัก พระบาทยาวเกือบจรดเข่าขวา

    15. ฐานชั้นที่3 เป็นทรงหมอนหนุน กลมโต และยาวตลอดหน้าตัก

    16. เส้นแซมใต้ตัก ปลายฐานชั้นที่3 ทั้งสองข้างจะมีขอบม้วนขึ้นเป็นเส้นแซมใต้ตัก จากรูปตรงจุดที่เลข 16 ชี้นั้นเราจะเห็นเป็นเส้นนูนออกมาเล็กๆ ท่านอาจารย์กล่าวว่าด้วยความที่พระสมเด็จฯ องค์นี้กดพิมพ์ลึก จึงทำให้ยังสามารถเห็นได้แม้จะดูจากรูป แต่พระสมเด็จฯองค์อื่นๆ มองจากในรูปอาจจะไม่เห็นเส้นแซมใต้ตัก ต้องส่องจากองค์จริงถึงจะเห็น

    17. ฐานชั้นที่2 เป็นโต๊ะขาสิงห์ ขอบโต๊ะจะเป็นทรงแหลม

    18. ฐานชั้นที่1 เป็นฐานเขียงใหญ่และหนา ปลายฐานด้านขวาจะตัดเฉียงเป็นทรงหัวขวาน ท่านอาจารย์บอกว่าส่วนมากปลายล่างสุดด้านขวาของฐานชั้นที่ 1 จะชี้ไปยังมุมด้านล่างของซุ้มเรือนแก้ว

    19. รอยหนอนด้น รอยหนอนด้นนั้นเราจะเห็นเป็นเส้นเล็กๆ เหมือนรอยปริแตก เกิดจากการสลายตัวของสารอินทรีย์ในมวลสารขององค์พระ ทำให้เกิดเป็นช่องว่าง เหมือนรอยแยก สำหรับพระสมเด็จฯองค์นี้เราจะเห็นรอยหนอนด้นบนซุ้มเรือนแก้ว (ตำแหน่งของรอยหนอนด้นบนองค์พระไม่แน่นอน แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า รอยหนอนด้นเป็นสิ่งหนึ่งที่เอาไว้ดูว่าพระแท้หรือไม่ เพราะรอยดังกล่าวเกิดจากย่อยสลายของสารอินทรีย์ในมวลสาร ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะกลายเป็นรอยหนอนด้น)

    20. เม็ดพระธาตุ เม็ดพระธาตุเป็นปูนอีกชนิดหนึ่งที่สมเด็จโตท่านเอามาผสมในมวลสาร ซึ่งปูนชนิดนี้ไม่ได้ผสมกลมกลืนกับปูนเปลือกหอยที่เป็นวัตถุดิบหลักในการทำมวลสาร เมื่อเวลาผ่านไปการหดตัวของปูน 2 ชนิดไม่เท่ากัน ทำให้เกิดรอยแยกเห็นปูนอีกชนิดหนึ่งเป็นเม็ดเล็กๆ ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังว่าสันนิษฐานว่าเม็ดพระธาตุนี้คือเศษปูนที่ฉาบพระประธานในพระอุโบสถไว้ (สมัยโบราณจะมีการฉาบปูนทับองค์พระประธานไว้) เมื่อเศษปูนกระเทาะออก หรือมีการกระเทาะออกอย่างตั้งใจเพื่อที่จะทำการฉาบใหม่ สมเด็จโตท่านเห็นว่าปูนนี้เป็นของสูง ไม่ควรทิ้งในที่ที่มิควร จึงนำมาบดให้ละเอียดและผสมลงในมวลสาร แต่ถึงจะบดอย่างไร ปูนคงมิได้ละเอียดเป็นผง ยังคงมีเหลือที่เป็นเม็ดเล็กๆ เป็นที่มาของเม็ดพระธาตุ

    ท่านอาจารย์บอกว่าพระสมเด็จฯ องค์นี้ในสมัยที่ท่านยังโลดแล่นอยู่ในสนามพระ เรียกกันว่า "องค์เขียวมรกต" ถือเป็นหนึ่งในองค์ครูในการศึกษาการดูพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 พิมพ์สังฆาฏิสั้น โดยเฉพาะการดูเอกลักษณ์แม่พิมพ์และตำหนิพุทธศิลป์ของพิมพ์หน้า แอดมินหวังว่าบทความที่ Rewrite ขึ้นมาใหม่นี้จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกแฟนเพจที่ต้องการศึกษาการดูพระบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ พบกันใหม่ในโพสหน้าครับ

    #พระสมเด็จ #พระสมเด็จวัดระฆัง #เบญจภาคี #พระเครื่อง #สมเด็จโต
    พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ พิมพ์สังฆาฏิสั้น EP.1 สวัสดีสมาชิกแฟนเพจทุกท่านครับ อย่างที่กล่าวไว้ในโพสที่แล้วนะครับ ทีมงานแอดมินอยากเน้นเรื่องความรู้ในการดูพระ โดยเราจะเริ่มจากพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่กันอย่างเน้นๆ เมื่อท่านอาจารย์ได้ทราบถึงแนวทางของทีมงานแอดมิน ท่านจึงแนะนำว่าให้นำเอาบทความที่เน้นการดูเอกลักษณ์หรือตำหนิพุทธศิลป์มาลงมากยิ่งขึ้น โดยบทความเหล่านี้ท่านอาจารย์ได้เขียนให้ดูทีละจุด และในรูปจะมีการชี้ตำแหน่งที่ท่านเขียนถึง จะทำให้สมาชิกที่สนใจศึกษาการดูพระเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น แอดมินขออนุญาตนำบทความที่เคยลงไปแล้วในเดือนที่แล้วมา Rewrite กันอีกซักครั้งนะครับ ท่านอาจารย์ได้นำรูปพระองค์นี้มาอธิบายให้แอดมินฟังถึงตำหนิต่างๆ แอดมินเลยนำคำบรรยายของท่านอาจารย์มา Rewrite รวมเข้าไปกับบทความเดิมนะครับ 🙏🙏พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 พิมพ์สังฆาฏิสั้น ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทฒาจารย์ โต พรหมรังสี🙏🙏 ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่า พระสมเด็จฯองค์นี้มีความสวยงาม 2 ประการใหญ่รวมอยู่ในองค์เดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ประการที่ 1 ด้านความสวยงามจากสีขององค์พระ พระสมเด็จฯองค์นี้มีเนื้อเป็นสีเขียว ท่านอาจารย์บอกว่าหาได้ยากมาก ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่า ส่วนประกอบหนึ่งในมวลสารที่สมเด็จโตท่านนำมาสร้างเป็นพระสมเด็จฯ คือดอกไม้ที่ญาติโยมนำมาถวายพระ สมเด็จโตท่านน่าจะเห็นว่าดอกไม้เหล่านี้เป็นของสูง ไม่ควรนำไปทิ้งในที่ที่ไม่ควร ท่านจึงนำดอกไม้เหล่านี้มาตากแห้ง และผสมรวมเข้าไปเป็นมวลสาร หนึ่งในดอกไม้ที่คนสมัยนั้นนิยมนำมาถวายพระคือดอกมะลิซ้อน ซึ่งเวลาญาติโยมนำดอกมะลิซ้อนมาถวายบูชาพระจะนำมาทั้งดอกและก้านใบ โดยมัดมาเป็นช่อเล็กๆ นำมาถวายพระ สีเขียวของพระองค์นี้มาจากสีของก้านมะลิที่เมื่อนำไปตากแห่ง ตำให้ละเอียดและผสมกับมวลสารอื่นๆ การผ่านการผสมกับน้ำมันตังอิ้วที่มีทั้งน้ำมันและความชื้นจึงทำให้สีของก้านมะลิละลายออกมา เหมือนเป็นการย้อมสีมวลสารโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่านอาจารย์กล่าวว่าท่านเคยเห็นพระสมเด็จฯที่มีสีเขียวอยู่บ้าง บางองค์เขียวเข้ม บางองค์เขียวอ่อน ล้วนแล้วแต่เป็นพระสมเด็จฯ ที่เป็นที่นิยมทั้งสิ้น ประการที่ 2 ด้านความสวยงามจากพุทธศิลป์ ท่านอาจารย์อธิบายว่าพระองค์นี้นอกจากจะสีสวยแล้ว การกดพิมพ์ยังกดได้ลึกและแน่นมาก ทำให้องค์พระประธานดูล่ำใหญ่ สามารถมองเห็นเอกลักษณ์จากแม่พิมพ์และตำหนิพุทธศิลป์ได้อย่างชัดเจน ทำให้เป็นพระที่มีความงดงามเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นท่านอาจารย์ยังกล่าวด้วยว่า ด้วยความที่เราสามารถมองเห็นเอกลักษณ์และตำหนิพุทธศิลป์ได้อย่างชัดเจน พระองค์นี้จึงเหมาะมากที่จะกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่สนใจในการดูพระ เอาละครับ เรามาเริ่มกันเลย กับเอกลักษณ์และตำหนิพุทธศิลป์ต่างๆที่ท่านอาจารย์ได้เคยอธิบายไว้ดังนี้ (ดูตามหมายเลขในภาพได้เลยนะครับ) 1. กรอบแม่พิมพ์ เป็นพระที่ตัดปีกพอดีกับกรอบแม่พิมพ์ จึงเป็นกรอบแม่พิมพ์ไม่ชัดนัก 2. กรอบแม่พิมพ์ด้านซ้าย เป็นกรอบกระจกที่เกิดจากการใช้ตอกตัดจากพิมพ์ด้านหลังมาพิมพ์ด้านหน้า ทำให้เกินเป็นสันเล็กๆที่ด้านหน้าเรียกว่ากรอบกระจก ซึ่งเอกลักษณ์ของพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ นั้นกรอบกระจกจะเป็นเส้นตรงลงมาจรดซุ้มเรือนแก้วบริเวณแนวข้อศอกซ้ายขององค์พระ 3. พระเกศ ปลายพระเกศจะแหลมจรดซุ้มเรือนแก้ว แต่โคนพระเกศจะอ้วนใหญ่เป็นกรวย จุดนี้เป็นเอกลักษณ์ของสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 ทั้งพิมพ์สังฆาฏิสั้น และสังฆาฏิยาว 4. พระเศียร ด้วยความที่พระองค์นี้กดพิมพ์ได้ลึกมาก ทำให้พระเศียรกลมโตเป็นพิเศษ 5. จมูก การกดพิมพ์ที่ลึกมากนั้นยังทำให้บริเวณปลายพระเศียรบริเวณจมูกนูนออกมาเล็กน้อย ซึ่งมีน้อยองค์มากๆที่จะเห็นรอยนูนนี้ 6. พระกรรณ พระกรรณข้างซ้ายจะเป็นปีกคมชัด ปลายพระกรรณยาวเกือบจรดบ่า พระกรรณข้างขวาติดรำไร เพราะเวลาถอดพระออกจากพิมพ์จะออกทางด้านซ้าย ทำให้ซึกซ้ายขององค์พระดูคมชัดกว่าซีกขวา (ในรูปมองเห็นพระกรรณไม่ชัดนัก แม้แต่ด้านซ้ายก็ตาม การถ่ายรูปถึงแม้จะถ่ายจาก Studio ที่มีประสบการณ์ก็ยังไม่สามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆนี้ให้เห็นเด่นชัดได้ ท่านอาจารย์บอกว่าถ้าได้ส่องจากองค์จริงจะมองเห็นชัดกว่าในรูป) 7. รักแร้ขององค์พระ จุดนี้ท่านอาจารย์เน้นย้ำว่า เป็นเอกลักษณ์ของพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ทุกพิมพ์ รักแร้ด้านซ้ายจะลึกกว่าด้านขวา 8. ซุ้มเรือนแก้ว เป็นเส้นกลมเหมือนหวายผ่าซีก สำหรับพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 จะมีซุ้มเรือนแก้วที่อ้วนและใหญ่กว่าพิมพ์ใหญ่พิมพ์อื่นทุกพิมพ์ และการหดตัวของซุ้มเรือนแก้วจะหดตัวในแนวตั้งฉาก (ตัวซุ้มเรือนแก้วเป็นแนวตั้งฉากกับพื้นองค์พระ) 9. แขนทั้ง 2 ข้าง กลมและใหญ่ มีการหดตัวในแนวตั้งฉากเช่นเดียวกับซุ้มเรือนแก้ว 10. ตำหนิที่ต้นแขนซ้าย เราจะเห็นตำหนิการยุบลงเล็กน้อยบริเวณต้นแขนซ้าย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่ทุกพิมพ์ ยกเว้นพิมพ์สังฆาฏิยาวเท่านั้นที่ต้นแขนจะเต็ม ไม่มีตำหนิแบบองค์นี้ 11. จีวรใต้ข้อศอกซ้าย เป็นเส้นเล็กๆยาวจรดที่หัวเข่า ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าต้องมองเทียบกันระหว่างใต้ศอกซ้าย กับใต้ศอกขวา จะเห็นว่าที่ใต้ศอกซ้ายจะมีเนื้อองค์พระที่ตื้นกว่าใต้ศอกขวา เส้นนี้แหละที่เรียกว่าจีวรใต้ศอกซ้าย 12. ขอบจีวรที่พาดผ่านอก เป็นเส้นตื้นๆ รำไรพาดจากบ่าซ้ายเฉียงลงไปที่ซอกแขนขวา ตามจุดที่ชี้ในรูปจะเห็นเป็นรอย เนื่องจากพระสมเด็จฯองค์นี้กดพิมพ์ได้ลึก จึงทำให้สามารถมองเห็นเส้นขอบจีวรนี้ได้ชัดกว่าองค์อื่นๆ (บางองค์มองแทบไม่เห็น ถ้ามองจากแค่รูปอาจจะไม่เห็นเลย ต้องส่องดูที่องค์จริงอาจจะเห็นเป็นรอยรำไรเท่านั้น) 13. เส้นสังฆาฏิ เป็นแผ่นโต และนูน พาดจากบ่าซ้ายลงมาที่ต้นช่องท้อง พระสมเด็จฯองค์นี้เราจะเห็นเส้นสังฆาฏิได้ง่ายและชัดมาก แต่บางองค์ที่กดพิมพ์ไม่ลึกมาก เส้นสังฆาฏิอาจจะมองยากซักนิดนึง โดยเฉพาะหากมองจากรูป อาจจะมองไม่เห็นเลย) 14. พระบาทซ้าย แนบที่หน้าตัก พระบาทยาวเกือบจรดเข่าขวา 15. ฐานชั้นที่3 เป็นทรงหมอนหนุน กลมโต และยาวตลอดหน้าตัก 16. เส้นแซมใต้ตัก ปลายฐานชั้นที่3 ทั้งสองข้างจะมีขอบม้วนขึ้นเป็นเส้นแซมใต้ตัก จากรูปตรงจุดที่เลข 16 ชี้นั้นเราจะเห็นเป็นเส้นนูนออกมาเล็กๆ ท่านอาจารย์กล่าวว่าด้วยความที่พระสมเด็จฯ องค์นี้กดพิมพ์ลึก จึงทำให้ยังสามารถเห็นได้แม้จะดูจากรูป แต่พระสมเด็จฯองค์อื่นๆ มองจากในรูปอาจจะไม่เห็นเส้นแซมใต้ตัก ต้องส่องจากองค์จริงถึงจะเห็น 17. ฐานชั้นที่2 เป็นโต๊ะขาสิงห์ ขอบโต๊ะจะเป็นทรงแหลม 18. ฐานชั้นที่1 เป็นฐานเขียงใหญ่และหนา ปลายฐานด้านขวาจะตัดเฉียงเป็นทรงหัวขวาน ท่านอาจารย์บอกว่าส่วนมากปลายล่างสุดด้านขวาของฐานชั้นที่ 1 จะชี้ไปยังมุมด้านล่างของซุ้มเรือนแก้ว 19. รอยหนอนด้น รอยหนอนด้นนั้นเราจะเห็นเป็นเส้นเล็กๆ เหมือนรอยปริแตก เกิดจากการสลายตัวของสารอินทรีย์ในมวลสารขององค์พระ ทำให้เกิดเป็นช่องว่าง เหมือนรอยแยก สำหรับพระสมเด็จฯองค์นี้เราจะเห็นรอยหนอนด้นบนซุ้มเรือนแก้ว (ตำแหน่งของรอยหนอนด้นบนองค์พระไม่แน่นอน แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า รอยหนอนด้นเป็นสิ่งหนึ่งที่เอาไว้ดูว่าพระแท้หรือไม่ เพราะรอยดังกล่าวเกิดจากย่อยสลายของสารอินทรีย์ในมวลสาร ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะกลายเป็นรอยหนอนด้น) 20. เม็ดพระธาตุ เม็ดพระธาตุเป็นปูนอีกชนิดหนึ่งที่สมเด็จโตท่านเอามาผสมในมวลสาร ซึ่งปูนชนิดนี้ไม่ได้ผสมกลมกลืนกับปูนเปลือกหอยที่เป็นวัตถุดิบหลักในการทำมวลสาร เมื่อเวลาผ่านไปการหดตัวของปูน 2 ชนิดไม่เท่ากัน ทำให้เกิดรอยแยกเห็นปูนอีกชนิดหนึ่งเป็นเม็ดเล็กๆ ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังว่าสันนิษฐานว่าเม็ดพระธาตุนี้คือเศษปูนที่ฉาบพระประธานในพระอุโบสถไว้ (สมัยโบราณจะมีการฉาบปูนทับองค์พระประธานไว้) เมื่อเศษปูนกระเทาะออก หรือมีการกระเทาะออกอย่างตั้งใจเพื่อที่จะทำการฉาบใหม่ สมเด็จโตท่านเห็นว่าปูนนี้เป็นของสูง ไม่ควรทิ้งในที่ที่มิควร จึงนำมาบดให้ละเอียดและผสมลงในมวลสาร แต่ถึงจะบดอย่างไร ปูนคงมิได้ละเอียดเป็นผง ยังคงมีเหลือที่เป็นเม็ดเล็กๆ เป็นที่มาของเม็ดพระธาตุ ท่านอาจารย์บอกว่าพระสมเด็จฯ องค์นี้ในสมัยที่ท่านยังโลดแล่นอยู่ในสนามพระ เรียกกันว่า "องค์เขียวมรกต" ถือเป็นหนึ่งในองค์ครูในการศึกษาการดูพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่1 พิมพ์สังฆาฏิสั้น โดยเฉพาะการดูเอกลักษณ์แม่พิมพ์และตำหนิพุทธศิลป์ของพิมพ์หน้า แอดมินหวังว่าบทความที่ Rewrite ขึ้นมาใหม่นี้จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกแฟนเพจที่ต้องการศึกษาการดูพระบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ พบกันใหม่ในโพสหน้าครับ #พระสมเด็จ #พระสมเด็จวัดระฆัง #เบญจภาคี #พระเครื่อง #สมเด็จโต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวหอมอินทรีย์ อีกบทเรียนหนึ่ง มัดหัวหอมอย่างไร
    หัวหอมอินทรีย์ อีกบทเรียนหนึ่ง มัดหัวหอมอย่างไร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)**
    หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    ---

    ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา**
    - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้
    - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ

    2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)**
    - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง)

    3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์**
    - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

    ---

    ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง**
    - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น
    - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง

    2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ**
    - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์

    3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร**
    - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต**
    - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง

    ---

    ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก**
    1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)**
    - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI)

    2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น**
    - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม

    3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด**
    - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ

    4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร**
    - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน

    5. **มาตรการระดับสากล**
    - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม

    ---

    ### **กรณีศึกษา**
    - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว
    - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ

    ---

    **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)** หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง --- ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา** - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้ - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ 2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)** - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง) 3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์** - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ --- ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง** - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง 2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ** - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์ 3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร** - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต** - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง --- ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก** 1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)** - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI) 2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น** - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม 3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด** - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ 4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร** - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน 5. **มาตรการระดับสากล** - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม --- ### **กรณีศึกษา** - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ --- **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้าพเจ้าสนับสนุนการเผาฟางแบบสุดตัว

    ข้าพเจ้าเผามาตลอด อย่าว่าแต่ฟางเลย หญ้า ใบไม้ก็เผา ใครห้ามก็ไม่ฟัง ก็จะเผา จะทำไม

    ขั้นตอนหนึ่ง ในการทำนาของข้าพเจ้า คือ หลังจากเกี่ยวข้าวและจัดการข้าวเปลือกเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะเผาฟางทั้งหมด ด้วยวิธีทางชีวภาพ นั้นคือการทำปุ๋ยหมัก ตามวิธีการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง วิศวกรรมแม่โจ้ 1 แต่ข้าพเจ้าจะพูดว่า เผาฟางโดยไม่ใช้ไฟ

    ถ้าทำแบบขี้เกียจ จะใช้เวลาหมัก 2 เดือน คนหมักมีหน้าที่แค่รักษาความชื้น และคอยเจาะกองปุ๋ย เติมน้ำ ทุก 10 วัน เพื่อรักษาความชื้นภายใน ไม่ให้แห้ง จุลินทรีย์จะได้ทำหน้าที่ย่อยสลายได้อย่างต่อเนื่อง ควันที่เห็นเกิดจากความร้อนในกระบวนการย่อยสลาย ปะทะเข้ากับอากาศเย็น ถ้าทำหน้าร้อนจะเห็นเป็นเปลวความร้อน

    เนื่องจากเป็นการหมักแบบใช้ออกซิเจน ก๊าซที่ได้จึงเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซนี้จะถูกใช้โดยต้นไม้ ตามวัฏจักรคาร์บอน สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำเพิ่มเติม คือ ต้องปลูกต้นไม้ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่อกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ ได้คาร์บอนเครดิต ไปเต็มๆ แต่อันนี้ไม่ขาย เอาไว้โม้ แฮ่ๆ

    เมื่อครบ 2 เดือน ล้มกอง ตากให้แห้งพอหมาดๆ จะได้ปุ๋ยหมักชั้นเยี่ยม อ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร(ลูกศิษย์เรียกจารย์ลุง) ผู้ทำวิจัย เคลมว่า ถ้าทำตามวิธีของจารย์ลุง ปุ๋ยหมักจะผ่านตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ประเทศไทย ข้าพเจ้าไม่เชื่อ เลยส่งไปตรวจ 2 ครั้งเขาตรวจ 20 กว่ารายการ ทั้งธาตุอาหารหลัก อาหารรอง อินทรีย์วัตถุ โลหะหนัก ฯ ปรากฎว่าผ่านเกณฑ์จริง น่าจะเชื่อตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเสียเงิน เพราะงานวิจัยของจารย์ลุง ได้รางวัลงานวิจัยดีเด่นแห่งชาติ

    แม้แต่หญ้าที่ตัดแล้ว ใบไม้ที่ร่วงหล่น ข้าพเจ้าจะรวบรวมไว้ และก็เผาแบบเดียวกัน เผาโดยไม่ใช้ไฟ ไร้ PM10 PM2.5 ได้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ ไว้ใส่พืช ผัก ผลไม้ มันช่างดีจริงจริง

    เมื่อถึงฤดูทำนา เวลาเตรียมดิน ข้าพเจ้าจะขนฟางที่เผาแล้วทั้งหมดลงใส่นา จบเรื่องปุ๋ย ตลอดฤดูการปลูก เกี่ยวข้าวเสร็จ เผาฟางต่อ เผาโดยไม่ใช้ไฟ ทำวนไป ได้ดินดี ได้ข้าวอินทรีย์ธรรมดาแสนดี ไว้กินตลอดปี
    ข้าพเจ้าสนับสนุนการเผาฟางแบบสุดตัว ข้าพเจ้าเผามาตลอด อย่าว่าแต่ฟางเลย หญ้า ใบไม้ก็เผา ใครห้ามก็ไม่ฟัง ก็จะเผา จะทำไม ขั้นตอนหนึ่ง ในการทำนาของข้าพเจ้า คือ หลังจากเกี่ยวข้าวและจัดการข้าวเปลือกเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะเผาฟางทั้งหมด ด้วยวิธีทางชีวภาพ นั้นคือการทำปุ๋ยหมัก ตามวิธีการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง วิศวกรรมแม่โจ้ 1 แต่ข้าพเจ้าจะพูดว่า เผาฟางโดยไม่ใช้ไฟ ถ้าทำแบบขี้เกียจ จะใช้เวลาหมัก 2 เดือน คนหมักมีหน้าที่แค่รักษาความชื้น และคอยเจาะกองปุ๋ย เติมน้ำ ทุก 10 วัน เพื่อรักษาความชื้นภายใน ไม่ให้แห้ง จุลินทรีย์จะได้ทำหน้าที่ย่อยสลายได้อย่างต่อเนื่อง ควันที่เห็นเกิดจากความร้อนในกระบวนการย่อยสลาย ปะทะเข้ากับอากาศเย็น ถ้าทำหน้าร้อนจะเห็นเป็นเปลวความร้อน เนื่องจากเป็นการหมักแบบใช้ออกซิเจน ก๊าซที่ได้จึงเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซนี้จะถูกใช้โดยต้นไม้ ตามวัฏจักรคาร์บอน สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำเพิ่มเติม คือ ต้องปลูกต้นไม้ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่อกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ ได้คาร์บอนเครดิต ไปเต็มๆ แต่อันนี้ไม่ขาย เอาไว้โม้ แฮ่ๆ เมื่อครบ 2 เดือน ล้มกอง ตากให้แห้งพอหมาดๆ จะได้ปุ๋ยหมักชั้นเยี่ยม อ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร(ลูกศิษย์เรียกจารย์ลุง) ผู้ทำวิจัย เคลมว่า ถ้าทำตามวิธีของจารย์ลุง ปุ๋ยหมักจะผ่านตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ประเทศไทย ข้าพเจ้าไม่เชื่อ เลยส่งไปตรวจ 2 ครั้งเขาตรวจ 20 กว่ารายการ ทั้งธาตุอาหารหลัก อาหารรอง อินทรีย์วัตถุ โลหะหนัก ฯ ปรากฎว่าผ่านเกณฑ์จริง น่าจะเชื่อตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเสียเงิน เพราะงานวิจัยของจารย์ลุง ได้รางวัลงานวิจัยดีเด่นแห่งชาติ แม้แต่หญ้าที่ตัดแล้ว ใบไม้ที่ร่วงหล่น ข้าพเจ้าจะรวบรวมไว้ และก็เผาแบบเดียวกัน เผาโดยไม่ใช้ไฟ ไร้ PM10 PM2.5 ได้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ ไว้ใส่พืช ผัก ผลไม้ มันช่างดีจริงจริง เมื่อถึงฤดูทำนา เวลาเตรียมดิน ข้าพเจ้าจะขนฟางที่เผาแล้วทั้งหมดลงใส่นา จบเรื่องปุ๋ย ตลอดฤดูการปลูก เกี่ยวข้าวเสร็จ เผาฟางต่อ เผาโดยไม่ใช้ไฟ ทำวนไป ได้ดินดี ได้ข้าวอินทรีย์ธรรมดาแสนดี ไว้กินตลอดปี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยได้พัฒนายางมะตอยที่สามารถซ่อมแซมรอยแตกและป้องกันการเกิดหลุมบ่อได้ด้วยตัวเอง ผลิตภัณฑ์นี้มีแรงบันดาลใจจากความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้และสัตว์บางชนิด การวิจัยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมบ่อในสหราชอาณาจักรที่ต้องการการซ่อมแซมมูลค่าหลายล้านปอนด์ในแต่ละปี

    รอยแตกในยางมะตอยมักเกิดจากการแข็งตัวของบิทูเมนเนื่องจากออกซิเดชัน ทางนักวิทยาศาสตร์จาก King's College London และ Swansea University ได้ร่วมมือกับนักวิจัยในประเทศชิลีเพื่อหาวิธีการย้อนกระบวนการนี้

    ยางมะตอยซ่อมแซมตนเองนี้ได้ถูกพัฒนาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยนำความสามารถของ Google Cloud AI มาใช้ในการพัฒนาวัสดุศาสตร์และเทคนิคการจำลองที่ทันสมัย ในห้องปฏิบัติการพบว่าวัสดุยางมะตอยใหม่นี้สามารถซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยผสมสปอร์พืชขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันรีไซเคิล ซึ่งจะปล่อยน้ำมันออกมาเมื่อยางมะตอยแตก ทำให้บิทูเมนสามารถไหลกลับมารวมกันได้

    นักวิจัยยังได้ใช้แมชชีนเลิร์นนิงในการวิเคราะห์โมเลกุลอินทรีย์ในบิทูเมนเพื่อเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของวัสดุยางมะตอย รวมถึงค้นหาคุณสมบัติทางเคมีที่ช่วยในการซ่อมแซมตนเอง

    ผลิตภัณฑ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่มีศักยภาพในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมความยั่งยืนทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/106684-researchers-develop-self-healing-asphalt-repairs-cracks-stops.html
    นักวิจัยได้พัฒนายางมะตอยที่สามารถซ่อมแซมรอยแตกและป้องกันการเกิดหลุมบ่อได้ด้วยตัวเอง ผลิตภัณฑ์นี้มีแรงบันดาลใจจากความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้และสัตว์บางชนิด การวิจัยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมบ่อในสหราชอาณาจักรที่ต้องการการซ่อมแซมมูลค่าหลายล้านปอนด์ในแต่ละปี รอยแตกในยางมะตอยมักเกิดจากการแข็งตัวของบิทูเมนเนื่องจากออกซิเดชัน ทางนักวิทยาศาสตร์จาก King's College London และ Swansea University ได้ร่วมมือกับนักวิจัยในประเทศชิลีเพื่อหาวิธีการย้อนกระบวนการนี้ ยางมะตอยซ่อมแซมตนเองนี้ได้ถูกพัฒนาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยนำความสามารถของ Google Cloud AI มาใช้ในการพัฒนาวัสดุศาสตร์และเทคนิคการจำลองที่ทันสมัย ในห้องปฏิบัติการพบว่าวัสดุยางมะตอยใหม่นี้สามารถซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยผสมสปอร์พืชขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันรีไซเคิล ซึ่งจะปล่อยน้ำมันออกมาเมื่อยางมะตอยแตก ทำให้บิทูเมนสามารถไหลกลับมารวมกันได้ นักวิจัยยังได้ใช้แมชชีนเลิร์นนิงในการวิเคราะห์โมเลกุลอินทรีย์ในบิทูเมนเพื่อเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของวัสดุยางมะตอย รวมถึงค้นหาคุณสมบัติทางเคมีที่ช่วยในการซ่อมแซมตนเอง ผลิตภัณฑ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่มีศักยภาพในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมความยั่งยืนทั่วโลก https://www.techspot.com/news/106684-researchers-develop-self-healing-asphalt-repairs-cracks-stops.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers develop self-healing asphalt that repairs cracks, stops potholes from forming
    The exact mechanisms of crack formation in asphalt are not fully understood, but they often originate from the hardening of bitumen due to oxidation. To tackle this...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฝ้า

    เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง

    ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ

    ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว

    1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก

    2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย

    3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว

    การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp

    ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า)

    1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด

    การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น

    Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง
    Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ
    Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม
    Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก

    2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า

    ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ

    -ยาคุมกำเนิดบางชนิด
    -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines)
    -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ
    -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ
    -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน
    -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด
    -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย

    3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้

    ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

    กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน)

    กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น

    4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า

    นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ

    -การตั้งครรภ์
    โรคกรดไหลย้อน
    โรคลำไส้แปรปรวน
    โรคแพ้ภูมิตัวเอง
    -โรคตับ
    -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ)
    -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ
    -เนื้องอกใต้สมอง

    5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ

    6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์

    ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน

    การปลดฝ้า

    เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง

    วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด

    สารอาหาร

    Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย

    อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น

    Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย

    อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

    Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ

    อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

    ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง

    ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด

    ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า

    อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก.

    สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น

    อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.

    Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

    อาหารดีๆ

    1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย

    2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

    3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย

    4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

    5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

    ผลิตภัณฑ์แนะนำ

    สบู่สมุนไพร
    Pun c
    Prink
    Alovi
    Praow
    Praew

    Cr. Santi Manadee
    #ฝ้า เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว 1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก 2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย 3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า) 1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก 2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ -ยาคุมกำเนิดบางชนิด -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines) -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย 3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้ ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน) กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น 4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ -การตั้งครรภ์ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน โรคแพ้ภูมิตัวเอง -โรคตับ -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ) -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ -เนื้องอกใต้สมอง 5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ 6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน การปลดฝ้า เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด สารอาหาร Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก. สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก. Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา อาหารดีๆ 1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย 2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม 3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย 4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย 5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ผลิตภัณฑ์แนะนำ สบู่สมุนไพร Pun c Prink Alovi Praow Praew Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 832 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นายพรานเขาจะไม่สนว่า
    พญาอินทรีย์ จะบินได้สูงแค่ไหน เมื่อไรที่เขาจะเด็ดปีกมันการล่อมันลงมานั้นสำหรับนายพราน ไม่ใช่เรื่องยาก
    เสือไม่ว่าจะหน้ากลัวดุร้ายเพียงใด เมื่อไรที่เขาต้องการหนังของมัน นายพรานจะลอกคาบมันจนกลายหมูตัวหนึ่ง
    นั้นคือ ความหน้ากลัวของนักล่า เพราะเขาไม่สนว่าคุณล่าเหยื่อได้ดีและเฉียบคมเพียงใด นักล่าจะมีวิธีจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย.
    #นายพรานเขาจะไม่สนว่า พญาอินทรีย์ จะบินได้สูงแค่ไหน เมื่อไรที่เขาจะเด็ดปีกมันการล่อมันลงมานั้นสำหรับนายพราน ไม่ใช่เรื่องยาก เสือไม่ว่าจะหน้ากลัวดุร้ายเพียงใด เมื่อไรที่เขาต้องการหนังของมัน นายพรานจะลอกคาบมันจนกลายหมูตัวหนึ่ง นั้นคือ ความหน้ากลัวของนักล่า เพราะเขาไม่สนว่าคุณล่าเหยื่อได้ดีและเฉียบคมเพียงใด นักล่าจะมีวิธีจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 976 มุมมอง 0 รีวิว
  • เช้านี้ลมแรงมาก # บ้านไร่บุญระเบียบ เกษตรอินทรีย์
    เช้านี้ลมแรงมาก # บ้านไร่บุญระเบียบ เกษตรอินทรีย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • องุ่นปลอดสารพิษ ไม่พ่นยาแมลง ไม่พ่นยาเชื้อรา ไม่พ่นฮอร์โมน ไม่พ่น ยืดช่อ ไม่จุ่มยาสลายเม็ด ปลอดภัย ปลอดสารพิษ100% มาตรฐาน GAP #เกษตรปลอดสาร #ชีวภัณฑ์ #เกษตรอินทรีย์ #โรคพืช #องุ่น ใต้ #นครศรีธรรมราช #องุ่น #gap
    องุ่นปลอดสารพิษ ไม่พ่นยาแมลง ไม่พ่นยาเชื้อรา ไม่พ่นฮอร์โมน ไม่พ่น ยืดช่อ ไม่จุ่มยาสลายเม็ด ปลอดภัย ปลอดสารพิษ100% มาตรฐาน GAP #เกษตรปลอดสาร #ชีวภัณฑ์ #เกษตรอินทรีย์ #โรคพืช #องุ่น ใต้ #นครศรีธรรมราช #องุ่น #gap
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1018 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • #GoodHealth 💪✌️🫰
    #GoodCheer 💚
    #HappyNewYear2025🌲 🌺 🎉🎊 🌻🌹

    สวัสดีปีใหม่ 2568
    ในวาระขึ้นปีใหม่ ขอส่งความรัก ความปรารถนาดี ให้เพื่อนๆ
    มีสุขภาพที่ดี ปลอดโรคภัย มีกำลังกาย กำลังใจ
    มีสติ ที่เข้มแข็ง แข็งแรง
    ช่วยกันดูแลสรรพชีวิต รักษ์โลก
    ดำเนินชีวิตด้วยความผาสุก สงบ สบาย
    พร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลงกับโลกใบนี้ 🌐 🌗 🌤
    .
    .
    .
    #สวัสดีปีใหม่2568
    #walkontheways
    #ปีงูเล็ก🐍
    #orgabotaessence
    #Orgabotaessenceproducts
    #ป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง
    #ศาสตร์พระราชา
    #สร้างความมั่นคงทางอาหาร กันเถอะ
    #แหล่งอาหารปลอดภัย
    #เกษตรอินทรีย์
    #GoodHealth 💪✌️🫰 #GoodCheer 💚 #HappyNewYear2025🌲 🌺 🎉🎊 🌻🌹 สวัสดีปีใหม่ 2568 ในวาระขึ้นปีใหม่ ขอส่งความรัก ความปรารถนาดี ให้เพื่อนๆ มีสุขภาพที่ดี ปลอดโรคภัย มีกำลังกาย กำลังใจ มีสติ ที่เข้มแข็ง แข็งแรง ช่วยกันดูแลสรรพชีวิต รักษ์โลก ดำเนินชีวิตด้วยความผาสุก สงบ สบาย พร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลงกับโลกใบนี้ 🌐 🌗 🌤 . . . #สวัสดีปีใหม่2568 #walkontheways #ปีงูเล็ก🐍 #orgabotaessence #Orgabotaessenceproducts #ป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง #ศาสตร์พระราชา #สร้างความมั่นคงทางอาหาร กันเถอะ #แหล่งอาหารปลอดภัย #เกษตรอินทรีย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 889 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨 #โรคโคนเน่าในเมล่อน: ปัญหาสำคัญหลังติดผล!

    📋 #สาเหตุหลัก:
    1. เชื้อราในวัสดุปลูก
    2. การจัดการน้ำไม่เหมาะสม
    3. ขาดการป้องกันกำจัดเชื้อราเชิงรุก

    🔍 #อาการที่พบ:
    - แผลไหม้สีน้ำตาลบริเวณโคนต้น
    - คราบตะไคร่น้ำสีเขียวที่โคนต้น
    - ต้นเหี่ยวเฉาในระยะรุนแรง

    ⚠️ #ปัจจัยเสี่ยง:
    1. ตำแหน่งหัวน้ำหยดใกล้โคนต้นเกินไป
    2. ให้น้ำมากเกินจนไหลนอง
    3. ความชื้นในวัสดุปลูกสูงช่วงเย็นถึงค่ำ

    🌟 #วิธีแก้ไขและป้องกัน:

    1. การใช้ชีวภัณฑ์:
    - ใช้ไตรโคบิวพลัส 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
    - ราดโคนต้นละ 200-250 ซีซี
    - ทำซ้ำทุก 7-10 วัน
    - ป้ายเชื้อราไตรโคบิวพลัสเข้มข้นที่แผล

    2. ปรับระบบน้ำ:
    - ย้ายหัวน้ำหยดให้อยู่กึ่งกลางระหว่างต้นกับขอบถุง
    - ควบคุมปริมาณน้ำไม่ให้ท่วมขัง
    - วัสดุปลูกควรแห้งในช่วง 18:00 น.

    3. การเฝ้าระวัง:
    - สังเกตการเปลี่ยนแปลงของต้นสม่ำเสมอ
    - ตรวจสอบความชื้นวัสดุปลูกทุกวัน
    - มองหาสัญญาณโรคและแมลงแต่เนิ่นๆ

    💡 เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ:
    - ใช้ชีวภัณฑ์เชิงป้องกันสม่ำเสมอ
    - จัดการน้ำอย่างแม่นยำ
    - รักษาความสะอาดในแปลง

    🏪 #ผลิตภัณฑ์แนะนำ:
    ไตรโคบิวพลัส
    - ขนาด: 500 กรัม
    - ราคา: 430 บาท
    - สั่งซื้อ: Inbox หรือ 093-696-2691 พิเศษ #ไตรโคบิวพลัส ขนาด500กรัม ราคา430บาท ขนาด50กรัม3ซอง ราคา250บาท Shopee: https://s.shopee.co.th/3fmMLR6sWD TikTok Shop: https://vt.tiktok.com/ZSjAQxMd9/

    #เมล่อน #โรคพืช #เกษตรอินทรีย์ #ชีวภัณฑ์ #เกษตรปลอดสาร #hydroponics
    🚨 #โรคโคนเน่าในเมล่อน: ปัญหาสำคัญหลังติดผล! 📋 #สาเหตุหลัก: 1. เชื้อราในวัสดุปลูก 2. การจัดการน้ำไม่เหมาะสม 3. ขาดการป้องกันกำจัดเชื้อราเชิงรุก 🔍 #อาการที่พบ: - แผลไหม้สีน้ำตาลบริเวณโคนต้น - คราบตะไคร่น้ำสีเขียวที่โคนต้น - ต้นเหี่ยวเฉาในระยะรุนแรง ⚠️ #ปัจจัยเสี่ยง: 1. ตำแหน่งหัวน้ำหยดใกล้โคนต้นเกินไป 2. ให้น้ำมากเกินจนไหลนอง 3. ความชื้นในวัสดุปลูกสูงช่วงเย็นถึงค่ำ 🌟 #วิธีแก้ไขและป้องกัน: 1. การใช้ชีวภัณฑ์: - ใช้ไตรโคบิวพลัส 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร - ราดโคนต้นละ 200-250 ซีซี - ทำซ้ำทุก 7-10 วัน - ป้ายเชื้อราไตรโคบิวพลัสเข้มข้นที่แผล 2. ปรับระบบน้ำ: - ย้ายหัวน้ำหยดให้อยู่กึ่งกลางระหว่างต้นกับขอบถุง - ควบคุมปริมาณน้ำไม่ให้ท่วมขัง - วัสดุปลูกควรแห้งในช่วง 18:00 น. 3. การเฝ้าระวัง: - สังเกตการเปลี่ยนแปลงของต้นสม่ำเสมอ - ตรวจสอบความชื้นวัสดุปลูกทุกวัน - มองหาสัญญาณโรคและแมลงแต่เนิ่นๆ 💡 เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ: - ใช้ชีวภัณฑ์เชิงป้องกันสม่ำเสมอ - จัดการน้ำอย่างแม่นยำ - รักษาความสะอาดในแปลง 🏪 #ผลิตภัณฑ์แนะนำ: ไตรโคบิวพลัส - ขนาด: 500 กรัม - ราคา: 430 บาท - สั่งซื้อ: Inbox หรือ 093-696-2691 พิเศษ #ไตรโคบิวพลัส ขนาด500กรัม ราคา430บาท ขนาด50กรัม3ซอง ราคา250บาท Shopee: https://s.shopee.co.th/3fmMLR6sWD TikTok Shop: https://vt.tiktok.com/ZSjAQxMd9/ #เมล่อน #โรคพืช #เกษตรอินทรีย์ #ชีวภัณฑ์ #เกษตรปลอดสาร #hydroponics
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • "...นรชาติวางวาย​ มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
    สถิตทั่วแต่ชั่วดี​ ประดับไว้ในโลกา"

    เหลือเพียง​ "ตำนาน" ของ​ "คนจริง"
    นามว่า​ "โสภณ​ องค์การณ์"

    รีวิวซะหน่อย​ หนังสือรวมบทความของคุณโสภณ

    อ่านแล้วเห็นภาพรวมของการเมืองไทยและสถานการณ์ต่างประเทศในรอบ​ 10​ กว่าปีให้หลัง​ครอบคลุมยุค "นางโพยปูโพรกเน่าใน" จนถึงยุค​ ​"มาดามซอฟต์พาวเวอร์เวอร์" (ตามที่คุณโสภณเรียก)​

    เชื่อเลยครับ​ วางไม่ลง อ่านจบในคืนเดียว!
    "...นรชาติวางวาย​ มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี​ ประดับไว้ในโลกา" เหลือเพียง​ "ตำนาน" ของ​ "คนจริง" นามว่า​ "โสภณ​ องค์การณ์" รีวิวซะหน่อย​ หนังสือรวมบทความของคุณโสภณ อ่านแล้วเห็นภาพรวมของการเมืองไทยและสถานการณ์ต่างประเทศในรอบ​ 10​ กว่าปีให้หลัง​ครอบคลุมยุค "นางโพยปูโพรกเน่าใน" จนถึงยุค​ ​"มาดามซอฟต์พาวเวอร์เวอร์" (ตามที่คุณโสภณเรียก)​ เชื่อเลยครับ​ วางไม่ลง อ่านจบในคืนเดียว!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • 16-12-67/01 : หมี CNN / เล่าสู่กันฟัง" EP.14 ตอน "NO ONE CAN GET AWAY FROM KARMA" อั๊ยยะ! เปิดเช้ามา เจอแต่ข่าววิญญานอีโมเต็มโซเชี่ยล อ.ปานเทพ ไม่น่าเลย? เหี้ยดิ้นพล่านทั้งแผ่นดิน ไอ้อีที่ฆาตกรรม ไอ้อีที่รับงาน ไอ้อีที่จัดฉาก ไอ้อีที่สนองตัณหานาย ทั้งอีเสี่ย อีชายสูงวัย อีกากี DSI ขบวนการต้นน้ำทั้งหลาย หนาวจัด! ยื่นศาลแน่ หลักฐานใหม่ หวังพลิกคดี หนำซ้ำ ชาวโลกแห่กันกระทืบซ้ำอีกากีไทย รวยคือรอด จนคือตาย เงินฟาดหัวข้าราชการไทยได้สบายตรีน อายหมามั้ย? โลกความเป็นจริง หากตำรวจรักษากฎหมายไม่ได้ แล้วมรึงจะมีไปทำไม? เอาชาวบ้านมาปกป้องตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ? เมื่ออีตำหนวดไม่ทำงาน ชาวบ้านหยิบปืนขึ้นสู้เอง ป้องกันตัวเอง ไม่ต้องจ่ายภาษีเอาไปให้กรมเหี้ยหากินบนซากศพชาวบ้านอีกต่อไป งานนี้ กูบอกตรง สัมผัสได้ "วิญญานอีโมขึ้นสู่จุดสูงสุด พลังไซย่ามาเต็ม" ใครว่าอีเสี่ย อีชายสูงวัย สั่งหมอขะแมร์สะกดวิญญานอีโม กูบอกเลย "10 หมอ ก็เอาไม่อยู่" มันแค้นจัดสุดขีด ใครเป็นชาวพุทธ ช่วยกันสวดมนต์ส่งพลังให้อีโมด้วย เอาแรงอธิษฐานไปสู้อีหมอขะแมร์ จัดการแม่งก่อนใครเพื่อน? งานนี้ มรึงได้เจอ "ผีแม่นาค ภาค 2" แน่มรึง? เมื่อมรึงเอากฎหมายเล่นแร่แปรวิญญาน ธรรมชาติจะลงโทษมรึงเอง อีโมใช้พลังเหนือธรรมชาติ หลอกหลอนมรึงไม่ต้องหลับต้องนอนกันอีก ต้องขอบคุณคุณหมอ ที่เอาหลักฐานใหม่ชัด มาเปิดเผย มอบให้อ.ปานเทพ เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ทวงความยุติธรรมคืนให้อีโม เพื่อดวงวิญญานจะได้ไปสู่สุขคติ อีโมตายยังไม่เจ็บ เท่าบุพการีหักหลัง ไหนจะเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ชาติก่อนมรึงไปทำอะไรเอาไว้อีโม ชาตินี้ มรึงถึงได้ถูกจัดหนักซ้ำซาก เลือดเป็นพิษ?

    ฤทธิ์จิ๋นซี! ไอ้สัส! ใครสั่งให้มรึงยั่วยุไทย แดร๊ก 2 ต่อเหรอ? หลังจีนตบอีขะแมร์หน้าหงาย ใคร? เคยตกลงกับมรึง? ใครคุย? เครมมั่วตลอด อ้างจีนหนุนขุดคลองฟูนันเตโช หลังอีเหลี่ยมชาติหมา คุยอีฮุนเซน เดินแผนอย่างหมา MOU44 ไทยไม่เล่นตามเกมส์มรึง เรือรบออก บินรบออก สั่งสอน แค่ขี้ตรีน อย่าริหวังฮุบแผ่นดินทอง มรึงมันแค่ "เศษสวะ" ขี้ตรีนทหารไทย จีนตบสั่งสอน ทำเอาโครงการเมกะโปรเจคอีขะแมร์ ที่หวังคิดเทียบชั้นท่าเรือฮับอาเซียน ไบ้แดร๊ก ไปไม่เป็น เจ๊งสิจ๊ะ คลองฟูนันเตโชขุดไปแล้ว ใครจ่ายกันล่ะ? ช่วงหลังจีนออกตัวมากขึ้น ว่าอุ้มไทยจ๋า ใครแตะต้อง มรึงโดน! ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระดับราชวงศ์ทั้งสอง แต่มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ เค้าวางให้ไทยเป็นฮับอาเซียน แล้วมรึงเสือกสะเออะเสนอหน้าทำไม ดูปัญญา ดูศักยภาพมรึงด้วย เป็นแค่หมาล่าเนื้อ อย่าริหวังขึ้นเป็นพญาอินทรีย์ ทั้งอีเหลี่ยม อีฮุน สันดานเดียวกัน เป็นแค่สัญชาติโจร หวังขึ้นเป็นราชา บังลังก์ก็ไปปล้นเค้ามา เวรกรรมมีจริง กรรมตามทันเสมอ มรึงรอดูชะตากรรมอีขะแมร์ได้เลย ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็แค่สมบัติผลัดกันชม รอดูวันที่อีขะแมร์ไม่มีอีฮุนเซน ต้องลี้ภัยไปต่างแดน แล้วลูกหลานพญาละแวก กลับมาตายคาตรีน สวามิภักดิ์อโยธยาอีกครั้ง งวดนี้ จะล่อไม่ให้มีแผ่นดินเหลืออยู่ ผนวกแม่งให้หมด กลืนแม่งทั้งแผ่นดินไปเลย เพราะอดีต มันคือของอโยธยาทั้งสิ้น อะไรน่ะ แล้วคนเหรอ? เอามาเป็นแรงงานชั้น 3 ประชาชนชั้น 10 ก็เพียงพอแล้ว โหดไปป่ะ?

    โป๊ะแตก! ลับ ลวง พลาง! ว้าแดง โตขึ้นมาได้เพราะจีนหนุน ช่วงแรกใช้กวาดล้างบางขุนส่า ราชายาเสพติดยุคนั้น ทำไมจีนต้องหนุนกองกำลังในพม่าบางส่วน มีไว้เพื่อต่อต้าน กดดัน กองกำลังพม่าในฝ่ายเหี้ย C ไงล่ะ ดังนั้น ไม่แปลก ตามชายแดนไทยถึงมีกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายจีนหนุน กับฝ่ายเหี้ยมะกันหนุน เพื่อประจัญหน้ากัน ยามเดินหมาก ช่วงนี้ ทำไมว้าแดง ถึงได้เริ่มก่อกวนไทย ต้องถามว่า ใครไปทำอะไรเบื้องหลังจีนก่อนล่ะ ใครเป็นรัฐบาล ใครแอบจ้องหักหลังจีนก่อน ที่จะบอกคือ เรื่องว้าแดง และเรื่องคลองฟูนันเตโชของอีขะแมร์ คือเรื่องเดียวกัน สัญญานจากปักกิ่งจ๊ะ มองให้ลึกจะเห็นคนเดินเกมส์นี้ จีนไม่ได้กดดันไทย แต่สั่งสอนรัฐบาลขี้ข้าเหี้ยมะกันที่แอบคุยอีขะแมร์หักหลังจีน มรึงจะรู้มั้ยว่า หลังฉาก ราชวงศ์ไทยกับจีน คุยอะไรกันบ้าง? เรื่องความมั่นคง หากจีนไม่ดูแลเรา ยามที่ไทยต้องเสียรางวัดเพราะอีนักการเมืองขายชาติทั้งหลาย จีนจะเสียหายมากกว่านี้เยอะ ที่นี้ รู้ยังว่าทำไม จีนจึงต้องเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กลุ่มกองกำลังในพม่าตามพรมแดนพม่า เพื่อสกัดอิทธิพลตะวันตก และช่วยเหลือชาติพันธมิตร มองให้ขาด 3 ชั้นสิจ๊ะ ที่มาว่าทำไม อีตระกูลขายชาติหน้าเหลี่ยม ทำเหี้ยอะไรก็ถูกเตะตัดขาไปหมด เบื้องหลังคือจีนเนี่ยแหละ หมีเคยบอกแล้วว่า ทหารไทย และทหารอาเซียน เค้าคุยกันหมด มรึงอย่าคิดว่าทหารขะแมร์ ซื่อสัตย์ต่อฮุนเซนน่ะ ไอ้พวกที่จ้องจะล้มฮุนเซนก็มีมิใช่น้อย เพราะเคยเป็นผู้รับใช้ราชวงศ์เก่าก่อนก็มีเยอะ รออีกไม่นาน แสงทำงานเต็มกำลังเมื่อไหร่ อีขะแมร์แตกแน่!

    ปล.ล่าสุด สมรภูมิซีเรียใหม่เป็นยังไง? ทำไม ข่าวถึงเงียบ ไม่ค่อยแห่กันมาโผล่ช่วงแรก คำตอบคือ "จุกปาก จุกอก" อยู่จ๊ะ อะไรที่สื่อเหี้ยเงียบ แปลว่านายใหญ่ถูกถล่มขี้แตกอยู่ไงจ๊ะ? ใครตามสื่อเหี้ยมานานนับสิบปี จะรู้ทรง รู้แนวทางกันดี แค่ฆ่ากองกำลังเล็กๆ ได้ แม่งจะป่าวประกาศยิ่งใหญ่ นึกว่าตีอโยธยาแตกซะงั้น ไกง่วงกำลังคึกคัก นอกจากทำลายแหล่งผลิตยาเสพติดของอีเหี้ยไอซิส และอีเคิร์ดกบฎได้แล้ว ยังดาหน้าปูพรม ขยายแนวรบ สิ่งที่อยากทำมานานนั่นคือ คาบสมุทรไซนาย ดาหน้าไล่เก็บกองกำลังเหี้ยนั่นเอง อ้าว..แล้วข่าวที่บอก อียิวไล่ยึดเมืองซีเรียไปทั่ว ไฉนไม่เจอกองทัพอีไก่งวงเลยล่ะ แหม..จัดฉากหลอกควาย ทำไมต้องไปเจอของจริงด้วยล่ะ ยึดเมืองที่อีเคิร์ดอยู่ก่อนแล้ว อย่าเรียกว่ายึดเลย เจ้าของที่เค้าถอนกำลังออก เหลือแต่เมืองร้าง มรึงก็แค่ย้ายกองพลเข้าไปเสียบแทน ตามแผนล่อเหี้ย รบตรงไหนฟ่ะ? ควายชื่นชม อียิวเก่ง อียิวห้าวหาญ เอาใจควายหน่อย ช่วงโปรเค้า อะไรน่ะ กองทัพไก่งวง เข้าพื้นที่เร็วมาก โดยเฉพาะบริเวณบ่อน้ำมัน เป้าหมายชัดซะยิ่งกว่าชัด อีแอร์โดกัน ต้องการมีส่วนร่วม มีหุ้นส่วนแหล่งพลังงานในซีเรีย โดยมีรัสเซีย อิหร่านเป็นเจ้าภาพ ถึงได้ยอมเสี่ยง เอากองกำลังเข้าแลก เพื่อยึดคืนพื้นที่บ่อน้ำมันทั้ง 3 จุดใหญ่ ผลประโยชน์ซะขนาดนี้ อีไก่งวงสู้ถวายหัว รัสเซียไม่เหนื่อย อิหร่านไม่เสี่ยง ซีเรียลอยตัว รอเหี้ยตายคือจบ ค่อยโยกย้ายกลับมา ก็แค่สมบัติผลัดกันชม เข้าใจสถานการณ์ จะใจเบาขึ้นเยอะ

    หมี CNN(มองเกมส์ให้เป็น ดูหมากให้แตก พม่า ขะแมร์ จะไม่รบกับไทย ตราบใดที่จีนยังดูแลอยู่ นั่นแค่ละครปาหี่ อย่าลืมว่า รัฐบาลไทยวันนี้ เป็นขี้ข้าเหี้ยวอชิงตัน มีเหรอ จีนจะไม่ตบสั่งสอน เพราะรู้ว่ามรึงกำลังจะทำอะไร ทหารไทยถึงได้นิ่ง มีอะไรซ้อมรบขู่กลับไว้ก่อน เค้าคุยกันหมดแล้ว อะไรน่ะ กองทัพไม่คุยกับรัฐบาล มรึงไปอยู่ไหนมา กันยายนปีกลาย ใครโยกย้ายกำลังพลทั้งหมดล่ะ ตบหน้าอีรัฐบาลใหม่ กองทัพเป็นของวังจ๊ะ อย่าเสือก)
    16 ธันวาคม 67
    10.40 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100015961291594
    16-12-67/01 : หมี CNN / เล่าสู่กันฟัง" EP.14 ตอน "NO ONE CAN GET AWAY FROM KARMA" อั๊ยยะ! เปิดเช้ามา เจอแต่ข่าววิญญานอีโมเต็มโซเชี่ยล อ.ปานเทพ ไม่น่าเลย? เหี้ยดิ้นพล่านทั้งแผ่นดิน ไอ้อีที่ฆาตกรรม ไอ้อีที่รับงาน ไอ้อีที่จัดฉาก ไอ้อีที่สนองตัณหานาย ทั้งอีเสี่ย อีชายสูงวัย อีกากี DSI ขบวนการต้นน้ำทั้งหลาย หนาวจัด! ยื่นศาลแน่ หลักฐานใหม่ หวังพลิกคดี หนำซ้ำ ชาวโลกแห่กันกระทืบซ้ำอีกากีไทย รวยคือรอด จนคือตาย เงินฟาดหัวข้าราชการไทยได้สบายตรีน อายหมามั้ย? โลกความเป็นจริง หากตำรวจรักษากฎหมายไม่ได้ แล้วมรึงจะมีไปทำไม? เอาชาวบ้านมาปกป้องตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ? เมื่ออีตำหนวดไม่ทำงาน ชาวบ้านหยิบปืนขึ้นสู้เอง ป้องกันตัวเอง ไม่ต้องจ่ายภาษีเอาไปให้กรมเหี้ยหากินบนซากศพชาวบ้านอีกต่อไป งานนี้ กูบอกตรง สัมผัสได้ "วิญญานอีโมขึ้นสู่จุดสูงสุด พลังไซย่ามาเต็ม" ใครว่าอีเสี่ย อีชายสูงวัย สั่งหมอขะแมร์สะกดวิญญานอีโม กูบอกเลย "10 หมอ ก็เอาไม่อยู่" มันแค้นจัดสุดขีด ใครเป็นชาวพุทธ ช่วยกันสวดมนต์ส่งพลังให้อีโมด้วย เอาแรงอธิษฐานไปสู้อีหมอขะแมร์ จัดการแม่งก่อนใครเพื่อน? งานนี้ มรึงได้เจอ "ผีแม่นาค ภาค 2" แน่มรึง? เมื่อมรึงเอากฎหมายเล่นแร่แปรวิญญาน ธรรมชาติจะลงโทษมรึงเอง อีโมใช้พลังเหนือธรรมชาติ หลอกหลอนมรึงไม่ต้องหลับต้องนอนกันอีก ต้องขอบคุณคุณหมอ ที่เอาหลักฐานใหม่ชัด มาเปิดเผย มอบให้อ.ปานเทพ เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ทวงความยุติธรรมคืนให้อีโม เพื่อดวงวิญญานจะได้ไปสู่สุขคติ อีโมตายยังไม่เจ็บ เท่าบุพการีหักหลัง ไหนจะเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ชาติก่อนมรึงไปทำอะไรเอาไว้อีโม ชาตินี้ มรึงถึงได้ถูกจัดหนักซ้ำซาก เลือดเป็นพิษ? ฤทธิ์จิ๋นซี! ไอ้สัส! ใครสั่งให้มรึงยั่วยุไทย แดร๊ก 2 ต่อเหรอ? หลังจีนตบอีขะแมร์หน้าหงาย ใคร? เคยตกลงกับมรึง? ใครคุย? เครมมั่วตลอด อ้างจีนหนุนขุดคลองฟูนันเตโช หลังอีเหลี่ยมชาติหมา คุยอีฮุนเซน เดินแผนอย่างหมา MOU44 ไทยไม่เล่นตามเกมส์มรึง เรือรบออก บินรบออก สั่งสอน แค่ขี้ตรีน อย่าริหวังฮุบแผ่นดินทอง มรึงมันแค่ "เศษสวะ" ขี้ตรีนทหารไทย จีนตบสั่งสอน ทำเอาโครงการเมกะโปรเจคอีขะแมร์ ที่หวังคิดเทียบชั้นท่าเรือฮับอาเซียน ไบ้แดร๊ก ไปไม่เป็น เจ๊งสิจ๊ะ คลองฟูนันเตโชขุดไปแล้ว ใครจ่ายกันล่ะ? ช่วงหลังจีนออกตัวมากขึ้น ว่าอุ้มไทยจ๋า ใครแตะต้อง มรึงโดน! ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระดับราชวงศ์ทั้งสอง แต่มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ เค้าวางให้ไทยเป็นฮับอาเซียน แล้วมรึงเสือกสะเออะเสนอหน้าทำไม ดูปัญญา ดูศักยภาพมรึงด้วย เป็นแค่หมาล่าเนื้อ อย่าริหวังขึ้นเป็นพญาอินทรีย์ ทั้งอีเหลี่ยม อีฮุน สันดานเดียวกัน เป็นแค่สัญชาติโจร หวังขึ้นเป็นราชา บังลังก์ก็ไปปล้นเค้ามา เวรกรรมมีจริง กรรมตามทันเสมอ มรึงรอดูชะตากรรมอีขะแมร์ได้เลย ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็แค่สมบัติผลัดกันชม รอดูวันที่อีขะแมร์ไม่มีอีฮุนเซน ต้องลี้ภัยไปต่างแดน แล้วลูกหลานพญาละแวก กลับมาตายคาตรีน สวามิภักดิ์อโยธยาอีกครั้ง งวดนี้ จะล่อไม่ให้มีแผ่นดินเหลืออยู่ ผนวกแม่งให้หมด กลืนแม่งทั้งแผ่นดินไปเลย เพราะอดีต มันคือของอโยธยาทั้งสิ้น อะไรน่ะ แล้วคนเหรอ? เอามาเป็นแรงงานชั้น 3 ประชาชนชั้น 10 ก็เพียงพอแล้ว โหดไปป่ะ? โป๊ะแตก! ลับ ลวง พลาง! ว้าแดง โตขึ้นมาได้เพราะจีนหนุน ช่วงแรกใช้กวาดล้างบางขุนส่า ราชายาเสพติดยุคนั้น ทำไมจีนต้องหนุนกองกำลังในพม่าบางส่วน มีไว้เพื่อต่อต้าน กดดัน กองกำลังพม่าในฝ่ายเหี้ย C ไงล่ะ ดังนั้น ไม่แปลก ตามชายแดนไทยถึงมีกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายจีนหนุน กับฝ่ายเหี้ยมะกันหนุน เพื่อประจัญหน้ากัน ยามเดินหมาก ช่วงนี้ ทำไมว้าแดง ถึงได้เริ่มก่อกวนไทย ต้องถามว่า ใครไปทำอะไรเบื้องหลังจีนก่อนล่ะ ใครเป็นรัฐบาล ใครแอบจ้องหักหลังจีนก่อน ที่จะบอกคือ เรื่องว้าแดง และเรื่องคลองฟูนันเตโชของอีขะแมร์ คือเรื่องเดียวกัน สัญญานจากปักกิ่งจ๊ะ มองให้ลึกจะเห็นคนเดินเกมส์นี้ จีนไม่ได้กดดันไทย แต่สั่งสอนรัฐบาลขี้ข้าเหี้ยมะกันที่แอบคุยอีขะแมร์หักหลังจีน มรึงจะรู้มั้ยว่า หลังฉาก ราชวงศ์ไทยกับจีน คุยอะไรกันบ้าง? เรื่องความมั่นคง หากจีนไม่ดูแลเรา ยามที่ไทยต้องเสียรางวัดเพราะอีนักการเมืองขายชาติทั้งหลาย จีนจะเสียหายมากกว่านี้เยอะ ที่นี้ รู้ยังว่าทำไม จีนจึงต้องเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กลุ่มกองกำลังในพม่าตามพรมแดนพม่า เพื่อสกัดอิทธิพลตะวันตก และช่วยเหลือชาติพันธมิตร มองให้ขาด 3 ชั้นสิจ๊ะ ที่มาว่าทำไม อีตระกูลขายชาติหน้าเหลี่ยม ทำเหี้ยอะไรก็ถูกเตะตัดขาไปหมด เบื้องหลังคือจีนเนี่ยแหละ หมีเคยบอกแล้วว่า ทหารไทย และทหารอาเซียน เค้าคุยกันหมด มรึงอย่าคิดว่าทหารขะแมร์ ซื่อสัตย์ต่อฮุนเซนน่ะ ไอ้พวกที่จ้องจะล้มฮุนเซนก็มีมิใช่น้อย เพราะเคยเป็นผู้รับใช้ราชวงศ์เก่าก่อนก็มีเยอะ รออีกไม่นาน แสงทำงานเต็มกำลังเมื่อไหร่ อีขะแมร์แตกแน่! ปล.ล่าสุด สมรภูมิซีเรียใหม่เป็นยังไง? ทำไม ข่าวถึงเงียบ ไม่ค่อยแห่กันมาโผล่ช่วงแรก คำตอบคือ "จุกปาก จุกอก" อยู่จ๊ะ อะไรที่สื่อเหี้ยเงียบ แปลว่านายใหญ่ถูกถล่มขี้แตกอยู่ไงจ๊ะ? ใครตามสื่อเหี้ยมานานนับสิบปี จะรู้ทรง รู้แนวทางกันดี แค่ฆ่ากองกำลังเล็กๆ ได้ แม่งจะป่าวประกาศยิ่งใหญ่ นึกว่าตีอโยธยาแตกซะงั้น ไกง่วงกำลังคึกคัก นอกจากทำลายแหล่งผลิตยาเสพติดของอีเหี้ยไอซิส และอีเคิร์ดกบฎได้แล้ว ยังดาหน้าปูพรม ขยายแนวรบ สิ่งที่อยากทำมานานนั่นคือ คาบสมุทรไซนาย ดาหน้าไล่เก็บกองกำลังเหี้ยนั่นเอง อ้าว..แล้วข่าวที่บอก อียิวไล่ยึดเมืองซีเรียไปทั่ว ไฉนไม่เจอกองทัพอีไก่งวงเลยล่ะ แหม..จัดฉากหลอกควาย ทำไมต้องไปเจอของจริงด้วยล่ะ ยึดเมืองที่อีเคิร์ดอยู่ก่อนแล้ว อย่าเรียกว่ายึดเลย เจ้าของที่เค้าถอนกำลังออก เหลือแต่เมืองร้าง มรึงก็แค่ย้ายกองพลเข้าไปเสียบแทน ตามแผนล่อเหี้ย รบตรงไหนฟ่ะ? ควายชื่นชม อียิวเก่ง อียิวห้าวหาญ เอาใจควายหน่อย ช่วงโปรเค้า อะไรน่ะ กองทัพไก่งวง เข้าพื้นที่เร็วมาก โดยเฉพาะบริเวณบ่อน้ำมัน เป้าหมายชัดซะยิ่งกว่าชัด อีแอร์โดกัน ต้องการมีส่วนร่วม มีหุ้นส่วนแหล่งพลังงานในซีเรีย โดยมีรัสเซีย อิหร่านเป็นเจ้าภาพ ถึงได้ยอมเสี่ยง เอากองกำลังเข้าแลก เพื่อยึดคืนพื้นที่บ่อน้ำมันทั้ง 3 จุดใหญ่ ผลประโยชน์ซะขนาดนี้ อีไก่งวงสู้ถวายหัว รัสเซียไม่เหนื่อย อิหร่านไม่เสี่ยง ซีเรียลอยตัว รอเหี้ยตายคือจบ ค่อยโยกย้ายกลับมา ก็แค่สมบัติผลัดกันชม เข้าใจสถานการณ์ จะใจเบาขึ้นเยอะ หมี CNN(มองเกมส์ให้เป็น ดูหมากให้แตก พม่า ขะแมร์ จะไม่รบกับไทย ตราบใดที่จีนยังดูแลอยู่ นั่นแค่ละครปาหี่ อย่าลืมว่า รัฐบาลไทยวันนี้ เป็นขี้ข้าเหี้ยวอชิงตัน มีเหรอ จีนจะไม่ตบสั่งสอน เพราะรู้ว่ามรึงกำลังจะทำอะไร ทหารไทยถึงได้นิ่ง มีอะไรซ้อมรบขู่กลับไว้ก่อน เค้าคุยกันหมดแล้ว อะไรน่ะ กองทัพไม่คุยกับรัฐบาล มรึงไปอยู่ไหนมา กันยายนปีกลาย ใครโยกย้ายกำลังพลทั้งหมดล่ะ ตบหน้าอีรัฐบาลใหม่ กองทัพเป็นของวังจ๊ะ อย่าเสือก) 16 ธันวาคม 67 10.40 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/profile.php?id=100015961291594
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 825 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌱 ปฏิทินการปลูกผักประจำเดือนธันวาคม 🌱รู้หรือไม่ว่าเดือนธันวาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกผักหลายชนิด เพราะสภาพอากาศเย็นสบาย ทำให้ผักเจริญเติบโตได้ดี ไม่ต้องดูแลซับซ้อนเท่าฤดูร้อน ☁️✨ ผักแนะนำให้ปลูกในเดือนนี้ ได้แก่ • กระหล่ำปลี และ กระหล่ำดอก: เติบโตได้ดีในอากาศเย็น ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • ผักคะน้า และ ผักกวางตุ้งไต้หวัน: ปลูกง่าย โตเร็ว เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มทำเกษตร • แตงกวา และ ผักกาดขาว: ดูแลไม่ยาก แต่ต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • พริก และ มะเขือเทศ: ชอบแดดจัดแต่ไม่ร้อนจนเกินไป เดือนนี้จึงเหมาะสำหรับการเพาะปลูก • หัวไชเท้า และ ต้นหอม: ปลูกไว้ในแปลงเล็ก ๆ ก็ได้ผลผลิตที่สดใหม่ ใช้เวลาไม่นาน🌿 ข้อดีของการปลูกผักตามฤดูกาล 🌿1️⃣ ผักโตเร็วและให้ผลผลิตดี เพราะสภาพอากาศเหมาะสม2️⃣ ลดปัญหาแมลงศัตรูพืชที่มากับอากาศร้อนชื้น3️⃣ ประหยัดต้นทุนในการดูแล เช่น ค่าน้ำ ค่าแรง และสารเคมี4️⃣ ปลูกผักกินเองที่บ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและปลอดภัยจากสารตกค้าง📌 สำหรับเกษตรกรมือใหม่หรือคนที่อยากปลูกผักไว้กินเอง ลองเลือกผักที่เหมาะกับฤดูกาลแบบนี้ รับรองได้ผลผลิตดี ไม่เสียแรงแน่นอน!ติดตามเพจ “เกษตรน้อย” เพื่อสาระดี ๆ และเคล็ดลับการทำเกษตรในทุกฤดูกาล 🌾เพราะเราอยากเห็นทุกครัวเรือนมีผักสดปลอดภัยไว้รับประทาน 🥦#เกษตรน้อย #ร้านเกษตรน้อย #เกษตรกร #เกษตรพอเพียง #เกษตรอินทรีย์ #ปลูกผักปลอดสาร #ปฏิทินปลูกผัก #ผักสวนครัว #ผักปลอดสารพิษ #กะหล่ําปี #กะหล่ำดอ #คะน้า #ผักบุ้งไฟแดง #ผักกาดขาว #แตงกวา #ผักชี #มะเขือเทศ #พริก
    🌱 ปฏิทินการปลูกผักประจำเดือนธันวาคม 🌱รู้หรือไม่ว่าเดือนธันวาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกผักหลายชนิด เพราะสภาพอากาศเย็นสบาย ทำให้ผักเจริญเติบโตได้ดี ไม่ต้องดูแลซับซ้อนเท่าฤดูร้อน ☁️✨ ผักแนะนำให้ปลูกในเดือนนี้ ได้แก่ • กระหล่ำปลี และ กระหล่ำดอก: เติบโตได้ดีในอากาศเย็น ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • ผักคะน้า และ ผักกวางตุ้งไต้หวัน: ปลูกง่าย โตเร็ว เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มทำเกษตร • แตงกวา และ ผักกาดขาว: ดูแลไม่ยาก แต่ต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • พริก และ มะเขือเทศ: ชอบแดดจัดแต่ไม่ร้อนจนเกินไป เดือนนี้จึงเหมาะสำหรับการเพาะปลูก • หัวไชเท้า และ ต้นหอม: ปลูกไว้ในแปลงเล็ก ๆ ก็ได้ผลผลิตที่สดใหม่ ใช้เวลาไม่นาน🌿 ข้อดีของการปลูกผักตามฤดูกาล 🌿1️⃣ ผักโตเร็วและให้ผลผลิตดี เพราะสภาพอากาศเหมาะสม2️⃣ ลดปัญหาแมลงศัตรูพืชที่มากับอากาศร้อนชื้น3️⃣ ประหยัดต้นทุนในการดูแล เช่น ค่าน้ำ ค่าแรง และสารเคมี4️⃣ ปลูกผักกินเองที่บ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและปลอดภัยจากสารตกค้าง📌 สำหรับเกษตรกรมือใหม่หรือคนที่อยากปลูกผักไว้กินเอง ลองเลือกผักที่เหมาะกับฤดูกาลแบบนี้ รับรองได้ผลผลิตดี ไม่เสียแรงแน่นอน!ติดตามเพจ “เกษตรน้อย” เพื่อสาระดี ๆ และเคล็ดลับการทำเกษตรในทุกฤดูกาล 🌾เพราะเราอยากเห็นทุกครัวเรือนมีผักสดปลอดภัยไว้รับประทาน 🥦#เกษตรน้อย #ร้านเกษตรน้อย #เกษตรกร #เกษตรพอเพียง #เกษตรอินทรีย์ #ปลูกผักปลอดสาร #ปฏิทินปลูกผัก #ผักสวนครัว #ผักปลอดสารพิษ #กะหล่ําปี #กะหล่ำดอ #คะน้า #ผักบุ้งไฟแดง #ผักกาดขาว #แตงกวา #ผักชี #มะเขือเทศ #พริก
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 927 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿อากาศเริ่มหนาว #โรคใบจุดAlternaria (โรคตากบ),(ใบจุดตากบ) - ภัยเงียบในพืชตระกูลแตงกำลังระบาด!! 🚨🔍 #รู้ทันโรคใบจุด Alternaria Leaf Blight• สาเหตุ: เชื้อรา Alternaria cucumerina• ระบาดในสภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกบ่อย• พบในเมล่อน แตงโม แตงกวา🍈 #สังเกตอาการได้ที่:1. อาการที่ใบ:• จุดสีน้ำตาล-เทา ขนาด 1-3 มม.• ขอบแผลเป็นวงแหวนชั้นๆ• ใบร่วงก่อนกำหนด ทำให้พืชอ่อนแอ2. อาการที่ลำต้น:• จุดยาวสีน้ำตาลดำ• ลำต้นเสื่อมสภาพ3. อาการที่ผล:• จุดสีน้ำตาล-ดำที่ผิว• ผลเน่าเสีย ขายไม่ได้ราคา🛡️ #วิธีป้องกันและรักษา:1. จัดการโรงเรือน:• จัดแถวการปลูกให้โปร่งระบายอากาศ• ใช้ระบบน้ำหยดแทนการรดน้ำ• ควบคุมความชื้น ให้น้ำอย่างเหมาะสม2. เลือกวัสดุปลูกดี:• ใช้ขุยมะพร้าว+มะพร้าวสับ• ระบายน้ำดี ลดความเสี่ยง3. ใช้ #ไตรโคบิวพลัส ป้องกัน:• คลุกวัสดุปลูก ก่อนการปลูก• ราดโคนต้นสม่ำเสมอ4. เมื่อพบโรค:• ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคทิ้ง• ฉีดพ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5-7 วัน💚 #ไตรโคบิวพลัส - นวัตกรรมชีวภัณฑ์:• มีเชื้อราไตรโคเดอร์มา• ป้องกันและควบคุมโรคได้ดี• ปลอดสารเคมี 100%🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! (ถึง 21 ธ.ค.)• 500 กรัม เหลือ 380 บาท (จาก 430)• 50 กรัม 3 ซอง 210 บาท📱 สั่งซื้อ/สอบถาม:• Inbox ได้เลย• โทร: 093-696-2691#TricobioPlus #เกษตรอินทรีย์ #เมล่อน #ปลูกผักปลอดสาร #โรคพืช @ผู้ติดตาม @ผู้แสดงความคิดเห็น @แฟนตัวยง โปรโมชั่นพิเศษ! ขนาด 500 กรัม เหลือเพียง 380 บาท ขนาด 50 กรัม (3 ซอง) ราคา 210 บาท - สั่งซื้อได้ที่: Inbox หรือโทร 0936962691 Shopee: https://s.shopee.co.th/3fmMLR6sWD TikTok Shop: https://vt.tiktok.com/ZSjAQxMd9/
    🌿อากาศเริ่มหนาว #โรคใบจุดAlternaria (โรคตากบ),(ใบจุดตากบ) - ภัยเงียบในพืชตระกูลแตงกำลังระบาด!! 🚨🔍 #รู้ทันโรคใบจุด Alternaria Leaf Blight• สาเหตุ: เชื้อรา Alternaria cucumerina• ระบาดในสภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกบ่อย• พบในเมล่อน แตงโม แตงกวา🍈 #สังเกตอาการได้ที่:1. อาการที่ใบ:• จุดสีน้ำตาล-เทา ขนาด 1-3 มม.• ขอบแผลเป็นวงแหวนชั้นๆ• ใบร่วงก่อนกำหนด ทำให้พืชอ่อนแอ2. อาการที่ลำต้น:• จุดยาวสีน้ำตาลดำ• ลำต้นเสื่อมสภาพ3. อาการที่ผล:• จุดสีน้ำตาล-ดำที่ผิว• ผลเน่าเสีย ขายไม่ได้ราคา🛡️ #วิธีป้องกันและรักษา:1. จัดการโรงเรือน:• จัดแถวการปลูกให้โปร่งระบายอากาศ• ใช้ระบบน้ำหยดแทนการรดน้ำ• ควบคุมความชื้น ให้น้ำอย่างเหมาะสม2. เลือกวัสดุปลูกดี:• ใช้ขุยมะพร้าว+มะพร้าวสับ• ระบายน้ำดี ลดความเสี่ยง3. ใช้ #ไตรโคบิวพลัส ป้องกัน:• คลุกวัสดุปลูก ก่อนการปลูก• ราดโคนต้นสม่ำเสมอ4. เมื่อพบโรค:• ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคทิ้ง• ฉีดพ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5-7 วัน💚 #ไตรโคบิวพลัส - นวัตกรรมชีวภัณฑ์:• มีเชื้อราไตรโคเดอร์มา• ป้องกันและควบคุมโรคได้ดี• ปลอดสารเคมี 100%🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! (ถึง 21 ธ.ค.)• 500 กรัม เหลือ 380 บาท (จาก 430)• 50 กรัม 3 ซอง 210 บาท📱 สั่งซื้อ/สอบถาม:• Inbox ได้เลย• โทร: 093-696-2691#TricobioPlus #เกษตรอินทรีย์ #เมล่อน #ปลูกผักปลอดสาร #โรคพืช @ผู้ติดตาม @ผู้แสดงความคิดเห็น @แฟนตัวยง โปรโมชั่นพิเศษ! ขนาด 500 กรัม เหลือเพียง 380 บาท ขนาด 50 กรัม (3 ซอง) ราคา 210 บาท - สั่งซื้อได้ที่: Inbox หรือโทร 0936962691 Shopee: https://s.shopee.co.th/3fmMLR6sWD TikTok Shop: https://vt.tiktok.com/ZSjAQxMd9/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 682 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิ๊กดาต้า-เอไอ ขับเคลื่อนเมืองเก่าภูเก็ต

    ปัจจุบันมีหน่วยงานขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ชื่อว่า "สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)" หรือบีดีไอ (BDI) หน่วยงานในกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนสายเทคโนโลยี 80% ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูล แม้จะเป็นหน่วยงานใหม่ที่ก่อตั้งไม่นาน แต่ก็ได้มีความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเชื่อมโยงและส่งเสริมข้อมูล โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ที่ภาคเอกชนและภาครัฐเข้มแข็ง

    ที่ผ่านมาบีดีไอพัฒนา 3 แพลตฟอร์ม ใช้ภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Envi Link) แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ (Travel Link) และแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองอัจฉริยะ (City Data Platform) โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดภูเก็ตอย่างมีทิศทาง และประยุกต์ใช้แก่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยได้แถลงทิศทางการดำเนินงานและความร่วมมือไปเมื่อวันก่อน

    แพลตฟอร์ม Envi Link ได้นำมาใช้กับโครงการของมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน ภายใต้ชื่อ “Phuket Old Town Carbon Neutrality 2030” เพื่อผลักดันย่านเมืองเก่าภูเก็ต ให้ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 โดยตั้งเป้าลดปริมาณคาร์บอน 30% ภายใน 3 ปี ที่ผ่านมาได้จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ และประมวลผลกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลสำคัญของคาร์บอนฟุตพรินท์ ทั้งไฟฟ้า ประปา ขยะ และเชื้อเพลิง

    พร้อมกันนี้ บีดีไอยังได้นำเทคโนโลยีเอไอมาใช้กับกล้องซีซีทีวีในการประมาณการต่างๆ เช่น การใช้เอไอนับจำนวนรถและคัดแยกประเภทรถ ประเภทเชื้อเพลิง ก่อนคำนวณเป็นคาร์บอนฟุตพรินท์ การใช้เอไอนับจำนวนคนที่เข้ามาย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อประมาณการความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว บริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสม และร่วมกับ บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด (PKCD) ใช้เอไอนับจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเมล์ฟรี Smart Bus EV เพื่อจัดตารางเดินรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    ล่าสุด มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน จัดซื้อเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ โดยนำขยะเศษอาหารและไขมันจากถังดักไขมันในชุมชนมาแปลงให้เป็นก๊าซชีวภาพ คิดเป็นกระแสไฟฟ้าได้ 33.75 กิโลวัตต์ และน้ำหมักใช้กับต้นไม้ พืชผลทางการเกษตรวันละ 500 ลิตร ช่วยลดปริมาณขยะอินทรีย์ที่นำไปฝังกลบซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเทน หรือนำเข้าสู่เตาเผาขยะที่ย่านสะพานหิน ทำให้เตาเผาขยะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะนำมาเชื่อมโยงเพื่อวางแนวทางลดปริมาณคาร์บอนต่อไป

    #Newskit
    บิ๊กดาต้า-เอไอ ขับเคลื่อนเมืองเก่าภูเก็ต ปัจจุบันมีหน่วยงานขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ชื่อว่า "สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)" หรือบีดีไอ (BDI) หน่วยงานในกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนสายเทคโนโลยี 80% ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูล แม้จะเป็นหน่วยงานใหม่ที่ก่อตั้งไม่นาน แต่ก็ได้มีความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเชื่อมโยงและส่งเสริมข้อมูล โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ที่ภาคเอกชนและภาครัฐเข้มแข็ง ที่ผ่านมาบีดีไอพัฒนา 3 แพลตฟอร์ม ใช้ภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Envi Link) แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ (Travel Link) และแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองอัจฉริยะ (City Data Platform) โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดภูเก็ตอย่างมีทิศทาง และประยุกต์ใช้แก่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยได้แถลงทิศทางการดำเนินงานและความร่วมมือไปเมื่อวันก่อน แพลตฟอร์ม Envi Link ได้นำมาใช้กับโครงการของมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน ภายใต้ชื่อ “Phuket Old Town Carbon Neutrality 2030” เพื่อผลักดันย่านเมืองเก่าภูเก็ต ให้ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 โดยตั้งเป้าลดปริมาณคาร์บอน 30% ภายใน 3 ปี ที่ผ่านมาได้จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ และประมวลผลกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลสำคัญของคาร์บอนฟุตพรินท์ ทั้งไฟฟ้า ประปา ขยะ และเชื้อเพลิง พร้อมกันนี้ บีดีไอยังได้นำเทคโนโลยีเอไอมาใช้กับกล้องซีซีทีวีในการประมาณการต่างๆ เช่น การใช้เอไอนับจำนวนรถและคัดแยกประเภทรถ ประเภทเชื้อเพลิง ก่อนคำนวณเป็นคาร์บอนฟุตพรินท์ การใช้เอไอนับจำนวนคนที่เข้ามาย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อประมาณการความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว บริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสม และร่วมกับ บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด (PKCD) ใช้เอไอนับจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเมล์ฟรี Smart Bus EV เพื่อจัดตารางเดินรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ล่าสุด มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน จัดซื้อเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ โดยนำขยะเศษอาหารและไขมันจากถังดักไขมันในชุมชนมาแปลงให้เป็นก๊าซชีวภาพ คิดเป็นกระแสไฟฟ้าได้ 33.75 กิโลวัตต์ และน้ำหมักใช้กับต้นไม้ พืชผลทางการเกษตรวันละ 500 ลิตร ช่วยลดปริมาณขยะอินทรีย์ที่นำไปฝังกลบซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเทน หรือนำเข้าสู่เตาเผาขยะที่ย่านสะพานหิน ทำให้เตาเผาขยะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะนำมาเชื่อมโยงเพื่อวางแนวทางลดปริมาณคาร์บอนต่อไป #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 739 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ญาณวัตถุ_๔๔ [๑๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔ เป็นไฉนคือ ความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ความรู้ในความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในอุปาทาน ๑ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในวิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในสังขารทั้งหลาย ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔ ฯ [๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยูความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิดเพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับชราและมรณะ ฯ [๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่าความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้วอันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ได้รู้ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชราและมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่งก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับแห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวยญาณ ๑ เหล่านี้ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคลผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ [๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภพเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ตัณหาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลายก็เวทนาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ผัสสะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน ... สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑ จิตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑ ฯ [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้วให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขารเหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ [๑๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวยญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคลผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้ ฯ จบสูตรที่ ๓พระไตรปิฎก(ฉบับหลวง) E-Tipitakaเล่มที่ ๑๖/๕๓-๕๕/๑๑๙-๑๒๕
    #ญาณวัตถุ_๔๔ [๑๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔ เป็นไฉนคือ ความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ความรู้ในความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในอุปาทาน ๑ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในวิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในสังขารทั้งหลาย ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔ ฯ [๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยูความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิดเพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับชราและมรณะ ฯ [๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่าความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้วอันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ได้รู้ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชราและมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่งก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับแห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวยญาณ ๑ เหล่านี้ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคลผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ [๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภพเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ตัณหาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลายก็เวทนาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ผัสสะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน ... สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑ จิตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑ ฯ [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้วให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขารเหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ [๑๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวยญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคลผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้ ฯ จบสูตรที่ ๓พระไตรปิฎก(ฉบับหลวง) E-Tipitakaเล่มที่ ๑๖/๕๓-๕๕/๑๑๙-๑๒๕
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากงานวิจัย น้ำด่างที่ได้จากการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าElectrolysis
    สามารถเป็นตัวทำละลายธาตุอาหารในอินทรีย์วัตถุ ได้ดีมาก
    เป็นมิตรต่อจุลินทรีย์ป้องกันโรคพืช และควบคุมแมลง
    ในระบบเกษตรกรรมน้ำหยด..และ ระบบสปริงเกอร์.
    จากงานวิจัย น้ำด่างที่ได้จากการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าElectrolysis สามารถเป็นตัวทำละลายธาตุอาหารในอินทรีย์วัตถุ ได้ดีมาก เป็นมิตรต่อจุลินทรีย์ป้องกันโรคพืช และควบคุมแมลง ในระบบเกษตรกรรมน้ำหยด..และ ระบบสปริงเกอร์.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีโอ-คลีน1
    สารบำบัดเลน
    ลดปัญหาพื้นบ่อเน่าเสีย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
    ตะกอนสารอินทรีย์หรือเลนที่ก้นบ่อกุ้ง จาก ขี้กุ้ง เศษอาหารเหลือ และซากแพลงก์ตอน ทำให้
    พื้นบ่อเสื่อมโทรม เป็นแหล่งสะสมของสารพิษเช่น แอมโมเนีย ไนไตรท์ และก๊าซไข่เน่า
    ส่งผลเสียต่อสุขภาพกุ้งและคุณภาพน้ำ ทำให้กุ้งเครียด อ่อนแอ กินอาหารลดลง
    มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคสูงขึ้นเช่น โรคตับ โรคขี้ขาว โรคเหงือกดำ ซูโอแทมเนียม
    โรคเรืองแสง ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคตัวแดงจุดขาว
    ผลิตจากสารธรรมชาติ ผ่านกระบวนการผลิตให้มีคุณสมบัติย่อยสลายเลนก้นบ่อ
    ลดปัญหากุ้งซุกกองเลนในเวลาที่ ฝนตก อุณหภูมิต่ำ ซึ่งทำให้เกิดโรคเหงือกดำ กุ้งกินอาหารลด อ่อนแอ ตัวหลวม ติดเชื้อแบคทีเรียและโปรโตซัว
    *ช่วยย่อยสลายขี้กุ้ง กำจัดและลดปริมาณเลนที่พื้นบ่อ ทำให้พื้นบ่อสะอาด
    *ป้องกันพื้นบ่อเน่าเสีย ช่วยลดกลิ่นเหม็นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของของเสีย
    *ช่วยลดแอมโมเนีย ป้องกันการสะสมและการเกิดไนไตรท์ ช่วยกำจัดก๊าซไข่เน่า
    *ช่วยให้สิ่งแวดล้อมในบ่อเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของกุ้ง มีความปลอดภัยต่อกุ้ง และสิ่งแวดล้อม
    อัตราการใช้:
    *เตรียมบ่อ:กรณีบ่อไม่ได้ดันขี้เลนออก 5-10กก./ไร่ บริเวณกองเลน
    *ระหว่างการเลี้ยง:เพื่อลดการสะสมของเลนกลางบ่อ 2-3 กก./ไร่ ทุก 7-10 วัน
    ***หว่านในแนวเลน หรือบริเวณกลางบ่อโดยไม่ต้องละลายน้ำ หรือเฉพาะจุดที่มีของเสียสะสม
    บรรจุ 5 กก.ราคา 350.-บาท
    สนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่
    ปูมทองจีโอ
    👍👍👍👍👍👍👍👍👍
    🌹🌳🌴🌾🌿🍀🐠🐟
    📲 081-6633435
    👉💖Line ID:jee_ex15
    https://line.me/ti/p/1vOPz_sRCe
    👍👍👍👍👍👍👍👍👍
    จีโอ-คลีน1 สารบำบัดเลน ลดปัญหาพื้นบ่อเน่าเสีย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ตะกอนสารอินทรีย์หรือเลนที่ก้นบ่อกุ้ง จาก ขี้กุ้ง เศษอาหารเหลือ และซากแพลงก์ตอน ทำให้ พื้นบ่อเสื่อมโทรม เป็นแหล่งสะสมของสารพิษเช่น แอมโมเนีย ไนไตรท์ และก๊าซไข่เน่า ส่งผลเสียต่อสุขภาพกุ้งและคุณภาพน้ำ ทำให้กุ้งเครียด อ่อนแอ กินอาหารลดลง มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคสูงขึ้นเช่น โรคตับ โรคขี้ขาว โรคเหงือกดำ ซูโอแทมเนียม โรคเรืองแสง ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคตัวแดงจุดขาว ผลิตจากสารธรรมชาติ ผ่านกระบวนการผลิตให้มีคุณสมบัติย่อยสลายเลนก้นบ่อ ลดปัญหากุ้งซุกกองเลนในเวลาที่ ฝนตก อุณหภูมิต่ำ ซึ่งทำให้เกิดโรคเหงือกดำ กุ้งกินอาหารลด อ่อนแอ ตัวหลวม ติดเชื้อแบคทีเรียและโปรโตซัว *ช่วยย่อยสลายขี้กุ้ง กำจัดและลดปริมาณเลนที่พื้นบ่อ ทำให้พื้นบ่อสะอาด *ป้องกันพื้นบ่อเน่าเสีย ช่วยลดกลิ่นเหม็นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของของเสีย *ช่วยลดแอมโมเนีย ป้องกันการสะสมและการเกิดไนไตรท์ ช่วยกำจัดก๊าซไข่เน่า *ช่วยให้สิ่งแวดล้อมในบ่อเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของกุ้ง มีความปลอดภัยต่อกุ้ง และสิ่งแวดล้อม อัตราการใช้: *เตรียมบ่อ:กรณีบ่อไม่ได้ดันขี้เลนออก 5-10กก./ไร่ บริเวณกองเลน *ระหว่างการเลี้ยง:เพื่อลดการสะสมของเลนกลางบ่อ 2-3 กก./ไร่ ทุก 7-10 วัน ***หว่านในแนวเลน หรือบริเวณกลางบ่อโดยไม่ต้องละลายน้ำ หรือเฉพาะจุดที่มีของเสียสะสม บรรจุ 5 กก.ราคา 350.-บาท สนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ ปูมทองจีโอ 👍👍👍👍👍👍👍👍👍 🌹🌳🌴🌾🌿🍀🐠🐟 📲 081-6633435 👉💖Line ID:jee_ex15 https://line.me/ti/p/1vOPz_sRCe 👍👍👍👍👍👍👍👍👍
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • ประเทศเราเสียเวลากับพวกนักกินบ้านกินเมืองมาหลายปี พวกเราคนไทยส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของพวกนักการเมืองที่เห็นแก่พวกพ้อง บ้านเมืองไม่เคยสงบสุข มีแต่ลมปากการคอรัปชั่นโกงบ้านโกงเมือง เชื่อฟังนักโทษไม่ว่าทหาร ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งรัฐบาลที่มาจากทหารหรือมาจากการเลือกตั้ง ถือเราผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักอ้างประชาชนบังหน้ากอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติและอำนาจ ประชาชนก็โดนหลอกไปวัน ๆ ความจริงที่ประชาชนควรรู้ควรมีส่วนร่วมก็ปกปิดอ้างความลับทางราชการพอความจริงปรากฏว่าผิดพลาดก็สายไปที่จะแก้ไขอ้างนู่นนี่นั่น ถ้าถึงที่สุดสักวันก็จะมีอินทรีย์แดงทาจักการข้าราชการนักการเมืองเลวพวกนี้แล้วหาว่าไม่เตือน อย่างคิดว่ามีหน่วยข่าวกรองของรัฐอยู่ในมือจะช่วยได้นะ ขนาดผู้ต้องหาศาลออกหมายจับยังหาจับไม่ได้จนคดีหมดอายุความ ประเทศไทยครับพี่น้อง
    ประเทศเราเสียเวลากับพวกนักกินบ้านกินเมืองมาหลายปี พวกเราคนไทยส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของพวกนักการเมืองที่เห็นแก่พวกพ้อง บ้านเมืองไม่เคยสงบสุข มีแต่ลมปากการคอรัปชั่นโกงบ้านโกงเมือง เชื่อฟังนักโทษไม่ว่าทหาร ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งรัฐบาลที่มาจากทหารหรือมาจากการเลือกตั้ง ถือเราผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักอ้างประชาชนบังหน้ากอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติและอำนาจ ประชาชนก็โดนหลอกไปวัน ๆ ความจริงที่ประชาชนควรรู้ควรมีส่วนร่วมก็ปกปิดอ้างความลับทางราชการพอความจริงปรากฏว่าผิดพลาดก็สายไปที่จะแก้ไขอ้างนู่นนี่นั่น ถ้าถึงที่สุดสักวันก็จะมีอินทรีย์แดงทาจักการข้าราชการนักการเมืองเลวพวกนี้แล้วหาว่าไม่เตือน อย่างคิดว่ามีหน่วยข่าวกรองของรัฐอยู่ในมือจะช่วยได้นะ ขนาดผู้ต้องหาศาลออกหมายจับยังหาจับไม่ได้จนคดีหมดอายุความ ประเทศไทยครับพี่น้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • #แผลติดเชื้อจากการตัดแต่งใบเมล่อนกันครับ! 🍈

    🔍 รู้หรือไม่? ทำไมถึงเกิดแผลติดเชื้อ
    • สาเหตุหลักๆ มาจากความชื้นในอากาศสูง
    • เชื้อราฉวยโอกาสเข้าทำลายตรงรอยตัดแต่ง
    • ถ้าปล่อยไว้อาจลามถึงลำต้นได้ 😱

    💪 แต่ไม่ต้องกังวล! เรามีวิธีรักษาแบบธรรมชาติ:

    วิธีรักษาง่ายๆ ด้วยไตรโคบิวพลัส:
    1. ผสมผงสปอร์เชื้อราไตรโคบิวพลัสกับน้ำให้ข้นๆ
    2. เติมสารจับใบนิดหน่อย
    3. ป้ายที่แผลวันเว้นวัน 3 ครั้ง
    4. ดูผลลัพธ์ดีๆ - แผลจะค่อยๆ แห้ง ไม่ลามไปไหน! 🎉

    ผลการรักษาที่เห็นได้ชัด:
    • แผลแห้งสนิท
    • หยุดการลุกลามของเชื้อ
    • ก้านใบที่ช้ำจะค่อยๆ แห้งไป
    • ต้นเมล่อนกลับมาแข็งแรง! 💚

    💡 เคล็ดลับ: การป้องกันดีกว่าการรักษานะ!
    • ตัดแต่งใบในช่วงแดดดี อากาศไม่ชื้น
    • ใช้กรรไกรที่คม และฆ่าเชื้อแล้ว
    • หลังตัดแต่ง ป้ายไตรโคเลย ป้องกันไว้ก่อน!

    🛍️ ที่ลิตเติ้ลฟาร์ม เรามีทุกอย่างที่คุณต้องการ:
    • ปุ๋ย AB สูตรพิเศษสำหรับเมล่อน
    • ธาตุอาหารครบสูตร
    • ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง
    • ทุกอย่างปลอดสารพิษ 100% 🌿

    สนใจผลิตภัณฑ์ดีๆ หรือต้องการคำแนะนำ:
    📱 โทร: 093-696-2691
    💬 หรือทักแชทมาคุยกันได้เลย!

    #เมล่อนปลอดโรค #เกษตรอินทรีย์ #สวนเมล่อน #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    #ปลูกผักปลอดสารพิษ #เกษตรกรรุ่นใหม่
    #แผลติดเชื้อจากการตัดแต่งใบเมล่อนกันครับ! 🍈 🔍 รู้หรือไม่? ทำไมถึงเกิดแผลติดเชื้อ • สาเหตุหลักๆ มาจากความชื้นในอากาศสูง • เชื้อราฉวยโอกาสเข้าทำลายตรงรอยตัดแต่ง • ถ้าปล่อยไว้อาจลามถึงลำต้นได้ 😱 💪 แต่ไม่ต้องกังวล! เรามีวิธีรักษาแบบธรรมชาติ: วิธีรักษาง่ายๆ ด้วยไตรโคบิวพลัส: 1. ผสมผงสปอร์เชื้อราไตรโคบิวพลัสกับน้ำให้ข้นๆ 2. เติมสารจับใบนิดหน่อย 3. ป้ายที่แผลวันเว้นวัน 3 ครั้ง 4. ดูผลลัพธ์ดีๆ - แผลจะค่อยๆ แห้ง ไม่ลามไปไหน! 🎉 ผลการรักษาที่เห็นได้ชัด: • แผลแห้งสนิท • หยุดการลุกลามของเชื้อ • ก้านใบที่ช้ำจะค่อยๆ แห้งไป • ต้นเมล่อนกลับมาแข็งแรง! 💚 💡 เคล็ดลับ: การป้องกันดีกว่าการรักษานะ! • ตัดแต่งใบในช่วงแดดดี อากาศไม่ชื้น • ใช้กรรไกรที่คม และฆ่าเชื้อแล้ว • หลังตัดแต่ง ป้ายไตรโคเลย ป้องกันไว้ก่อน! 🛍️ ที่ลิตเติ้ลฟาร์ม เรามีทุกอย่างที่คุณต้องการ: • ปุ๋ย AB สูตรพิเศษสำหรับเมล่อน • ธาตุอาหารครบสูตร • ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง • ทุกอย่างปลอดสารพิษ 100% 🌿 สนใจผลิตภัณฑ์ดีๆ หรือต้องการคำแนะนำ: 📱 โทร: 093-696-2691 💬 หรือทักแชทมาคุยกันได้เลย! #เมล่อนปลอดโรค #เกษตรอินทรีย์ #สวนเมล่อน #ลิตเติ้ลฟาร์ม #ปลูกผักปลอดสารพิษ #เกษตรกรรุ่นใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 763 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts