• อริยบุคคลพึงศึกษาว่าวิภาค(รายละเอียด)​แห่งปฏิจจสมุปบาท
    สัทธรรมลำดับที่ : 286
    ชื่อบทธรรม :- วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท
    --ภิกษุ ท. ! ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ;
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ;
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ;--
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ;
    เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ;
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ;
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ;
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์(ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย)​ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย
    --ภิกษุ ท. ! ชรา มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    ชรา คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว
    ความเสื่อมไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ
    ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ;
    +-นี้เรียกว่า #ชรา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรา
    --ภิกษุ ท. ! มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    มรณะคือ การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย
    การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต
    จากสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ;
    นี้ เรียกว่า #มรณะ ;
    ด้วยเหตุนี้แหละ ชราอันนี้ด้วย มรณะอันนี้ด้วย.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชรามรณะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรามรณ
    --ภิกษุ ท. ! ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ?
    ชาติ คือ การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง
    ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย
    ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชาติ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชาติ
    --ภิกษุ ท. ! ภพ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภพมีสามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ภพ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ภโว
    --ภิกษุ ท. ! อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ?
    ภิกษุ ท. ! อุปาทานมีสี่อย่าง เหล่านี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
    และอัตตวาทุปาทาน.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อุปาทาน.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=อุปาทา
    --ภิกษุ ท. ! ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งตัณหา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหาในกลิ่น ตัณหาในรส ตัณหาในโผฏฐัพพะ และตัณหาในธรรมารมณ์.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ตัณหา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ตณฺหา
    --ภิกษุ ท. ! เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเวทนา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย และเวทนาเกิดแต่สัมผัสทางใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #เวทนา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=เวทนา
    --ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งผัสสะ มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู สัมผัสทางจมูก สัมผัสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ผัสสะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=ผสฺส
    --ภิกษุ ท. ! อายตนะหก เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งอายตนะ มีหกอย่าง เหล่านี้คือ อายตนะคือตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย และอายตนะคือใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อายตนะหก(สฬายตนํ)​.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สฬายตนํ
    --ภิกษุ ท. ! นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ?
    นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ.
    นี้ เรียกว่า #นาม.
    รูป คือ มหาภูตทั้งสี่ด้วยและรูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย.
    นี้ เรียกว่า #รูป.
    ด้วยเหตุนี้แหละ นามอันนี้ด้วย รูปอันนี้ด้วย.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #นามรูป.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=นามรูป
    --ภิกษุ ท. ! วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งวิญญาณ มีหกอย่างเหล่านี้ คือ
    วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย
    และวิญญาณทางใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #วิญญาณ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=วิญฺญาณ
    --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลายเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร.
    +-ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า #สังขารทั้งหลาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สงฺขาร
    --ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ความไม่รู้อันใด
    เป็นความไม่รู้ในทุกข์,
    เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์,
    เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, และ
    เป็นไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อวิชชา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=อวิชฺชา
    --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ,
    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ;
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ;
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ;
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ;
    เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ;
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ;
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ;
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้
    http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย
    ด้วยอาการอย่างนี้ แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/2-5/5-18.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/2/?keywords=%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๒-๕/๕-๑๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/2/?keywords=%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=286
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยบุคคลพึงศึกษาว่าวิภาค(รายละเอียด)​แห่งปฏิจจสมุปบาท สัทธรรมลำดับที่ : 286 ชื่อบทธรรม :- วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286 เนื้อความทั้งหมด :- --วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท --ภิกษุ ท. ! ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ;-- เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์(ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย)​ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย --ภิกษุ ท. ! ชรา มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ชรา คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความเสื่อมไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; +-นี้เรียกว่า #ชรา. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรา --ภิกษุ ท. ! มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? มรณะคือ การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต จากสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; นี้ เรียกว่า #มรณะ ; ด้วยเหตุนี้แหละ ชราอันนี้ด้วย มรณะอันนี้ด้วย. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชรามรณะ. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรามรณ --ภิกษุ ท. ! ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? ชาติ คือ การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชาติ. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชาติ --ภิกษุ ท. ! ภพ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภพมีสามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ภพ. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ภโว --ภิกษุ ท. ! อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! อุปาทานมีสี่อย่าง เหล่านี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อุปาทาน. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=อุปาทา --ภิกษุ ท. ! ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งตัณหา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหาในกลิ่น ตัณหาในรส ตัณหาในโผฏฐัพพะ และตัณหาในธรรมารมณ์. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ตัณหา. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ตณฺหา --ภิกษุ ท. ! เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเวทนา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย และเวทนาเกิดแต่สัมผัสทางใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #เวทนา. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=เวทนา --ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งผัสสะ มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู สัมผัสทางจมูก สัมผัสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ผัสสะ. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=ผสฺส --ภิกษุ ท. ! อายตนะหก เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งอายตนะ มีหกอย่าง เหล่านี้คือ อายตนะคือตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย และอายตนะคือใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อายตนะหก(สฬายตนํ)​. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สฬายตนํ --ภิกษุ ท. ! นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ? นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ. นี้ เรียกว่า #นาม. รูป คือ มหาภูตทั้งสี่ด้วยและรูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย. นี้ เรียกว่า #รูป. ด้วยเหตุนี้แหละ นามอันนี้ด้วย รูปอันนี้ด้วย. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #นามรูป. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=นามรูป --ภิกษุ ท. ! วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งวิญญาณ มีหกอย่างเหล่านี้ คือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย และวิญญาณทางใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #วิญญาณ. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=วิญฺญาณ --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลายเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร. +-ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า #สังขารทั้งหลาย. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สงฺขาร --ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์, เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, และ เป็นไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อวิชชา. http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=อวิชฺชา --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย ด้วยอาการอย่างนี้ แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/2-5/5-18. http://etipitaka.com/read/thai/16/2/?keywords=%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๒-๕/๕-๑๘. http://etipitaka.com/read/pali/16/2/?keywords=%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=286 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท
    -วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท ภิกษุ ท. ! ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุ ท. ! ชรา มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ชรา คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความเสื่อมไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; นี้เรียกว่า ชรา. ภิกษุ ท. ! มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? มรณะคือ การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต จากสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; นี้ เรียกว่า มรณะ ; ด้วยเหตุนี้แหละ ชราอันนี้ด้วย มรณะอันนี้ด้วย. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ชรามรณะ. ภิกษุ ท. ! ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? ชาติ คือ การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ชาติ. ภิกษุ ท. ! ภพ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภพมีสามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ภพ. ภิกษุ ท. ! อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! อุปาทานมีสี่อย่าง เหล่านี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า อุปาทาน. ภิกษุ ท. ! ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งตัณหา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหาในกลิ่น ตัณหาในรส ตัณหาในโผฏฐัพพะ และตัณหาในธรรมารมณ์. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ตัณหา. ภิกษุ ท. ! เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเวทนา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย และเวทนาเกิดแต่สัมผัสทางใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า เวทนา. ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งผัสสะ มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู สัมผัสทางจมูก สัมผัสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ผัสสะ. ภิกษุ ท. ! อายตนะหก เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งอายตนะ มีหกอย่าง เหล่านี้คือ อายตนะคือตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย และอายตนะคือใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่าอายตนะหก. ภิกษุ ท. ! นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ? นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ. นี้ เรียกว่า นาม. รูป คือ มหาภูตทั้งสี่ด้วยและรูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย. นี้ เรียกว่า รูป. ด้วยเหตุนี้แหละ นามอันนี้ด้วย รูปอันนี้ด้วย. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า นามรูป. ภิกษุ ท. ! วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งวิญญาณ มีหกอย่างเหล่านี้ คือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย และวิญญาณทางใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า วิญญาณ. ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลายเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์, เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, ละเป็นไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า อวิชชา. ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะ อุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาบุคคลผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง​
    สัทธรรมลำดับที่ : 562
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562
    ชื่อบทธรรม :- ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง
    --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้
    คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้มีความเข้าใจของตนว่า
    “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร,
    โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะ​ ฉันทราคะและพยาบาท ;
    ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว,
    โทษอันมีพิษของ​ อวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว,
    เราเป็นผู้น้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ.”
    http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=สมฺมานิพฺพานาธิมุตฺโต
    ดังนี้.
    +-เมื่อเธอน้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ อยู่,
    +-เธอก็ไม่ตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอันไม่เป็นที่สบาย
    แก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ;
    คือไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการ
    เห็นรูปด้วยตาฟังเสียงด้วยหู ;
    ดมกลิ่นด้วยจมูก ;
    ลิ้มรสด้วยลิ้น ;
    ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ;
    รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ
    อันล้วนไม่เป็นที่สบาย.
    เมื่อเธอไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้อยู่,
    ราคะย่อมไม่เสียบแทงจิตของเธอ.
    +-เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย.
    --สุนกขัตตะ !
    เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า.
    มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขาจัดหาหมอผ่าตัดมารักษา.
    หมอได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้ว ใช้เครื่องตรวจ
    ค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก นำออกซึ่งโทษอันเป็นพิษจนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่.
    หมอนั้นกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า
    “บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว,
    โทษอันเป็นพิษ เรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว,
    ท่านหมดอันตรายแล้ว และท่านจะบริโภคอาหารได้ตามสบาย ;
    แต่ท่านอย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ
    และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา.
    เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา
    อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล,
    และท่านอย่าเที่ยวตากลมและแดด, เมื่อเที่ยวตากลมและแดด
    ก็อย่าให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล.
    บุรุษผู้เจริญ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ”
    ดังนี้.
    บุรุษนั้น มีความคิดว่า
    “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว
    โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย”
    เขาบริโภคโภชนะอันเป็นที่สบาย (และประพฤติตามหมอสั่งทุกประการ)
    เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไป ด้วยการกระทำอันถูกต้องเหล่านี้
    แผลจึงไม่มีเชื้อเหลืออยู่, และงอกขึ้นเต็มเพราะเหตุทั้งสองนั้น.
    เขามีแผลงอกเต็ม มีผิวหนังราบเรียบแล้ว ก็ไม่ถึงซึ่งความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย,
    นี้ฉันใด ;
    --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่
    ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ
    แล้วไม่ตามประกอบในธรรมที่ไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ
    ราคะก็ไม่เสียบแทงจิตเธอ.
    เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย.
    --สุนักขัตตะ ! อุปมานี้เรากระทำขึ้น เพื่อให้เข้าใจเนื้อความ นี้คือเนื้อความในอุปมานั้น ;
    +-คำว่า ‘แผล’ เป็นชื่อแห่ง &​อายตนะภายในหก.
    +-คำว่า ‘โทษอันเป็นพิษ’ เป็นชื่อแห่ง &​อวิชชา.
    +-คำว่า ‘ลูกศร’ เป็นชื่อแห่ง &​ตัณหา.
    +-คำว่า ‘เครื่องตรวจ’ เป็นชื่อแห่ง &​สติ.
    +-คำว่า ‘ศาสตรา’ เป็นชื่อของ &​อริยปัญญา.
    +-คำว่า ‘หมอผ่าตัด’ เป็นชื่อของ #ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/72/?keywords=ตถาคต

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. 14/53/77.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/53/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. ๑๔/๖๙/๗๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37&id=562
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37
    ลำดับสาธยายธรรม : 37 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_37.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาบุคคลผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง​ สัทธรรมลำดับที่ : 562 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562 ชื่อบทธรรม :- ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้มีความเข้าใจของตนว่า “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร, โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะ​ ฉันทราคะและพยาบาท ; ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว, โทษอันมีพิษของ​ อวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว, เราเป็นผู้น้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ.” http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=สมฺมานิพฺพานาธิมุตฺโต ดังนี้. +-เมื่อเธอน้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ อยู่, +-เธอก็ไม่ตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอันไม่เป็นที่สบาย แก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ; คือไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการ เห็นรูปด้วยตาฟังเสียงด้วยหู ; ดมกลิ่นด้วยจมูก ; ลิ้มรสด้วยลิ้น ; ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ; รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ อันล้วนไม่เป็นที่สบาย. เมื่อเธอไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้อยู่, ราคะย่อมไม่เสียบแทงจิตของเธอ. +-เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย. --สุนกขัตตะ ! เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า. มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขาจัดหาหมอผ่าตัดมารักษา. หมอได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้ว ใช้เครื่องตรวจ ค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก นำออกซึ่งโทษอันเป็นพิษจนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่. หมอนั้นกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว, โทษอันเป็นพิษ เรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว, ท่านหมดอันตรายแล้ว และท่านจะบริโภคอาหารได้ตามสบาย ; แต่ท่านอย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา. เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล, และท่านอย่าเที่ยวตากลมและแดด, เมื่อเที่ยวตากลมและแดด ก็อย่าให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล. บุรุษผู้เจริญ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ” ดังนี้. บุรุษนั้น มีความคิดว่า “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย” เขาบริโภคโภชนะอันเป็นที่สบาย (และประพฤติตามหมอสั่งทุกประการ) เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไป ด้วยการกระทำอันถูกต้องเหล่านี้ แผลจึงไม่มีเชื้อเหลืออยู่, และงอกขึ้นเต็มเพราะเหตุทั้งสองนั้น. เขามีแผลงอกเต็ม มีผิวหนังราบเรียบแล้ว ก็ไม่ถึงซึ่งความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย, นี้ฉันใด ; --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่ ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ แล้วไม่ตามประกอบในธรรมที่ไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ ราคะก็ไม่เสียบแทงจิตเธอ. เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย. --สุนักขัตตะ ! อุปมานี้เรากระทำขึ้น เพื่อให้เข้าใจเนื้อความ นี้คือเนื้อความในอุปมานั้น ; +-คำว่า ‘แผล’ เป็นชื่อแห่ง &​อายตนะภายในหก. +-คำว่า ‘โทษอันเป็นพิษ’ เป็นชื่อแห่ง &​อวิชชา. +-คำว่า ‘ลูกศร’ เป็นชื่อแห่ง &​ตัณหา. +-คำว่า ‘เครื่องตรวจ’ เป็นชื่อแห่ง &​สติ. +-คำว่า ‘ศาสตรา’ เป็นชื่อของ &​อริยปัญญา. +-คำว่า ‘หมอผ่าตัด’ เป็นชื่อของ #ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ.- http://etipitaka.com/read/pali/14/72/?keywords=ตถาคต #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. 14/53/77. http://etipitaka.com/read/thai/14/53/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. ๑๔/๖๙/๗๗. http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37&id=562 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37 ลำดับสาธยายธรรม : 37 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_37.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง
    -ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้มีความเข้าใจของตนว่า “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร, โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะฉันทราคะและพยาบาท ; ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว, โทษอันมีพิษของอวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว, เราเป็นผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ.” ดังนี้. เมื่อเธอน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ อยู่, เธอก็ไม่ตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอันไม่เป็นที่สบายแก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ; คือไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการเห็นรูปด้วยตาฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ อันล้วนไม่เป็นที่สบาย. เมื่อเธอไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้อยู่, ราคะย่อมไม่เสียบแทงจิตของเธอ. เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย. สุนกขัตตะ ! เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า. มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขาจัดหาหมอผ่าตัดมารักษา. หมอ ได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้วใช้เครื่องตรวจค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก นำออกซึ่งโทษอันเป็นพิษจนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่. หมอนั้นกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว, โทษอันเป็นพิษ เรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว, ท่านหมดอันตรายแล้ว และท่านจะบริโภคอาหารได้ตามสบาย ; แต่ท่านอย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา. เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล, และท่านอย่าเที่ยวตากลมและแดด, เมื่อเที่ยวตากลมและแดด ก็อย่าให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล. บุรุษผู้เจริญ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ” ดังนี้. บุรุษนั้น มีความคิดว่า “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย” เขาบริโภคโภชนะอันเป็นที่สบาย (และประพฤติตามหมอสั่งทุกประการ) เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไป ด้วยการกระทำอันถูกต้องเหล่านี้ แผลจึงไม่มีเชื้อเหลืออยู่, และงอกขึ้นเต็มเพราะเหตุทั้งสองนั้น. เขามีแผลงอกเต็ม มีผิวหนังราบเรียบแล้ว ก็ไม่ถึงซึ่งความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย, นี้ฉันใด ; สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ....แล้วไม่ตามประกอบในธรรมที่ไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ....ราคะก็ไม่เสียบแทงจิตเธอ. เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย. สุนักขัตตะ ! อุปมานี้เรากระทำขึ้น เพื่อให้เข้าใจเนื้อความ นี้คือเนื้อความในอุปมานั้น ; คำว่า ‘แผล’ เป็นชื่อแห่งอายตนะภายในหก. คำว่า ‘โทษอันเป็นพิษ’ เป็นชื่อแห่ง อวิชชา. คำว่า ‘ลูกศร’ เป็นชื่อแห่ง ตัณหา. คำว่า ‘เครื่องตรวจ’ เป็นชื่อแห่ง สติ. คำว่า ‘ศาสตรา’ เป็นชื่อของ อริยปัญญา. คำว่า ‘หมอผ่าตัด’ เป็นชื่อของ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 579 มุมมอง 0 รีวิว