• ..นักวิชาการมากมายเป็ยฝ่ายมืดแอบแฝงมิน้อย มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นและสามารถชี้นำสังคมได้โดยปูทางให้สามารถเข้ามามีชื่อเสียงรอไว้ในอดีตก็มาก ปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยโดยเฉพาะศูนย์กลางอำนาจ.
    ..ส่วนตัวก็ติดตามท่านมาสักพักช่วงหนึ่งนานมาแล้ว แต่หลังๆแปลกๆบอกไม่ถูก เชียร์พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสุดๆ ซึ่งฝ่ายแสงต่างเห็นต่างชัดเจนทั่วโลก เผลอโน้นโลกเย็นลงต่างหากและถ้าประเทศไทยไม่เตรียมรับมือเราอาจหนาวตายแน่นอนติดลบกว่า-200องศากันเลย เลยเริ่มลุกลามคุกคามมาเรื่อยๆในตอนบนของไทย ยุโรปหลายประเทศติดลบกว่า60-70องศาแล้วซึ่งเขาอยู่มมาตลอดชีวิตยังยืนยันว่าหนาวผิดปกติ,HAARPสามารถสร้างสาระพัดต่างๆได้หมดก็ด้วย,รวมภัยธรรมชาติพื้นฐานซ้ำเติมด้วยที่ฝ่ายมืดทำให้ทั่วโลกเสียสมดุลจากการรบกวนชั้นบรรยากาศโลกด้วยความถี่คลื่นสาระพัดอย่าง,ใต้ดินอีกเครื่องทำแผ่นดินไหวก็ด้วยกระจายทั่วโลกของฝ่ายมืดใต้เปลือกโลก,จึงน่าจะสมคบคิดบิดเบือนมากกว่า สมมุติฐานมโนให้เข้าใจง่ายๆคือจีนนำร่องเตรียมดวงอาทิตย์เทียมแล้วซึ่งแน่นอนจีนท่องเวลาผ่านประตูมิติไปเห็นอนาคตมาแล้ว แล้วกลับมารับมือในไทม์ไลน์ที่จะมาถึงเร็วๆนี้,และเรา..ประเทศไทยก็ร่วมมือกับจีนได้รับการถ่ายทอดสิ่งนี้ด้วย จนมีข่าวการสร้างดวงอาทิตย์เทียมในไทยถึงว่าเข้าขั้นสำเร็จได้ไม่ยากด้วย วิสัยทัศน์พระมหากษัตริย์เราและความสัมพันธ์อันดีกับจีนดีเรื่อยมาจึงมีสิ่งดีๆนี้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องคนไทยเราหรือทั้งอาเชียนมิให้หนาวตายด้วยดวงอาทิตย์เทียม,จีนก็ดูแลฝั่งตะวันออก,เราก็ดูแลฝั่งเอเชียกลางเป็นต้น,ตลอดอนาคตเราเข้าเป็นสมาชิกสภากาแล็กติกอย่างเป็นทางการอาจสาระพัดการช่วยเหลือจะมากมายกว่านี้,นี้ก็เข้าเป็นสมาชิกกองทัพพิทักษ์โลกแล้ว สามารถสร้างยานบินอวกาศในไทยได้สบายหรืออนาคตไทยเราจะเป็นฮับฐานหลักอีกที่ในการเป็นประเทศที่ผลิตยานบินอวกาศนั้นเอง.,เรามีนักวิชาการที่บิดเบือนทำคนไทยให้หลงทางมากเกินไปจริงๆ,ไม่มีความจริงใจอะไรในความซื่อสัตย์เลย,น่าผิดหวังมากๆ,ยุคใหม่ไม่สมควรมีนักวิชาการที่รับใช้ฝ่ายมืดในประเทศจริงๆ,พรบ.คาร์บอนเครดิตดีๆนี้ล่ะ,เครือข่ายกิจการเจ้าสัวในไทยของสมุนขี้ข้าซาตานประจำประเทศไทยต่างเตรียมพร้อมกอบโกยรับมือสิมิว่า,ปั่นเครดิตคาร์บอนตรึม,ปล่อยกู้เครดิตคาร์บอนอีก,ทำธุรกรรมใดๆคนไทยต้องมีเครดิตคาร์บอน,ลาพักเที่ยวมี10เครดิตคาร์บอนเที่ยวได้2วันก็ว่าโน้น,ชาวนาตอนแรกใช้ป่าเป็นเครดิตคาร์บอนรับฟรีที่100เครดิตต่อไร่,แต่จะทำนาทำสวนต้องจ่าย150เครดิตคาร์บอนจึงมีสถานะได้ใบอนุญาตทำนาทำสวนทำไร่ได้โน้น,กู้ตังกูเครดิตคาร์บอนเพิ่มจากแบงค์ซาตานแบบเดิมที่ประชาชนกู้ตังนั้นล่ะ,มันแจกจ่ายให้เครดิตคาร์บอนแต่ละแบงค์รอเหยื่อโง่ๆแบบมนุษย์ในยุคใหม่นี้ล่ะ หากินมุกๆใหม่ๆ,อาจแจกให้แบงค์ละ1ล้านล้านเครดิตคาร์บอนฟรีๆแบบในเครือมันตาอเมริกาในอดีตพิมพ์ตังขึ้นมาเองไร้ทองคำค้ำประกันนั้นล่ะ,ซวยคือประชาชนนี้ล่ะ,จะเลี้ยงแมวที่มีชีวิตหมาที่มีชีวิตต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเลี้ยงหมาแมวต่อปีที่ตัวละ300เครดิตคาร์บอนเพราะปลดปล่อยคาร์บอนมากไป,แล้วก็มนุษย์เองก็ต้องจ่ายเครดิตคาร์บอนค่าหายใจค่าตดออกมาปลดปล่อยคาร์บอนออกมาก็ว่าเฉลี่ยต่อปีคนละ10,000เครดิตคาร์บอน,นี้คือวิธีวิถีควบคุมมนุษย์ในอนาคตยุคใหม่หรือทาสมนุษย์ผ่านเครดิตคาร์บอนหรือพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นล่ะ ใน17ประกาศของแผนagenda2030นั้น,สังเกตุสิ ผลัดดันเพศสีรุ่งเต็มที่มั้ยเพราะมันก็คือ1ใน17ประการแผนนโยบายหลักมันด้วย.,พรบ.นี้จริงๆต้องฉีกทำลายทิ้งทันที,นัยยะทาสทั้งประเทศชัดเจนรวมถึงจับกุมสถาบันกษัตริย์ไปร่วมเป็นทาสใต้ระบบมันด้วย.พวกนี้ธรรมดาที่ไหน.,พรบ.นี้คือแม่บนของทุกๆประการ ตัวหลักในการจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยทั้งหมดและคนทั่วโลก มันจึงส่งออกให้ถึงประเทศไปทำให้สำเร็จ,เทียบกบฎ2475ก็ไม่ต่างกัน รับงานมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองวิถีชีวิตของประเทศนั้นๆ เช่น จีนก็ส่งออกระบบคอมมิวนิสต์ให้เพราะประเทศใหญ่โตควบคุมต้องเด็ดขาด ไทยประเทศเล็กๆส่งออกให้มันใส่เป็นระบบประชาธิปไตยแทน,สมุนขี้ข้าคณะกบฎ2475จึงรับงานมาทำ จีนก็สำเร็จแบบจีน ไทยก็สำเร็จแบบไทยจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น คำตอบขี้ข้าที่ถูกต้องและชัดเจนว่า ไม่ว่านายกฯคนไหนขึ้นบริหารล้วนคือคนของมัน ไม่แตะบ่อน้ำมันเลยที่มันเอาไปทำสาระพัดประโยชน์กำไร,และต้องรีบเร่งแจกจ่ายอยู่เนื่องๆหรือยกให้พวกมันชนิดให้ฟรีๆสไตล์ทาสใต้ปกครองนั้นล่ะ,ค่าภาคหลวงน้อยนิด,เนื้อปิโตรเลียมใดๆก็ไม่มีเป็นของตนเองจริง,มโนแค่ผักชีโชว์หรูวลีข้อความเท็จเท่านั้น,ราคาน้ำมันถ้าเป็นของตนเองต้องกำหนดและควบคุมราคาได้,แต่ถึงปัจจุบันไม่มีฝีมือความสามารถอะไร,มันสั่งไม่กี่คำ ขึ้นลงเป็นว่าเล่นนั้นเอง,คือทำกำไรปั่นกำไรในsetง่ายๆนั้นเอง.
    ..นี้คือวิถีปกครองที่พังจริงล้มเหลวจริงทั้งระบบ.

    https://youtu.be/2zua862k5MQ?si=7V9N5o9jQtfLN43H
    ..นักวิชาการมากมายเป็ยฝ่ายมืดแอบแฝงมิน้อย มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นและสามารถชี้นำสังคมได้โดยปูทางให้สามารถเข้ามามีชื่อเสียงรอไว้ในอดีตก็มาก ปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยโดยเฉพาะศูนย์กลางอำนาจ. ..ส่วนตัวก็ติดตามท่านมาสักพักช่วงหนึ่งนานมาแล้ว แต่หลังๆแปลกๆบอกไม่ถูก เชียร์พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสุดๆ ซึ่งฝ่ายแสงต่างเห็นต่างชัดเจนทั่วโลก เผลอโน้นโลกเย็นลงต่างหากและถ้าประเทศไทยไม่เตรียมรับมือเราอาจหนาวตายแน่นอนติดลบกว่า-200องศากันเลย เลยเริ่มลุกลามคุกคามมาเรื่อยๆในตอนบนของไทย ยุโรปหลายประเทศติดลบกว่า60-70องศาแล้วซึ่งเขาอยู่มมาตลอดชีวิตยังยืนยันว่าหนาวผิดปกติ,HAARPสามารถสร้างสาระพัดต่างๆได้หมดก็ด้วย,รวมภัยธรรมชาติพื้นฐานซ้ำเติมด้วยที่ฝ่ายมืดทำให้ทั่วโลกเสียสมดุลจากการรบกวนชั้นบรรยากาศโลกด้วยความถี่คลื่นสาระพัดอย่าง,ใต้ดินอีกเครื่องทำแผ่นดินไหวก็ด้วยกระจายทั่วโลกของฝ่ายมืดใต้เปลือกโลก,จึงน่าจะสมคบคิดบิดเบือนมากกว่า สมมุติฐานมโนให้เข้าใจง่ายๆคือจีนนำร่องเตรียมดวงอาทิตย์เทียมแล้วซึ่งแน่นอนจีนท่องเวลาผ่านประตูมิติไปเห็นอนาคตมาแล้ว แล้วกลับมารับมือในไทม์ไลน์ที่จะมาถึงเร็วๆนี้,และเรา..ประเทศไทยก็ร่วมมือกับจีนได้รับการถ่ายทอดสิ่งนี้ด้วย จนมีข่าวการสร้างดวงอาทิตย์เทียมในไทยถึงว่าเข้าขั้นสำเร็จได้ไม่ยากด้วย วิสัยทัศน์พระมหากษัตริย์เราและความสัมพันธ์อันดีกับจีนดีเรื่อยมาจึงมีสิ่งดีๆนี้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องคนไทยเราหรือทั้งอาเชียนมิให้หนาวตายด้วยดวงอาทิตย์เทียม,จีนก็ดูแลฝั่งตะวันออก,เราก็ดูแลฝั่งเอเชียกลางเป็นต้น,ตลอดอนาคตเราเข้าเป็นสมาชิกสภากาแล็กติกอย่างเป็นทางการอาจสาระพัดการช่วยเหลือจะมากมายกว่านี้,นี้ก็เข้าเป็นสมาชิกกองทัพพิทักษ์โลกแล้ว สามารถสร้างยานบินอวกาศในไทยได้สบายหรืออนาคตไทยเราจะเป็นฮับฐานหลักอีกที่ในการเป็นประเทศที่ผลิตยานบินอวกาศนั้นเอง.,เรามีนักวิชาการที่บิดเบือนทำคนไทยให้หลงทางมากเกินไปจริงๆ,ไม่มีความจริงใจอะไรในความซื่อสัตย์เลย,น่าผิดหวังมากๆ,ยุคใหม่ไม่สมควรมีนักวิชาการที่รับใช้ฝ่ายมืดในประเทศจริงๆ,พรบ.คาร์บอนเครดิตดีๆนี้ล่ะ,เครือข่ายกิจการเจ้าสัวในไทยของสมุนขี้ข้าซาตานประจำประเทศไทยต่างเตรียมพร้อมกอบโกยรับมือสิมิว่า,ปั่นเครดิตคาร์บอนตรึม,ปล่อยกู้เครดิตคาร์บอนอีก,ทำธุรกรรมใดๆคนไทยต้องมีเครดิตคาร์บอน,ลาพักเที่ยวมี10เครดิตคาร์บอนเที่ยวได้2วันก็ว่าโน้น,ชาวนาตอนแรกใช้ป่าเป็นเครดิตคาร์บอนรับฟรีที่100เครดิตต่อไร่,แต่จะทำนาทำสวนต้องจ่าย150เครดิตคาร์บอนจึงมีสถานะได้ใบอนุญาตทำนาทำสวนทำไร่ได้โน้น,กู้ตังกูเครดิตคาร์บอนเพิ่มจากแบงค์ซาตานแบบเดิมที่ประชาชนกู้ตังนั้นล่ะ,มันแจกจ่ายให้เครดิตคาร์บอนแต่ละแบงค์รอเหยื่อโง่ๆแบบมนุษย์ในยุคใหม่นี้ล่ะ หากินมุกๆใหม่ๆ,อาจแจกให้แบงค์ละ1ล้านล้านเครดิตคาร์บอนฟรีๆแบบในเครือมันตาอเมริกาในอดีตพิมพ์ตังขึ้นมาเองไร้ทองคำค้ำประกันนั้นล่ะ,ซวยคือประชาชนนี้ล่ะ,จะเลี้ยงแมวที่มีชีวิตหมาที่มีชีวิตต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเลี้ยงหมาแมวต่อปีที่ตัวละ300เครดิตคาร์บอนเพราะปลดปล่อยคาร์บอนมากไป,แล้วก็มนุษย์เองก็ต้องจ่ายเครดิตคาร์บอนค่าหายใจค่าตดออกมาปลดปล่อยคาร์บอนออกมาก็ว่าเฉลี่ยต่อปีคนละ10,000เครดิตคาร์บอน,นี้คือวิธีวิถีควบคุมมนุษย์ในอนาคตยุคใหม่หรือทาสมนุษย์ผ่านเครดิตคาร์บอนหรือพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นล่ะ ใน17ประกาศของแผนagenda2030นั้น,สังเกตุสิ ผลัดดันเพศสีรุ่งเต็มที่มั้ยเพราะมันก็คือ1ใน17ประการแผนนโยบายหลักมันด้วย.,พรบ.นี้จริงๆต้องฉีกทำลายทิ้งทันที,นัยยะทาสทั้งประเทศชัดเจนรวมถึงจับกุมสถาบันกษัตริย์ไปร่วมเป็นทาสใต้ระบบมันด้วย.พวกนี้ธรรมดาที่ไหน.,พรบ.นี้คือแม่บนของทุกๆประการ ตัวหลักในการจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยทั้งหมดและคนทั่วโลก มันจึงส่งออกให้ถึงประเทศไปทำให้สำเร็จ,เทียบกบฎ2475ก็ไม่ต่างกัน รับงานมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองวิถีชีวิตของประเทศนั้นๆ เช่น จีนก็ส่งออกระบบคอมมิวนิสต์ให้เพราะประเทศใหญ่โตควบคุมต้องเด็ดขาด ไทยประเทศเล็กๆส่งออกให้มันใส่เป็นระบบประชาธิปไตยแทน,สมุนขี้ข้าคณะกบฎ2475จึงรับงานมาทำ จีนก็สำเร็จแบบจีน ไทยก็สำเร็จแบบไทยจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น คำตอบขี้ข้าที่ถูกต้องและชัดเจนว่า ไม่ว่านายกฯคนไหนขึ้นบริหารล้วนคือคนของมัน ไม่แตะบ่อน้ำมันเลยที่มันเอาไปทำสาระพัดประโยชน์กำไร,และต้องรีบเร่งแจกจ่ายอยู่เนื่องๆหรือยกให้พวกมันชนิดให้ฟรีๆสไตล์ทาสใต้ปกครองนั้นล่ะ,ค่าภาคหลวงน้อยนิด,เนื้อปิโตรเลียมใดๆก็ไม่มีเป็นของตนเองจริง,มโนแค่ผักชีโชว์หรูวลีข้อความเท็จเท่านั้น,ราคาน้ำมันถ้าเป็นของตนเองต้องกำหนดและควบคุมราคาได้,แต่ถึงปัจจุบันไม่มีฝีมือความสามารถอะไร,มันสั่งไม่กี่คำ ขึ้นลงเป็นว่าเล่นนั้นเอง,คือทำกำไรปั่นกำไรในsetง่ายๆนั้นเอง. ..นี้คือวิถีปกครองที่พังจริงล้มเหลวจริงทั้งระบบ. https://youtu.be/2zua862k5MQ?si=7V9N5o9jQtfLN43H
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • ..มุมนี้ ดูได้ทุกๆรุ่น,ประเทศไทยไม่ธรรมดาแน่นอน,นี้จึงคือเหตุผลสำคัญที่จะต้องทำลายประเทศไทยหรือยึดครองให้ได้,แต่ครูบาอาจารย์เราเยอะ,อักเสบไปหลายตัวแล้วก็ได้,จึงมิอาจทำอะไรไทยได้เป็นเพียงขุดๆผิวหนังให้คันๆนิดหน่อย,
    ..คนไทยเรารักสามัคคีกันตรึมดีอยู่แล้วในทุกๆภาคทั่วไทย,ถ้ายิ่งบรรลุธรรมเยอะๆนะจะขนาดไหน จึงพยายามทำให้ไทยชุมชนสังคมไทยเราเต็มด้วยพลังงานลบอบายมุขมากๆสร้างโกลาหลวุ่นวายปั่นป่วนเยอะตลอดเวลา,สื่อหลักไทยเห็นชัด จะแอ็คชั่นสาระพัดข่าวเชิงลบ ข่าวโกลาหลวุ่นวายเดือดร้อนไม่สงบสุขต่างๆประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำแหน่งอำนาจสูงของรัฐพยายามดองไว้ อาทิปัญหาความยากจน ปัญหาหนี้สินประชาชน ตัวทำจิตคนไทยให้ไร้สติหยุดคิดพิจารณาได้ให้ตกเป็นทาสระบบมันทางตรงและทางอ้อมให้ได้,นี้จึงจังหวะดีที่สามารถพลิกเป็นฝ่ายแสงขึ้นปกครองบริหารประเทศไทยได้,แบบทรัมป์กำลังขึ้นปกครองและจัดการพวกอิลูมินาติรีตอีลิทdeep stateซาตานทั่วอเมริกา,กำลังนำเข้าฟื้นฟูเยียวยาร่างกายคนอเมริกาด้วยเตียงmedbedsเร็วๆนี้,ที่แน่ๆฝ่ายมืดกำลังดิ้นรนบนโลกนี้นั้นเอง ดิ้นรนหนีตายครั้งสุดท้ายหลังจากQE2ไปวัดนั้นล่ะ,ที่เหลือบนโลกแค่ขี้ข้าสมุนกากๆเท่านั้นยังปกครองเป็นผู้นำในแต่ละประเทศดิ้นรนหาแดกเอาเองเพราะเจ้านายตายหมดแล้ว,จึงทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์กูใครมันแย่งกันเองนั้นล่ะ,ไม่มีเจ้านายโอนตังอุดหนุนในยามปกติแล้ว,ในไทยลองเปลี่ยนผู้นำดีๆเป็นฝ่ายแสงขึ้นปกครองสิ,เจ้าสัวกิจการเครือข่ายฝ่ายมืดประจำประเทศไทยปิดกิจการในอัตราเร่งทันทีแน่นอน,ตอนนี้ยังช้าอยู่เพื่อปลดปล่อยคนไทยกลับบ้านเกิดเมืองนอนตนสู่สถานะอิสรภาพมิใช่ทาสแรงงานขี้ข้าเหมือนในอดีต,UBIลงจริงอีกยิ่งคลายกังวล อาจยกระดับจิตระดับใจง่ายขึ้นอีกเป็นต้นแบบของโลกเลยหรือผู้นำจิตวิญญาณของโลกในประเทศไทยนี้,ชาวโลกได้พลังงานจักรวาลช่วยเสริมพลังจิตอีกยิ่งบรรลุธรรมจักรวาลรวดเร็ว,ฝ่ายมืดไม่หวาดกลัวไม่หนาวในประเทศไทยได้ไง.นำพาทั้งโลกเราบรรลุธรรมจักรวาลกันเต็มโลก,ฝ่ายแสงเต็มโลกบันเทิงเลยล่ะ.,ปัจจุบันคนไทยเรารับรู้เยอะขึ้นอย่างมากอาจอัตราเร่งสูงเลย,ช่วยกันแชร์เยอะๆยิ่งดี,เรา..ประชาชนคนไทยสุดยอดอยู่แล้ว.

    https://youtu.be/MGvp-5Y6NaY?si=Xoda4-qdOJur6PEb
    ..มุมนี้ ดูได้ทุกๆรุ่น,ประเทศไทยไม่ธรรมดาแน่นอน,นี้จึงคือเหตุผลสำคัญที่จะต้องทำลายประเทศไทยหรือยึดครองให้ได้,แต่ครูบาอาจารย์เราเยอะ,อักเสบไปหลายตัวแล้วก็ได้,จึงมิอาจทำอะไรไทยได้เป็นเพียงขุดๆผิวหนังให้คันๆนิดหน่อย, ..คนไทยเรารักสามัคคีกันตรึมดีอยู่แล้วในทุกๆภาคทั่วไทย,ถ้ายิ่งบรรลุธรรมเยอะๆนะจะขนาดไหน จึงพยายามทำให้ไทยชุมชนสังคมไทยเราเต็มด้วยพลังงานลบอบายมุขมากๆสร้างโกลาหลวุ่นวายปั่นป่วนเยอะตลอดเวลา,สื่อหลักไทยเห็นชัด จะแอ็คชั่นสาระพัดข่าวเชิงลบ ข่าวโกลาหลวุ่นวายเดือดร้อนไม่สงบสุขต่างๆประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำแหน่งอำนาจสูงของรัฐพยายามดองไว้ อาทิปัญหาความยากจน ปัญหาหนี้สินประชาชน ตัวทำจิตคนไทยให้ไร้สติหยุดคิดพิจารณาได้ให้ตกเป็นทาสระบบมันทางตรงและทางอ้อมให้ได้,นี้จึงจังหวะดีที่สามารถพลิกเป็นฝ่ายแสงขึ้นปกครองบริหารประเทศไทยได้,แบบทรัมป์กำลังขึ้นปกครองและจัดการพวกอิลูมินาติรีตอีลิทdeep stateซาตานทั่วอเมริกา,กำลังนำเข้าฟื้นฟูเยียวยาร่างกายคนอเมริกาด้วยเตียงmedbedsเร็วๆนี้,ที่แน่ๆฝ่ายมืดกำลังดิ้นรนบนโลกนี้นั้นเอง ดิ้นรนหนีตายครั้งสุดท้ายหลังจากQE2ไปวัดนั้นล่ะ,ที่เหลือบนโลกแค่ขี้ข้าสมุนกากๆเท่านั้นยังปกครองเป็นผู้นำในแต่ละประเทศดิ้นรนหาแดกเอาเองเพราะเจ้านายตายหมดแล้ว,จึงทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์กูใครมันแย่งกันเองนั้นล่ะ,ไม่มีเจ้านายโอนตังอุดหนุนในยามปกติแล้ว,ในไทยลองเปลี่ยนผู้นำดีๆเป็นฝ่ายแสงขึ้นปกครองสิ,เจ้าสัวกิจการเครือข่ายฝ่ายมืดประจำประเทศไทยปิดกิจการในอัตราเร่งทันทีแน่นอน,ตอนนี้ยังช้าอยู่เพื่อปลดปล่อยคนไทยกลับบ้านเกิดเมืองนอนตนสู่สถานะอิสรภาพมิใช่ทาสแรงงานขี้ข้าเหมือนในอดีต,UBIลงจริงอีกยิ่งคลายกังวล อาจยกระดับจิตระดับใจง่ายขึ้นอีกเป็นต้นแบบของโลกเลยหรือผู้นำจิตวิญญาณของโลกในประเทศไทยนี้,ชาวโลกได้พลังงานจักรวาลช่วยเสริมพลังจิตอีกยิ่งบรรลุธรรมจักรวาลรวดเร็ว,ฝ่ายมืดไม่หวาดกลัวไม่หนาวในประเทศไทยได้ไง.นำพาทั้งโลกเราบรรลุธรรมจักรวาลกันเต็มโลก,ฝ่ายแสงเต็มโลกบันเทิงเลยล่ะ.,ปัจจุบันคนไทยเรารับรู้เยอะขึ้นอย่างมากอาจอัตราเร่งสูงเลย,ช่วยกันแชร์เยอะๆยิ่งดี,เรา..ประชาชนคนไทยสุดยอดอยู่แล้ว. https://youtu.be/MGvp-5Y6NaY?si=Xoda4-qdOJur6PEb
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • จะAIทำออกมาก็ได้หมดในยุคนี้นะ,ตรองร่วมกันเอาเอง.

    ..โลกของเราไม่ใช่ของจริง

    เราอาศัยอยู่บนซากปรักหักพังของอารยธรรมขั้นสูง และวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการก็มองว่าเราเป็นคนโง่ด้วยการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่:

    - เราไม่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับฤดูหนาวนิวเคลียร์ในปี 1816;
    - เราไม่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศฟรี (เทคโนโลยีนี้มีอายุมากกว่า 200 ปี);
    - เราไม่เคยได้รับการบอกเล่าความจริง เพราะมันจะทำลาย "ระบบ"
    จะAIทำออกมาก็ได้หมดในยุคนี้นะ,ตรองร่วมกันเอาเอง. ..โลกของเราไม่ใช่ของจริง เราอาศัยอยู่บนซากปรักหักพังของอารยธรรมขั้นสูง และวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการก็มองว่าเราเป็นคนโง่ด้วยการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่: - เราไม่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับฤดูหนาวนิวเคลียร์ในปี 1816; - เราไม่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศฟรี (เทคโนโลยีนี้มีอายุมากกว่า 200 ปี); - เราไม่เคยได้รับการบอกเล่าความจริง เพราะมันจะทำลาย "ระบบ"
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 0 Reviews
  • ..หมากที่จะแก้การยอมรับของนานาประเทศทั่วโลกคือปฏิวัติโดยประชาชนยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลที่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของชาติไทยตนเองโดยประชาชนที่ทั้งหมดนี้มีทหารพระราชายืนอยู่เคียงข้างประชาชนเราจะแก้เกมส์อีลิทdeep stateลวงโลกครอบงำโลกได้,จะประนามประฌามว่าทหารยึดอำนาจไม่ได้อีก,และอาจเป็นโมเดลต้นแบบของโลกชาติแรกประเทศแรกของโลกในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยึดอำนาจอย่างเป็นทางการและประชาชนทำแบบสุดซอยจัดตั้งรัฐบาลภาคประชาชนทางตรงเองอย่างจริงจังเสมือนวิจัยระบบวิถีการปกครองไปด้วยเหมือนวังดุสิตทดสอบระบบประชาธิปไตยก่อนจะนำมาใช้ปกครองในประเทศไทยแต่อีลิทdeep stateข้ามโลกมันชิงลงมือก่อนร่วมกับคนเนรคุณกบฎคณะ2475ก็ว่าทำการเปลี่ยนแปลงก่อนเพื่อตัดตอนองค์รู้ประชาชนมิให้เข้าใจบริบทของจริงชัดเจนได้,ให้เข้าใจแบบงูๆปลาเพื่ออ้างคำอ้างวลีตัวประชาธิปไตยมาปกครองคนโง่ประจำประเทศไทยได้,แล้วความซิปหายก็เริ่มต้นตั้งแต่เวลานั้นนั้นเอง ตัวอย่างชัดเจนคือบ่อน้ำมันบนแผ่นดินไทยมันยึดครอบครองไปหมดสิ้นจากแผ่นดินไทยเราหรือปล้นชิงโดยใช้อำนาจปกครองหลังฉากที่มันทำมาตลอดบนแผ่นดินไทยเขียนกฎหมายปล้นชิงอย่างชอบธรรมแก่พวกมันนั้นเอง,ประชาธิปไตยผีบ้าอะไรเสือกไม่เอาเข้าสภาสส.อภิปรายกันอย่างเปิดเผยกระจ่างชัดเจนให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้จริงทั้งหมดร่วมกัน เป็นต้น,นี้คือบริบทของจริงที่ปกครองผ่านระบบราชการไทยเราเองที่deep stateควบคุมปกครองประเทศไทยเราตลอดมา,หมากนี้เคยพูดสมัยประยุทธยึดอำนาจแล้วแต่เสียของมาก ทรยศประชาชนไม่ยึดคืนบ่อน้ำมันอะไรเลยด้วยกฎอัยการศึกกฎหมายพิเศษซึ่งสามารถโมฆะทุกๆกฎหมายของพรบ.กระทรวงทบวงกรมทั้งหมดได้และเขียนขึ้นใหม่ให้ไทยเป็นไทมิใช่ทาสได้แต่ก็ไม่ทำ,กษัตริย์คูเวตยึดอำนาจคืนจากสถาบันภาคการเมืองที่โกงกินประเทศจนพังพินาศนะพระองค์ยังจัดการทำสำเร็จก็ว่า,แต่เรา..ประชาชนคนไทยจะแก้ด้วยประชาชนยึดอำนาจทางตรงคืนมาแล้วไปให้สุดซอยคือตั้งรัฐบาลภาคประชาชนเองบริหารเอง จัดการทุกๆปัญหาของประชาชนคนไทยเราร่วมกันเองอย่างเป็นระบบใหม่,กวาดล้างสิ่งสกปรกทั้งหมดที่ฝังเป็นรากเหง้าที่ลึกลับมานานเผาทิ้งให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย สิ้นสุดที่ลูกหลานเราต้องมาเหี้ยๆแบบรุ่นเราอีก,เมื่อถึงเวลาอันควรลูกหลานเราจะพร้อมต้องสถานการณ์ที่เหมาะสมในอีกยุคๆหนึ่งของเขาแน่นอนซึ่งเรารุ่นเราได้เขียนเป็นประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้อารยะธรรมดีงามในการต่อสู้ต่างๆไว้แล้วบนแผ่นดินไทยในแต่ละรุ่นยุคสมัยและให้เป็นค่าจริงที่สุด,ด้วยสติปัญญาของเขาเองที่จะปรีชาสามารถรักษาแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้แค่ไหนหรือรวมเป็นหนึ่งทั่วโลกก็คงยุคสมัยเขาแล้วแต่หน้างานยุคเราคือวางรากเหง้าที่ดีเป็นหลักใจดีงามต่อพวกเขาเป็นพื้นฐานหลักชัยใจไว้ย่อมดีแน่,อำนาจคือยุคปัจจุบันสมมุติต้องมีเพื่อวิถีการปกครองให้ประเทศนั่นๆสุขสงบร่มเย็นที่สุด,แต่วิถีปกครองในประเทศไทยเรามันเสื่อมทรามลงจะต้องปฏิวัติใหม่ทั้งหมด,และควรแก่จังหวะเวลาแล้วที่ต้องทำ..
    ..หมากนี้ต้องไม่เสียของแบบยุคประยุทธ เหี้ยอะไรขายที่ดินได้ไร่ละ40ล้านบาท เหี้ยอะไรให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้99ปีสำเร็จในยุคประยุทธแต่ยุคทักษิณกลับไม่สำเร็จ,เหี้ยอะไร ครม.ยุคประยุทธมีหน้าตาพิมพ์เดียวกับครม.ยุคทักษิณทั้งหมด,อะไรที่ยุคทักษิณทำไม่สำเร็จ ทำไมสำเร็จในยุคประยุทธเสียส่วนใหญ่.,คนไทยเรากินแกลบหมดทั้งประเทศใช่มั้ยจึงไม่เฉลียวใจมองดูค่าจริงอะไร,นี้จึงต้องสุดซอย,ทหารยุคนี้หากไม่ใช่ทหารพระราชาก่อการเตรียมพินาศทั้งประเทศเลยเพราะเวลาเราหมดแล้ว,อาจยานสภากาแล็กติกจักรวาลต้องระเบิดประเทศไทยนี้ทิ้งทั้งหมดแล้วใช้เทคโนโลยีล้ำคืนสภาพธรรมชาติกลับคืนมาใหม่ทั้งหมดอีกครั้งแต่ดวงจิตวิญญาณคนไทยต้องไปเกิดในดวงดาวต่างๆคนละเรเวลแล้ว ย้ายดาวแน่นอน,ยานอวกาศจะกวาดล้างเอง เขาให้โอกาสจัดการกันเองแค่นั้น,เหมือนทรัมป์หากไม่จัดการ เขาจะจัดการเองแล้วคำว่าอภัยโทษใดๆจะไม่มีเลย,โลกต้องอัพเรเวลแล้วนั้นเอง,เขาไม่ปล่อยเวลาเนิ่นนานแล้ว,หรือฝ่ายแสงผิวโลกในไทยต้องรีบจัดการหากไม่จัดการเตรียมไปวัดได้เลย,เราได้ย้ายวิญญาณแน่นอน,อาจไม่มีโอกาสมาเกิดเล่นสนุกสนานบนโลกใบนี้อีก,จิตสัตว์ไปเกิดเป็นสัตว์บนดาวอื่น,เรเวลชั่วเลวระดับเดียวกันไปดาวเดียวกันนั่นเอง,จักรวาลเริ่มเก็บกวาดแล้วนั้นเอง ใครระดับไหนก็ไปอยู่ระดับนั้นแล้ว,จะไม่ปะปนมั่วแบบนี้อีก,หากผู้นำผิวโลกยังไม่จัดการซวยแน่นอน,หากจัดการทันก็ยังได้มาตายมาเกิดใหม่สนุกสนานอัพเรเวลอย่างอิสระเสรีตามปัจเจกอัตลักษณ์จริตสันดานนิสัยใครมันได้ ยกระดับจิตระดับใจบนโลกมนุษย์ที่สวยงามอีกดวงดาวหนึ่งในจักรวาลนี้ต่อไปได้,หากไม่ทำ,ทั้งหมดถึงย้ายหมดจะพวกใต้ดินพวกใต้โลกกลวงไปหมด,นี้มโนอีกมุมก็ว่าแต่ถ้าจริง,มีหนาวล่ะ,กลับบ้านใครมันทั้งหมด,มาจากนรกมาจากสัตว์แรปทีเลี่ยนมาจากเผ่าพันธุ์ไหนกลับหมด,ส่วนโลกจะเหลือใครไว้เราอจินไตยจะมีส่วนตัดสินใจหรือรับรู้ได้,เขาให้โอกาสเรานั่นเอง,มนุษย์คือเผ่าพันธุ์พิเศษเลิศแล้วในปัจจุบันนี้อ้างอิงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์คือตัวอย่างที่ดี,มนุษย์สมบัติเราพร้อมครบทุกๆด้านในเวลานี้,อำนาจปกครองยังมีอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้า การปกครองยังสำคัญต่อสมมุติโลกเรานั้นเอง,และเราจะรอดต้องศีลธรรมคุณงามความดีต้องกลับมา,ธรรมจักรวาลต้องกลับมา,ธรรมเท่านั้นจะคุ้มครองแผ่นดินไทยและคนไทยให้รอดพ้นภัยหายนะพิบัติใดๆได้,หรือยานแม่สามารถดูดร่างกายคนไทยย้ายไปดวงดาวที่ปล่อยภัยได้สบายมาก,ยานแม่ใหญ่กว่าโลกอาจ4-5เท่าโน้น,หรือมาจากมหาจักรวาลวาล์ปมารูหนอนมาหลุมดำมาก็ได้หมด,เทคโนโลยีของยานที่มาจากมหาจักรวาลทั้งใหญ่โตและล้ำสมัยโคตรๆแน่นอน,คือย้ายทั้งแผ่นดินไทยและคนไทยก็ไปได้สบายนั้นเอง.,ยุคเราอาจได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นโดยเฉพาะคนไทย,เหมือนคนเขากะลาพวกเขากะลานั้นล่ะเห็นยานบินต่างดาวสไตล์กลุ่มของเขา,เปิดระบบรักษาพูดจาตามเขารับรู้ของเขา.,นี้ก็มโนตามของเรา,หน้างานคือถีบผู้นำปัจจุบันลงทันทีพักงานสถาบันนักการเมืองทั้งหมด,
    ..เราต้องฟื้นฟูศีลธรรมอันดีงามหรือธรรมจักรวาลยกจิตยกใจคู่ขนานทางวัตถุธาตุของโลกโดยเร็วจริงๆ.,ประเทศไทยสมบูรณ์อุดมกว่าชาติใดๆในโลก,ครูบาอาจารย์ทางจิตทางใจคือเครื่องยืนยันสถานะเราแล้ว,ที่เหลือคือรุ่นเราจริงๆ,ยุคเราต้องจบพวกมันทั้งหมด,เรามีคนชั่วเลวบนแผ่นดินไทยมากเกินไป,เราสามารถส่งพวกมันย้ายดวงดาวก่อนล่วงหน้าได้ ที่เหลือพระเจ้าพวกมันจะตัดสินใจแทนมันเอง.
    ..
    ..https://youtu.be/603oeepdDG8?si=gbeVchhoJAamZqeg
    ..หมากที่จะแก้การยอมรับของนานาประเทศทั่วโลกคือปฏิวัติโดยประชาชนยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลที่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของชาติไทยตนเองโดยประชาชนที่ทั้งหมดนี้มีทหารพระราชายืนอยู่เคียงข้างประชาชนเราจะแก้เกมส์อีลิทdeep stateลวงโลกครอบงำโลกได้,จะประนามประฌามว่าทหารยึดอำนาจไม่ได้อีก,และอาจเป็นโมเดลต้นแบบของโลกชาติแรกประเทศแรกของโลกในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยึดอำนาจอย่างเป็นทางการและประชาชนทำแบบสุดซอยจัดตั้งรัฐบาลภาคประชาชนทางตรงเองอย่างจริงจังเสมือนวิจัยระบบวิถีการปกครองไปด้วยเหมือนวังดุสิตทดสอบระบบประชาธิปไตยก่อนจะนำมาใช้ปกครองในประเทศไทยแต่อีลิทdeep stateข้ามโลกมันชิงลงมือก่อนร่วมกับคนเนรคุณกบฎคณะ2475ก็ว่าทำการเปลี่ยนแปลงก่อนเพื่อตัดตอนองค์รู้ประชาชนมิให้เข้าใจบริบทของจริงชัดเจนได้,ให้เข้าใจแบบงูๆปลาเพื่ออ้างคำอ้างวลีตัวประชาธิปไตยมาปกครองคนโง่ประจำประเทศไทยได้,แล้วความซิปหายก็เริ่มต้นตั้งแต่เวลานั้นนั้นเอง ตัวอย่างชัดเจนคือบ่อน้ำมันบนแผ่นดินไทยมันยึดครอบครองไปหมดสิ้นจากแผ่นดินไทยเราหรือปล้นชิงโดยใช้อำนาจปกครองหลังฉากที่มันทำมาตลอดบนแผ่นดินไทยเขียนกฎหมายปล้นชิงอย่างชอบธรรมแก่พวกมันนั้นเอง,ประชาธิปไตยผีบ้าอะไรเสือกไม่เอาเข้าสภาสส.อภิปรายกันอย่างเปิดเผยกระจ่างชัดเจนให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้จริงทั้งหมดร่วมกัน เป็นต้น,นี้คือบริบทของจริงที่ปกครองผ่านระบบราชการไทยเราเองที่deep stateควบคุมปกครองประเทศไทยเราตลอดมา,หมากนี้เคยพูดสมัยประยุทธยึดอำนาจแล้วแต่เสียของมาก ทรยศประชาชนไม่ยึดคืนบ่อน้ำมันอะไรเลยด้วยกฎอัยการศึกกฎหมายพิเศษซึ่งสามารถโมฆะทุกๆกฎหมายของพรบ.กระทรวงทบวงกรมทั้งหมดได้และเขียนขึ้นใหม่ให้ไทยเป็นไทมิใช่ทาสได้แต่ก็ไม่ทำ,กษัตริย์คูเวตยึดอำนาจคืนจากสถาบันภาคการเมืองที่โกงกินประเทศจนพังพินาศนะพระองค์ยังจัดการทำสำเร็จก็ว่า,แต่เรา..ประชาชนคนไทยจะแก้ด้วยประชาชนยึดอำนาจทางตรงคืนมาแล้วไปให้สุดซอยคือตั้งรัฐบาลภาคประชาชนเองบริหารเอง จัดการทุกๆปัญหาของประชาชนคนไทยเราร่วมกันเองอย่างเป็นระบบใหม่,กวาดล้างสิ่งสกปรกทั้งหมดที่ฝังเป็นรากเหง้าที่ลึกลับมานานเผาทิ้งให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย สิ้นสุดที่ลูกหลานเราต้องมาเหี้ยๆแบบรุ่นเราอีก,เมื่อถึงเวลาอันควรลูกหลานเราจะพร้อมต้องสถานการณ์ที่เหมาะสมในอีกยุคๆหนึ่งของเขาแน่นอนซึ่งเรารุ่นเราได้เขียนเป็นประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้อารยะธรรมดีงามในการต่อสู้ต่างๆไว้แล้วบนแผ่นดินไทยในแต่ละรุ่นยุคสมัยและให้เป็นค่าจริงที่สุด,ด้วยสติปัญญาของเขาเองที่จะปรีชาสามารถรักษาแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้แค่ไหนหรือรวมเป็นหนึ่งทั่วโลกก็คงยุคสมัยเขาแล้วแต่หน้างานยุคเราคือวางรากเหง้าที่ดีเป็นหลักใจดีงามต่อพวกเขาเป็นพื้นฐานหลักชัยใจไว้ย่อมดีแน่,อำนาจคือยุคปัจจุบันสมมุติต้องมีเพื่อวิถีการปกครองให้ประเทศนั่นๆสุขสงบร่มเย็นที่สุด,แต่วิถีปกครองในประเทศไทยเรามันเสื่อมทรามลงจะต้องปฏิวัติใหม่ทั้งหมด,และควรแก่จังหวะเวลาแล้วที่ต้องทำ.. ..หมากนี้ต้องไม่เสียของแบบยุคประยุทธ เหี้ยอะไรขายที่ดินได้ไร่ละ40ล้านบาท เหี้ยอะไรให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้99ปีสำเร็จในยุคประยุทธแต่ยุคทักษิณกลับไม่สำเร็จ,เหี้ยอะไร ครม.ยุคประยุทธมีหน้าตาพิมพ์เดียวกับครม.ยุคทักษิณทั้งหมด,อะไรที่ยุคทักษิณทำไม่สำเร็จ ทำไมสำเร็จในยุคประยุทธเสียส่วนใหญ่.,คนไทยเรากินแกลบหมดทั้งประเทศใช่มั้ยจึงไม่เฉลียวใจมองดูค่าจริงอะไร,นี้จึงต้องสุดซอย,ทหารยุคนี้หากไม่ใช่ทหารพระราชาก่อการเตรียมพินาศทั้งประเทศเลยเพราะเวลาเราหมดแล้ว,อาจยานสภากาแล็กติกจักรวาลต้องระเบิดประเทศไทยนี้ทิ้งทั้งหมดแล้วใช้เทคโนโลยีล้ำคืนสภาพธรรมชาติกลับคืนมาใหม่ทั้งหมดอีกครั้งแต่ดวงจิตวิญญาณคนไทยต้องไปเกิดในดวงดาวต่างๆคนละเรเวลแล้ว ย้ายดาวแน่นอน,ยานอวกาศจะกวาดล้างเอง เขาให้โอกาสจัดการกันเองแค่นั้น,เหมือนทรัมป์หากไม่จัดการ เขาจะจัดการเองแล้วคำว่าอภัยโทษใดๆจะไม่มีเลย,โลกต้องอัพเรเวลแล้วนั้นเอง,เขาไม่ปล่อยเวลาเนิ่นนานแล้ว,หรือฝ่ายแสงผิวโลกในไทยต้องรีบจัดการหากไม่จัดการเตรียมไปวัดได้เลย,เราได้ย้ายวิญญาณแน่นอน,อาจไม่มีโอกาสมาเกิดเล่นสนุกสนานบนโลกใบนี้อีก,จิตสัตว์ไปเกิดเป็นสัตว์บนดาวอื่น,เรเวลชั่วเลวระดับเดียวกันไปดาวเดียวกันนั่นเอง,จักรวาลเริ่มเก็บกวาดแล้วนั้นเอง ใครระดับไหนก็ไปอยู่ระดับนั้นแล้ว,จะไม่ปะปนมั่วแบบนี้อีก,หากผู้นำผิวโลกยังไม่จัดการซวยแน่นอน,หากจัดการทันก็ยังได้มาตายมาเกิดใหม่สนุกสนานอัพเรเวลอย่างอิสระเสรีตามปัจเจกอัตลักษณ์จริตสันดานนิสัยใครมันได้ ยกระดับจิตระดับใจบนโลกมนุษย์ที่สวยงามอีกดวงดาวหนึ่งในจักรวาลนี้ต่อไปได้,หากไม่ทำ,ทั้งหมดถึงย้ายหมดจะพวกใต้ดินพวกใต้โลกกลวงไปหมด,นี้มโนอีกมุมก็ว่าแต่ถ้าจริง,มีหนาวล่ะ,กลับบ้านใครมันทั้งหมด,มาจากนรกมาจากสัตว์แรปทีเลี่ยนมาจากเผ่าพันธุ์ไหนกลับหมด,ส่วนโลกจะเหลือใครไว้เราอจินไตยจะมีส่วนตัดสินใจหรือรับรู้ได้,เขาให้โอกาสเรานั่นเอง,มนุษย์คือเผ่าพันธุ์พิเศษเลิศแล้วในปัจจุบันนี้อ้างอิงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์คือตัวอย่างที่ดี,มนุษย์สมบัติเราพร้อมครบทุกๆด้านในเวลานี้,อำนาจปกครองยังมีอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้า การปกครองยังสำคัญต่อสมมุติโลกเรานั้นเอง,และเราจะรอดต้องศีลธรรมคุณงามความดีต้องกลับมา,ธรรมจักรวาลต้องกลับมา,ธรรมเท่านั้นจะคุ้มครองแผ่นดินไทยและคนไทยให้รอดพ้นภัยหายนะพิบัติใดๆได้,หรือยานแม่สามารถดูดร่างกายคนไทยย้ายไปดวงดาวที่ปล่อยภัยได้สบายมาก,ยานแม่ใหญ่กว่าโลกอาจ4-5เท่าโน้น,หรือมาจากมหาจักรวาลวาล์ปมารูหนอนมาหลุมดำมาก็ได้หมด,เทคโนโลยีของยานที่มาจากมหาจักรวาลทั้งใหญ่โตและล้ำสมัยโคตรๆแน่นอน,คือย้ายทั้งแผ่นดินไทยและคนไทยก็ไปได้สบายนั้นเอง.,ยุคเราอาจได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นโดยเฉพาะคนไทย,เหมือนคนเขากะลาพวกเขากะลานั้นล่ะเห็นยานบินต่างดาวสไตล์กลุ่มของเขา,เปิดระบบรักษาพูดจาตามเขารับรู้ของเขา.,นี้ก็มโนตามของเรา,หน้างานคือถีบผู้นำปัจจุบันลงทันทีพักงานสถาบันนักการเมืองทั้งหมด, ..เราต้องฟื้นฟูศีลธรรมอันดีงามหรือธรรมจักรวาลยกจิตยกใจคู่ขนานทางวัตถุธาตุของโลกโดยเร็วจริงๆ.,ประเทศไทยสมบูรณ์อุดมกว่าชาติใดๆในโลก,ครูบาอาจารย์ทางจิตทางใจคือเครื่องยืนยันสถานะเราแล้ว,ที่เหลือคือรุ่นเราจริงๆ,ยุคเราต้องจบพวกมันทั้งหมด,เรามีคนชั่วเลวบนแผ่นดินไทยมากเกินไป,เราสามารถส่งพวกมันย้ายดวงดาวก่อนล่วงหน้าได้ ที่เหลือพระเจ้าพวกมันจะตัดสินใจแทนมันเอง. .. ..https://youtu.be/603oeepdDG8?si=gbeVchhoJAamZqeg
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด
    สัทธรรมลำดับที่ : 1032
    ชื่อบทธรรม :- การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1032
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด
    ....
    --สารีบุตร
    http://etipitaka.com/read/pali/25/521/?keywords=สารีปุตฺตาติ
    +--ถ้าผาสุกธรรมใดๆมีอยู่ สำหรับผู้เกลียดต่อทุกข์ ผู้เสพที่นั่ง นอนอันสงัด
    ใคร่จะตรัสรู้ธรรมตามที่เป็นจริง แล้วไซร้
    เราจักบอก ผาสุกธรรมนั้น ๆ แก่เธอ ตามที่เรารู้.
    +--ภิกษุผู้ฉลาด พึงเป็นผู้มีสติ ประพฤติธรรมถึงที่สุดรอบด้าน
    ไม่พึงเกรงต่อภัย ๕ อย่าง คือ
    ภัยจากเหลือบ สัตว์กัดต่อย สัตว์เสือกคลาน การกระทบของมนุษย์ และสัตว์สี่เท้า.
    +--ภิกษุนั้น ไม่พึงครั่นคร้าม ต่อชนเหล่าอื่นผู้มีธรรมเป็น ปรปักษ์
    แม้เห็นความน่ากลัวเป็นอันมากจากชนเหล่านั้น หรือ อันตรายอย่างอื่น ๆ
    ก็แสวงหาซึ่งธรรมอันเป็นกุศล ครอบงำ ความกลัวเหล่านั้นเสียได้.
    +--ถูกกระทบแล้วด้วยผัสสะ
    แห่งโรค ความหิว ความหนาว ความร้อน ก็อดกลั้นได้.
    ผัสสะเหล่านั้นถูกต้องแล้ว มากมาย เท่าไร
    ก็ยังไม่มีกิเลสท่วมทับใจ ยังคงบากบั่นกระทำความ เพียรอยู่อย่างมั่นคง.
    +--ไม่พึงกระทำการขโมย ไม่พึงกล่าวเท็จ
    พึงถูกต้องสัตว์ทั้งที่ ยังสะดุ้งและมั่นคง ด้วยเมตตา.
    พึงรู้ชัดความขุ่นมัว แห่งใจแล้ว บรรเทาเสียด้วยคิดว่า นั้นเป็นธรรมฝ่ายดำ.
    +--ไม่พึงไปสู่อำนาจแห่งความโกรธ และจองหอง พึงขุด รากแห่งกิเลสเหล่านั้น
    ดำรงตนอยู่ เป็นผู้ครอบงำเสียซึ่ง อำนาจของสิ่งอัน เป็นที่รักและไม่เป็นที่รักโดยตรง.
    +--พึงเป็นผู้มีกัลยาณปีติ มุ่งปัญญาเป็นเบื้องหน้า ครอบงำเสียซึ่งอันตรายเหล่านั้น
    พึงข่มขี่ความไม่ยินดีในที่อยู่อันสงัด
    ข่มขี่ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งปริเทวะทั้งสี่อย่างเสีย คือปริเทวะว่า
    เราจักกินอะไร, จักได้กินที่ไหน, เมื่อคืนนอนเป็นทุกข์, คืนนี้จักนอนที่ไหน.
    วิตกอันเป็นที่ตั้งแห่งปริเทวะเหล่านี้ เธอพึงนำออกเสีย
    เป็นเสขะไม่มีที่อยู่ ที่อาศัยเที่ยวไปเถิด.
    +--เมื่อได้อาหารและที่อยู่ในกาลอันสมควรแล้ว พึงเป็นผู้รู้ ประมาณ
    เพื่อความเป็นผู้สันโดษในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้คุ้มครอง ตนในปัจจัยเหล่านั้น
    เป็นผู้สำรวมเที่ยวไปในหมู่บ้าน แม้ถูกด่าก็ไม่กล่าวคำหยาบ .
    +--พึงเป็นผู้ทอดสายตาต่ำ ไม่หลุกหลิงด้วยเท้า
    ตามประกอบ อยู่ในฌาน เป็นผู้มากด้วยความตื่นอยู่
    มีตนส่งไปในสมาธิ ปรารภ อุเบกขา
    ตัดเสียซึ่งเหตุแห่งวิตกและธรรมเครื่อง ส่งเสริมกุกกุจจะ.
    +--เมื่อถูกกล่าวตักเตือน ก็เป็นผู้มีสติยินดีรับคำตักเตือน
    พึงทำลายข้อขัดแย้ง (ขีล) ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
    กล่าว วาจาที่เป็น กุศล ไม่เกินขอบเขต ไม่ตริตรึกไปในทางที่จะว่ากล่าวผู้อื่น ;
    ต่อแต่นั้น พึงเป็นผู้มีสติศึกษาเพื่อนำออกเสียซึ่งธุลี ๕ อย่าง
    ในโลก คือ ข่มขี่ซึ่งราคะ
    ในรูป ในเสียง ในรส ในกลิ่น ในผัสสะ
    ทั้งหลาย.
    +--พึงนำออกซึ่งความพอใจในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น
    เป็นภิกษุ มีสติ มีจิตหลุดพ้นด้วยดี ใคร่ครวญอยู่ ซึ่งสัมมาธรรมะ
    โดยกาลอันควร เป็นผู้มีธรรมอันเอก กำจัดความมืดเสียได้
    แล.-

    (ข้อปฏิบัติตามอัฏฐังคิกมรรค
    อาจจะแยกแยะออกไปเป็นรายละเอียด ได้อย่างมากมาย
    ด้วย พระพุทธภาษิตที่ตรัสแก่พระสารีบุตร ในที่นี้ กล่าวได้ว่า
    เป็นคำขยายความของ อริยมรรคมีองค์แปดรวมกันได้เป็นอย่างดี
    จึงได้นำข้อความนี้มาใส่ไว้ในหมวดนี้
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สุตฺต. ขุ. 25/388/423.
    http://etipitaka.com/read/thai/25/388/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%92%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สุตฺต. ขุ. ๒๕/๕๒๑/๔๒๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/25/521/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%92%E0%B9%93
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1032
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90&id=1032
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90
    ลำดับสาธยายธรรม : 90 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_90.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด สัทธรรมลำดับที่ : 1032 ชื่อบทธรรม :- การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1032 เนื้อความทั้งหมด :- --การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด .... --สารีบุตร http://etipitaka.com/read/pali/25/521/?keywords=สารีปุตฺตาติ +--ถ้าผาสุกธรรมใดๆมีอยู่ สำหรับผู้เกลียดต่อทุกข์ ผู้เสพที่นั่ง นอนอันสงัด ใคร่จะตรัสรู้ธรรมตามที่เป็นจริง แล้วไซร้ เราจักบอก ผาสุกธรรมนั้น ๆ แก่เธอ ตามที่เรารู้. +--ภิกษุผู้ฉลาด พึงเป็นผู้มีสติ ประพฤติธรรมถึงที่สุดรอบด้าน ไม่พึงเกรงต่อภัย ๕ อย่าง คือ ภัยจากเหลือบ สัตว์กัดต่อย สัตว์เสือกคลาน การกระทบของมนุษย์ และสัตว์สี่เท้า. +--ภิกษุนั้น ไม่พึงครั่นคร้าม ต่อชนเหล่าอื่นผู้มีธรรมเป็น ปรปักษ์ แม้เห็นความน่ากลัวเป็นอันมากจากชนเหล่านั้น หรือ อันตรายอย่างอื่น ๆ ก็แสวงหาซึ่งธรรมอันเป็นกุศล ครอบงำ ความกลัวเหล่านั้นเสียได้. +--ถูกกระทบแล้วด้วยผัสสะ แห่งโรค ความหิว ความหนาว ความร้อน ก็อดกลั้นได้. ผัสสะเหล่านั้นถูกต้องแล้ว มากมาย เท่าไร ก็ยังไม่มีกิเลสท่วมทับใจ ยังคงบากบั่นกระทำความ เพียรอยู่อย่างมั่นคง. +--ไม่พึงกระทำการขโมย ไม่พึงกล่าวเท็จ พึงถูกต้องสัตว์ทั้งที่ ยังสะดุ้งและมั่นคง ด้วยเมตตา. พึงรู้ชัดความขุ่นมัว แห่งใจแล้ว บรรเทาเสียด้วยคิดว่า นั้นเป็นธรรมฝ่ายดำ. +--ไม่พึงไปสู่อำนาจแห่งความโกรธ และจองหอง พึงขุด รากแห่งกิเลสเหล่านั้น ดำรงตนอยู่ เป็นผู้ครอบงำเสียซึ่ง อำนาจของสิ่งอัน เป็นที่รักและไม่เป็นที่รักโดยตรง. +--พึงเป็นผู้มีกัลยาณปีติ มุ่งปัญญาเป็นเบื้องหน้า ครอบงำเสียซึ่งอันตรายเหล่านั้น พึงข่มขี่ความไม่ยินดีในที่อยู่อันสงัด ข่มขี่ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งปริเทวะทั้งสี่อย่างเสีย คือปริเทวะว่า เราจักกินอะไร, จักได้กินที่ไหน, เมื่อคืนนอนเป็นทุกข์, คืนนี้จักนอนที่ไหน. วิตกอันเป็นที่ตั้งแห่งปริเทวะเหล่านี้ เธอพึงนำออกเสีย เป็นเสขะไม่มีที่อยู่ ที่อาศัยเที่ยวไปเถิด. +--เมื่อได้อาหารและที่อยู่ในกาลอันสมควรแล้ว พึงเป็นผู้รู้ ประมาณ เพื่อความเป็นผู้สันโดษในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้คุ้มครอง ตนในปัจจัยเหล่านั้น เป็นผู้สำรวมเที่ยวไปในหมู่บ้าน แม้ถูกด่าก็ไม่กล่าวคำหยาบ . +--พึงเป็นผู้ทอดสายตาต่ำ ไม่หลุกหลิงด้วยเท้า ตามประกอบ อยู่ในฌาน เป็นผู้มากด้วยความตื่นอยู่ มีตนส่งไปในสมาธิ ปรารภ อุเบกขา ตัดเสียซึ่งเหตุแห่งวิตกและธรรมเครื่อง ส่งเสริมกุกกุจจะ. +--เมื่อถูกกล่าวตักเตือน ก็เป็นผู้มีสติยินดีรับคำตักเตือน พึงทำลายข้อขัดแย้ง (ขีล) ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย กล่าว วาจาที่เป็น กุศล ไม่เกินขอบเขต ไม่ตริตรึกไปในทางที่จะว่ากล่าวผู้อื่น ; ต่อแต่นั้น พึงเป็นผู้มีสติศึกษาเพื่อนำออกเสียซึ่งธุลี ๕ อย่าง ในโลก คือ ข่มขี่ซึ่งราคะ ในรูป ในเสียง ในรส ในกลิ่น ในผัสสะ ทั้งหลาย. +--พึงนำออกซึ่งความพอใจในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นภิกษุ มีสติ มีจิตหลุดพ้นด้วยดี ใคร่ครวญอยู่ ซึ่งสัมมาธรรมะ โดยกาลอันควร เป็นผู้มีธรรมอันเอก กำจัดความมืดเสียได้ แล.- (ข้อปฏิบัติตามอัฏฐังคิกมรรค อาจจะแยกแยะออกไปเป็นรายละเอียด ได้อย่างมากมาย ด้วย พระพุทธภาษิตที่ตรัสแก่พระสารีบุตร ในที่นี้ กล่าวได้ว่า เป็นคำขยายความของ อริยมรรคมีองค์แปดรวมกันได้เป็นอย่างดี จึงได้นำข้อความนี้มาใส่ไว้ในหมวดนี้ ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สุตฺต. ขุ. 25/388/423. http://etipitaka.com/read/thai/25/388/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%92%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สุตฺต. ขุ. ๒๕/๕๒๑/๔๒๓. http://etipitaka.com/read/pali/25/521/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%92%E0%B9%93 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1032 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90&id=1032 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=90 ลำดับสาธยายธรรม : 90 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_90.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด
    -การต่อสู้ของผู้เกลียดกลัวความทุกข์โดยละเอียด ถ้าผาสุกธรรมใดๆมีอยู่ สำหรับผู้เกลียดต่อทุกข์ ผู้เสพที่นั่ง นอนอันสงัด ใคร่จะตรัสรู้ธรรมตามที่เป็นจริง แล้วไซร้ เราจักบอก ผาสุกธรรมนั้น ๆ แก่เธอ ตามที่เรารู้. ภิกษุผู้ฉลาด พึงเป็นผู้มีสติ ประพฤติธรรมถึงที่สุดรอบ ด้าน ไม่พึงเกรงต่อภัย ๕ อย่าง คือภัยจากเหลือบ สัตว์กัดต่อย สัตว์เสือก คลาน การกระทบของมนุษย์ และสัตว์สี่เท้า. ภิกษุนั้น ไม่พึงครั่นคร้าม ต่อชนเหล่าอื่นผู้มีธรรมเป็น ปรปักษ์ แม้เห็นความน่ากลัวเป็นอันมากจากชนเหล่านั้น หรือ อันตรายอย่างอื่น ๆ ก็แสวงหาซึ่งธรรมอันเป็นกุศล ครอบงำ ความกลัวเหล่านั้นเสียได้. ถูกกระทบแล้วด้วยผัสสะแห่งโรค ความหิว ความหนาว ความร้อน ก็อดกลั้นได้. ผัสสะเหล่านั้นถูกต้องแล้ว มากมาย เท่าไร ก็ยังไม่มีกิเลสท่วมทับใจ ยังคงบากบั่นกระทำความ เพียรอยู่อย่างมั่นคง. ไม่พึงกระทำการขโมย ไม่พึงกล่าวเท็จ พึงถูกต้องสัตว์ทั้งที่ ยังสะดุ้งและมั่นคง ด้วยเมตตา. พึงรู้ชัดความขุ่นมัว แห่งใจแล้ว บรรเทาเสียด้วยคิดว่า นั้นเป็นธรรมฝ่ายดำ. ไม่พึงไปสู่อำนาจแห่งความโกรธ และจองหอง พึงขุด รากแห่งกิเลสเหล่านั้น ดำรงตนอยู่ เป็นผู้ครอบงำเสียซึ่ง อำนาจของสิ่งอัน เป็นที่รักและไม่เป็นที่รักโดยตรง. พึงเป็นผู้มีกัลยาณปีติ มุ่งปัญญาเป็นเบื้องหน้า ครอบงำเสียซึ่งอันตรายเหล่านั้น พึงข่มขี่ความไม่ยินดีในที่อยู่อันสงัด ข่มขี่ธรรมเป็น ที่ตั้งแห่งปริเทวะทั้งสี่อย่างเสีย คือปริเทวะว่า เราจักกินอะไร, จักได้กินที่ไหน, เมื่อคืนนอนเป็นทุกข์, คืนนี้จักนอนที่ไหน. วิตกอันเป็นที่ตั้งแห่งปริเทวะเหล่านี้ เธอพึงนำ ออกเสีย เป็นเสขะไม่มีที่อยู่ ที่อาศัยเที่ยวไปเถิด. เมื่อได้อาหารและที่อยู่ในกาลอันสมควรแล้ว พึงเป็นผู้รู้ ประมาณ เพื่อความเป็นผู้สันโดษในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้คุ้มครอง ตนในปัจจัยเหล่านั้น เป็นผู้สำรวมเที่ยวไปในหมู่บ้าน แม้ถูกด่าก็ไม่กล่าวคำหยาบ . พึงเป็นผู้ทอดสายตาต่ำ ไม่หลุกหลิงด้วยเท้า ตามประกอบ อยู่ในฌาน เป็นผู้มากด้วยความตื่นอยู่ มีตนส่งไปในสมาธิ ปรารภ อุเบกขา ตัดเสียซึ่งเหตุแห่งวิตกและธรรมเครื่อง ส่งเสริมกุกกุจจะ. เมื่อถูกกล่าวตักเตือน ก็เป็นผู้มีสติยินดีรับคำตักเตือน พึงทำลายข้อขัดแย้ง (ขีล) ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย กล่าว วาจาที่เป็น กุศล ไม่เกินขอบเขต ไม่ตริตรึกไปในทางที่จะว่ากล่าวผู้อื่น ; ต่อแต่นั้น พึงเป็นผู้มีสติศึกษาเพื่อนำออกเสียซึ่งธุลี ๕ อย่าง ในโลก คือ ข่มขี่ซึ่งราคะ ในรูป ในเสียง ในรส ในกลิ่น ในผัสสะ ทั้งหลาย. พึงนำออกซึ่งความพอใจในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นภิกษุ มีสติ มีจิตหลุดพ้นด้วยดี ใคร่ครวญอยู่ ซึ่งสัมมาธรรมะ โดยกาลอันควร เป็นผู้มีธรรมอันเอก กำจัดความมืดเสียได้ แล.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • กำเนิดของ หมาไซบีเรียนฮัสกี้ (Siberian Husky) มีต้นกำเนิดที่น่าสนใจและเก่าแก่มาก โดยสายพันธุ์นี้มาจาก ชนเผ่าชุคชี (Chukchi) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในแถบตะวันออกไกลของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย

    จุดกำเนิด:
    ➤ ภูมิภาคไซบีเรียตะวันออก (เขตอากาศหนาวจัด)
    ➤ ชาวชุคชีเพาะพันธุ์เพื่อใช้งานลากเลื่อนในสภาพหิมะ
    ➤ ต้องการหมาที่ อึด ถึก ทน วิ่งได้ไกล กินน้อย และมีนิสัย เป็นมิตรกับคน

    ลักษณะเด่นที่เกิดจากการพัฒนาในสภาพอากาศไซบีเรีย
    * ขนสองชั้น หนาแน่น ทนหนาวได้ดี
    * หางเป็นพวง ใช้ปิดจมูกตอนนอนเพื่อให้อุ่น
    * ดวงตาสีฟ้าหรือสองสี สวยงามโดดเด่น
    * ขนาดกะทัดรัด แข็งแรง คล่องแคล่ว
    * นิสัยขี้เล่น รักอิสระ ชอบอยู่เป็นฝูง

    หมาพันธุ์นี้เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
    โดยเฉพาะจากตำนาน "บัลโต (Balto)" หมาไซบีเรียนที่ลากเลื่อนส่งวัคซีนฝ่าหิมะช่วยชีวิตเด็ก ๆ ในอลาสกา ปี 1925

    #หมาไซบีเรียนฮัสกี้ #ไซบีเรียนฮัสกี้ #กำเนิดหมาไซ #หมาลากเลื่อน #ตำนานบัลโต #ChukchiDogs #ไซบีเรียเจ้าถิ่น #หมาสายหนาว


    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🐺 กำเนิดของ หมาไซบีเรียนฮัสกี้ (Siberian Husky) มีต้นกำเนิดที่น่าสนใจและเก่าแก่มาก โดยสายพันธุ์นี้มาจาก ชนเผ่าชุคชี (Chukchi) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในแถบตะวันออกไกลของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย 🇷🇺 📌 จุดกำเนิด: ➤ ภูมิภาคไซบีเรียตะวันออก (เขตอากาศหนาวจัด) ➤ ชาวชุคชีเพาะพันธุ์เพื่อใช้งานลากเลื่อนในสภาพหิมะ ➤ ต้องการหมาที่ อึด ถึก ทน วิ่งได้ไกล กินน้อย และมีนิสัย เป็นมิตรกับคน 🐶 ลักษณะเด่นที่เกิดจากการพัฒนาในสภาพอากาศไซบีเรีย * ขนสองชั้น หนาแน่น ทนหนาวได้ดี * หางเป็นพวง ใช้ปิดจมูกตอนนอนเพื่อให้อุ่น * ดวงตาสีฟ้าหรือสองสี สวยงามโดดเด่น * ขนาดกะทัดรัด แข็งแรง คล่องแคล่ว * นิสัยขี้เล่น รักอิสระ ชอบอยู่เป็นฝูง 🚀 หมาพันธุ์นี้เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะจากตำนาน "บัลโต (Balto)" หมาไซบีเรียนที่ลากเลื่อนส่งวัคซีนฝ่าหิมะช่วยชีวิตเด็ก ๆ ในอลาสกา ปี 1925 🧊🐾 #หมาไซบีเรียนฮัสกี้ #ไซบีเรียนฮัสกี้ #กำเนิดหมาไซ #หมาลากเลื่อน #ตำนานบัลโต #ChukchiDogs #ไซบีเรียเจ้าถิ่น #หมาสายหนาว LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน
    เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน
    เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว
    เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน
    Changchun Ice & Snow World
    เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้
    เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ
    เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET
    น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg.
    🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน
    เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69

    #ทัวร์จีน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #ไม่เข้าร้าน

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/edb68c

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #thaitimes #News #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน ✈️ 📍 เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน ✨ เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว 🌨️ เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน 🎠 Changchun Ice & Snow World 📸 เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้ 🚣 เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ 🚀 เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET 💼 น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg. 🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน 📅 เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69 #ทัวร์จีน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #ไม่เข้าร้าน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/edb68c ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #thaitimes #News #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน
    เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน
    เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว
    เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน
    Changchun Ice & Snow World
    เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้
    เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ
    เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET
    น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg.
    🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน
    เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69

    #ทัวร์จีน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #ไม่เข้าร้าน

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/edb68c

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #thaitimes #News #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน ✈️ 📍 เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน ✨ เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว 🌨️ เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน 🎠 Changchun Ice & Snow World 📸 เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้ 🚣 เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ 🚀 เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET 💼 น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg. 🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน 📅 เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69 #ทัวร์จีน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #ไม่เข้าร้าน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/edb68c ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #thaitimes #News #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน
    เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน
    เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว
    เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน
    Changchun Ice & Snow World
    เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้
    เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ
    เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET
    น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg.
    🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน
    เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69

    #ทัวร์จีน #ทัวร์ฉางไป๋ซาน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #เที่ยวไม่เข้าร้าน

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/edb68c

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน ✈️ 📍 เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน ✨ เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว 🌨️ เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน 🎠 Changchun Ice & Snow World 📸 เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้ 🚣 เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ 🚀 เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET 💼 น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg. 🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน 📅 เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69 #ทัวร์จีน #ทัวร์ฉางไป๋ซาน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #เที่ยวไม่เข้าร้าน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/edb68c ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    0 Comments 0 Shares 281 Views 0 Reviews
  • ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน
    เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน
    เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว
    เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน
    Changchun Ice & Snow World
    เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้
    เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ
    เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET
    น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg.
    🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน
    เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69

    #ทัวร์จีน #ทัวร์ฉางไป๋ซาน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #เที่ยวไม่เข้าร้าน

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/edb68c

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    ทัวร์จี๋หลิน ฉางไป๋ซาน 7 วัน 5 คืน ✈️ 📍 เช็คอินที่ #ฉางไป๋ซาน ✨ เปิดสัมผัสใหม่ ทุ่งหิมะมหัศจรรย์ฤดูหนาว 🌨️ เที่ยวเต็มสุข ไม่เข้าร้าน 🎠 Changchun Ice & Snow World 📸 เช็คอินเมืองจี๋หลิน ชมเกล็ดหิมะวู่ซงบนกิ่งไม้ 🚣 เช็คอินเมืองฉางไป๋ซาน ล่องแพยางชมพุ่มไม้หิมะ 🚀 เดินทางโดยสายการบิน THAI VIETJET 💼 น้ำหนักโหลดใต้ท้องเครื่อง 20 kg. / CARRY ON 5 kg. 🗓 จำนวนวัน: 7 วัน 5 คืน 📅 เดินทาง: ธ.ค. 68 - ก.พ. 69 #ทัวร์จีน #ทัวร์ฉางไป๋ซาน #หิมะ #เยือนจี๋หลิน #ตะลุยทุ่งหิมะ #เที่ยวไม่เข้าร้าน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/edb68c ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีทางในการบรรถึงวิมุตตธรรมเมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    สัทธรรมลำดับที่ : 652
    ชื่อบทธรรม :- เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวาย
    อยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว
    เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น
    ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่
    #สังโยชน์(สญฺโญ)​ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น)
    ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.-
    http://etipitaka.com/read/pali/23/129/?keywords=สญฺโญชนานิ

    (*--ท่านพุทธทาสอธิบายความว่า
    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ
    --*).

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/126/68.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๖/๖๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/126/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=652
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีทางในการบรรถึงวิมุตตธรรมเมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ สัทธรรมลำดับที่ : 652 ชื่อบทธรรม :- เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652 เนื้อความทั้งหมด :- --เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวาย อยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่ #สังโยชน์(สญฺโญ)​ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น) ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.- http://etipitaka.com/read/pali/23/129/?keywords=สญฺโญชนานิ (*--ท่านพุทธทาสอธิบายความว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ --*). #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/126/68. http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๖/๖๘. http://etipitaka.com/read/pali/23/126/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=652 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เมื่อสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    -เมื่อสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวายอยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่ สังโยชน์ ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น) ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • ยอดเขาทิตลิส (Titlis) คือหนึ่งในจุดหมายยอดฮิตของการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัส "หิมะตลอดทั้งปี"
    ---
    จุดเด่นของยอดเขาทิตลิส:
    * ความสูงประมาณ 3,238 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
    * ตั้งอยู่ใกล้ เมืองเอนเกลเบิร์ก (Engelberg) ใช้เวลาเดินทางจากลูเซิร์นราว 45-60 นาที
    * มี หิมะตลอดทั้งปี สามารถเล่นสโนว์ ลานหิมะ และถ่ายรูปวิวเทือกเขาแอลป์ได้ทุกฤดู
    ---
    ไฮไลท์ห้ามพลาด:
    Titlis Rotair
    กระเช้าหมุนได้ 360 องศา แห่งแรกของโลก มองเห็นวิวภูเขาแบบรอบทิศ
    ถ้ำน้ำแข็ง (Glacier Cave)
    เดินในอุโมงค์น้ำแข็งที่ลึกลงไปกว่า 20 เมตรในธารน้ำแข็ง
    สะพานแขวน Titlis Cliff Walk
    เป็นสะพานแขวนที่สูงที่สุดในยุโรป ตื่นเต้นวิวสวยแบบสุดๆ
    กิจกรรมบนหิมะ
    เล่นหิมะ เลื่อนหิมะ ถ่ายรูปกับวิวอลังการ
    ---
    ไปได้เมื่อไหร่?
    เปิดตลอดทั้งปี
    🌨 ฤดูหนาว (ธ.ค.-มี.ค.): หิมะเยอะ วิวอลัง
    ฤดูใบไม้ผลิ/ร้อน (เม.ย.-ก.ย.): หิมะยังมี วิวเขียวตัดขาวก็สวยไม่แพ้กัน
    ---
    ราคาคร่าวๆ:
    * ค่าโดยสารกระเช้าไป-กลับจาก Engelberg → Titlis ประมาณ96 CHF
    (ประมาณ 3,800-4,000 บาท)
    ถ้ามี Swiss Pass จะลดราคาลงได้ครึ่งหนึ่ง

    #Titlis #ยอดเขาทิตลิส #เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ #กระเช้าหมุนได้360องศา #หิมะตลอดปี #เล่นหิมะที่ยุโรป #เที่ยวต่างประเทศ #ทัวร์สวิส #TitlisCliffWalk
    🏔️ ยอดเขาทิตลิส (Titlis) คือหนึ่งในจุดหมายยอดฮิตของการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัส "หิมะตลอดทั้งปี" ❄️✨ --- 📍 จุดเด่นของยอดเขาทิตลิส: * ความสูงประมาณ 3,238 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล * ตั้งอยู่ใกล้ เมืองเอนเกลเบิร์ก (Engelberg) ใช้เวลาเดินทางจากลูเซิร์นราว 45-60 นาที * มี หิมะตลอดทั้งปี สามารถเล่นสโนว์ ลานหิมะ และถ่ายรูปวิวเทือกเขาแอลป์ได้ทุกฤดู --- 🚠 ไฮไลท์ห้ามพลาด: 🔹 Titlis Rotair 🚡 กระเช้าหมุนได้ 360 องศา แห่งแรกของโลก มองเห็นวิวภูเขาแบบรอบทิศ 🔹 ถ้ำน้ำแข็ง (Glacier Cave) ❄️ เดินในอุโมงค์น้ำแข็งที่ลึกลงไปกว่า 20 เมตรในธารน้ำแข็ง 🔹 สะพานแขวน Titlis Cliff Walk 🌉 เป็นสะพานแขวนที่สูงที่สุดในยุโรป ตื่นเต้นวิวสวยแบบสุดๆ 🔹 กิจกรรมบนหิมะ ⛷️ เล่นหิมะ เลื่อนหิมะ ถ่ายรูปกับวิวอลังการ --- 📆 ไปได้เมื่อไหร่? ✅ เปิดตลอดทั้งปี 🌨 ฤดูหนาว (ธ.ค.-มี.ค.): หิมะเยอะ วิวอลัง 🌸 ฤดูใบไม้ผลิ/ร้อน (เม.ย.-ก.ย.): หิมะยังมี วิวเขียวตัดขาวก็สวยไม่แพ้กัน --- 💸 ราคาคร่าวๆ: * ค่าโดยสารกระเช้าไป-กลับจาก Engelberg → Titlis ประมาณ96 CHF (ประมาณ 3,800-4,000 บาท) 💡 ถ้ามี Swiss Pass จะลดราคาลงได้ครึ่งหนึ่ง #Titlis #ยอดเขาทิตลิส #เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ #กระเช้าหมุนได้360องศา #หิมะตลอดปี #เล่นหิมะที่ยุโรป #เที่ยวต่างประเทศ #ทัวร์สวิส #TitlisCliffWalk
    0 Comments 0 Shares 276 Views 11 0 Reviews
  • 8 ที่สุดท้าย! เปิดประตูสู่แดนหลังคาโลก
    Tibet - Journey to the West 10 วัน 9 คืน
    ผจญภัยพิชิตธารน้ำแข็ง สัมผัสธรรมชาติ-วัฒนธรรมแบบจัดเต็ม!

    🏔 เส้นทาง: ลาซา - หลินจือ - โปเม - รันวู
    สายการบิน Lucky Air
    เดินทาง: 15 - 24 ต.ค. 68 (วันปิยมหาราช)
    ราคาเพียง 62,900.- (รวมโหลดกระเป๋า 20 กก.)

    ไฮไลท์ทริปนี้
    พิชิต 2 ธารน้ำแข็งสุดอลัง
    Laigu Glacier – ธารน้ำแข็งยักษ์ 1 ใน 3 ของโลก
    Midui Glacier – ธารน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในทิเบต
    ทะเลสาบยัมดรก – คลังมัจฉาแห่งทิเบต
    วัดกลางน้ำทะเลสาบบาซัม
    รถไฟความเร็วสูงไต่ระดับบนหลังคาโลก
    วัดโจคัง – หลังคาทองแห่งศรัทธา
    วิวยอดเขาหนานเจียปาหว่า
    พระราชวังโปตาลา – มรดกโลกทรงคุณค่า
    มื้อพิเศษ! สุกี้หมาล่าสไตล์เสฉวน

    #TibetAdventure #JourneyToTheWest #ธารน้ำแข็งทิเบต #ทัวร์จีน #เที่ยวทิเบต #ทิเบตวิวหลักล้าน #โปตาลาพาเลซ #เที่ยววันหยุดยาว #เที่ยวหน้าหนาว #สายลุยต้องไป #eTravelway

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e1fa56

    ดูทัวร์ทิเบตทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e448a8

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395
    🎉 8 ที่สุดท้าย! เปิดประตูสู่แดนหลังคาโลก 🌍 Tibet - Journey to the West 10 วัน 9 คืน ผจญภัยพิชิตธารน้ำแข็ง สัมผัสธรรมชาติ-วัฒนธรรมแบบจัดเต็ม! 🏔 เส้นทาง: ลาซา - หลินจือ - โปเม - รันวู 🛫 สายการบิน Lucky Air 📆 เดินทาง: 15 - 24 ต.ค. 68 (วันปิยมหาราช) 💸 ราคาเพียง 62,900.- (รวมโหลดกระเป๋า 20 กก.) 📍 ไฮไลท์ทริปนี้ 🍁 พิชิต 2 ธารน้ำแข็งสุดอลัง 🍁 Laigu Glacier – ธารน้ำแข็งยักษ์ 1 ใน 3 ของโลก 🍁 Midui Glacier – ธารน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในทิเบต 🍁 ทะเลสาบยัมดรก – คลังมัจฉาแห่งทิเบต 🍁 วัดกลางน้ำทะเลสาบบาซัม 🍁 รถไฟความเร็วสูงไต่ระดับบนหลังคาโลก 🍁 วัดโจคัง – หลังคาทองแห่งศรัทธา 🍁 วิวยอดเขาหนานเจียปาหว่า 🍁 พระราชวังโปตาลา – มรดกโลกทรงคุณค่า 🍲 มื้อพิเศษ! สุกี้หมาล่าสไตล์เสฉวน #TibetAdventure #JourneyToTheWest #ธารน้ำแข็งทิเบต #ทัวร์จีน #เที่ยวทิเบต #ทิเบตวิวหลักล้าน #โปตาลาพาเลซ #เที่ยววันหยุดยาว #เที่ยวหน้าหนาว #สายลุยต้องไป #eTravelway ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e1fa56 ดูทัวร์ทิเบตทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e448a8 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • 8 ที่สุดท้าย! เปิดประตูสู่แดนหลังคาโลก
    Tibet - Journey to the West 10 วัน 9 คืน
    ผจญภัยพิชิตธารน้ำแข็ง สัมผัสธรรมชาติ-วัฒนธรรมแบบจัดเต็ม!

    🏔 เส้นทาง: ลาซา - หลินจือ - โปเม - รันวู
    สายการบิน Lucky Air
    เดินทาง: 15 - 24 ต.ค. 68 (วันปิยมหาราช)
    ราคาเพียง 62,900.- (รวมโหลดกระเป๋า 20 กก.)

    ไฮไลท์ทริปนี้
    พิชิต 2 ธารน้ำแข็งสุดอลัง
    Laigu Glacier – ธารน้ำแข็งยักษ์ 1 ใน 3 ของโลก
    Midui Glacier – ธารน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในทิเบต
    ทะเลสาบยัมดรก – คลังมัจฉาแห่งทิเบต
    วัดกลางน้ำทะเลสาบบาซัม
    รถไฟความเร็วสูงไต่ระดับบนหลังคาโลก
    วัดโจคัง – หลังคาทองแห่งศรัทธา
    วิวยอดเขาหนานเจียปาหว่า
    พระราชวังโปตาลา – มรดกโลกทรงคุณค่า
    มื้อพิเศษ! สุกี้หมาล่าสไตล์เสฉวน

    #TibetAdventure #JourneyToTheWest #ธารน้ำแข็งทิเบต #ทัวร์จีน #เที่ยวทิเบต #ทิเบตวิวหลักล้าน #โปตาลาพาเลซ #เที่ยววันหยุดยาว #เที่ยวหน้าหนาว #สายลุยต้องไป #eTravelway


    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e1fa56

    ดูทัวร์ทิเบตทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e448a8

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์ทิเบต #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🎉 8 ที่สุดท้าย! เปิดประตูสู่แดนหลังคาโลก 🌍 Tibet - Journey to the West 10 วัน 9 คืน ผจญภัยพิชิตธารน้ำแข็ง สัมผัสธรรมชาติ-วัฒนธรรมแบบจัดเต็ม! 🏔 เส้นทาง: ลาซา - หลินจือ - โปเม - รันวู 🛫 สายการบิน Lucky Air 📆 เดินทาง: 15 - 24 ต.ค. 68 (วันปิยมหาราช) 💸 ราคาเพียง 62,900.- (รวมโหลดกระเป๋า 20 กก.) 📍 ไฮไลท์ทริปนี้ 🍁 พิชิต 2 ธารน้ำแข็งสุดอลัง 🍁 Laigu Glacier – ธารน้ำแข็งยักษ์ 1 ใน 3 ของโลก 🍁 Midui Glacier – ธารน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในทิเบต 🍁 ทะเลสาบยัมดรก – คลังมัจฉาแห่งทิเบต 🍁 วัดกลางน้ำทะเลสาบบาซัม 🍁 รถไฟความเร็วสูงไต่ระดับบนหลังคาโลก 🍁 วัดโจคัง – หลังคาทองแห่งศรัทธา 🍁 วิวยอดเขาหนานเจียปาหว่า 🍁 พระราชวังโปตาลา – มรดกโลกทรงคุณค่า 🍲 มื้อพิเศษ! สุกี้หมาล่าสไตล์เสฉวน #TibetAdventure #JourneyToTheWest #ธารน้ำแข็งทิเบต #ทัวร์จีน #เที่ยวทิเบต #ทิเบตวิวหลักล้าน #โปตาลาพาเลซ #เที่ยววันหยุดยาว #เที่ยวหน้าหนาว #สายลุยต้องไป #eTravelway ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e1fa56 ดูทัวร์ทิเบตทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e448a8 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ทิเบต #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • **ภาพวาด 24 กตัญญู**

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’

    ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย

    เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง

    24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ):

    1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป

    2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา

    3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป

    4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป

    5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ

    6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก

    7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม

    8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา

    9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง

    10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา

    11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น

    12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป

    13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้

    14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว

    15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป

    16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน

    17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย

    18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย

    19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย

    20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด

    21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่

    22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย

    23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ

    24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน

    อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm
    http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html

    #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    **ภาพวาด 24 กตัญญู** สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’ ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง 24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ): 1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป 2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา 3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป 4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป 5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ 6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก 7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม 8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา 9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง 10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา 11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น 12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป 13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้ 14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว 15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป 16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน 17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย 18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย 19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย 20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด 21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่ 22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย 23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ 24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00 http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    NEWS.QQ.COM
    《九重紫》暴露了他好身材,长相人畜无害,却脱衣有肉穿衣显瘦_腾讯新闻
    由孟子义、李昀锐主演的电视剧《九重紫》,自开播以来,热度迅速攀升,播到15集,站内热度破了29000,有望展望30000了。 这个成绩在今年古装剧中是相当牛了,要知道,腾讯今年的古装剧热度....
    3 Comments 0 Shares 632 Views 0 Reviews
  • ภาษาทางโลกว่า ขีวิตไม่เหลืออะไร (ทรัพย์สิน เงินทองไม่มี) แต่เรายังมีชีวิต มีลมหายใจ มีจิตวิญญาณอยู่ มีสติ ทำดีไป ผู้คนมาเห็นเขาก็ยังเมตตาให้กินอยู่ บาวคนก็หาที่หลับร้อนหนาวให้ ลมหายก็พุทโธ ไว้ (ชีวิตพราหมณ์เป็นแบบนี้)
    ภาษาทางโลกว่า ขีวิตไม่เหลืออะไร (ทรัพย์สิน เงินทองไม่มี) แต่เรายังมีชีวิต มีลมหายใจ มีจิตวิญญาณอยู่ มีสติ ทำดีไป ผู้คนมาเห็นเขาก็ยังเมตตาให้กินอยู่ บาวคนก็หาที่หลับร้อนหนาวให้ ลมหายก็พุทโธ ไว้ (ชีวิตพราหมณ์เป็นแบบนี้)
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • ตอนนี้ประเทศอื่นเขาเจอหิมะตก Storyฯ เลยอยากชวนคุยเกี่ยวกับหนึ่งในวิธีที่ทำให้อุ่นในสมัยโบราณ ซึ่งก็คือวางเตาถ่านไว้ในห้องใกล้ตัว แต่เกิดความเอ๊ะเกี่ยวกับถ่านที่มีชื่อว่า ‘ถ่านหงหลัว’ (红箩炭)

    ความมีอยู่ว่า
    ฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงเอื่อย ราวกับว่ากำลังรับสั่งถึงเรื่องที่ไม่สำคัญ “อันใด? เราจำได้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อเริ่มหนาวก็ได้สั่งเจ้าไว้แล้วว่า ในวังนี้มีแต่เพียงไห่ฉางจ้ายและหว่านตาอิ้งไม่สามารถใช้ถ่านหงหลัวได้ ยังกังวลว่าถ่านดำจะมีควันรบกวนพวกนาง...ของไห่ฉางจ้ายให้เจ้าเจียดจากตำหนักเจ้าให้นาง...”
    - จากเรื่อง <หรูอี้ จอมนางเคียงบัลลังก์> ผู้แต่ง หลิวเลี่ยนจื่อ
    (หมายเหตุ ชื่อเรื่องใช้ตามชื่อละครที่สร้างมาจากนิยายเรื่องนี้ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    บทความข้างต้นเป็นเรื่องราวในสมัยขององค์เฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง กล่าวถึงเรื่องที่พระสนมไห่หลันถูกกล่าวหาว่าขโมยถ่านหงหลัว และจากบทความจะเห็นว่าพระสนมระดับล่างอย่างฉางจ้ายและตาอิ้งจะไม่มีสิทธิ์ใช้ถ่านชนิดนี้

    ถ่านหงหลัวคืออะไร Storyฯ หาชื่อแปลเป็นไทยไม่มี ขออธิบายลักษณะของมันว่าเป็นถ่านที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง โดยไม้เนื้อแข็งดังกล่าวต้องเป็นไม้จากแถบดินแดนตอนเหนือ (มณฑลเหอเป่ย) ไม่ไกลจากนครปักกิ่ง เช่นจัวโจว ทงโจว จี้โจว ฯลฯ ไม้เหล่านี้จะถูกตัดเป็นท่อนสม่ำเสมอ เผาจนกลายเป็นถ่าน บรรจุไว้ในตะกร้าเคลือบด้วยดินแดง (เป็นที่มาของชื่อว่า ‘หงหลัว’ ซึ่งแปลตรงตัวว่าเคลือบด้วยสีแดง) ก่อนจะลำเลียงส่งไปเมืองหลวง ในนครปักกิ่งมีถนนสายหนึ่งเรียกว่า ‘ถนนต้าหงหลัวฉ่าง’ (大红罗厂街) มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์หมิง เป็นเส้นทางที่ใช้ลำเลียงถ่านนี้เข้าวัง (ดูรูปแรกขวาล่าง)

    คุณสมบัติเด่นของถ่านหงหลัวก็คือ เผาได้นาน ไม่มีควัน เถ้าไม่กระจายและไม่แตก และในตอนเผายังมีกลิ่นหอมจาง

    ถ่าน เป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการกำกับดูแลมาหลายยุคสมัยตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ในวังยังมีกองกรมรับผิดชอบการเก็บและจัดสรรถ่าน ถ่านหงหลัวเป็นถ่านที่ผลิตได้ในปริมาณที่น้อยและด้วยคุณสมบัติโดดเด่นของมัน จึงมีการจำกัดการใช้งาน จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ในยุคสมัยขององค์เฉียนหลงฮ่องเต้นั้น ทุกตำหนักในวังจะได้รับการจัดสรรถ่านในปริมาณที่ต่างกันไปตามยศศักดิ์และฤดูกาล รายละเอียด Storyฯ รวบรวมเป็นตารางให้ดูในรูปที่สองสำหรับวังหลัง จะเห็นว่า ฉางจ้าย และ ตาอิ้ง ซึ่งเป็นสนมระดับล่างสุดจะไม่สามารถใช้ถ่านหงหลัวได้เลย

    ใครได้ติดตามนิยาย/ละครเรื่องนี้คงจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วนะคะว่า ทำไมแค่เรื่องถ่าน ในวังหลังยังเอามาเป็นเหตุการต่อสู้ทางอำนาจกันได้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.uni-hankyu.com.tw/huaxu/153491887715333.html
    http://www.manyanu.com/new/085fdf5f6b084823bf3569b010c4d570
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.manyanu.com/new/085fdf5f6b084823bf3569b010c4d570
    https://www.xuehua.us/a/5eb6fd5186ec4d0bd8cbf5f9
    https://www.gushiciku.cn/dl/0f0zv/zh-hk

    #หรูอี้ #ไห่หลัน #ถ่านหงหลัว #ราชวงศ์ชิง #จีนโบราณ #สู้ความหนาว #ถ่านจีน #ถ่านในวัง #ถ่าน
    ตอนนี้ประเทศอื่นเขาเจอหิมะตก Storyฯ เลยอยากชวนคุยเกี่ยวกับหนึ่งในวิธีที่ทำให้อุ่นในสมัยโบราณ ซึ่งก็คือวางเตาถ่านไว้ในห้องใกล้ตัว แต่เกิดความเอ๊ะเกี่ยวกับถ่านที่มีชื่อว่า ‘ถ่านหงหลัว’ (红箩炭) ความมีอยู่ว่า ฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงเอื่อย ราวกับว่ากำลังรับสั่งถึงเรื่องที่ไม่สำคัญ “อันใด? เราจำได้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อเริ่มหนาวก็ได้สั่งเจ้าไว้แล้วว่า ในวังนี้มีแต่เพียงไห่ฉางจ้ายและหว่านตาอิ้งไม่สามารถใช้ถ่านหงหลัวได้ ยังกังวลว่าถ่านดำจะมีควันรบกวนพวกนาง...ของไห่ฉางจ้ายให้เจ้าเจียดจากตำหนักเจ้าให้นาง...” - จากเรื่อง <หรูอี้ จอมนางเคียงบัลลังก์> ผู้แต่ง หลิวเลี่ยนจื่อ (หมายเหตุ ชื่อเรื่องใช้ตามชื่อละครที่สร้างมาจากนิยายเรื่องนี้ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) บทความข้างต้นเป็นเรื่องราวในสมัยขององค์เฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง กล่าวถึงเรื่องที่พระสนมไห่หลันถูกกล่าวหาว่าขโมยถ่านหงหลัว และจากบทความจะเห็นว่าพระสนมระดับล่างอย่างฉางจ้ายและตาอิ้งจะไม่มีสิทธิ์ใช้ถ่านชนิดนี้ ถ่านหงหลัวคืออะไร Storyฯ หาชื่อแปลเป็นไทยไม่มี ขออธิบายลักษณะของมันว่าเป็นถ่านที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง โดยไม้เนื้อแข็งดังกล่าวต้องเป็นไม้จากแถบดินแดนตอนเหนือ (มณฑลเหอเป่ย) ไม่ไกลจากนครปักกิ่ง เช่นจัวโจว ทงโจว จี้โจว ฯลฯ ไม้เหล่านี้จะถูกตัดเป็นท่อนสม่ำเสมอ เผาจนกลายเป็นถ่าน บรรจุไว้ในตะกร้าเคลือบด้วยดินแดง (เป็นที่มาของชื่อว่า ‘หงหลัว’ ซึ่งแปลตรงตัวว่าเคลือบด้วยสีแดง) ก่อนจะลำเลียงส่งไปเมืองหลวง ในนครปักกิ่งมีถนนสายหนึ่งเรียกว่า ‘ถนนต้าหงหลัวฉ่าง’ (大红罗厂街) มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์หมิง เป็นเส้นทางที่ใช้ลำเลียงถ่านนี้เข้าวัง (ดูรูปแรกขวาล่าง) คุณสมบัติเด่นของถ่านหงหลัวก็คือ เผาได้นาน ไม่มีควัน เถ้าไม่กระจายและไม่แตก และในตอนเผายังมีกลิ่นหอมจาง ถ่าน เป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการกำกับดูแลมาหลายยุคสมัยตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ในวังยังมีกองกรมรับผิดชอบการเก็บและจัดสรรถ่าน ถ่านหงหลัวเป็นถ่านที่ผลิตได้ในปริมาณที่น้อยและด้วยคุณสมบัติโดดเด่นของมัน จึงมีการจำกัดการใช้งาน จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ในยุคสมัยขององค์เฉียนหลงฮ่องเต้นั้น ทุกตำหนักในวังจะได้รับการจัดสรรถ่านในปริมาณที่ต่างกันไปตามยศศักดิ์และฤดูกาล รายละเอียด Storyฯ รวบรวมเป็นตารางให้ดูในรูปที่สองสำหรับวังหลัง จะเห็นว่า ฉางจ้าย และ ตาอิ้ง ซึ่งเป็นสนมระดับล่างสุดจะไม่สามารถใช้ถ่านหงหลัวได้เลย ใครได้ติดตามนิยาย/ละครเรื่องนี้คงจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วนะคะว่า ทำไมแค่เรื่องถ่าน ในวังหลังยังเอามาเป็นเหตุการต่อสู้ทางอำนาจกันได้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.uni-hankyu.com.tw/huaxu/153491887715333.html http://www.manyanu.com/new/085fdf5f6b084823bf3569b010c4d570 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.manyanu.com/new/085fdf5f6b084823bf3569b010c4d570 https://www.xuehua.us/a/5eb6fd5186ec4d0bd8cbf5f9 https://www.gushiciku.cn/dl/0f0zv/zh-hk #หรูอี้ #ไห่หลัน #ถ่านหงหลัว #ราชวงศ์ชิง #จีนโบราณ #สู้ความหนาว #ถ่านจีน #ถ่านในวัง #ถ่าน
    係?如懿傳海蘭是好人還是壞人?海蘭和如懿是什麼關係?由周迅、霍建華領銜主演的古裝清宮劇《如懿傳》正在騰訊視頻熱播中,雖然目前該劇收視並不理想,但依然還是值得追的,畢竟都是實力派演員出演,如懿傳劇情中出現了很多的人物,雖然是後宮嬪妃都是爭寵,但是也有著關係非常好的人,那么海蘭是好人還是壞人?海蘭和如懿是什麼關係?下面就來看看吧。如懿傳海蘭是好人還是壞人?海蘭和
    2 Comments 0 Shares 437 Views 0 Reviews
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 Comments 0 Shares 764 Views 0 Reviews
  • ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine)

    ยกตัวอย่างยาในศาสตร์แพทย์แผนจีน
    สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์
    ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง
    ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน เป็นต้น

    ศาสตร์แพทย์แผนจีน

    ตัวอย่างยา
    กลุ่ม1 เรียก ยาเขียนรุ่นธรรมดา
    สรรพคุณ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ หัด อีสุกอีใส กินป้องกันโรค เช้า8เย็น8

    กลุ่มที่2 เรียกยาเขียวรุ่นพิเศษ
    สรรพคุณรักษาโรคหวัดโควิดทุกสายพันธุ์ ซองส้มเช้า/เที่ยว/เย็น//ครั้งละซองชงน้ำเดือด//ชนิดแคปซูลครั้งละ8แคป3มื้อ

    กลุ่มที่3 เรียกยาชะลอวัย
    สรรพคุณรักษาอาการลองโควิด และโรคผู้สูงวัย กำจัดเนื้องอก (กลุ่มยานี้เป้าหมายคือรักษาผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิดไม่สบายและผู้ป่วยหลังจากเป็นโควิด) กินเช้าซอง/เย็นซอง

    สมุนไพรฉั่งฉิก ชนิดผง/แคปซูล สรรพคุณของฉั่งฉิก นอกจากละลายก้อนเลือดแล้ว ยังทำหน้าที่ห้ามเลือดในตัวกรณีเส้นเลือดแตก

    ยาวาสคูล่าร์ สรรพคุณ ละลายก้อนเลือด และละลายไขมันผนังหลอดเลือด
    ในยา วาสคูล่าร์ มียา3กลุ่ม
    กลุ่มที่ 1 ออกฤทธิ์ขจัด ละลายก้อนไขมันที่ผิวหลอดเลือดด้านใน
    กลุ่มที่2อออกฤทธิ์ละลายก้อนเลือดในเส้นเลือด
    กลุ่มที่3 ออกฤทธิ์ ห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกนอกหลอดเลือดและประสานบาดแผลหลอดเลือด ดูดกลับเลือดที่ไหลออกนอกเส้นเลือดนำกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนอีกครั้ง
    ข้อที่ 3 นี้ เป็นลักษณะเด่นของยาสมุนไพรจีนที่นำเลือดกลับเข้าระบบใช้หมุนเวียนได้ต่อไป สังเกตุจากอุบัติเหตุที่กระทบของแข็งจนฟกช้ำดำเขียว อันเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก เลือดไหลออกมาขังตามเนื้อเยื่อขนมีสีเขียวออกดำแบบเส้นเลือดดำนั่นเอง เมื่อยาสมุนไพรจีนเข้าไปนำเลือดกลับมาใช้ใหม่อาการฟกช้ำจะหายไปในที่สุด

    ใครที่ควรทานยา "vascular"
    1. ผู้ที่เคยฉีดวัคซีน covid
    2. ผู้ที่ป่วยด้วยหลอดเลือดสมอง
    3. ผู้ที่เป็นความดันสูง
    4. ผู้ที่มึนงง เวียนศีรษะบ่อย ปวดไมเกรน
    5. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป
    6. ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุ เป็นรอยเขียวจ้ำ ฟกช้ำ หมายถึงว่า ย่อมมีเศษตระกรันและตะกอนจากเลือดไปเกาะ ในหลอดเลือด
    7. คนที่เป็นเส้นเลือดขอด
    8. คนที่มีอาชีพยืนนาน แม่ค้า ช่างทำผม

    โดยรวมๆ น่าจะควรต้องล้างทุกคนดีที่สุด เราเช็คร่างกายตั้งแต่ตอนนี้ เป็นการไม่ประมาท อย่ารอให้เส้นเลือดมันแตก มันอุดตันก่อน แล้วจึงค่อยคิดจะทำ มันไม่คุ้ม

    ยาจีนหลักๆๆมีอะไรบ้างคะหมอลงรูปและชื่ออีกทีนะคะและไห้ทุกคนเซฟใว้ทุกคนนะคะแล้วทะยอยชื้อเก็บใว้ค่ะ
    1.ยาระบบย่อยอาหาร
    1.1 เซียงซาหย่างเว่ยหวาน ช่วยย่อย แก้ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เรอเหม็นเปรี้ยว
    1.2 หวงเหลียนซู่ แก้ท้องเดินเป็นบิด ปวดถ่วง ท้องเสีย
    1.3 หวงเหลียนซั่งชิงเพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ เหงือบวม ร้อนใน แผลในปาก เจ็บลิ้น
    1.4 หนิวหวงเจี่ยตู๋เพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ ตาแดง เน้นรักษาตับ
    1.5 เป่าเหอหวาน รักษา เสมหะขับออกง่าย ลดคอเลสเตอรอลไขมันเลว ช่วยย่อยเนื้อ น้ำมัน เน้นส่งเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร

    2.กลุ่มยารักษาโรคหวัดภูมิแพ้
    2.1 ยาหยินเชี่ยวเจี๋ยตู๋เพี่ยน เป็นยารักษาโรคหวัดฤดูร้อน อาการเด่นมีไข้สูง เจ็บคอ หิวน้ำ หน้าแดง ไอแห้งๆ
    2.2 ยา ฮั่วเซียงเจิ้งชี่หวาน รักษาหวัดฤดูฝน อาการเด่น.เบื่ออาหาร ศรีษะหนักๆ ไอมีเสมหะเยอะ อาคล้ายกับหวัดโควิด19 ก็รักษาได้ครับ
    2.3 ยา หมาหวงทัง รักษาหวัดฤดูหนาว อาการ ไข้ต่ำ กลัวหนาว น้ำมูกใสไหลตลอด ไอเสมหะมากไม่เหนียว จมูกไม่ได้กลิ่น ไม่มีเหงื่อ ปวดเมื่อยตามตัว หรืออาการหืดหอบก็ใช้สูตรนี้ได้
    2.4 ยาแก้ภูมิแพ้ตราปลาคู่ รักษาอาการ เป็นหวัดทั้งปี ถูกละอองฝน/ตากแดด/กระทบลมหนาว
    ถ้าเป็นยาตำรับคือ จิงฝางไป้ตู๋ทัง/ตำรับนี้ร้านเจ๊ดามีบันทึกอยู่/หรือจะกินสูตรยา ชิงเฟ่ยไผตู๋ทัง
    หมายเหตุ ยาภูมิแพ้คือ ตำรับจิงฝางไป่ตู๋ทัง

    3. ยารักษาระบบไต และ กระเพาะปัสสาวะ
    3.1 จินกุ้ยเซิ่นชี่หวาน เป็นยาบำรุงไตหยาง อาการ กลัวหนาว เป็นเบาหวานปัสสาวะกลางคืนบ่อย หมดแรง กระดูกพรุน ปวดกระดูก อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือ มีอาการหลั่งเร็ว ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่มีอารมณ์เพศ ช่องคลอดแห้ง อาจจะมีตกขาวร่วมด้วย
    3.2 จือไป๋ตี้หวงหวาน/จือไป๋ปาเว่ยหวาน คือยาบำรุงไตอิน รักษาอาการ เบาหวาน ขี้ร้อนในง่าย นอนไม่หลับ อาการวัยทอง ท้องผูก
    3.3จี้จีตี้หวงหวาน คือยารักษาตับ ไต อาการตามัวกลางคืนขับรถไม่ได้ สายตาไม่ดี/สั่นและยาว/ ตาแห้ง
    ลักษณะไตป่วยต้องมีอาการปวดเอว เป็นหลักสำคัญ

    สำหรับการรักษาเกี่ยวกับสายตาควรใช้ยากลุ่ม 4.นี้ทุกตัวครับ
    4.กลุ่มอาการโรคนอนหลับยาก ตื่นง่ายหลับยาก สาเหตุจากจิตใจ เลือดน้อย ความเคยชิน จิตอารมณ์เคร่งเครียด เรื่องเงินไม่พอใช้จ่าย
    4.1 ยา กุยผีหวาน คือยาบำรุงเลือด ช่วยนอนหลับ
    4.2 ยาเซียวเหยาหวาน คือยาคลายเครียด ทำให้จิตคลาย เผลอหลับไม่รู้ตัว ยาตัวนี้สามารถลดอาการปวดตึงคอ บ่า ไหล่ ได้สบาย
    4.3 ยาเทียนหวังปู่ซินตัง คือยาบำรุงอินหัวใจ รักษาอาการหัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น นอนไม่หลับ ร้อนฝ่าเท้า
    4.4 ยา หลงต่านเซี่ยกันหวาน เป็นยารักษา อาการร้อนชื้น ที่ตับไต หรือแพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า การอักเสบแบบ inflammation ทำให้ตื่นกลางดึกตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตื่นแล้วหลับยาก หรือ อาการต่อมลูกหมากอักเสบ

    5. กลุ่มอาการเสมหะ ไอจากเสมหะ หรือ มีอาการลูกกระเดือกโตเศษอาหารตกค้าง
    5.1 ยา ชิงชี่ฮั่วถันหวาน รักษา ไอมีเสมหะมาก เอาออกยาก
    5.2 หวินหนันไป๋เย่า ใช้เป็นยาห้ามเลือดจากอุบัติเหตุ กระเพาะอาหารทะลุ ตับแตก ม้ามแตก ไตรั่ว กระเพาะปัสสาวะเลือดไหลออกมากับน้ำปัสสาวะ หรือ เลือดออกทางรูทวารหนัก ริดสีดวงทวาร และมีการยืนยันจากสมาชิกว่าใช้รักษามะเร็งมดลูก มะเร็งตับ ต่ออายุได้เป็นสิบๆปี จนแพทย์เจ้าของไข้ตายไปก่อนคนไข้ครับ
    5.3ยาวาสคูล่าร์ตราปลาคู่/ยาเหน่าซินทง ใช้รักษาอาการเส้นเลือดอุดตันที่สมอง หัวใจ ยากลุ่มที่5นี้ จัดเป็นยาฉุกเฉิน ต้องมีติดตัวตลอดครับ สำหรับคนที่ได้รับวัคซีนพิษมา

    6.กลุ่มยาบำรุงกำลัง
    6.1หยิ่นเซียมเจง คือยาสกัดรากโสมจีน สรรพคุณบำรุงพลัง แก้อ่อนเพลีย หายใจรวยริน หัวใจอ่อนล้า ไม่มีแรงลืมตาอ้าปาก
    6.2.โสมเอี่ยเซียม/โสมอเมริกา บำรุงกำลังแต่ไม่ร้อนในมีเหมาะสำหรับคนไทยที่อยู่เมืองไทย
    6.3.เซินหลิงไป๋จู๋เคอรี่ตราปลาคู่ เป็นยาเพิ่มกำลังคนไข้นอนติดเตียง เบื่ออาหาร และไม่อยากดื่มน้ำ ใช้เครื่องใส่ท่อออกซิเจน...
    ยากลุ่มที่7นี้ควรมีไว้ที่บ้านที่มีวัยชราภาพ70ขึ้นไป
    6.4ยาบำรุงกำลัง กรณี มดลูกหย่อน หรือ ไส้เลื่อน ให้กินยา ปู่จงอี้ชี่หวานนะคร้บ และควรเล่นกำลังภายในชี่กงด้วยครับมีจะได้ไม่กลับมาเป็นอีก บางคนไอฉี่เล็ดแบบนี้คือพลังถดถอย ต้องกินยาปู่จงฯ

    7..ยากลุ่มครึ่งนอกครึ่งใน
    เป็นอาการพิเศษที่หมอฝรั่ง งง
    กล่าวคือ จับไข้เป็นเวลาคล้ายไข้จับสั่น แต่ไม่รุนแรงเท่ามาลาเรีย สบัดร้อนสบัดหนาว ห่มผ้าก็ร้อน ถีบผ้าออกก็หนาว
    แพทย์แผนปัจจุบันจะใช้ยาควินินรักษา ก็ได้ผล แต่ผลข้างเคียงมหาศาล
    แพทย์บางคนจ่ายยาสเตียรอยด์เลย คราวนี้ร่างกายแย่แน่นอน
    นี่คือโรคหมอทำ
    ยาที่ใช้คือ เสี่ยวไฉหูทังหวาน กินครั้งเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง
    อาการนี้มักเกิดกับคนแข็งแรง ส่วนคนอ่อนแอ แพ้ศัตรูง่าย พอรับเชื้อก็ล้มหมอนนอนเสื่อเลย

    อ้อ สำหรับคนนอนกรน ให้กินยาหยิ่นเซียมเจง หรือ เซินหลิงตราปลาคู่ก็ได้ครับ

    ฉั่งฉิก กับ วาสคูล่าร์ (2+2)×2/วัน กินตลอดไปก็การันตีว่า โรคอัมพาต/โรคหัวใจ/โรคอัลไซเมอร์ จะไม่มาหาแน่นอน

    คุณหมอค่ะกรดไหลย้อนทานยาตัวไหนคะ
    กรดไหลย้อน พยายามกินหนิวหวง หรือ หวงเหลียนก่อนนอนทุกคืนประมาณ3-5วัน อาการจะหายไปครับ อย่าให้ท้องผูก
    อย่านอนดึก กินอาหารมื้อเย็นก่อน18:00น. พุงจะไม่ยื่น มีเอว

    แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี)
    https://t.me/Covidtreatment_th/148
    https://t.me/Covidtreatment_th/374
    ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาจีนหรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 0935245444 หรือตามร้านขายยาทั่วไป หรือ3ภาพสุดท้าย

    หาซื้อได้ที่โรงงาน034-391085
    หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ

    ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่
    https://lin.ee/65cYrq8
    https://lin.ee/bHUugo0

    ตัวอย่างโปร.เมื่อวันที่ 25 / 03 - 10 / 04 / 68

    วาสคิวล่าร์ (10x10’s)
    กล่องละ 500

    ยาระบาย (10x10’s)
    กล่องละ 200

    ยาเขียว ( ชนิดผง )
    ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800

    ยาเขียว ( ชนิดเม็ด )
    ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800
    ชนิดขวด 80’s โหลละ 800

    ยาเขียว (สูตรเข้มข้น) แคปซูล
    ชนิดขวด (6 กระปุก) แพคละ 750
    ชนิดแผง (10x10’s) แพคละ 400

    สูตรพิเศษ
    (รักษาอาการโควิด)
    ชนิดผง (10 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400

    ยาชะลอวัย
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400

    ฉั่งฉิก
    ชนิดผง 300 กรัม 900
    ชนิดผง 500 กรัม 1300
    แคปซูล (10x10’s) แพคละ 500

    ยาภูมิแพ้
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750

    ยาต่อมลูกหมาก
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500
    แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750

    ยาบำรุงผิว
    ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500

    หลงต่าน ขวดใหญ่ 360 เม็ด
    250

    หนิวหวง กล่องละ
    250

    AMK 1 g
    กล่องละ 130
    ( 3 กล่อง ) 380

    ยอดสั่งซื้อ 2,500 บาทขึ้นไป
    ส่งสินค้าภายในประเทศ ฟรี !!

    หมอเคยเน้นย้ำว่าโรงงานยาจีนที่วางใจได้มีเพียง
    1.เป่ยจิงถงหยินถัง
    北京同仁堂
    สัญญาลักษณ์ตามภาพนะครับ
    2.ฝอจือ หลันโจว
    https://www.google.com/imgres?imgurl=http%3A%2F%2Fimg.familydoctor.com.cn%2Fcms%2F20170320%2F201703200448063284.jpg&imgrefurl=https%3A%2F%2Fm.familydoctor.com.cn%2F201703%2F1771052.html&tbnid=XdVmkWCk3VyHvM&vet=1&docid=KlrmfVeK0-lJRM&w=499&h=431&itg=1&hl=th-TH&source=sh%2Fx%2Fim
    ยาสำเร็จรูปนี้ที่เมืองไทยคุ้นเคยกันมานานมากกว่า60ปีแล้วไม่มีปัญหา
    สมัยไปเรียนที่เซี่ยเหมิน อาจารย์หมอจีนตกใจว่าทำไมนักเรียนไทยรู้จักใช้ยาสำเร็จรูปของบริษัทยาที่มาตราฐานระดับประเทศ(ไม่ใช่ระดับมณฑล)
    สัญญาลักษณ์แปลว่า พุทธะเมตตา
    3.จางจ้งจิ่ง เหอหนาน
    ยาบริษัทนี้เริ่มมีขายบ้างในเมืองไทยส่วนใหญ่หมอจีนนำเข้ามาขายเองเมื่อสิบกว่าปี/คนที่นำเข้ามาแจกคนไข้แรกๆคือหมอไกรเองครับ ซื้อยาจากเมืองจีนกลับมาไทยเป็นจำนวนเงินแสนกว่าบาท สุดท้ายแจกฟรี สงสารคนไข้ ขายเก็บเงินไม่ได้ และในที่สุด สรุปว่าทำธุรกิจยารักษาโรคไม่ได้5555 ขาดทุนหมดตั้งแต่ล็อตแรก หมอจึงให้การรักษาฟรี ส่วนยากรุณาไปหาซื้อเอาเองแถวเยาวราช
    เพราะความสงสารคนป่วย
    4.บริษัทยาจิ่วจือถัง
    อยู่ที่เมืองหลันโจวเช่นกันกับโรงงานฝอจือ
    มีเพียง4บริษัทนี้เท่านั้นที่วางใจได้
    บริษัทยาจิ่วจือถังก่อตั้งมาเกือบ400ปีแล้วครับ
    ถ้าดูประวัติโรงงานยาเมืองจีนที่โด่งดังก็จะมีบริษัทยาเป่ยจิงถงหยินถัง ก่อตั้งด้วยพระราชทรัพย์ของกษัตริย์คังซีฮ่องเต้ เพราะหมอหลวงรักษาอาการป่วยของฮ่องเต้ไม่หาย แต่มาได้ยาของร้านถงหยินถังในกรุงปักกิ่งเสวยยาแล้วหาย จึงพระราชทานทรัพย์ให้ตั้งร้านใหญ่ในเมืองหลวง
    ใครได้ดูหนังทีวี องค์ชาย4 คังซีฮ่องเต้ คงจำกันได้ในราชวงศ์ชิง ยุคกรุงศรีอยุธยาโดยประมาณนะครับ
    จบ ความรู้เรื่องโรงงานผลิตยาในประเทศจีนที่วางใจได้ครับ
    หวังว่าคงไม่มีสมาชิกถูกหลอกให้กินยาผสมสารเคมีสังเคราะห์นะครับ

    แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี)
    https://t.me/Covidtreatment_th/148
    https://t.me/Covidtreatment_th/374
    ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ร้านเซี้ยงเฮงฮั่วกี่ เจ๊ดา02-2261418 หรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 034-391085
    หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ
    ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่ https://lin.ee/65cYrq8

    สนใจศาสตร์แพทย์แผนจีนสามารถติดตามไปที่กลุ่มของคุณหมอไกร
    กลุ่มไลน์ “แพทย์แผนจีน”
    https://line.me/ti/g/nvK48dxh8k

    กลุ่มไลน์ “แพทย์จีนป.1”
    https://line.me/ti/g/fpBefF5mEj

    #แพทย์แผนจีน #ยาจีน #ยาเขียว #วาสคิวล่าร์ #ยาระบาย

    เวชหนุ่ม
    ✅ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine) ยกตัวอย่างยาในศาสตร์แพทย์แผนจีน สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์ ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน เป็นต้น ศาสตร์แพทย์แผนจีน ตัวอย่างยา กลุ่ม1 เรียก ยาเขียนรุ่นธรรมดา สรรพคุณ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ หัด อีสุกอีใส กินป้องกันโรค เช้า8เย็น8 กลุ่มที่2 เรียกยาเขียวรุ่นพิเศษ สรรพคุณรักษาโรคหวัดโควิดทุกสายพันธุ์ ซองส้มเช้า/เที่ยว/เย็น//ครั้งละซองชงน้ำเดือด//ชนิดแคปซูลครั้งละ8แคป3มื้อ กลุ่มที่3 เรียกยาชะลอวัย สรรพคุณรักษาอาการลองโควิด และโรคผู้สูงวัย กำจัดเนื้องอก (กลุ่มยานี้เป้าหมายคือรักษาผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิดไม่สบายและผู้ป่วยหลังจากเป็นโควิด) กินเช้าซอง/เย็นซอง สมุนไพรฉั่งฉิก ชนิดผง/แคปซูล สรรพคุณของฉั่งฉิก นอกจากละลายก้อนเลือดแล้ว ยังทำหน้าที่ห้ามเลือดในตัวกรณีเส้นเลือดแตก ยาวาสคูล่าร์ สรรพคุณ ละลายก้อนเลือด และละลายไขมันผนังหลอดเลือด ในยา วาสคูล่าร์ มียา3กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ออกฤทธิ์ขจัด ละลายก้อนไขมันที่ผิวหลอดเลือดด้านใน กลุ่มที่2อออกฤทธิ์ละลายก้อนเลือดในเส้นเลือด กลุ่มที่3 ออกฤทธิ์ ห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกนอกหลอดเลือดและประสานบาดแผลหลอดเลือด ดูดกลับเลือดที่ไหลออกนอกเส้นเลือดนำกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนอีกครั้ง ข้อที่ 3 นี้ เป็นลักษณะเด่นของยาสมุนไพรจีนที่นำเลือดกลับเข้าระบบใช้หมุนเวียนได้ต่อไป สังเกตุจากอุบัติเหตุที่กระทบของแข็งจนฟกช้ำดำเขียว อันเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก เลือดไหลออกมาขังตามเนื้อเยื่อขนมีสีเขียวออกดำแบบเส้นเลือดดำนั่นเอง เมื่อยาสมุนไพรจีนเข้าไปนำเลือดกลับมาใช้ใหม่อาการฟกช้ำจะหายไปในที่สุด ใครที่ควรทานยา "vascular" 1. ผู้ที่เคยฉีดวัคซีน covid 2. ผู้ที่ป่วยด้วยหลอดเลือดสมอง 3. ผู้ที่เป็นความดันสูง 4. ผู้ที่มึนงง เวียนศีรษะบ่อย ปวดไมเกรน 5. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป 6. ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุ เป็นรอยเขียวจ้ำ ฟกช้ำ หมายถึงว่า ย่อมมีเศษตระกรันและตะกอนจากเลือดไปเกาะ ในหลอดเลือด 7. คนที่เป็นเส้นเลือดขอด 8. คนที่มีอาชีพยืนนาน แม่ค้า ช่างทำผม โดยรวมๆ น่าจะควรต้องล้างทุกคนดีที่สุด เราเช็คร่างกายตั้งแต่ตอนนี้ เป็นการไม่ประมาท อย่ารอให้เส้นเลือดมันแตก มันอุดตันก่อน แล้วจึงค่อยคิดจะทำ มันไม่คุ้ม ยาจีนหลักๆๆมีอะไรบ้างคะหมอลงรูปและชื่ออีกทีนะคะและไห้ทุกคนเซฟใว้ทุกคนนะคะแล้วทะยอยชื้อเก็บใว้ค่ะ 1.ยาระบบย่อยอาหาร 1.1 เซียงซาหย่างเว่ยหวาน ช่วยย่อย แก้ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เรอเหม็นเปรี้ยว 1.2 หวงเหลียนซู่ แก้ท้องเดินเป็นบิด ปวดถ่วง ท้องเสีย 1.3 หวงเหลียนซั่งชิงเพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ เหงือบวม ร้อนใน แผลในปาก เจ็บลิ้น 1.4 หนิวหวงเจี่ยตู๋เพี่ยน แก้ท้องผูก เจ็บคอ ตาแดง เน้นรักษาตับ 1.5 เป่าเหอหวาน รักษา เสมหะขับออกง่าย ลดคอเลสเตอรอลไขมันเลว ช่วยย่อยเนื้อ น้ำมัน เน้นส่งเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร 2.กลุ่มยารักษาโรคหวัดภูมิแพ้ 2.1 ยาหยินเชี่ยวเจี๋ยตู๋เพี่ยน เป็นยารักษาโรคหวัดฤดูร้อน อาการเด่นมีไข้สูง เจ็บคอ หิวน้ำ หน้าแดง ไอแห้งๆ 2.2 ยา ฮั่วเซียงเจิ้งชี่หวาน รักษาหวัดฤดูฝน อาการเด่น.เบื่ออาหาร ศรีษะหนักๆ ไอมีเสมหะเยอะ อาคล้ายกับหวัดโควิด19 ก็รักษาได้ครับ 2.3 ยา หมาหวงทัง รักษาหวัดฤดูหนาว อาการ ไข้ต่ำ กลัวหนาว น้ำมูกใสไหลตลอด ไอเสมหะมากไม่เหนียว จมูกไม่ได้กลิ่น ไม่มีเหงื่อ ปวดเมื่อยตามตัว หรืออาการหืดหอบก็ใช้สูตรนี้ได้ 2.4 ยาแก้ภูมิแพ้ตราปลาคู่ รักษาอาการ เป็นหวัดทั้งปี ถูกละอองฝน/ตากแดด/กระทบลมหนาว ถ้าเป็นยาตำรับคือ จิงฝางไป้ตู๋ทัง/ตำรับนี้ร้านเจ๊ดามีบันทึกอยู่/หรือจะกินสูตรยา ชิงเฟ่ยไผตู๋ทัง หมายเหตุ ยาภูมิแพ้คือ ตำรับจิงฝางไป่ตู๋ทัง 3. ยารักษาระบบไต และ กระเพาะปัสสาวะ 3.1 จินกุ้ยเซิ่นชี่หวาน เป็นยาบำรุงไตหยาง อาการ กลัวหนาว เป็นเบาหวานปัสสาวะกลางคืนบ่อย หมดแรง กระดูกพรุน ปวดกระดูก อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือ มีอาการหลั่งเร็ว ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่มีอารมณ์เพศ ช่องคลอดแห้ง อาจจะมีตกขาวร่วมด้วย 3.2 จือไป๋ตี้หวงหวาน/จือไป๋ปาเว่ยหวาน คือยาบำรุงไตอิน รักษาอาการ เบาหวาน ขี้ร้อนในง่าย นอนไม่หลับ อาการวัยทอง ท้องผูก 3.3จี้จีตี้หวงหวาน คือยารักษาตับ ไต อาการตามัวกลางคืนขับรถไม่ได้ สายตาไม่ดี/สั่นและยาว/ ตาแห้ง ลักษณะไตป่วยต้องมีอาการปวดเอว เป็นหลักสำคัญ สำหรับการรักษาเกี่ยวกับสายตาควรใช้ยากลุ่ม 4.นี้ทุกตัวครับ 4.กลุ่มอาการโรคนอนหลับยาก ตื่นง่ายหลับยาก สาเหตุจากจิตใจ เลือดน้อย ความเคยชิน จิตอารมณ์เคร่งเครียด เรื่องเงินไม่พอใช้จ่าย 4.1 ยา กุยผีหวาน คือยาบำรุงเลือด ช่วยนอนหลับ 4.2 ยาเซียวเหยาหวาน คือยาคลายเครียด ทำให้จิตคลาย เผลอหลับไม่รู้ตัว ยาตัวนี้สามารถลดอาการปวดตึงคอ บ่า ไหล่ ได้สบาย 4.3 ยาเทียนหวังปู่ซินตัง คือยาบำรุงอินหัวใจ รักษาอาการหัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น นอนไม่หลับ ร้อนฝ่าเท้า 4.4 ยา หลงต่านเซี่ยกันหวาน เป็นยารักษา อาการร้อนชื้น ที่ตับไต หรือแพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า การอักเสบแบบ inflammation ทำให้ตื่นกลางดึกตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตื่นแล้วหลับยาก หรือ อาการต่อมลูกหมากอักเสบ 5. กลุ่มอาการเสมหะ ไอจากเสมหะ หรือ มีอาการลูกกระเดือกโตเศษอาหารตกค้าง 5.1 ยา ชิงชี่ฮั่วถันหวาน รักษา ไอมีเสมหะมาก เอาออกยาก 5.2 หวินหนันไป๋เย่า ใช้เป็นยาห้ามเลือดจากอุบัติเหตุ กระเพาะอาหารทะลุ ตับแตก ม้ามแตก ไตรั่ว กระเพาะปัสสาวะเลือดไหลออกมากับน้ำปัสสาวะ หรือ เลือดออกทางรูทวารหนัก ริดสีดวงทวาร และมีการยืนยันจากสมาชิกว่าใช้รักษามะเร็งมดลูก มะเร็งตับ ต่ออายุได้เป็นสิบๆปี จนแพทย์เจ้าของไข้ตายไปก่อนคนไข้ครับ 5.3ยาวาสคูล่าร์ตราปลาคู่/ยาเหน่าซินทง ใช้รักษาอาการเส้นเลือดอุดตันที่สมอง หัวใจ ยากลุ่มที่5นี้ จัดเป็นยาฉุกเฉิน ต้องมีติดตัวตลอดครับ สำหรับคนที่ได้รับวัคซีนพิษมา 6.กลุ่มยาบำรุงกำลัง 6.1หยิ่นเซียมเจง คือยาสกัดรากโสมจีน สรรพคุณบำรุงพลัง แก้อ่อนเพลีย หายใจรวยริน หัวใจอ่อนล้า ไม่มีแรงลืมตาอ้าปาก 6.2.โสมเอี่ยเซียม/โสมอเมริกา บำรุงกำลังแต่ไม่ร้อนในมีเหมาะสำหรับคนไทยที่อยู่เมืองไทย 6.3.เซินหลิงไป๋จู๋เคอรี่ตราปลาคู่ เป็นยาเพิ่มกำลังคนไข้นอนติดเตียง เบื่ออาหาร และไม่อยากดื่มน้ำ ใช้เครื่องใส่ท่อออกซิเจน... ยากลุ่มที่7นี้ควรมีไว้ที่บ้านที่มีวัยชราภาพ70ขึ้นไป 6.4ยาบำรุงกำลัง กรณี มดลูกหย่อน หรือ ไส้เลื่อน ให้กินยา ปู่จงอี้ชี่หวานนะคร้บ และควรเล่นกำลังภายในชี่กงด้วยครับมีจะได้ไม่กลับมาเป็นอีก บางคนไอฉี่เล็ดแบบนี้คือพลังถดถอย ต้องกินยาปู่จงฯ 7..ยากลุ่มครึ่งนอกครึ่งใน เป็นอาการพิเศษที่หมอฝรั่ง งง กล่าวคือ จับไข้เป็นเวลาคล้ายไข้จับสั่น แต่ไม่รุนแรงเท่ามาลาเรีย สบัดร้อนสบัดหนาว ห่มผ้าก็ร้อน ถีบผ้าออกก็หนาว แพทย์แผนปัจจุบันจะใช้ยาควินินรักษา ก็ได้ผล แต่ผลข้างเคียงมหาศาล แพทย์บางคนจ่ายยาสเตียรอยด์เลย คราวนี้ร่างกายแย่แน่นอน นี่คือโรคหมอทำ ยาที่ใช้คือ เสี่ยวไฉหูทังหวาน กินครั้งเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง อาการนี้มักเกิดกับคนแข็งแรง ส่วนคนอ่อนแอ แพ้ศัตรูง่าย พอรับเชื้อก็ล้มหมอนนอนเสื่อเลย อ้อ สำหรับคนนอนกรน ให้กินยาหยิ่นเซียมเจง หรือ เซินหลิงตราปลาคู่ก็ได้ครับ ฉั่งฉิก กับ วาสคูล่าร์ (2+2)×2/วัน กินตลอดไปก็การันตีว่า โรคอัมพาต/โรคหัวใจ/โรคอัลไซเมอร์ จะไม่มาหาแน่นอน คุณหมอค่ะกรดไหลย้อนทานยาตัวไหนคะ กรดไหลย้อน พยายามกินหนิวหวง หรือ หวงเหลียนก่อนนอนทุกคืนประมาณ3-5วัน อาการจะหายไปครับ อย่าให้ท้องผูก อย่านอนดึก กินอาหารมื้อเย็นก่อน18:00น. พุงจะไม่ยื่น มีเอว แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี) https://t.me/Covidtreatment_th/148 https://t.me/Covidtreatment_th/374 ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาจีนหรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 0935245444 หรือตามร้านขายยาทั่วไป หรือ3ภาพสุดท้าย หาซื้อได้ที่โรงงาน034-391085 หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่ https://lin.ee/65cYrq8 https://lin.ee/bHUugo0 ตัวอย่างโปร.เมื่อวันที่ 25 / 03 - 10 / 04 / 68 วาสคิวล่าร์ (10x10’s) กล่องละ 500 ยาระบาย (10x10’s) กล่องละ 200 ยาเขียว ( ชนิดผง ) ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800 ยาเขียว ( ชนิดเม็ด ) ชนิด 60 ซอง กล่องละ 800 ชนิดขวด 80’s โหลละ 800 ยาเขียว (สูตรเข้มข้น) แคปซูล ชนิดขวด (6 กระปุก) แพคละ 750 ชนิดแผง (10x10’s) แพคละ 400 สูตรพิเศษ (รักษาอาการโควิด) ชนิดผง (10 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400 ยาชะลอวัย ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (10x10’s) แพคละ 400 ฉั่งฉิก ชนิดผง 300 กรัม 900 ชนิดผง 500 กรัม 1300 แคปซูล (10x10’s) แพคละ 500 ยาภูมิแพ้ ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750 ยาต่อมลูกหมาก ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 แคปซูล (6 กระปุก) แพคละ 750 ยาบำรุงผิว ชนิดผง (12 ซอง) แพคละ 500 หลงต่าน ขวดใหญ่ 360 เม็ด 250 หนิวหวง กล่องละ 250 AMK 1 g กล่องละ 130 ( 3 กล่อง ) 380 ยอดสั่งซื้อ 2,500 บาทขึ้นไป ส่งสินค้าภายในประเทศ ฟรี !! หมอเคยเน้นย้ำว่าโรงงานยาจีนที่วางใจได้มีเพียง 1.เป่ยจิงถงหยินถัง 北京同仁堂 สัญญาลักษณ์ตามภาพนะครับ 2.ฝอจือ หลันโจว https://www.google.com/imgres?imgurl=http%3A%2F%2Fimg.familydoctor.com.cn%2Fcms%2F20170320%2F201703200448063284.jpg&imgrefurl=https%3A%2F%2Fm.familydoctor.com.cn%2F201703%2F1771052.html&tbnid=XdVmkWCk3VyHvM&vet=1&docid=KlrmfVeK0-lJRM&w=499&h=431&itg=1&hl=th-TH&source=sh%2Fx%2Fim ยาสำเร็จรูปนี้ที่เมืองไทยคุ้นเคยกันมานานมากกว่า60ปีแล้วไม่มีปัญหา สมัยไปเรียนที่เซี่ยเหมิน อาจารย์หมอจีนตกใจว่าทำไมนักเรียนไทยรู้จักใช้ยาสำเร็จรูปของบริษัทยาที่มาตราฐานระดับประเทศ(ไม่ใช่ระดับมณฑล) สัญญาลักษณ์แปลว่า พุทธะเมตตา 3.จางจ้งจิ่ง เหอหนาน ยาบริษัทนี้เริ่มมีขายบ้างในเมืองไทยส่วนใหญ่หมอจีนนำเข้ามาขายเองเมื่อสิบกว่าปี/คนที่นำเข้ามาแจกคนไข้แรกๆคือหมอไกรเองครับ ซื้อยาจากเมืองจีนกลับมาไทยเป็นจำนวนเงินแสนกว่าบาท สุดท้ายแจกฟรี สงสารคนไข้ ขายเก็บเงินไม่ได้ และในที่สุด สรุปว่าทำธุรกิจยารักษาโรคไม่ได้5555 ขาดทุนหมดตั้งแต่ล็อตแรก หมอจึงให้การรักษาฟรี ส่วนยากรุณาไปหาซื้อเอาเองแถวเยาวราช เพราะความสงสารคนป่วย 4.บริษัทยาจิ่วจือถัง อยู่ที่เมืองหลันโจวเช่นกันกับโรงงานฝอจือ มีเพียง4บริษัทนี้เท่านั้นที่วางใจได้ บริษัทยาจิ่วจือถังก่อตั้งมาเกือบ400ปีแล้วครับ ถ้าดูประวัติโรงงานยาเมืองจีนที่โด่งดังก็จะมีบริษัทยาเป่ยจิงถงหยินถัง ก่อตั้งด้วยพระราชทรัพย์ของกษัตริย์คังซีฮ่องเต้ เพราะหมอหลวงรักษาอาการป่วยของฮ่องเต้ไม่หาย แต่มาได้ยาของร้านถงหยินถังในกรุงปักกิ่งเสวยยาแล้วหาย จึงพระราชทานทรัพย์ให้ตั้งร้านใหญ่ในเมืองหลวง ใครได้ดูหนังทีวี องค์ชาย4 คังซีฮ่องเต้ คงจำกันได้ในราชวงศ์ชิง ยุคกรุงศรีอยุธยาโดยประมาณนะครับ จบ ความรู้เรื่องโรงงานผลิตยาในประเทศจีนที่วางใจได้ครับ หวังว่าคงไม่มีสมาชิกถูกหลอกให้กินยาผสมสารเคมีสังเคราะห์นะครับ แนะนำโดยแพทย์จีน ไกร บารมีเสริมส่ง (วินิจฉัยฟรี) https://t.me/Covidtreatment_th/148 https://t.me/Covidtreatment_th/374 ท่านแนะนำให้ไปหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ร้านเซี้ยงเฮงฮั่วกี่ เจ๊ดา02-2261418 หรือโรงงานยาตราปลาคู่โดยตรงที่โทร. 034-391085 หรือ0935245444 เป็นเบอร์ไลน์ด้วยครับ ไลน์​ ยาเขียวตราปลาคู่ https://lin.ee/65cYrq8 สนใจศาสตร์แพทย์แผนจีนสามารถติดตามไปที่กลุ่มของคุณหมอไกร กลุ่มไลน์ “แพทย์แผนจีน” https://line.me/ti/g/nvK48dxh8k กลุ่มไลน์ “แพทย์จีนป.1” https://line.me/ti/g/fpBefF5mEj #แพทย์แผนจีน #ยาจีน #ยาเขียว #วาสคิวล่าร์ #ยาระบาย เวชหนุ่ม
    0 Comments 0 Shares 821 Views 0 Reviews
  • ควันหลงจากงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่ประเทศจีน สืบเนื่องจาก ‘เงื่อนจีน’ หรือที่เรียกว่า ‘จงกั๋วเจี๋ย’ (中国结) ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงาน แม้แต่พิธีปิดยังมีให้เห็น เพื่อนเพจหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างอยู่แล้ว วันนี้เรามาคุยกันเบาๆ เกี่ยวกับเงื่อนจีน

    คำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ภายใต้คำขวัญ “ก้าวสู่อนาคตไปด้วยกัน”

    เงื่อนจีนถูกค้นพบขึ้นเมื่อใดไม่ชัดเจน ทราบแต่ว่ามนุษย์เรารู้จักการผูกเงื่อนมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ในสมัยดึกดำบรรพ์ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องมือล่าสัตว์หรือเครื่องมือช่วยดำรงชีพอื่นๆ และลวดลายและวิธีผูกเงื่อนพัฒนามาเรื่อยๆ หลังจากนั้น ในยุคสมัยชุนชิว เงื่อนจีนถูกนำมาใช้อย่างหลากหลาย เช่นเป็นกระดุม ใช้ผูกพวงเหรียญไว้พกพา และถูกนำมาใช้ในการสื่อสารหรือจดจำเหตุการณ์ ในบันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ปีค.ศ. 220) มีการกล่าวถึงหลักการจารึกเหตุการณ์ต่างๆ ไว้ว่า ‘เหตุการณ์ใหญ่ ใช้เงื่อนใหญ่ เรื่องเล็ก ใช้เงื่อนเล็ก’ และมีการใช้ลายเงื่อนที่แตกต่างกันสำหรับหมวดหมู่ที่แตกต่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เงื่อนจีนถูกยกระดับเป็นศิลปะอย่างหนึ่งและแพร่หลายเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง มีการนำมาใช้เป็นสร้อยหรืออุบะสำหรับเครื่องประดับหลายชนิดเช่นป้ายหยก พัด ขลุ่ย กระบี่ ถุงหอม ฯลฯ และในยุคสมัยราชวงศ์หมิงและชิงก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นในเรื่องของความหลากหลายของลวดลายและความวิจิตร มีการตั้งชื่อและคิดค้นลายใหม่ๆ ขึ้นมากมาย รวมถึงการนำมาใช้ประดับบ้านเรือน

    เงื่อนจีนแตกต่างจากเงื่อนในวัฒนธรรมฟากตะวันตกอย่างไร? เอกลักษณ์ของเงื่อนจีนคือผูกขึ้นด้วยเชือกเส้นเดียวเท่านั้น เป็นการผูกสองชั้นดังนั้นลายหน้าหลังจะเหมือนกัน Storyฯ อ่านเจอว่าเงื่อนจีนที่วางขายในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้เชือกยาวมาตรฐานประมาณหนึ่งเมตร

    ลายเงื่อนจีนมีใช้เป็นสัญลักษณ์ในหลายกรณี เช่นเพื่อเป็นของมงคล หรือปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความผูกพัน ชื่อเรียกก็มีหลากหลาย โดยลายที่เราเห็นในงานโอลิมปิกฤดูหนาวปีนี้ (ดูภาพประกอบ) มีชื่อเรียกว่า ‘เงื่อนมงคล’ (จี๋เสียงเจี๋ย/吉祥结) ว่ากันว่าลายพื้นฐานนี้เป็นหนึ่งในลายที่เก่าแก่ที่สุดของเงื่อนจีน พัฒนาขึ้นมาในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข โชคลาภ รวมถึงช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

    (หมายเหตุ เพื่อนเพจที่สนใจชนิดของเงื่อนต่างๆ ดูได้ที่นี่ค่ะ https://tcm.dtam.moph.go.th/images/files/kch002.pdf)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.fudan.edu.cn/en/2022/0208/c1092a130100/page.htm
    https://www.chinadaily.com.cn/a/202202/21/WS62134c14a310cdd39bc87f6d_5.html
    https://kknews.cc/culture/25y4r.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/culture/yjgakzn.html
    https://baike.baidu.com/item/中国结/187053
    https://www.aizsg.com/post/9365.html

    #สัญลักษณ์โอลิมปิก2022 #เงื่อนจีน #ผูกเชือกจีน #จงกั๋วเจี๋ย #จี๋เสียงเจี๋ยน
    ควันหลงจากงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่ประเทศจีน สืบเนื่องจาก ‘เงื่อนจีน’ หรือที่เรียกว่า ‘จงกั๋วเจี๋ย’ (中国结) ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงาน แม้แต่พิธีปิดยังมีให้เห็น เพื่อนเพจหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างอยู่แล้ว วันนี้เรามาคุยกันเบาๆ เกี่ยวกับเงื่อนจีน คำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ภายใต้คำขวัญ “ก้าวสู่อนาคตไปด้วยกัน” เงื่อนจีนถูกค้นพบขึ้นเมื่อใดไม่ชัดเจน ทราบแต่ว่ามนุษย์เรารู้จักการผูกเงื่อนมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ในสมัยดึกดำบรรพ์ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องมือล่าสัตว์หรือเครื่องมือช่วยดำรงชีพอื่นๆ และลวดลายและวิธีผูกเงื่อนพัฒนามาเรื่อยๆ หลังจากนั้น ในยุคสมัยชุนชิว เงื่อนจีนถูกนำมาใช้อย่างหลากหลาย เช่นเป็นกระดุม ใช้ผูกพวงเหรียญไว้พกพา และถูกนำมาใช้ในการสื่อสารหรือจดจำเหตุการณ์ ในบันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ปีค.ศ. 220) มีการกล่าวถึงหลักการจารึกเหตุการณ์ต่างๆ ไว้ว่า ‘เหตุการณ์ใหญ่ ใช้เงื่อนใหญ่ เรื่องเล็ก ใช้เงื่อนเล็ก’ และมีการใช้ลายเงื่อนที่แตกต่างกันสำหรับหมวดหมู่ที่แตกต่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เงื่อนจีนถูกยกระดับเป็นศิลปะอย่างหนึ่งและแพร่หลายเป็นอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง มีการนำมาใช้เป็นสร้อยหรืออุบะสำหรับเครื่องประดับหลายชนิดเช่นป้ายหยก พัด ขลุ่ย กระบี่ ถุงหอม ฯลฯ และในยุคสมัยราชวงศ์หมิงและชิงก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นในเรื่องของความหลากหลายของลวดลายและความวิจิตร มีการตั้งชื่อและคิดค้นลายใหม่ๆ ขึ้นมากมาย รวมถึงการนำมาใช้ประดับบ้านเรือน เงื่อนจีนแตกต่างจากเงื่อนในวัฒนธรรมฟากตะวันตกอย่างไร? เอกลักษณ์ของเงื่อนจีนคือผูกขึ้นด้วยเชือกเส้นเดียวเท่านั้น เป็นการผูกสองชั้นดังนั้นลายหน้าหลังจะเหมือนกัน Storyฯ อ่านเจอว่าเงื่อนจีนที่วางขายในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้เชือกยาวมาตรฐานประมาณหนึ่งเมตร ลายเงื่อนจีนมีใช้เป็นสัญลักษณ์ในหลายกรณี เช่นเพื่อเป็นของมงคล หรือปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความผูกพัน ชื่อเรียกก็มีหลากหลาย โดยลายที่เราเห็นในงานโอลิมปิกฤดูหนาวปีนี้ (ดูภาพประกอบ) มีชื่อเรียกว่า ‘เงื่อนมงคล’ (จี๋เสียงเจี๋ย/吉祥结) ว่ากันว่าลายพื้นฐานนี้เป็นหนึ่งในลายที่เก่าแก่ที่สุดของเงื่อนจีน พัฒนาขึ้นมาในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข โชคลาภ รวมถึงช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย (หมายเหตุ เพื่อนเพจที่สนใจชนิดของเงื่อนต่างๆ ดูได้ที่นี่ค่ะ https://tcm.dtam.moph.go.th/images/files/kch002.pdf) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.fudan.edu.cn/en/2022/0208/c1092a130100/page.htm https://www.chinadaily.com.cn/a/202202/21/WS62134c14a310cdd39bc87f6d_5.html https://kknews.cc/culture/25y4r.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/culture/yjgakzn.html https://baike.baidu.com/item/中国结/187053 https://www.aizsg.com/post/9365.html #สัญลักษณ์โอลิมปิก2022 #เงื่อนจีน #ผูกเชือกจีน #จงกั๋วเจี๋ย #จี๋เสียงเจี๋ยน
    1 Comments 0 Shares 576 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรค-ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว
    สัทธรรมลำดับที่ : 998
    ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว-ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=998
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว-ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนในอากาศ ย่อมมีลมชนิดต่างๆพัดไปมา; คือ
    ลมทางทิศตะวันออกพัดไปบ้าง ลมทางทิศตะวันตกพัดไปบ้าง
    ลมทางทิศเหนือพัดไปบ้าง ลมทางทิศใต้พัดไปบ้าง
    ลมมีธุลีพัดไปบ้าง ลมไม่มีธุลีพัดไปบ้าง
    ลมหนาวพัดไปบ้าง ลมร้อนพัดไปบ้าง
    ลมอ่อนพัดไปบ้าง ลมแรงพัดไปบ้าง,
    นี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น, กล่าวคือ เมื่อภิกษุเจริญทำให้มากอยู่ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค :
    +--แม้ สติปัฏฐานสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ;
    +--แม้ สัมมัปปธานสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ;
    +--แม้ อิทธิบาทสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ;
    +--แม้ อินทรีย์ห้า ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ;
    +--แม้ พละห้า ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ;
    +--แม้ โพชฌงค์เจ็ด ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา .
    (ธรรมเหล่านี้ ครบอยู่ทั้ง ๖ ชนิด
    เช่นเดียวกับที่ในอากาศ มีลมพัดอยู่ ครบทุกชนิด,
    ฉันใดก็ฉันนั้น).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุ เจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรคอยู่อย่างไรเล่า
    (ธรรม ๖ ชนิดนั้น จึงถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา) ?
    --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุย่อมเจริญ
    สัมมาทิฏฐิ . . . . สัมมาสังกัปปะ . . . .
    สัมมาวาจา . . . . สัมมากัมมันตะ . . . . สัมมาอาชีวะ . . . .
    สัมมาวายามะ . . . . สัมมาสติ . . . . สัมมาสมาธิ . . . .
    ชนิดที่
    มีวิเวกอาศัยแล้ว
    มีวิราคะอาศัยแล้ว
    มีนิโรธอาศัยแล้ว
    มีปกติน้อมไปเพื่อการสลัดลง.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรคอยู่อย่างนี้แล
    (ธรรม ๖ ชนิดนั้น จึงถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา).-

    (ในพระบาลีสูตรอื่นๆ แสดงลักษณะแห่งสัมมาทิฏฐิ
    ฯลฯ
    อันเป็นองค์แห่งอัฏฐังคิกมรรคในกรณีเช่นนี้ แปลกออกไปคือ

    ราคปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน,
    โทสวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน,
    โมหวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน
    --มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙/๒๖๗ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%97

    อมโตคธ : หยั่งลงสู่อมตะ,
    อมตปรายน : มีเบื้องหน้าเป็นอมตะ,
    อมตปริโยสาน : มีอมตะเป็นปริโยสาน
    --มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙/๒๖๙ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%99

    นิพฺพานนินฺน : เอียงไปสู่นิพพาน,
    นิพฺพานโปณ : โน้มไปสู่นิพพาน,
    นิพฺพานปพฺภาร : เงื้อมไปสู่นิพพาน
    --มหาวาร. สํ. ๑๙/๗๐/๒๗๑ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/70/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%91
    ดังนี้ก็มี
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/74/282–284.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/74/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๗๔/๒๘๒–๒๘๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/74/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=998
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86&id=998
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86
    ลำดับสาธยายธรรม : 86 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_86.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรค-ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว สัทธรรมลำดับที่ : 998 ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว-ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=998 เนื้อความทั้งหมด :- --อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว-ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนในอากาศ ย่อมมีลมชนิดต่างๆพัดไปมา; คือ ลมทางทิศตะวันออกพัดไปบ้าง ลมทางทิศตะวันตกพัดไปบ้าง ลมทางทิศเหนือพัดไปบ้าง ลมทางทิศใต้พัดไปบ้าง ลมมีธุลีพัดไปบ้าง ลมไม่มีธุลีพัดไปบ้าง ลมหนาวพัดไปบ้าง ลมร้อนพัดไปบ้าง ลมอ่อนพัดไปบ้าง ลมแรงพัดไปบ้าง, นี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น, กล่าวคือ เมื่อภิกษุเจริญทำให้มากอยู่ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค : +--แม้ สติปัฏฐานสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; +--แม้ สัมมัปปธานสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; +--แม้ อิทธิบาทสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; +--แม้ อินทรีย์ห้า ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; +--แม้ พละห้า ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; +--แม้ โพชฌงค์เจ็ด ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา . (ธรรมเหล่านี้ ครบอยู่ทั้ง ๖ ชนิด เช่นเดียวกับที่ในอากาศ มีลมพัดอยู่ ครบทุกชนิด, ฉันใดก็ฉันนั้น). --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุ เจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรคอยู่อย่างไรเล่า (ธรรม ๖ ชนิดนั้น จึงถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา) ? --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุย่อมเจริญ สัมมาทิฏฐิ . . . . สัมมาสังกัปปะ . . . . สัมมาวาจา . . . . สัมมากัมมันตะ . . . . สัมมาอาชีวะ . . . . สัมมาวายามะ . . . . สัมมาสติ . . . . สัมมาสมาธิ . . . . ชนิดที่ มีวิเวกอาศัยแล้ว มีวิราคะอาศัยแล้ว มีนิโรธอาศัยแล้ว มีปกติน้อมไปเพื่อการสลัดลง. --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรคอยู่อย่างนี้แล (ธรรม ๖ ชนิดนั้น จึงถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา).- (ในพระบาลีสูตรอื่นๆ แสดงลักษณะแห่งสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ อันเป็นองค์แห่งอัฏฐังคิกมรรคในกรณีเช่นนี้ แปลกออกไปคือ ราคปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน, โทสวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน, โมหวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน --มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙/๒๖๗ ; http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%97 อมโตคธ : หยั่งลงสู่อมตะ, อมตปรายน : มีเบื้องหน้าเป็นอมตะ, อมตปริโยสาน : มีอมตะเป็นปริโยสาน --มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙/๒๖๙ ; http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%99 นิพฺพานนินฺน : เอียงไปสู่นิพพาน, นิพฺพานโปณ : โน้มไปสู่นิพพาน, นิพฺพานปพฺภาร : เงื้อมไปสู่นิพพาน --มหาวาร. สํ. ๑๙/๗๐/๒๗๑ ; http://etipitaka.com/read/pali/19/70/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%91 ดังนี้ก็มี ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/74/282–284. http://etipitaka.com/read/thai/19/74/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๗๔/๒๘๒–๒๘๔. http://etipitaka.com/read/pali/19/74/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=998 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86&id=998 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86 ลำดับสาธยายธรรม : 86 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_86.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว--ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว
    -(ธรรม ๔ อย่างในสูตรนี้ เรียงลำดับไว้เป็น ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้ง ควรทำให้เจริญ ตรงกับหลักธรรมดาทั่วๆไป ของอริยสัจสี่; แต่มีสูตรอื่น (อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๔/๘๒๙) เรียงลำดับไว้เป็นอย่างอื่นคือ ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ควรละ ควรทำให้เจริญ ควรทำให้แจ้ง, ดังนี้ก็มี; แต่ก็ยังคงเป็นอริยสัจสี่ได้อยู่นั่นเอง ไม่มีผลเป็นการขัดแย้งกันแต่ประการใด. พระบาลีในสูตรนี้ แสดงลักษณะของอริยอัฏฐังคิกมรรคไว้เป็น วิเวกนิสฺสิต วิราคนิสฺสิต นิโรธนิสฺสิต โวสฺสคฺคปริณามี; มีสูตรอื่นๆแสดงลักษณะของอริยอัฏฐังคิกมรรคในกรณีเช่นนี้ แปลกออกไปเป็น ราควินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน, โทสวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน, โมหวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน (๑๙/๖๙/๒๖๗) : อมโตคธ : หยั่งลงสู่อมตะ, อมตปรายน : มีเบื้องหน้าเป็นอมตะ, อมตปริโยสาน : มีอมตะเป็นปริโยสาน (๑๙/๖๙/๒๖๙); นิพฺพานนินฺน : เอียงไปสู่นิพพาน, นิพฺพานโปณ : โน้มไปสู่นิพพาน, นิพฺพานปพฺภาร : เงื้อมไปสู่นิพพาน (๑๙/๗๐/๒๗๑) ; ดังนี้ก็มี ; แม้โดยพยัญชนะจะต่างกัน แต่ก็มุ่งไปยังความหมายอย่างเดียวกัน. ข้อควรสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ วัตถุแห่งกิจของอริยสัจในสูตรนี้ แสดงไว้ต่างจากสูตรที่รู้กันอยู่ทั่วไป, คือสูตรทั่วๆไป วัตถุแห่งการกำหนดรู้ แสดงไว้ด้วยความทุกข์ทุกชนิด สูตรนี้แสดงไว้ด้วยปัญจุปาทานขันธ์เท่านั้น; วัตถุแห่งการละ สูตรทั่วๆไปแสดงไว้ด้วยตัณหาสาม สูตรนี้แสดงไว้ด้วยอวิชชาและภวตัณหา; วัตถุแห่งการทำให้แจ้ง สูตรทั่วๆไปแสดงไว้ด้วยการดับแห่งตัณหา สูตรนี้แสดงไว้ด้วยวิชชาและวิมุตติ; วัตถุแห่งการทำให้เจริญ สูตรทั่วๆไปแสดงไว้ด้วยอริยอัฏฐังคิกมรรค ส่วนในสูตรนี้แสดงไว้ด้วยสมถะและวิปัสสนา. ถ้าผู้ศึกษาเข้าใจความหมายของคำที่แสดงไว้แต่ละฝ่ายอย่างทั่วถึงแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าไม่ขัดขวางอะไรกัน). อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว ทำให้โพธิปักขิยธรรมสมบูรณ์ไปในตัว ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนในอากาศ ย่อมมีลมชนิดต่างๆพัดไปมา; คือลมทางทิศตะวันออกพัดไปบ้าง ลมทางทิศตะวันตกพัดไปบ้าง ลมทางทิศเหนือพัดไปบ้าง ลมทางทิศใต้พัดไปบ้าง ลมมีธุลีพัดไปบ้าง ลมไม่มีธุลีพัดไปบ้าง ลมหนาวพัดไปบ้าง ลมร้อนพัดไปบ้าง ลมอ่อนพัดไปบ้าง ลมแรงพัดไปบ้าง, นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น, กล่าวคือ เมื่อภิกษุเจริญทำให้มากอยู่ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค : แม้ สติปัฏฐานสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; แม้ สัมมัปปธานสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; แม้ อิทธิบาทสี่ ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; แม้ อินทรีย์ห้า ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; แม้ พละห้า ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ; แม้ โพชฌงค์เจ็ด ก็ถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา . (ธรรมเหล่านี้ ครบอยู่ทั้ง ๖ ชนิด เช่นเดียวกับที่ในอากาศ มีลมพัดอยู่ ครบทุกชนิด, ฉันใดก็ฉันนั้น). ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุ เจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรคอยู่อย่างไรเล่า (ธรรม ๖ ชนิดนั้น จึงถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา) ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ . . . . สัมมาสังกัปปะ . . . . สัมมาวาจา . . . . สัมมากัมมันตะ . . . . สัมมาอาชีวะ . . . . สัมมาวายามะ . . . . สัมมาสติ . . . . สัมมาสมาธิ ชนิดที่ มีวิเวกอาศัยแล้ว มีวิราคะอาศัยแล้ว มีนิโรธอาศัยแล้ว มีปกติน้อมไปเพื่อการสลัดลง. ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุเจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรคอยู่อย่างนี้แล (ธรรม ๖ ชนิดนั้น จึงถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา).
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเงื่อนจีนหรือ ‘จงกั๋วเจี๋ย’ ซึ่งคำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022

    เพื่อนเพจแฟนละครหรือนิยายจีนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘เจี๋ย’ นี้ถูกนำมาใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับความรักรวมถึงเงื่อนจีนที่ถูกใช้เป็นตัวแทนแห่งความรัก วันนี้เรามาคุยกันถึงวลีจีนเกี่ยวกับ ‘เจี๋ย’ และความหมายของมัน

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ตราบแต่นี้ไป ข้าก็เป็นภรรยาผูกปมผมของท่านแล้ว สองเราจะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามกันไปตราบจนชีวิตจะหาไม่” เล่อเยียนยิ้มกล่าว...
    - ถอดบทสนทนาจากละคร <สตรีหาญฉางเกอ> (Storyฯ แปลเองจ้า)

    คำแปลข้างบนอาจฟังดูงง คำว่า ‘ผูกปมผม’ (เจี๋ยฟ่า / 结发) หมายถึงอะไร? ในเรื่อง <สตรีหาญฉางเกอ> มีฉากที่ฮ่าวตู (เจ้าบ่าว) คลายเชือกหลากสีที่มัดอยู่ที่มวยผมของเล่อเยียน (เจ้าสาว) แล้วต่างคนต่างตัดปอยผมมารวมกันเอาเชือกนั้นผูกไว้ (ดูภาพประกอบที่ดึงมาจากในละคร) นี่คือการ ‘ผูกปมผม’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีการเข้าหอของคู่บ่าวสาวหลังจากเกี่ยวก้อยกันดื่มสุรามงคลแล้ว

    เริ่มกันที่การปลดเชือก เชือกหลากสีที่เห็นนี้ มีชื่อเรียกว่า ‘อิง’ สตรีที่ได้รับการหมั้นหมายแล้วจะต้องผูกเชือกนี้ไว้ที่มวยผม ตราบจนวันแต่งงานเข้าหอแล้วมีเพียงเจ้าบ่าวที่สามารถปลดเชือกนี้ได้ การทำอย่างนี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (1047 – 772 ปีก่อนคริสตกาล) ปรากฏในบันทึกพิธีการการแต่งงาน (仪礼·土昏礼 ซึ่งเป็นบันทึกเดียวกับที่กล่าวถึง ‘หกพิธีการ’/六礼 ของงานแต่งงานที่เพื่อนเพจอาจเคยผ่านหู) บันทึกนี้เป็นหนึ่งในสามบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเกี่ยวกับเรื่องประเพณีและพิธีการ แต่... บันทึกนี้ไม่ได้กล่าวถึงการผูกปมผม

    พิธีการผูกปมผมเริ่มแต่เมื่อใดไม่ปรากฏบันทึกที่ชัดเจน แต่บทกวีในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่ประพันธ์โดยซูอู่ (140 - 60 ปีก่อนคริสตกาล) มีวรรคนี้ปรากฏ “ผูกปมผมเป็นสามีภรรยา รักกันไม่เคลือบแคลงใจ” (结发为夫妻,恩爱两不疑) ดังนั้นการเอาปอยผมมามัดเข้ากันนี้มีแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น และวลีนี้เป็นอีกหนึ่งวลีคลาสสิกที่ใช้กล่าวถึงความรักที่มั่นคง

    แต่มันมีความหมายมากกว่านั้นค่ะ

    ในธรรมเนียมจีนโบราณ จะมีเพียงภรรยาเอกคนเดียวที่มีการกราบไหว้ฟ้าดินแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ ส่วนอนุทั้งหลายจะเพียงแต่รับตัวเข้ามาเข้าห้องเลย ดังนั้นคำว่า ‘ภรรยาผูกปมผม’ ในบางบริบทไม่ใช่หมายถึงรักเดียว แต่อาจหมายถึงภรรยาที่แต่งเข้ามาเป็นคนแรกก็ได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/366760262
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.epochtimes.com/gb/20/10/19/n12485542.htm
    https://baike.sogou.com/v168462018.htm
    https://www.pinshiwen.com/gsdq/aqsc/20190711144812.html

    #สตรีหาญฉางเกอ #ฮ่าวตูเล่อเยียน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #ผูกปมผม #เจี๋ยฟ่า #เจี๋ยฝ้า
    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเงื่อนจีนหรือ ‘จงกั๋วเจี๋ย’ ซึ่งคำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 เพื่อนเพจแฟนละครหรือนิยายจีนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘เจี๋ย’ นี้ถูกนำมาใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับความรักรวมถึงเงื่อนจีนที่ถูกใช้เป็นตัวแทนแห่งความรัก วันนี้เรามาคุยกันถึงวลีจีนเกี่ยวกับ ‘เจี๋ย’ และความหมายของมัน ความมีอยู่ว่า ... “ตราบแต่นี้ไป ข้าก็เป็นภรรยาผูกปมผมของท่านแล้ว สองเราจะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามกันไปตราบจนชีวิตจะหาไม่” เล่อเยียนยิ้มกล่าว... - ถอดบทสนทนาจากละคร <สตรีหาญฉางเกอ> (Storyฯ แปลเองจ้า) คำแปลข้างบนอาจฟังดูงง คำว่า ‘ผูกปมผม’ (เจี๋ยฟ่า / 结发) หมายถึงอะไร? ในเรื่อง <สตรีหาญฉางเกอ> มีฉากที่ฮ่าวตู (เจ้าบ่าว) คลายเชือกหลากสีที่มัดอยู่ที่มวยผมของเล่อเยียน (เจ้าสาว) แล้วต่างคนต่างตัดปอยผมมารวมกันเอาเชือกนั้นผูกไว้ (ดูภาพประกอบที่ดึงมาจากในละคร) นี่คือการ ‘ผูกปมผม’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีการเข้าหอของคู่บ่าวสาวหลังจากเกี่ยวก้อยกันดื่มสุรามงคลแล้ว เริ่มกันที่การปลดเชือก เชือกหลากสีที่เห็นนี้ มีชื่อเรียกว่า ‘อิง’ สตรีที่ได้รับการหมั้นหมายแล้วจะต้องผูกเชือกนี้ไว้ที่มวยผม ตราบจนวันแต่งงานเข้าหอแล้วมีเพียงเจ้าบ่าวที่สามารถปลดเชือกนี้ได้ การทำอย่างนี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (1047 – 772 ปีก่อนคริสตกาล) ปรากฏในบันทึกพิธีการการแต่งงาน (仪礼·土昏礼 ซึ่งเป็นบันทึกเดียวกับที่กล่าวถึง ‘หกพิธีการ’/六礼 ของงานแต่งงานที่เพื่อนเพจอาจเคยผ่านหู) บันทึกนี้เป็นหนึ่งในสามบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเกี่ยวกับเรื่องประเพณีและพิธีการ แต่... บันทึกนี้ไม่ได้กล่าวถึงการผูกปมผม พิธีการผูกปมผมเริ่มแต่เมื่อใดไม่ปรากฏบันทึกที่ชัดเจน แต่บทกวีในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่ประพันธ์โดยซูอู่ (140 - 60 ปีก่อนคริสตกาล) มีวรรคนี้ปรากฏ “ผูกปมผมเป็นสามีภรรยา รักกันไม่เคลือบแคลงใจ” (结发为夫妻,恩爱两不疑) ดังนั้นการเอาปอยผมมามัดเข้ากันนี้มีแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น และวลีนี้เป็นอีกหนึ่งวลีคลาสสิกที่ใช้กล่าวถึงความรักที่มั่นคง แต่มันมีความหมายมากกว่านั้นค่ะ ในธรรมเนียมจีนโบราณ จะมีเพียงภรรยาเอกคนเดียวที่มีการกราบไหว้ฟ้าดินแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ ส่วนอนุทั้งหลายจะเพียงแต่รับตัวเข้ามาเข้าห้องเลย ดังนั้นคำว่า ‘ภรรยาผูกปมผม’ ในบางบริบทไม่ใช่หมายถึงรักเดียว แต่อาจหมายถึงภรรยาที่แต่งเข้ามาเป็นคนแรกก็ได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/366760262 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.epochtimes.com/gb/20/10/19/n12485542.htm https://baike.sogou.com/v168462018.htm https://www.pinshiwen.com/gsdq/aqsc/20190711144812.html #สตรีหาญฉางเกอ #ฮ่าวตูเล่อเยียน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #ผูกปมผม #เจี๋ยฟ่า #เจี๋ยฝ้า
    1 Comments 0 Shares 596 Views 0 Reviews
  • แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’

    วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家)
    เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้

    ความมีอยู่ว่า
    ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว....
    - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย

    ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย

    ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน?

    ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป

    มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ

    ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ

    Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/484438060_121051662
    https://www.sohu.com/a/485012584_100151502
    https://www.sohu.com/a/489015136_120827444

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html
    https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361
    https://www.baike.com/wiki/清河崔氏
    https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏

    #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家) เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้ ความมีอยู่ว่า ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว.... - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน? ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/484438060_121051662 https://www.sohu.com/a/485012584_100151502 https://www.sohu.com/a/489015136_120827444 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361 https://www.baike.com/wiki/清河崔氏 https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏 #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    1 Comments 0 Shares 515 Views 0 Reviews
  • การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก:

    ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด**
    - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต
    - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ

    ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น**
    - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท
    - ตัวอย่างเช่น:
    - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley**
    - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย

    ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก**
    - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด
    - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ:
    - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป)
    - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม**
    - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์**

    ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน**
    - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft)
    - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**)
    - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship)
    - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu)
    - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing)

    ### สรุป
    แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก: ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด** - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น** - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท - ตัวอย่างเช่น: - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley** - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก** - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ: - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป) - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม** - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์** ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน** - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft) - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**) - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship) - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu) - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing) ### สรุป แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    0 Comments 0 Shares 431 Views 0 Reviews
  • Storyฯ เคยเขียนถึงวิธีสู้กับความหนาวของจีนโบราณซึ่งหนึ่งในนั้นคือใช้เสื้อผ้าและผ้าห่มที่ทำมาจากกระดาษ ซึ่งในสมัยถังมีวิวัฒนาการการผลิตกระดาษอย่างก้าวกระโดด เสื้อหรือผ้าห่มนั้นใช้กระดาษที่ทำจากเปลือกของกิ่งหม่อน วิธีทำและหน้าตาคล้ายผลิตกระดาษสาบ้านเรา

    เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า มีการนำกระดาษมาทำเสื้อเกราะให้ทหารสวมใส่ด้วย? บ้างก็ว่ามีมาแต่สมัยราชวงศ์เหนือใต้ บ้างก็ว่าเสื้อเกราะกระดาษนั้นถูกคิดค้นขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง

    เสื้อเกราะกระดาษนี้เรียกตรงตัวว่า ‘จื๋อข่าย’ (纸铠)หรือ ‘จื๋อเจี่ย’ (纸甲) ในบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังที่จัดทำขึ้นโดยสำนักราชบัณฑิตสมัยซ่ง (ซินถังซู/新唐书) มีจารึกไว้ว่า เสื้อเกราะกระดาษเหล่านี้ป้องกันได้จากคมดาบและธนู ต่อมาในยุคสมัยหมิงนิยมใช้ในพื้นที่ทางตอนใต้ โดยเฉพาะกับทหารเรือ เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นอากาศชื้น เสื้อเกราะเหล็กขึ้นสนิมได้ง่ายและหนัก ในทางกลับกัน เสื้อเกราะกระดาษใช้ได้ในหลายสภาพอากาศทั้งร้อนทั้งหนาว มีน้ำหนักเบาและเมื่อโดนน้ำยิ่งทำให้มีความทนทานมากขึ้น ป้องกันได้แม้กระทั่งระเบิดดินปืน

    จากบันทึกทางการทหารในสมัยหมิงมีการกล่าวว่า เสื้อเกราะกระดาษประกอบขึ้นจากกระดาษเยื่อไม้และใยผ้าอัดแน่นซ้ำๆ จนเป็นชั้นหนาประมาณหนึ่งนิ้ว ตรึงด้วยหมุดเหล็ก เย็บขึ้นเป็นเกราะแบบเกล็ดปลา

    เสื้อเกราะกระดาษถูกใช้อย่างแพร่หลายในราชวงศ์หมิง แม้จะยังมีใช้บ้างในสมัยราชวงศ์ชิง (มีการค้นพบเสื้อเกราะกระดาษจากสมัยราชวงศ์ชิงจริงในกุ้ยโจวเมื่อปี 2004) แต่ในยุคสมัยที่ระเบิดมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีไฟแรง เกราะกระดาษใช้ไม่ได้ดีนักจึงค่อยๆ หายไป

    Storyฯ ก็นึกไม่ออกว่าเกราะกระดาษจะทนทานต่ออาวุธได้อย่างไร? ไปพบเจอกับวิดิโอคลิปเลยนำมาแบ่งปันให้ดู (ขออภัยไร้ความสามารถทำคำแปลบนคลิป)

    เป็นคลิปที่ตัดตอนมาจากรายการเกมการแข่งขันความรู้ของเด็กนักเรียน มีการเชิญมือธนูมาทดลองยิงเปรียบเทียบระหว่างเกราะโซ่และเกราะกระดาษ (ซึ่งใช้กระดาษเท่านั้น ยังไม่ได้รวมใยผ้าอัดผสมเข้าไป) โดยหัวธนูที่ใช้นั้นเป็นแบบที่มือธนูเรียกว่าเป็นธนูสำหรับยิงเกราะ หัวธนูเป็นเหล็กแหลมสองชั้น ยิงในระยะ 10 เมตร โดยตอนท้ายมีการสรุปว่าการที่จะเจาะให้ทะลุกระดาษที่เรียงเป็นชั้นๆ จนถึงผิวของคนใส่นั้น ต้องมีแรงอัดหลายทอด หัวธนูจึงไม่สามารถยิงทะลุได้ในคราวเดียว ใครอยากดูคลิปเต็มดูได้ตามลิ้งค์ยูทูบข้างล่างเลยค่ะ

    ดูแล้วรู้สึกอย่างไรคะ? เม้นท์บอกกันมาได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit วิดิโอและรูปภาพจาก:
    https://www.youtube.com/watch?v=9lG3aWRDQtI
    https://kknews.cc/history/g93o88.html
    https://kknews.cc/other/mo6gpg6.html

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/%E7%BA%B8%E7%94%B2/8697116
    https://www.chinanews.com.cn/hb/news/2009/11-18/1971854.shtml
    https://kknews.cc/other/mo6gpg6.html

    #เสื้อเกราะจีนโบราณ #เสื้อกระดาษ #จื๋อเจี่ย #จื๋อข่าย #อาวุธจีนโบราณ #เสื้อเกราะกระดาษ
    Storyฯ เคยเขียนถึงวิธีสู้กับความหนาวของจีนโบราณซึ่งหนึ่งในนั้นคือใช้เสื้อผ้าและผ้าห่มที่ทำมาจากกระดาษ ซึ่งในสมัยถังมีวิวัฒนาการการผลิตกระดาษอย่างก้าวกระโดด เสื้อหรือผ้าห่มนั้นใช้กระดาษที่ทำจากเปลือกของกิ่งหม่อน วิธีทำและหน้าตาคล้ายผลิตกระดาษสาบ้านเรา เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่า มีการนำกระดาษมาทำเสื้อเกราะให้ทหารสวมใส่ด้วย? บ้างก็ว่ามีมาแต่สมัยราชวงศ์เหนือใต้ บ้างก็ว่าเสื้อเกราะกระดาษนั้นถูกคิดค้นขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง เสื้อเกราะกระดาษนี้เรียกตรงตัวว่า ‘จื๋อข่าย’ (纸铠)หรือ ‘จื๋อเจี่ย’ (纸甲) ในบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังที่จัดทำขึ้นโดยสำนักราชบัณฑิตสมัยซ่ง (ซินถังซู/新唐书) มีจารึกไว้ว่า เสื้อเกราะกระดาษเหล่านี้ป้องกันได้จากคมดาบและธนู ต่อมาในยุคสมัยหมิงนิยมใช้ในพื้นที่ทางตอนใต้ โดยเฉพาะกับทหารเรือ เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นอากาศชื้น เสื้อเกราะเหล็กขึ้นสนิมได้ง่ายและหนัก ในทางกลับกัน เสื้อเกราะกระดาษใช้ได้ในหลายสภาพอากาศทั้งร้อนทั้งหนาว มีน้ำหนักเบาและเมื่อโดนน้ำยิ่งทำให้มีความทนทานมากขึ้น ป้องกันได้แม้กระทั่งระเบิดดินปืน จากบันทึกทางการทหารในสมัยหมิงมีการกล่าวว่า เสื้อเกราะกระดาษประกอบขึ้นจากกระดาษเยื่อไม้และใยผ้าอัดแน่นซ้ำๆ จนเป็นชั้นหนาประมาณหนึ่งนิ้ว ตรึงด้วยหมุดเหล็ก เย็บขึ้นเป็นเกราะแบบเกล็ดปลา เสื้อเกราะกระดาษถูกใช้อย่างแพร่หลายในราชวงศ์หมิง แม้จะยังมีใช้บ้างในสมัยราชวงศ์ชิง (มีการค้นพบเสื้อเกราะกระดาษจากสมัยราชวงศ์ชิงจริงในกุ้ยโจวเมื่อปี 2004) แต่ในยุคสมัยที่ระเบิดมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีไฟแรง เกราะกระดาษใช้ไม่ได้ดีนักจึงค่อยๆ หายไป Storyฯ ก็นึกไม่ออกว่าเกราะกระดาษจะทนทานต่ออาวุธได้อย่างไร? ไปพบเจอกับวิดิโอคลิปเลยนำมาแบ่งปันให้ดู (ขออภัยไร้ความสามารถทำคำแปลบนคลิป) เป็นคลิปที่ตัดตอนมาจากรายการเกมการแข่งขันความรู้ของเด็กนักเรียน มีการเชิญมือธนูมาทดลองยิงเปรียบเทียบระหว่างเกราะโซ่และเกราะกระดาษ (ซึ่งใช้กระดาษเท่านั้น ยังไม่ได้รวมใยผ้าอัดผสมเข้าไป) โดยหัวธนูที่ใช้นั้นเป็นแบบที่มือธนูเรียกว่าเป็นธนูสำหรับยิงเกราะ หัวธนูเป็นเหล็กแหลมสองชั้น ยิงในระยะ 10 เมตร โดยตอนท้ายมีการสรุปว่าการที่จะเจาะให้ทะลุกระดาษที่เรียงเป็นชั้นๆ จนถึงผิวของคนใส่นั้น ต้องมีแรงอัดหลายทอด หัวธนูจึงไม่สามารถยิงทะลุได้ในคราวเดียว ใครอยากดูคลิปเต็มดูได้ตามลิ้งค์ยูทูบข้างล่างเลยค่ะ ดูแล้วรู้สึกอย่างไรคะ? เม้นท์บอกกันมาได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit วิดิโอและรูปภาพจาก: https://www.youtube.com/watch?v=9lG3aWRDQtI https://kknews.cc/history/g93o88.html https://kknews.cc/other/mo6gpg6.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/%E7%BA%B8%E7%94%B2/8697116 https://www.chinanews.com.cn/hb/news/2009/11-18/1971854.shtml https://kknews.cc/other/mo6gpg6.html #เสื้อเกราะจีนโบราณ #เสื้อกระดาษ #จื๋อเจี่ย #จื๋อข่าย #อาวุธจีนโบราณ #เสื้อเกราะกระดาษ
    1 Comments 0 Shares 622 Views 0 Reviews
More Results