• อันดรี ซีบิฮา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมเจรจาฝ่ายยูเครน โพสต์ข้อความผิดหวังในการตอบสนองของรัสเซียผ่านทางโซเชียล แม้ว่าพวกเขาเพิ่งถูกโจมตีฐานทัพอากาศหลายแห่งจนได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยระบว่า รัสเซียไม่ตอบสนองต่อบันทึกข้อตกลงหยุดยิงของเคียฟในอิสตันบูลเลยแม้แต่น้อย

    “รัสเซียไม่ตอบสนองต่อเอกสารของเรา ซึ่งระบุวิสัยทัศน์ของยูเครนในการยุติสงคราม เราส่งเอกสารล่วงหน้าก่อนการประชุม ระหว่างการประชุม คณะผู้แทนของเราถามความคิดเห็นของรัสเซีย พวกเขาไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ทั้งในระหว่างการประชุมและหลังการประชุม เราเรียกร้องคำตอบจากรัสเซีย ความเงียบของพวกเขาในแต่ละวันเป็นข้ออ้างที่ทำให้พวกเขาต้องการที่จะดำเนินสงครามต่อไป”

    “ฝ่ายรัสเซียเอาแต่ยื่นเงื่อนไขเดิมๆ ซึ่งนั่นไม่ทำให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งขัดแย้งกับคำมั่นสัญญาของรัสเซียก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาจะเสนอสิ่งที่เป็นจริงและเป็นไปได้”

    ซีบิฮา ยังกล่าวต่ออีกว่า “การมาประชุมที่อิสตันบูลครั้งนี้ เหมือนมาเพียงเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยศึกเท่านั้น โดยไม่ได้มีส่วนสนับสนุนในการบรรลุสันติภาพแต่อย่างใด”
    อันดรี ซีบิฮา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมเจรจาฝ่ายยูเครน โพสต์ข้อความผิดหวังในการตอบสนองของรัสเซียผ่านทางโซเชียล แม้ว่าพวกเขาเพิ่งถูกโจมตีฐานทัพอากาศหลายแห่งจนได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยระบว่า รัสเซียไม่ตอบสนองต่อบันทึกข้อตกลงหยุดยิงของเคียฟในอิสตันบูลเลยแม้แต่น้อย “รัสเซียไม่ตอบสนองต่อเอกสารของเรา ซึ่งระบุวิสัยทัศน์ของยูเครนในการยุติสงคราม เราส่งเอกสารล่วงหน้าก่อนการประชุม ระหว่างการประชุม คณะผู้แทนของเราถามความคิดเห็นของรัสเซีย พวกเขาไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ทั้งในระหว่างการประชุมและหลังการประชุม เราเรียกร้องคำตอบจากรัสเซีย ความเงียบของพวกเขาในแต่ละวันเป็นข้ออ้างที่ทำให้พวกเขาต้องการที่จะดำเนินสงครามต่อไป” “ฝ่ายรัสเซียเอาแต่ยื่นเงื่อนไขเดิมๆ ซึ่งนั่นไม่ทำให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งขัดแย้งกับคำมั่นสัญญาของรัสเซียก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาจะเสนอสิ่งที่เป็นจริงและเป็นไปได้” ซีบิฮา ยังกล่าวต่ออีกว่า “การมาประชุมที่อิสตันบูลครั้งนี้ เหมือนมาเพียงเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยศึกเท่านั้น โดยไม่ได้มีส่วนสนับสนุนในการบรรลุสันติภาพแต่อย่างใด”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ เผย บทบาทไทยบนเวทีสำคัญของสามภูมิภาค “อาเซียน -อ่าวอาหรับ-จีน” ที่มีขนาดศก. 1 ใน 4 ของโลก แสดงวิสัยทัศน์เน้นย้ำกรอบ “3M” ขับเคลื่อนความร่วมมือพหุภาคี หนุนขนส่งรวดเร็วทุกมิติ ร่วมกันกำหนดทิศทางใหม่เพื่อรับมือความไม่แน่นอนศก.โลก เพื่อการเจริญเติบโตทางศก.ในสามภูมิภาคของโลก

    วันนี้ (27 พฤษภาคม 2568) เวลา 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งตรงกับเวลา 14.45 น.ในประเทศไทย ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 3 ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Center (KLCC) ประเทศมาเลเซีย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ – จีน (ASEAN – GCC – China Summit) ประกอบไปด้วยผู้นำประเทศ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กับประเทศจีน โดยนายหลี่ เฉียง (H.E. Mr. Li Qiang) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนและผู้นำจากประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000049631

    #MGROnline #อาเซียน #อ่าวอาหรับ #จีน
    นายกฯ เผย บทบาทไทยบนเวทีสำคัญของสามภูมิภาค “อาเซียน -อ่าวอาหรับ-จีน” ที่มีขนาดศก. 1 ใน 4 ของโลก แสดงวิสัยทัศน์เน้นย้ำกรอบ “3M” ขับเคลื่อนความร่วมมือพหุภาคี หนุนขนส่งรวดเร็วทุกมิติ ร่วมกันกำหนดทิศทางใหม่เพื่อรับมือความไม่แน่นอนศก.โลก เพื่อการเจริญเติบโตทางศก.ในสามภูมิภาคของโลก • วันนี้ (27 พฤษภาคม 2568) เวลา 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งตรงกับเวลา 14.45 น.ในประเทศไทย ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 3 ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Center (KLCC) ประเทศมาเลเซีย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ – จีน (ASEAN – GCC – China Summit) ประกอบไปด้วยผู้นำประเทศ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กับประเทศจีน โดยนายหลี่ เฉียง (H.E. Mr. Li Qiang) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนและผู้นำจากประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000049631 • #MGROnline #อาเซียน #อ่าวอาหรับ #จีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว้าแดงคงดูการถ่ายทอดการแสดงวิสัยทัศน์ของ สทร. อนาคตสินค้าของว้าแดง. สดใส มีเฮ ตั้งฐานผลิตบนแผ่นดินไทย ใครก็ไม่กล้าแตะ
    ว้าแดงคงดูการถ่ายทอดการแสดงวิสัยทัศน์ของ สทร. อนาคตสินค้าของว้าแดง. สดใส มีเฮ ตั้งฐานผลิตบนแผ่นดินไทย ใครก็ไม่กล้าแตะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา เผยถึงภาพนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการกอดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ชัดเจนว่ามาร่วมกันทำงานให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ได้พุ่งตรงรัฐบาล แต่พุ่งตรงต่อปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองที่นักการเมืองทุกพรรคแก้ไขไม่ได้ ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พยายามโชว์ว่าตัวเองมีบทบาท แม้จะมีคดีชั้น 14 โดยจะแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติดในวันที่ 27 พ.ค. นี้ รัฐมนตรีที่เชิญนายทักษิณต้องอ่านรัฐธรรมนูญ ม.160 ว่าจะผิดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ทั้งที่ใช้กำปั้นสังหารไปกว่า 2,000 ศพ แล้วเชิญคนอย่างนี้มาบรรยายการแก้ปัญหายาเสพติด สะท้อนจิตสำนึกของรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 13 มิ.ย.นี้ หากนายทักษิณไม่เดินทางไปศาล สิ่งที่ศาลจะดำเนินการคือออกหมายจับ

    -พวกเราแค่หายใจแรงก็ผิด
    -ส่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหาคดีนอมินี
    -นายกต้องออกคำสั่ง
    -สหรัฐต้องการรถถัง-เอไอ
    นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา เผยถึงภาพนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการกอดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ชัดเจนว่ามาร่วมกันทำงานให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ได้พุ่งตรงรัฐบาล แต่พุ่งตรงต่อปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองที่นักการเมืองทุกพรรคแก้ไขไม่ได้ ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พยายามโชว์ว่าตัวเองมีบทบาท แม้จะมีคดีชั้น 14 โดยจะแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติดในวันที่ 27 พ.ค. นี้ รัฐมนตรีที่เชิญนายทักษิณต้องอ่านรัฐธรรมนูญ ม.160 ว่าจะผิดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ทั้งที่ใช้กำปั้นสังหารไปกว่า 2,000 ศพ แล้วเชิญคนอย่างนี้มาบรรยายการแก้ปัญหายาเสพติด สะท้อนจิตสำนึกของรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 13 มิ.ย.นี้ หากนายทักษิณไม่เดินทางไปศาล สิ่งที่ศาลจะดำเนินการคือออกหมายจับ -พวกเราแค่หายใจแรงก็ผิด -ส่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหาคดีนอมินี -นายกต้องออกคำสั่ง -สหรัฐต้องการรถถัง-เอไอ
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปงาน Computex 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ภายใต้ธีม “AI Next” ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เน้น AI, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีรุ่นถัดไป และการเคลื่อนที่แห่งอนาคต นี่คือสรุปผลิตภัณฑ์ใหม่เด่นๆ จากงาน:

    1️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก NVIDIA
    • GeForce RTX 50 Series: การ์ดจอรุ่นใหม่ เช่น RTX 5060, 5070 Ti, 5080, และ 5090 เน้นประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมและงาน AI มีฟีเจอร์ DLSS 4 และ Multi Frame Generation เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด.
    • DGX Spark และ DGX Station: อุปกรณ์สำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI.
    • NVLink Fusion: เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบกึ่งสำเร็จรูป ช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI.
    • AI Infrastructure: NVIDIA ผลักดันวิสัยทัศน์โรงงาน AI และการพัฒนา agentic AI รวมถึง physical AI สำหรับหุ่นยนต์และโทรคมนาคม.

    2️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Intel
    • Core Ultra 200V Series Processors: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI, ความปลอดภัย และความเร็วสำหรับงานทุกประเภท.
    • Xeon 6 Processors และ Gaudi 3 AI Accelerators: ออกแบบสำหรับศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น.
    • Intel Arc Pro B50 และ B60: การ์ดกราฟิกสำหรับงาน AI และเวิร์คสเตชันระดับมืออาชีพ.

    3️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก AMD
    • Radeon RX 9060 XT: การ์ดจอรุ่นใหม่ ใช้สถาปัตยกรรม Navi 44 มีหน่วยความจำ GDDR6 สูงสุด 16GB และเพิ่มประสิทธิภาพ Ray Tracing 2 เท่า ราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์.
    • Ryzen Threadripper 9000 Series: CPU สำหรับเดสก์ท็อปและเวิร์คสเตชัน รุ่นท็อป Ryzen 9 9995WX มี 96 คอร์ 192 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.4GHz.
    • Ryzen AI Max: CPU สำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์ เพิ่มประสิทธิภาพและแบตเตอรี่.

    4️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MSI
    • Claw A8 BZ2EM และ Claw 7 A2HM: เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD มีรุ่น Polar Tempest Edition สีขาวพร้อมสตอเรจเพิ่มเป็น 2 เท่า.
    • QD-OLED Monitor และ MEG Vision X AI PC: จอมอนิเตอร์และพีซีที่ผสาน AI เช่น AI Care Sensor และ AI Navigator เพื่อป้องกัน burn-in และปรับแต่งการตั้งค่า.
    • Titan 18 HX Dragon Edition: เดสก์ท็อปพรีเมียมพร้อมจอสัมผัส 13 นิ้วที่ด้านหน้า รองรับ RTX 5090 และ Intel Core Ultra 9 CPU.

    5️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก ASUS
    • ROG Ally X และ ROG Ally 2 (คาดการณ์): เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 Extreme และอาจมี Windows รุ่นปรับแต่งให้เหมาะกับแฮนด์เฮลด์.
    • ProArt RTX 5080: การ์ดจอสำหรับครีเอเตอร์ มีพอร์ต USB-C และสล็อต M.2 SSD พร้อมดีไซน์ไม้เทียม.
    • ROG Bulwark Dock: ด็อก 7-in-1 สำหรับแฮนด์เฮลด์ รองรับ 4K 144Hz ผ่าน HDMI 2.1.

    6️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MediaTek
    • AI Solutions: นำเสนอวิสัยทัศน์ “AI for Everyone: From Edge to Cloud” รวมถึง AI ในสมาร์ทโฟน บ้านอัจฉริยะ รถยนต์ และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ผสานกับ NVIDIA สำหรับโซลูชัน AI ครบวงจร.
    • Smart Auto Central และ Hybrid AI Computing: โซลูชันสำหรับยานยนต์และการประมวลผลแบบผสมผสานระหว่าง edge และ cloud.

    7️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Kingston
    • XS1000 และ XS2000 SSD: SSD แบบพกพาดีไซน์ใหม่ เน้นความเร็วและพกพาสะดวก.
    • DataTraveler Exodia S USB Flash Drive: แฟลชไดรฟ์ USB 3.2 Gen 1 ดีไซน์เพรียวบาง ใช้งานง่าย.
    • Future City Showcase: นำเสนอโซลูชันหน่วยความจำสำหรับ AI, หุ่นยนต์, เกมมิ่ง และอุตสาหกรรมการบิน.

    8️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก GIGABYTE
    • AORUS MASTER 16 AI PC: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI.
    • GIGAPOD และ AIOps Platform: โซลูชันซูเปอร์คอมพิวติ้งสำหรับ AI และศูนย์ข้อมูล.
    • BRIX AI Mini-PCs: มินิพีซีที่ใช้ AMD Ryzen 7 PRO และ Intel Core Ultra CPU พร้อม NPU สำหรับ edge computing.

    9️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Supermicro
    • High-Performance Server Architectures: เซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและโซลูชันระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับ AI และ HPC.
    • Green Computing Initiatives: เทคโนโลยีประหยัดพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล.

    🔟 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ
    • Acer Predator Triton 14 AI: แล็ปท็อปเกมมิ่งดีไซน์พรีเมียม ใช้ RTX 50-series และมีสารเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ.
    • Acer PD243Y E: จอมอนิเตอร์พกพาแบบ dual-screen สำหรับการทำงานนอกสถานที่.
    • Cherry MX Honey Switches: สวิตช์คีย์บอร์ดที่ให้ความรู้สึกแบบเมคานิคอลแต่ลดเสียงรบกวน.
    • Phison aiDAPTIV+: โซลูชันสำหรับการฝึก LLM ในสถานที่โดยไม่ต้องใช้ GPU จำนวนมาก เน้นความเป็นส่วนตัวและประหยัดต้นทุน.
    • V-Color Xfinity Manta DDR5 RAM: RAM พร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลเช่น ความเร็วและแรงดันไฟ.
    • Thermaltake MineCube 360: ระบบระบายความร้อน AIO พร้อมจอ 720x720 แสดงภาพ Minecraft.

    💯 สรุป 💯
    งาน Computex 2025 เน้นหนักไปที่ AI ในทุกมิติ ตั้งแต่การ์ดจอ, CPU, เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์, แล็ปท็อป, ไปจนถึงโซลูชันสำหรับศูนย์ข้อมูลและ edge computing นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการเล่นเกม, การประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ผู้ผลิตอย่าง NVIDIA, Intel, AMD, MSI, ASUS, MediaTek และ Kingston ต่างนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและภาคธุรกิจ
    สรุปงาน Computex 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ภายใต้ธีม “AI Next” ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เน้น AI, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีรุ่นถัดไป และการเคลื่อนที่แห่งอนาคต นี่คือสรุปผลิตภัณฑ์ใหม่เด่นๆ จากงาน: 1️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก NVIDIA • GeForce RTX 50 Series: การ์ดจอรุ่นใหม่ เช่น RTX 5060, 5070 Ti, 5080, และ 5090 เน้นประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมและงาน AI มีฟีเจอร์ DLSS 4 และ Multi Frame Generation เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด. • DGX Spark และ DGX Station: อุปกรณ์สำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI. • NVLink Fusion: เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบกึ่งสำเร็จรูป ช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI. • AI Infrastructure: NVIDIA ผลักดันวิสัยทัศน์โรงงาน AI และการพัฒนา agentic AI รวมถึง physical AI สำหรับหุ่นยนต์และโทรคมนาคม. 2️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Intel • Core Ultra 200V Series Processors: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI, ความปลอดภัย และความเร็วสำหรับงานทุกประเภท. • Xeon 6 Processors และ Gaudi 3 AI Accelerators: ออกแบบสำหรับศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น. • Intel Arc Pro B50 และ B60: การ์ดกราฟิกสำหรับงาน AI และเวิร์คสเตชันระดับมืออาชีพ. 3️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก AMD • Radeon RX 9060 XT: การ์ดจอรุ่นใหม่ ใช้สถาปัตยกรรม Navi 44 มีหน่วยความจำ GDDR6 สูงสุด 16GB และเพิ่มประสิทธิภาพ Ray Tracing 2 เท่า ราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์. • Ryzen Threadripper 9000 Series: CPU สำหรับเดสก์ท็อปและเวิร์คสเตชัน รุ่นท็อป Ryzen 9 9995WX มี 96 คอร์ 192 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.4GHz. • Ryzen AI Max: CPU สำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์ เพิ่มประสิทธิภาพและแบตเตอรี่. 4️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MSI • Claw A8 BZ2EM และ Claw 7 A2HM: เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD มีรุ่น Polar Tempest Edition สีขาวพร้อมสตอเรจเพิ่มเป็น 2 เท่า. • QD-OLED Monitor และ MEG Vision X AI PC: จอมอนิเตอร์และพีซีที่ผสาน AI เช่น AI Care Sensor และ AI Navigator เพื่อป้องกัน burn-in และปรับแต่งการตั้งค่า. • Titan 18 HX Dragon Edition: เดสก์ท็อปพรีเมียมพร้อมจอสัมผัส 13 นิ้วที่ด้านหน้า รองรับ RTX 5090 และ Intel Core Ultra 9 CPU. 5️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก ASUS • ROG Ally X และ ROG Ally 2 (คาดการณ์): เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 Extreme และอาจมี Windows รุ่นปรับแต่งให้เหมาะกับแฮนด์เฮลด์. • ProArt RTX 5080: การ์ดจอสำหรับครีเอเตอร์ มีพอร์ต USB-C และสล็อต M.2 SSD พร้อมดีไซน์ไม้เทียม. • ROG Bulwark Dock: ด็อก 7-in-1 สำหรับแฮนด์เฮลด์ รองรับ 4K 144Hz ผ่าน HDMI 2.1. 6️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MediaTek • AI Solutions: นำเสนอวิสัยทัศน์ “AI for Everyone: From Edge to Cloud” รวมถึง AI ในสมาร์ทโฟน บ้านอัจฉริยะ รถยนต์ และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ผสานกับ NVIDIA สำหรับโซลูชัน AI ครบวงจร. • Smart Auto Central และ Hybrid AI Computing: โซลูชันสำหรับยานยนต์และการประมวลผลแบบผสมผสานระหว่าง edge และ cloud. 7️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Kingston • XS1000 และ XS2000 SSD: SSD แบบพกพาดีไซน์ใหม่ เน้นความเร็วและพกพาสะดวก. • DataTraveler Exodia S USB Flash Drive: แฟลชไดรฟ์ USB 3.2 Gen 1 ดีไซน์เพรียวบาง ใช้งานง่าย. • Future City Showcase: นำเสนอโซลูชันหน่วยความจำสำหรับ AI, หุ่นยนต์, เกมมิ่ง และอุตสาหกรรมการบิน. 8️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก GIGABYTE • AORUS MASTER 16 AI PC: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI. • GIGAPOD และ AIOps Platform: โซลูชันซูเปอร์คอมพิวติ้งสำหรับ AI และศูนย์ข้อมูล. • BRIX AI Mini-PCs: มินิพีซีที่ใช้ AMD Ryzen 7 PRO และ Intel Core Ultra CPU พร้อม NPU สำหรับ edge computing. 9️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Supermicro • High-Performance Server Architectures: เซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและโซลูชันระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับ AI และ HPC. • Green Computing Initiatives: เทคโนโลยีประหยัดพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล. 🔟 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ • Acer Predator Triton 14 AI: แล็ปท็อปเกมมิ่งดีไซน์พรีเมียม ใช้ RTX 50-series และมีสารเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ. • Acer PD243Y E: จอมอนิเตอร์พกพาแบบ dual-screen สำหรับการทำงานนอกสถานที่. • Cherry MX Honey Switches: สวิตช์คีย์บอร์ดที่ให้ความรู้สึกแบบเมคานิคอลแต่ลดเสียงรบกวน. • Phison aiDAPTIV+: โซลูชันสำหรับการฝึก LLM ในสถานที่โดยไม่ต้องใช้ GPU จำนวนมาก เน้นความเป็นส่วนตัวและประหยัดต้นทุน. • V-Color Xfinity Manta DDR5 RAM: RAM พร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลเช่น ความเร็วและแรงดันไฟ. • Thermaltake MineCube 360: ระบบระบายความร้อน AIO พร้อมจอ 720x720 แสดงภาพ Minecraft. 💯 สรุป 💯 งาน Computex 2025 เน้นหนักไปที่ AI ในทุกมิติ ตั้งแต่การ์ดจอ, CPU, เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์, แล็ปท็อป, ไปจนถึงโซลูชันสำหรับศูนย์ข้อมูลและ edge computing นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการเล่นเกม, การประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ผู้ผลิตอย่าง NVIDIA, Intel, AMD, MSI, ASUS, MediaTek และ Kingston ต่างนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและภาคธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัญหาภายในของซาอุดีอาระเบียมีหลากหลายประเด็นทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม. ปัญหาทางเศรษฐกิจรวมถึงการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันที่มากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ปัญหาสังคมรวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 และปัญหาการทุจริต. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมรวมถึงการขยายตัวของเมืองที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ มลพิษทางดิน และปัญหาการขาดแคลนน้ำ.
    รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาภายในซาอุดีอาระเบีย:
    ปัญหาทางเศรษฐกิจ:
    การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน: ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก แต่การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก.
    ขาดดุลงบประมาณ: ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงทำให้ซาอุดีอาระเบียประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณ.
    การกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ: ซาอุดีอาระเบียพยายามกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่นผ่านโครงการวิสัยทัศน์ 2030.
    ปัญหาการทุจริต: มีรายงานการทุจริตในระบบราชการซาอุดีอาระเบีย.
    ปัญหาสังคม:
    ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ: ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในซาอุดีอาระเบีย.
    ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030: บางกลุ่มมีความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 ที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้.
    การอพยพออกนอกประเทศ: มีชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากขึ้นที่อพยพออกนอกประเทศ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ.
    แรงงานต่างชาติ: ซาอุดีอาระเบียพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และอาจเผชิญกับปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน.
    ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม:
    มลพิษทางอากาศ: ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตะวันออกกลาง.
    มลพิษทางดิน: การขุดเจาะน้ำมันและการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดมลพิษทางดิน.
    ปัญหาการขาดแคลนน้ำ: พื้นที่เพาะปลูกสามในสี่เสื่อมโทรม และประชากร 60% ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ.
    ปัญหาการใช้พลังงาน: การใช้เครื่องปรับอากาศปริมาณมากส่งผลต่อปัญหาการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก.
    ปัญหาภายในของซาอุดีอาระเบียมีหลากหลายประเด็นทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม. ปัญหาทางเศรษฐกิจรวมถึงการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันที่มากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ปัญหาสังคมรวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 และปัญหาการทุจริต. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมรวมถึงการขยายตัวของเมืองที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ มลพิษทางดิน และปัญหาการขาดแคลนน้ำ. รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาภายในซาอุดีอาระเบีย: ปัญหาทางเศรษฐกิจ: การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน: ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก แต่การพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณน้ำมันโลก. ขาดดุลงบประมาณ: ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงทำให้ซาอุดีอาระเบียประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณ. การกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ: ซาอุดีอาระเบียพยายามกระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่นผ่านโครงการวิสัยทัศน์ 2030. ปัญหาการทุจริต: มีรายงานการทุจริตในระบบราชการซาอุดีอาระเบีย. ปัญหาสังคม: ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ: ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในซาอุดีอาระเบีย. ความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030: บางกลุ่มมีความไม่พอใจต่อวิสัยทัศน์ 2030 ที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้. การอพยพออกนอกประเทศ: มีชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากขึ้นที่อพยพออกนอกประเทศ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ. แรงงานต่างชาติ: ซาอุดีอาระเบียพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และอาจเผชิญกับปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน. ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม: มลพิษทางอากาศ: ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตะวันออกกลาง. มลพิษทางดิน: การขุดเจาะน้ำมันและการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดมลพิษทางดิน. ปัญหาการขาดแคลนน้ำ: พื้นที่เพาะปลูกสามในสี่เสื่อมโทรม และประชากร 60% ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ. ปัญหาการใช้พลังงาน: การใช้เครื่องปรับอากาศปริมาณมากส่งผลต่อปัญหาการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' เผยวิสัยทัศน์ 'โรงพยาบาลของคนไทยทุกคน' สวย สะอาด หมอเก่ง รักษาเท่าเทียม เชิญชวนร่วมบริจาคจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์
    https://www.thai-tai.tv/news/18861/
    'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' เผยวิสัยทัศน์ 'โรงพยาบาลของคนไทยทุกคน' สวย สะอาด หมอเก่ง รักษาเท่าเทียม เชิญชวนร่วมบริจาคจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ https://www.thai-tai.tv/news/18861/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปประเด็นเด่นจากงาน Google I/O 2025: AI ครองโลก เทคโนโลยีสุดล้ำนำอนาคต

    เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา งาน Google I/O 2025 จัดขึ้นที่ Shoreline Amphitheatre รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมี ซันดาร์ พิชัย CEO ของ Google ขึ้นเวที keynote เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำที่เน้นหนักไปที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีแห่งอนาคต นี่คือประเด็นสำคัญที่ทุกคนต้องรู้!

    ✅ Gemini 2.5 และ AI Mode ใน Google Search
    - Google เปิดตัว Gemini 2.5 โมเดล AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อมประสิทธิภาพสูงขึ้น ความปลอดภัยที่ดีกว่า และความโปร่งใสในการใช้งาน ไฮไลต์เด็ดคือ AI Mode ใน Google Search ที่เปลี่ยนการค้นหาให้เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว สามารถตอบคำถามเชิงลึก รองรับการสนทนาต่อเนื่อง และมี Deep Search สำหรับงานวิจัยที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เริ่มใช้งานแล้วในสหรัฐอเมริกา

    ✅ Veo 3 และ Flow: การสร้างและตัดต่อวิดีโอด้วย AI
    Google นำเสนอ Veo 3 เครื่องมือสร้างวิดีโอที่สามารถเพิ่มบทสนทนาและเอฟเฟกต์เสียงได้อัตโนมัติ รวมถึง Flow เครื่องมือตัดต่อวิดีโอด้วย AI ที่ช่วยให้การปรับแต่งวิดีโอง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการงานคุณภาพสูงในเวลาอันสั้น

    ✅ Android XR และแว่นตาอัจฉริยะ
    Google ทุ่มสุดตัวกับ Android XR แพลตฟอร์มสำหรับอุปกรณ์ความจริงผสม (Mixed Reality) พร้อมเผยความคืบหน้าแว่นตาอัจฉริยะที่คาดว่าจะแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด งานนี้แสดงให้เห็นว่า Google พร้อมบุกตลาด XR อย่างจริงจัง

    ✅ Gemini Ultra และการสมัครสมาชิก
    เปิดตัว Gemini Ultra แผนการสมัครสมาชิกระดับพรีเมียม (ราคา $249.99/เดือน เฉพาะสหรัฐฯ) มอบการเข้าถึง AI ระดับสูงสุด รวมถึง Veo 3, Flow และ Gemini 2.5 Pro Deep Think Mode สำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก รวมถึงขยายขีดจำกัดการใช้งานเครื่องมืออย่าง NotebookLM และ Whisk (เครื่องมือรีมิกซ์ภาพ)

    ✅ Project Astra และ Jules: ผู้ช่วยและนักพัฒนา AI
    Project Astra ได้รับการอัปเดตให้ฉลาดขึ้น กลายเป็นผู้ช่วย AI สากลที่ผสานรวมกับบริการต่าง ๆ ของ Google ได้อย่างลงตัว ส่วน Jules คือ AI ตัวใหม่สำหรับนักพัฒนา ช่วยเขียนโค้ดแบบไม่ต้องรอ (asynchronous) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์

    ✅ Google Meet กับการแปลภาษาแบบเรียลไทม์
    Google Meet เพิ่มฟีเจอร์แปลภาษาเสียงแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การประชุมข้ามภาษาเป็นเรื่องง่าย สะท้อนความมุ่งมั่นของ Google ในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก

    ✅ Project Starline ก้าวสู่ความเป็นจริง
    Google ประกาศขยายความร่วมมือและวาง roadmap สำหรับ Project Starline ระบบสื่อสารแบบโฮโลแกรมที่ให้ประสบการณ์เหมือนเจอตัวจริง คาดว่าจะเริ่มใช้งานในวงกว้างเร็ว ๆ นี้
    วิเคราะห์ทิศทาง

    ℹ️ งาน Google I/O 2025 แสดงให้เห็นว่า Google เดินหน้าเต็มสูบกับ AI โดยเฉพาะ Gemini ที่แทรกซึมในทุกผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การค้นหาไปจนถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน ขณะที่ Android XR และ Project Starline บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ด้านฮาร์ดแวร์ที่พร้อมท้าชนคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม การที่ Google Assistant อาจถูกลดบทบาทเพื่อให้ Gemini ขึ้นมาแทน กลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตา

    งานนี้ไม่เพียงโชว์ศักยภาพด้านเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนว่า Google พร้อมเป็นผู้นำในยุค AI และความจริงผสม ใครที่สนใจนวัตกรรมเหล่านี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ io.google
    สรุปประเด็นเด่นจากงาน Google I/O 2025: AI ครองโลก เทคโนโลยีสุดล้ำนำอนาคต เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา งาน Google I/O 2025 จัดขึ้นที่ Shoreline Amphitheatre รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมี ซันดาร์ พิชัย CEO ของ Google ขึ้นเวที keynote เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำที่เน้นหนักไปที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีแห่งอนาคต นี่คือประเด็นสำคัญที่ทุกคนต้องรู้! ✅ Gemini 2.5 และ AI Mode ใน Google Search - Google เปิดตัว Gemini 2.5 โมเดล AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อมประสิทธิภาพสูงขึ้น ความปลอดภัยที่ดีกว่า และความโปร่งใสในการใช้งาน ไฮไลต์เด็ดคือ AI Mode ใน Google Search ที่เปลี่ยนการค้นหาให้เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว สามารถตอบคำถามเชิงลึก รองรับการสนทนาต่อเนื่อง และมี Deep Search สำหรับงานวิจัยที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เริ่มใช้งานแล้วในสหรัฐอเมริกา ✅ Veo 3 และ Flow: การสร้างและตัดต่อวิดีโอด้วย AI Google นำเสนอ Veo 3 เครื่องมือสร้างวิดีโอที่สามารถเพิ่มบทสนทนาและเอฟเฟกต์เสียงได้อัตโนมัติ รวมถึง Flow เครื่องมือตัดต่อวิดีโอด้วย AI ที่ช่วยให้การปรับแต่งวิดีโอง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการงานคุณภาพสูงในเวลาอันสั้น ✅ Android XR และแว่นตาอัจฉริยะ Google ทุ่มสุดตัวกับ Android XR แพลตฟอร์มสำหรับอุปกรณ์ความจริงผสม (Mixed Reality) พร้อมเผยความคืบหน้าแว่นตาอัจฉริยะที่คาดว่าจะแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด งานนี้แสดงให้เห็นว่า Google พร้อมบุกตลาด XR อย่างจริงจัง ✅ Gemini Ultra และการสมัครสมาชิก เปิดตัว Gemini Ultra แผนการสมัครสมาชิกระดับพรีเมียม (ราคา $249.99/เดือน เฉพาะสหรัฐฯ) มอบการเข้าถึง AI ระดับสูงสุด รวมถึง Veo 3, Flow และ Gemini 2.5 Pro Deep Think Mode สำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก รวมถึงขยายขีดจำกัดการใช้งานเครื่องมืออย่าง NotebookLM และ Whisk (เครื่องมือรีมิกซ์ภาพ) ✅ Project Astra และ Jules: ผู้ช่วยและนักพัฒนา AI Project Astra ได้รับการอัปเดตให้ฉลาดขึ้น กลายเป็นผู้ช่วย AI สากลที่ผสานรวมกับบริการต่าง ๆ ของ Google ได้อย่างลงตัว ส่วน Jules คือ AI ตัวใหม่สำหรับนักพัฒนา ช่วยเขียนโค้ดแบบไม่ต้องรอ (asynchronous) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ ✅ Google Meet กับการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ Google Meet เพิ่มฟีเจอร์แปลภาษาเสียงแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การประชุมข้ามภาษาเป็นเรื่องง่าย สะท้อนความมุ่งมั่นของ Google ในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก ✅ Project Starline ก้าวสู่ความเป็นจริง Google ประกาศขยายความร่วมมือและวาง roadmap สำหรับ Project Starline ระบบสื่อสารแบบโฮโลแกรมที่ให้ประสบการณ์เหมือนเจอตัวจริง คาดว่าจะเริ่มใช้งานในวงกว้างเร็ว ๆ นี้ วิเคราะห์ทิศทาง ℹ️ งาน Google I/O 2025 แสดงให้เห็นว่า Google เดินหน้าเต็มสูบกับ AI โดยเฉพาะ Gemini ที่แทรกซึมในทุกผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การค้นหาไปจนถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน ขณะที่ Android XR และ Project Starline บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ด้านฮาร์ดแวร์ที่พร้อมท้าชนคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม การที่ Google Assistant อาจถูกลดบทบาทเพื่อให้ Gemini ขึ้นมาแทน กลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตา งานนี้ไม่เพียงโชว์ศักยภาพด้านเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนว่า Google พร้อมเป็นผู้นำในยุค AI และความจริงผสม ใครที่สนใจนวัตกรรมเหล่านี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ io.google
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนทันยาฮู ตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว หลังจากมีแถลงการณ์ร่วมของอังกฤษ แคนาดา และฝรั่งเศส โดยปฏิเสธทำตามข้อเรียกร้องที่ให้หยุดการบุกโจมตีในฉนวนกาซา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังประกาศเดินหน้าบุกทำลายตามแผนการเพื่อเข้ายึดครองควบคุมฉนวนกาซาอย่างเต็มรูปแบบ

    นอกจากนี้ เนทันยาฮูยังประณามพวกเขาที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ และยังกล่าวอีกว่าการกระทำแบบนั้นเป็นเหมือนการมอบรางวัลใหญ่สำหรับให้กลุ่มฮามาส

    ขณะเดียวกัน เนทันยาฮูไม่ลืมที่จะอ้างถึงจำนวนผู้เสียชีวิต 1,200 คน จากการโจมตีอิสราเอลโดยกลุ่มฮามาส โดยเรียกว่านั่นคือการ "ล้างเผ่าพันธุ์ชาวอิสราเอล" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้าย

    เนทันยาฮูยังอ้างถึงสหรัฐ โดยกล่าวว่าสิ่งที่เขาทำเป็นส่วนหนึ่งของ "วิสัยทัศน์ของทรัมป์" ซึ่งคือการทำลายฮามาสให้สิ้นซาก และการควบคุมฉนวนกาซา
    เนทันยาฮู ตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว หลังจากมีแถลงการณ์ร่วมของอังกฤษ แคนาดา และฝรั่งเศส โดยปฏิเสธทำตามข้อเรียกร้องที่ให้หยุดการบุกโจมตีในฉนวนกาซา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังประกาศเดินหน้าบุกทำลายตามแผนการเพื่อเข้ายึดครองควบคุมฉนวนกาซาอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ เนทันยาฮูยังประณามพวกเขาที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ และยังกล่าวอีกว่าการกระทำแบบนั้นเป็นเหมือนการมอบรางวัลใหญ่สำหรับให้กลุ่มฮามาส ขณะเดียวกัน เนทันยาฮูไม่ลืมที่จะอ้างถึงจำนวนผู้เสียชีวิต 1,200 คน จากการโจมตีอิสราเอลโดยกลุ่มฮามาส โดยเรียกว่านั่นคือการ "ล้างเผ่าพันธุ์ชาวอิสราเอล" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้าย เนทันยาฮูยังอ้างถึงสหรัฐ โดยกล่าวว่าสิ่งที่เขาทำเป็นส่วนหนึ่งของ "วิสัยทัศน์ของทรัมป์" ซึ่งคือการทำลายฮามาสให้สิ้นซาก และการควบคุมฉนวนกาซา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..นี้คือวิสัยทัศน์ของคนได้มาเป็นผู้ปกครอง&ผู้นำ&ผู้มีอำนาจในประเทศเราล้วนๆ,และนั้นคือการรีเซ็ตระบบใหม่หมด ของการเล่าเรียนๆในประเทศเราทุกๆมิติ,เมื่อเราวางพื้นฐาน&รากฐานองค์ความรู้อย่างยอดเยี่ยม เราจะไม่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ,ส่วนการแตกไลน์แตกแขนงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแค่น้ำจิ้มๆแล้ว แทบไม่มีผลกระทบต่อฐานรากเราเลย,เพียงแก้ไขแก้ปมตามจุดตามข้อของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น เพราะมันไม่พลิกแบบก้าวกระโดดอะไรมากมายหรอก,สุดท้ายเป็นไปเพื่อตังนั้นล่ะ,หางานดีๆตำแหน่งดีๆก็มุ่งหมายตังสืบต่อแก่การใช้จ่าย&กินอยู่ในชีวิตประจำวันแค่นั้น,AIนำมาใช้ก็เพื่อมุ่งผลิตงานต่างๆตอบสนองคนๆเราให้ไปซื้อไปใช้ตัง&จ่ายให้คนทำคนผลิตจากAIได้กำไรทางตังทั้งนั้นล่ะ.เพราะแก่นหลักคือเอาAIมาทำตังมากๆไม่มีอะไรเลย,คนไม่ซื้อไม่ใช้บริการต่างๆจากAIผลิต แบนบริษัทกิจการที่ใช้งานAIมากกว่าคน ไม่ส่งเสริมคนคุณค่ามนุษย์บนประเทศไทย ประชาชนพากันแบนพากันเปิดโปงบริษัทกิจการทั่วโซเชียล ไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้า ไม่ไปใช้บริการในกิจการแม่กิจการสาขากิจการลูกเครือข่ายบริษัทแม่นั้นๆ กิจการนั้นพังแน่นอนในประเทศไทย บวกนโยบายรัฐเราเองคิดภาษีแบบทรัมป์ต่อกิจการโรงงานบริษัทที่ใช้AIนั้นเกินอัตราที่รัฐกำหนดมิให้เลิกจ้างสถานะมนุษย์เกิน95% เกินจะคิดภาษีทุกๆบริษัทกิจการในไทยทั้งหมดที่3,000%-5,000%แบบทรัมป์คิดภาษีบริษัทกิจการในไทยเช่นโรงงานจีนในไทยผลิตแผงแดดขาย ส่งไปอเมริกาทรัมป์คิดภาษีแผงแดดที่จะส่งมาขายในอเมริกาที่3,000%ถึง4,000%โน้น พะสาโรงงานกิจการ&บริษัทใดๆในไทย หากใช้AIจักรกลเกินอัตราที่กำหนดไม่เกิน5%ก็ฟันภาษีที่3,000%-4,000%ได้,เพื่อเฉลี่ยชดเชยในการเลี้ยงดูเยียวยาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยเราเอง,นี้ก็คือผู้นำไทยเราต้องกล้าหาญต่อโลกจะมากระทำกระทบตนขนาดปรับปรังพัฒนาการตนหรือวิวัฒนาการนำพาชาติไทยเข้าสู่ยุคใหม่,กำแพงสงครามปกป้อง&ป้องกันประเภทภายในตนเองก็ว่า,ยังไม่เกี่ยวกับกระบวนการศึกษาและการจ้างงานจัดการบริหารเนื้อตำแหน่งงานองค์รวมของประเทศไทยเรานะ.

    https://m.youtube.com/watch?v=UkLQT11Li9Q
    ..นี้คือวิสัยทัศน์ของคนได้มาเป็นผู้ปกครอง&ผู้นำ&ผู้มีอำนาจในประเทศเราล้วนๆ,และนั้นคือการรีเซ็ตระบบใหม่หมด ของการเล่าเรียนๆในประเทศเราทุกๆมิติ,เมื่อเราวางพื้นฐาน&รากฐานองค์ความรู้อย่างยอดเยี่ยม เราจะไม่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ,ส่วนการแตกไลน์แตกแขนงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแค่น้ำจิ้มๆแล้ว แทบไม่มีผลกระทบต่อฐานรากเราเลย,เพียงแก้ไขแก้ปมตามจุดตามข้อของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น เพราะมันไม่พลิกแบบก้าวกระโดดอะไรมากมายหรอก,สุดท้ายเป็นไปเพื่อตังนั้นล่ะ,หางานดีๆตำแหน่งดีๆก็มุ่งหมายตังสืบต่อแก่การใช้จ่าย&กินอยู่ในชีวิตประจำวันแค่นั้น,AIนำมาใช้ก็เพื่อมุ่งผลิตงานต่างๆตอบสนองคนๆเราให้ไปซื้อไปใช้ตัง&จ่ายให้คนทำคนผลิตจากAIได้กำไรทางตังทั้งนั้นล่ะ.เพราะแก่นหลักคือเอาAIมาทำตังมากๆไม่มีอะไรเลย,คนไม่ซื้อไม่ใช้บริการต่างๆจากAIผลิต แบนบริษัทกิจการที่ใช้งานAIมากกว่าคน ไม่ส่งเสริมคนคุณค่ามนุษย์บนประเทศไทย ประชาชนพากันแบนพากันเปิดโปงบริษัทกิจการทั่วโซเชียล ไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้า ไม่ไปใช้บริการในกิจการแม่กิจการสาขากิจการลูกเครือข่ายบริษัทแม่นั้นๆ กิจการนั้นพังแน่นอนในประเทศไทย บวกนโยบายรัฐเราเองคิดภาษีแบบทรัมป์ต่อกิจการโรงงานบริษัทที่ใช้AIนั้นเกินอัตราที่รัฐกำหนดมิให้เลิกจ้างสถานะมนุษย์เกิน95% เกินจะคิดภาษีทุกๆบริษัทกิจการในไทยทั้งหมดที่3,000%-5,000%แบบทรัมป์คิดภาษีบริษัทกิจการในไทยเช่นโรงงานจีนในไทยผลิตแผงแดดขาย ส่งไปอเมริกาทรัมป์คิดภาษีแผงแดดที่จะส่งมาขายในอเมริกาที่3,000%ถึง4,000%โน้น พะสาโรงงานกิจการ&บริษัทใดๆในไทย หากใช้AIจักรกลเกินอัตราที่กำหนดไม่เกิน5%ก็ฟันภาษีที่3,000%-4,000%ได้,เพื่อเฉลี่ยชดเชยในการเลี้ยงดูเยียวยาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยเราเอง,นี้ก็คือผู้นำไทยเราต้องกล้าหาญต่อโลกจะมากระทำกระทบตนขนาดปรับปรังพัฒนาการตนหรือวิวัฒนาการนำพาชาติไทยเข้าสู่ยุคใหม่,กำแพงสงครามปกป้อง&ป้องกันประเภทภายในตนเองก็ว่า,ยังไม่เกี่ยวกับกระบวนการศึกษาและการจ้างงานจัดการบริหารเนื้อตำแหน่งงานองค์รวมของประเทศไทยเรานะ. https://m.youtube.com/watch?v=UkLQT11Li9Q
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามล่าหา 'ดาวเหนือ'
    ด๋องรู้สึกเหมือนกำลังพายเรืออยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไร้จุดหมาย
    แต่ละวันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงเฉื่อย เขาลุกไปทำงานเพียงเพราะ "ต้องทำ" ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน
    งานที่ทำก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหมายหรือความรักที่จะทำ มันเป็นแค่การทำตามคำสั่งไปวันๆ
    เหมือนเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ หมุนไปตามแรงขับเคลื่อนของคนอื่น โดยไม่รู้เลยว่าปลายทางคือที่ใด
    เขาเคยได้ยินคำว่า "ดาวเหนือ" มาบ้าง ในฐานะสัญลักษณ์ของแรงบันดาลใจและเข็มทิศชีวิต
    แต่สำหรับด๋อง คำนี้ดูห่างไกลเหลือเกิน มันเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในโลกอุดมคติ ที่ไม่มีอยู่จริงในชีวิตการทำงานอันแสนธรรมดาของเขา
    .
    วันหนึ่ง จุดเปลี่ยนเล็กๆ ก็มาถึง เมื่อหัวหน้ามอบหมายโปรเจกต์หนึ่งให้
    มันเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความละเอียดสูง และดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำ เพราะมันทั้งน่าเบื่อและซ้ำซาก
    เพื่อนร่วมงานหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่ด๋องเลือกที่จะรับมันไว้โดยไม่ปริปากบ่น
    ในหัวคิดเพียงแค่ว่า "ก็ต้องทำ" ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำให้เสร็จไป
    ด๋องทุ่มเทเวลาหลายสัปดาห์ให้กับโปรเจกต์นี้ อาศัยเพียง "เครื่องมือ" ที่มี ความรู้พื้นฐานที่ร่ำเรียนมา และความอึดเข้าแลก
    เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเลขและเอกสาร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทีละจุด แม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่างานนี้จะนำไปสู่สิ่งใด
    .
    วันนำเสนอผลงานมาถึง
    ด๋องยืนอยู่หน้าห้องประชุม นำเสนอสิ่งที่เขาได้ทำลงไปอย่างละเอียด ทั้งขั้นตอน ปัญหาที่พบ และวิธีแก้ไขแบบตามตำรา
    หัวหน้าและผู้ใหญ่ในห้องพยักหน้าพอใจในความเรียบร้อยและครบถ้วนตามที่มอบหมาย
    โปรเจกต์นี้ "สำเร็จ" ในสายตาของทุกคน และด๋องก็ได้รับคำชมตามระเบียบ
    แต่เมื่อเดินออกจากห้องประชุม แสงแดดยามบ่ายกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเลย
    ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นความว่างเปล่าที่กัดกินข้างใน
    เหมือนเพิ่งปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าตัวเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้แหงนมองวิวทิวทัศน์ระหว่างทางเลย
    "นี่คือทั้งหมดแล้วเหรอ?" คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจ "ชีวิตการทำงานมีแค่นี้เองเหรอ? แค่ทำสิ่งที่ 'ต้องทำ' ให้ดีที่สุด แล้วก็รู้สึกว่างเปล่าแบบนี้?"
    .
    ความว่างเปล่าครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันเงียบๆ ให้ด๋องเริ่มมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป
    เขาเริ่มหยิบหนังสือพัฒนาตนเองที่เคยเมินเฉยขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่คราวนี้อ่านด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
    ไม่ได้อ่านเพื่อหาสูตรสำเร็จ แต่เพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกสับสนภายในใจของตัวเอง
    เขาได้อ่านเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ดูเหมือนจะมี "ดาวเหนือ" เป็นของตัวเอง ส่องนำทางชีวิตและการทำงาน
    ด๋องเริ่ม "มองแบบอย่าง" จากคนเหล่านั้น ไม่ใช่การเลียนแบบภายนอก แต่พยายามทำความเข้าใจความคิด "เจตนา" และคุณค่าที่ขับเคลื่อนพวกเขา
    เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า นอกจากการ "ต้องทำ" แล้ว มีอะไรที่เขา "อยากจะทำ" กันแน่? และต้อง "จำเป็นต้องทำ" อะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น?
    .
    ไม่นานหลังจากนั้น ด๋องได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปของบริษัทเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร
    เขาได้ฟังเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ฟังความฝันของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่างๆ
    เหมือนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน
    ด๋องเริ่มเข้าใจว่างานเล็กๆ ที่เขาทำ อาจมีความเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเขาก็พบว่ามีบางประเด็นใน "วิสัยทัศน์ร่วม" นั้นที่สอดคล้องกับสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจว่าเขา "อยากจะทำ"
    เขาตัดสินใจเริ่มต้นโปรเจกต์เล็กๆ นอกเหนือจากงานประจำ เป็นโปรเจกต์ที่เกิดจากความสนใจส่วนตัวและความตั้งใจที่อยากเห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
    ครั้งนี้ ด๋องมี "เจตนา" ที่ชัดเจนในการลงมือทำ เขาพยายาม "จัดแนว" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับ "ดาวเหนือ" ที่เริ่มส่องแสงประกายอ่อนๆ ให้เห็น
    .
    เส้นทางของโปรเจกต์ใหม่นี้ไม่ได้ราบรื่นเลย
    เขาต้องเผชิญกับความไม่รู้ ต้องกล้าก้าวออกจาก comfort zone ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วย
    อุปสรรคถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งปัญหาที่ไม่คาดคิด ความผิดพลาดจากการลองผิดลองถูก
    แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ใจกลับเต็มไปด้วยพลังและความตื่นเต้น
    เขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคือการเรียนรู้ เขาไม่ได้ทำเพราะ "ต้องทำ" แต่ทำเพราะ "อยากทำ" และเริ่มรู้สึก "ชอบ" กระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์นี้จริงๆ
    ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือตอนที่ทีมเล็กๆ ของเขา (ซึ่งรวมตัวกันด้วย "วิสัยทัศน์ร่วม") ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่มากจนเกือบต้องยอมแพ้
    .
    แทนที่จะท้อถอย ด๋องกลับรู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็น ที่ผลักดันให้สู้ต่อไป
    เขาไม่ได้สู้แค่คนเดียว แต่สู้ไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ด้วย "เจตนา" และ "วิสัยทัศน์ร่วม" ที่ชัดเจน
    พวกเขาช่วยกันระดมสมอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับตัวอย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ (Unconscious to Conscious Learning)
    ในที่สุด พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นั้นไปได้สำเร็จ ไม่ใช่ด้วยเครื่องมือวิเศษ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ร่วมกัน
    ความรู้สึกหลังจากการฝ่าฟันครั้งนี้นั้นแตกต่างจากครั้งแรกราวฟ้ากับเหว
    มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ทำในสิ่งที่เชื่อ ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง และได้เติบโตผ่านความท้าทายร่วมกับทีม
    เมื่อมองย้อนกลับไปที่โปรเจกต์แรกที่เคยทำด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
    .
    วันนี้เขาเพิ่งได้เรียนรู้ว่า งาน "น่าเบื่อ" และ "ซ้ำซาก" ที่เขาทำไปเพราะ "ต้องทำ" ในวันนั้น
    ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จไปวันๆ
    แต่มันคือบททดสอบและบทฝึกฝนที่สำคัญยิ่งยวด
    งานนั้นได้สร้างและลับคม "เครื่องมือ" ที่จำเป็นที่สุดให้เขา นั่นคือ ความอดทน ความละเอียดรอบคอบ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
    ทักษะพื้นฐานเหล่านี้เองที่กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง
    ที่ทำให้เขามีความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่ามากในโปรเจกต์ที่สอง
    โปรเจกต์ที่เป็นสิ่งที่เขา "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง
    เรื่องราวของด๋องสอนเราว่า เส้นทางสู่การค้นพบสิ่งที่ "รักที่จะทำ" นั้น
    มักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
    บางครั้งเราต้องผ่านช่วงเวลาของการ "ต้องทำ" ในสิ่งที่เราอาจยังไม่เห็นคุณค่าหรือความหมายในทันที
    แต่งานเหล่านั้น หากเรามี "เจตนา" ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
    จะช่วยสร้าง "เครื่องมือ" และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง
    ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้นจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เราคว้าโอกาสและเอาชนะอุปสรรคได้
    .
    การออกตามหา "ดาวเหนือ" ไม่ใช่แค่การมองหาแรงบันดาลใจจากภายนอก
    แต่คือกระบวนการภายในของการทำความเข้าใจตัวเอง การมองหาแบบอย่างที่ดี การตั้ง "เจตนา" ที่ชัดเจน
    และการ "จัดแนว (Align)" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับเป้าหมายและคุณค่าที่เรายึดมั่น
    และที่สำคัญที่สุด คือการค่อยๆ เปลี่ยนจาก mindset ที่ทำเพราะ "ต้องทำ"
    ไปสู่การได้ทำในสิ่งที่ "อยากทำ", "จำเป็นต้องทำ", "ชอบที่จะทำ"
    และท้ายที่สุดคือการได้ทำในสิ่งที่ "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง
    เพราะเมื่อใดที่เราได้ทำในสิ่งที่รักและมีความหมาย
    แม้ต้องเผชิญความยากลำบากใดๆ เราก็จะพบกับความอิ่มเอมใจที่แท้จริง
    และความหมายที่ลึกซึ้งในงานที่เราทำ เช่นเดียวกับที่ด๋องได้ค้นพบในที่สุด

    www.10x-consulting.com
    ตามล่าหา 'ดาวเหนือ' ด๋องรู้สึกเหมือนกำลังพายเรืออยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไร้จุดหมาย แต่ละวันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงเฉื่อย เขาลุกไปทำงานเพียงเพราะ "ต้องทำ" ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน งานที่ทำก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหมายหรือความรักที่จะทำ มันเป็นแค่การทำตามคำสั่งไปวันๆ เหมือนเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ หมุนไปตามแรงขับเคลื่อนของคนอื่น โดยไม่รู้เลยว่าปลายทางคือที่ใด เขาเคยได้ยินคำว่า "ดาวเหนือ" มาบ้าง ในฐานะสัญลักษณ์ของแรงบันดาลใจและเข็มทิศชีวิต แต่สำหรับด๋อง คำนี้ดูห่างไกลเหลือเกิน มันเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในโลกอุดมคติ ที่ไม่มีอยู่จริงในชีวิตการทำงานอันแสนธรรมดาของเขา . วันหนึ่ง จุดเปลี่ยนเล็กๆ ก็มาถึง เมื่อหัวหน้ามอบหมายโปรเจกต์หนึ่งให้ มันเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความละเอียดสูง และดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำ เพราะมันทั้งน่าเบื่อและซ้ำซาก เพื่อนร่วมงานหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่ด๋องเลือกที่จะรับมันไว้โดยไม่ปริปากบ่น ในหัวคิดเพียงแค่ว่า "ก็ต้องทำ" ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำให้เสร็จไป ด๋องทุ่มเทเวลาหลายสัปดาห์ให้กับโปรเจกต์นี้ อาศัยเพียง "เครื่องมือ" ที่มี ความรู้พื้นฐานที่ร่ำเรียนมา และความอึดเข้าแลก เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเลขและเอกสาร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทีละจุด แม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่างานนี้จะนำไปสู่สิ่งใด . วันนำเสนอผลงานมาถึง ด๋องยืนอยู่หน้าห้องประชุม นำเสนอสิ่งที่เขาได้ทำลงไปอย่างละเอียด ทั้งขั้นตอน ปัญหาที่พบ และวิธีแก้ไขแบบตามตำรา หัวหน้าและผู้ใหญ่ในห้องพยักหน้าพอใจในความเรียบร้อยและครบถ้วนตามที่มอบหมาย โปรเจกต์นี้ "สำเร็จ" ในสายตาของทุกคน และด๋องก็ได้รับคำชมตามระเบียบ แต่เมื่อเดินออกจากห้องประชุม แสงแดดยามบ่ายกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเลย ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นความว่างเปล่าที่กัดกินข้างใน เหมือนเพิ่งปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าตัวเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้แหงนมองวิวทิวทัศน์ระหว่างทางเลย "นี่คือทั้งหมดแล้วเหรอ?" คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจ "ชีวิตการทำงานมีแค่นี้เองเหรอ? แค่ทำสิ่งที่ 'ต้องทำ' ให้ดีที่สุด แล้วก็รู้สึกว่างเปล่าแบบนี้?" . ความว่างเปล่าครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันเงียบๆ ให้ด๋องเริ่มมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป เขาเริ่มหยิบหนังสือพัฒนาตนเองที่เคยเมินเฉยขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่คราวนี้อ่านด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ไม่ได้อ่านเพื่อหาสูตรสำเร็จ แต่เพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกสับสนภายในใจของตัวเอง เขาได้อ่านเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ดูเหมือนจะมี "ดาวเหนือ" เป็นของตัวเอง ส่องนำทางชีวิตและการทำงาน ด๋องเริ่ม "มองแบบอย่าง" จากคนเหล่านั้น ไม่ใช่การเลียนแบบภายนอก แต่พยายามทำความเข้าใจความคิด "เจตนา" และคุณค่าที่ขับเคลื่อนพวกเขา เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า นอกจากการ "ต้องทำ" แล้ว มีอะไรที่เขา "อยากจะทำ" กันแน่? และต้อง "จำเป็นต้องทำ" อะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น? . ไม่นานหลังจากนั้น ด๋องได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปของบริษัทเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร เขาได้ฟังเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ฟังความฝันของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่างๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน ด๋องเริ่มเข้าใจว่างานเล็กๆ ที่เขาทำ อาจมีความเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเขาก็พบว่ามีบางประเด็นใน "วิสัยทัศน์ร่วม" นั้นที่สอดคล้องกับสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจว่าเขา "อยากจะทำ" เขาตัดสินใจเริ่มต้นโปรเจกต์เล็กๆ นอกเหนือจากงานประจำ เป็นโปรเจกต์ที่เกิดจากความสนใจส่วนตัวและความตั้งใจที่อยากเห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ครั้งนี้ ด๋องมี "เจตนา" ที่ชัดเจนในการลงมือทำ เขาพยายาม "จัดแนว" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับ "ดาวเหนือ" ที่เริ่มส่องแสงประกายอ่อนๆ ให้เห็น . เส้นทางของโปรเจกต์ใหม่นี้ไม่ได้ราบรื่นเลย เขาต้องเผชิญกับความไม่รู้ ต้องกล้าก้าวออกจาก comfort zone ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วย อุปสรรคถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งปัญหาที่ไม่คาดคิด ความผิดพลาดจากการลองผิดลองถูก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ใจกลับเต็มไปด้วยพลังและความตื่นเต้น เขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคือการเรียนรู้ เขาไม่ได้ทำเพราะ "ต้องทำ" แต่ทำเพราะ "อยากทำ" และเริ่มรู้สึก "ชอบ" กระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์นี้จริงๆ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือตอนที่ทีมเล็กๆ ของเขา (ซึ่งรวมตัวกันด้วย "วิสัยทัศน์ร่วม") ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่มากจนเกือบต้องยอมแพ้ . แทนที่จะท้อถอย ด๋องกลับรู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็น ที่ผลักดันให้สู้ต่อไป เขาไม่ได้สู้แค่คนเดียว แต่สู้ไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ด้วย "เจตนา" และ "วิสัยทัศน์ร่วม" ที่ชัดเจน พวกเขาช่วยกันระดมสมอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับตัวอย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ (Unconscious to Conscious Learning) ในที่สุด พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นั้นไปได้สำเร็จ ไม่ใช่ด้วยเครื่องมือวิเศษ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ร่วมกัน ความรู้สึกหลังจากการฝ่าฟันครั้งนี้นั้นแตกต่างจากครั้งแรกราวฟ้ากับเหว มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ทำในสิ่งที่เชื่อ ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง และได้เติบโตผ่านความท้าทายร่วมกับทีม เมื่อมองย้อนกลับไปที่โปรเจกต์แรกที่เคยทำด้วยความรู้สึกว่างเปล่า . วันนี้เขาเพิ่งได้เรียนรู้ว่า งาน "น่าเบื่อ" และ "ซ้ำซาก" ที่เขาทำไปเพราะ "ต้องทำ" ในวันนั้น ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จไปวันๆ แต่มันคือบททดสอบและบทฝึกฝนที่สำคัญยิ่งยวด งานนั้นได้สร้างและลับคม "เครื่องมือ" ที่จำเป็นที่สุดให้เขา นั่นคือ ความอดทน ความละเอียดรอบคอบ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทักษะพื้นฐานเหล่านี้เองที่กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง ที่ทำให้เขามีความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่ามากในโปรเจกต์ที่สอง โปรเจกต์ที่เป็นสิ่งที่เขา "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง เรื่องราวของด๋องสอนเราว่า เส้นทางสู่การค้นพบสิ่งที่ "รักที่จะทำ" นั้น มักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บางครั้งเราต้องผ่านช่วงเวลาของการ "ต้องทำ" ในสิ่งที่เราอาจยังไม่เห็นคุณค่าหรือความหมายในทันที แต่งานเหล่านั้น หากเรามี "เจตนา" ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง จะช่วยสร้าง "เครื่องมือ" และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้นจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เราคว้าโอกาสและเอาชนะอุปสรรคได้ . การออกตามหา "ดาวเหนือ" ไม่ใช่แค่การมองหาแรงบันดาลใจจากภายนอก แต่คือกระบวนการภายในของการทำความเข้าใจตัวเอง การมองหาแบบอย่างที่ดี การตั้ง "เจตนา" ที่ชัดเจน และการ "จัดแนว (Align)" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับเป้าหมายและคุณค่าที่เรายึดมั่น และที่สำคัญที่สุด คือการค่อยๆ เปลี่ยนจาก mindset ที่ทำเพราะ "ต้องทำ" ไปสู่การได้ทำในสิ่งที่ "อยากทำ", "จำเป็นต้องทำ", "ชอบที่จะทำ" และท้ายที่สุดคือการได้ทำในสิ่งที่ "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง เพราะเมื่อใดที่เราได้ทำในสิ่งที่รักและมีความหมาย แม้ต้องเผชิญความยากลำบากใดๆ เราก็จะพบกับความอิ่มเอมใจที่แท้จริง และความหมายที่ลึกซึ้งในงานที่เราทำ เช่นเดียวกับที่ด๋องได้ค้นพบในที่สุด www.10x-consulting.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี่ทีมเต็งชิงนายกเล็กเมืองโคราช แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย
    .
    วันพุธที่ 23 เมษายน 2568 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาจัดเวทีให้สี่ผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ได้แก่ เบอร์ 1 นายพงษ์ยุทธ สุภัทรวณิชย์ จากพรรคประชาชน, เบอร์ 2 นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ทีมโคราชชาติพัฒนา, เบอร์ 3 นายมารุต ชุ่มขุนทด ผู้สมัครอิสระ, และ นายอดุลย์ อยู่ยืน ทีมรวมพลังเทศบาล แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย คนละ 20 นาที ณ ห้องประชุม Mini Hall ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช
    สี่ทีมเต็งชิงนายกเล็กเมืองโคราช แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย . วันพุธที่ 23 เมษายน 2568 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาจัดเวทีให้สี่ผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ได้แก่ เบอร์ 1 นายพงษ์ยุทธ สุภัทรวณิชย์ จากพรรคประชาชน, เบอร์ 2 นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ทีมโคราชชาติพัฒนา, เบอร์ 3 นายมารุต ชุ่มขุนทด ผู้สมัครอิสระ, และ นายอดุลย์ อยู่ยืน ทีมรวมพลังเทศบาล แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย คนละ 20 นาที ณ ห้องประชุม Mini Hall ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี่ทีมเต็งชิงนายกเล็กเมืองโคราช แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย
    .
    วันพุธที่ 23 เมษายน 2568 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาจัดเวทีให้สี่ผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ได้แก่ เบอร์ 1 นายพงษ์ยุทธ สุภัทรวณิชย์ จากพรรคประชาชน, เบอร์ 2 นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ทีมโคราชชาติพัฒนา, เบอร์ 3 นายมารุต ชุ่มขุนทด ผู้สมัครอิสระ, และ นายอดุลย์ อยู่ยืน ทีมรวมพลังเทศบาล แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย คนละ 20 นาที ณ ห้องประชุม Mini Hall ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช
    สี่ทีมเต็งชิงนายกเล็กเมืองโคราช แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย . วันพุธที่ 23 เมษายน 2568 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาจัดเวทีให้สี่ผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ได้แก่ เบอร์ 1 นายพงษ์ยุทธ สุภัทรวณิชย์ จากพรรคประชาชน, เบอร์ 2 นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ทีมโคราชชาติพัฒนา, เบอร์ 3 นายมารุต ชุ่มขุนทด ผู้สมัครอิสระ, และ นายอดุลย์ อยู่ยืน ทีมรวมพลังเทศบาล แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย คนละ 20 นาที ณ ห้องประชุม Mini Hall ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • 9 ปี สิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” 🐉 มังกรสุพรรณ นายกฯ ผู้สร้างเมืองด้วยมือปลาไหลใส่สเก็ต รวยอันดับสอง รองจากทักษิณ ชายผู้พลิกเมือง “สุพรรณบุรี” จนกลายเป็น “บรรหารบุรี”

    📅 เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 แวดวงการเมืองไทย ต้องพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 ถึงแก่อนิจกรรมด้วยภาวะภูมิแพ้ และหอบหืดกำเริบ ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ รวมอายุได้ 83 ปี 247 วัน

    แม้เวลาจะผ่านมา 9 ปี แต่ชื่อของบรรหารก็ยังคงดังก้อง ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งในฐานะนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล นายกฯ ที่สู้จนได้เป็นผู้นำประเทศ และ “เจ้าพ่อเมืองสุพรรณ” ผู้ปั้นเมืองทั้งเมืองด้วยความตั้งใจ และสายสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นหนา

    🧠 จะพาคุณย้อนรอยชีวิต และผลงานของชายผู้ได้ฉายาว่า “ปลาไหลใส่สเก็ต” อย่างบรรหาร พร้อมเจาะลึกทุกมิติที่ควรรู้ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมรดกที่ทิ้งไว้ให้เมืองสุพรรณบุรี 🇹🇭

    👦 ชีวิตวัยเด็กของ "เต็กเซียง แซ่เบ๊" เด็กชายแห่งท่าพี่เลี้ยง บรรหารเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีชื่อเดิมว่า “เต็กเซียง แซ่เบ๊” (馬德祥)

    👨‍👩‍👧‍👦 เป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คน ของครอบครัวชาวจีนแต้จิ๋ว ที่ทำธุรกิจร้านขายสิ่งทอชื่อ “ย่งหยูฮง” พ่อแม่คือ "เซ่งกิม" และ "สายเอ็ง แซ่เบ๊" ซึ่งปลูกฝังความขยันขันแข็ง และแนวคิดแบบพ่อค้า ให้แก่บรรหารตั้งแต่วัยเยาว์

    แม้จะเรียนถึงแค่ระดับมัธยมต้น ที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่ต้องหยุดเรียนเพราะสงครามโลก ครั้งที่สอง จึงเลือกเดินทางสายนักธุรกิจ สร้างฐานะด้วยตนเองจากงานรับเหมาก่อสร้าง จนในที่สุดกลายเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้ก่อตั้งบริษัทมากมาย เช่น

    🏗️ บริษัทสหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด
    ⚗️ บริษัทบี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
    🧪 บริษัทคอสติกไทย จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์

    จากเด็กชายในเมืองเล็ก ๆ สู่เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ และผู้นำประเทศ บรรหารถือเป็นตัวอย่าง ของคนที่สร้างทุกอย่างจากศูนย์ 💪

    🏛️ ก้าวแรกสู่การเมือง จากเทศบาลเมือง สู่สภาผู้แทนราษฎร เส้นทางการเมืองของบรรหาร เริ่มต้นในฐานะ “สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี” จากการแต่งตั้งในปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2518 และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุพรรณบุรีในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเขาชนะทุกครั้งที่ลงสมัคร รวมทั้งสิ้น 11 สมัย! 🗳️

    🏆 จากพลังแห่งความนิยมในพื้นที่สุพรรณบุรี บรรหารก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 🚆

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🏢

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 🌾

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 💰

    บรรหารได้รับสมญานามว่า “มังกรสุพรรณ” ด้วยพลังในการควบคุมพื้นที่อย่างแน่นหนา และ “ปลาไหลใส่สเก็ต” ด้วยสไตล์ทางการเมือง ที่ลื่นไหลยืดหยุ่น

    👑 สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 📌 ปี พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    🎯 ผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นในรัฐบาลบรรหาร ได้แก่ ริเริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540, เป็นเจ้าภาพ ASEM และ ASEAN Summitm การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่เชียงใหม่, การจัดงานเกษตรอุตสาหกรรมโลก WORLDTECH’95 และการตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

    แม้การบริหารของบรรหาร ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องยุบสภาในปี พ.ศ. 2539 แต่ผลงานจำนวนมาก ก็ยังถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบัน

    💸 รวยจริง ไม่ต้องโชว์ บรรหารกับทรัพย์สินมหาศาล 📈 จากรายงานของสำนักข่าวอิศรา “บรรหาร” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “นายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด เป็นอันดับ 2” รองจาก “ทักษิณ ชินวัตร” โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจาก

    ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 🏗️

    ธุรกิจเคมีภัณฑ์ 📦

    อสังหาริมทรัพย์ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด 🏢

    ของสะสม เช่น พระเครื่อง นาฬิกาหรู รถยนต์หรู ⌚🚗

    แต่สิ่งที่ทำให้บรรหาร ได้รับความเคารพคือ “การใช้เงินเป็น” ไม่ใช่ “โชว์หรู” ใช้ทรัพย์สินเพื่อพัฒนา ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์

    🌸 มรดกที่ทิ้งไว้ "บรรหารบุรี" เมืองต้นแบบของจังหวัดนิยม เมืองสุพรรณบุรีในวันนี้ กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบ “จังหวัดนิยม” (Provincial Identity) ซึ่งนักวิชาการญี่ปุ่น "Yoshinori Nishizaki" อธิบายไว้ชัดเจนว่า

    “บรรหารสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้เมือง ผ่านโครงการต่างๆ ที่จับต้องได้จริง จนกลายเป็นแรงศรัทธาทางการเมือง”

    🧱 ตัวอย่างผลงานในสุพรรณบุรี เช่น หอคอยเมืองสุพรรณ, ถนนคุณภาพระดับประเทศ, โรงเรียนบรรหารแจ่มใส, โรงพยาบาล, ศูนย์ราชการรวมศูนย์, พิพิธภัณฑ์, หอเกียรติยศ และศาลหลักเมือง

    สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนมองเห็นว่า “นักการเมืองที่ดี” คือคนที่ “พัฒนาชุมชน” ไม่ใช่แค่พูดสวยหรูบนเวที

    📌 บทเรียนจากชีวิตบรรหาร สัจจะ และกตัญญู หากถามถึงคุณธรรมสำคัญในชีวิตของบรรหาร มีอยู่ 2 คำ ที่บรรหารยึดมั่นเสมอ คือ

    “สัจจะ” คำพูดต้องรักษาให้ได้

    “กตัญญู” ต่อบ้านเกิด และผู้มีพระคุณ

    นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อของบรรหาร ยังถูกพูดถึงแม้เวลาผ่านไปหลายปี และยังเป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้ศึกษาเรียนรู้

    📜 มังกรสุพรรณ ผู้ล่องด้วยสัจจะ "บรรหาร ศิลปอาชา" ไม่ใช่แค่ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แต่คือชายที่หล่อหลอมเมืองสุพรรณบุรี ให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 🐉

    จากชายที่เกิดในครอบครัวพ่อค้า สู่ผู้พัฒนาจังหวัดด้วยวิสัยทัศน์

    จากนักธุรกิจที่สร้างตัวเอง สู่ผู้นำที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย 🇹🇭

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231016 เม.ย. 2568

    🔖 #บรรหารศิลปอาชา #นายกรัฐมนตรีไทย #มังกรสุพรรณ #บรรหารบุรี #ปลาไหลใส่สเก็ต #สุพรรณบุรี #การเมืองไทย #พัฒนาท้องถิ่น #จังหวัดนิยม #บุคคลสำคัญ
    9 ปี สิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” 🐉 มังกรสุพรรณ นายกฯ ผู้สร้างเมืองด้วยมือปลาไหลใส่สเก็ต รวยอันดับสอง รองจากทักษิณ ชายผู้พลิกเมือง “สุพรรณบุรี” จนกลายเป็น “บรรหารบุรี” 📅 เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 แวดวงการเมืองไทย ต้องพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 ถึงแก่อนิจกรรมด้วยภาวะภูมิแพ้ และหอบหืดกำเริบ ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ รวมอายุได้ 83 ปี 247 วัน แม้เวลาจะผ่านมา 9 ปี แต่ชื่อของบรรหารก็ยังคงดังก้อง ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งในฐานะนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล นายกฯ ที่สู้จนได้เป็นผู้นำประเทศ และ “เจ้าพ่อเมืองสุพรรณ” ผู้ปั้นเมืองทั้งเมืองด้วยความตั้งใจ และสายสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นหนา 🧠 จะพาคุณย้อนรอยชีวิต และผลงานของชายผู้ได้ฉายาว่า “ปลาไหลใส่สเก็ต” อย่างบรรหาร พร้อมเจาะลึกทุกมิติที่ควรรู้ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมรดกที่ทิ้งไว้ให้เมืองสุพรรณบุรี 🇹🇭 👦 ชีวิตวัยเด็กของ "เต็กเซียง แซ่เบ๊" เด็กชายแห่งท่าพี่เลี้ยง บรรหารเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีชื่อเดิมว่า “เต็กเซียง แซ่เบ๊” (馬德祥) 👨‍👩‍👧‍👦 เป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คน ของครอบครัวชาวจีนแต้จิ๋ว ที่ทำธุรกิจร้านขายสิ่งทอชื่อ “ย่งหยูฮง” พ่อแม่คือ "เซ่งกิม" และ "สายเอ็ง แซ่เบ๊" ซึ่งปลูกฝังความขยันขันแข็ง และแนวคิดแบบพ่อค้า ให้แก่บรรหารตั้งแต่วัยเยาว์ แม้จะเรียนถึงแค่ระดับมัธยมต้น ที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่ต้องหยุดเรียนเพราะสงครามโลก ครั้งที่สอง จึงเลือกเดินทางสายนักธุรกิจ สร้างฐานะด้วยตนเองจากงานรับเหมาก่อสร้าง จนในที่สุดกลายเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้ก่อตั้งบริษัทมากมาย เช่น 🏗️ บริษัทสหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด ⚗️ บริษัทบี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 🧪 บริษัทคอสติกไทย จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์ จากเด็กชายในเมืองเล็ก ๆ สู่เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ และผู้นำประเทศ บรรหารถือเป็นตัวอย่าง ของคนที่สร้างทุกอย่างจากศูนย์ 💪 🏛️ ก้าวแรกสู่การเมือง จากเทศบาลเมือง สู่สภาผู้แทนราษฎร เส้นทางการเมืองของบรรหาร เริ่มต้นในฐานะ “สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี” จากการแต่งตั้งในปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2518 และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุพรรณบุรีในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเขาชนะทุกครั้งที่ลงสมัคร รวมทั้งสิ้น 11 สมัย! 🗳️ 🏆 จากพลังแห่งความนิยมในพื้นที่สุพรรณบุรี บรรหารก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 🚆 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🏢 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 🌾 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 💰 บรรหารได้รับสมญานามว่า “มังกรสุพรรณ” ด้วยพลังในการควบคุมพื้นที่อย่างแน่นหนา และ “ปลาไหลใส่สเก็ต” ด้วยสไตล์ทางการเมือง ที่ลื่นไหลยืดหยุ่น 👑 สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 📌 ปี พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🎯 ผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นในรัฐบาลบรรหาร ได้แก่ ริเริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540, เป็นเจ้าภาพ ASEM และ ASEAN Summitm การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่เชียงใหม่, การจัดงานเกษตรอุตสาหกรรมโลก WORLDTECH’95 และการตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แม้การบริหารของบรรหาร ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องยุบสภาในปี พ.ศ. 2539 แต่ผลงานจำนวนมาก ก็ยังถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบัน 💸 รวยจริง ไม่ต้องโชว์ บรรหารกับทรัพย์สินมหาศาล 📈 จากรายงานของสำนักข่าวอิศรา “บรรหาร” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “นายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด เป็นอันดับ 2” รองจาก “ทักษิณ ชินวัตร” โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจาก ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 🏗️ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ 📦 อสังหาริมทรัพย์ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด 🏢 ของสะสม เช่น พระเครื่อง นาฬิกาหรู รถยนต์หรู ⌚🚗 แต่สิ่งที่ทำให้บรรหาร ได้รับความเคารพคือ “การใช้เงินเป็น” ไม่ใช่ “โชว์หรู” ใช้ทรัพย์สินเพื่อพัฒนา ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ 🌸 มรดกที่ทิ้งไว้ "บรรหารบุรี" เมืองต้นแบบของจังหวัดนิยม เมืองสุพรรณบุรีในวันนี้ กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบ “จังหวัดนิยม” (Provincial Identity) ซึ่งนักวิชาการญี่ปุ่น "Yoshinori Nishizaki" อธิบายไว้ชัดเจนว่า “บรรหารสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้เมือง ผ่านโครงการต่างๆ ที่จับต้องได้จริง จนกลายเป็นแรงศรัทธาทางการเมือง” 🧱 ตัวอย่างผลงานในสุพรรณบุรี เช่น หอคอยเมืองสุพรรณ, ถนนคุณภาพระดับประเทศ, โรงเรียนบรรหารแจ่มใส, โรงพยาบาล, ศูนย์ราชการรวมศูนย์, พิพิธภัณฑ์, หอเกียรติยศ และศาลหลักเมือง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนมองเห็นว่า “นักการเมืองที่ดี” คือคนที่ “พัฒนาชุมชน” ไม่ใช่แค่พูดสวยหรูบนเวที 📌 บทเรียนจากชีวิตบรรหาร สัจจะ และกตัญญู หากถามถึงคุณธรรมสำคัญในชีวิตของบรรหาร มีอยู่ 2 คำ ที่บรรหารยึดมั่นเสมอ คือ “สัจจะ” คำพูดต้องรักษาให้ได้ “กตัญญู” ต่อบ้านเกิด และผู้มีพระคุณ นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อของบรรหาร ยังถูกพูดถึงแม้เวลาผ่านไปหลายปี และยังเป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้ศึกษาเรียนรู้ 📜 มังกรสุพรรณ ผู้ล่องด้วยสัจจะ "บรรหาร ศิลปอาชา" ไม่ใช่แค่ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แต่คือชายที่หล่อหลอมเมืองสุพรรณบุรี ให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 🐉 จากชายที่เกิดในครอบครัวพ่อค้า สู่ผู้พัฒนาจังหวัดด้วยวิสัยทัศน์ จากนักธุรกิจที่สร้างตัวเอง สู่ผู้นำที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย 🇹🇭 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231016 เม.ย. 2568 🔖 #บรรหารศิลปอาชา #นายกรัฐมนตรีไทย #มังกรสุพรรณ #บรรหารบุรี #ปลาไหลใส่สเก็ต #สุพรรณบุรี #การเมืองไทย #พัฒนาท้องถิ่น #จังหวัดนิยม #บุคคลสำคัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 924 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราเป็นเมืองเกษตรกรรม..ที่จะเลี้ยงคนในประเทศและอีกหลายประเทศ จากนี้ไปการเกษตรสำคัญมาก.ต้องใช้เลี้ยงคนทั้งประเทศ ยิ่งโลกมีสงครามอาหารสำคัญมากกว่าสิ่งใด..ผู้นำประเทศต้องฉลาดมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล
    หากมีผู้นำเขลาและวิสัยทัศน์ที่แคบ และมีความรู้รอบด้านน้อย ประเทศชาติจะไปไม่รอด
    เราเป็นเมืองเกษตรกรรม..ที่จะเลี้ยงคนในประเทศและอีกหลายประเทศ จากนี้ไปการเกษตรสำคัญมาก.ต้องใช้เลี้ยงคนทั้งประเทศ ยิ่งโลกมีสงครามอาหารสำคัญมากกว่าสิ่งใด..ผู้นำประเทศต้องฉลาดมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล หากมีผู้นำเขลาและวิสัยทัศน์ที่แคบ และมีความรู้รอบด้านน้อย ประเทศชาติจะไปไม่รอด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ได้พูดคุยกับ อีลอน มัสก์ เกี่ยวกับความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการสนทนาครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการพบกันในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่ามีศักยภาพมหาศาลในการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

    ✅ การสนทนาเน้นความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
    - โมดีและมัสก์พูดถึง ศักยภาพในการร่วมมือกัน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
    - การสนทนาเป็นการต่อยอดจากการพบกันในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อต้นปี

    ✅ การสนทนาแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก
    - ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีสามารถ สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม

    ✅ มัสก์และโมดีมีบทบาทสำคัญในวงการเทคโนโลยีและการเมืองระดับโลก
    - มัสก์เป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Tesla และ SpaceX
    - โมดีเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของอินเดีย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/india039s-modi-musk-discussed-potential-collaboration-in-technology
    นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ได้พูดคุยกับ อีลอน มัสก์ เกี่ยวกับความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการสนทนาครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการพบกันในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่ามีศักยภาพมหาศาลในการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ✅ การสนทนาเน้นความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม - โมดีและมัสก์พูดถึง ศักยภาพในการร่วมมือกัน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย - การสนทนาเป็นการต่อยอดจากการพบกันในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อต้นปี ✅ การสนทนาแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก - ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีสามารถ สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม ✅ มัสก์และโมดีมีบทบาทสำคัญในวงการเทคโนโลยีและการเมืองระดับโลก - มัสก์เป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Tesla และ SpaceX - โมดีเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของอินเดีย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/india039s-modi-musk-discussed-potential-collaboration-in-technology
    WWW.THESTAR.COM.MY
    India's Modi, Musk discussed potential collaboration in technology
    (Reuters) - Indian Prime Minister Narendra Modi spoke to Elon Musk and talked about "various issues, including the topics we covered during our meeting in Washington DC earlier this year," he said in a post on X on Friday, without saying when the conversation took place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 11 การทำให้ “เงินทำงานรับใช้”
    .
    เมื่อพูดถึงเรื่องการหาเงินและการใช้เงิน คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่อง “หญ้าปากคอก” ที่ไม่ต้องเรียนรู้ก็ได้ อย่างไรก็ดี “หญ้าปากคอก”นี้ ได้กลายเป็น “หนามยอกอก” ที่ทิ่มแทงคนหลายคน จนบางคนต้องล้มตายจากไปทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดังที่ได้เห็นกันอยู่เนืองๆ การมีฐานะมั่นคงจากการใช้แรงงานของตนเองตลอดชีวิต ถึงแม้จะเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นศิลปะที่มีหลักการบางอย่างเป็นตัวกำกับ การเข้าใจหลักการดังกล่าวจะช่วยให้ไม่เกิดสภาวะที่ทุ่มเททำงานหารายได้อย่างหนัก แต่ในบั้นปลายชีวิตก็ยังหาความมั่นคงทางการเงินไม่ได้
    .
    มนุษย์มีแนวโน้มโดยธรรมชาติที่จะใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างตามใจตนเอง เพราะถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย จนละเลยที่จะเก็บเงินบางส่วนไว้ เพื่อทำให้งอกเงยสำหรับอนาคตที่สุขสบายยิ่งขึ้น หลายคนลืมคิดไปว่าถ้าใช้เงินที่หามาได้ไปทั้งหมด ความสุขที่ได้รับก็จะจบอยู่เพียงแค่นั้น ไม่มีอนาคตที่ว่าทำงานเท่าเดิม แต่ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ไม่มีอนาคตของความมั่นคงทางการเงินซึ่งจะอำนวยให้เกิดความมั่นคงในชีวิตไปด้วย และไม่มีอนาคตที่จะมีชีวิตสุขสบายเมื่อพ้นวัยทำงานไปแล้ว
    .
    ถ้าใครเลือกเส้นทาง “สุขวันนี้และจบแค่นี้” ก็จำต้องยอมรับผลที่เกิดมา แต่ถ้าใครเลือกเส้นทาง “ไม่สุขวันนี้เต็มที่ แต่จะสุขยาวกว่านี้ไปในอนาคต” ก็จำเป็นต้องมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายเก็บไว้เป็นเงินออม หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือกันส่วนหนึ่งของรายได้ไว้แต่แรกก่อนใช้จ่าย เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี
    .
    เงินออมเป็น “ต้นน้ำ” สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการมีความมั่นคงในด้านการเงินต่อไปในอนาคต เงินออมเกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของรายได้มีความมัธยัสถ์ กล่าวคือใช้จ่ายเฉพาะในเรื่องที่จำเป็น ไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเงินอย่างเขลาในเรื่องต่างๆ ความมัธยัสถ์เป็นแผนหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่มิได้ทำให้ใครเดือดร้อน และมิใช่การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น การขาดความมัธยัสถ์ต่างหากที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจถูกรบกวนขอเงิน หรือขอยืมเงินเพราะตนเองมีเงินใช้ไม่พอ
    .
    ความมัธยัสถ์โยงใยกับการมีวินัยบังคับใจตนเอง และการมุ่งมั่นมีเป้าหมายในชีวิต ทำให้เกิดสภาวการณ์ที่สำคัญของชีวิต นั่นคือ “การอยู่กินต่ำกว่าฐานะ” ซึ่งนำไปสู่การมีเงินเหลือเพื่อเก็บออมนั่นเอง ผู้ที่อยู่กินตามฐานะของรายได้ หมายถึงการไม่มีเงินออม และผู้ที่อยู่กินเกินฐานะหมายถึง ใช้จ่ายเงินเกินรายได้ที่ตนเองมี นั่นก็คือต้องหยิบยืมส่วนที่ขาดไปจากผู้อื่น ซึ่งก็คือการเป็นหนี้นั่นเอง
    .
    เมื่ออยู่กินต่ำกว่าฐานะอย่างสม่ำเสมอก็จะเกิดเงินออมขึ้นอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน เงินออมจะสะสมเป็นเงินก้อน และเมื่อเอาไปลงทุนอย่างชาญฉลาดก็จะเกิดผลตอบแทนเป็นรายได้เพิ่มเติมจากรายได้ที่ได้รับจากการทำงานอยู่แล้ว ถ้าหากผลตอบแทนลักษณะนี้พอกพูนกันมากขึ้น ถึงแม้จะทำงานน้อยลงหรือไม่ได้ทำงานเลย อันเนื่งมาจากความเจ็บป่วยหรือพ้นวัยทำงานแล้ว ก็จะยังคงมีรายได้อยู่เช่นเดิม
    .
    ความมั่งคั่งเป็นผลพวงของ “การออกลูกออกหลาน” ของเงินตอบแทนจากการออมขั้นแรก กล่าวคือ เมื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งแรกก็นำไปลงทุนต่อ และเมื่อได้รับผลตอบแทนอีกก็ลงทุนต่อไปอีกขั้นหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ จนสมทบพอกพูนเป็นความมั่งคั่ง
    .
    การกระทำเช่นนี้ ซึ่งเริ่มจากการมีเงินออมเป็นเบื้องต้นจนถึงการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง คือ การให้ “เงินทำงานรับใช้” นั่นเอง
    .
    ในชีวิตของผู้คน ทุกคนมีทั้งวัยทำงานที่หารายได้คล่องมือจากการออกแรงทำงาน และมีวัยพ้นทำงานที่ไม่มีรายได้จากการออกแรงทำงาน ดังนั้นการวางแผนการเงินเพื่อให้ “เงินทำงานรับใช้” ตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานจนสามารถหารายได้เป็นกอบเป็นกำเผื่อไปถึงวัยที่ไม่อาจหารยได้ได้เต็มที่จากการทำงานจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
    .
    ตลอดชีวิตการทำงานซึ่งมีเวลา 30 ปีเศษๆ ถ้าบุคคลในช่วงวัยทำงานใช้จ่ายเงินอย่างขาดการวางแผนให้ “เงินทำงานรับใช้” แล้ว เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ คุณภาพชีวิตที่ได้รับก็จะไม่เหมือนเดิม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจะไม่ร่ำรวยตลอดชีวิตอย่างแน่นอน อย่างนี้เรียกว่า “รวยในวันนี้ เพื่อจนในวันข้างหน้า”
    .
    ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ตระหนักดีถึงการร่ำรวยตลอดชีวิต จะวางแผนให้เงินทำงานรับใช้เป็นอย่างดี โดยมีการดำเนินชีวิตพื้นฐานแบบ “อยู่กินต่ำกว่าฐานะ” การกระทำเช่นนี้ก็คือ “ยอมจนวันนี้ เพื่อร่ำรวยตลอดชีวิต” นั่นเอง
    .
    การยอมสละการบริโภคในปัจจุบันไปบ้าง เพื่อให้มีอนาคตทางการเงินที่มั่นคง และสามารถดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอไปจนตลอดชีวิต คือ การมีวิสัยทัศน์
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 11 การทำให้ “เงินทำงานรับใช้” . เมื่อพูดถึงเรื่องการหาเงินและการใช้เงิน คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่อง “หญ้าปากคอก” ที่ไม่ต้องเรียนรู้ก็ได้ อย่างไรก็ดี “หญ้าปากคอก”นี้ ได้กลายเป็น “หนามยอกอก” ที่ทิ่มแทงคนหลายคน จนบางคนต้องล้มตายจากไปทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดังที่ได้เห็นกันอยู่เนืองๆ การมีฐานะมั่นคงจากการใช้แรงงานของตนเองตลอดชีวิต ถึงแม้จะเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นศิลปะที่มีหลักการบางอย่างเป็นตัวกำกับ การเข้าใจหลักการดังกล่าวจะช่วยให้ไม่เกิดสภาวะที่ทุ่มเททำงานหารายได้อย่างหนัก แต่ในบั้นปลายชีวิตก็ยังหาความมั่นคงทางการเงินไม่ได้ . มนุษย์มีแนวโน้มโดยธรรมชาติที่จะใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างตามใจตนเอง เพราะถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย จนละเลยที่จะเก็บเงินบางส่วนไว้ เพื่อทำให้งอกเงยสำหรับอนาคตที่สุขสบายยิ่งขึ้น หลายคนลืมคิดไปว่าถ้าใช้เงินที่หามาได้ไปทั้งหมด ความสุขที่ได้รับก็จะจบอยู่เพียงแค่นั้น ไม่มีอนาคตที่ว่าทำงานเท่าเดิม แต่ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ไม่มีอนาคตของความมั่นคงทางการเงินซึ่งจะอำนวยให้เกิดความมั่นคงในชีวิตไปด้วย และไม่มีอนาคตที่จะมีชีวิตสุขสบายเมื่อพ้นวัยทำงานไปแล้ว . ถ้าใครเลือกเส้นทาง “สุขวันนี้และจบแค่นี้” ก็จำต้องยอมรับผลที่เกิดมา แต่ถ้าใครเลือกเส้นทาง “ไม่สุขวันนี้เต็มที่ แต่จะสุขยาวกว่านี้ไปในอนาคต” ก็จำเป็นต้องมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายเก็บไว้เป็นเงินออม หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือกันส่วนหนึ่งของรายได้ไว้แต่แรกก่อนใช้จ่าย เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี . เงินออมเป็น “ต้นน้ำ” สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการมีความมั่นคงในด้านการเงินต่อไปในอนาคต เงินออมเกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของรายได้มีความมัธยัสถ์ กล่าวคือใช้จ่ายเฉพาะในเรื่องที่จำเป็น ไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเงินอย่างเขลาในเรื่องต่างๆ ความมัธยัสถ์เป็นแผนหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่มิได้ทำให้ใครเดือดร้อน และมิใช่การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น การขาดความมัธยัสถ์ต่างหากที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจถูกรบกวนขอเงิน หรือขอยืมเงินเพราะตนเองมีเงินใช้ไม่พอ . ความมัธยัสถ์โยงใยกับการมีวินัยบังคับใจตนเอง และการมุ่งมั่นมีเป้าหมายในชีวิต ทำให้เกิดสภาวการณ์ที่สำคัญของชีวิต นั่นคือ “การอยู่กินต่ำกว่าฐานะ” ซึ่งนำไปสู่การมีเงินเหลือเพื่อเก็บออมนั่นเอง ผู้ที่อยู่กินตามฐานะของรายได้ หมายถึงการไม่มีเงินออม และผู้ที่อยู่กินเกินฐานะหมายถึง ใช้จ่ายเงินเกินรายได้ที่ตนเองมี นั่นก็คือต้องหยิบยืมส่วนที่ขาดไปจากผู้อื่น ซึ่งก็คือการเป็นหนี้นั่นเอง . เมื่ออยู่กินต่ำกว่าฐานะอย่างสม่ำเสมอก็จะเกิดเงินออมขึ้นอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน เงินออมจะสะสมเป็นเงินก้อน และเมื่อเอาไปลงทุนอย่างชาญฉลาดก็จะเกิดผลตอบแทนเป็นรายได้เพิ่มเติมจากรายได้ที่ได้รับจากการทำงานอยู่แล้ว ถ้าหากผลตอบแทนลักษณะนี้พอกพูนกันมากขึ้น ถึงแม้จะทำงานน้อยลงหรือไม่ได้ทำงานเลย อันเนื่งมาจากความเจ็บป่วยหรือพ้นวัยทำงานแล้ว ก็จะยังคงมีรายได้อยู่เช่นเดิม . ความมั่งคั่งเป็นผลพวงของ “การออกลูกออกหลาน” ของเงินตอบแทนจากการออมขั้นแรก กล่าวคือ เมื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งแรกก็นำไปลงทุนต่อ และเมื่อได้รับผลตอบแทนอีกก็ลงทุนต่อไปอีกขั้นหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ จนสมทบพอกพูนเป็นความมั่งคั่ง . การกระทำเช่นนี้ ซึ่งเริ่มจากการมีเงินออมเป็นเบื้องต้นจนถึงการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง คือ การให้ “เงินทำงานรับใช้” นั่นเอง . ในชีวิตของผู้คน ทุกคนมีทั้งวัยทำงานที่หารายได้คล่องมือจากการออกแรงทำงาน และมีวัยพ้นทำงานที่ไม่มีรายได้จากการออกแรงทำงาน ดังนั้นการวางแผนการเงินเพื่อให้ “เงินทำงานรับใช้” ตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานจนสามารถหารายได้เป็นกอบเป็นกำเผื่อไปถึงวัยที่ไม่อาจหารยได้ได้เต็มที่จากการทำงานจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง . ตลอดชีวิตการทำงานซึ่งมีเวลา 30 ปีเศษๆ ถ้าบุคคลในช่วงวัยทำงานใช้จ่ายเงินอย่างขาดการวางแผนให้ “เงินทำงานรับใช้” แล้ว เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ คุณภาพชีวิตที่ได้รับก็จะไม่เหมือนเดิม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจะไม่ร่ำรวยตลอดชีวิตอย่างแน่นอน อย่างนี้เรียกว่า “รวยในวันนี้ เพื่อจนในวันข้างหน้า” . ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ตระหนักดีถึงการร่ำรวยตลอดชีวิต จะวางแผนให้เงินทำงานรับใช้เป็นอย่างดี โดยมีการดำเนินชีวิตพื้นฐานแบบ “อยู่กินต่ำกว่าฐานะ” การกระทำเช่นนี้ก็คือ “ยอมจนวันนี้ เพื่อร่ำรวยตลอดชีวิต” นั่นเอง . การยอมสละการบริโภคในปัจจุบันไปบ้าง เพื่อให้มีอนาคตทางการเงินที่มั่นคง และสามารถดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอไปจนตลอดชีวิต คือ การมีวิสัยทัศน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18 เมษายน 2568-รายงานข่าวจากเพจBlognone ระบุว่าVladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกปากชม Elon Musk ระหว่างการพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเกี่ยวกับนโยบายด้านอวกาศ ว่าเป็น “คนพิเศษ” เพราะมีพลังคิดไอเดียอะไรบางอย่าง ที่คนทั่วไปก็คิดไม่ถึงหรือทำไม่ได้ แถมยังเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ และความหลงใหลในเรื่องการเดินทางไปดาวอังคารอย่างจริงจังPutin เปรียบเทียบ Musk กับ Sergei Korolev นักออกแบบจรวดระดับตำนานของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นวงโคจร และเป็นคนออกแบบภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศครั้งแรกของโลกในปี 1961 https://www.businessinsider.com/putin-lauds-elon-musk-compares-spacex-ceo-soviet-rocket-pioneer-2025-4
    18 เมษายน 2568-รายงานข่าวจากเพจBlognone ระบุว่าVladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกปากชม Elon Musk ระหว่างการพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเกี่ยวกับนโยบายด้านอวกาศ ว่าเป็น “คนพิเศษ” เพราะมีพลังคิดไอเดียอะไรบางอย่าง ที่คนทั่วไปก็คิดไม่ถึงหรือทำไม่ได้ แถมยังเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ และความหลงใหลในเรื่องการเดินทางไปดาวอังคารอย่างจริงจังPutin เปรียบเทียบ Musk กับ Sergei Korolev นักออกแบบจรวดระดับตำนานของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นวงโคจร และเป็นคนออกแบบภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศครั้งแรกของโลกในปี 1961 https://www.businessinsider.com/putin-lauds-elon-musk-compares-spacex-ceo-soviet-rocket-pioneer-2025-4
    WWW.BUSINESSINSIDER.COM
    Putin lauds Elon Musk, comparing him to a Soviet rocket pioneer
    "It is not often that such people, charged with a certain idea, appear in the human population," Putin said of Musk.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวทีโลกชื่นชมยกย่อง“นายกฯแพทองธาร”ผู้นำรุ่นใหม่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง สะท้อนวิสัยทัศน์และภาวะผู้นำของไทยในสายตาระดับโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/18187/
    เวทีโลกชื่นชมยกย่อง“นายกฯแพทองธาร”ผู้นำรุ่นใหม่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง สะท้อนวิสัยทัศน์และภาวะผู้นำของไทยในสายตาระดับโลก https://www.thai-tai.tv/news/18187/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้

    ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง
    - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ
    - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ

    ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์
    - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า
    - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว

    ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์
    - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์
    - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง

    ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri
    - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น
    - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้ ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์ - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์ - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์ - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ‘Hey Siri: Explain how internal feuding at Apple left the company losing the AI race’
    A damning expose of Apple's missteps trying upgrade Siri delivers a masterclass on how competing teams build resentment inside a company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เปิดตัวโครงการใหม่ที่ชื่อว่า AI on Screen ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Range Media เพื่อสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์สั้นที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจในด้านอารมณ์และจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI

    == ข้อมูลสำคัญในข่าว ==
    ✅ การสนับสนุนภาพยนตร์สั้น:
    - Google จะร่วมมือกับ Range Media ในการสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์สั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI
    - โครงการนี้จะดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการคัดเลือกผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีวิสัยทัศน์

    ✅ การพัฒนาเนื้อหา:
    - Range Studios จะให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาและการผลิตแก่ผู้สร้างภาพยนตร์
    - Google ได้เริ่มทำงานกับผู้สร้างภาพยนตร์สองคน โดยภาพยนตร์เรื่องแรกชื่อ Sweetwater และเรื่องที่สองชื่อ Lucid

    ✅ การเปิดรับไอเดียใหม่:
    - Google เปิดรับไอเดียจากผู้สร้างภาพยนตร์ในหลากหลายแนว เช่น ไซไฟ, ดราม่า และระทึกขวัญ
    - มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนภาพยนตร์สั้นบางเรื่องให้กลายเป็นภาพยนตร์เต็มรูปแบบ

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ⚠️ ความท้าทายด้านการสร้างเนื้อหา:
    - การสร้างภาพยนตร์ที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI อาจต้องการความละเอียดอ่อนในด้านอารมณ์และจริยธรรม
    - ผู้สร้างภาพยนตร์ควรระมัดระวังในการนำเสนอเนื้อหาที่อาจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ AI

    ⚠️ การเข้าถึงผู้ชม:
    - โครงการนี้อาจต้องการกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง เพื่อสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน

    https://www.neowin.net/news/google-wants-to-fund-humans-making-movies-about-humans-and-ai/
    Google ได้เปิดตัวโครงการใหม่ที่ชื่อว่า AI on Screen ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Range Media เพื่อสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์สั้นที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจในด้านอารมณ์และจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI == ข้อมูลสำคัญในข่าว == ✅ การสนับสนุนภาพยนตร์สั้น: - Google จะร่วมมือกับ Range Media ในการสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์สั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI - โครงการนี้จะดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการคัดเลือกผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีวิสัยทัศน์ ✅ การพัฒนาเนื้อหา: - Range Studios จะให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาและการผลิตแก่ผู้สร้างภาพยนตร์ - Google ได้เริ่มทำงานกับผู้สร้างภาพยนตร์สองคน โดยภาพยนตร์เรื่องแรกชื่อ Sweetwater และเรื่องที่สองชื่อ Lucid ✅ การเปิดรับไอเดียใหม่: - Google เปิดรับไอเดียจากผู้สร้างภาพยนตร์ในหลากหลายแนว เช่น ไซไฟ, ดราม่า และระทึกขวัญ - มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนภาพยนตร์สั้นบางเรื่องให้กลายเป็นภาพยนตร์เต็มรูปแบบ == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ ความท้าทายด้านการสร้างเนื้อหา: - การสร้างภาพยนตร์ที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI อาจต้องการความละเอียดอ่อนในด้านอารมณ์และจริยธรรม - ผู้สร้างภาพยนตร์ควรระมัดระวังในการนำเสนอเนื้อหาที่อาจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ AI ⚠️ การเข้าถึงผู้ชม: - โครงการนี้อาจต้องการกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง เพื่อสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน https://www.neowin.net/news/google-wants-to-fund-humans-making-movies-about-humans-and-ai/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google wants to fund humans making movies about humans and AI
    Google announced a new program called AI on Screen, which will sponsor short films about humanity and AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำสมาร์ทซิตี้ (Smart City Leader) หมายถึง บุคคลหรือทีมที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

    ### คุณลักษณะสำคัญของผู้นำสมาร์ทซิตี้:
    1. **วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์**
    - กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ลดการปล่อยคาร์บอน เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด หรือพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะ
    - สร้างแผนงานที่สอดคล้องกับบริบทของเมือง เช่น การแก้ปัญหาจราจร หรือการจัดการขยะ

    2. **การใช้เทคโนโลยีและข้อมูล**
    - นำเทคโนโลยี IoT (Internet of Things), Big Data, AI, และระบบคลาวด์มาใช้ในการเก็บ-วิเคราะห์ข้อมูลเมือง
    - ตัวอย่าง: ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ ระบบจราจรอัจฉริยะ

    3. **การมีส่วนร่วมของประชาชน**
    - สร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (เช่น แอปพลิเคชันรายงานปัญหาสาธารณะ)
    - ส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลแบบเปิด (Open Data)

    4. **ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน**
    - ร่วมมือกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และชุมชน ในการพัฒนาโซลูชัน เช่น การสร้างเครือข่าย Wi-Fi ฟรี หรือโครงการพลังงานทดแทน

    5. **ความยั่งยืน**
    - มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองด้วยหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการออกแบบพื้นที่สีเขียว

    ### ตัวอย่างเมืองอัจฉริยะระดับโลก:
    - **สิงคโปร์**: ใช้เทคโนโลยีจัดการจราจรและระบบสุขภาพดิจิทัล
    - **บาร์เซโลนา**: นำ IoT มาใช้ในการจัดการน้ำและพลังงาน
    - **โตเกียว**: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสังคมสูงวัยด้วยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ

    ### ความท้าทายของผู้นำสมาร์ทซิตี้:
    - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: การจัดการข้อมูลประชาชนต้องมีความปลอดภัย
    - **ความเหลื่อมล้ำดิจิทัล**: ต้องให้ทุกกลุ่มเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียม
    - **การลงทุน**: ต้องสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ระยะยาว

    ผู้นำสมาร์ทซิตี้จึงไม่เพียงต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยี แต่ต้องมีทักษะการสื่อสาร การบริหารโครงการขนาดใหญ่ และความเข้าใจในความต้องการของประชาชนอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างเมืองที่ "อัจฉริยะ" อย่างแท้จริง
    ผู้นำสมาร์ทซิตี้ (Smart City Leader) หมายถึง บุคคลหรือทีมที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ### คุณลักษณะสำคัญของผู้นำสมาร์ทซิตี้: 1. **วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์** - กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ลดการปล่อยคาร์บอน เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด หรือพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะ - สร้างแผนงานที่สอดคล้องกับบริบทของเมือง เช่น การแก้ปัญหาจราจร หรือการจัดการขยะ 2. **การใช้เทคโนโลยีและข้อมูล** - นำเทคโนโลยี IoT (Internet of Things), Big Data, AI, และระบบคลาวด์มาใช้ในการเก็บ-วิเคราะห์ข้อมูลเมือง - ตัวอย่าง: ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ ระบบจราจรอัจฉริยะ 3. **การมีส่วนร่วมของประชาชน** - สร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (เช่น แอปพลิเคชันรายงานปัญหาสาธารณะ) - ส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) 4. **ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน** - ร่วมมือกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และชุมชน ในการพัฒนาโซลูชัน เช่น การสร้างเครือข่าย Wi-Fi ฟรี หรือโครงการพลังงานทดแทน 5. **ความยั่งยืน** - มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองด้วยหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการออกแบบพื้นที่สีเขียว ### ตัวอย่างเมืองอัจฉริยะระดับโลก: - **สิงคโปร์**: ใช้เทคโนโลยีจัดการจราจรและระบบสุขภาพดิจิทัล - **บาร์เซโลนา**: นำ IoT มาใช้ในการจัดการน้ำและพลังงาน - **โตเกียว**: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสังคมสูงวัยด้วยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ### ความท้าทายของผู้นำสมาร์ทซิตี้: - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: การจัดการข้อมูลประชาชนต้องมีความปลอดภัย - **ความเหลื่อมล้ำดิจิทัล**: ต้องให้ทุกกลุ่มเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียม - **การลงทุน**: ต้องสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ระยะยาว ผู้นำสมาร์ทซิตี้จึงไม่เพียงต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยี แต่ต้องมีทักษะการสื่อสาร การบริหารโครงการขนาดใหญ่ และความเข้าใจในความต้องการของประชาชนอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างเมืองที่ "อัจฉริยะ" อย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้ประกาศจัดงาน “Advancing AI 2025” ซึ่งจะเป็นทั้งงานประชุมในสถานที่และสตรีมสดในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 โดยงานนี้จะนำเสนอวิสัยทัศน์ล่าสุดของ AMD ในโลก AI พร้อมเปิดตัว AMD Instinct GPUs รุ่นถัดไป และความก้าวหน้าในซอฟต์แวร์ ROCm open ecosystem

    ✅ เป้าหมายที่ครอบคลุมกลุ่มต่าง ๆ:
    - AMD ไม่ได้จำกัดการนำเสนอแค่กลุ่มนักพัฒนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง องค์กร hyperscalers, ธุรกิจ, สตาร์ทอัพ และนักพัฒนา AI

    ✅ การเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่:
    - AMD Instinct GPUs รุ่นใหม่จะถูกนำเสนอ พร้อมความสามารถที่มุ่งเน้น ประสิทธิภาพในการประมวลผล AI และการพัฒนาโมเดลที่ซับซ้อน

    ✅ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเพิ่มขึ้น:
    - ROCm ecosystem จะขยายความร่วมมือ และเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยนักพัฒนาได้สร้างโซลูชัน AI ได้สะดวกและทรงพลังขึ้น

    ✅ วิสัยทัศน์จาก Dr. Lisa Su:
    - ภายในงาน คุณ Dr. Lisa Su, CEO ของ AMD จะร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางของ AI ที่ AMD กำลังสร้างขึ้น พร้อมเปิดเวทีให้ พันธมิตร, ลูกค้า, และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ได้ร่วมแสดงมุมมอง

    https://www.techpowerup.com/335245/amd-announces-advancing-ai-2025
    AMD ได้ประกาศจัดงาน “Advancing AI 2025” ซึ่งจะเป็นทั้งงานประชุมในสถานที่และสตรีมสดในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 โดยงานนี้จะนำเสนอวิสัยทัศน์ล่าสุดของ AMD ในโลก AI พร้อมเปิดตัว AMD Instinct GPUs รุ่นถัดไป และความก้าวหน้าในซอฟต์แวร์ ROCm open ecosystem ✅ เป้าหมายที่ครอบคลุมกลุ่มต่าง ๆ: - AMD ไม่ได้จำกัดการนำเสนอแค่กลุ่มนักพัฒนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง องค์กร hyperscalers, ธุรกิจ, สตาร์ทอัพ และนักพัฒนา AI ✅ การเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่: - AMD Instinct GPUs รุ่นใหม่จะถูกนำเสนอ พร้อมความสามารถที่มุ่งเน้น ประสิทธิภาพในการประมวลผล AI และการพัฒนาโมเดลที่ซับซ้อน ✅ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเพิ่มขึ้น: - ROCm ecosystem จะขยายความร่วมมือ และเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยนักพัฒนาได้สร้างโซลูชัน AI ได้สะดวกและทรงพลังขึ้น ✅ วิสัยทัศน์จาก Dr. Lisa Su: - ภายในงาน คุณ Dr. Lisa Su, CEO ของ AMD จะร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางของ AI ที่ AMD กำลังสร้างขึ้น พร้อมเปิดเวทีให้ พันธมิตร, ลูกค้า, และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ได้ร่วมแสดงมุมมอง https://www.techpowerup.com/335245/amd-announces-advancing-ai-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Announces Advancing AI 2025
    Today, AMD (NASDAQ: AMD) announced "Advancing AI 2025," an in-person and livestreamed event on June 12, 2025. The industry event will showcase the company's bold vision for AI, announce the next generation of AMD Instinct GPUs, AMD ROCm open software ecosystem progress, and reveal details on AI solu...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • 243 ปี สำเร็จโทษ “พระเจ้าตาก” กษัตริย์ผู้กอบกู้ นักรบผู้เดียวดาย สู่ตำนานมหาราช เบื้องหลังความจริงของวันประหาร ที่ยังเป็นปริศนา

    📌 เรื่องราวสุดลึกซึ้งของ "พระเจ้าตากสินมหาราช" วีรกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราช สู่ฉากอวสานที่ยังคลุมเครือ หลังผ่านมา 243 ปี ความจริงของวันสำเร็จโทษ ยังรอการค้นหา ข้อเท็จจริงและปริศนา ที่ยังรอการคลี่คลาย ✨

    🔥 "พระเจ้าตาก" ตำนานนักรบผู้เดียวดาย ที่ยังไม่ถูกลืม วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 วันนั้นไม่ใช่เพียงการเริ่มต้นราชวงศ์จักรีเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” หรือ “พระเจ้ากรุงธนบุรี” เสด็จสวรรคตอย่างเป็นทางการ... หรืออาจจะไม่?

    243 ปี ผ่านไป เรื่องราวของพระองค์ยังคงเป็นที่ถกเถียง 😢 ทั้งในแวดวงวิชาการ ประวัติศาสตร์ และสังคมไทยโดยรวม เพราะแม้จะได้รับการยกย่อง ให้เป็นวีรกษัตริย์ผู้กอบกู้ชาติ แต่จุดจบของพระองค์ กลับเต็มไปด้วยข้อสงสัย ความคลุมเครือ และคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบอย่างแท้จริง

    ย้อนเวลากลับไปสำรวจเรื่องราวของ "พระเจ้าตากสิน" ตั้งแต่วีรกรรมกู้ชาติ ไปจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต เพื่อค้นหาความจริง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในตำนานของพระองค์

    👑 "พระเจ้าตากสิน" กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี

    🌊 จากนายทหาร สู่กษัตริย์ผู้กอบกู้ "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า "สิน" เป็นบุตรของชาวจีนแต้จิ๋ว โดยทรงเข้ารับราชการในสมัย "สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์" รัชกาลสุดท้ายแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง

    เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 พระยาตากคือผู้นำที่ยืนหยัด และฝ่าทัพพม่าออกไปตั้งหลักที่จันทบุรี 🐎 พร้อมกับรวบรวมผู้คนและกำลังพล จนสามารถกลับมากู้ชาติ และยึดกรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า ได้ภายในเวลาเพียง 7 เดือน ✨

    หลังจากนั้น ทรงย้ายราชธานีมาตั้งที่กรุงธนบุรี พร้อมปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และสถาปนา “อาณาจักรธนบุรี” 🏰

    🌟 พระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ "พระเจ้าตากสิน" มิได้เป็นเพียงนักรบ แต่ทรงเป็นนักปกครอง ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พระองค์ทรงฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม อย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม 🎨📚

    🔸 ส่งเสริมการค้ากับจีนและต่างประเทศ

    🔸 ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยให้มีการอุปสมบทพระสงฆ์ใหม่จำนวนมาก

    🔸 ส่งเสริมวรรณกรรม และการศึกษา

    🔸 รวบรวมดินแดนที่แตกแยก กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    พระองค์ยังได้รับ การถวายพระราชสมัญญานามว่า “มหาราช” โดยรัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ 💖

    ⚔️ จุดจบที่เป็นปริศนา วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสิน แม้พระองค์จะทรงกู้ชาติ และสร้างบ้านแปงเมือง แต่พระเจ้าตากก็ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายใน และการทรยศจากผู้ใกล้ชิด

    ในปี พ.ศ. 2325 พระยาสรรค์กับพวกได้ก่อการกบฏ อ้างว่าพระเจ้าตากสินมีพระสติวิปลาส ทำให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ต่อมาคือรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ยกทัพกลับจากเขมรเข้ากรุงธนบุรี และสั่งสำเร็จโทษพระเจ้าตากสินโดยการ “ตัดศีรษะ” ที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ในวันที่ 6 เมษายน 2325 👑

    🕯️ พระชนมพรรษา 48 ปี ครองราชย์รวม 15 ปี

    แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? หลักฐานและคำบอกเล่าต่างๆ กลับชี้ไปในทิศทางที่แตกต่างกัน...

    📚 พงศาวดาร หลากหลายข้อสันนิษฐาน

    1️⃣ ฉบับพระราชหัตถเลขา ประหารโดยตัดศีรษะ เล่าว่า... พระเจ้าตากถูกตัดศีรษะโดยเพชฌฆาต ไม่มีการใช้คำว่า “สวรรคต” แต่ใช้คำว่า “ถึงแก่พิราลัย” แสดงว่าอาจถูกริดรอนพระยศ ก่อนที่สำเร็จโทษ

    2️⃣ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ม็อบพาไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง ระบุว่า... “ทแกล้วทหารทั้งปวงมีใจเจ็บแค้น นำเอาพระเจ้าแผ่นดินไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง” โดยไม่ระบุวิธี

    3️⃣ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ชนหมู่มากฆ่าพระองค์ กล่าวว่า... “ชนทั้งหลายมีความโกรธ ชวนกันกำจัดเสียจากราชสมบัติ แล้วพิฆาฎฆ่าเสีย”

    4️⃣ พระยาทัศดาจัตุรงค์ หัวใจวายเฉียบพลัน เขียนว่า... “เกิดวิกลดลจิตประจุบัน ท้าวดับชีวัน” ซึ่งแปลว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยอาการหัวใจวาย

    🕵️‍♂️ เรื่องเล่าหลัง 2475 สร้างตำนานใหม่ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เรื่องราวของพระเจ้าตาก ถูกนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบใหม่ โดยเน้นไปที่... การเป็นวีรกษัตริย์ของประชาชน อาทิ วรรณกรรมเรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน” ของภิกษุณีโพธิสัตว์ "วรมัย กบิลสิงห์" ซึ่งอ้างว่า “พระองค์ไม่ถูกประหาร แต่สับเปลี่ยนตัวกับนายมั่น”

    🔍 จุดมุ่งหมายคือ การสร้างความรู้สึกร่วมของคนไทย สร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเน้นความสามัคคีแห่งชาติ 🇹🇭

    🧠 ข้อวิเคราะห์ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

    ❓ พระเจ้าตากเสียสติจริงหรือ? เอกสารหลายฉบับระบุว่า พระองค์มีพระสติวิปลาส แต่บทสนทนาก่อนประหารที่ว่า “ขอเข้าเฝ้าสนทนาอีกสักสองสามคำ” นั้นชัดเจน และเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ 🤔

    ❓ มีการสับเปลี่ยนตัวจริงหรือ? ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนใด ๆ รองรับ แต่แนวคิดนี้ ปรากฏอย่างแพร่หลายในวรรณกรรม และความเชื่อของประชาชน

    📜 วันที่พระองค์ถูกลืม? วันที่ 6 เมษายน ถูกกำหนดให้เป็น "วันจักรี" เพื่อระลึกถึงการสถาปนาราชวงศ์จักรี โดยไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าตากเลย ทั้งที่วันเดียวกันนั้น คือวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เช่นกัน

    ทำให้เกิดคำถามในใจใครหลายคนว่า พระเจ้าตากถูก “กลบ” จากประวัติศาสตร์หรือไม่? 😢

    🛕 พระเจ้าตากในความทรงจำของประชาชน แม้ประวัติศาสตร์ทางการจะบอกว่า พระองค์ถูกประหารชีวิต แต่ในความเชื่อของประชาชนทั่วไป พระเจ้าตากยังคงเป็น “วีรกษัตริย์ผู้ไม่เคยพ่าย” 🙏

    มีการสักการะพระบรมรูปที่วงเวียนใหญ่ คนไทยเชื้อสายจีนเรียกพระองค์ว่า “แต่อ่วงกง” มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับพระองค์

    🧾 จากความจริง...สู่ตำนาน 243 ปีผ่านไป...วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินมหาราช ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม ปริศนา และความรู้สึกค้างคาใจ ของคนไทยจำนวนมาก

    แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ... พระเจ้าตากมิใช่เพียงนักรบผู้เดียวดาย แต่คือบุคคลผู้เปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นดินนี้ ไว้ในช่วงเวลาที่ยากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 060744 เม.ย. 2568

    📱 #พระเจ้าตาก #สมเด็จพระเจ้าตากสิน #ประวัติศาสตร์ไทย #243ปีพระเจ้าตาก #ตำนานพระเจ้าตาก #วันประหารพระเจ้าตาก #วันจักรี #ราชวงศ์ธนบุรี #วีรกษัตริย์ไทย #กษัตริย์ผู้กอบกู้
    243 ปี สำเร็จโทษ “พระเจ้าตาก” กษัตริย์ผู้กอบกู้ นักรบผู้เดียวดาย สู่ตำนานมหาราช เบื้องหลังความจริงของวันประหาร ที่ยังเป็นปริศนา 📌 เรื่องราวสุดลึกซึ้งของ "พระเจ้าตากสินมหาราช" วีรกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราช สู่ฉากอวสานที่ยังคลุมเครือ หลังผ่านมา 243 ปี ความจริงของวันสำเร็จโทษ ยังรอการค้นหา ข้อเท็จจริงและปริศนา ที่ยังรอการคลี่คลาย ✨ 🔥 "พระเจ้าตาก" ตำนานนักรบผู้เดียวดาย ที่ยังไม่ถูกลืม วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 วันนั้นไม่ใช่เพียงการเริ่มต้นราชวงศ์จักรีเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” หรือ “พระเจ้ากรุงธนบุรี” เสด็จสวรรคตอย่างเป็นทางการ... หรืออาจจะไม่? 243 ปี ผ่านไป เรื่องราวของพระองค์ยังคงเป็นที่ถกเถียง 😢 ทั้งในแวดวงวิชาการ ประวัติศาสตร์ และสังคมไทยโดยรวม เพราะแม้จะได้รับการยกย่อง ให้เป็นวีรกษัตริย์ผู้กอบกู้ชาติ แต่จุดจบของพระองค์ กลับเต็มไปด้วยข้อสงสัย ความคลุมเครือ และคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบอย่างแท้จริง ย้อนเวลากลับไปสำรวจเรื่องราวของ "พระเจ้าตากสิน" ตั้งแต่วีรกรรมกู้ชาติ ไปจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต เพื่อค้นหาความจริง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในตำนานของพระองค์ 👑 "พระเจ้าตากสิน" กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี 🌊 จากนายทหาร สู่กษัตริย์ผู้กอบกู้ "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า "สิน" เป็นบุตรของชาวจีนแต้จิ๋ว โดยทรงเข้ารับราชการในสมัย "สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์" รัชกาลสุดท้ายแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 พระยาตากคือผู้นำที่ยืนหยัด และฝ่าทัพพม่าออกไปตั้งหลักที่จันทบุรี 🐎 พร้อมกับรวบรวมผู้คนและกำลังพล จนสามารถกลับมากู้ชาติ และยึดกรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า ได้ภายในเวลาเพียง 7 เดือน ✨ หลังจากนั้น ทรงย้ายราชธานีมาตั้งที่กรุงธนบุรี พร้อมปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และสถาปนา “อาณาจักรธนบุรี” 🏰 🌟 พระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ "พระเจ้าตากสิน" มิได้เป็นเพียงนักรบ แต่ทรงเป็นนักปกครอง ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พระองค์ทรงฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม อย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม 🎨📚 🔸 ส่งเสริมการค้ากับจีนและต่างประเทศ 🔸 ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยให้มีการอุปสมบทพระสงฆ์ใหม่จำนวนมาก 🔸 ส่งเสริมวรรณกรรม และการศึกษา 🔸 รวบรวมดินแดนที่แตกแยก กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระองค์ยังได้รับ การถวายพระราชสมัญญานามว่า “มหาราช” โดยรัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ 💖 ⚔️ จุดจบที่เป็นปริศนา วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสิน แม้พระองค์จะทรงกู้ชาติ และสร้างบ้านแปงเมือง แต่พระเจ้าตากก็ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายใน และการทรยศจากผู้ใกล้ชิด ในปี พ.ศ. 2325 พระยาสรรค์กับพวกได้ก่อการกบฏ อ้างว่าพระเจ้าตากสินมีพระสติวิปลาส ทำให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ต่อมาคือรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ยกทัพกลับจากเขมรเข้ากรุงธนบุรี และสั่งสำเร็จโทษพระเจ้าตากสินโดยการ “ตัดศีรษะ” ที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ในวันที่ 6 เมษายน 2325 👑 🕯️ พระชนมพรรษา 48 ปี ครองราชย์รวม 15 ปี แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? หลักฐานและคำบอกเล่าต่างๆ กลับชี้ไปในทิศทางที่แตกต่างกัน... 📚 พงศาวดาร หลากหลายข้อสันนิษฐาน 1️⃣ ฉบับพระราชหัตถเลขา ประหารโดยตัดศีรษะ เล่าว่า... พระเจ้าตากถูกตัดศีรษะโดยเพชฌฆาต ไม่มีการใช้คำว่า “สวรรคต” แต่ใช้คำว่า “ถึงแก่พิราลัย” แสดงว่าอาจถูกริดรอนพระยศ ก่อนที่สำเร็จโทษ 2️⃣ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ม็อบพาไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง ระบุว่า... “ทแกล้วทหารทั้งปวงมีใจเจ็บแค้น นำเอาพระเจ้าแผ่นดินไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง” โดยไม่ระบุวิธี 3️⃣ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ชนหมู่มากฆ่าพระองค์ กล่าวว่า... “ชนทั้งหลายมีความโกรธ ชวนกันกำจัดเสียจากราชสมบัติ แล้วพิฆาฎฆ่าเสีย” 4️⃣ พระยาทัศดาจัตุรงค์ หัวใจวายเฉียบพลัน เขียนว่า... “เกิดวิกลดลจิตประจุบัน ท้าวดับชีวัน” ซึ่งแปลว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยอาการหัวใจวาย 🕵️‍♂️ เรื่องเล่าหลัง 2475 สร้างตำนานใหม่ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เรื่องราวของพระเจ้าตาก ถูกนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบใหม่ โดยเน้นไปที่... การเป็นวีรกษัตริย์ของประชาชน อาทิ วรรณกรรมเรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน” ของภิกษุณีโพธิสัตว์ "วรมัย กบิลสิงห์" ซึ่งอ้างว่า “พระองค์ไม่ถูกประหาร แต่สับเปลี่ยนตัวกับนายมั่น” 🔍 จุดมุ่งหมายคือ การสร้างความรู้สึกร่วมของคนไทย สร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเน้นความสามัคคีแห่งชาติ 🇹🇭 🧠 ข้อวิเคราะห์ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ❓ พระเจ้าตากเสียสติจริงหรือ? เอกสารหลายฉบับระบุว่า พระองค์มีพระสติวิปลาส แต่บทสนทนาก่อนประหารที่ว่า “ขอเข้าเฝ้าสนทนาอีกสักสองสามคำ” นั้นชัดเจน และเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ 🤔 ❓ มีการสับเปลี่ยนตัวจริงหรือ? ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนใด ๆ รองรับ แต่แนวคิดนี้ ปรากฏอย่างแพร่หลายในวรรณกรรม และความเชื่อของประชาชน 📜 วันที่พระองค์ถูกลืม? วันที่ 6 เมษายน ถูกกำหนดให้เป็น "วันจักรี" เพื่อระลึกถึงการสถาปนาราชวงศ์จักรี โดยไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าตากเลย ทั้งที่วันเดียวกันนั้น คือวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เช่นกัน ทำให้เกิดคำถามในใจใครหลายคนว่า พระเจ้าตากถูก “กลบ” จากประวัติศาสตร์หรือไม่? 😢 🛕 พระเจ้าตากในความทรงจำของประชาชน แม้ประวัติศาสตร์ทางการจะบอกว่า พระองค์ถูกประหารชีวิต แต่ในความเชื่อของประชาชนทั่วไป พระเจ้าตากยังคงเป็น “วีรกษัตริย์ผู้ไม่เคยพ่าย” 🙏 มีการสักการะพระบรมรูปที่วงเวียนใหญ่ คนไทยเชื้อสายจีนเรียกพระองค์ว่า “แต่อ่วงกง” มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับพระองค์ 🧾 จากความจริง...สู่ตำนาน 243 ปีผ่านไป...วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินมหาราช ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม ปริศนา และความรู้สึกค้างคาใจ ของคนไทยจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ... พระเจ้าตากมิใช่เพียงนักรบผู้เดียวดาย แต่คือบุคคลผู้เปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นดินนี้ ไว้ในช่วงเวลาที่ยากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 060744 เม.ย. 2568 📱 #พระเจ้าตาก #สมเด็จพระเจ้าตากสิน #ประวัติศาสตร์ไทย #243ปีพระเจ้าตาก #ตำนานพระเจ้าตาก #วันประหารพระเจ้าตาก #วันจักรี #ราชวงศ์ธนบุรี #วีรกษัตริย์ไทย #กษัตริย์ผู้กอบกู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 985 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts