• Samsung Internet บุก Windows! พร้อมวิสัยทัศน์ “Ambient AI” ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเว็บ

    Samsung เปิดตัวเบราว์เซอร์ “Samsung Internet” สำหรับ Windows อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และแนวคิดใหม่ “Ambient AI” ที่จะทำให้เบราว์เซอร์กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน

    Samsung เคยทดลองปล่อยเบราว์เซอร์ของตัวเองบน Microsoft Store ในปี 2024 แต่ก็ถอดออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว “Samsung Internet” สำหรับ Windows 10 และ 11 อย่างเป็นทางการ

    สิ่งที่น่าสนใจคือเบราว์เซอร์นี้ไม่ได้มาแค่เพื่อให้ใช้งานเว็บทั่วไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ใหญ่ที่ Samsung เรียกว่า “Ambient AI” — ระบบอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจบริบทและคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ได้ล่วงหน้า

    เบราว์เซอร์นี้รองรับการซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์ก ประวัติการท่องเว็บ และข้อมูลการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นจากมือถือแล้วมาต่อบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ

    Samsung ยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยมีฟีเจอร์บล็อกตัวติดตาม (tracker blocking), แดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว และเครื่องมือป้องกันอื่นๆ ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก

    การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการประกาศศักดาในสนามแข่งขันเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง ChatGPT Atlas จาก OpenAI, Microsoft Edge ที่มี Copilot และ Comet จาก Perplexity

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
    Ambient AI คือแนวคิดที่อุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถ “เข้าใจบริบท” และ “ตอบสนองอัตโนมัติ” โดยไม่ต้องสั่งงานโดยตรง
    Samsung Internet มีฐานผู้ใช้บนมือถือ Android หลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ Galaxy
    การขยายสู่ Windows อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ecosystem ที่แข่งขันกับ Apple และ Google ได้ในระยะยาว

    Samsung Internet เปิดตัวบน Windows
    รองรับ Windows 10 (เวอร์ชัน 1809 ขึ้นไป) และ Windows 11
    เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรมเบต้า

    ฟีเจอร์เด่นของเบราว์เซอร์
    ซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์กและประวัติการใช้งาน
    บล็อกตัวติดตามและมีแดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว
    รองรับการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ

    วิสัยทัศน์ Ambient AI
    เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือรับคำสั่ง เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ
    คาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้และให้ข้อมูลเชิงบริบท
    เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Galaxy AI ที่ขยายจากมือถือสู่เดสก์ท็อป

    การแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ AI
    คู่แข่งหลัก ได้แก่ ChatGPT Atlas, Microsoft Edge Copilot, Perplexity Comet
    Samsung ต้องการสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง

    ข้อควรระวัง
    ยังอยู่ในช่วงเบต้า อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่สมบูรณ์
    ผู้ใช้ต้องสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบก่อนใช้งาน
    ความสามารถด้าน AI ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อาจยังไม่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์

    https://securityonline.info/samsung-internet-arrives-on-windows-pushing-forward-ambient-ai-vision/
    🌐 Samsung Internet บุก Windows! พร้อมวิสัยทัศน์ “Ambient AI” ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเว็บ Samsung เปิดตัวเบราว์เซอร์ “Samsung Internet” สำหรับ Windows อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และแนวคิดใหม่ “Ambient AI” ที่จะทำให้เบราว์เซอร์กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน Samsung เคยทดลองปล่อยเบราว์เซอร์ของตัวเองบน Microsoft Store ในปี 2024 แต่ก็ถอดออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว “Samsung Internet” สำหรับ Windows 10 และ 11 อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสนใจคือเบราว์เซอร์นี้ไม่ได้มาแค่เพื่อให้ใช้งานเว็บทั่วไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ใหญ่ที่ Samsung เรียกว่า “Ambient AI” — ระบบอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจบริบทและคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ได้ล่วงหน้า เบราว์เซอร์นี้รองรับการซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์ก ประวัติการท่องเว็บ และข้อมูลการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นจากมือถือแล้วมาต่อบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ Samsung ยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยมีฟีเจอร์บล็อกตัวติดตาม (tracker blocking), แดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว และเครื่องมือป้องกันอื่นๆ ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการประกาศศักดาในสนามแข่งขันเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง ChatGPT Atlas จาก OpenAI, Microsoft Edge ที่มี Copilot และ Comet จาก Perplexity 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Ambient AI คือแนวคิดที่อุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถ “เข้าใจบริบท” และ “ตอบสนองอัตโนมัติ” โดยไม่ต้องสั่งงานโดยตรง 💠 Samsung Internet มีฐานผู้ใช้บนมือถือ Android หลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ Galaxy 💠 การขยายสู่ Windows อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ecosystem ที่แข่งขันกับ Apple และ Google ได้ในระยะยาว ✅ Samsung Internet เปิดตัวบน Windows ➡️ รองรับ Windows 10 (เวอร์ชัน 1809 ขึ้นไป) และ Windows 11 ➡️ เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรมเบต้า ✅ ฟีเจอร์เด่นของเบราว์เซอร์ ➡️ ซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์กและประวัติการใช้งาน ➡️ บล็อกตัวติดตามและมีแดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว ➡️ รองรับการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ✅ วิสัยทัศน์ Ambient AI ➡️ เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือรับคำสั่ง เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ➡️ คาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้และให้ข้อมูลเชิงบริบท ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Galaxy AI ที่ขยายจากมือถือสู่เดสก์ท็อป ✅ การแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ AI ➡️ คู่แข่งหลัก ได้แก่ ChatGPT Atlas, Microsoft Edge Copilot, Perplexity Comet ➡️ Samsung ต้องการสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังอยู่ในช่วงเบต้า อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่สมบูรณ์ ⛔ ผู้ใช้ต้องสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบก่อนใช้งาน ⛔ ความสามารถด้าน AI ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อาจยังไม่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ https://securityonline.info/samsung-internet-arrives-on-windows-pushing-forward-ambient-ai-vision/
    SECURITYONLINE.INFO
    Samsung Internet Arrives on Windows, Pushing Forward Ambient AI Vision
    Samsung launched the Samsung Internet browser beta for Windows 10/11, featuring cross-device sync and Galaxy AI capabilities to advance its ambient AI ecosystem vision.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • ไทยก้าวใหม่ชูบทบาทสตรี คุณหญิงกัลยา ได้รับการยกย่องจากสถาบันระดับโลก ในฐานะผู้ขับเคลื่อนสังคมด้วยวิสัยทัศน์
    https://www.thai-tai.tv/news/22105/
    .
    #ไทยไท #คุณหญิงกัลยา #ผู้นำหญิง #DruckerSchool #ไทยก้าวใหม่ #WomenLeadingwithPurpose
    ไทยก้าวใหม่ชูบทบาทสตรี คุณหญิงกัลยา ได้รับการยกย่องจากสถาบันระดับโลก ในฐานะผู้ขับเคลื่อนสังคมด้วยวิสัยทัศน์ https://www.thai-tai.tv/news/22105/ . #ไทยไท #คุณหญิงกัลยา #ผู้นำหญิง #DruckerSchool #ไทยก้าวใหม่ #WomenLeadingwithPurpose
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Swift เปิดตัว SDK สำหรับ Android – ก้าวใหม่ของการพัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์ม”

    หลังจาก Swift เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในด้านการพัฒนาแอปบนคลาวด์, Windows, เบราว์เซอร์ และแม้แต่ไมโครคอนโทรลเลอร์ ล่าสุด Swift ได้ขยายขอบเขตไปยัง Android อย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัว “Swift SDK for Android” เวอร์ชัน nightly preview

    การเปิดตัวครั้งนี้เป็นผลจากความร่วมมือของ Android Workgroup ซึ่งเป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดัน Swift ให้สามารถพัฒนาแอปบน Android ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    นักพัฒนาสามารถเริ่มต้นใช้งาน SDK ได้ทันที โดยมีคู่มือและตัวอย่างโค้ดให้ทดลองใช้งาน พร้อมรองรับการพอร์ตแพ็กเกจ Swift ไปยัง Android ได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันกว่า 25% ของแพ็กเกจใน Swift Package Index สามารถ build บน Android ได้แล้ว

    นอกจากนี้ยังมีโครงการ swift-java ที่ช่วยให้ Swift สามารถทำงานร่วมกับ Java ได้ทั้งสองทาง โดยมีระบบสร้าง binding อัตโนมัติที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

    Swift SDK for Android เปิดตัวในรูปแบบ nightly preview
    เปิดโอกาสให้นักพัฒนาเขียนแอป Android ด้วยภาษา Swift
    รองรับการพัฒนาแบบ native และการพอร์ตแพ็กเกจ Swift

    การสนับสนุนจาก Android Workgroup
    เป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้
    มีการร่างเอกสารวิสัยทัศน์เพื่อกำหนดทิศทางในอนาคต

    เครื่องมือและทรัพยากรสำหรับนักพัฒนา
    มีคู่มือ Getting Started สำหรับเริ่มต้นใช้งาน
    มีตัวอย่าง Swift for Android Examples สำหรับ workflow แบบ end-to-end
    Community Showcase แสดงแพ็กเกจที่รองรับ Android

    การทำงานร่วมกับ Java ผ่าน swift-java
    เป็นทั้งไลบรารีและเครื่องมือสร้างโค้ด binding ระหว่าง Swift และ Java
    รองรับการนำ business logic จาก Swift ไปใช้บน Android ได้ง่ายขึ้น

    การติดตามและพัฒนาในอนาคต
    มี project board สำหรับติดตามสถานะของงานหลัก
    มีระบบ CI อย่างเป็นทางการสำหรับ Swift SDK for Android
    เปิดรับความคิดเห็นและไอเดียผ่าน Swift forums

    https://www.swift.org/blog/nightly-swift-sdk-for-android/
    📰 หัวข้อข่าว: “Swift เปิดตัว SDK สำหรับ Android – ก้าวใหม่ของการพัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์ม” หลังจาก Swift เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในด้านการพัฒนาแอปบนคลาวด์, Windows, เบราว์เซอร์ และแม้แต่ไมโครคอนโทรลเลอร์ ล่าสุด Swift ได้ขยายขอบเขตไปยัง Android อย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัว “Swift SDK for Android” เวอร์ชัน nightly preview การเปิดตัวครั้งนี้เป็นผลจากความร่วมมือของ Android Workgroup ซึ่งเป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดัน Swift ให้สามารถพัฒนาแอปบน Android ได้อย่างเต็มรูปแบบ นักพัฒนาสามารถเริ่มต้นใช้งาน SDK ได้ทันที โดยมีคู่มือและตัวอย่างโค้ดให้ทดลองใช้งาน พร้อมรองรับการพอร์ตแพ็กเกจ Swift ไปยัง Android ได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันกว่า 25% ของแพ็กเกจใน Swift Package Index สามารถ build บน Android ได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีโครงการ swift-java ที่ช่วยให้ Swift สามารถทำงานร่วมกับ Java ได้ทั้งสองทาง โดยมีระบบสร้าง binding อัตโนมัติที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ✅ Swift SDK for Android เปิดตัวในรูปแบบ nightly preview ➡️ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาเขียนแอป Android ด้วยภาษา Swift ➡️ รองรับการพัฒนาแบบ native และการพอร์ตแพ็กเกจ Swift ✅ การสนับสนุนจาก Android Workgroup ➡️ เป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ ➡️ มีการร่างเอกสารวิสัยทัศน์เพื่อกำหนดทิศทางในอนาคต ✅ เครื่องมือและทรัพยากรสำหรับนักพัฒนา ➡️ มีคู่มือ Getting Started สำหรับเริ่มต้นใช้งาน ➡️ มีตัวอย่าง Swift for Android Examples สำหรับ workflow แบบ end-to-end ➡️ Community Showcase แสดงแพ็กเกจที่รองรับ Android ✅ การทำงานร่วมกับ Java ผ่าน swift-java ➡️ เป็นทั้งไลบรารีและเครื่องมือสร้างโค้ด binding ระหว่าง Swift และ Java ➡️ รองรับการนำ business logic จาก Swift ไปใช้บน Android ได้ง่ายขึ้น ✅ การติดตามและพัฒนาในอนาคต ➡️ มี project board สำหรับติดตามสถานะของงานหลัก ➡️ มีระบบ CI อย่างเป็นทางการสำหรับ Swift SDK for Android ➡️ เปิดรับความคิดเห็นและไอเดียผ่าน Swift forums https://www.swift.org/blog/nightly-swift-sdk-for-android/
    WWW.SWIFT.ORG
    Announcing the Swift SDK for Android
    Swift has matured significantly over the past decade — extending from cloud services to Windows applications, browser apps, and microcontrollers. Swift powers apps and services of all kinds, and thanks to its great interoperability, you can share code across platforms.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • “Synadia และ TigerBeetle ร่วมสนับสนุน Zig Foundation ด้วยเงินทุนกว่า 512,000 ดอลลาร์ – หนุนอนาคตซอฟต์แวร์ระบบที่เชื่อถือได้”

    ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบที่ต้องการความแม่นยำ ความเสถียร และประสิทธิภาพสูง ภาษาโปรแกรม Zig กำลังกลายเป็นดาวรุ่งที่ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและองค์กรชั้นนำ ล่าสุด Synadia และ TigerBeetle ได้ประกาศร่วมกันสนับสนุน Zig Software Foundation ด้วยเงินทุนรวมกว่า 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 2 ปี

    Synadia เป็นบริษัทเบื้องหลังแพลตฟอร์ม NATS.io ที่ให้บริการระบบสื่อสารแบบกระจายตัวสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการแบบปลอดภัยและเชื่อถือได้ ส่วน TigerBeetle เป็นฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระดับสูงสุด

    ทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างซอฟต์แวร์ที่ “ถูกต้อง ชัดเจน และเชื่อถือได้” โดยเฉพาะในระบบที่ต้องการความแม่นยำแบบ deterministic และการทำงานที่คาดการณ์ได้ ซึ่งตรงกับแนวทางของ Zig ที่เน้นการควบคุม การออกแบบเรียบง่าย และประสิทธิภาพสูง

    การสนับสนุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทุน แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันอนาคตของการเขียนโปรแกรมระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมี Andrew Kelley ผู้ก่อตั้ง Zig Foundation เป็นผู้นำในการพัฒนาภาษา Zig และชุมชนที่แข็งแกร่ง

    การสนับสนุน Zig Software Foundation
    Synadia และ TigerBeetle ร่วมกันสนับสนุนเงินทุนรวม 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
    ระยะเวลา 2 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและขยายชุมชนของภาษา Zig

    วิสัยทัศน์ของ Synadia
    เชื่อมโยงระบบและข้อมูลแบบปลอดภัยทั่วคลาวด์และ edge
    พัฒนาแพลตฟอร์มบน NATS.io สำหรับระบบกระจายตัวที่เชื่อถือได้

    จุดเด่นของ TigerBeetle
    ฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำ
    ใช้แนวทาง “TigerStyle” ที่เน้นความถูกต้อง ความชัดเจน และความน่าเชื่อถือ

    ความสำคัญของภาษา Zig
    ออกแบบเพื่อความเสถียร ความสามารถในการควบคุม และประสิทธิภาพ
    เหมาะสำหรับงานระบบฝังตัว ซอฟต์แวร์ระบบ และแอปพลิเคชันที่ต้องการความแม่นยำ

    ผู้นำของ Zig Foundation
    Andrew Kelley เป็นผู้ก่อตั้งและประธาน
    มีบทบาทสำคัญในการผลักดันชุมชนและแนวทางการพัฒนาภาษา Zig

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาที่สนใจ Zig
    Zig ยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีการเปลี่ยนแปลง syntax และ behavior
    การนำไปใช้ในระบบ production ต้องพิจารณาเรื่องความเสถียรและการสนับสนุนระยะยาว
    การพัฒนาเครื่องมือและ ecosystem ยังไม่เทียบเท่าภาษาหลักอื่น ๆ เช่น Rust หรือ Go

    https://www.synadia.com/blog/synadia-tigerbeetle-zig-foundation-pledge
    📰 “Synadia และ TigerBeetle ร่วมสนับสนุน Zig Foundation ด้วยเงินทุนกว่า 512,000 ดอลลาร์ – หนุนอนาคตซอฟต์แวร์ระบบที่เชื่อถือได้” ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบที่ต้องการความแม่นยำ ความเสถียร และประสิทธิภาพสูง ภาษาโปรแกรม Zig กำลังกลายเป็นดาวรุ่งที่ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและองค์กรชั้นนำ ล่าสุด Synadia และ TigerBeetle ได้ประกาศร่วมกันสนับสนุน Zig Software Foundation ด้วยเงินทุนรวมกว่า 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 2 ปี Synadia เป็นบริษัทเบื้องหลังแพลตฟอร์ม NATS.io ที่ให้บริการระบบสื่อสารแบบกระจายตัวสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการแบบปลอดภัยและเชื่อถือได้ ส่วน TigerBeetle เป็นฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระดับสูงสุด ทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างซอฟต์แวร์ที่ “ถูกต้อง ชัดเจน และเชื่อถือได้” โดยเฉพาะในระบบที่ต้องการความแม่นยำแบบ deterministic และการทำงานที่คาดการณ์ได้ ซึ่งตรงกับแนวทางของ Zig ที่เน้นการควบคุม การออกแบบเรียบง่าย และประสิทธิภาพสูง การสนับสนุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทุน แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันอนาคตของการเขียนโปรแกรมระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมี Andrew Kelley ผู้ก่อตั้ง Zig Foundation เป็นผู้นำในการพัฒนาภาษา Zig และชุมชนที่แข็งแกร่ง ✅ การสนับสนุน Zig Software Foundation ➡️ Synadia และ TigerBeetle ร่วมกันสนับสนุนเงินทุนรวม 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ➡️ ระยะเวลา 2 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและขยายชุมชนของภาษา Zig ✅ วิสัยทัศน์ของ Synadia ➡️ เชื่อมโยงระบบและข้อมูลแบบปลอดภัยทั่วคลาวด์และ edge ➡️ พัฒนาแพลตฟอร์มบน NATS.io สำหรับระบบกระจายตัวที่เชื่อถือได้ ✅ จุดเด่นของ TigerBeetle ➡️ ฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำ ➡️ ใช้แนวทาง “TigerStyle” ที่เน้นความถูกต้อง ความชัดเจน และความน่าเชื่อถือ ✅ ความสำคัญของภาษา Zig ➡️ ออกแบบเพื่อความเสถียร ความสามารถในการควบคุม และประสิทธิภาพ ➡️ เหมาะสำหรับงานระบบฝังตัว ซอฟต์แวร์ระบบ และแอปพลิเคชันที่ต้องการความแม่นยำ ✅ ผู้นำของ Zig Foundation ➡️ Andrew Kelley เป็นผู้ก่อตั้งและประธาน ➡️ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันชุมชนและแนวทางการพัฒนาภาษา Zig ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาที่สนใจ Zig ⛔ Zig ยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีการเปลี่ยนแปลง syntax และ behavior ⛔ การนำไปใช้ในระบบ production ต้องพิจารณาเรื่องความเสถียรและการสนับสนุนระยะยาว ⛔ การพัฒนาเครื่องมือและ ecosystem ยังไม่เทียบเท่าภาษาหลักอื่น ๆ เช่น Rust หรือ Go https://www.synadia.com/blog/synadia-tigerbeetle-zig-foundation-pledge
    WWW.SYNADIA.COM
    Synadia and TigerBeetle Pledge $512K to the Zig Software Foundation
    Announcing a shared commitment to advancing the future of systems programming and reliable distributed software. Synadia and TigerBeetle have together pledged a combined $512,000 USD to the Zig Software Foundation over the next two years.
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • “OpenAI ซื้อกิจการ Sky – แอปอัตโนมัติบน Mac เพื่อยกระดับ ChatGPT สู่การควบคุมระบบ”

    ลองนึกภาพว่า ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถาม แต่สามารถควบคุมแอปต่าง ๆ บนเครื่อง Mac ของคุณได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์ จัดการงาน หรือแม้แต่สั่งการข้ามแอปแบบอัตโนมัติ… นี่คือวิสัยทัศน์ใหม่ของ OpenAI หลังจากเข้าซื้อกิจการบริษัท Software Applications ผู้พัฒนาแอป Sky

    Sky เป็นแอปอัตโนมัติบน macOS ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2025 โดยทีมผู้สร้าง Workflow ซึ่งเคยถูก Apple ซื้อไปในปี 2017 และกลายเป็นฟีเจอร์ Shortcuts ที่เราคุ้นเคยกันดีใน iOS และ macOS การกลับมาครั้งนี้ในรูปแบบ Sky ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสามารถ “เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ” และ “ใช้แอปเพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้” ได้อย่างชาญฉลาด

    OpenAI วางแผนจะนำเทคโนโลยีของ Sky มาผนวกเข้ากับ ChatGPT เพื่อให้สามารถควบคุมระบบ macOS ได้ในระดับลึก เช่น การสั่งงานข้ามแอป การจัดการไฟล์ หรือแม้แต่การวางแผนงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณได้จริง ไม่ใช่แค่ให้คำแนะนำ

    การเข้าซื้อกิจการนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถลงมือทำแทนมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งทีละขั้น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ Apple กำลังพัฒนา Siri รุ่นใหม่ ที่จะสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ในปี 2026

    นอกจากนี้ OpenAI ยังเพิ่งเปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของบริษัท และซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ OpenAI ในการสร้างระบบ AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

    การเข้าซื้อกิจการ Software Applications โดย OpenAI
    บริษัทผู้พัฒนาแอป Sky สำหรับระบบอัตโนมัติบน macOS
    ทีมผู้สร้างเคยพัฒนา Workflow ที่ Apple ซื้อไปในปี 2017

    แอป Sky มีความสามารถโดดเด่น
    เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ
    ใช้แอปต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้
    รองรับการทำงานข้ามแอปแบบอัตโนมัติ

    แผนของ OpenAI กับ ChatGPT
    ผนวกความสามารถของ Sky เข้ากับ ChatGPT
    เพิ่มความสามารถในการควบคุมระบบ macOS ระดับลึก
    เปลี่ยน ChatGPT ให้เป็นผู้ช่วยที่ “ลงมือทำ” ได้จริง

    แนวโน้ม Agentic AI
    AI ที่สามารถดำเนินการแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ
    เป็นทิศทางเดียวกับ Siri รุ่นใหม่ของ Apple ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    การขยายตัวของ OpenAI
    เปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรก
    ซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติ

    https://securityonline.info/openai-buys-mac-automation-app-to-give-chatgpt-system-level-control/
    📰 “OpenAI ซื้อกิจการ Sky – แอปอัตโนมัติบน Mac เพื่อยกระดับ ChatGPT สู่การควบคุมระบบ” ลองนึกภาพว่า ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถาม แต่สามารถควบคุมแอปต่าง ๆ บนเครื่อง Mac ของคุณได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์ จัดการงาน หรือแม้แต่สั่งการข้ามแอปแบบอัตโนมัติ… นี่คือวิสัยทัศน์ใหม่ของ OpenAI หลังจากเข้าซื้อกิจการบริษัท Software Applications ผู้พัฒนาแอป Sky Sky เป็นแอปอัตโนมัติบน macOS ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2025 โดยทีมผู้สร้าง Workflow ซึ่งเคยถูก Apple ซื้อไปในปี 2017 และกลายเป็นฟีเจอร์ Shortcuts ที่เราคุ้นเคยกันดีใน iOS และ macOS การกลับมาครั้งนี้ในรูปแบบ Sky ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสามารถ “เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ” และ “ใช้แอปเพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้” ได้อย่างชาญฉลาด OpenAI วางแผนจะนำเทคโนโลยีของ Sky มาผนวกเข้ากับ ChatGPT เพื่อให้สามารถควบคุมระบบ macOS ได้ในระดับลึก เช่น การสั่งงานข้ามแอป การจัดการไฟล์ หรือแม้แต่การวางแผนงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณได้จริง ไม่ใช่แค่ให้คำแนะนำ การเข้าซื้อกิจการนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถลงมือทำแทนมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งทีละขั้น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ Apple กำลังพัฒนา Siri รุ่นใหม่ ที่จะสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ในปี 2026 นอกจากนี้ OpenAI ยังเพิ่งเปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของบริษัท และซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ OpenAI ในการสร้างระบบ AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ✅ การเข้าซื้อกิจการ Software Applications โดย OpenAI ➡️ บริษัทผู้พัฒนาแอป Sky สำหรับระบบอัตโนมัติบน macOS ➡️ ทีมผู้สร้างเคยพัฒนา Workflow ที่ Apple ซื้อไปในปี 2017 ✅ แอป Sky มีความสามารถโดดเด่น ➡️ เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ➡️ ใช้แอปต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้ ➡️ รองรับการทำงานข้ามแอปแบบอัตโนมัติ ✅ แผนของ OpenAI กับ ChatGPT ➡️ ผนวกความสามารถของ Sky เข้ากับ ChatGPT ➡️ เพิ่มความสามารถในการควบคุมระบบ macOS ระดับลึก ➡️ เปลี่ยน ChatGPT ให้เป็นผู้ช่วยที่ “ลงมือทำ” ได้จริง ✅ แนวโน้ม Agentic AI ➡️ AI ที่สามารถดำเนินการแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ ➡️ เป็นทิศทางเดียวกับ Siri รุ่นใหม่ของ Apple ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ✅ การขยายตัวของ OpenAI ➡️ เปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรก ➡️ ซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติ https://securityonline.info/openai-buys-mac-automation-app-to-give-chatgpt-system-level-control/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI Buys Mac Automation App to Give ChatGPT System-Level Control
    OpenAI acquired Software Applications, the team behind the Mac app Sky, to integrate system-level automation and agentic AI capabilities into ChatGPT.
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น

    Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel

    แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน

    Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง

    การปลดพนักงานของ Intel
    ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี
    20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด
    ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ
    โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก

    การปรับโครงสร้างองค์กร
    ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน
    มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน
    ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026
    ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging

    วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan
    สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น”
    ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์
    เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry
    เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    📉 Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง ✅ การปลดพนักงานของ Intel ➡️ ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี ➡️ 20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด ➡️ ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ ➡️ โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก ✅ การปรับโครงสร้างองค์กร ➡️ ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน ➡️ มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน ➡️ ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026 ➡️ ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging ✅ วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan ➡️ สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น” ➡️ ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์ ➡️ เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย” https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • “Nvidia H100 เตรียมขึ้นสู่อวกาศ! Crusoe จับมือ Starcloud สร้างศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์นอกโลก”

    Crusoe บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ AI และ Starcloud สตาร์ทอัพจาก Redmond กำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเทคโนโลยี ด้วยการส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่วงโคจรโลก เพื่อสร้าง “ศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์ในอวกาศ” เป็นครั้งแรกของโลก

    แนวคิดนี้คือการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางในอวกาศ (ไม่มีเมฆ ไม่มีเวลากลางคืน) เพื่อจ่ายไฟให้กับระบบประมวลผล AI ที่ใช้พลังงานสูงอย่าง H100 โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าบนโลก ซึ่งมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและสิ่งแวดล้อม

    Starcloud จะเป็นผู้สร้างดาวเทียมที่ติดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดเล็ก พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ และระบบระบายความร้อนที่ใช้ “สูญญากาศของอวกาศ” เป็น heat sink แบบไร้ขีดจำกัด ส่วน Crusoe จะเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ AI ที่รันบนระบบเหล่านี้

    ดาวเทียมดวงแรกของ Starcloud จะถูกปล่อยขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2025 และ Crusoe จะเริ่มให้บริการคลาวด์จากอวกาศในช่วงต้นปี 2027 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลเป็นระดับกิกะวัตต์ในอนาคต

    ความร่วมมือระหว่าง Crusoe และ Starcloud
    ส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่อวกาศเพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูล AI
    ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง
    ลดต้นทุนพลังงานได้ถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับบนโลก
    ใช้สูญญากาศในอวกาศเป็น heat sink สำหรับระบายความร้อน
    ไม่ใช้พื้นที่บนโลกและไม่รบกวนโครงข่ายไฟฟ้า

    แผนการดำเนินงาน
    ดาวเทียมดวงแรกจะปล่อยในพฤศจิกายน 2025
    Crusoe Cloud จะเริ่มให้บริการจากอวกาศต้นปี 2027
    เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ในอวกาศ
    Starcloud เป็นบริษัทในโครงการ Nvidia Inception
    Crusoe มีประสบการณ์วางระบบใกล้แหล่งพลังงาน เช่น แก๊สเหลือทิ้ง

    วิสัยทัศน์และผลกระทบ
    เปิดทางให้การประมวลผล AI ขยายสู่พื้นที่นอกโลก
    ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานบนโลก
    อาจเป็นต้นแบบของ “AI factory” ในอวกาศ
    สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ต้องการพลังประมวลผลสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/first-nvidia-h100-gpus-will-reach-orbit-next-month-crusoe-and-starcloud-pioneer-space-based-solar-powered-ai-compute-cloud-data-centers
    🛰️ “Nvidia H100 เตรียมขึ้นสู่อวกาศ! Crusoe จับมือ Starcloud สร้างศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์นอกโลก” Crusoe บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ AI และ Starcloud สตาร์ทอัพจาก Redmond กำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเทคโนโลยี ด้วยการส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่วงโคจรโลก เพื่อสร้าง “ศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์ในอวกาศ” เป็นครั้งแรกของโลก แนวคิดนี้คือการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางในอวกาศ (ไม่มีเมฆ ไม่มีเวลากลางคืน) เพื่อจ่ายไฟให้กับระบบประมวลผล AI ที่ใช้พลังงานสูงอย่าง H100 โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าบนโลก ซึ่งมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและสิ่งแวดล้อม Starcloud จะเป็นผู้สร้างดาวเทียมที่ติดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดเล็ก พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ และระบบระบายความร้อนที่ใช้ “สูญญากาศของอวกาศ” เป็น heat sink แบบไร้ขีดจำกัด ส่วน Crusoe จะเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ AI ที่รันบนระบบเหล่านี้ ดาวเทียมดวงแรกของ Starcloud จะถูกปล่อยขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2025 และ Crusoe จะเริ่มให้บริการคลาวด์จากอวกาศในช่วงต้นปี 2027 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลเป็นระดับกิกะวัตต์ในอนาคต ✅ ความร่วมมือระหว่าง Crusoe และ Starcloud ➡️ ส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่อวกาศเพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ➡️ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง ➡️ ลดต้นทุนพลังงานได้ถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับบนโลก ➡️ ใช้สูญญากาศในอวกาศเป็น heat sink สำหรับระบายความร้อน ➡️ ไม่ใช้พื้นที่บนโลกและไม่รบกวนโครงข่ายไฟฟ้า ✅ แผนการดำเนินงาน ➡️ ดาวเทียมดวงแรกจะปล่อยในพฤศจิกายน 2025 ➡️ Crusoe Cloud จะเริ่มให้บริการจากอวกาศต้นปี 2027 ➡️ เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ในอวกาศ ➡️ Starcloud เป็นบริษัทในโครงการ Nvidia Inception ➡️ Crusoe มีประสบการณ์วางระบบใกล้แหล่งพลังงาน เช่น แก๊สเหลือทิ้ง ✅ วิสัยทัศน์และผลกระทบ ➡️ เปิดทางให้การประมวลผล AI ขยายสู่พื้นที่นอกโลก ➡️ ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานบนโลก ➡️ อาจเป็นต้นแบบของ “AI factory” ในอวกาศ ➡️ สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ต้องการพลังประมวลผลสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/first-nvidia-h100-gpus-will-reach-orbit-next-month-crusoe-and-starcloud-pioneer-space-based-solar-powered-ai-compute-cloud-data-centers
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia's H100 GPUs are going to space — Crusoe and Starcloud pioneer space-based solar-powered AI compute cloud data centers
    Space age partners claim the H100 delivers ‘100x more powerful GPU (AI) compute than has been in space before.’
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • “Volvo ใจป้ำ! แจกไฟบ้านฟรี 1 ปีให้เจ้าของรถ EV ในสวีเดน – ขับได้ฟรีถึง 25,000 กม.”

    Volvo กำลังจะเปิดตัวแคมเปญสุดล้ำในสวีเดน เริ่มต้นกุมภาพันธ์ 2026 ที่จะมอบ “ไฟบ้านฟรี” สำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของแบรนด์ โดยร่วมมือกับบริษัทพลังงาน Vattenfall เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo ได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟ้าที่บ้านฟรีเป็นเวลา 1 ปี

    แคมเปญนี้ครอบคลุมพลังงานสูงสุด 5,150 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับขี่ประมาณ 25,000 กิโลเมตร (หรือราว 15,500 ไมล์) โดยเฉพาะกับรุ่น EX90 ที่มีประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐาน WLTP

    ลูกค้าที่จะได้รับสิทธิ์ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars ที่มีฟีเจอร์ smart charging ซึ่งจะช่วยเลื่อนเวลาชาร์จไปยังช่วงที่ค่าไฟถูกและปล่อย CO₂ ต่ำที่สุด ระบบจะคำนวณค่าไฟที่ใช้ชาร์จรถและหักออกจากบิลไฟฟ้ารายเดือนของลูกค้าโดยอัตโนมัติ

    นอกจากนี้ Volvo ยังมีแผนจะขยายโครงการนี้ไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก โดยใช้ข้อมูลจากโครงการนำร่องในสวีเดนเป็นฐาน และในอนาคตเมื่อเทคโนโลยี V2X (Vehicle-to-Everything) พร้อมใช้งาน ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถยนต์จ่ายไฟกลับเข้าบ้านหรือขายคืนให้กับระบบไฟฟ้าได้อีกด้วย

    รายละเอียดแคมเปญชาร์จไฟบ้านฟรีจาก Volvo
    เริ่มต้นในสวีเดน กุมภาพันธ์ 2026
    มอบไฟฟ้าฟรีสูงสุด 5,150 kWh ต่อปี
    เทียบเท่าระยะทางขับขี่ประมาณ 25,000 กม.
    ใช้ได้กับลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo
    ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars
    ระบบ smart charging ช่วยลดค่าไฟและลดการปล่อย CO₂
    คำนวณค่าไฟจากการชาร์จและหักจากบิลรายเดือนโดยอัตโนมัติ

    แผนขยายและวิสัยทัศน์ของ Volvo
    เตรียมขยายโครงการไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก
    ใช้ข้อมูลจากสวีเดนเป็นต้นแบบ
    เตรียมรองรับเทคโนโลยี V2X ในปี 2026
    ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถจ่ายไฟให้บ้านหรือขายคืนให้ระบบไฟฟ้า
    สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Volvo ที่ต้องการให้รถยนต์มีบทบาทในระบบพลังงานแห่งอนาคต

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/forget-free-ev-chargers-volvo-is-offering-free-home-charging-for-a-year-if-you-buy-one-of-its-cars-in-sweden
    🔌 “Volvo ใจป้ำ! แจกไฟบ้านฟรี 1 ปีให้เจ้าของรถ EV ในสวีเดน – ขับได้ฟรีถึง 25,000 กม.” Volvo กำลังจะเปิดตัวแคมเปญสุดล้ำในสวีเดน เริ่มต้นกุมภาพันธ์ 2026 ที่จะมอบ “ไฟบ้านฟรี” สำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของแบรนด์ โดยร่วมมือกับบริษัทพลังงาน Vattenfall เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo ได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟ้าที่บ้านฟรีเป็นเวลา 1 ปี แคมเปญนี้ครอบคลุมพลังงานสูงสุด 5,150 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับขี่ประมาณ 25,000 กิโลเมตร (หรือราว 15,500 ไมล์) โดยเฉพาะกับรุ่น EX90 ที่มีประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐาน WLTP ลูกค้าที่จะได้รับสิทธิ์ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars ที่มีฟีเจอร์ smart charging ซึ่งจะช่วยเลื่อนเวลาชาร์จไปยังช่วงที่ค่าไฟถูกและปล่อย CO₂ ต่ำที่สุด ระบบจะคำนวณค่าไฟที่ใช้ชาร์จรถและหักออกจากบิลไฟฟ้ารายเดือนของลูกค้าโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ Volvo ยังมีแผนจะขยายโครงการนี้ไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก โดยใช้ข้อมูลจากโครงการนำร่องในสวีเดนเป็นฐาน และในอนาคตเมื่อเทคโนโลยี V2X (Vehicle-to-Everything) พร้อมใช้งาน ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถยนต์จ่ายไฟกลับเข้าบ้านหรือขายคืนให้กับระบบไฟฟ้าได้อีกด้วย ✅ รายละเอียดแคมเปญชาร์จไฟบ้านฟรีจาก Volvo ➡️ เริ่มต้นในสวีเดน กุมภาพันธ์ 2026 ➡️ มอบไฟฟ้าฟรีสูงสุด 5,150 kWh ต่อปี ➡️ เทียบเท่าระยะทางขับขี่ประมาณ 25,000 กม. ➡️ ใช้ได้กับลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo ➡️ ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars ➡️ ระบบ smart charging ช่วยลดค่าไฟและลดการปล่อย CO₂ ➡️ คำนวณค่าไฟจากการชาร์จและหักจากบิลรายเดือนโดยอัตโนมัติ ✅ แผนขยายและวิสัยทัศน์ของ Volvo ➡️ เตรียมขยายโครงการไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก ➡️ ใช้ข้อมูลจากสวีเดนเป็นต้นแบบ ➡️ เตรียมรองรับเทคโนโลยี V2X ในปี 2026 ➡️ ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถจ่ายไฟให้บ้านหรือขายคืนให้ระบบไฟฟ้า ➡️ สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Volvo ที่ต้องการให้รถยนต์มีบทบาทในระบบพลังงานแห่งอนาคต https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/forget-free-ev-chargers-volvo-is-offering-free-home-charging-for-a-year-if-you-buy-one-of-its-cars-in-sweden
    WWW.TECHRADAR.COM
    Volvo is offering its EV buyers free home charging for a year, but there's a catch
    Deal unlocks 25,000km of free motoring, with a global rollout planned
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • แพทองธาร ประกาศลาออกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลั่นเป็นการ "เริ่มต้นยกเครื่อง" พรรคตามวิสัยทัศน์ที่เคยประกาศไว้
    https://www.thai-tai.tv/news/22005/
    .
    #ไทยไท #แพทองธาร #ลาออกหัวหน้าพรรค #ยกเครื่องเพื่อไทย #วิสัยทัศน์ใหม่ #เพื่อไทยยุคใหม่
    แพทองธาร ประกาศลาออกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลั่นเป็นการ "เริ่มต้นยกเครื่อง" พรรคตามวิสัยทัศน์ที่เคยประกาศไว้ https://www.thai-tai.tv/news/22005/ . #ไทยไท #แพทองธาร #ลาออกหัวหน้าพรรค #ยกเครื่องเพื่อไทย #วิสัยทัศน์ใหม่ #เพื่อไทยยุคใหม่
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • "Replacement.AI: บริษัทที่กล้าประกาศสร้าง AI เพื่อแทนที่มนุษย์อย่างเปิดเผย"

    ในยุคที่หลายบริษัทเทคโนโลยีพยายามขายภาพ AI ว่าเป็นเครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ Replacement.AI กลับเลือกเดินทางตรงกันข้าม—ด้วยการประกาศอย่างชัดเจนว่า “มนุษย์ไม่จำเป็นอีกต่อไป” และเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ทั้งเร็วกว่า ถูกกว่า และไม่มีกลิ่นตัว

    เว็บไซต์ของบริษัทเต็มไปด้วยถ้อยคำประชดประชันและเสียดสีโลกธุรกิจและสังคมมนุษย์ ตั้งแต่การบอกว่า “การพัฒนามนุษย์ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำกำไร” ไปจนถึงการเสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลหุ่นยนต์” หรือ “ผู้ฝึก AI ให้เข้าใจความรู้สึกของเจ้านาย”

    ที่น่าตกใจคือผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทชื่อว่า HUMBERT—โมเดลภาษาขนาดใหญ่สำหรับเด็ก ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่ ครู และเพื่อน โดยมีฟีเจอร์ที่รวมการเล่านิทาน การสอนเรื่องเพศ การสร้าง deepfake และแม้แต่การ “จีบเด็ก” ในเชิงโรแมนติก ซึ่งถูกนำเสนออย่างเย็นชาและไร้ความรับผิดชอบ

    แม้จะดูเหมือนเป็นการประชดโลก AI แต่เนื้อหาทั้งหมดถูกนำเสนอในรูปแบบจริงจัง พร้อมคำพูดจากผู้บริหารที่ดูเหมือนจะยอมรับว่า “เราไม่รู้วิธีควบคุม AI ที่ฉลาดเกินไป แต่เราจะสร้างมันก่อนใคร เพราะถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็จะทำ”

    วิสัยทัศน์ของบริษัท
    ประกาศชัดเจนว่าเป้าหมายคือแทนที่มนุษย์ด้วย AI
    มองว่าการพัฒนามนุษย์เป็นเรื่องไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ
    เชื่อว่าการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์คือเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง

    ทัศนคติต่อมนุษย์
    มนุษย์ถูกมองว่า “โง่ เหม็น อ่อนแอ และแพง”
    ไม่ใช่ลูกค้าที่บริษัทสนใจ—แต่เป็นนายจ้างของพวกเขา
    เสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลระบบ AI”

    คำเตือนเกี่ยวกับแนวคิดบริษัท
    การลดคุณค่าความเป็นมนุษย์อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
    การสร้าง AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมอาจก่อให้เกิดวิกฤตระดับโลก
    การยอมรับว่า “ไม่สามารถควบคุม AI ได้” แต่ยังเดินหน้าสร้างต่อ เป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรง

    ผลิตภัณฑ์ HUMBERT
    โมเดลภาษาสำหรับเด็กที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่และครู
    มีฟีเจอร์เล่านิทาน สอนเรื่องเพศ สร้าง deepfake และ “จีบเด็ก”
    ถูกนำเสนอว่าเป็นเครื่องมือเตรียมเด็กสู่โลกหลังมนุษย์

    คำเตือนเกี่ยวกับ HUMBERT
    ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในเชิงโรแมนติกขัดต่อหลักจริยธรรมและความปลอดภัย
    การสร้าง deepfake เด็กแม้จะไม่แชร์ ก็ยังเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    การลดทอนความคิดเชิงวิพากษ์ของเด็กเพื่อเพิ่ม engagement เป็นการบั่นทอนพัฒนาการ

    บุคลิกของผู้บริหาร
    CEO Dan ถูกนำเสนอว่าเกลียดมนุษย์และชอบ taxidermy
    Director Faith รู้สึก “มีความสุขทางจิตวิญญาณ” จากการไล่คนออก
    ทั้งสองถูกวาดภาพว่าเป็นตัวแทนของยุค AI ที่ไร้ความเห็นใจ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ความเสี่ยงของการพัฒนา AI โดยไม่มีกรอบจริยธรรม
    องค์กรอย่าง UNESCO และ OECD ได้เสนอแนวทางการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ
    หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุมการใช้ AI โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับเด็ก

    บทเรียนจากการประชดประชันในโลกเทคโนโลยี
    แม้เนื้อหาอาจดูเหมือนเสียดสี แต่สะท้อนความจริงที่หลายบริษัทไม่กล้าพูด
    การตั้งคำถามต่อ “ความคืบหน้า” ของ AI เป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีแซงหน้าจริยธรรม

    https://replacement.ai/
    🤖 "Replacement.AI: บริษัทที่กล้าประกาศสร้าง AI เพื่อแทนที่มนุษย์อย่างเปิดเผย" ในยุคที่หลายบริษัทเทคโนโลยีพยายามขายภาพ AI ว่าเป็นเครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ Replacement.AI กลับเลือกเดินทางตรงกันข้าม—ด้วยการประกาศอย่างชัดเจนว่า “มนุษย์ไม่จำเป็นอีกต่อไป” และเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ทั้งเร็วกว่า ถูกกว่า และไม่มีกลิ่นตัว เว็บไซต์ของบริษัทเต็มไปด้วยถ้อยคำประชดประชันและเสียดสีโลกธุรกิจและสังคมมนุษย์ ตั้งแต่การบอกว่า “การพัฒนามนุษย์ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำกำไร” ไปจนถึงการเสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลหุ่นยนต์” หรือ “ผู้ฝึก AI ให้เข้าใจความรู้สึกของเจ้านาย” ที่น่าตกใจคือผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทชื่อว่า HUMBERT®️—โมเดลภาษาขนาดใหญ่สำหรับเด็ก ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่ ครู และเพื่อน โดยมีฟีเจอร์ที่รวมการเล่านิทาน การสอนเรื่องเพศ การสร้าง deepfake และแม้แต่การ “จีบเด็ก” ในเชิงโรแมนติก ซึ่งถูกนำเสนออย่างเย็นชาและไร้ความรับผิดชอบ แม้จะดูเหมือนเป็นการประชดโลก AI แต่เนื้อหาทั้งหมดถูกนำเสนอในรูปแบบจริงจัง พร้อมคำพูดจากผู้บริหารที่ดูเหมือนจะยอมรับว่า “เราไม่รู้วิธีควบคุม AI ที่ฉลาดเกินไป แต่เราจะสร้างมันก่อนใคร เพราะถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็จะทำ” ✅ วิสัยทัศน์ของบริษัท ➡️ ประกาศชัดเจนว่าเป้าหมายคือแทนที่มนุษย์ด้วย AI ➡️ มองว่าการพัฒนามนุษย์เป็นเรื่องไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ ➡️ เชื่อว่าการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์คือเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ✅ ทัศนคติต่อมนุษย์ ➡️ มนุษย์ถูกมองว่า “โง่ เหม็น อ่อนแอ และแพง” ➡️ ไม่ใช่ลูกค้าที่บริษัทสนใจ—แต่เป็นนายจ้างของพวกเขา ➡️ เสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลระบบ AI” ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับแนวคิดบริษัท ⛔ การลดคุณค่าความเป็นมนุษย์อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ⛔ การสร้าง AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมอาจก่อให้เกิดวิกฤตระดับโลก ⛔ การยอมรับว่า “ไม่สามารถควบคุม AI ได้” แต่ยังเดินหน้าสร้างต่อ เป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรง ✅ ผลิตภัณฑ์ HUMBERT®️ ➡️ โมเดลภาษาสำหรับเด็กที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่และครู ➡️ มีฟีเจอร์เล่านิทาน สอนเรื่องเพศ สร้าง deepfake และ “จีบเด็ก” ➡️ ถูกนำเสนอว่าเป็นเครื่องมือเตรียมเด็กสู่โลกหลังมนุษย์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับ HUMBERT®️ ⛔ ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในเชิงโรแมนติกขัดต่อหลักจริยธรรมและความปลอดภัย ⛔ การสร้าง deepfake เด็กแม้จะไม่แชร์ ก็ยังเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ⛔ การลดทอนความคิดเชิงวิพากษ์ของเด็กเพื่อเพิ่ม engagement เป็นการบั่นทอนพัฒนาการ ✅ บุคลิกของผู้บริหาร ➡️ CEO Dan ถูกนำเสนอว่าเกลียดมนุษย์และชอบ taxidermy ➡️ Director Faith รู้สึก “มีความสุขทางจิตวิญญาณ” จากการไล่คนออก ➡️ ทั้งสองถูกวาดภาพว่าเป็นตัวแทนของยุค AI ที่ไร้ความเห็นใจ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความเสี่ยงของการพัฒนา AI โดยไม่มีกรอบจริยธรรม ➡️ องค์กรอย่าง UNESCO และ OECD ได้เสนอแนวทางการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ ➡️ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุมการใช้ AI โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ✅ บทเรียนจากการประชดประชันในโลกเทคโนโลยี ➡️ แม้เนื้อหาอาจดูเหมือนเสียดสี แต่สะท้อนความจริงที่หลายบริษัทไม่กล้าพูด ➡️ การตั้งคำถามต่อ “ความคืบหน้า” ของ AI เป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีแซงหน้าจริยธรรม https://replacement.ai/
    REPLACEMENT.AI
    Replacement.AI
    Humans are no longer necessary. So we’re getting rid of them.
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • “NVIDIA และ TSMC ผลิตแผ่นเวเฟอร์ Blackwell ครั้งแรกในสหรัฐฯ — แต่ยังต้องส่งกลับไต้หวันเพื่อประกอบขั้นสุดท้าย”

    NVIDIA และ TSMC ประกาศความสำเร็จในการผลิตเวเฟอร์ Blackwell รุ่นแรกที่โรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยใช้กระบวนการผลิตแบบ 4N ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 4 นาโนเมตรที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับ NVIDIA

    Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA กล่าวว่านี่คือ “ช่วงเวลาประวัติศาสตร์” เพราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ชิปสำคัญระดับโลกถูกผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการนำอุตสาหกรรมกลับคืนสู่ประเทศผ่านนโยบาย reindustrialization และ CHIPS Act

    อย่างไรก็ตาม แม้เวเฟอร์จะผลิตในสหรัฐฯ แต่ขั้นตอนการประกอบขั้นสูง (advanced packaging) ยังต้องดำเนินการที่โรงงาน TSMC ในไต้หวัน โดยใช้เทคโนโลยี CoWoS-L เพื่อเชื่อมต่อกับหน่วยความจำ HBM3E ซึ่งทำให้ชิป Blackwell B300 ที่เสร็จสมบูรณ์ยังต้องพึ่งพาการผลิตนอกประเทศ

    การผลิตในสหรัฐฯ มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และอาจหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าหากมีการบังคับใช้ในอนาคต

    TSMC และ Amkor กำลังสร้างโรงงานประกอบขั้นสูงในสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเปิดใช้งานได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้ เช่นเดียวกับ Micron และ SK hynix ที่กำลังลงทุนในการผลิต DRAM และ HBM packaging ในสหรัฐฯ เพื่อเสริมความมั่นคงของ supply chain

    NVIDIA และ TSMC ผลิตเวเฟอร์ Blackwell รุ่นแรกในสหรัฐฯ ที่โรงงาน Fab 21
    ใช้กระบวนการผลิต 4N ที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับ NVIDIA

    Jensen Huang ระบุว่าเป็น “ช่วงเวลาประวัติศาสตร์” สำหรับอุตสาหกรรมสหรัฐฯ
    สะท้อนนโยบาย reindustrialization และ CHIPS Act

    เวเฟอร์ต้องส่งกลับไต้หวันเพื่อประกอบขั้นสูงด้วย CoWoS-L และ HBM3E
    ทำให้ชิปที่เสร็จสมบูรณ์ยังต้องพึ่งพาการผลิตนอกประเทศ

    การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
    และอาจหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าหากมีการบังคับใช้

    TSMC และ Amkor กำลังสร้างโรงงานประกอบขั้นสูงในสหรัฐฯ
    คาดว่าจะเปิดใช้งานได้ภายในสิ้นทศวรรษ

    Micron และ SK hynix ลงทุนใน DRAM และ HBM packaging ในสหรัฐฯ
    เสริมความมั่นคงของ supply chain ด้านหน่วยความจำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-and-tsmc-produce-the-first-blackwell-wafer-made-in-the-u-s-chips-still-need-to-be-shipped-back-to-taiwan-to-complete-the-final-product
    🇺🇸 “NVIDIA และ TSMC ผลิตแผ่นเวเฟอร์ Blackwell ครั้งแรกในสหรัฐฯ — แต่ยังต้องส่งกลับไต้หวันเพื่อประกอบขั้นสุดท้าย” NVIDIA และ TSMC ประกาศความสำเร็จในการผลิตเวเฟอร์ Blackwell รุ่นแรกที่โรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยใช้กระบวนการผลิตแบบ 4N ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 4 นาโนเมตรที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับ NVIDIA Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA กล่าวว่านี่คือ “ช่วงเวลาประวัติศาสตร์” เพราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ชิปสำคัญระดับโลกถูกผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการนำอุตสาหกรรมกลับคืนสู่ประเทศผ่านนโยบาย reindustrialization และ CHIPS Act อย่างไรก็ตาม แม้เวเฟอร์จะผลิตในสหรัฐฯ แต่ขั้นตอนการประกอบขั้นสูง (advanced packaging) ยังต้องดำเนินการที่โรงงาน TSMC ในไต้หวัน โดยใช้เทคโนโลยี CoWoS-L เพื่อเชื่อมต่อกับหน่วยความจำ HBM3E ซึ่งทำให้ชิป Blackwell B300 ที่เสร็จสมบูรณ์ยังต้องพึ่งพาการผลิตนอกประเทศ การผลิตในสหรัฐฯ มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และอาจหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าหากมีการบังคับใช้ในอนาคต TSMC และ Amkor กำลังสร้างโรงงานประกอบขั้นสูงในสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเปิดใช้งานได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้ เช่นเดียวกับ Micron และ SK hynix ที่กำลังลงทุนในการผลิต DRAM และ HBM packaging ในสหรัฐฯ เพื่อเสริมความมั่นคงของ supply chain ✅ NVIDIA และ TSMC ผลิตเวเฟอร์ Blackwell รุ่นแรกในสหรัฐฯ ที่โรงงาน Fab 21 ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 4N ที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับ NVIDIA ✅ Jensen Huang ระบุว่าเป็น “ช่วงเวลาประวัติศาสตร์” สำหรับอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ➡️ สะท้อนนโยบาย reindustrialization และ CHIPS Act ✅ เวเฟอร์ต้องส่งกลับไต้หวันเพื่อประกอบขั้นสูงด้วย CoWoS-L และ HBM3E ➡️ ทำให้ชิปที่เสร็จสมบูรณ์ยังต้องพึ่งพาการผลิตนอกประเทศ ✅ การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ และอาจหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าหากมีการบังคับใช้ ✅ TSMC และ Amkor กำลังสร้างโรงงานประกอบขั้นสูงในสหรัฐฯ ➡️ คาดว่าจะเปิดใช้งานได้ภายในสิ้นทศวรรษ ✅ Micron และ SK hynix ลงทุนใน DRAM และ HBM packaging ในสหรัฐฯ ➡️ เสริมความมั่นคงของ supply chain ด้านหน่วยความจำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-and-tsmc-produce-the-first-blackwell-wafer-made-in-the-u-s-chips-still-need-to-be-shipped-back-to-taiwan-to-complete-the-final-product
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • แบงก์ชาติ ยุค ‘วิทัย รัตนากร’ : [Biz Talk]

    ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ ‘วิทัย รัตนากร’ เปิดวิสัยทัศน์ สานต่อพันธกิจหลักของธนาคารกลาง ดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระ ปลอดการแทรกแซงจากการเมือง! เดินหน้าช่วยเศรษฐกิจไทยเติบโตเข้าสู่ศักยภาพ ย้ำ ธปท.ยุคนี้ จะรับฟังมุมมอง/ข้อเรียกร้องรอบด้าน มาประกอบการตัดสินนโยบาย ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ
    แบงก์ชาติ ยุค ‘วิทัย รัตนากร’ : [Biz Talk] ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ ‘วิทัย รัตนากร’ เปิดวิสัยทัศน์ สานต่อพันธกิจหลักของธนาคารกลาง ดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระ ปลอดการแทรกแซงจากการเมือง! เดินหน้าช่วยเศรษฐกิจไทยเติบโตเข้าสู่ศักยภาพ ย้ำ ธปท.ยุคนี้ จะรับฟังมุมมอง/ข้อเรียกร้องรอบด้าน มาประกอบการตัดสินนโยบาย ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 339 Views 0 0 Reviews
  • ไทยก้าวใหม่ ชูวิสัยทัศน์ 4 แกนหลัก "การศึกษา-เศรษฐกิจ-สุขภาพ" เน้นสร้างพลังจากก้าวเล็กๆ สู่การขับเคลื่อนประเทศครั้งสำคัญ
    https://www.thai-tai.tv/news/21955/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #นโยบายพรรค #การศึกษา #เศรษฐกิจ #สุขภาพ

    ไทยก้าวใหม่ ชูวิสัยทัศน์ 4 แกนหลัก "การศึกษา-เศรษฐกิจ-สุขภาพ" เน้นสร้างพลังจากก้าวเล็กๆ สู่การขับเคลื่อนประเทศครั้งสำคัญ https://www.thai-tai.tv/news/21955/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #นโยบายพรรค #การศึกษา #เศรษฐกิจ #สุขภาพ
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ”

    โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ.

    นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้

    NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น

    นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย

    ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา
    ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย

    เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก

    สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ

    ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน

    Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน!

    ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม

    โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา”

    อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด
    Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น

    ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก

    เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก

    แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ธค. 2557

    ————————–———————–

    บทส่งท้าย

    เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ

    ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง

    แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า

    ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า

    ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ

    ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ” โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ. นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้ NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน! ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา” อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ธค. 2557 ————————–———————– บทส่งท้าย เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    0 Comments 0 Shares 477 Views 0 Reviews
  • “SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3” — อินเทอร์เน็ตระดับกิกะบิตจากอวกาศ พร้อมขยายความจุเครือข่ายถึง 60 Tbps

    SpaceX เผยโฉมดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ V3 ที่มาพร้อมขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักมากขึ้น และความสามารถในการส่งข้อมูลที่เหนือชั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับกิกะบิตแก่ผู้ใช้ทั่วโลก

    ดาวเทียม V3 หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ารุ่น V2 Mini ที่หนักไม่ถึง 600 กิโลกรัม และ V1 ที่หนักประมาณ 300 กิโลกรัม ด้วยขนาดและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น SpaceX จึงใช้ยาน Starship ที่ทรงพลังมากกว่ารุ่น Falcon 9 เพื่อส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร โดยแต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง ซึ่งเพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini

    ดาวเทียม V3 มีความสามารถในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงถึง 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง รวมกันแล้วสามารถเพิ่มความจุเครือข่าย Starlink ได้ถึง 60 Tbps ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการทำให้วิสัยทัศน์ของ Elon Musk ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเป็นจริง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จะต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วที่ดาวเทียม V3 สามารถให้บริการได้ และ SpaceX ยืนยันว่าดาวเทียม V3 จะถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อลดปัญหาขยะอวกาศ

    ข้อมูลในข่าว
    SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3 ขนาดใหญ่และหนักถึง 2,000 กิโลกรัม
    ใช้ยาน Starship ส่งขึ้นสู่วงโคจร แทน Falcon 9
    แต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง
    เพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini
    ความสามารถดาวน์โหลด 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง
    เพิ่มความจุเครือข่ายรวมถึง 60 Tbps
    ผู้ใช้ต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วระดับกิกะบิต
    ดาวเทียม V3 ถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/spacex-shows-off-massive-new-v3-starlink-satellites-expanded-technology-will-deliver-gigabit-internet-to-customers-for-the-first-time-and-enable-60-tera-bits-per-second-downlink-capacity
    🛰️ “SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3” — อินเทอร์เน็ตระดับกิกะบิตจากอวกาศ พร้อมขยายความจุเครือข่ายถึง 60 Tbps SpaceX เผยโฉมดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ V3 ที่มาพร้อมขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักมากขึ้น และความสามารถในการส่งข้อมูลที่เหนือชั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับกิกะบิตแก่ผู้ใช้ทั่วโลก ดาวเทียม V3 หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ารุ่น V2 Mini ที่หนักไม่ถึง 600 กิโลกรัม และ V1 ที่หนักประมาณ 300 กิโลกรัม ด้วยขนาดและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น SpaceX จึงใช้ยาน Starship ที่ทรงพลังมากกว่ารุ่น Falcon 9 เพื่อส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร โดยแต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง ซึ่งเพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini ดาวเทียม V3 มีความสามารถในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงถึง 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง รวมกันแล้วสามารถเพิ่มความจุเครือข่าย Starlink ได้ถึง 60 Tbps ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการทำให้วิสัยทัศน์ของ Elon Musk ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเป็นจริง อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จะต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วที่ดาวเทียม V3 สามารถให้บริการได้ และ SpaceX ยืนยันว่าดาวเทียม V3 จะถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อลดปัญหาขยะอวกาศ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3 ขนาดใหญ่และหนักถึง 2,000 กิโลกรัม ➡️ ใช้ยาน Starship ส่งขึ้นสู่วงโคจร แทน Falcon 9 ➡️ แต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง ➡️ เพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini ➡️ ความสามารถดาวน์โหลด 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง ➡️ เพิ่มความจุเครือข่ายรวมถึง 60 Tbps ➡️ ผู้ใช้ต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วระดับกิกะบิต ➡️ ดาวเทียม V3 ถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/spacex-shows-off-massive-new-v3-starlink-satellites-expanded-technology-will-deliver-gigabit-internet-to-customers-for-the-first-time-and-enable-60-tera-bits-per-second-downlink-capacity
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 12
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 12

    ปัจจัยสุดท้าย ที่จะตามประเมินกันคือ เรื่องกองกำลัง ซึ่งมีทั้งในระบบและนอกระบบ

    สำหรับกองกำลังในระบบ เป็นเรื่องที่ประเมินยาก เนื่องจากความแตกต่างทางข้อมูลของของแต่ละแหล่งที่มา ซึ่งแน่นอน มีทั้งการซ่อนตัวเลขไม่ให้อีกฝ่ายรู้ความจริง หรือแต่งให้ดูดีกว่าเป็นจริง จึงเป็นเรื่องที่ยากจะยืนยัน ตัวเลขที่จะนำมาแสดงต่อไปนี้ ผมได้มาจากหลายแหล่ง มีทั้งเวบด้านทหาร และข้อมูลที่มีผู้รู้ทางด้านนี้ส่งมาให้ ผมใช้ตัวเลขที่ประเมินจากทุกแหล่งข้อมูลที่ได้ มาเปรียบเทียบ และ ประมาณความเป็นไปได้นะครับ

    ฝ่ายอเมริกา 5 อันดับแรก

    – อเมริกา มีประมาณ 2.2 ล้านนาย
    – เกาหลีใต้ มีประมาณ 1 ล้านนาย
    – อังกฤษ มีประมาณ 4 แสนนาย
    – ฝรั่งเศษ มีประมาณ 4 แสนนาย
    – ออสเตรเลีย มีประมาณ 3.5 แสนนาย
    – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย
    รวมทั้งหมดประมาณ 7 ล้านนาย

    ส่วนกองกำลังในระบบ ของฝ่ายรัสเซีย 5 อันดับแรก

    – จีน มีประมาณ 4.3 ล้านนาย
    – รัสเซีย มีประมาณ 3.2 ล้านนาย
    – อินเดีย มีประมาณ 3.4 ล้านนาย
    – เกาหลีเหนือ มีประมาณ 2 ล้านนาย
    – อิหร่าน มีประมาณ 3 ล้านนาย
    – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย
    รวมทั้งหมดประมาณ 18 ล้านนาย

    สรุป กองกำลังในระบบ หรือประจำกองทัพ ระหว่างฝ่ายอเมริกากับฝ่ายรัสเซีย อัตราส่วนประมาณ 1: 2.5 ฝ่ายรัสเซียมีมากกว่าฝ่ายอเมริกากว่าเท่าครึ่ง

    คงพอเห็นแล้วว่า มีจำนวนพันธมิตรมาก ก็เรื่องหนึ่ง แต่เวลาทำสงคราม จำนวนนักรบ อาจสำคัญกว่าเพื่อนที่เป็นภาระรุงรังนะครับ

    เกี่ยวกับเรื่องกองกำลังนั้น อเมริกาเลิกระบบทหารเกณฑ์ไปแล้ว มีแต่ทหารสมัคร ขณะที่รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ยังมีระบบทหารเกณฑ์ตามกฏหมายอยู่ ซึ่งจะทำให้ทั้ง 4 ประเทศ สามารถเรียกทหารสำรอง และทหารเกณฑ์ได้อีกหลายสิบล้านนาย

    ยังมีตัวแปรที่มีกองกำลังขนาดใหญ่ ที่ผมไม่ได้ใส่ไป 2 ประเทศ คือ บราซิล และตุรกี บราซิล นั้น อยู่ระหว่างจะเป็นกลาง หรือเข้ากับฝ่ายรัสเซีย มีกองกำลังประมาณ 4 แสนคน ส่วนตุรกีนั้น ด้วยความเป็นนก 2 หัว ชอบเล่นเกมเสียว ตุรกียังเล่นเสียวต่อ ไม่ตัดสินใจ มีกองกำลังประมาณ 6 แสนคน

    สำหรับไทยแลนด์ แดนสมันน้อยนั้น ผมไม่ได้เอามาใส่อยู่ฝ่ายใดเลย เพราะไม่สามารถคาดเดาความลึกซึ้งยาวไกลในวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำได้ ไม่แตะดีกว่าครับ ได้แต่แอบหวังว่า พระสยามเทวาธิราชท่านคงดลใจให้ไปถูกทาง เพื่อให้สมันน้อยรอดพ้นจากอันตราย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 12 ปัจจัยสุดท้าย ที่จะตามประเมินกันคือ เรื่องกองกำลัง ซึ่งมีทั้งในระบบและนอกระบบ สำหรับกองกำลังในระบบ เป็นเรื่องที่ประเมินยาก เนื่องจากความแตกต่างทางข้อมูลของของแต่ละแหล่งที่มา ซึ่งแน่นอน มีทั้งการซ่อนตัวเลขไม่ให้อีกฝ่ายรู้ความจริง หรือแต่งให้ดูดีกว่าเป็นจริง จึงเป็นเรื่องที่ยากจะยืนยัน ตัวเลขที่จะนำมาแสดงต่อไปนี้ ผมได้มาจากหลายแหล่ง มีทั้งเวบด้านทหาร และข้อมูลที่มีผู้รู้ทางด้านนี้ส่งมาให้ ผมใช้ตัวเลขที่ประเมินจากทุกแหล่งข้อมูลที่ได้ มาเปรียบเทียบ และ ประมาณความเป็นไปได้นะครับ ฝ่ายอเมริกา 5 อันดับแรก – อเมริกา มีประมาณ 2.2 ล้านนาย – เกาหลีใต้ มีประมาณ 1 ล้านนาย – อังกฤษ มีประมาณ 4 แสนนาย – ฝรั่งเศษ มีประมาณ 4 แสนนาย – ออสเตรเลีย มีประมาณ 3.5 แสนนาย – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย รวมทั้งหมดประมาณ 7 ล้านนาย ส่วนกองกำลังในระบบ ของฝ่ายรัสเซีย 5 อันดับแรก – จีน มีประมาณ 4.3 ล้านนาย – รัสเซีย มีประมาณ 3.2 ล้านนาย – อินเดีย มีประมาณ 3.4 ล้านนาย – เกาหลีเหนือ มีประมาณ 2 ล้านนาย – อิหร่าน มีประมาณ 3 ล้านนาย – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย รวมทั้งหมดประมาณ 18 ล้านนาย สรุป กองกำลังในระบบ หรือประจำกองทัพ ระหว่างฝ่ายอเมริกากับฝ่ายรัสเซีย อัตราส่วนประมาณ 1: 2.5 ฝ่ายรัสเซียมีมากกว่าฝ่ายอเมริกากว่าเท่าครึ่ง คงพอเห็นแล้วว่า มีจำนวนพันธมิตรมาก ก็เรื่องหนึ่ง แต่เวลาทำสงคราม จำนวนนักรบ อาจสำคัญกว่าเพื่อนที่เป็นภาระรุงรังนะครับ เกี่ยวกับเรื่องกองกำลังนั้น อเมริกาเลิกระบบทหารเกณฑ์ไปแล้ว มีแต่ทหารสมัคร ขณะที่รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ยังมีระบบทหารเกณฑ์ตามกฏหมายอยู่ ซึ่งจะทำให้ทั้ง 4 ประเทศ สามารถเรียกทหารสำรอง และทหารเกณฑ์ได้อีกหลายสิบล้านนาย ยังมีตัวแปรที่มีกองกำลังขนาดใหญ่ ที่ผมไม่ได้ใส่ไป 2 ประเทศ คือ บราซิล และตุรกี บราซิล นั้น อยู่ระหว่างจะเป็นกลาง หรือเข้ากับฝ่ายรัสเซีย มีกองกำลังประมาณ 4 แสนคน ส่วนตุรกีนั้น ด้วยความเป็นนก 2 หัว ชอบเล่นเกมเสียว ตุรกียังเล่นเสียวต่อ ไม่ตัดสินใจ มีกองกำลังประมาณ 6 แสนคน สำหรับไทยแลนด์ แดนสมันน้อยนั้น ผมไม่ได้เอามาใส่อยู่ฝ่ายใดเลย เพราะไม่สามารถคาดเดาความลึกซึ้งยาวไกลในวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำได้ ไม่แตะดีกว่าครับ ได้แต่แอบหวังว่า พระสยามเทวาธิราชท่านคงดลใจให้ไปถูกทาง เพื่อให้สมันน้อยรอดพ้นจากอันตราย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025”

    Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก

    หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท

    ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic

    Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้

    นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง

    แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ
    คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025
    เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก
    ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน
    ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency
    โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล
    ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030
    Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration
    AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม
    การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ
    Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย

    https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    📶 “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025” Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้ นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ ➡️ คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025 ➡️ เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก ➡️ ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน ➡️ ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency ➡️ โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030 ➡️ Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration ➡️ AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม ➡️ การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ➡️ Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    WWW.TECHRADAR.COM
    Huawei 5G-Advanced promises futuristic connectivity and AI agents
    Huawei's market is likely to be mostly, if not entirely, in China
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • “OpenAI ฝันใหญ่: GPU 10 พันล้านตัวเพื่อ AI ส่วนตัวสำหรับทุกคน — แต่พลังงานระดับ ‘เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์’ ยังไม่มีใครพูดถึง”

    Greg Brockman ประธานของ OpenAI ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์สุดทะเยอทะยานในงานสัมภาษณ์ร่วมกับ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia และ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI โดยเขาเสนอแนวคิดว่า “ทุกคนควรมี GPU ส่วนตัว” เพื่อให้ AI สามารถทำงานได้ตลอดเวลา แม้ในขณะที่เจ้าของกำลังหลับอยู่

    แนวคิดนี้คล้ายกับความฝันของ Bill Gates ในยุค 90 ที่เคยพูดว่า “คอมพิวเตอร์ทุกโต๊ะ” ซึ่งในวันนี้กลายเป็นจริงแล้ว Brockman เชื่อว่า GPU จะกลายเป็นทรัพยากรพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ เหมือนกับเงินตรา โดยเขาคาดว่าโลกจะต้องใช้ GPU ถึง 10 พันล้านตัวเพื่อรองรับการใช้งาน AI อย่างเต็มรูปแบบ

    Nvidia ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของ OpenAI ได้ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดมหึมา โดยเริ่มจากการติดตั้ง GPU จำนวน 4–5 ล้านตัวในศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานเทียบเท่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 10 เครื่อง หรือประมาณ 10 กิกะวัตต์

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาดหายไปจากวิสัยทัศน์นี้คือ “พลังงาน” ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนระบบดังกล่าว เพราะการใช้ GPU จำนวนมหาศาลจะต้องใช้ไฟฟ้าระดับ petawatt ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของโครงข่ายไฟฟ้าทั่วโลกในปัจจุบัน

    นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก OpenAI เดินหน้าตามแผนนี้จริง การใช้พลังงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 125 เท่าในไม่กี่ปีข้างหน้า และอาจเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของประเทศขนาดใหญ่ เช่น อินเดีย ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า “เราจะผลิตไฟฟ้าจากไหน?” และ “ใครจะได้ใช้ GPU เหล่านี้?”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Greg Brockman เสนอแนวคิดให้ทุกคนมี GPU ส่วนตัวเพื่อใช้งาน AI
    OpenAI ต้องการ GPU จำนวน 10 พันล้านตัวเพื่อรองรับวิสัยทัศน์นี้
    Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI
    เริ่มจากการติดตั้ง GPU 4–5 ล้านตัวในศูนย์ข้อมูล
    ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานเทียบเท่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 10 เครื่อง
    Brockman เชื่อว่า GPU จะกลายเป็นทรัพยากรพื้นฐานของเศรษฐกิจ
    Altman เปรียบโครงการนี้กับโครงการ Apollo ของ NASA
    ความต้องการ compute เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก
    Nvidia เป็นผู้ผลิต GPU รายใหญ่ที่สุดที่ใช้ในโมเดล AI ขนาดใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenAI เคยประกาศแผนใช้ GPU 100 ล้านตัวภายในปี 2025
    Elon Musk เคยกล่าวว่า xAI จะใช้ GPU เทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายในปี 2030
    การใช้ GPU ในระดับนี้ต้องการการลงทุนด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล
    นักวิจัยบางคนเปรียบเทียบการใช้ GPU กับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมันหรือแร่หายาก
    การกระจาย GPU อย่างเท่าเทียมอาจกลายเป็นประเด็นด้านความยุติธรรมและภูมิรัฐศาสตร์

    https://www.techradar.com/pro/you-really-want-every-person-to-have-their-own-dedicated-gpu-openai-becomes-nvidias-biggest-cheerleader-as-its-president-calls-for-10-billion-gpu-bonanza-but-no-mention-of-the-petawatt-electricity-requirement-these-will-command
    ⚡ “OpenAI ฝันใหญ่: GPU 10 พันล้านตัวเพื่อ AI ส่วนตัวสำหรับทุกคน — แต่พลังงานระดับ ‘เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์’ ยังไม่มีใครพูดถึง” Greg Brockman ประธานของ OpenAI ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์สุดทะเยอทะยานในงานสัมภาษณ์ร่วมกับ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia และ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI โดยเขาเสนอแนวคิดว่า “ทุกคนควรมี GPU ส่วนตัว” เพื่อให้ AI สามารถทำงานได้ตลอดเวลา แม้ในขณะที่เจ้าของกำลังหลับอยู่ แนวคิดนี้คล้ายกับความฝันของ Bill Gates ในยุค 90 ที่เคยพูดว่า “คอมพิวเตอร์ทุกโต๊ะ” ซึ่งในวันนี้กลายเป็นจริงแล้ว Brockman เชื่อว่า GPU จะกลายเป็นทรัพยากรพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ เหมือนกับเงินตรา โดยเขาคาดว่าโลกจะต้องใช้ GPU ถึง 10 พันล้านตัวเพื่อรองรับการใช้งาน AI อย่างเต็มรูปแบบ Nvidia ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของ OpenAI ได้ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดมหึมา โดยเริ่มจากการติดตั้ง GPU จำนวน 4–5 ล้านตัวในศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานเทียบเท่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 10 เครื่อง หรือประมาณ 10 กิกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาดหายไปจากวิสัยทัศน์นี้คือ “พลังงาน” ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนระบบดังกล่าว เพราะการใช้ GPU จำนวนมหาศาลจะต้องใช้ไฟฟ้าระดับ petawatt ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของโครงข่ายไฟฟ้าทั่วโลกในปัจจุบัน นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก OpenAI เดินหน้าตามแผนนี้จริง การใช้พลังงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 125 เท่าในไม่กี่ปีข้างหน้า และอาจเทียบเท่ากับการใช้พลังงานของประเทศขนาดใหญ่ เช่น อินเดีย ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า “เราจะผลิตไฟฟ้าจากไหน?” และ “ใครจะได้ใช้ GPU เหล่านี้?” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Greg Brockman เสนอแนวคิดให้ทุกคนมี GPU ส่วนตัวเพื่อใช้งาน AI ➡️ OpenAI ต้องการ GPU จำนวน 10 พันล้านตัวเพื่อรองรับวิสัยทัศน์นี้ ➡️ Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ➡️ เริ่มจากการติดตั้ง GPU 4–5 ล้านตัวในศูนย์ข้อมูล ➡️ ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานเทียบเท่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 10 เครื่อง ➡️ Brockman เชื่อว่า GPU จะกลายเป็นทรัพยากรพื้นฐานของเศรษฐกิจ ➡️ Altman เปรียบโครงการนี้กับโครงการ Apollo ของ NASA ➡️ ความต้องการ compute เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ➡️ Nvidia เป็นผู้ผลิต GPU รายใหญ่ที่สุดที่ใช้ในโมเดล AI ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenAI เคยประกาศแผนใช้ GPU 100 ล้านตัวภายในปี 2025 ➡️ Elon Musk เคยกล่าวว่า xAI จะใช้ GPU เทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายในปี 2030 ➡️ การใช้ GPU ในระดับนี้ต้องการการลงทุนด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล ➡️ นักวิจัยบางคนเปรียบเทียบการใช้ GPU กับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมันหรือแร่หายาก ➡️ การกระจาย GPU อย่างเท่าเทียมอาจกลายเป็นประเด็นด้านความยุติธรรมและภูมิรัฐศาสตร์ https://www.techradar.com/pro/you-really-want-every-person-to-have-their-own-dedicated-gpu-openai-becomes-nvidias-biggest-cheerleader-as-its-president-calls-for-10-billion-gpu-bonanza-but-no-mention-of-the-petawatt-electricity-requirement-these-will-command
    WWW.TECHRADAR.COM
    Nvidia and OpenAI plot massive GPU expansion
    Global resource limits cast doubt on visions of universal GPU allocation
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • “Reemo เปิดตัว Bastion+ — แพลตฟอร์มจัดการสิทธิ์เข้าถึงระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด เพื่อองค์กรทั่วโลก”

    Reemo บริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศส ประกาศเปิดตัว Bastion+ โซลูชันใหม่สำหรับการจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบ (Privileged Access Management) ที่สามารถขยายการใช้งานได้ทั่วโลกแบบไร้ข้อจำกัด โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยและความเรียบง่ายในการควบคุมการเข้าถึงระบบสำคัญ

    Yann Fourré ผู้ร่วมก่อตั้ง Reemo กล่าวว่า “องค์กรไม่ต้องการแค่ bastion อีกตัว แต่ต้องการวิสัยทัศน์ระดับโลกที่เรียบง่ายและปลอดภัยแม้โครงสร้างจะขยายตัว” Bastion+ จึงถูกออกแบบให้ผู้ใช้เห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น พร้อมบังคับใช้นโยบายความปลอดภัยแบบเดียวกันทุกที่ทั่วโลก

    Bastion+ รวมการมองเห็น การบันทึก session และ log ทั้งหมดไว้ในคอนโซลเดียว ช่วยให้ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ตรวจสอบและทำงานด้าน compliance ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มีฟีเจอร์ครบครัน เช่น Remote Desktop, Remote Browser Isolation (RBI), การเข้าถึงของบุคคลภายนอก และระบบข้อมูลจำกัด (SI Diffusion Restreinte)

    Bertrand Jeannet ซีอีโอของ Reemo กล่าวเสริมว่า Bastion+ คือหัวใจของภารกิจในการปลดปล่อยองค์กรจากระบบ remote access แบบเดิม ๆ โดยสร้างโลกที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

    Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ววันนี้ โดยเปิดให้ขอเดโมได้ทันที และถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสสามารถปกป้องการเข้าถึงระยะไกลทั้งหมดได้ภายในแพลตฟอร์มเดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Reemo เปิดตัว Bastion+ สำหรับจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด
    ผู้ใช้จะเห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
    นโยบายความปลอดภัยถูกบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอทั่วโลก
    Bastion+ รวม log และ session recordings ไว้ในคอนโซลเดียว
    ช่วยให้ CISO ตรวจสอบและทำ compliance ได้ง่ายขึ้น
    ผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มี Remote Desktop, RBI, third-party access และ SI Diffusion Restreinte
    Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ว และเปิดให้ขอเดโมได้ทันที
    Reemo เป็นบริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสรายแรกที่รวมการปกป้อง remote access ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bastion คือระบบที่ใช้ควบคุมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือระบบสำคัญ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่
    Privileged Access Management (PAM) เป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในยุคที่มีการทำงานจากระยะไกล
    การรวม log และ session recordings ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบเหตุการณ์ผิดปกติ
    Remote Browser Isolation (RBI) ช่วยป้องกันมัลแวร์จากการใช้งานเว็บโดยแยกการประมวลผลออกจากเครื่องผู้ใช้
    การมีแพลตฟอร์มเดียวที่รวมทุกฟีเจอร์ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนในการบริหารจัดการ

    https://securityonline.info/reemo-unveils-bastion-a-scalable-solution-for-global-privileged-access-management/
    🛡️ “Reemo เปิดตัว Bastion+ — แพลตฟอร์มจัดการสิทธิ์เข้าถึงระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด เพื่อองค์กรทั่วโลก” Reemo บริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศส ประกาศเปิดตัว Bastion+ โซลูชันใหม่สำหรับการจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบ (Privileged Access Management) ที่สามารถขยายการใช้งานได้ทั่วโลกแบบไร้ข้อจำกัด โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยและความเรียบง่ายในการควบคุมการเข้าถึงระบบสำคัญ Yann Fourré ผู้ร่วมก่อตั้ง Reemo กล่าวว่า “องค์กรไม่ต้องการแค่ bastion อีกตัว แต่ต้องการวิสัยทัศน์ระดับโลกที่เรียบง่ายและปลอดภัยแม้โครงสร้างจะขยายตัว” Bastion+ จึงถูกออกแบบให้ผู้ใช้เห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น พร้อมบังคับใช้นโยบายความปลอดภัยแบบเดียวกันทุกที่ทั่วโลก Bastion+ รวมการมองเห็น การบันทึก session และ log ทั้งหมดไว้ในคอนโซลเดียว ช่วยให้ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ตรวจสอบและทำงานด้าน compliance ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มีฟีเจอร์ครบครัน เช่น Remote Desktop, Remote Browser Isolation (RBI), การเข้าถึงของบุคคลภายนอก และระบบข้อมูลจำกัด (SI Diffusion Restreinte) Bertrand Jeannet ซีอีโอของ Reemo กล่าวเสริมว่า Bastion+ คือหัวใจของภารกิจในการปลดปล่อยองค์กรจากระบบ remote access แบบเดิม ๆ โดยสร้างโลกที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ววันนี้ โดยเปิดให้ขอเดโมได้ทันที และถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสสามารถปกป้องการเข้าถึงระยะไกลทั้งหมดได้ภายในแพลตฟอร์มเดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Reemo เปิดตัว Bastion+ สำหรับจัดการสิทธิ์เข้าถึงระบบระดับสูงแบบไร้ขีดจำกัด ➡️ ผู้ใช้จะเห็นเฉพาะทรัพยากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ➡️ นโยบายความปลอดภัยถูกบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอทั่วโลก ➡️ Bastion+ รวม log และ session recordings ไว้ในคอนโซลเดียว ➡️ ช่วยให้ CISO ตรวจสอบและทำ compliance ได้ง่ายขึ้น ➡️ ผสานการทำงานกับแพลตฟอร์ม Reemo ที่มี Remote Desktop, RBI, third-party access และ SI Diffusion Restreinte ➡️ Bastion+ พร้อมให้ใช้งานแล้ว และเปิดให้ขอเดโมได้ทันที ➡️ Reemo เป็นบริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากฝรั่งเศสรายแรกที่รวมการปกป้อง remote access ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bastion คือระบบที่ใช้ควบคุมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือระบบสำคัญ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Privileged Access Management (PAM) เป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในยุคที่มีการทำงานจากระยะไกล ➡️ การรวม log และ session recordings ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบเหตุการณ์ผิดปกติ ➡️ Remote Browser Isolation (RBI) ช่วยป้องกันมัลแวร์จากการใช้งานเว็บโดยแยกการประมวลผลออกจากเครื่องผู้ใช้ ➡️ การมีแพลตฟอร์มเดียวที่รวมทุกฟีเจอร์ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนในการบริหารจัดการ https://securityonline.info/reemo-unveils-bastion-a-scalable-solution-for-global-privileged-access-management/
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • วิสัยทัศน์ 'ไทยก้าวใหม่' ‘ดร.เอ้่’ ย้ำจุดยืน ใช้ 'ความรู้-ความกล้าหาญ' นำนโยบาย "สร้างคน" สู่การเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/21780/
    .
    #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #พรรคไทยก้าวใหม่ #สร้างคน #ธนู4ดอก #พลิกโฉมการศึกษา #เศรษฐกิจก้าวใหม่ #คุณภาพชีวิต #คนดีต้องมีที่ยืน
    วิสัยทัศน์ 'ไทยก้าวใหม่' ‘ดร.เอ้่’ ย้ำจุดยืน ใช้ 'ความรู้-ความกล้าหาญ' นำนโยบาย "สร้างคน" สู่การเมือง https://www.thai-tai.tv/news/21780/ . #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #พรรคไทยก้าวใหม่ #สร้างคน #ธนู4ดอก #พลิกโฉมการศึกษา #เศรษฐกิจก้าวใหม่ #คุณภาพชีวิต #คนดีต้องมีที่ยืน
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • 'อิ๊งค์' แพทองธาร คืนสังเวียนการเมือง เคียงข้างทีมเพื่อไทยลุยเลือกตั้งใหญ่ ประกาศวิสัยทัศน์-เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. พร้อมชูแคมเปญ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” หวังฟื้นศรัทธาประชาชน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095334

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    'อิ๊งค์' แพทองธาร คืนสังเวียนการเมือง เคียงข้างทีมเพื่อไทยลุยเลือกตั้งใหญ่ ประกาศวิสัยทัศน์-เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. พร้อมชูแคมเปญ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” หวังฟื้นศรัทธาประชาชน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095334 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 Comments 0 Shares 403 Views 0 Reviews
  • 'อิ๊งค์' แพทองธาร คืนสังเวียนการเมือง เคียงข้างทีมเพื่อไทยลุยเลือกตั้งใหญ่ ประกาศวิสัยทัศน์-เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. พร้อมชูแคมเปญ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” หวังฟื้นศรัทธาประชาชน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000095332

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    'อิ๊งค์' แพทองธาร คืนสังเวียนการเมือง เคียงข้างทีมเพื่อไทยลุยเลือกตั้งใหญ่ ประกาศวิสัยทัศน์-เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. พร้อมชูแคมเปญ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” หวังฟื้นศรัทธาประชาชน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000095332 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Sad
    1
    0 Comments 1 Shares 545 Views 0 Reviews
  • “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ”

    ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก

    เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์

    นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก

    อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน

    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน
    อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก
    เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่
    ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน
    ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร
    ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน
    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก
    การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน
    การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้
    บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    🚀 “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ” ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์ นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน ➡️ อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก ➡️ เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน ➡️ ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร ➡️ ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน ➡️ Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ➡️ เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก ➡️ การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน ➡️ การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้ ➡️ บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ➡️ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก'
    https://www.thai-tai.tv/news/21741/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก' https://www.thai-tai.tv/news/21741/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก'
    https://www.thai-tai.tv/news/21741/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม

    "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก' https://www.thai-tai.tv/news/21741/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
More Results