อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน
 
เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน  สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน  ท่าทางดี  แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ 
จากประสบการณ์นั้น  มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์  และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon)  เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น  ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่  ดูยังไงก็มอร์มอน 
และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน  เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน  เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ 
ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว  ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา    ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี 
วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ
.
.
.
นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ   นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น 
ความน่าสนใจของนิกายนี้  ก็คือ  ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร  แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน 
อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ  เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่  ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ 
วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน   ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่   และบอกกับโจเซฟว่า  ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า 
พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า  บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น  และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป 
โจเซฟเจอดังนี้แล้ว  ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร  ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว 
เวลาผ่านไปอีกสามปี   เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี  ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ   เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก 
แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น  และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ   บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก  แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน   แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง 
ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด 
แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ  และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ   โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก  (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย) 
แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ   โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ   ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน   ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า 
เรียกว่า  “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon" 
เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว   เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป   เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง
.
.
.
ความน่าสนใจก็คือ  โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร  แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง   แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า   เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที 
ถ้าเราสังเกตดีๆ   โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า  ”มอร์มอนไบเบิ้ล“  แต่เรียกว่า  ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ  เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่  ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล 
และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้   โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า  เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น   มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม   เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา 
ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) 
แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น   การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย 
นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า   หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น   พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย 
แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด   เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป  ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี  โน้มน้าวคนได้เก่ง  ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน    
และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า   นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน  ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่   การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา   ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
.
.
.
พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า   พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า  “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู 
ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้   ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา 
ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง   แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด 
โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ   คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์  รัฐมิสซูรี  ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า  ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา   เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“ 
จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ   แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก  เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม     
ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี   เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ   ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน   แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด 
พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก.....   คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์   ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก   ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด   เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี   และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน 
ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้   ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง  ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง 
โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี   มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน
.
.
.
บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ   คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์  รัฐอริโซน่า  รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย 
เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้  เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา  และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่ 
พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ   ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่    
ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน   ที่เขาสามารถสร้างเมือง  โบสถ์  โรงเรียน  โรงเหล็ก  เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า 
เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว  และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้ 
พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า  ”รังผึ้ง“ ครับ  อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน 
ที่เมืองเดเซเร็ทนี้   พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง  มีภาษาเขียนของตัวเอง 
ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ   เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก  ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว 
รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่    นายยังเขาบอกว่า  เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ   แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า  ”รัฐเดเซเร็ท“ 
รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว   ก็คิดว่าให้ไม่ได้   เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน   ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ 
จะเอาไม่เอาก็บอกมา 
ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น  รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป 
ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้  รัฐยูท่า  ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ  เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย 
แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น   เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้  หนึ่งในนั้นคือ  “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy”   เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น  เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ 
ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น   การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์   อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน   ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน 
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น   ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่ 
ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง  วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่  โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี 
ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค   ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย
.
.
.
ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน  แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา  ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย 
อ้อ....  เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ  ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่  ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ 
ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา  อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้ 
มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง   แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“  เพราะเขาใช้ชื่อว่า  “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่  และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย 
อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“ 
.....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ   เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย..... 
ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ  
https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX 
นัทแนะ 
  อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน
เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน  สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน  ท่าทางดี  แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ
จากประสบการณ์นั้น  มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์  และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon)  เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น  ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่  ดูยังไงก็มอร์มอน
และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน  เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน  เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ
ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว  ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา    ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี
วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ
.
.
.
นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ   นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น
ความน่าสนใจของนิกายนี้  ก็คือ  ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร  แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน
อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ  เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่  ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ
วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน   ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่   และบอกกับโจเซฟว่า  ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า
พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า  บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น  และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป
โจเซฟเจอดังนี้แล้ว  ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร  ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว
เวลาผ่านไปอีกสามปี   เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี  ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ   เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก
แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น  และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ   บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก  แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน   แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง
ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ  และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ   โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก  (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย)
แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ   โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ   ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน   ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า
เรียกว่า  “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon"
เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว   เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป   เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง
.
.
.
ความน่าสนใจก็คือ  โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร  แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง   แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า   เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที
ถ้าเราสังเกตดีๆ   โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า  ”มอร์มอนไบเบิ้ล“  แต่เรียกว่า  ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ  เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่  ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล
และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้   โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า  เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น   มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม   เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา
ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American)
แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น   การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย
นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า   หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น   พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย
แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด   เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป  ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี  โน้มน้าวคนได้เก่ง  ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน   
และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า   นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน  ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่   การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา   ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
.
.
.
พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า   พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า  “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู
ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้   ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา
ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง   แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด
โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ   คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์  รัฐมิสซูรี  ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า  ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา   เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“
จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ   แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก  เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม    
ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี   เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ   ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน   แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด
พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก.....   คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์   ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก   ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด   เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี   และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน
ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้   ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง  ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง
โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี   มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน
.
.
.
บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ   คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์  รัฐอริโซน่า  รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย
เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้  เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา  และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่
พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ   ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่   
ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน   ที่เขาสามารถสร้างเมือง  โบสถ์  โรงเรียน  โรงเหล็ก  เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า
เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว  และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้
พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า  ”รังผึ้ง“ ครับ  อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน
ที่เมืองเดเซเร็ทนี้   พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง  มีภาษาเขียนของตัวเอง
ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ   เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก  ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว
รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่    นายยังเขาบอกว่า  เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ   แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า  ”รัฐเดเซเร็ท“
รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว   ก็คิดว่าให้ไม่ได้   เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน   ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ
จะเอาไม่เอาก็บอกมา
ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น  รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป
ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้  รัฐยูท่า  ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ  เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย
แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น   เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้  หนึ่งในนั้นคือ  “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy”   เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น  เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ
ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น   การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์   อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน   ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น   ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่
ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง  วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่  โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี
ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค   ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย
.
.
.
ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน  แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา  ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย
อ้อ....  เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ  ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่  ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ
ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา  อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้
มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง   แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“  เพราะเขาใช้ชื่อว่า  “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่  และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย
อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“
.....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ   เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย.....
ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ
https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA
https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS
https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX
นัทแนะ