• ตั้งเป้าแก้วิกฤติ 4 ด้าน ไม่ได้มาด้วยบุญคุณใคร : [NEWS UPDATE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้คำมั่นตั้งเป้าแก้ปัญหาวิกฤติ 4 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ ความมั่นคง ภัยธรรมชาติ และภัยสังคม จะแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติภาพ แต่ไม่ยอมให้เสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว จากนี้ไม่มีวันหยุด พักร้อน เจ็บป่วย บางครั้งถูกกลั่นแกล้งแต่ถือว่าผ่านมาแล้ว ยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีการใส่ร้ายเหมือนที่มีมา การเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่ได้มาด้วยบุญคุณของใครยกเว้นประชาชน ขอบคุณเสียงจากพรรคประชาชน ประกาศยุบสภาแน่ภายใน 4 เดือน



    รับสภาพฝ่ายค้าน

    ต้องเร่งแก้ปัญหาชายแดน

    โหวตเตอร์พลีชีพ เปิดปาก

    ปัญหาเศรษฐกิจรอไม่ได้
    ตั้งเป้าแก้วิกฤติ 4 ด้าน ไม่ได้มาด้วยบุญคุณใคร : [NEWS UPDATE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้คำมั่นตั้งเป้าแก้ปัญหาวิกฤติ 4 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ ความมั่นคง ภัยธรรมชาติ และภัยสังคม จะแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติภาพ แต่ไม่ยอมให้เสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว จากนี้ไม่มีวันหยุด พักร้อน เจ็บป่วย บางครั้งถูกกลั่นแกล้งแต่ถือว่าผ่านมาแล้ว ยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีการใส่ร้ายเหมือนที่มีมา การเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่ได้มาด้วยบุญคุณของใครยกเว้นประชาชน ขอบคุณเสียงจากพรรคประชาชน ประกาศยุบสภาแน่ภายใน 4 เดือน รับสภาพฝ่ายค้าน ต้องเร่งแก้ปัญหาชายแดน โหวตเตอร์พลีชีพ เปิดปาก ปัญหาเศรษฐกิจรอไม่ได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากภาพแจ้งเตือนปลอมถึงมัลแวร์จริง: เมื่อไฟล์ SVG กลายเป็นชุดฟิชชิ่งเต็มรูปแบบ

    รายงานล่าสุดจาก VirusTotal เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ได้ใช้ไฟล์ SVG (Scalable Vector Graphics) ซึ่งเป็นไฟล์ภาพแบบ XML ที่สามารถฝังโค้ด HTML และ JavaScript ได้ เพื่อสร้างเว็บปลอมที่เลียนแบบระบบศาลของรัฐบาลโคลอมเบีย โดยเมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ SVG ผ่านเบราว์เซอร์ จะเห็นหน้าเว็บที่ดูเหมือนเป็นระบบแจ้งเตือนทางกฎหมาย พร้อมแถบดาวน์โหลดและรหัสผ่าน

    เมื่อคลิกดาวน์โหลด ผู้ใช้จะได้รับไฟล์ ZIP ที่มีไฟล์ .exe ของเบราว์เซอร์ Comodo Dragon ซึ่งถูกเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง และไฟล์ .dll ที่เป็นมัลแวร์ซ่อนอยู่ หากผู้ใช้เปิด .exe มัลแวร์จะถูก sideload โดยอัตโนมัติ และเริ่มติดตั้ง payload เพิ่มเติมในระบบ

    VirusTotal ตรวจพบว่าแคมเปญนี้มีไฟล์ SVG ที่เกี่ยวข้องถึง 523 ไฟล์ โดย 44 ไฟล์ไม่ถูกตรวจจับโดยแอนตี้ไวรัสใด ๆ เลยในช่วงเวลาที่ถูกอัปโหลด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหลบเลี่ยงการตรวจจับผ่านเทคนิคเช่น code obfuscation และการใส่โค้ดขยะเพื่อเพิ่ม entropy

    ก่อนหน้านี้ IBM X-Force และ Cloudflare ก็เคยพบการใช้ SVG ในการโจมตีฟิชชิ่ง โดยเฉพาะกับธนาคารและบริษัทประกันภัย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า SVG กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ที่แฮกเกอร์ใช้ในการหลอกลวงและติดตั้งมัลแวร์

    Microsoft จึงประกาศยกเลิกการรองรับการแสดงผล SVG แบบ inline ใน Outlook for Web และ Outlook for Windows เพื่อปิดช่องทางการโจมตีนี้ โดยจะไม่แสดงผล SVG ที่ฝังอยู่ในอีเมลอีกต่อไป

    ลักษณะของแคมเปญ SVG ฟิชชิ่ง
    ใช้ SVG สร้างหน้าเว็บปลอมที่เลียนแบบระบบศาลโคลอมเบีย
    มีแถบดาวน์โหลดและรหัสผ่านเพื่อหลอกให้ผู้ใช้เปิดไฟล์ ZIP
    ZIP มี .exe ที่เซ็นรับรองและ .dll ที่เป็นมัลแวร์ซ่อนอยู่

    เทคนิคที่ใช้ในการหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ JavaScript ฝังใน SVG เพื่อแสดง HTML และเรียกใช้ payload
    ใช้ code obfuscation และโค้ดขยะเพื่อเพิ่ม entropy
    44 ไฟล์ไม่ถูกตรวจจับโดยแอนตี้ไวรัสใด ๆ ในช่วงแรก

    การตอบสนองจากผู้ให้บริการและนักวิจัย
    VirusTotal ใช้ AI Code Insight ตรวจพบแคมเปญนี้
    IBM X-Force และ Cloudflare เคยพบการใช้ SVG ในการโจมตีฟิชชิ่ง
    Microsoft ยกเลิกการแสดงผล SVG inline ใน Outlook เพื่อป้องกัน

    https://www.tomshardware.com/software/security-software/hackers-hide-malware-in-svg-files
    🎙️ เรื่องเล่าจากภาพแจ้งเตือนปลอมถึงมัลแวร์จริง: เมื่อไฟล์ SVG กลายเป็นชุดฟิชชิ่งเต็มรูปแบบ รายงานล่าสุดจาก VirusTotal เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ได้ใช้ไฟล์ SVG (Scalable Vector Graphics) ซึ่งเป็นไฟล์ภาพแบบ XML ที่สามารถฝังโค้ด HTML และ JavaScript ได้ เพื่อสร้างเว็บปลอมที่เลียนแบบระบบศาลของรัฐบาลโคลอมเบีย โดยเมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ SVG ผ่านเบราว์เซอร์ จะเห็นหน้าเว็บที่ดูเหมือนเป็นระบบแจ้งเตือนทางกฎหมาย พร้อมแถบดาวน์โหลดและรหัสผ่าน เมื่อคลิกดาวน์โหลด ผู้ใช้จะได้รับไฟล์ ZIP ที่มีไฟล์ .exe ของเบราว์เซอร์ Comodo Dragon ซึ่งถูกเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง และไฟล์ .dll ที่เป็นมัลแวร์ซ่อนอยู่ หากผู้ใช้เปิด .exe มัลแวร์จะถูก sideload โดยอัตโนมัติ และเริ่มติดตั้ง payload เพิ่มเติมในระบบ VirusTotal ตรวจพบว่าแคมเปญนี้มีไฟล์ SVG ที่เกี่ยวข้องถึง 523 ไฟล์ โดย 44 ไฟล์ไม่ถูกตรวจจับโดยแอนตี้ไวรัสใด ๆ เลยในช่วงเวลาที่ถูกอัปโหลด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหลบเลี่ยงการตรวจจับผ่านเทคนิคเช่น code obfuscation และการใส่โค้ดขยะเพื่อเพิ่ม entropy ก่อนหน้านี้ IBM X-Force และ Cloudflare ก็เคยพบการใช้ SVG ในการโจมตีฟิชชิ่ง โดยเฉพาะกับธนาคารและบริษัทประกันภัย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า SVG กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ที่แฮกเกอร์ใช้ในการหลอกลวงและติดตั้งมัลแวร์ Microsoft จึงประกาศยกเลิกการรองรับการแสดงผล SVG แบบ inline ใน Outlook for Web และ Outlook for Windows เพื่อปิดช่องทางการโจมตีนี้ โดยจะไม่แสดงผล SVG ที่ฝังอยู่ในอีเมลอีกต่อไป ✅ ลักษณะของแคมเปญ SVG ฟิชชิ่ง ➡️ ใช้ SVG สร้างหน้าเว็บปลอมที่เลียนแบบระบบศาลโคลอมเบีย ➡️ มีแถบดาวน์โหลดและรหัสผ่านเพื่อหลอกให้ผู้ใช้เปิดไฟล์ ZIP ➡️ ZIP มี .exe ที่เซ็นรับรองและ .dll ที่เป็นมัลแวร์ซ่อนอยู่ ✅ เทคนิคที่ใช้ในการหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ JavaScript ฝังใน SVG เพื่อแสดง HTML และเรียกใช้ payload ➡️ ใช้ code obfuscation และโค้ดขยะเพื่อเพิ่ม entropy ➡️ 44 ไฟล์ไม่ถูกตรวจจับโดยแอนตี้ไวรัสใด ๆ ในช่วงแรก ✅ การตอบสนองจากผู้ให้บริการและนักวิจัย ➡️ VirusTotal ใช้ AI Code Insight ตรวจพบแคมเปญนี้ ➡️ IBM X-Force และ Cloudflare เคยพบการใช้ SVG ในการโจมตีฟิชชิ่ง ➡️ Microsoft ยกเลิกการแสดงผล SVG inline ใน Outlook เพื่อป้องกัน https://www.tomshardware.com/software/security-software/hackers-hide-malware-in-svg-files
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Malware found hidden in image files, can dodge antivirus detection entirely — VirusTotal discovers undetected SVG phishing campaign
    A new report links over 500 weaponized SVGs to a phishing campaign that spoofed a Colombian government portal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก SEA-ME-WE ถึง Azure: เมื่อสายเคเบิลใต้ทะเลกลายเป็นจุดอ่อนของอินเทอร์เน็ตโลก

    เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2025 Microsoft ต้องรีบเปลี่ยนเส้นทางการรับส่งข้อมูลของ Azure หลังจากสายเคเบิลใต้น้ำสองเส้นหลัก—SEA-ME-WE 4 และ IMEWE—ถูกตัดขาดในทะเลแดงใกล้เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้ผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียใต้และอ่าวเปอร์เซียพบกับความล่าช้าและประสิทธิภาพที่ลดลงทันที

    แม้ Microsoft จะสามารถ reroute ทราฟฟิกผ่านเส้นทางสำรองได้ แต่ก็เตือนว่าการใช้งานจะมี latency สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสำหรับ workload ที่ต้องเชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่, การเล่นเกมออนไลน์แบบมัลติเพลเยอร์ หรือการใช้งานคลาวด์ระดับ hyperscale อย่าง Google และ Meta

    NetBlocks ซึ่งเป็นองค์กรติดตามสถานะอินเทอร์เน็ต รายงานว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของอินเทอร์เน็ตในปากีสถาน อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูง

    ที่น่ากังวลคือ การซ่อมแซมสายเคเบิลใต้น้ำไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เรือเฉพาะทางที่มีจำนวนจำกัด และต้องระบุตำแหน่งที่เสียอย่างแม่นยำในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างทะเลแดง ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันมาแล้วในปี 2024 และ 2025 โดยมีข้อสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการโจมตีจากกลุ่ม Houthi ในเยเมน แม้เหตุการณ์ล่าสุดจะเกิดขึ้นทางเหนือของพื้นที่ที่กลุ่มนี้เคลื่อนไหว

    เหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำในทะเลแดง
    เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2025 บริเวณใกล้เมืองเจดดาห์
    สายเคเบิลที่ได้รับผลกระทบคือ SEA-ME-WE 4 และ IMEWE
    ส่งผลให้ Microsoft ต้อง reroute ทราฟฟิกของ Azure

    ผลกระทบต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ต
    ผู้ใช้งานในเอเชียใต้และอ่าวเปอร์เซียพบ latency สูงขึ้น
    บริการคลาวด์ระดับ hyperscale เช่น Google และ Meta ได้รับผลกระทบ
    การใช้งานที่ต้องเชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชียได้รับผลกระทบโดยตรง

    การรายงานจาก NetBlocks และผู้ให้บริการท้องถิ่น
    อินเทอร์เน็ตชะลอตัวในปากีสถาน อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และ UAE
    ผู้ให้บริการเช่น Etisalat และ Du ยืนยันว่ามีการหยุดชะงัก
    Microsoft เตือนว่าผลกระทบอาจต่อเนื่องถึงวันที่ 7 กันยายน

    ความยากในการซ่อมแซม
    ต้องใช้เรือเฉพาะทางและการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ
    พื้นที่ทะเลแดงมีความอ่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์
    การซ่อมแซมอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/red-sea-cable-cut-takes-azure-routes-down
    🎙️ เรื่องเล่าจาก SEA-ME-WE ถึง Azure: เมื่อสายเคเบิลใต้ทะเลกลายเป็นจุดอ่อนของอินเทอร์เน็ตโลก เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2025 Microsoft ต้องรีบเปลี่ยนเส้นทางการรับส่งข้อมูลของ Azure หลังจากสายเคเบิลใต้น้ำสองเส้นหลัก—SEA-ME-WE 4 และ IMEWE—ถูกตัดขาดในทะเลแดงใกล้เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้ผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียใต้และอ่าวเปอร์เซียพบกับความล่าช้าและประสิทธิภาพที่ลดลงทันที แม้ Microsoft จะสามารถ reroute ทราฟฟิกผ่านเส้นทางสำรองได้ แต่ก็เตือนว่าการใช้งานจะมี latency สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสำหรับ workload ที่ต้องเชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่, การเล่นเกมออนไลน์แบบมัลติเพลเยอร์ หรือการใช้งานคลาวด์ระดับ hyperscale อย่าง Google และ Meta NetBlocks ซึ่งเป็นองค์กรติดตามสถานะอินเทอร์เน็ต รายงานว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของอินเทอร์เน็ตในปากีสถาน อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูง ที่น่ากังวลคือ การซ่อมแซมสายเคเบิลใต้น้ำไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เรือเฉพาะทางที่มีจำนวนจำกัด และต้องระบุตำแหน่งที่เสียอย่างแม่นยำในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างทะเลแดง ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันมาแล้วในปี 2024 และ 2025 โดยมีข้อสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการโจมตีจากกลุ่ม Houthi ในเยเมน แม้เหตุการณ์ล่าสุดจะเกิดขึ้นทางเหนือของพื้นที่ที่กลุ่มนี้เคลื่อนไหว ✅ เหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำในทะเลแดง ➡️ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2025 บริเวณใกล้เมืองเจดดาห์ ➡️ สายเคเบิลที่ได้รับผลกระทบคือ SEA-ME-WE 4 และ IMEWE ➡️ ส่งผลให้ Microsoft ต้อง reroute ทราฟฟิกของ Azure ✅ ผลกระทบต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ต ➡️ ผู้ใช้งานในเอเชียใต้และอ่าวเปอร์เซียพบ latency สูงขึ้น ➡️ บริการคลาวด์ระดับ hyperscale เช่น Google และ Meta ได้รับผลกระทบ ➡️ การใช้งานที่ต้องเชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชียได้รับผลกระทบโดยตรง ✅ การรายงานจาก NetBlocks และผู้ให้บริการท้องถิ่น ➡️ อินเทอร์เน็ตชะลอตัวในปากีสถาน อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และ UAE ➡️ ผู้ให้บริการเช่น Etisalat และ Du ยืนยันว่ามีการหยุดชะงัก ➡️ Microsoft เตือนว่าผลกระทบอาจต่อเนื่องถึงวันที่ 7 กันยายน ✅ ความยากในการซ่อมแซม ➡️ ต้องใช้เรือเฉพาะทางและการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ ➡️ พื้นที่ทะเลแดงมีความอ่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ การซ่อมแซมอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/red-sea-cable-cut-takes-azure-routes-down
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ

    ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน

    ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน

    Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI

    ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท

    ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308

    รายละเอียดของ GAIN AI Act
    เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026
    กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ
    ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป

    ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก
    ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ
    ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ
    ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ

    ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม
    Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20
    AMD Instinct MI308
    ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด

    จุดยืนของ Nvidia
    ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท
    มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง
    เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    🎙️ เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308 ✅ รายละเอียดของ GAIN AI Act ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026 ➡️ กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ ➡️ ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป ✅ ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก ➡️ ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ ➡️ ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ ➡️ ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ ✅ ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม ➡️ Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20 ➡️ AMD Instinct MI308 ➡️ ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ✅ จุดยืนของ Nvidia ➡️ ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท ➡️ มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง ➡️ เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 8-9-68
    .
    สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่ วันนี้บ้านพระอาทิตย์มีเมนูอาหารเช้าเป็นโกยซีหมี่ไก่เส้นกรอบ โดยหลังจากที่คุณสนธิร่วมประชุม และรับประทานอาหารเช้ากับทีมงานแล้ว ก็ได้ถกเถียงกันในหลายประเด็น หนึ่งคือ กรณีที่คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีกำหนดจะต้องนัดฟังคำสั่งศาลกรณีชั้น 14 ในวันพรุ่งนี้ (9 ก.ย.) ซึ่งหลายคนสงสัยว่าคุณทักษิณจะกลับมาประเทศไทยไหม? ถ้ากลับจะเป็นอย่างไร และถ้าไม่กลับจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง? นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องของนายกฯ คนใหม่ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล กับรัฐบาลใหม่ และคณะรัฐมนตรีใหม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาเรื่องชายแดน และการยกเลิก MOU43-44
    .
    คุณสนธิคิดและมองอย่างไรกับการเมืองไทย ณ เวลานี้ ต้องติดตาม !
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=9tFRd3ycq28
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ทักษิณ #ชั้น14 #ทักษิณ #รัฐบาล #นายกหนู #อนุทินชาญวีรกูล #คณะรัฐมนตรี #รัฐบาลอนุทิน
    สนธิเล่าเรื่อง 8-9-68 . สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่ วันนี้บ้านพระอาทิตย์มีเมนูอาหารเช้าเป็นโกยซีหมี่ไก่เส้นกรอบ โดยหลังจากที่คุณสนธิร่วมประชุม และรับประทานอาหารเช้ากับทีมงานแล้ว ก็ได้ถกเถียงกันในหลายประเด็น หนึ่งคือ กรณีที่คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีกำหนดจะต้องนัดฟังคำสั่งศาลกรณีชั้น 14 ในวันพรุ่งนี้ (9 ก.ย.) ซึ่งหลายคนสงสัยว่าคุณทักษิณจะกลับมาประเทศไทยไหม? ถ้ากลับจะเป็นอย่างไร และถ้าไม่กลับจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง? นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องของนายกฯ คนใหม่ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล กับรัฐบาลใหม่ และคณะรัฐมนตรีใหม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาเรื่องชายแดน และการยกเลิก MOU43-44 . คุณสนธิคิดและมองอย่างไรกับการเมืองไทย ณ เวลานี้ ต้องติดตาม ! . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=9tFRd3ycq28 . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ทักษิณ #ชั้น14 #ทักษิณ #รัฐบาล #นายกหนู #อนุทินชาญวีรกูล #คณะรัฐมนตรี #รัฐบาลอนุทิน
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก rootkit ถึง OCR: เมื่อการขโมยรหัสผ่านกลายเป็นการปลอมตัวระดับรัฐ

    การรั่วไหลของข้อมูลที่เรียกว่า “Kim dump” เปิดเผยการทำงานภายในของกลุ่ม Kimsuky ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือ โดยมีเป้าหมายหลักคือการขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) จากระบบของรัฐบาลเกาหลีใต้และไต้หวัน

    ในข้อมูลที่รั่วออกมา มีทั้งประวัติการใช้คำสั่งในเทอร์มินัล, rootkit สำหรับ Linux, โดเมนฟิชชิ่งที่เลียนแบบเว็บไซต์ราชการ, และไฟล์ .key ที่ใช้ในระบบ GPKI (Government Public Key Infrastructure) ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ยืนยันตัวตนของเจ้าหน้าที่รัฐ

    แฮกเกอร์ใช้ OCR (Optical Character Recognition) เพื่อแปลงเอกสาร PDF ภาษาเกาหลีที่เกี่ยวข้องกับระบบ PKI และ VPN ให้กลายเป็นข้อมูลที่นำไปใช้สร้างเครื่องมือปลอมตัวได้ เช่น การปลอมลายเซ็นดิจิทัล หรือการสร้างระบบยืนยันตัวตนปลอม

    นอกจากนี้ยังพบการใช้ rootkit ที่สามารถซ่อนตัวในระดับ kernel ของ Linux โดยใช้เทคนิค syscall hooking และการสร้าง reverse shell ที่มีการเข้ารหัส ซึ่งทำให้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายได้โดยไม่ถูกตรวจจับ

    ในฝั่งไต้หวัน แฮกเกอร์พยายามเข้าถึงระบบของสถาบันวิจัยและผู้ให้บริการคลาวด์ โดยเจาะเข้าไปในโฟลเดอร์ .git เพื่อค้นหาคีย์ API และข้อมูลการ deploy ที่อาจหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    สิ่งที่น่าจับตามองคือการใช้โครงสร้างพื้นฐานของจีน เช่น Gitee, Baidu และ Zhihu รวมถึงการตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 (เวลาเปียงยาง) ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์อาจเป็นคนเกาหลีเหนือที่ทำงานจากในจีน หรือได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานของจีน

    เป้าหมายหลักของ Kimsuky
    ขโมย credentials และไฟล์ .key จากระบบ GPKI ของเกาหลีใต้
    ใช้ OCR เพื่อวิเคราะห์เอกสารเทคนิคของระบบ PKI และ VPN
    เจาะระบบของไต้หวันผ่านโฟลเดอร์ .git และระบบคลาวด์

    เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้
    ใช้ NASM ในการเขียน shellcode สำหรับ Windows
    ใช้ rootkit แบบ vmmisc.ko ที่ซ่อนตัวในระดับ kernel
    ใช้ phishing domain เช่น nid-security[.]com และ spoofed portals เช่น spo.go.kr

    โครงสร้างพื้นฐานและพฤติกรรม
    ใช้เครื่องมือจาก GitHub และ Gitee เช่น TitanLdr, Blacklotus
    ตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 และใช้ภาษาเกาหลีในคำสั่ง
    ใช้ภาพและเนื้อหาจากแพลตฟอร์มจีนเพื่อกลมกลืนกับผู้ใช้ใน PRC

    การเจาะระบบของไต้หวัน
    เข้าถึงโดเมนเช่น caa.org[.]tw/.git และ tw.systexcloud[.]com
    ใช้ IP ที่เชื่อมโยงกับสถาบันวิจัยและรัฐบาล เช่น 163.29.3[.]119
    พฤติกรรมบ่งชี้การเตรียมการเจาะระบบ supply chain

    https://dti.domaintools.com/inside-the-kimsuky-leak-how-the-kim-dump-exposed-north-koreas-credential-theft-playbook/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก rootkit ถึง OCR: เมื่อการขโมยรหัสผ่านกลายเป็นการปลอมตัวระดับรัฐ การรั่วไหลของข้อมูลที่เรียกว่า “Kim dump” เปิดเผยการทำงานภายในของกลุ่ม Kimsuky ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือ โดยมีเป้าหมายหลักคือการขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) จากระบบของรัฐบาลเกาหลีใต้และไต้หวัน ในข้อมูลที่รั่วออกมา มีทั้งประวัติการใช้คำสั่งในเทอร์มินัล, rootkit สำหรับ Linux, โดเมนฟิชชิ่งที่เลียนแบบเว็บไซต์ราชการ, และไฟล์ .key ที่ใช้ในระบบ GPKI (Government Public Key Infrastructure) ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ยืนยันตัวตนของเจ้าหน้าที่รัฐ แฮกเกอร์ใช้ OCR (Optical Character Recognition) เพื่อแปลงเอกสาร PDF ภาษาเกาหลีที่เกี่ยวข้องกับระบบ PKI และ VPN ให้กลายเป็นข้อมูลที่นำไปใช้สร้างเครื่องมือปลอมตัวได้ เช่น การปลอมลายเซ็นดิจิทัล หรือการสร้างระบบยืนยันตัวตนปลอม นอกจากนี้ยังพบการใช้ rootkit ที่สามารถซ่อนตัวในระดับ kernel ของ Linux โดยใช้เทคนิค syscall hooking และการสร้าง reverse shell ที่มีการเข้ารหัส ซึ่งทำให้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายได้โดยไม่ถูกตรวจจับ ในฝั่งไต้หวัน แฮกเกอร์พยายามเข้าถึงระบบของสถาบันวิจัยและผู้ให้บริการคลาวด์ โดยเจาะเข้าไปในโฟลเดอร์ .git เพื่อค้นหาคีย์ API และข้อมูลการ deploy ที่อาจหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่น่าจับตามองคือการใช้โครงสร้างพื้นฐานของจีน เช่น Gitee, Baidu และ Zhihu รวมถึงการตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 (เวลาเปียงยาง) ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์อาจเป็นคนเกาหลีเหนือที่ทำงานจากในจีน หรือได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานของจีน ✅ เป้าหมายหลักของ Kimsuky ➡️ ขโมย credentials และไฟล์ .key จากระบบ GPKI ของเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ OCR เพื่อวิเคราะห์เอกสารเทคนิคของระบบ PKI และ VPN ➡️ เจาะระบบของไต้หวันผ่านโฟลเดอร์ .git และระบบคลาวด์ ✅ เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ ➡️ ใช้ NASM ในการเขียน shellcode สำหรับ Windows ➡️ ใช้ rootkit แบบ vmmisc.ko ที่ซ่อนตัวในระดับ kernel ➡️ ใช้ phishing domain เช่น nid-security[.]com และ spoofed portals เช่น spo.go.kr ✅ โครงสร้างพื้นฐานและพฤติกรรม ➡️ ใช้เครื่องมือจาก GitHub และ Gitee เช่น TitanLdr, Blacklotus ➡️ ตั้งค่าเครื่องในเขตเวลา UTC+9 และใช้ภาษาเกาหลีในคำสั่ง ➡️ ใช้ภาพและเนื้อหาจากแพลตฟอร์มจีนเพื่อกลมกลืนกับผู้ใช้ใน PRC ✅ การเจาะระบบของไต้หวัน ➡️ เข้าถึงโดเมนเช่น caa.org[.]tw/.git และ tw.systexcloud[.]com ➡️ ใช้ IP ที่เชื่อมโยงกับสถาบันวิจัยและรัฐบาล เช่น 163.29.3[.]119 ➡️ พฤติกรรมบ่งชี้การเตรียมการเจาะระบบ supply chain https://dti.domaintools.com/inside-the-kimsuky-leak-how-the-kim-dump-exposed-north-koreas-credential-theft-playbook/
    DTI.DOMAINTOOLS.COM
    Inside the Kimsuky Leak: How the “Kim” Dump Exposed North Korea’s Credential Theft Playbook - DomainTools Investigations | DTI
    A rare and revealing breach attributed to a North Korean-affiliated actor, known only as “Kim” as named by the hackers who dumped the data, has delivered a new insight into Kimsuky (APT43) tactics, techniques, and infrastructure. This actor's operational profile showcases credential-focused intrusions targeting South Korean and Taiwanese networks, with a blending of Chinese-language tooling, infrastructure, and possible logistical support. The “Kim” dump, which includes bash histories, phishing domains, OCR workflows, compiled stagers, and rootkit evidence, reflects a hybrid operation situated between DPRK attribution and Chinese resource utilization.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากฝุ่นถึงฟันเฟืองสมอง: เมื่ออากาศสกปรกกลายเป็นตัวเร่งโรคที่เราไม่เคยคาดคิด

    งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56.5 ล้านคนในสหรัฐฯ และพบว่าการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมแบบ Lewy body และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพันธุกรรมที่โน้มเอียงต่อโรคเหล่านี้

    PM2.5 คือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย และในงานวิจัยนี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหนูทดลองที่ได้รับ PM2.5 ผ่านทางจมูกเป็นเวลา 10 เดือน มีการสะสมของโปรตีน α-synuclein (αSyn) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรค Lewy body dementia

    ที่น่าตกใจคือ หนูที่ได้รับ PM2.5 มีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อมในการทดสอบเขาวงกต และการจำวัตถุใหม่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเนื้อสมองบริเวณ medial temporal lobe ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างและเรียกคืนความทรงจำ มีการหดตัวอย่างชัดเจน

    ทีมวิจัยยังพบว่า αSyn ไม่ได้สะสมแค่ในสมอง แต่ยังพบในลำไส้และปอดของหนูที่ได้รับ PM2.5 ซึ่งชี้ว่าอาจมีการแพร่กระจายของโปรตีนผ่าน “gut–brain axis” หรือเส้นทางลำไส้สู่สมอง ซึ่งเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์และ Lewy body dementia

    เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่มีโปรตีน αSyn พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองเลย ซึ่งยืนยันว่าโปรตีนนี้เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจากฝุ่น PM2.5

    ความเชื่อมโยงระหว่าง PM2.5 กับภาวะสมองเสื่อม
    การสัมผัส PM2.5 ระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อ Lewy body dementia และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อม
    ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 12% สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
    ผู้ที่มีพันธุกรรมโน้มเอียงจะได้รับผลกระทบชัดเจนมากกว่า

    กลไกของโรคที่พบในหนูทดลอง
    พบการสะสมของโปรตีน αSyn ในสมอง ลำไส้ และปอด
    หนูมีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อม
    สมองบริเวณ medial temporal lobe หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ

    การเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่มีโปรตีน αSyn
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองหรือพฤติกรรม
    ยืนยันว่า αSyn เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจาก PM2.5

    การเปลี่ยนแปลงระดับยีนในสมอง
    พบการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนใน anterior cingulate cortex
    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับที่พบในผู้ป่วย Lewy body dementia
    ไม่พบความคล้ายกันในผู้ป่วยพาร์กินสันที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม

    https://www.nature.com/articles/d41586-025-02844-9
    🎙️ เรื่องเล่าจากฝุ่นถึงฟันเฟืองสมอง: เมื่ออากาศสกปรกกลายเป็นตัวเร่งโรคที่เราไม่เคยคาดคิด งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56.5 ล้านคนในสหรัฐฯ และพบว่าการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมแบบ Lewy body และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพันธุกรรมที่โน้มเอียงต่อโรคเหล่านี้ PM2.5 คือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย และในงานวิจัยนี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหนูทดลองที่ได้รับ PM2.5 ผ่านทางจมูกเป็นเวลา 10 เดือน มีการสะสมของโปรตีน α-synuclein (αSyn) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรค Lewy body dementia ที่น่าตกใจคือ หนูที่ได้รับ PM2.5 มีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อมในการทดสอบเขาวงกต และการจำวัตถุใหม่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเนื้อสมองบริเวณ medial temporal lobe ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างและเรียกคืนความทรงจำ มีการหดตัวอย่างชัดเจน ทีมวิจัยยังพบว่า αSyn ไม่ได้สะสมแค่ในสมอง แต่ยังพบในลำไส้และปอดของหนูที่ได้รับ PM2.5 ซึ่งชี้ว่าอาจมีการแพร่กระจายของโปรตีนผ่าน “gut–brain axis” หรือเส้นทางลำไส้สู่สมอง ซึ่งเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์และ Lewy body dementia เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่มีโปรตีน αSyn พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองเลย ซึ่งยืนยันว่าโปรตีนนี้เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจากฝุ่น PM2.5 ✅ ความเชื่อมโยงระหว่าง PM2.5 กับภาวะสมองเสื่อม ➡️ การสัมผัส PM2.5 ระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อ Lewy body dementia และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อม ➡️ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 12% สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ➡️ ผู้ที่มีพันธุกรรมโน้มเอียงจะได้รับผลกระทบชัดเจนมากกว่า ✅ กลไกของโรคที่พบในหนูทดลอง ➡️ พบการสะสมของโปรตีน αSyn ในสมอง ลำไส้ และปอด ➡️ หนูมีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อม ➡️ สมองบริเวณ medial temporal lobe หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่มีโปรตีน αSyn ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองหรือพฤติกรรม ➡️ ยืนยันว่า αSyn เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจาก PM2.5 ✅ การเปลี่ยนแปลงระดับยีนในสมอง ➡️ พบการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนใน anterior cingulate cortex ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับที่พบในผู้ป่วย Lewy body dementia ➡️ ไม่พบความคล้ายกันในผู้ป่วยพาร์กินสันที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม https://www.nature.com/articles/d41586-025-02844-9
    WWW.NATURE.COM
    Air pollution directly linked to increased dementia risk
    Long-term exposure accelerates the development of Lewy body dementia and Parkinson’s disease with dementia in people who are predisposed to the conditions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียถล่มโจมตีทางอากาศเล่นงานยูเครนทั่วประเทศครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในช่วงคืนวันเสาร์ (6 ก.ย.) ต่อเนื่องถึงก่อนรุ่งสางวันอาทิตย์ (7) โดยที่เคียฟระบุว่าทำให้เกิดไฟไหม้หลังคาอาคารหลักของรัฐบาลในเมืองหลวง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สิ่งปลูกสร้างนี้ตกเป็นเป้าหมายการถล่มของแดนหมีขาว อย่างไรก็ดี มอสโกออกมาปฏิเสธ โดยอ้างว่า จำกัดการโจมตีให้อยู่เฉพาะพวกเป้าหมายทางทหารและอุตสาหกรรมทางทหาร
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000085716

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    รัสเซียถล่มโจมตีทางอากาศเล่นงานยูเครนทั่วประเทศครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในช่วงคืนวันเสาร์ (6 ก.ย.) ต่อเนื่องถึงก่อนรุ่งสางวันอาทิตย์ (7) โดยที่เคียฟระบุว่าทำให้เกิดไฟไหม้หลังคาอาคารหลักของรัฐบาลในเมืองหลวง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สิ่งปลูกสร้างนี้ตกเป็นเป้าหมายการถล่มของแดนหมีขาว อย่างไรก็ดี มอสโกออกมาปฏิเสธ โดยอ้างว่า จำกัดการโจมตีให้อยู่เฉพาะพวกเป้าหมายทางทหารและอุตสาหกรรมทางทหาร . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000085716 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ร่วมก่อตั้ง Gojek ถูกกล่าวหาทุจริต Chromebook

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 ก.ย.) สำนักงานอัยการสูงสุดของอินโดนีเซีย (AGO RI) ควบคุมตัวนายนาดีม มาคาริม (Nadiem Makarim) อดีต รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม การวิจัย และเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย ไปกักขังเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเป็นเวลา 20 วัน หลังจากตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย คดีทุจริตการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสำหรับโรงเรียน เชื่อมโยงกับ Chromebook ของ Google มูลค่า 9.3 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 18,161 ล้านบาท

    โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2563-2565 สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโจโค วิโดโด มีการแจกจ่าย Chromebook จำนวน 1.2 ล้านเครื่องให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ตามนโยบายเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ระบบดิจิทัล แต่อัยการชี้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับโครงการนี้ เนื่องจาก Chromebook จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร แต่กลับไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เป้าหมายหลายแห่ง ซึ่งมีไฟฟ้าจำกัดและการเชื่อมต่อที่ย่ำแย่ ส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียเสียหายกว่า 1.98 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 3,866 ล้านบาท

    จากการเปิดเผยของนายนูร์คาห์โย จุงกุง มาดโย (Nurcahyo Jungkung Madyo) ผู้อำนวยการฝ่ายสืบสวนการทุจริตของสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า นายนาดีม ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ มีการประชุมแบบปิดผ่าน Zoom เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2563 สั่งการให้คนใกล้ชิดนำระบบปฏิบัติการ Chrome ของ Google มาใช้ในการจัดซื้อแล็ปท็อปของกระทรวงศึกษาธิการฯ ทั่วประเทศ อีกทั้งในเดือน ก.พ.2564 นายนาดีมได้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้ใช้ระบบปฎิบัติการ ChromeOS และฟีเจอร์ที่เชื่อมโยงกับบริการด้านการศึกษาของ Google กลายเป็นการล็อกสเปก ทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม

    ด้านนายนาดีมตะโกนบอกผู้สื่อข่าวระหว่างถูกควบคุมตัวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าคุ้มครองผม ความจริงจะปรากฏ อัลลอฮ์จะทรงทราบความจริง” ขณะที่ทนายความของนายนาดีม ยืนยันว่านายนาดีมไม่ได้รับแม้แต่เซ็นต์เดียว ทั้งนี้ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต

    สำหรับนายนาดีม มาคาริม อายุ 41 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโกเจ็ก (Gojek) แพลตฟอร์มเรียกรถโดยสาร สั่งอาหาร และชำระเงินออนไลน์ของอินโดนีเซีย ก่อนจะลาออกในปี 2562 เพื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้ควบรวมกิจการกับ Tokopedia ในปี 2564 เป็น GoTo Gojek Tokopedia บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ชี้แจงว่า หลังนายนาดีมลาออก เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร หรือการดำเนินงานของบริษัทฯ อีกต่อไป

    #Newskit
    ผู้ร่วมก่อตั้ง Gojek ถูกกล่าวหาทุจริต Chromebook เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 ก.ย.) สำนักงานอัยการสูงสุดของอินโดนีเซีย (AGO RI) ควบคุมตัวนายนาดีม มาคาริม (Nadiem Makarim) อดีต รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม การวิจัย และเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย ไปกักขังเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเป็นเวลา 20 วัน หลังจากตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย คดีทุจริตการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสำหรับโรงเรียน เชื่อมโยงกับ Chromebook ของ Google มูลค่า 9.3 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 18,161 ล้านบาท โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2563-2565 สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโจโค วิโดโด มีการแจกจ่าย Chromebook จำนวน 1.2 ล้านเครื่องให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ตามนโยบายเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ระบบดิจิทัล แต่อัยการชี้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับโครงการนี้ เนื่องจาก Chromebook จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร แต่กลับไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เป้าหมายหลายแห่ง ซึ่งมีไฟฟ้าจำกัดและการเชื่อมต่อที่ย่ำแย่ ส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียเสียหายกว่า 1.98 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 3,866 ล้านบาท จากการเปิดเผยของนายนูร์คาห์โย จุงกุง มาดโย (Nurcahyo Jungkung Madyo) ผู้อำนวยการฝ่ายสืบสวนการทุจริตของสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า นายนาดีม ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ มีการประชุมแบบปิดผ่าน Zoom เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2563 สั่งการให้คนใกล้ชิดนำระบบปฏิบัติการ Chrome ของ Google มาใช้ในการจัดซื้อแล็ปท็อปของกระทรวงศึกษาธิการฯ ทั่วประเทศ อีกทั้งในเดือน ก.พ.2564 นายนาดีมได้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้ใช้ระบบปฎิบัติการ ChromeOS และฟีเจอร์ที่เชื่อมโยงกับบริการด้านการศึกษาของ Google กลายเป็นการล็อกสเปก ทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม ด้านนายนาดีมตะโกนบอกผู้สื่อข่าวระหว่างถูกควบคุมตัวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าคุ้มครองผม ความจริงจะปรากฏ อัลลอฮ์จะทรงทราบความจริง” ขณะที่ทนายความของนายนาดีม ยืนยันว่านายนาดีมไม่ได้รับแม้แต่เซ็นต์เดียว ทั้งนี้ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต สำหรับนายนาดีม มาคาริม อายุ 41 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโกเจ็ก (Gojek) แพลตฟอร์มเรียกรถโดยสาร สั่งอาหาร และชำระเงินออนไลน์ของอินโดนีเซีย ก่อนจะลาออกในปี 2562 เพื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้ควบรวมกิจการกับ Tokopedia ในปี 2564 เป็น GoTo Gojek Tokopedia บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ชี้แจงว่า หลังนายนาดีมลาออก เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร หรือการดำเนินงานของบริษัทฯ อีกต่อไป #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4เดือนให้เวลามากไป,แค่1เดือนก็พอแล้ว วัดผลงานรัฐบาล32นี้เลย,เรื่องแรกคือยกเลิกmou43,44และtor46ด้วยให้เป็นทางการ,สองประกาศสร้างรั้วลวดหนามให้ชัดเจนตลอดแนวพรมแดนจากปากนายกฯรัฐบาล32นี้เลย,1เดือดแรก ใหญ่สุดเวลานี้เอาเรื่องนี้ก่อน ถ้าชัดเจนก็ต่อสมัยผ่านประเมินในเดือนที่2ได้,เพราะ1:50,000ทหารไทยยืนยันจบแล้วรัฐบาล32ต้องตอกฝาโลงเขมรจากตบหน้ายกเลิกmou43,44ไปก่อนหน้านั้นแล้ว,การปฏิบัติการทางก่อสร้างจะลุล่วงทันที,สามารถระดมทุนบริจาคจากประชาชนได้ นายกฯเป็นเจ้าภาพรับบริจาคเอง จะจบทันที.ได้ใจคนไทยด้วย เสียงมาตรึม,แต่ถ้าผิดไปจากนี้ก็ไม่ได้ไปต่อแค่นั้น อาจดับอนาถทั้งตัวเองและพรรคด้วย,หากยืนตรงข้ามประชาชนและอยู่ฝ่ายตรงข้ามทหารของประชาชน,เพราะนายกฯรัฐบาลเฉพาะกาลตั้งธงไว้รอแล้วมาแน่นอน,รัฐบาล33.

    https://youtube.com/watch?v=WugnxSGkLl8&si=ruRj94tr2tKdSyTR
    4เดือนให้เวลามากไป,แค่1เดือนก็พอแล้ว วัดผลงานรัฐบาล32นี้เลย,เรื่องแรกคือยกเลิกmou43,44และtor46ด้วยให้เป็นทางการ,สองประกาศสร้างรั้วลวดหนามให้ชัดเจนตลอดแนวพรมแดนจากปากนายกฯรัฐบาล32นี้เลย,1เดือดแรก ใหญ่สุดเวลานี้เอาเรื่องนี้ก่อน ถ้าชัดเจนก็ต่อสมัยผ่านประเมินในเดือนที่2ได้,เพราะ1:50,000ทหารไทยยืนยันจบแล้วรัฐบาล32ต้องตอกฝาโลงเขมรจากตบหน้ายกเลิกmou43,44ไปก่อนหน้านั้นแล้ว,การปฏิบัติการทางก่อสร้างจะลุล่วงทันที,สามารถระดมทุนบริจาคจากประชาชนได้ นายกฯเป็นเจ้าภาพรับบริจาคเอง จะจบทันที.ได้ใจคนไทยด้วย เสียงมาตรึม,แต่ถ้าผิดไปจากนี้ก็ไม่ได้ไปต่อแค่นั้น อาจดับอนาถทั้งตัวเองและพรรคด้วย,หากยืนตรงข้ามประชาชนและอยู่ฝ่ายตรงข้ามทหารของประชาชน,เพราะนายกฯรัฐบาลเฉพาะกาลตั้งธงไว้รอแล้วมาแน่นอน,รัฐบาล33. https://youtube.com/watch?v=WugnxSGkLl8&si=ruRj94tr2tKdSyTR
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนุทินกำจัดจุดอ่อน ฟอร์ม ครม.คนนอก-ฟื้นคนละครึ่ง

    ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังลาออกจากรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ต้องการเก้าอี้คืน แล้วตกลงกันไม่ได้ กระทั่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในที่สุดดีลโหวตเลือกนายกฯ กับพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ก็ลงตัว ชนะนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง ภายใต้เงื่อนไขต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

    4 ปัญหาบ้านเมืองที่นายอนุทินจะแก้ไข คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม จึงได้พบเห็นการฟอร์มรัฐมนตรีคนนอก ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ จะมาเป็น รมว.คลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. และ โออาร์ จะมาเป็น รมว.พลังงาน และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะมาเป็น รมว.ต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า อยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานได้เลย ไม่ต้องเรียนรู้งานอะไรมาก สร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าได้ และล่าสุด เปิดตัวนายวรภัค ธันยาวงษ์ ประธานที่ปรึกษา นายพิชัย ชุณหวชิร อดีต รมว.คลังในรัฐบาลแพทองธาร ที่เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมาเป็น รมช.คลัง

    นอกจากนี้ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า จะฟื้นโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมา หลังนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เรียกร้องให้สนับสนุนโครงการ Co-payment เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เพราะเป็นโครงการในตำนานที่เห็นภาพและจับต้องได้

    อีกทั้งระบบหลังบ้าน ธนาคารกรุงไทยมีประสบการณ์อยู่แล้ว มีฐานผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตังกว่า 40 ล้านราย เมื่อเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ต้องเขียนแอปฯ ใหม่ สุดท้ายทำไม่ได้จริง ได้แค่แจกเงินผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางผ่านระบบพร้อมเพย์ แม้จะมีการปลุกกระแสทำให้ผู้ค้าส่วนหนึ่งกลัวถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังก็ตาม แต่การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยปกติหากรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว

    #Newskit
    อนุทินกำจัดจุดอ่อน ฟอร์ม ครม.คนนอก-ฟื้นคนละครึ่ง ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังลาออกจากรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ต้องการเก้าอี้คืน แล้วตกลงกันไม่ได้ กระทั่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในที่สุดดีลโหวตเลือกนายกฯ กับพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ก็ลงตัว ชนะนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง ภายใต้เงื่อนไขต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 4 ปัญหาบ้านเมืองที่นายอนุทินจะแก้ไข คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม จึงได้พบเห็นการฟอร์มรัฐมนตรีคนนอก ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ จะมาเป็น รมว.คลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. และ โออาร์ จะมาเป็น รมว.พลังงาน และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะมาเป็น รมว.ต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า อยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานได้เลย ไม่ต้องเรียนรู้งานอะไรมาก สร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าได้ และล่าสุด เปิดตัวนายวรภัค ธันยาวงษ์ ประธานที่ปรึกษา นายพิชัย ชุณหวชิร อดีต รมว.คลังในรัฐบาลแพทองธาร ที่เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมาเป็น รมช.คลัง นอกจากนี้ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า จะฟื้นโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมา หลังนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เรียกร้องให้สนับสนุนโครงการ Co-payment เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เพราะเป็นโครงการในตำนานที่เห็นภาพและจับต้องได้ อีกทั้งระบบหลังบ้าน ธนาคารกรุงไทยมีประสบการณ์อยู่แล้ว มีฐานผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตังกว่า 40 ล้านราย เมื่อเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ต้องเขียนแอปฯ ใหม่ สุดท้ายทำไม่ได้จริง ได้แค่แจกเงินผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางผ่านระบบพร้อมเพย์ แม้จะมีการปลุกกระแสทำให้ผู้ค้าส่วนหนึ่งกลัวถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังก็ตาม แต่การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยปกติหากรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว #Newskit
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก ChatGPT ถึง EisnerAmper: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยเงาในออฟฟิศที่ไม่มีใครควบคุม

    ผลสำรวจล่าสุดจาก EisnerAmper พบว่าในสหรัฐฯ มีเพียง 22% ของพนักงานออฟฟิศที่ใช้ AI ระบุว่าบริษัทของตนมีการตรวจสอบการใช้งาน AI อย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าอีก 78% ใช้ AI โดยไม่มี oversight ใด ๆ แม้บริษัทจะมีนโยบายหรือแนวทางด้านความปลอดภัยก็ตาม

    ที่น่าตกใจคือ 36% ของบริษัทเท่านั้นที่มีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ และ 28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทจะห้ามไว้ก็ตาม ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างการบริหารจัดการกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน

    แม้จะไม่มีการควบคุม แต่ 80% ของพนักงานกลับรายงานว่า AI ช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น และ 64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้จาก AI ไปทำงานอื่นต่อ ขณะที่บางคนใช้เวลาไปพักผ่อน เช่น เดินเล่น (19%) หรือไปทานข้าว (16%)

    อย่างไรก็ตาม 68% ของผู้ใช้ AI พบข้อผิดพลาดจากระบบเป็นประจำ แม้ 82% จะยังมั่นใจว่า AI ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นที่อาจเกินจริง และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านกฎหมายหรือชื่อเสียงหากใช้ข้อมูลผิดพลาด

    ผู้เชี่ยวชาญจาก EisnerAmper เตือนว่า หากไม่มีการวางกลยุทธ์ด้าน AI ที่ชัดเจนและการสื่อสารภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างนวัตกรรม และอาจเผชิญกับปัญหาด้านความรับผิดชอบเมื่อเกิดข้อผิดพลาดจากการใช้ AI

    สถานการณ์การใช้ AI ในที่ทำงาน
    22% ของพนักงานระบุว่าบริษัทมีการตรวจสอบการใช้ AI
    36% ของบริษัทมีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ
    28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทห้าม

    พฤติกรรมและความเชื่อมั่นของพนักงาน
    80% รายงานว่า AI ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น
    64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้ไปทำงานอื่น
    19% ใช้เวลาไปเดินเล่น และ 16% ไปทานข้าว
    82% มั่นใจในผลลัพธ์ของ AI แม้ 68% พบข้อผิดพลาดเป็นประจำ

    ความเสี่ยงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ช่องว่างระหว่างนโยบายกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน
    ความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียงจากการใช้ AI โดยไม่มี oversight
    ความจำเป็นในการวางกลยุทธ์ด้าน AI และการสื่อสารภายในองค์กร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/only-one-in-five-workers-say-their-ai-use-is-checked-at-work-that-needs-to-change
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ChatGPT ถึง EisnerAmper: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยเงาในออฟฟิศที่ไม่มีใครควบคุม ผลสำรวจล่าสุดจาก EisnerAmper พบว่าในสหรัฐฯ มีเพียง 22% ของพนักงานออฟฟิศที่ใช้ AI ระบุว่าบริษัทของตนมีการตรวจสอบการใช้งาน AI อย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าอีก 78% ใช้ AI โดยไม่มี oversight ใด ๆ แม้บริษัทจะมีนโยบายหรือแนวทางด้านความปลอดภัยก็ตาม ที่น่าตกใจคือ 36% ของบริษัทเท่านั้นที่มีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ และ 28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทจะห้ามไว้ก็ตาม ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างการบริหารจัดการกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน แม้จะไม่มีการควบคุม แต่ 80% ของพนักงานกลับรายงานว่า AI ช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น และ 64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้จาก AI ไปทำงานอื่นต่อ ขณะที่บางคนใช้เวลาไปพักผ่อน เช่น เดินเล่น (19%) หรือไปทานข้าว (16%) อย่างไรก็ตาม 68% ของผู้ใช้ AI พบข้อผิดพลาดจากระบบเป็นประจำ แม้ 82% จะยังมั่นใจว่า AI ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นที่อาจเกินจริง และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านกฎหมายหรือชื่อเสียงหากใช้ข้อมูลผิดพลาด ผู้เชี่ยวชาญจาก EisnerAmper เตือนว่า หากไม่มีการวางกลยุทธ์ด้าน AI ที่ชัดเจนและการสื่อสารภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างนวัตกรรม และอาจเผชิญกับปัญหาด้านความรับผิดชอบเมื่อเกิดข้อผิดพลาดจากการใช้ AI ✅ สถานการณ์การใช้ AI ในที่ทำงาน ➡️ 22% ของพนักงานระบุว่าบริษัทมีการตรวจสอบการใช้ AI ➡️ 36% ของบริษัทมีนโยบายการใช้ AI อย่างเป็นทางการ ➡️ 28% ของพนักงานยอมรับว่าจะใช้ AI แม้บริษัทห้าม ✅ พฤติกรรมและความเชื่อมั่นของพนักงาน ➡️ 80% รายงานว่า AI ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น ➡️ 64% ใช้เวลาที่ประหยัดได้ไปทำงานอื่น ➡️ 19% ใช้เวลาไปเดินเล่น และ 16% ไปทานข้าว ➡️ 82% มั่นใจในผลลัพธ์ของ AI แม้ 68% พบข้อผิดพลาดเป็นประจำ ✅ ความเสี่ยงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ช่องว่างระหว่างนโยบายกับพฤติกรรมจริงของพนักงาน ➡️ ความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียงจากการใช้ AI โดยไม่มี oversight ➡️ ความจำเป็นในการวางกลยุทธ์ด้าน AI และการสื่อสารภายในองค์กร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/only-one-in-five-workers-say-their-ai-use-is-checked-at-work-that-needs-to-change
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Only one in five workers say their AI use is checked at work. That needs to change
    In the push to adopt the new technology to boost productivity, companies may open themselves to serious problems if they don't set rules for AI at work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากหลอด LED ถึงแผงโซลาร์บนหลังคา: เมื่อความคิดเล่น ๆ กลายเป็นบทเรียนเรื่องพลังงานและประสิทธิภาพ

    หลายคนสงสัยว่า “ถ้าแสงแดดทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้ แล้วแสงจากหลอดไฟจะทำได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องตามด้วยคำว่า “ไม่คุ้ม” เพราะแม้แผงโซลาร์จะตอบสนองต่อแสงประดิษฐ์ได้ แต่ประสิทธิภาพต่ำมากเมื่อเทียบกับแสงธรรมชาติ

    แสงแดดมีช่วงคลื่นกว้างตั้งแต่รังสี UV ไปจนถึงอินฟราเรด (400–1200 นาโนเมตร) ซึ่งครอบคลุมพลังงานที่แผงโซลาร์สามารถดูดซับได้ดี ขณะที่แสงจากหลอดไฟ เช่น LED หรือฟลูออเรสเซนต์ มีช่วงคลื่นแคบกว่า (300–800 นาโนเมตร) และความเข้มต่ำกว่า ทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงอย่างมาก

    แม้หลอด LED จะสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องวางใกล้มาก และใช้พลังงานจากไฟบ้านเพื่อให้หลอดทำงาน ซึ่งกลายเป็นการใช้พลังงานมากกว่าที่ผลิตได้จากแผง—เรียกได้ว่า “ขาดทุนพลังงาน”

    ในทางปฏิบัติ แผงโซลาร์จะหยุดทำงานเมื่อพระอาทิตย์ตก แต่ระบบโซลาร์สมัยใหม่มีแบตเตอรี่เก็บพลังงานไว้ใช้ตอนกลางคืน และยังมีระบบ “net metering” ที่ให้ผู้ใช้ขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบไฟฟ้าในตอนกลางวัน เพื่อชดเชยการใช้ไฟตอนกลางคืน

    การติดตั้งแผงโซลาร์ยังได้รับเครดิตภาษีในสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2025 ซึ่งช่วยลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ลงได้มาก และหลังจากคืนทุนแล้ว ผู้ใช้จะได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว

    หลักการทำงานของแผงโซลาร์
    แสงแดดกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้าแบบ DC
    อินเวอร์เตอร์แปลงเป็นไฟฟ้าแบบ AC เพื่อใช้ในบ้าน
    พลังงานส่วนเกินสามารถเก็บในแบตเตอรี่หรือส่งกลับเข้าระบบไฟฟ้า

    การใช้แสงประดิษฐ์กับแผงโซลาร์
    แสงจากหลอดไฟสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้
    ช่วงคลื่นของแสงประดิษฐ์แคบกว่าธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ
    ต้องวางหลอดไฟใกล้แผงมาก ซึ่งไม่เหมาะกับการติดตั้งจริง

    ทางเลือกหลังพระอาทิตย์ตก
    ใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงานที่ผลิตได้ตอนกลางวัน
    ใช้ระบบ net metering เพื่อขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบ
    ช่วยลดค่าไฟตอนกลางคืน แม้จะไม่สามารถพึ่งพาได้ 100%

    สิทธิประโยชน์ด้านภาษี
    เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ หมดอายุปลายปี 2025
    ลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
    หลังคืนทุนแล้ว ได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/1958212/can-light-bulb-power-solar-panel/
    🎙️ เรื่องเล่าจากหลอด LED ถึงแผงโซลาร์บนหลังคา: เมื่อความคิดเล่น ๆ กลายเป็นบทเรียนเรื่องพลังงานและประสิทธิภาพ หลายคนสงสัยว่า “ถ้าแสงแดดทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้ แล้วแสงจากหลอดไฟจะทำได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องตามด้วยคำว่า “ไม่คุ้ม” เพราะแม้แผงโซลาร์จะตอบสนองต่อแสงประดิษฐ์ได้ แต่ประสิทธิภาพต่ำมากเมื่อเทียบกับแสงธรรมชาติ แสงแดดมีช่วงคลื่นกว้างตั้งแต่รังสี UV ไปจนถึงอินฟราเรด (400–1200 นาโนเมตร) ซึ่งครอบคลุมพลังงานที่แผงโซลาร์สามารถดูดซับได้ดี ขณะที่แสงจากหลอดไฟ เช่น LED หรือฟลูออเรสเซนต์ มีช่วงคลื่นแคบกว่า (300–800 นาโนเมตร) และความเข้มต่ำกว่า ทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงอย่างมาก แม้หลอด LED จะสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องวางใกล้มาก และใช้พลังงานจากไฟบ้านเพื่อให้หลอดทำงาน ซึ่งกลายเป็นการใช้พลังงานมากกว่าที่ผลิตได้จากแผง—เรียกได้ว่า “ขาดทุนพลังงาน” ในทางปฏิบัติ แผงโซลาร์จะหยุดทำงานเมื่อพระอาทิตย์ตก แต่ระบบโซลาร์สมัยใหม่มีแบตเตอรี่เก็บพลังงานไว้ใช้ตอนกลางคืน และยังมีระบบ “net metering” ที่ให้ผู้ใช้ขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบไฟฟ้าในตอนกลางวัน เพื่อชดเชยการใช้ไฟตอนกลางคืน การติดตั้งแผงโซลาร์ยังได้รับเครดิตภาษีในสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2025 ซึ่งช่วยลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ลงได้มาก และหลังจากคืนทุนแล้ว ผู้ใช้จะได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว ✅ หลักการทำงานของแผงโซลาร์ ➡️ แสงแดดกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้าแบบ DC ➡️ อินเวอร์เตอร์แปลงเป็นไฟฟ้าแบบ AC เพื่อใช้ในบ้าน ➡️ พลังงานส่วนเกินสามารถเก็บในแบตเตอรี่หรือส่งกลับเข้าระบบไฟฟ้า ✅ การใช้แสงประดิษฐ์กับแผงโซลาร์ ➡️ แสงจากหลอดไฟสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ ➡️ ช่วงคลื่นของแสงประดิษฐ์แคบกว่าธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ ➡️ ต้องวางหลอดไฟใกล้แผงมาก ซึ่งไม่เหมาะกับการติดตั้งจริง ✅ ทางเลือกหลังพระอาทิตย์ตก ➡️ ใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงานที่ผลิตได้ตอนกลางวัน ➡️ ใช้ระบบ net metering เพื่อขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบ ➡️ ช่วยลดค่าไฟตอนกลางคืน แม้จะไม่สามารถพึ่งพาได้ 100% ✅ สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ➡️ เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ หมดอายุปลายปี 2025 ➡️ ลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ได้อย่างมีนัยสำคัญ ➡️ หลังคืนทุนแล้ว ได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว https://www.slashgear.com/1958212/can-light-bulb-power-solar-panel/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Can A Light Bulb Power A Solar Panel? - SlashGear
    One of the biggest concerns with solar power is how it works when the sun is down or obscured. So in the event the sun isn't out, can you just use a light bulb?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • การต่อสู้ที่น่ารักมาก,สถานศึกษาเรามีปัญหาด้านการส่งต่อองค์รอบรู้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานเรามาก,ตลอดทั้งฝรั่งแทรกแซงการศึกษาเราก็ด้วยหรือต่างชาติที่ไม่หวังดีต่างๆนั้นล่ะ,แทรกแซงสถานการเรียนการสอนของเราให้เยาวชนไทยเราด้อยคุณค่าการเล่าเรียน,ต้นทุนการเล่าเรียนปั่นให้สูงขึ้น,ราคาต้องจ่ายมากขึันต่อความอยากเล่าเรียน,สร้างโปรแกรมผีบ้ามากมายหลอกค่าเรียนค่าเทอมผู้ปกครอง,อยากเรียนต้องเป็นหนี้แบบกยศ. แต่ให้เรียนฟรีแก่เด็กเขมร เด็กพม่า เด็กอิสลาม เด็กยิวหรือเด็กต่างชาติสาระพัดวิธี,ซึ่งภาระที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องส่งเสริมเยาวชนไทยตนเองเรียนรู้สาระพัดวิชาให้ทันโลกทันชาติอื่นเพื่อกลับมาเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยตนปกป้องร่วมสร้างชาติไทยตนให้เข้มแข็งมั่นคงต่ออริชาติชั่วเลวต่างๆที่หมายมาไม่ดีต่อชาติไทยเรา,เช่นเขมร อเมริกา ฝรั่งเศสซึ่งพวกมันพยายามอย่างมากมิให้คนไทยเล่าเรียนประวัติศาสตร์ตนเองแบบฝรั่งเศสมาปล้นชิงดินแดนไทยกี่ครั้งที่ไหนอย่างไรบ้าง,อเมริกาปล้นประเทศปล้นบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศแบบใดจนคนทัังชาติต้องยากจนมั่นคงดักดานขนาดนี้,วิชาตังวิชาเศรษฐกิจทำตัง วิชารู้เล่ห์เหลี่ยมทางอาชีพทำตังต่างๆจะกิจการ บริษัทแบบใดๆต่างๆสร้างอาชีพจริงๆสถานศึกษาแบบระดับมัธยมต้องเริ่มสอนนักเรียนเยาวชนเราจริงจังแล้ว,หรือวิชาทำเงินทำทองจริงๆในสังคมประเทศตนเมื่อจบการศึกษาไปต้องเจอทุกๆคนแน่นอน เยาวชนต้องมีภูมิรู้ภูมิเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นทั้งระดับภายในประเทศและระดับตลาดค้าขายเศรษฐกิจระดับต่างประเทศ,
    ..โครงสร้างการศึกษาเราต้องเปลี่ยนทั้งหมดจริงๆสู่ยุคสมัยใหม่AIที่มาแน่นอน,แต่เรา..ประเทศไทยยังแบ่งชนชั้นกันอยู่ด้านการศึกษาชัดเจน,มาตราฐานเดียวกันต้องมีจริงๆ,รัฐต้องเข้ามากำกับดูแลทั่วประเทศ โปรแกรมค่าเทอมเป็น10,000เป็น100,000ต้องยกเลิกทั่วประเทศทันที สร้างภาระผู้ปกครองตลอดม.ต้น ม.ปลาย.หรือประถมกันเลย,นักเรียนไม่มีตังเป็นหมื่นๆก็เข้าเรียนห้องพิเศษนั้นไม่ได้,ม.ต้นก็จ่ายค่าเทอม ม.ปลายก็จ่ายค่าเทอม,ม.มหาลัย วิลัย ก็จ่ายค่าเทอม,โครงสร้างการศึกษาเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆไม่นอมลงทุนด้านการศึกษาจริงต่อเยาวชนไทย นัยยะแฝงมุ่งให้เยาวชนตนเป็นทาสแรงงานกิจการเอกชนบริษัทหรือรัฐฐะ,องค์ความรู้จึงพยายามไม่ผลักดันเต็มที่ใครอยากเรียนสูงต้องเป็นนี้ คือนัยยะการสร้างกำแพงดีๆนี้เอง,แบบกีดกันทางภาษีนั้นล่ะ,ชัดเจนหน่อยก็กีดกันตำแหน่งการงานแบบกำแพงสอบ กพ.นั้นล่ะ,เสมือนกลุ่มโซนชนชั้นใครมัน เด็กจบมอใครมันแบบเดียวกัน,รุ่นมรึงรุ่นกูแบบเดียวกัน,สีกูสีมรึงแบบเดียวกัน,จึงอันตรายมาก.
    ..โครงสร้างการศึกษาเปลี่ยนแปลงสู่ยุคAIไม่พอ,เด็กๆเยาวชนเราต้องมีสัมมาอาชีพมั่นคงดูแลตัวเองและครอบครัวได้ด้วย มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ยืนด้วยขาตนเองได้จริงในทุกๆเยาวชนไทยที่จบการเล่าเรียนออกไป มิใช่ทิ้งขวางเขาเธอเหล่านั้นในสังคมที่ดิ้นรนหาแดกใช้จ่ายจริงด้วยตังจากรายรับที่เข้ามาจริง จ่ายออกไปจริงในแต่ละวัน สถานศึกษาพยายามบิดงอบิดเบือนหักเหค่าจริงตรงจุดๆนี้ทั่วไทย,เพื่อสะท้อนว่าเด็กๆมิอาจมีภาระสำนึกคิดด้านนี้เมื่อเล่าเรียน ให้มุ่งแสวงหาความรู้ ,แต่ค่าจริงมิเป็นเช่นนั้น ค่าจริงคือมหาลัยผลิตคนตกงานเป็นจำนวนมากนั้นเอง,มหาลัย โรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ต่างมีห้องพิเศษเป็นว่าเล่น หรือนัยยะแบบมหาลัยคือมุ่งทำตังทำรายได้แล้วนั้นเอง นักศึกษาคือลูกค้าของมหาลัยวิลัยของโรงเรียน,ได้ทั้งจากรัฐช่วยเหลือค่าหัวเด็กๆและเก็บสาระพัดมุกเอาแต่มีเรี่ยไรสไตล์ใดโปรแกรมพิเศษไหนเกิดขึ้นเพื่อแสวงหารายรับรายได้เข้าสถาบัน ส่วนมรึงๆจบไปแล้วจะได้งานจะตกงานเป็นเรื่องของมรึงก็ว่า,เอกชนไทยนำเข้าเครื่องจักรเอย แรงงานต่างด้าวเอยจำนวนมากเข้ามาตลอดถึงปัจจุบัน,ด้อยค่าคนเยาวชนในชาติตนแต่เสือกมาตั้งโรงงาน เปิดบริษัท ย้ายฐานผลิตมาสร้างบนแผ่นดินไทยแต่รับต่างด้าวเข้าทำงานแทนคนไทยเป็นอันมาก สารพัดข้ออ้างกดคนไทยตน อ้างด้อยค่าคุณภาพคนไทยตน,บางกิจการนำเข้าคนของตนแบบจีนมาทำงานที่โรงงานไทยของทุนจีนกันเต็มโรงงานเลย, สถานศึกษาต้องประมาณการกำลังคนแรงงานกับกรมแรงงานให้ได้ ออกหลักสูตรอาชีพที่สามารถใกล้เคียงการเติบโตของเนื้องาน,บริหารคนงาน เด็กจบใหม่คนไทยตนก่อนเอาต่างด้าวมาทำ กระตุ้นองค์รู้ทั่วไทยทำไมเราต้องส่งเสริมเยาวชนไทยเราก่อนกับกิจการในบนแผ่นดินไทย,ทั้งของคนไทยเราเองและต่างชาติมาลงทุน,กำลังคนกรมแรงงานต้องประสานชัดเจนออนไลน์ได้,รวมๆต้องพลิกบทบาทบริหารจัดการครั้งใหญ่จริงๆจะมาเหี้ยแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว,แล้วเราคนไทยจะรอดจากสงครามตังสงครามจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันเรื่องปากท้องได้,ไม่ดักดานยากจนอีกแน่นอน,โครงสร้างการปกครองจึงต้องร่วมเปลี่ยนแปลงด้วย,ผู้นำต้องไม่กากๆนั้นเอง.หรือยิ่งเป็นผู้เหนือมนุษย์มากบารมียิ่งดี ยอมให้ขึ้นปกครองประเทศไทยร้อยปีพันปีก็ได้,หยั่งรู้อีกยิ่งเยี่ยม อ่านจิตอ่านใจคนออกยิ่งโหด,มรึงหนาวแน่ ใครคตใครโกงภายในสำนักนายกฯท่านๆเรียกไปคุยด้วยมีหนาว อาจประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ยึดทรัพย์กันอนาถ,เชื่อมจิตได้ด้วย มรึงคุยกับใครทำชั่วที่ไหนดิวอะไรไว้,เชื่อมโยงถึงตัวพ่อหมด,คำสั่งลงไป สั่งเด็ดหัวทั้งหมด,ประเทศไทยคือผู้นำจิตวิญญาณแน่นอนไม่ต้องสงสัย,มิใช่สื่อบางช่องผีบ้ากากๆผู้นำจิตวิญญาณโทนี่ไปดูไบพะนะหรือแบบเสื้อแดงพะนะ ทางความคิดแบบส้มชูสามนิ้วก็โน้น,นี้ใช้นิยมผู้นำแห่งจิตวิญญาณที่ผิด,ที่ถูกคือสไตล์ทางโลกแบบนั้น สร้างมิตรไมตรีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ตลอดผู้นำทางสงครามก็ไม่ยาก แว๊บเดียวหายตัวยืนอยู่หน้าศัตรูเด็ดหัวเลยก็ได้,ศัตรูไม่เกรงกลัวย่อมไม่ได้,ตานแน่นอนนั้นเองหากยังไม่พยายามเป็นคนดี,เพราะผู้นำทางจิตวิญญาณถอดจิตท่องจักรวาลทั่วทุกๆดวงดาวได้จริง,เชื่อมมิติที่สูงกว่าได้ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆจึงมิใช่เรื่องยากอะไร,เรา..ประเทศไทยคนเหนือมนุษย์มีมากไม่น้อย,แต่ไม่ออกมา,จริงๆถึงเวลาอันสมควรแล้วจะที่ไทยหรือทั่วโลก ยอดมนุษย์เหล่านี้ควรแก่เวลาต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆได้แล้วเพื่ออัพเลเวลโลกนี้ขึ้นอีกระดับจริงๆร่วมกันทั่วโลก,อย่าทำตัวผีบ้าหลบซ่อนตัวตนอีกเลย.



    https://youtube.com/shorts/mw78-XhjAQw?si=C9z2vO_AOjZJECMx
    การต่อสู้ที่น่ารักมาก,สถานศึกษาเรามีปัญหาด้านการส่งต่อองค์รอบรู้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานเรามาก,ตลอดทั้งฝรั่งแทรกแซงการศึกษาเราก็ด้วยหรือต่างชาติที่ไม่หวังดีต่างๆนั้นล่ะ,แทรกแซงสถานการเรียนการสอนของเราให้เยาวชนไทยเราด้อยคุณค่าการเล่าเรียน,ต้นทุนการเล่าเรียนปั่นให้สูงขึ้น,ราคาต้องจ่ายมากขึันต่อความอยากเล่าเรียน,สร้างโปรแกรมผีบ้ามากมายหลอกค่าเรียนค่าเทอมผู้ปกครอง,อยากเรียนต้องเป็นหนี้แบบกยศ. แต่ให้เรียนฟรีแก่เด็กเขมร เด็กพม่า เด็กอิสลาม เด็กยิวหรือเด็กต่างชาติสาระพัดวิธี,ซึ่งภาระที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องส่งเสริมเยาวชนไทยตนเองเรียนรู้สาระพัดวิชาให้ทันโลกทันชาติอื่นเพื่อกลับมาเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยตนปกป้องร่วมสร้างชาติไทยตนให้เข้มแข็งมั่นคงต่ออริชาติชั่วเลวต่างๆที่หมายมาไม่ดีต่อชาติไทยเรา,เช่นเขมร อเมริกา ฝรั่งเศสซึ่งพวกมันพยายามอย่างมากมิให้คนไทยเล่าเรียนประวัติศาสตร์ตนเองแบบฝรั่งเศสมาปล้นชิงดินแดนไทยกี่ครั้งที่ไหนอย่างไรบ้าง,อเมริกาปล้นประเทศปล้นบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศแบบใดจนคนทัังชาติต้องยากจนมั่นคงดักดานขนาดนี้,วิชาตังวิชาเศรษฐกิจทำตัง วิชารู้เล่ห์เหลี่ยมทางอาชีพทำตังต่างๆจะกิจการ บริษัทแบบใดๆต่างๆสร้างอาชีพจริงๆสถานศึกษาแบบระดับมัธยมต้องเริ่มสอนนักเรียนเยาวชนเราจริงจังแล้ว,หรือวิชาทำเงินทำทองจริงๆในสังคมประเทศตนเมื่อจบการศึกษาไปต้องเจอทุกๆคนแน่นอน เยาวชนต้องมีภูมิรู้ภูมิเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นทั้งระดับภายในประเทศและระดับตลาดค้าขายเศรษฐกิจระดับต่างประเทศ, ..โครงสร้างการศึกษาเราต้องเปลี่ยนทั้งหมดจริงๆสู่ยุคสมัยใหม่AIที่มาแน่นอน,แต่เรา..ประเทศไทยยังแบ่งชนชั้นกันอยู่ด้านการศึกษาชัดเจน,มาตราฐานเดียวกันต้องมีจริงๆ,รัฐต้องเข้ามากำกับดูแลทั่วประเทศ โปรแกรมค่าเทอมเป็น10,000เป็น100,000ต้องยกเลิกทั่วประเทศทันที สร้างภาระผู้ปกครองตลอดม.ต้น ม.ปลาย.หรือประถมกันเลย,นักเรียนไม่มีตังเป็นหมื่นๆก็เข้าเรียนห้องพิเศษนั้นไม่ได้,ม.ต้นก็จ่ายค่าเทอม ม.ปลายก็จ่ายค่าเทอม,ม.มหาลัย วิลัย ก็จ่ายค่าเทอม,โครงสร้างการศึกษาเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆไม่นอมลงทุนด้านการศึกษาจริงต่อเยาวชนไทย นัยยะแฝงมุ่งให้เยาวชนตนเป็นทาสแรงงานกิจการเอกชนบริษัทหรือรัฐฐะ,องค์ความรู้จึงพยายามไม่ผลักดันเต็มที่ใครอยากเรียนสูงต้องเป็นนี้ คือนัยยะการสร้างกำแพงดีๆนี้เอง,แบบกีดกันทางภาษีนั้นล่ะ,ชัดเจนหน่อยก็กีดกันตำแหน่งการงานแบบกำแพงสอบ กพ.นั้นล่ะ,เสมือนกลุ่มโซนชนชั้นใครมัน เด็กจบมอใครมันแบบเดียวกัน,รุ่นมรึงรุ่นกูแบบเดียวกัน,สีกูสีมรึงแบบเดียวกัน,จึงอันตรายมาก. ..โครงสร้างการศึกษาเปลี่ยนแปลงสู่ยุคAIไม่พอ,เด็กๆเยาวชนเราต้องมีสัมมาอาชีพมั่นคงดูแลตัวเองและครอบครัวได้ด้วย มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ยืนด้วยขาตนเองได้จริงในทุกๆเยาวชนไทยที่จบการเล่าเรียนออกไป มิใช่ทิ้งขวางเขาเธอเหล่านั้นในสังคมที่ดิ้นรนหาแดกใช้จ่ายจริงด้วยตังจากรายรับที่เข้ามาจริง จ่ายออกไปจริงในแต่ละวัน สถานศึกษาพยายามบิดงอบิดเบือนหักเหค่าจริงตรงจุดๆนี้ทั่วไทย,เพื่อสะท้อนว่าเด็กๆมิอาจมีภาระสำนึกคิดด้านนี้เมื่อเล่าเรียน ให้มุ่งแสวงหาความรู้ ,แต่ค่าจริงมิเป็นเช่นนั้น ค่าจริงคือมหาลัยผลิตคนตกงานเป็นจำนวนมากนั้นเอง,มหาลัย โรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ต่างมีห้องพิเศษเป็นว่าเล่น หรือนัยยะแบบมหาลัยคือมุ่งทำตังทำรายได้แล้วนั้นเอง นักศึกษาคือลูกค้าของมหาลัยวิลัยของโรงเรียน,ได้ทั้งจากรัฐช่วยเหลือค่าหัวเด็กๆและเก็บสาระพัดมุกเอาแต่มีเรี่ยไรสไตล์ใดโปรแกรมพิเศษไหนเกิดขึ้นเพื่อแสวงหารายรับรายได้เข้าสถาบัน ส่วนมรึงๆจบไปแล้วจะได้งานจะตกงานเป็นเรื่องของมรึงก็ว่า,เอกชนไทยนำเข้าเครื่องจักรเอย แรงงานต่างด้าวเอยจำนวนมากเข้ามาตลอดถึงปัจจุบัน,ด้อยค่าคนเยาวชนในชาติตนแต่เสือกมาตั้งโรงงาน เปิดบริษัท ย้ายฐานผลิตมาสร้างบนแผ่นดินไทยแต่รับต่างด้าวเข้าทำงานแทนคนไทยเป็นอันมาก สารพัดข้ออ้างกดคนไทยตน อ้างด้อยค่าคุณภาพคนไทยตน,บางกิจการนำเข้าคนของตนแบบจีนมาทำงานที่โรงงานไทยของทุนจีนกันเต็มโรงงานเลย, สถานศึกษาต้องประมาณการกำลังคนแรงงานกับกรมแรงงานให้ได้ ออกหลักสูตรอาชีพที่สามารถใกล้เคียงการเติบโตของเนื้องาน,บริหารคนงาน เด็กจบใหม่คนไทยตนก่อนเอาต่างด้าวมาทำ กระตุ้นองค์รู้ทั่วไทยทำไมเราต้องส่งเสริมเยาวชนไทยเราก่อนกับกิจการในบนแผ่นดินไทย,ทั้งของคนไทยเราเองและต่างชาติมาลงทุน,กำลังคนกรมแรงงานต้องประสานชัดเจนออนไลน์ได้,รวมๆต้องพลิกบทบาทบริหารจัดการครั้งใหญ่จริงๆจะมาเหี้ยแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว,แล้วเราคนไทยจะรอดจากสงครามตังสงครามจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันเรื่องปากท้องได้,ไม่ดักดานยากจนอีกแน่นอน,โครงสร้างการปกครองจึงต้องร่วมเปลี่ยนแปลงด้วย,ผู้นำต้องไม่กากๆนั้นเอง.หรือยิ่งเป็นผู้เหนือมนุษย์มากบารมียิ่งดี ยอมให้ขึ้นปกครองประเทศไทยร้อยปีพันปีก็ได้,หยั่งรู้อีกยิ่งเยี่ยม อ่านจิตอ่านใจคนออกยิ่งโหด,มรึงหนาวแน่ ใครคตใครโกงภายในสำนักนายกฯท่านๆเรียกไปคุยด้วยมีหนาว อาจประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ยึดทรัพย์กันอนาถ,เชื่อมจิตได้ด้วย มรึงคุยกับใครทำชั่วที่ไหนดิวอะไรไว้,เชื่อมโยงถึงตัวพ่อหมด,คำสั่งลงไป สั่งเด็ดหัวทั้งหมด,ประเทศไทยคือผู้นำจิตวิญญาณแน่นอนไม่ต้องสงสัย,มิใช่สื่อบางช่องผีบ้ากากๆผู้นำจิตวิญญาณโทนี่ไปดูไบพะนะหรือแบบเสื้อแดงพะนะ ทางความคิดแบบส้มชูสามนิ้วก็โน้น,นี้ใช้นิยมผู้นำแห่งจิตวิญญาณที่ผิด,ที่ถูกคือสไตล์ทางโลกแบบนั้น สร้างมิตรไมตรีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ตลอดผู้นำทางสงครามก็ไม่ยาก แว๊บเดียวหายตัวยืนอยู่หน้าศัตรูเด็ดหัวเลยก็ได้,ศัตรูไม่เกรงกลัวย่อมไม่ได้,ตานแน่นอนนั้นเองหากยังไม่พยายามเป็นคนดี,เพราะผู้นำทางจิตวิญญาณถอดจิตท่องจักรวาลทั่วทุกๆดวงดาวได้จริง,เชื่อมมิติที่สูงกว่าได้ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆจึงมิใช่เรื่องยากอะไร,เรา..ประเทศไทยคนเหนือมนุษย์มีมากไม่น้อย,แต่ไม่ออกมา,จริงๆถึงเวลาอันสมควรแล้วจะที่ไทยหรือทั่วโลก ยอดมนุษย์เหล่านี้ควรแก่เวลาต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆได้แล้วเพื่ออัพเลเวลโลกนี้ขึ้นอีกระดับจริงๆร่วมกันทั่วโลก,อย่าทำตัวผีบ้าหลบซ่อนตัวตนอีกเลย. https://youtube.com/shorts/mw78-XhjAQw?si=C9z2vO_AOjZJECMx
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ

    แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ

    แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน

    ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp

    เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย

    ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว

    ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า
    แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์
    แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์
    PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4%

    ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน
    Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp
    McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp
    Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS

    การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW)
    1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS
    รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp
    ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น

    ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ
    แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า
    น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว
    แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว ✅ ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า ➡️ แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์ ➡️ แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์ ➡️ PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4% ✅ ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน ➡️ Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp ➡️ McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp ➡️ Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS ✅ การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW) ➡️ 1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS ➡️ รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp ➡️ ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น ✅ ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ ➡️ แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า ➡️ น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว ➡️ แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Confusing Difference Between American And European Horsepower - SlashGear
    Thanks to differences to the metric and imperial system of measurements, horsepower doesn't mean the exact same thing in all parts of the world.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Camry สู่ Leaf: เมื่อรถเล็กไฟฟ้ากลายเป็นคำตอบของชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบ

    Jeff Geerling นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายเทคโนโลยี ตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าคันแรกในรอบ 15 ปี—เป็น Nissan Leaf SV Plus รุ่นปี 2023 มือสอง ที่มีระยะทางใช้งาน 36,000 ไมล์ และแบตเตอรี่ยังมีสุขภาพดีถึง 94% โดยเขาได้ราคาสุทธิหลังหักส่วนลดและเครดิตภาษีเหลือเพียง $11,000

    เหตุผลหลักที่เขาเลือก Leaf คือ “ราคา” และความเรียบง่ายของรถที่ไม่พยายามเป็นอะไรเกินตัว ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ไม่ต้องมีระบบขับอัตโนมัติที่ซับซ้อน และยังมีฟีเจอร์พื้นฐานที่ใช้งานได้จริง เช่น CarPlay แบบมีสาย, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และ lane assist

    เขาเสริมอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น เครื่องชาร์จ Grizzl-E L2 สำหรับบ้าน, อะแดปเตอร์ NACS to J1772 และ CCS1 to CHAdeMO เพื่อรองรับการชาร์จแบบต่าง ๆ รวมถึงติดตั้ง dashcam และระบบ CarPlay แบบไร้สายผ่าน CarlinKit

    Geerling ยังใช้ LeafSpy Pro ร่วมกับ LeLink 2 เพื่อวิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ผ่าน OBD-II โดยพบว่าแบตเตอรี่ยังมีประสิทธิภาพดี และเขาพยายามดูแลแบตเตอรี่ด้วยการหลีกเลี่ยงการชาร์จเร็วบ่อย ๆ, รักษาระดับชาร์จไว้ที่ 50–80%, และชาร์จเต็มเดือนละครั้งเพื่อปรับสมดุลเซลล์

    แม้จะมีข้อดีมากมาย เช่น ความเงียบ, แรงบิดทันใจ, และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ต่ำ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่า Leaf ยังมีข้อจำกัด เช่น พอร์ต CHAdeMO ที่กำลังถูกเลิกใช้ในสหรัฐฯ, ขาดระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่, และการออกแบบที่ไม่สะดวกในบางจุด เช่น ไม่มีปุ่ม play/pause บนพวงมาลัย หรือการเข้าเกียร์ N ที่ต้องใช้จังหวะเฉพาะ

    เขายังตั้งข้อสังเกตว่า แม้ EV จะเหมาะกับการใช้งานในเมือง แต่การเดินทางไกลยังต้องวางแผนอย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องการชาร์จ และการพกอุปกรณ์เสริมที่กินพื้นที่ท้ายรถมากกว่าที่คิด

    เหตุผลในการเลือก Nissan Leaf มือสอง
    ราคาถูกที่สุดในกลุ่ม EV มือสองที่ยังมีคุณภาพดี
    ฟีเจอร์พื้นฐานครบ เช่น CarPlay, adaptive cruise, lane assist
    ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตหรือระบบขับอัตโนมัติที่ซับซ้อน

    การดูแลและตรวจสอบแบตเตอรี่
    ใช้ LeafSpy Pro กับ LeLink 2 ผ่าน OBD-II
    ตรวจสอบ SoH, Hx และข้อมูลเซลล์แบตเตอรี่
    หลีกเลี่ยงการชาร์จเร็วบ่อย ๆ และรักษาระดับชาร์จให้อยู่ในช่วงปลอดภัย

    อุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งเพิ่มเติม
    เครื่องชาร์จ L2 สำหรับบ้าน และอะแดปเตอร์ชาร์จหลายแบบ
    Dashcam และ CarPlay แบบไร้สาย
    ติดตั้งอุปกรณ์จัดเก็บสายชาร์จในท้ายรถ

    ข้อดีของการใช้ EV
    ขับเงียบ, แรงบิดดี, ค่าใช้จ่ายในการดูแลต่ำ
    ไม่ต้องเติมน้ำมันหรือเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
    สามารถเปิดแอร์/ฮีตเตอร์ล่วงหน้าได้แม้อยู่ในโรงรถ

    https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/i-bought-cheapest-ev-used-nissan-leaf
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Camry สู่ Leaf: เมื่อรถเล็กไฟฟ้ากลายเป็นคำตอบของชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบ Jeff Geerling นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายเทคโนโลยี ตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าคันแรกในรอบ 15 ปี—เป็น Nissan Leaf SV Plus รุ่นปี 2023 มือสอง ที่มีระยะทางใช้งาน 36,000 ไมล์ และแบตเตอรี่ยังมีสุขภาพดีถึง 94% โดยเขาได้ราคาสุทธิหลังหักส่วนลดและเครดิตภาษีเหลือเพียง $11,000 เหตุผลหลักที่เขาเลือก Leaf คือ “ราคา” และความเรียบง่ายของรถที่ไม่พยายามเป็นอะไรเกินตัว ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ไม่ต้องมีระบบขับอัตโนมัติที่ซับซ้อน และยังมีฟีเจอร์พื้นฐานที่ใช้งานได้จริง เช่น CarPlay แบบมีสาย, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และ lane assist เขาเสริมอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น เครื่องชาร์จ Grizzl-E L2 สำหรับบ้าน, อะแดปเตอร์ NACS to J1772 และ CCS1 to CHAdeMO เพื่อรองรับการชาร์จแบบต่าง ๆ รวมถึงติดตั้ง dashcam และระบบ CarPlay แบบไร้สายผ่าน CarlinKit Geerling ยังใช้ LeafSpy Pro ร่วมกับ LeLink 2 เพื่อวิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ผ่าน OBD-II โดยพบว่าแบตเตอรี่ยังมีประสิทธิภาพดี และเขาพยายามดูแลแบตเตอรี่ด้วยการหลีกเลี่ยงการชาร์จเร็วบ่อย ๆ, รักษาระดับชาร์จไว้ที่ 50–80%, และชาร์จเต็มเดือนละครั้งเพื่อปรับสมดุลเซลล์ แม้จะมีข้อดีมากมาย เช่น ความเงียบ, แรงบิดทันใจ, และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ต่ำ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่า Leaf ยังมีข้อจำกัด เช่น พอร์ต CHAdeMO ที่กำลังถูกเลิกใช้ในสหรัฐฯ, ขาดระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่, และการออกแบบที่ไม่สะดวกในบางจุด เช่น ไม่มีปุ่ม play/pause บนพวงมาลัย หรือการเข้าเกียร์ N ที่ต้องใช้จังหวะเฉพาะ เขายังตั้งข้อสังเกตว่า แม้ EV จะเหมาะกับการใช้งานในเมือง แต่การเดินทางไกลยังต้องวางแผนอย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องการชาร์จ และการพกอุปกรณ์เสริมที่กินพื้นที่ท้ายรถมากกว่าที่คิด ✅ เหตุผลในการเลือก Nissan Leaf มือสอง ➡️ ราคาถูกที่สุดในกลุ่ม EV มือสองที่ยังมีคุณภาพดี ➡️ ฟีเจอร์พื้นฐานครบ เช่น CarPlay, adaptive cruise, lane assist ➡️ ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตหรือระบบขับอัตโนมัติที่ซับซ้อน ✅ การดูแลและตรวจสอบแบตเตอรี่ ➡️ ใช้ LeafSpy Pro กับ LeLink 2 ผ่าน OBD-II ➡️ ตรวจสอบ SoH, Hx และข้อมูลเซลล์แบตเตอรี่ ➡️ หลีกเลี่ยงการชาร์จเร็วบ่อย ๆ และรักษาระดับชาร์จให้อยู่ในช่วงปลอดภัย ✅ อุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งเพิ่มเติม ➡️ เครื่องชาร์จ L2 สำหรับบ้าน และอะแดปเตอร์ชาร์จหลายแบบ ➡️ Dashcam และ CarPlay แบบไร้สาย ➡️ ติดตั้งอุปกรณ์จัดเก็บสายชาร์จในท้ายรถ ✅ ข้อดีของการใช้ EV ➡️ ขับเงียบ, แรงบิดดี, ค่าใช้จ่ายในการดูแลต่ำ ➡️ ไม่ต้องเติมน้ำมันหรือเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ➡️ สามารถเปิดแอร์/ฮีตเตอร์ล่วงหน้าได้แม้อยู่ในโรงรถ https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/i-bought-cheapest-ev-used-nissan-leaf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก 9-9-6 ถึง 0-0-7: เมื่อความขยันกลายเป็นเครื่องมือกดดันมากกว่าความภาคภูมิใจ

    Armin Ronacher นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สชื่อดังเขียนบทความสะท้อนถึงวัฒนธรรม “996” หรือการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “สูตรลับ” ของความสำเร็จในวงการสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในจีน

    เขาเล่าว่าแม้ตัวเองจะรักการทำงานดึก รักการเขียนโค้ด และเคยทำงานจนไม่ได้นอนก่อนเที่ยงคืนเลยตลอดสัปดาห์ แต่เขาก็รักครอบครัว รักการเดินเล่น และการสนทนาอย่างลึกซึ้ง—สิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในชีวิตที่ถูกกำหนดด้วย 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

    Ronacher เตือนว่าแม้ผู้ก่อตั้งบริษัทจะมีแรงจูงใจสูง แต่การผลักดันให้พนักงานทำงานแบบ 996 โดยไม่มีอำนาจหรือผลตอบแทนเท่ากันนั้น “ไม่รับผิดชอบ” และไม่ควรเป็นวัฒนธรรมองค์กร

    เขาย้ำว่า “ความเข้มข้น” ในการทำงานไม่ควรวัดจากจำนวนชั่วโมง แต่จากผลลัพธ์ที่สร้างได้ และการทำงานหนักควรเป็น “ทางเลือกส่วนตัว” ไม่ใช่ “ข้อบังคับทางวัฒนธรรม”

    ในขณะเดียวกัน บทวิเคราะห์จาก Forbes และ CNBC ก็ชี้ว่า 996 กำลังถูกนำมาใช้ในสหรัฐฯ โดยบางบริษัทสตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเลย์เริ่มใช้เป็น “ตัวกรอง” ในการคัดเลือกพนักงาน โดยถามตรง ๆ ว่า “คุณพร้อมทำงาน 996 ไหม”

    แม้จะถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เร่งการเติบโต แต่ผลกระทบกลับรุนแรง ทั้งด้านสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในทีมเล็กที่การเสียคนหนึ่งอาจทำให้ทั้งโปรเจกต์หยุดชะงัก

    ในจีนเอง แม้ 996 จะเคยถูกยกย่องโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Jack Ma ว่าเป็น “พร” แต่ตอนนี้เริ่มมีการต่อต้านมากขึ้น โดยศาลสูงสุดของจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน และนักวิชาการบางคนถึงกับเปรียบเทียบว่าเป็น “แรงงานกึ่งบังคับ”

    ความหมายและต้นกำเนิดของวัฒนธรรม 996
    หมายถึงการทำงาน 9am–9pm, 6 วันต่อสัปดาห์ รวม 72 ชั่วโมง
    เริ่มจากวงการเทคโนโลยีในจีน เช่น Alibaba, Huawei
    ถูกมองว่าเป็นสูตรเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ

    มุมมองจาก Armin Ronacher
    รักการทำงานหนัก แต่ไม่สนับสนุนการบังคับให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน
    ชี้ว่าความเข้มข้นควรวัดจากผลลัพธ์ ไม่ใช่จำนวนชั่วโมง
    การทำงานหนักควรเป็นทางเลือก ไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กร

    การแพร่กระจายของ 996 สู่ตะวันตก
    บางบริษัทในสหรัฐฯ ใช้ 996 เป็นเกณฑ์คัดเลือกพนักงาน
    มีการโฆษณาในประกาศรับสมัครว่า “ต้องตื่นเต้นกับการทำงาน 70+ ชั่วโมง”
    ถูกมองว่าเป็น hustle culture ที่อาจย้อนกลับมาทำลายองค์กรเอง

    การต่อต้านและผลกระทบ
    ศาลจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน
    นักวิชาการเปรียบเทียบว่าเป็นแรงงานกึ่งบังคับ
    ส่งผลต่อสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออก

    https://lucumr.pocoo.org/2025/9/4/996/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 9-9-6 ถึง 0-0-7: เมื่อความขยันกลายเป็นเครื่องมือกดดันมากกว่าความภาคภูมิใจ Armin Ronacher นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สชื่อดังเขียนบทความสะท้อนถึงวัฒนธรรม “996” หรือการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “สูตรลับ” ของความสำเร็จในวงการสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในจีน เขาเล่าว่าแม้ตัวเองจะรักการทำงานดึก รักการเขียนโค้ด และเคยทำงานจนไม่ได้นอนก่อนเที่ยงคืนเลยตลอดสัปดาห์ แต่เขาก็รักครอบครัว รักการเดินเล่น และการสนทนาอย่างลึกซึ้ง—สิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในชีวิตที่ถูกกำหนดด้วย 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ Ronacher เตือนว่าแม้ผู้ก่อตั้งบริษัทจะมีแรงจูงใจสูง แต่การผลักดันให้พนักงานทำงานแบบ 996 โดยไม่มีอำนาจหรือผลตอบแทนเท่ากันนั้น “ไม่รับผิดชอบ” และไม่ควรเป็นวัฒนธรรมองค์กร เขาย้ำว่า “ความเข้มข้น” ในการทำงานไม่ควรวัดจากจำนวนชั่วโมง แต่จากผลลัพธ์ที่สร้างได้ และการทำงานหนักควรเป็น “ทางเลือกส่วนตัว” ไม่ใช่ “ข้อบังคับทางวัฒนธรรม” ในขณะเดียวกัน บทวิเคราะห์จาก Forbes และ CNBC ก็ชี้ว่า 996 กำลังถูกนำมาใช้ในสหรัฐฯ โดยบางบริษัทสตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเลย์เริ่มใช้เป็น “ตัวกรอง” ในการคัดเลือกพนักงาน โดยถามตรง ๆ ว่า “คุณพร้อมทำงาน 996 ไหม” แม้จะถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เร่งการเติบโต แต่ผลกระทบกลับรุนแรง ทั้งด้านสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในทีมเล็กที่การเสียคนหนึ่งอาจทำให้ทั้งโปรเจกต์หยุดชะงัก ในจีนเอง แม้ 996 จะเคยถูกยกย่องโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Jack Ma ว่าเป็น “พร” แต่ตอนนี้เริ่มมีการต่อต้านมากขึ้น โดยศาลสูงสุดของจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน และนักวิชาการบางคนถึงกับเปรียบเทียบว่าเป็น “แรงงานกึ่งบังคับ” ✅ ความหมายและต้นกำเนิดของวัฒนธรรม 996 ➡️ หมายถึงการทำงาน 9am–9pm, 6 วันต่อสัปดาห์ รวม 72 ชั่วโมง ➡️ เริ่มจากวงการเทคโนโลยีในจีน เช่น Alibaba, Huawei ➡️ ถูกมองว่าเป็นสูตรเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ ✅ มุมมองจาก Armin Ronacher ➡️ รักการทำงานหนัก แต่ไม่สนับสนุนการบังคับให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน ➡️ ชี้ว่าความเข้มข้นควรวัดจากผลลัพธ์ ไม่ใช่จำนวนชั่วโมง ➡️ การทำงานหนักควรเป็นทางเลือก ไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กร ✅ การแพร่กระจายของ 996 สู่ตะวันตก ➡️ บางบริษัทในสหรัฐฯ ใช้ 996 เป็นเกณฑ์คัดเลือกพนักงาน ➡️ มีการโฆษณาในประกาศรับสมัครว่า “ต้องตื่นเต้นกับการทำงาน 70+ ชั่วโมง” ➡️ ถูกมองว่าเป็น hustle culture ที่อาจย้อนกลับมาทำลายองค์กรเอง ✅ การต่อต้านและผลกระทบ ➡️ ศาลจีนประกาศว่า 996 ขัดต่อกฎหมายแรงงาน ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบว่าเป็นแรงงานกึ่งบังคับ ➡️ ส่งผลต่อสุขภาพจิต ความเหนื่อยล้า และอัตราการลาออก https://lucumr.pocoo.org/2025/9/4/996/
    LUCUMR.POCOO.ORG
    996
    There is cost to your lifestyle.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก DuckDuckGo ถึง Grok: เมื่อ AI ไม่ได้แค่จำคำพูดคุณ แต่เรียนรู้วิธีโน้มน้าวคุณจากมัน

    Gabriel Weinberg ผู้ก่อตั้ง DuckDuckGo เขียนบทความเตือนว่า AI surveillance กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่รุนแรงกว่าการติดตามออนไลน์แบบเดิม เพราะแชตบอทไม่ได้แค่รับข้อมูล แต่สามารถ “เข้าใจ” และ “ปรับตัว” เพื่อโน้มน้าวคุณได้อย่างแม่นยำ

    ต่างจากการค้นหาบน Google ที่เผยให้เห็นความสนใจหรือปัญหาเฉพาะหน้า การสนทนากับแชตบอทเผยให้เห็นกระบวนการคิด สไตล์การสื่อสาร และแม้แต่จุดอ่อนทางอารมณ์ของผู้ใช้ ซึ่งสามารถนำไปสร้างโปรไฟล์ที่ละเอียดมาก—และใช้เพื่อการโฆษณาเชิงพฤติกรรมหรือการชักจูงทางการเมือง

    Weinberg ยกตัวอย่างว่า แชตบอทสามารถเสนอ “ข้อเท็จจริง” ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ หรือแนะนำผลิตภัณฑ์อย่างแนบเนียน โดยอิงจากรูปแบบการพูดของคุณเอง และยิ่งแชตบอทมีระบบความจำ (memory) ก็ยิ่งสามารถ fine-tune การโน้มน้าวให้ตรงจุดมากขึ้น

    DuckDuckGo จึงเปิดตัว Duck.ai ซึ่งเป็นแชตบอทที่เน้นความเป็นส่วนตัว โดยไม่เก็บข้อมูลการสนทนา และให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะใช้ AI หรือไม่ในการค้นหา

    แต่ในโลกจริง กลับมีเหตุการณ์ที่สวนทางกับแนวคิดนี้ เช่น Grok ของ X ที่รั่วข้อมูลการสนทนาหลายแสนรายการ, Perplexity ที่ถูกแฮกจนข้อมูลผู้ใช้หลุด, Anthropic ที่เปลี่ยนนโยบายให้เก็บข้อมูลการแชตเป็นค่าเริ่มต้น และ OpenAI ที่ประกาศวิสัยทัศน์ “super assistant” ที่ติดตามทุกการกระทำของผู้ใช้ แม้แต่ในโลกออฟไลน์

    Weinberg เรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งออกกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของ AI ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะสหรัฐฯ ยังไม่มีแม้แต่กฎหมายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ทั่วไป และเวลาในการแก้ไขกำลังหมดลง

    ความแตกต่างของ AI กับการติดตามออนไลน์แบบเดิม
    แชตบอทเผยให้เห็นกระบวนการคิดและสไตล์การสื่อสาร
    สร้างโปรไฟล์ที่ละเอียดกว่าการติดตามผ่าน search query
    ใช้เพื่อการโน้มน้าวเชิงพฤติกรรมและการเมืองได้อย่างแนบเนียน

    ตัวอย่างการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    Grok รั่วข้อมูลการสนทนาหลายแสนรายการ
    Perplexity ถูกแฮกจนข้อมูลผู้ใช้หลุด
    Anthropic เปลี่ยนนโยบายให้เก็บข้อมูลการแชตเป็นค่าเริ่มต้น
    OpenAI วางแผนสร้าง “super assistant” ที่ติดตามทุกการกระทำของผู้ใช้

    แนวทางของ DuckDuckGo
    เปิดตัว Duck.ai ที่ไม่เก็บข้อมูลการสนทนา
    ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะใช้ AI หรือไม่
    แสดงให้เห็นว่า AI ที่เคารพความเป็นส่วนตัวสามารถทำได้จริง

    ข้อเรียกร้องด้านนโยบาย
    เรียกร้องให้สภาคองเกรสออกกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของ AI
    ชี้ว่าสหรัฐฯ ยังไม่มีแม้แต่กฎหมายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ทั่วไป
    เตือนว่าเวลาในการแก้ไขกำลังหมดลง

    https://gabrielweinberg.com/p/ai-surveillance-should-be-banned
    🎙️ เรื่องเล่าจาก DuckDuckGo ถึง Grok: เมื่อ AI ไม่ได้แค่จำคำพูดคุณ แต่เรียนรู้วิธีโน้มน้าวคุณจากมัน Gabriel Weinberg ผู้ก่อตั้ง DuckDuckGo เขียนบทความเตือนว่า AI surveillance กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่รุนแรงกว่าการติดตามออนไลน์แบบเดิม เพราะแชตบอทไม่ได้แค่รับข้อมูล แต่สามารถ “เข้าใจ” และ “ปรับตัว” เพื่อโน้มน้าวคุณได้อย่างแม่นยำ ต่างจากการค้นหาบน Google ที่เผยให้เห็นความสนใจหรือปัญหาเฉพาะหน้า การสนทนากับแชตบอทเผยให้เห็นกระบวนการคิด สไตล์การสื่อสาร และแม้แต่จุดอ่อนทางอารมณ์ของผู้ใช้ ซึ่งสามารถนำไปสร้างโปรไฟล์ที่ละเอียดมาก—และใช้เพื่อการโฆษณาเชิงพฤติกรรมหรือการชักจูงทางการเมือง Weinberg ยกตัวอย่างว่า แชตบอทสามารถเสนอ “ข้อเท็จจริง” ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ หรือแนะนำผลิตภัณฑ์อย่างแนบเนียน โดยอิงจากรูปแบบการพูดของคุณเอง และยิ่งแชตบอทมีระบบความจำ (memory) ก็ยิ่งสามารถ fine-tune การโน้มน้าวให้ตรงจุดมากขึ้น DuckDuckGo จึงเปิดตัว Duck.ai ซึ่งเป็นแชตบอทที่เน้นความเป็นส่วนตัว โดยไม่เก็บข้อมูลการสนทนา และให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะใช้ AI หรือไม่ในการค้นหา แต่ในโลกจริง กลับมีเหตุการณ์ที่สวนทางกับแนวคิดนี้ เช่น Grok ของ X ที่รั่วข้อมูลการสนทนาหลายแสนรายการ, Perplexity ที่ถูกแฮกจนข้อมูลผู้ใช้หลุด, Anthropic ที่เปลี่ยนนโยบายให้เก็บข้อมูลการแชตเป็นค่าเริ่มต้น และ OpenAI ที่ประกาศวิสัยทัศน์ “super assistant” ที่ติดตามทุกการกระทำของผู้ใช้ แม้แต่ในโลกออฟไลน์ Weinberg เรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งออกกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของ AI ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะสหรัฐฯ ยังไม่มีแม้แต่กฎหมายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ทั่วไป และเวลาในการแก้ไขกำลังหมดลง ✅ ความแตกต่างของ AI กับการติดตามออนไลน์แบบเดิม ➡️ แชตบอทเผยให้เห็นกระบวนการคิดและสไตล์การสื่อสาร ➡️ สร้างโปรไฟล์ที่ละเอียดกว่าการติดตามผ่าน search query ➡️ ใช้เพื่อการโน้มน้าวเชิงพฤติกรรมและการเมืองได้อย่างแนบเนียน ✅ ตัวอย่างการละเมิดความเป็นส่วนตัว ➡️ Grok รั่วข้อมูลการสนทนาหลายแสนรายการ ➡️ Perplexity ถูกแฮกจนข้อมูลผู้ใช้หลุด ➡️ Anthropic เปลี่ยนนโยบายให้เก็บข้อมูลการแชตเป็นค่าเริ่มต้น ➡️ OpenAI วางแผนสร้าง “super assistant” ที่ติดตามทุกการกระทำของผู้ใช้ ✅ แนวทางของ DuckDuckGo ➡️ เปิดตัว Duck.ai ที่ไม่เก็บข้อมูลการสนทนา ➡️ ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะใช้ AI หรือไม่ ➡️ แสดงให้เห็นว่า AI ที่เคารพความเป็นส่วนตัวสามารถทำได้จริง ✅ ข้อเรียกร้องด้านนโยบาย ➡️ เรียกร้องให้สภาคองเกรสออกกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของ AI ➡️ ชี้ว่าสหรัฐฯ ยังไม่มีแม้แต่กฎหมายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ทั่วไป ➡️ เตือนว่าเวลาในการแก้ไขกำลังหมดลง https://gabrielweinberg.com/p/ai-surveillance-should-be-banned
    GABRIELWEINBERG.COM
    AI surveillance should be banned while there is still time.
    All the same privacy harms with online tracking are also present with AI, but worse.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 6
    แล้วนาย Kenneth ก็ตกลงจะทำงานช่วงสั้นเฉพาะกิจให้นาย Donovan ใน office of the Co-Ordination (OCI) ซึ่งนาย Donovan ตั้งขึ้น (สงสัยเพราะตกลงราคาค่าจ้างยังไม่เป็นที่พอใจกัน อดีตมิชชั่นนารี ต่อรองกับอดีตนักกฏหมาย ผลก็น่าจะพอเดากันออก)

นาย Donovan เคยไปรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เก่งกล้าสามารถมาก จนได้สมญาว่า “Wild Bill Donovan” เขาเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นแน่ และอเมริกาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย (ทำไมนาย Donovan ถึงเชื่อเช่นนั้น เอ! หรือนาย Donovan จะเกี่ยวกับ CFR จริง !) แต่ตอนนั้นไม่มีใครในอเมริการู้จักคู่รบของอเมริกาเลย เขาจึงเตือนประธานาธิบดี Roosevelt ให้เตรียมตั้งหน่วยงานข่าวกรอง เพื่อหาข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นและประเทศแถบอินโดจีนเอาไว้
    เมื่อประธานาธิบดี Roosevelt เห็นชอบด้วย นาย Donovan จึงตั้งหน่วยงานชื่อ Office of the Co-Ordination of Information (OCI) ขึ้น ซึ่งต่อมาเมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มตัว OCI ได้เปลี่ยนเป็น Office of Strategic Services (OSS) ภายใต้การดูแลของนาย Donovan เช่นเดิม
    เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง OSS ได้ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็น Central for Intelligence Agency (CIA) แทน นอกเหนือจากนาย Donovan ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด OSS และ CIA แล้ว นาย Kenneth บอกว่า เขาก็ถูกนับว่าเป็น “รุ่นก่อตั้ง” ของหน่วยงานข่าวกรอง OSS ด้วยเช่นกัน (นาย Kenneth นี่ ไม่ใช่แค่เป็นนักฉวยโอกาส แต่เป็นคนชี้ไม้อีกด้วย คุณสมบัติแบบนี้ถ้าเบื่อเป็นมิชชั่นนารี น่าจะไปทำงานประเภทเล่าข่าวเช้านี้ บางคนอาจตกอันดับ)
    นาย Kenneth ให้เหตุผลว่า ที่อเมริกาไม่เคยมีหน่วยงานข่าวกรองของตนเอง เกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก เพราะก่อนหน้านั้น อเมริกามีนโยบายสันโดษ (isolation) ไม่ยุ่งกับประเทศอื่นมาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1930 ต้นๆ โดยเฉพาะไม่ร่วมทำสงครามด้วย และถ้าอยากจะได้ข้อมูลเชิงลึกอะไร อเมริกาก็จะอาศัยถามเพื่อนรัก ร่วมก๊วน 3 เกลอหัวแข็ง คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับประเทศอาณานิคมของเขา (อเมริกาเปลี่ยนจากนโยบายสันโดษ เป็นนักค้าสงครามเมื่อประมาณ ค.ศ.1945 ตามแรงผลัก แรงดันของกลุ่ม CFR ที่ควบคุมนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา ผ่านคนของ CFR อีกต่อหนึ่ง!)
    การบ้านที่นาย Donovan มอบให้นาย Kenneth ทำคือ ทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดีร้ายขนาดไหน ใครคุมใคร ใครได้เปรียบเสีบเปรียบ ใครมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ใส่มาให้หมด สิว ไฝ ฝ้า อยู่ตรงไหนอย่าลืมบอก รวมทั้งฝรั่งเศสไอ้จั๊กกะแร้เหม็นเขียวด้วย คนแถบอินโดจีนเขามองเจ้านี่อย่างไร เขายังอยากจะไปซบจั๊กกะแร้เหม็นอยู่อีกไหม แล้วอย่าลืมรายงานเรื่องคนไทยกับพี่ยุ่นด้วยล่ะ หลังถูกพี่ยุ่นเอารถถังมาวิ่งรอบเมืองกรุงเทพแทนรถเมล์แล้วน่ะ คนไทยทำยังไง เอาดอกไม้ไปให้พี่ยุ่น หรือเอาประทัดไปไล่ ความสัมพันธ์ของไทยกับญี่ปุ่นนี้ จะเป็นตัววัดผลแพ้ชนะของการรบในภูมิภาคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของพี่เบิ้ม รายงานผิดเดี๋ยวได้กลับไปอยู่เมืองตรังแน่
    อีกรายงานหนึ่งที่นาย Kenneth ต้องทำคือวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับลูกหาบเช่น พม่า รวมทั้ง มาลายู และสิงคโปร์ จะได้เอาไปตรวจสอบได้ว่าอังกฤษมิตรรัก บอกความจริงกับอเมริกามากน้อยแค่ไหน ถึงจะสัมพันธ์ชิดมิตรใกล้ก็เถอะ ไว้ใจกันได้ที่ไหน เรื่องของผลประโยชน์! ข้อมูลเหล่านี้ช่วยทำให้อเมริกาวางยุทธศาสตร์การรบของอเมริกา ในช่วงสงครามโลกและที่สำคัญคือช่วงหลังสงครามโลกเป็นอย่างดี
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่ญี่ปุ่นบุกเมืองไทย เมืองไทยเองก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. เจ้าของนโยบายใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรีที่แสดงตัวเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น ถึงขนาดประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา เอาใจญี่ปุ่นกันจนออกนอกหน้า ขณะที่คนไทยอีกพวกหนึ่งคือพวกเสรีไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ (อังกฤษและอเมริกา) และอยู่ในประเทศไทย เข้ากับฝรั่งทั้งอังกฤษและอเมริกาแบบออกนอกหน้าพอกัน ประกาศไม่เห็นด้วยกับการเข้าพวกกับญี่ปุ่นของจอมพล ป. นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่อยู่ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา หลังจากเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor มรว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งขณะนั้นเป็นฑูตไทยประจำที่อเมริกาแต่มาธุระที่เมืองไทย รีบบินกลับไปอเมริกา เพื่อไปบอกอเมริกาว่าการประกาศสงครามของไทยต่ออเมริกาและอังกฤษนั้น เราคนไทยไม่เกี่ยวนะ ไม่ใช่ความต้องการของพวกเรา เราไม่เอ้า ไม่เอาญี่ปุ่น เราเอาพวกท่าน คนไทยขอให้พวกท่านเข้าใจและช่วยเหลือพวกเราด้วย
    ในตอนนั้นนาย Donovan ได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาอีกหน่วย ชื่อ Office of War Information (OWI) ทางอเมริกาจึงตกลงให้ มรว. เสนีย์ ทำการออกอากาศเป็นภาษาไทยจากอเมริกา ผ่านหน่วยงานของ OWI ประกาศเจตนารมณ์ของเสรีไทย ให้คนไทยทางเมืองไทยทราบ วิทยุเสรีไทยที่ออกอากาศเป็นภาษาไทยนี้ มีนาย Kenneth เป็นผู้ประสานงาน นาย Kenneth บอกว่าอเมริกาให้เขาคอยเฝ้าดูว่าฝ่ายไทยจะพูดจาออกอากาศตรง กับที่แจ้งไว้กับอเมริกาหรือไม่ (แสดงถึงความเชื่อใจกันอย่างเต็มที่เลย !) ในเมื่อเขาเป็นคนอเมริกันคนเดียวตอนน้ัน ที่อยู่ตรงนั้น ที่รู้ภาษาไทย จึงรับหน้าที่ประสานงานกับเสรีไทย จึงเป็นเหตุให้นาย Kenneth จึงยังทำงานกับรัฐบาลอเมริกาต่อไป (และเข้าใจว่า คงต่อรองเรื่องค่าจ้างกันจนเป็นที่ถูกใจ นาย Kenneth แล้ว)
    นาย Kenneth เล่าว่า ช่วงที่สงครามโลกกำลังเข้มข้นอยู่แถวอินโดจีน ประเทศอาณานิคม เช่น มาลายู สิงคโปร์ คิดว่าอังกฤษจะช่วยรบกับญี่ปุ่นให้ แต่อันที่จริงแล้ว นายเชอร์ซิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่เคยมีเจตนาเช่นนั้นเลย นายเชอร์ซิลพร้อมที่จะทิ้งอาณานิคมของตนให้สู้ไปลำพัง สมันน้อยก็จำตรงนี้ไว้นะ ชอบเชื่อฝรั่งอั่งม้ออยู่เรื่อย เขาบอกอะไรก็เชื่อ ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของเขามากกว่า เรานึกว่าเขาจะอุ้มกระเตงเราไปตลอดหรือไง หมดประโยชน์เขาก็โยนทิ้ง เฮ้อ! บอกเท่าไหร่ไม่เคยเชื่อ บูชาคุณพ่อฝรั่งกันเหลือเกิน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 6 แล้วนาย Kenneth ก็ตกลงจะทำงานช่วงสั้นเฉพาะกิจให้นาย Donovan ใน office of the Co-Ordination (OCI) ซึ่งนาย Donovan ตั้งขึ้น (สงสัยเพราะตกลงราคาค่าจ้างยังไม่เป็นที่พอใจกัน อดีตมิชชั่นนารี ต่อรองกับอดีตนักกฏหมาย ผลก็น่าจะพอเดากันออก)

นาย Donovan เคยไปรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เก่งกล้าสามารถมาก จนได้สมญาว่า “Wild Bill Donovan” เขาเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นแน่ และอเมริกาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย (ทำไมนาย Donovan ถึงเชื่อเช่นนั้น เอ! หรือนาย Donovan จะเกี่ยวกับ CFR จริง !) แต่ตอนนั้นไม่มีใครในอเมริการู้จักคู่รบของอเมริกาเลย เขาจึงเตือนประธานาธิบดี Roosevelt ให้เตรียมตั้งหน่วยงานข่าวกรอง เพื่อหาข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นและประเทศแถบอินโดจีนเอาไว้ เมื่อประธานาธิบดี Roosevelt เห็นชอบด้วย นาย Donovan จึงตั้งหน่วยงานชื่อ Office of the Co-Ordination of Information (OCI) ขึ้น ซึ่งต่อมาเมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มตัว OCI ได้เปลี่ยนเป็น Office of Strategic Services (OSS) ภายใต้การดูแลของนาย Donovan เช่นเดิม เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง OSS ได้ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็น Central for Intelligence Agency (CIA) แทน นอกเหนือจากนาย Donovan ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด OSS และ CIA แล้ว นาย Kenneth บอกว่า เขาก็ถูกนับว่าเป็น “รุ่นก่อตั้ง” ของหน่วยงานข่าวกรอง OSS ด้วยเช่นกัน (นาย Kenneth นี่ ไม่ใช่แค่เป็นนักฉวยโอกาส แต่เป็นคนชี้ไม้อีกด้วย คุณสมบัติแบบนี้ถ้าเบื่อเป็นมิชชั่นนารี น่าจะไปทำงานประเภทเล่าข่าวเช้านี้ บางคนอาจตกอันดับ) นาย Kenneth ให้เหตุผลว่า ที่อเมริกาไม่เคยมีหน่วยงานข่าวกรองของตนเอง เกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก เพราะก่อนหน้านั้น อเมริกามีนโยบายสันโดษ (isolation) ไม่ยุ่งกับประเทศอื่นมาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1930 ต้นๆ โดยเฉพาะไม่ร่วมทำสงครามด้วย และถ้าอยากจะได้ข้อมูลเชิงลึกอะไร อเมริกาก็จะอาศัยถามเพื่อนรัก ร่วมก๊วน 3 เกลอหัวแข็ง คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับประเทศอาณานิคมของเขา (อเมริกาเปลี่ยนจากนโยบายสันโดษ เป็นนักค้าสงครามเมื่อประมาณ ค.ศ.1945 ตามแรงผลัก แรงดันของกลุ่ม CFR ที่ควบคุมนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา ผ่านคนของ CFR อีกต่อหนึ่ง!) การบ้านที่นาย Donovan มอบให้นาย Kenneth ทำคือ ทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดีร้ายขนาดไหน ใครคุมใคร ใครได้เปรียบเสีบเปรียบ ใครมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ใส่มาให้หมด สิว ไฝ ฝ้า อยู่ตรงไหนอย่าลืมบอก รวมทั้งฝรั่งเศสไอ้จั๊กกะแร้เหม็นเขียวด้วย คนแถบอินโดจีนเขามองเจ้านี่อย่างไร เขายังอยากจะไปซบจั๊กกะแร้เหม็นอยู่อีกไหม แล้วอย่าลืมรายงานเรื่องคนไทยกับพี่ยุ่นด้วยล่ะ หลังถูกพี่ยุ่นเอารถถังมาวิ่งรอบเมืองกรุงเทพแทนรถเมล์แล้วน่ะ คนไทยทำยังไง เอาดอกไม้ไปให้พี่ยุ่น หรือเอาประทัดไปไล่ ความสัมพันธ์ของไทยกับญี่ปุ่นนี้ จะเป็นตัววัดผลแพ้ชนะของการรบในภูมิภาคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของพี่เบิ้ม รายงานผิดเดี๋ยวได้กลับไปอยู่เมืองตรังแน่ อีกรายงานหนึ่งที่นาย Kenneth ต้องทำคือวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับลูกหาบเช่น พม่า รวมทั้ง มาลายู และสิงคโปร์ จะได้เอาไปตรวจสอบได้ว่าอังกฤษมิตรรัก บอกความจริงกับอเมริกามากน้อยแค่ไหน ถึงจะสัมพันธ์ชิดมิตรใกล้ก็เถอะ ไว้ใจกันได้ที่ไหน เรื่องของผลประโยชน์! ข้อมูลเหล่านี้ช่วยทำให้อเมริกาวางยุทธศาสตร์การรบของอเมริกา ในช่วงสงครามโลกและที่สำคัญคือช่วงหลังสงครามโลกเป็นอย่างดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่ญี่ปุ่นบุกเมืองไทย เมืองไทยเองก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. เจ้าของนโยบายใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรีที่แสดงตัวเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น ถึงขนาดประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา เอาใจญี่ปุ่นกันจนออกนอกหน้า ขณะที่คนไทยอีกพวกหนึ่งคือพวกเสรีไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ (อังกฤษและอเมริกา) และอยู่ในประเทศไทย เข้ากับฝรั่งทั้งอังกฤษและอเมริกาแบบออกนอกหน้าพอกัน ประกาศไม่เห็นด้วยกับการเข้าพวกกับญี่ปุ่นของจอมพล ป. นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่อยู่ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา หลังจากเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor มรว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งขณะนั้นเป็นฑูตไทยประจำที่อเมริกาแต่มาธุระที่เมืองไทย รีบบินกลับไปอเมริกา เพื่อไปบอกอเมริกาว่าการประกาศสงครามของไทยต่ออเมริกาและอังกฤษนั้น เราคนไทยไม่เกี่ยวนะ ไม่ใช่ความต้องการของพวกเรา เราไม่เอ้า ไม่เอาญี่ปุ่น เราเอาพวกท่าน คนไทยขอให้พวกท่านเข้าใจและช่วยเหลือพวกเราด้วย ในตอนนั้นนาย Donovan ได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาอีกหน่วย ชื่อ Office of War Information (OWI) ทางอเมริกาจึงตกลงให้ มรว. เสนีย์ ทำการออกอากาศเป็นภาษาไทยจากอเมริกา ผ่านหน่วยงานของ OWI ประกาศเจตนารมณ์ของเสรีไทย ให้คนไทยทางเมืองไทยทราบ วิทยุเสรีไทยที่ออกอากาศเป็นภาษาไทยนี้ มีนาย Kenneth เป็นผู้ประสานงาน นาย Kenneth บอกว่าอเมริกาให้เขาคอยเฝ้าดูว่าฝ่ายไทยจะพูดจาออกอากาศตรง กับที่แจ้งไว้กับอเมริกาหรือไม่ (แสดงถึงความเชื่อใจกันอย่างเต็มที่เลย !) ในเมื่อเขาเป็นคนอเมริกันคนเดียวตอนน้ัน ที่อยู่ตรงนั้น ที่รู้ภาษาไทย จึงรับหน้าที่ประสานงานกับเสรีไทย จึงเป็นเหตุให้นาย Kenneth จึงยังทำงานกับรัฐบาลอเมริกาต่อไป (และเข้าใจว่า คงต่อรองเรื่องค่าจ้างกันจนเป็นที่ถูกใจ นาย Kenneth แล้ว) นาย Kenneth เล่าว่า ช่วงที่สงครามโลกกำลังเข้มข้นอยู่แถวอินโดจีน ประเทศอาณานิคม เช่น มาลายู สิงคโปร์ คิดว่าอังกฤษจะช่วยรบกับญี่ปุ่นให้ แต่อันที่จริงแล้ว นายเชอร์ซิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่เคยมีเจตนาเช่นนั้นเลย นายเชอร์ซิลพร้อมที่จะทิ้งอาณานิคมของตนให้สู้ไปลำพัง สมันน้อยก็จำตรงนี้ไว้นะ ชอบเชื่อฝรั่งอั่งม้ออยู่เรื่อย เขาบอกอะไรก็เชื่อ ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของเขามากกว่า เรานึกว่าเขาจะอุ้มกระเตงเราไปตลอดหรือไง หมดประโยชน์เขาก็โยนทิ้ง เฮ้อ! บอกเท่าไหร่ไม่เคยเชื่อ บูชาคุณพ่อฝรั่งกันเหลือเกิน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5
    เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม
    มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้)
    หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
    ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?)
    เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ
    นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ
    ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว
    เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007
    เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง)
    เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt
    ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่)


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5 เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้) หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?) เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007 เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง) เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นครั้งแรกที่รัสเซียโจมตีอาคารรัฐบาลของยูเครน!!

    ภาพเหตุการณ์เพลิงไหม้อย่างรุนแรงที่อาคารรัฐบาลกลางของยูเครน หลังการโจมตีจากโดรน Geran-2 ของรัสเซีย

    การโจมตีช่วงเช้าวันนี้ นับเป็นการโจมตีครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของรัสเซีย โดยมีรายงานการใช้โดรนรวมทั้งขีปนาวุธประเภทต่างๆรวมแล้วประมาณ 805 รายการ

    คาดว่ารัสเซียต้องการส่งคำเตือน "อย่างเป็นรูปธรรม" ไปถึงเซเลนสกี และพันธมิตรยุโรป 26 ชาติ ที่ประกาศโดยประธานาธิบดีมาครง แห่งฝรั่งเศส ที่ตกลงจะส่งกองกำลังเข้าสู่ยูเครน เมื่อไม่กี่วันก่อน
    เป็นครั้งแรกที่รัสเซียโจมตีอาคารรัฐบาลของยูเครน!! ภาพเหตุการณ์เพลิงไหม้อย่างรุนแรงที่อาคารรัฐบาลกลางของยูเครน หลังการโจมตีจากโดรน Geran-2 ของรัสเซีย การโจมตีช่วงเช้าวันนี้ นับเป็นการโจมตีครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของรัสเซีย โดยมีรายงานการใช้โดรนรวมทั้งขีปนาวุธประเภทต่างๆรวมแล้วประมาณ 805 รายการ คาดว่ารัสเซียต้องการส่งคำเตือน "อย่างเป็นรูปธรรม" ไปถึงเซเลนสกี และพันธมิตรยุโรป 26 ชาติ ที่ประกาศโดยประธานาธิบดีมาครง แห่งฝรั่งเศส ที่ตกลงจะส่งกองกำลังเข้าสู่ยูเครน เมื่อไม่กี่วันก่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 4
    ระหว่างที่อยู่นครศรีธรรมราช นาย Kenneth อยู่กับสังคมชาวมิชชั่นนารี ซึ่งมีภาระกิจต่างๆ กัน ท่านสาธุคุณ E. P Dunlap ผู้ซึ่งชาวมิชชั่นนารีชื่นชมมากกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าถึงกษัตริย์ไทย เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงรัชกาลที่ 7 ให้ความสนิทสนมด้วย ถึงกับทรงนับว่าเป็นเพื่อน นอกจากนี้ยังมีท่านสาธุคุณ Frank L. Snyder กับครอบครัว ซึ่งครอบครัวนี้เดิมอยู่บางกอก นาย Snyder ทำหน้าที่ดูแลการเงินของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งแน่นอนคนคุมเงินยอมมีอำนาจ นาย Snyder เข้าไปร่วมวงกับพวกคนจีน และรวมกันตั้งโบสถ์คริสเตียนร่วมกับคนจีน ต่อมาก็สร้างตึกให้กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน วันหนึ่งนาย Snyder เขียนจดหมายไปถึงใครคนหนึ่งในอเมริกา ในจดหมายด่ารัฐบาลไทยเสียไม่เหลือ นาย Snyder คงไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยก็ทำการตรวจสอบเป็นเหมือนกัน รัฐบาลไทยจึงมีคำสั่งให้นายSnyder เป็นบุคคลต้องห้าม Personna non grata และให้ออกนอกประเทศไป ต่อมาทางมิชชั่นนารีขอร้องรัฐบาลไทยยินยอมให้นาย Snyder กลับมาอยู่เมืองไทย แต่ไปอยู่ไกลหูไกลตา รัฐบาลไทยก็ยอม ทางคณะมิชชั่นนารีจึงส่งนาย Snyder มาประจำอยู่นครศรีธรรมราช สรุปว่า รัฐบาลไทยนี้ใจอ่อน มองแต่เสื้อคลุมเครื่องแบบไม่ไส่ใจเนื้อในของผู้ใส่ และนครศรีธรรมราชนี่น่าจะเป็นชุมทางสำคัญ !
    ระหว่างที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช วันหนึ่งประมาณปี ค.ศ. 1929 หรือ 1930 นาง Margaret ไปเยี่ยมคุณหมอ Edwin Bruce Mcdaniel ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของนครศรีธรรมราช คุณหมอยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ นาง Margaret ชื่อ “The English Governess at the Siamese Court” เขาบอกกับนาง Margaret ว่า หนังสือเล่มนี้ต้องห้ามนะ คนไทยไม่ชอบ แต่เอาไปอ่านเถอะ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Anna Leonowens เป็นสำนวนวิกตอเรียนในยุค ค.ศ. 1860 สำหรับหลายๆ คน อาจเป็นหนังสือที่น่าเบื่อ อ่านแล้วง่วง เหมือนกินยานอนหลับ แต่สำหรับนาง Margaret กลับตรงกันข้าม มันเหมือนนางกินยาอีเข้าไปแทน นางเพลิดเพลินกับหนังสือจนอ่านแบบรวดเดียวจบ ลืมวันเวลาไปเลย คงนึกว่าตัวเองเป็นนาง Anna ?!
    ต่อมาคุณหมอ Edwin ก็ยื่นหนังสือให้นาง Margaret อีกเล่ม ชื่อ Romance of the Harem (คุณหมอนี่ช่างสะสมหนังสือ “ต้องห้าม” เสียจริง พวกมิชชั่นนารีนี่ถ้าจะชอบการผจญ “ภัย”)หนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ ติดอยูในใจของนาง Margaret มาตลอด จนเมื่อกลับมาที่อเมริกา นางตั้งใจจะหาหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ให้ได้ และตั้งใจจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ Anna นาย Kenneth สาธยายชื่นชมเมียว่าเป็นคนช่างเขียน ช่างจดช่างจำ ละเอียดละออ เขียนอะไรก็ไพเราะไปหมด ไม่ว่าเขียนหนังสือธรรมดาหรือเขียนเป็นโคลง (น่าจะปลื้มเมียมากเอาการ) เขาพยายามหนุนให้เมียเขียนหนังสือ โดยเฉพาะเรื่อง Anna นี้อยู่ตลอดเวลา
    แล้ววันหนึ่งขณะที่เดินเข้าไป ในร้านหนังสือที่เมือง Chicago นาง Margaret ก็ไปเจอหนังสือชื่อ “English Governess” ในราคาถูกมาก หลังจากนั้นก็ไปเจอหนังสือ Harem อยู่ในกองหนังสือที่ขายแบบเลหลัง นาง Margaret บอกว่าแบบนี้แล้ว ฉันคงจะต้องเขียนหนังสือเรื่อง Anna แล้วละ ยังกับสวรรค์ประทาน ทำนองนั้น
    ระหว่างที่ประจำอยู่ที่ตรัง นาย Kenneth บอกว่าเขาต้องเดินทางตลอดเวลา เพื่อไปเยี่ยมและไปสอนศาสนาตามมิชชั่นนารีต่างๆ ที่มีอยู่หลายจังหวัดทางภาคใต้ วันหนึ่งเขาต้องเดินทางโดยเรือไปจากชุมพร แล่นเรือออกไปในเวลากลางคืน เรือแล่นไปสักพัก รู้สึกเรือแล่นได้ช้าลง และเครื่องยนต์ทำท่าจะไปไม่รอด ทะเลกลายเป็นสีดำ และเมื่อมองไปทางฝั่งและยอดคลื่น เขาเห็นแสงเรืองของฟอสฟอรัสสว่างไสวเต็มไปหมด มันเป็นภาพที่นาย Kenneth บอกว่าไม่มีวันจะลืม เรือแล่นไปบนทะเลสีดำ ด้านซ้ายมองเห็นประภาคารอยู่ไกลๆ ฟองน้ำแตกตามรอยเรือแล่น สว่างด้วยแสงฟอสฟอรัส และทั้งทะเลเหมือนประกายเพชรระยิบระยับ เขารู้สึกเหมือนเรือแล่นอยู่บนฟองน้ำมัน ทะเลทั้งผืนเหมือนเต็มไปด้วย น้ำมัน !
    ไม่กี่ปีต่อมา ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันในอ่าวไทย ก็เป็นข้อมูลที่อเมริกาให้ความสนใจยิ่ง ถึงขนาดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นลง ขณะที่อังกฤษกำลังฉวยโอกาส จากการที่ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาตามญี่ปุ่น อังกฤษกะเล่นงานไทยกลับอย่างเจ็บแสบ ด้วยการยื่นข้อเรียกร้อง 21 ข้อ อเมริกากลับบอกไม่ติดใจ และเข้ามาช่วยไทยเจรจาอังกฤษ เรียกว่าอ้าแขนมาปกป้องไทยแลนด์สมันน้อย อย่างพี่เบิ้มใจดี ดีจนเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็เสนอความช่วยเหลือแก่ไทยหลังสงครามโลก สมัยจอมพล ป. คนใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรี

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 4 ระหว่างที่อยู่นครศรีธรรมราช นาย Kenneth อยู่กับสังคมชาวมิชชั่นนารี ซึ่งมีภาระกิจต่างๆ กัน ท่านสาธุคุณ E. P Dunlap ผู้ซึ่งชาวมิชชั่นนารีชื่นชมมากกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าถึงกษัตริย์ไทย เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงรัชกาลที่ 7 ให้ความสนิทสนมด้วย ถึงกับทรงนับว่าเป็นเพื่อน นอกจากนี้ยังมีท่านสาธุคุณ Frank L. Snyder กับครอบครัว ซึ่งครอบครัวนี้เดิมอยู่บางกอก นาย Snyder ทำหน้าที่ดูแลการเงินของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งแน่นอนคนคุมเงินยอมมีอำนาจ นาย Snyder เข้าไปร่วมวงกับพวกคนจีน และรวมกันตั้งโบสถ์คริสเตียนร่วมกับคนจีน ต่อมาก็สร้างตึกให้กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน วันหนึ่งนาย Snyder เขียนจดหมายไปถึงใครคนหนึ่งในอเมริกา ในจดหมายด่ารัฐบาลไทยเสียไม่เหลือ นาย Snyder คงไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยก็ทำการตรวจสอบเป็นเหมือนกัน รัฐบาลไทยจึงมีคำสั่งให้นายSnyder เป็นบุคคลต้องห้าม Personna non grata และให้ออกนอกประเทศไป ต่อมาทางมิชชั่นนารีขอร้องรัฐบาลไทยยินยอมให้นาย Snyder กลับมาอยู่เมืองไทย แต่ไปอยู่ไกลหูไกลตา รัฐบาลไทยก็ยอม ทางคณะมิชชั่นนารีจึงส่งนาย Snyder มาประจำอยู่นครศรีธรรมราช สรุปว่า รัฐบาลไทยนี้ใจอ่อน มองแต่เสื้อคลุมเครื่องแบบไม่ไส่ใจเนื้อในของผู้ใส่ และนครศรีธรรมราชนี่น่าจะเป็นชุมทางสำคัญ ! ระหว่างที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช วันหนึ่งประมาณปี ค.ศ. 1929 หรือ 1930 นาง Margaret ไปเยี่ยมคุณหมอ Edwin Bruce Mcdaniel ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของนครศรีธรรมราช คุณหมอยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ นาง Margaret ชื่อ “The English Governess at the Siamese Court” เขาบอกกับนาง Margaret ว่า หนังสือเล่มนี้ต้องห้ามนะ คนไทยไม่ชอบ แต่เอาไปอ่านเถอะ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Anna Leonowens เป็นสำนวนวิกตอเรียนในยุค ค.ศ. 1860 สำหรับหลายๆ คน อาจเป็นหนังสือที่น่าเบื่อ อ่านแล้วง่วง เหมือนกินยานอนหลับ แต่สำหรับนาง Margaret กลับตรงกันข้าม มันเหมือนนางกินยาอีเข้าไปแทน นางเพลิดเพลินกับหนังสือจนอ่านแบบรวดเดียวจบ ลืมวันเวลาไปเลย คงนึกว่าตัวเองเป็นนาง Anna ?! ต่อมาคุณหมอ Edwin ก็ยื่นหนังสือให้นาง Margaret อีกเล่ม ชื่อ Romance of the Harem (คุณหมอนี่ช่างสะสมหนังสือ “ต้องห้าม” เสียจริง พวกมิชชั่นนารีนี่ถ้าจะชอบการผจญ “ภัย”)หนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ ติดอยูในใจของนาง Margaret มาตลอด จนเมื่อกลับมาที่อเมริกา นางตั้งใจจะหาหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ให้ได้ และตั้งใจจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ Anna นาย Kenneth สาธยายชื่นชมเมียว่าเป็นคนช่างเขียน ช่างจดช่างจำ ละเอียดละออ เขียนอะไรก็ไพเราะไปหมด ไม่ว่าเขียนหนังสือธรรมดาหรือเขียนเป็นโคลง (น่าจะปลื้มเมียมากเอาการ) เขาพยายามหนุนให้เมียเขียนหนังสือ โดยเฉพาะเรื่อง Anna นี้อยู่ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งขณะที่เดินเข้าไป ในร้านหนังสือที่เมือง Chicago นาง Margaret ก็ไปเจอหนังสือชื่อ “English Governess” ในราคาถูกมาก หลังจากนั้นก็ไปเจอหนังสือ Harem อยู่ในกองหนังสือที่ขายแบบเลหลัง นาง Margaret บอกว่าแบบนี้แล้ว ฉันคงจะต้องเขียนหนังสือเรื่อง Anna แล้วละ ยังกับสวรรค์ประทาน ทำนองนั้น ระหว่างที่ประจำอยู่ที่ตรัง นาย Kenneth บอกว่าเขาต้องเดินทางตลอดเวลา เพื่อไปเยี่ยมและไปสอนศาสนาตามมิชชั่นนารีต่างๆ ที่มีอยู่หลายจังหวัดทางภาคใต้ วันหนึ่งเขาต้องเดินทางโดยเรือไปจากชุมพร แล่นเรือออกไปในเวลากลางคืน เรือแล่นไปสักพัก รู้สึกเรือแล่นได้ช้าลง และเครื่องยนต์ทำท่าจะไปไม่รอด ทะเลกลายเป็นสีดำ และเมื่อมองไปทางฝั่งและยอดคลื่น เขาเห็นแสงเรืองของฟอสฟอรัสสว่างไสวเต็มไปหมด มันเป็นภาพที่นาย Kenneth บอกว่าไม่มีวันจะลืม เรือแล่นไปบนทะเลสีดำ ด้านซ้ายมองเห็นประภาคารอยู่ไกลๆ ฟองน้ำแตกตามรอยเรือแล่น สว่างด้วยแสงฟอสฟอรัส และทั้งทะเลเหมือนประกายเพชรระยิบระยับ เขารู้สึกเหมือนเรือแล่นอยู่บนฟองน้ำมัน ทะเลทั้งผืนเหมือนเต็มไปด้วย น้ำมัน ! ไม่กี่ปีต่อมา ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันในอ่าวไทย ก็เป็นข้อมูลที่อเมริกาให้ความสนใจยิ่ง ถึงขนาดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นลง ขณะที่อังกฤษกำลังฉวยโอกาส จากการที่ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาตามญี่ปุ่น อังกฤษกะเล่นงานไทยกลับอย่างเจ็บแสบ ด้วยการยื่นข้อเรียกร้อง 21 ข้อ อเมริกากลับบอกไม่ติดใจ และเข้ามาช่วยไทยเจรจาอังกฤษ เรียกว่าอ้าแขนมาปกป้องไทยแลนด์สมันน้อย อย่างพี่เบิ้มใจดี ดีจนเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็เสนอความช่วยเหลือแก่ไทยหลังสงครามโลก สมัยจอมพล ป. คนใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรี คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งจดหมายแสดงความยินดีกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย

    นอกจากนี้ ฮุน มาเนต หวังว่าจะได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติ
    "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งจดหมายแสดงความยินดีกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย นอกจากนี้ ฮุน มาเนต หวังว่าจะได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเขมรรวมตัวกันหน้าอาคารรัฐสภาสวีเดน เรียกร้องให้ยกเลิกการขาย #เครื่องบินกริพเพน ให้กับประเทศไทย ผู้ประท้วงอ้างว่าไทยใช้เครื่องบินเหล่านี้คร่าชีวิตชาวเขมรผู้บริสุทธิ์ และทำลายอาคารที่พักของประชาชน
    ชาวเขมรรวมตัวกันหน้าอาคารรัฐสภาสวีเดน เรียกร้องให้ยกเลิกการขาย #เครื่องบินกริพเพน ให้กับประเทศไทย ผู้ประท้วงอ้างว่าไทยใช้เครื่องบินเหล่านี้คร่าชีวิตชาวเขมรผู้บริสุทธิ์ และทำลายอาคารที่พักของประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “นายกฯหนู” เปิดตัว “วรภัค ธันยาวงษ์” นั่ง รมช.คลัง เผย รู้จักกันมา 30 ปี ไม่เกี่ยงเป็นคนของรัฐบาลเดิม บอก ยินดีไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ ชู เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีทรัมป์ พร้อมรับบทนักข่าวถือไมค์สัมภาษณ์ว่าที่รมต.ด้วยตัวเอง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085578

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    “นายกฯหนู” เปิดตัว “วรภัค ธันยาวงษ์” นั่ง รมช.คลัง เผย รู้จักกันมา 30 ปี ไม่เกี่ยงเป็นคนของรัฐบาลเดิม บอก ยินดีไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ ชู เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีทรัมป์ พร้อมรับบทนักข่าวถือไมค์สัมภาษณ์ว่าที่รมต.ด้วยตัวเอง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085578 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts