• ข่าวนี้เกี่ยวกับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 95 ที่ต้องใช้วิธีการติดตั้งแบบข้อความซึ่งไม่มีกราฟิกเลย เรื่องนี้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีในสมัยนั้น

    ตอนที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์พยายามติดตั้ง Windows 95 ครั้งแรก พวกเขาจะพบกับอินเทอร์เฟซข้อความที่ดูธรรมดาและไม่มีกราฟิกใดๆ เลย ถึงแม้ว่า MS-DOS สามารถแสดงผลกราฟิกได้ แต่ทีมพัฒนา Windows 95 เลือกใช้วิธีการที่ชาญฉลาดโดยนำโค้ดที่มีอยู่แล้วมาใช้ใหม่

    Raymond Chen พนักงานของ Microsoft ที่มีส่วนร่วมในพัฒนาการของ Windows มากกว่า 30 ปี เล่าให้ฟังว่า การติดตั้ง Windows 95 นั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมาก ซึ่งต้องใช้ระบบปฏิบัติการสามแบบเพื่อรองรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ของลูกค้า ทีมงานสามารถพัฒนาโปรแกรมติดตั้งที่มีกราฟิกได้ แต่การทำกราฟิกใน MS-DOS นั้นใช้เวลามากและมีความซับซ้อนสูงมาก MS-DOS ไม่มีฟังก์ชันกราฟิกพื้นฐานเลย นอกเสียจากการเรียก BIOS เพื่อแสดงพิกเซลเดียวเท่านั้น

    การพัฒนาขึ้นมาใหม่จะต้องใช้เวลามาก และต้องเขียนโค้ดใหม่สำหรับการจัดการกับวินโดว์ต่างๆ รองรับตัวอักษรเช่น ภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน รวมถึงการจัดการแอนิเมชันง่ายๆ ทีมพัฒนาจึงใช้โค้ดจาก Windows 3.1 ที่มีระบบกราฟิกอยู่แล้วมาใช้เป็นพื้นฐานของการติดตั้ง Windows 95 แทน

    เรื่องนี้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการรีไซเคิลโค้ดเก่า ซึ่งยังคงใช้ใน Windows รุ่นปัจจุบันเพื่อบูตและซ่อมแซมระบบปฏิบัติการ Windows

    https://www.techspot.com/news/106813-windows-95-setup-text-based-good-reason-microsoft.html
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 95 ที่ต้องใช้วิธีการติดตั้งแบบข้อความซึ่งไม่มีกราฟิกเลย เรื่องนี้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีในสมัยนั้น ตอนที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์พยายามติดตั้ง Windows 95 ครั้งแรก พวกเขาจะพบกับอินเทอร์เฟซข้อความที่ดูธรรมดาและไม่มีกราฟิกใดๆ เลย ถึงแม้ว่า MS-DOS สามารถแสดงผลกราฟิกได้ แต่ทีมพัฒนา Windows 95 เลือกใช้วิธีการที่ชาญฉลาดโดยนำโค้ดที่มีอยู่แล้วมาใช้ใหม่ Raymond Chen พนักงานของ Microsoft ที่มีส่วนร่วมในพัฒนาการของ Windows มากกว่า 30 ปี เล่าให้ฟังว่า การติดตั้ง Windows 95 นั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมาก ซึ่งต้องใช้ระบบปฏิบัติการสามแบบเพื่อรองรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ของลูกค้า ทีมงานสามารถพัฒนาโปรแกรมติดตั้งที่มีกราฟิกได้ แต่การทำกราฟิกใน MS-DOS นั้นใช้เวลามากและมีความซับซ้อนสูงมาก MS-DOS ไม่มีฟังก์ชันกราฟิกพื้นฐานเลย นอกเสียจากการเรียก BIOS เพื่อแสดงพิกเซลเดียวเท่านั้น การพัฒนาขึ้นมาใหม่จะต้องใช้เวลามาก และต้องเขียนโค้ดใหม่สำหรับการจัดการกับวินโดว์ต่างๆ รองรับตัวอักษรเช่น ภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน รวมถึงการจัดการแอนิเมชันง่ายๆ ทีมพัฒนาจึงใช้โค้ดจาก Windows 3.1 ที่มีระบบกราฟิกอยู่แล้วมาใช้เป็นพื้นฐานของการติดตั้ง Windows 95 แทน เรื่องนี้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการรีไซเคิลโค้ดเก่า ซึ่งยังคงใช้ใน Windows รุ่นปัจจุบันเพื่อบูตและซ่อมแซมระบบปฏิบัติการ Windows https://www.techspot.com/news/106813-windows-95-setup-text-based-good-reason-microsoft.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The Windows 95 setup was text-based for a good reason, Microsoft employee reveals
    Raymond Chen, a Microsoft employee who took part in the Windows evolution for more than 30 years, is back with a new post on his well-known "Old...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Verbatim และ I-O Data ได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงสนับสนุนตลาดสื่อบันทึกข้อมูลแบบออปติคอล หลังจากที่ Sony Japan ประกาศถอนตัวจากตลาด Blu-ray ที่สามารถบันทึกได้ Verbatim ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นของตนว่า จะตอบสนองความไว้วางใจของลูกค้าผ่านการจัดหาดิสก์ออปติคอลอย่างต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น และยังคงขายต่อไป

    การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Sony ประกาศปิดโรงงานผลิตสื่อบันทึกข้อมูลในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึง Blu-ray, MiniDiscs และ MiniDV cassettes ที่สามารถบันทึกได้ โรงงานสุดท้ายของ Sony ในญี่ปุ่นจะปิดตัวลงในเดือนนี้ และได้หยุดจัดหาสื่อบันทึก Blu-ray ให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา

    Verbatim ย้ำว่าการจัดหาสื่อบันทึกข้อมูลคุณภาพสูงให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็น "สิ่งสำคัญอันดับต้น" และจะยังคงให้บริการสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้ต่อไป แม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    นอกจากนี้ Verbatim ยังได้เปิดตัวฮาร์ดแวร์การอ่าน/เขียนดิสก์ออปติคอลใหม่ เช่น Slimline Blu-ray Writer ที่งาน CES 2025 ซึ่งเป็นเครื่องเขียน 4K ที่สามารถเล่น Ultra HD Blu-ray และใช้พลังงานจากสาย USB

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/verbatim-pledges-stable-supply-of-optical-disks-after-sony-japans-recordable-blu-ray-exit
    Verbatim และ I-O Data ได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงสนับสนุนตลาดสื่อบันทึกข้อมูลแบบออปติคอล หลังจากที่ Sony Japan ประกาศถอนตัวจากตลาด Blu-ray ที่สามารถบันทึกได้ Verbatim ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นของตนว่า จะตอบสนองความไว้วางใจของลูกค้าผ่านการจัดหาดิสก์ออปติคอลอย่างต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น และยังคงขายต่อไป การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Sony ประกาศปิดโรงงานผลิตสื่อบันทึกข้อมูลในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึง Blu-ray, MiniDiscs และ MiniDV cassettes ที่สามารถบันทึกได้ โรงงานสุดท้ายของ Sony ในญี่ปุ่นจะปิดตัวลงในเดือนนี้ และได้หยุดจัดหาสื่อบันทึก Blu-ray ให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา Verbatim ย้ำว่าการจัดหาสื่อบันทึกข้อมูลคุณภาพสูงให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็น "สิ่งสำคัญอันดับต้น" และจะยังคงให้บริการสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้ต่อไป แม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นอกจากนี้ Verbatim ยังได้เปิดตัวฮาร์ดแวร์การอ่าน/เขียนดิสก์ออปติคอลใหม่ เช่น Slimline Blu-ray Writer ที่งาน CES 2025 ซึ่งเป็นเครื่องเขียน 4K ที่สามารถเล่น Ultra HD Blu-ray และใช้พลังงานจากสาย USB https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/verbatim-pledges-stable-supply-of-optical-disks-after-sony-japans-recordable-blu-ray-exit
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Verbatim pledges 'stable supply of optical disks' after Sony Japan's recordable Blu-ray exit
    Says it will continue to supply recordable Blu-ray, DVD, and CDs to the Japan market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่น 6 : โชเฮ โอทานิ (Shohei Ohtani)

    วันนี้วันดีปีใหม่ ผมอยากเล่าถึง “โชเฮ โอทานิ” นักเบสบอลมหัศจรรย์ของชาวญี่ปุ่น เอาไว้ให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จครับ

    โชเฮ โอทานิ หรือชื่อเล่นที่เรียกว่า “โชไทม์ (Sho-time)” นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักเบสบอลอาชีพ ที่ตอนนี้ไปเล่นให้กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ในสหรัฐฯและพาทีมคว้าแชมป์ 2024 ไปเรียบร้อย

    ความมหัศจรรย์ของโอทานิก็คือ เขาเป็นนักเบสบอลที่เล่นเป็นมือขว้าง (พิทเชอร์) หรือมือตี (พัทเตอร์) ก็ได้ เรียกว่าเป็น Two-way player

    โอทานินั้นไม่ใช่แค่ว่า ”ขว้างลูกได้“ ครับแต่เป็นพิทเชอร์ที่ขว้างลูกได้ดีเลิศ คือ ขว้างได้สปีดถึง 160 กม./ชม. ลูกโค้งซ้าย-ขวา-บน-ล่าง นั้นทำได้หมด

    และในฐานะพัทเตอร์นั้น เขาตีลูกได้แรงและแม่นยำ ตีโฮมรันเป็นว่าเล่น พละกำลังมหาศาลด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ถึง 195 ซม.

    โอทานินั้นถนัดทั้งมือซ้ายและขวา กล่าวคือ ขว้างด้วยมือขวา ตีด้วยมือซ้าย

    เมื่อเขามาเล่นเบสบอลในเมเจอร์ลีกที่อเมริกา ในปี 2021 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาทรงคุณค่าสูงสุด (MVP) 2 รางวัล คือ ตำแหน่งพิทเชอร์กับตำแหน่งพัทเตอร์ในซีซั่นเดียว

    นักเบสบอลแบบนี้ 100 ปีจะมีสักหนึ่งคน

    สื่ออเมริกันถึงกับบอกว่า โอทานินั้นเหนือกว่าเบ๊บ รูท (Babe Ruth) นักเบสบอลอเมริกันในตำนานที่เป็น Two-way player เช่นกันเสียอีก

    นอกจากความเป็นยอดนักกีฬาแล้วคุณสมบัติที่ทำให้โอทานิโด่งดังในวงการนั้นมี 3 ประการครับ คือ

    หนึ่ง…..ความถ่อมตน (Humility)
    สอง…..ความขยันหมั่นเพียร
    สาม…..ความมุ่งมั่น
    .
    .
    .
    โอทานินั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ”ยาคิว โชเนน - yakyu shonen“ แปลว่า ”เด็กที่หายใจเข้าออกเป็นเบสบอลทุกวินาที“ ครับ

    ความลุ่มหลงในเบสบอลของโอทานินั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวเปี๊ยกเดียวครับ เพราะพ่อของโอทานิเป็นนักเบสบอลกึ่งอาชีพ ส่วนแม่นั้นเป็นนักแบดมินตันระดับมัธยม

    พ่อของโอทานินั้นสอนเทคนิคการขว้างลูกโดยใช้แรงจากสะโพกและการบิดตัว ทำให้โอทานิน้อยวัย 10 ขวบสามารถขว้างลูกได้เร็วเป็น 100 กม./ชม.เลยเชียว

    เมื่อโอทานิโตขึ้นมาถึงระดับมัธยม เขาก็เข้าไปเล่นเบสบอลในทีมโรงเรียนซึ่งมีโค้ชชื่อ “ซาซากิ”

    โค้ชซาซากินี้เองที่เป็นผู้บ่มเพาะนิสัยความถ่อมตนให้กับโอทานิ

    เมื่อโค้ชซาซากิเห็นฝีมือของโอทานิปร๊าดเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือดาวรุ่งคนใหม่ของวงการ

    ดังนั้นหน้าที่ที่โค้ชซาซากิมอบหมายให้เด็กใหม่ที่ชื่อโอทานิทำก็คือ “ล้างห้องน้ำ” ครับ

    เหตุผลของโค้ชก็คือ “ตำแหน่งยืนของ
    พิทเชอร์คือจุดที่สูงสุดในสนามเบสบอล เปรียบได้กับเวที เมื่อคุณไปยืนอยู่บนเวที คุณจะได้รับความสนใจ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์และเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณมากที่สุด“

    “The mound is the most elevated place on the field, It’s a stage. If you’re on that stage, you receive the most attention. You get interviewed and written about the most.”

    นี่คือวิธีการสอนความถ่อมตนในสไตล์ของโค้ชซาซากิครับ

    โค้ชยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า

    ”ความสะอาดของห้องน้ำนั้นบอกอะไรเราได้เยอะนะคุณ เวลาคุณไปเดินห้างสรรพสินค้าหรือไปสถานที่ต่างๆแล้วคุณไปเจอห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมน่ะ มันบอกอะไรบางอย่างกับคุณใช่ไหมว่า คนที่ทำงานที่นี่น่ะเป็นคนอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับรายละเอียดเพียงใด“
    .
    .
    .
    การฝึกซ้อมของทีมเบสบอลโรงเรียนนี้หนักหนาสาหัสมาก นักเบสบอลวัยรุ่นเหล่านี้จะต้องกินนอนอยู่กับทีมตลอดปี ได้กลับบ้านแค่ปีละ 6 วันเท่านั้น

    ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะถูกจริตของโอทานิซึ่งมีความสุขกับการซ้อม การแข่ง การล้างห้องน้ำและ ”การกิน“

    โค้ชซาซากิเล่าว่าโอทานิในเวลานั้นตัวเล็กมาก โค้ชจึงให้โอทานิกินอาหารให้เยอะที่สุด เพื่อนร่วมทีมคนไหนกินอาหารเหลือก็ส่งมาให้โอทานิกินต่อ

    กินจนกินไม่ไหวถึงจะเลิกกิน

    กินเสร็จก็ไปออกกำลังกาย ยกเวท จนโอทานิสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น ร่างกายสมบูรณ์เป็นนักกีฬาระดับโลก
    .
    .
    .
    จนเมื่อโอทานิแข่งเบสบอลในระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ หรือ “โคชิเอ็น”

    โอทานิก็มุ่งมั่นชัดเจนว่าอยากจะเล่นเบสบอลอาชีพซี่งเขาก็เริ่มจากลีกญี่ปุ่น จนไปสู่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา

    กวาดรางวัลและทำลายสถิติมาทุกแห่ง

    แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในตัวโอทานิเลยก็คือ ความสงบเสงี่ยม พูดน้อยและถ่อมตน

    ไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็พูดนิดเดียว บางทีเมื่อไม่มีอะไรจะพูด โอทานิก็พูดสั้นๆเบาๆแค่ว่า ”ขอโทษนะครับ“

    ตอนที่โอทานิเริ่มได้เงินเดือนจากการแข่งอาชีพจากทีมไฟท์เตอร์ในลีกญี่ปุ่น 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โอทานิให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องเงินทองทั้งหมด

    และบอกแม่ว่าให้โอนเงินใส่บัญชีให้เขาใช้เดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ หรือ 34,000 บาทก็พอ ซึ่งเอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยจะได้แตะเงินเท่าไร เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับการซ้อม การแข่งเบสบอล

    สื่อมวลชนกีฬาของญี่ปุ่นซึ่งชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของนักกีฬามาแฉนั้น ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับโอทานิ เพราะไม่มีอะไรจะให้แฉเลยสักนิด

    เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว โอทานิไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใคร

    วันๆเอาแต่ออกกำลังกายกับเล่นเบสบอล
    .
    .
    .
    ล่าสุดโอทานิก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อเซ็นสัญญา 10 ปีด้วยค่าตัว 700 ล้านดอลล่าร์กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์

    เป็นสัญญาที่แพงที่สุดประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก

    ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมโอทานิถึงได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่น

    ….พูดน้อย ถ่อมตน ซ้อมหนัก ผลงานเป็นเลิศ….

    คุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่พูดเยอะแต่ไร้ผลงาน


    นัทแนะ
    ญี่ปุ่น 6 : โชเฮ โอทานิ (Shohei Ohtani) วันนี้วันดีปีใหม่ ผมอยากเล่าถึง “โชเฮ โอทานิ” นักเบสบอลมหัศจรรย์ของชาวญี่ปุ่น เอาไว้ให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จครับ โชเฮ โอทานิ หรือชื่อเล่นที่เรียกว่า “โชไทม์ (Sho-time)” นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักเบสบอลอาชีพ ที่ตอนนี้ไปเล่นให้กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ในสหรัฐฯและพาทีมคว้าแชมป์ 2024 ไปเรียบร้อย ความมหัศจรรย์ของโอทานิก็คือ เขาเป็นนักเบสบอลที่เล่นเป็นมือขว้าง (พิทเชอร์) หรือมือตี (พัทเตอร์) ก็ได้ เรียกว่าเป็น Two-way player โอทานินั้นไม่ใช่แค่ว่า ”ขว้างลูกได้“ ครับแต่เป็นพิทเชอร์ที่ขว้างลูกได้ดีเลิศ คือ ขว้างได้สปีดถึง 160 กม./ชม. ลูกโค้งซ้าย-ขวา-บน-ล่าง นั้นทำได้หมด และในฐานะพัทเตอร์นั้น เขาตีลูกได้แรงและแม่นยำ ตีโฮมรันเป็นว่าเล่น พละกำลังมหาศาลด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ถึง 195 ซม. โอทานินั้นถนัดทั้งมือซ้ายและขวา กล่าวคือ ขว้างด้วยมือขวา ตีด้วยมือซ้าย เมื่อเขามาเล่นเบสบอลในเมเจอร์ลีกที่อเมริกา ในปี 2021 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาทรงคุณค่าสูงสุด (MVP) 2 รางวัล คือ ตำแหน่งพิทเชอร์กับตำแหน่งพัทเตอร์ในซีซั่นเดียว นักเบสบอลแบบนี้ 100 ปีจะมีสักหนึ่งคน สื่ออเมริกันถึงกับบอกว่า โอทานินั้นเหนือกว่าเบ๊บ รูท (Babe Ruth) นักเบสบอลอเมริกันในตำนานที่เป็น Two-way player เช่นกันเสียอีก นอกจากความเป็นยอดนักกีฬาแล้วคุณสมบัติที่ทำให้โอทานิโด่งดังในวงการนั้นมี 3 ประการครับ คือ หนึ่ง…..ความถ่อมตน (Humility) สอง…..ความขยันหมั่นเพียร สาม…..ความมุ่งมั่น . . . โอทานินั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ”ยาคิว โชเนน - yakyu shonen“ แปลว่า ”เด็กที่หายใจเข้าออกเป็นเบสบอลทุกวินาที“ ครับ ความลุ่มหลงในเบสบอลของโอทานินั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวเปี๊ยกเดียวครับ เพราะพ่อของโอทานิเป็นนักเบสบอลกึ่งอาชีพ ส่วนแม่นั้นเป็นนักแบดมินตันระดับมัธยม พ่อของโอทานินั้นสอนเทคนิคการขว้างลูกโดยใช้แรงจากสะโพกและการบิดตัว ทำให้โอทานิน้อยวัย 10 ขวบสามารถขว้างลูกได้เร็วเป็น 100 กม./ชม.เลยเชียว เมื่อโอทานิโตขึ้นมาถึงระดับมัธยม เขาก็เข้าไปเล่นเบสบอลในทีมโรงเรียนซึ่งมีโค้ชชื่อ “ซาซากิ” โค้ชซาซากินี้เองที่เป็นผู้บ่มเพาะนิสัยความถ่อมตนให้กับโอทานิ เมื่อโค้ชซาซากิเห็นฝีมือของโอทานิปร๊าดเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือดาวรุ่งคนใหม่ของวงการ ดังนั้นหน้าที่ที่โค้ชซาซากิมอบหมายให้เด็กใหม่ที่ชื่อโอทานิทำก็คือ “ล้างห้องน้ำ” ครับ เหตุผลของโค้ชก็คือ “ตำแหน่งยืนของ พิทเชอร์คือจุดที่สูงสุดในสนามเบสบอล เปรียบได้กับเวที เมื่อคุณไปยืนอยู่บนเวที คุณจะได้รับความสนใจ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์และเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณมากที่สุด“ “The mound is the most elevated place on the field, It’s a stage. If you’re on that stage, you receive the most attention. You get interviewed and written about the most.” นี่คือวิธีการสอนความถ่อมตนในสไตล์ของโค้ชซาซากิครับ โค้ชยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า ”ความสะอาดของห้องน้ำนั้นบอกอะไรเราได้เยอะนะคุณ เวลาคุณไปเดินห้างสรรพสินค้าหรือไปสถานที่ต่างๆแล้วคุณไปเจอห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมน่ะ มันบอกอะไรบางอย่างกับคุณใช่ไหมว่า คนที่ทำงานที่นี่น่ะเป็นคนอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับรายละเอียดเพียงใด“ . . . การฝึกซ้อมของทีมเบสบอลโรงเรียนนี้หนักหนาสาหัสมาก นักเบสบอลวัยรุ่นเหล่านี้จะต้องกินนอนอยู่กับทีมตลอดปี ได้กลับบ้านแค่ปีละ 6 วันเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะถูกจริตของโอทานิซึ่งมีความสุขกับการซ้อม การแข่ง การล้างห้องน้ำและ ”การกิน“ โค้ชซาซากิเล่าว่าโอทานิในเวลานั้นตัวเล็กมาก โค้ชจึงให้โอทานิกินอาหารให้เยอะที่สุด เพื่อนร่วมทีมคนไหนกินอาหารเหลือก็ส่งมาให้โอทานิกินต่อ กินจนกินไม่ไหวถึงจะเลิกกิน กินเสร็จก็ไปออกกำลังกาย ยกเวท จนโอทานิสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น ร่างกายสมบูรณ์เป็นนักกีฬาระดับโลก . . . จนเมื่อโอทานิแข่งเบสบอลในระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ หรือ “โคชิเอ็น” โอทานิก็มุ่งมั่นชัดเจนว่าอยากจะเล่นเบสบอลอาชีพซี่งเขาก็เริ่มจากลีกญี่ปุ่น จนไปสู่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา กวาดรางวัลและทำลายสถิติมาทุกแห่ง แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในตัวโอทานิเลยก็คือ ความสงบเสงี่ยม พูดน้อยและถ่อมตน ไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็พูดนิดเดียว บางทีเมื่อไม่มีอะไรจะพูด โอทานิก็พูดสั้นๆเบาๆแค่ว่า ”ขอโทษนะครับ“ ตอนที่โอทานิเริ่มได้เงินเดือนจากการแข่งอาชีพจากทีมไฟท์เตอร์ในลีกญี่ปุ่น 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โอทานิให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องเงินทองทั้งหมด และบอกแม่ว่าให้โอนเงินใส่บัญชีให้เขาใช้เดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ หรือ 34,000 บาทก็พอ ซึ่งเอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยจะได้แตะเงินเท่าไร เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับการซ้อม การแข่งเบสบอล สื่อมวลชนกีฬาของญี่ปุ่นซึ่งชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของนักกีฬามาแฉนั้น ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับโอทานิ เพราะไม่มีอะไรจะให้แฉเลยสักนิด เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว โอทานิไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใคร วันๆเอาแต่ออกกำลังกายกับเล่นเบสบอล . . . ล่าสุดโอทานิก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อเซ็นสัญญา 10 ปีด้วยค่าตัว 700 ล้านดอลล่าร์กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ เป็นสัญญาที่แพงที่สุดประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมโอทานิถึงได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่น ….พูดน้อย ถ่อมตน ซ้อมหนัก ผลงานเป็นเลิศ…. คุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่พูดเยอะแต่ไร้ผลงาน นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่น 4 : รถจิ๋ว Kei car

    ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่น คงจะสะดุดตาและชอบใจกับรถคันจิ๋วๆทรงกล่องที่วิ่งขวักไขว่ไปมาอยู่ตามท้องถนนนะครับ

    รถจิ๋วเหล่านี้มีชื่อว่า Kei car ครับเป็นรถขนาดประหยัดที่คนญี่ปุ่นเขาเอาไปพลิกแพลงใช้งานหลากหลาย ทั้งใช้เป็นรถส่วนตัว รถขนของ รถบรรทุกจิ๋ว หรือบางคนเอาไปทำเป็นรถแคมปิ้งก็มี

    จุดสังเกตง่ายๆคือ ป้ายทะเบียนรถ Kei car จะเป็นสีเหลืองครับ

    Kei นั้นเป็นคำย่อมาจากภาษาญี่ปุ่นว่า Kei-jidosha แปลว่า ”รถยนต์ขนาดเล็ก“ ตรงๆตัวเลยครับ

    รถ Kei car นี้มีจุดเริ่มต้นในปี 1949 อันเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ รัฐบาลญี่ปุ่นในตอนนั้นได้ดำริว่า “เราจะต้องรื้อฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาให้ได้โดยเร็ว“

    ว่าแล้วก็ออกประกาศว่า ถ้าผู้ผลิตรถยนต์เจ้าไหนสร้างรถยนต์ที่ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 150 ซีซีขึ้นมา รัฐบาลจะช่วยอุดหนุน แถมยังว่าหากประชาชนคนไหนซื้อไปใช้ จะลดภาษี ลดค่าประกันภัยให้ด้วย

    ทำไปทำมาปรากฏว่าขายดิบขายดี คนญี่ปุ่นชอบมาก เพราะถูกจริตกับการใช้งานในธุรกิจย่อมๆในเมืองและราคาสบายกระเป๋า

    ต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นเขาก็ได้เพิ่มขนาดเครื่องยนต์สำหรับรถ Kei ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันคือสูงสุดที่ 660 ซีซี

    รถ Kei car นี้มียอดขายแซงหน้ารถประเภทอื่นๆมายาวนานหลายปี ว่ากันว่า Kei car นั้นมีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในญี่ปุ่นถึง 30-40% เลยเชียว

    แม้ตอนนี้รัฐบาลจะไม่ได้อุดหนุน Kei car เหมือนแต่ก่อนแล้ว Kei car ก็ยังคงขายดีเช่นเดิม

    Kei car รุ่นยอดนิยมตลอดกาลก็คือ ฮอนด้า N-box ครับ สำหรับของยี่ห้ออื่นก็มีไดฮัทสุ Tanto, ซูซูกิ Spacia และอีกมากมายหลายรุ่น
    .
    .
    .
    การพัฒนาล่าสุดของรถ Kei car ก็คือ เขาพัฒนาขึ้นมาเป็นรถไฟฟ้าด้วย ซึ่งก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความจิ๋วไว้เช่นเดิมทุกประการ

    รถไฟฟ้าจิ๋วที่โด่งดังก็คือ นิสสันรุ่นซากุระ (Sakura) ครับ ใช้แบตเตอรี่ขนาด 20 กิโลวัตต์ ชาร์จเต็มหนึ่งครั้งวิ่งได้ไกลสุด 160 กม.

    และที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อวานนี้ก็คือ รถไฟฟ้าจิ๋วยี่ห้อมิตซูบิชิที่เขาผลิตขึ้นมาสำหรับไปรษณีย์ญี่ปุ่น (Japan Post) ครับ

    ทำออกมาเป็นสีแดงสวยงาม เอาไว้วิ่งส่งพัสดุและจดหมายได้คล่องตัวดี

    ทีนี้ผู้อ่านบางท่านคงเกิดคำถามว่า “แล้วทำไมญี่ปุ่นไม่ส่ง Kei car ออกไปทำตลาดต่างประเทศบ้าง?”

    คำตอบมีสองประการครับคือ

    หนึ่ง… รถ Kei car นี้ทำกำไรไม่มาก ไม่คุ้มกับการทำการตลาด

    สอง… ในบางประเทศเช่น อเมริกาและออสเตรเลีย เขาบอกว่ารถ Kei car นั้นไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศเขา ก็เลยไม่อนุญาตให้ญี่ปุ่นเอาเข้าไปขาย

    สำหรับผมแล้ว ชอบ Kei car มากๆเลยครับ ถ้าคนไทยคนไหนอยากริเริ่มผลิตรถจิ๋วๆขึ้นมา ผมว่าคงมีคนซื้อไม่น้อยเลย


    นัทแนะ
    ญี่ปุ่น 4 : รถจิ๋ว Kei car ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่น คงจะสะดุดตาและชอบใจกับรถคันจิ๋วๆทรงกล่องที่วิ่งขวักไขว่ไปมาอยู่ตามท้องถนนนะครับ รถจิ๋วเหล่านี้มีชื่อว่า Kei car ครับเป็นรถขนาดประหยัดที่คนญี่ปุ่นเขาเอาไปพลิกแพลงใช้งานหลากหลาย ทั้งใช้เป็นรถส่วนตัว รถขนของ รถบรรทุกจิ๋ว หรือบางคนเอาไปทำเป็นรถแคมปิ้งก็มี จุดสังเกตง่ายๆคือ ป้ายทะเบียนรถ Kei car จะเป็นสีเหลืองครับ Kei นั้นเป็นคำย่อมาจากภาษาญี่ปุ่นว่า Kei-jidosha แปลว่า ”รถยนต์ขนาดเล็ก“ ตรงๆตัวเลยครับ รถ Kei car นี้มีจุดเริ่มต้นในปี 1949 อันเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ รัฐบาลญี่ปุ่นในตอนนั้นได้ดำริว่า “เราจะต้องรื้อฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาให้ได้โดยเร็ว“ ว่าแล้วก็ออกประกาศว่า ถ้าผู้ผลิตรถยนต์เจ้าไหนสร้างรถยนต์ที่ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 150 ซีซีขึ้นมา รัฐบาลจะช่วยอุดหนุน แถมยังว่าหากประชาชนคนไหนซื้อไปใช้ จะลดภาษี ลดค่าประกันภัยให้ด้วย ทำไปทำมาปรากฏว่าขายดิบขายดี คนญี่ปุ่นชอบมาก เพราะถูกจริตกับการใช้งานในธุรกิจย่อมๆในเมืองและราคาสบายกระเป๋า ต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นเขาก็ได้เพิ่มขนาดเครื่องยนต์สำหรับรถ Kei ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันคือสูงสุดที่ 660 ซีซี รถ Kei car นี้มียอดขายแซงหน้ารถประเภทอื่นๆมายาวนานหลายปี ว่ากันว่า Kei car นั้นมีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในญี่ปุ่นถึง 30-40% เลยเชียว แม้ตอนนี้รัฐบาลจะไม่ได้อุดหนุน Kei car เหมือนแต่ก่อนแล้ว Kei car ก็ยังคงขายดีเช่นเดิม Kei car รุ่นยอดนิยมตลอดกาลก็คือ ฮอนด้า N-box ครับ สำหรับของยี่ห้ออื่นก็มีไดฮัทสุ Tanto, ซูซูกิ Spacia และอีกมากมายหลายรุ่น . . . การพัฒนาล่าสุดของรถ Kei car ก็คือ เขาพัฒนาขึ้นมาเป็นรถไฟฟ้าด้วย ซึ่งก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความจิ๋วไว้เช่นเดิมทุกประการ รถไฟฟ้าจิ๋วที่โด่งดังก็คือ นิสสันรุ่นซากุระ (Sakura) ครับ ใช้แบตเตอรี่ขนาด 20 กิโลวัตต์ ชาร์จเต็มหนึ่งครั้งวิ่งได้ไกลสุด 160 กม. และที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อวานนี้ก็คือ รถไฟฟ้าจิ๋วยี่ห้อมิตซูบิชิที่เขาผลิตขึ้นมาสำหรับไปรษณีย์ญี่ปุ่น (Japan Post) ครับ ทำออกมาเป็นสีแดงสวยงาม เอาไว้วิ่งส่งพัสดุและจดหมายได้คล่องตัวดี ทีนี้ผู้อ่านบางท่านคงเกิดคำถามว่า “แล้วทำไมญี่ปุ่นไม่ส่ง Kei car ออกไปทำตลาดต่างประเทศบ้าง?” คำตอบมีสองประการครับคือ หนึ่ง… รถ Kei car นี้ทำกำไรไม่มาก ไม่คุ้มกับการทำการตลาด สอง… ในบางประเทศเช่น อเมริกาและออสเตรเลีย เขาบอกว่ารถ Kei car นั้นไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศเขา ก็เลยไม่อนุญาตให้ญี่ปุ่นเอาเข้าไปขาย สำหรับผมแล้ว ชอบ Kei car มากๆเลยครับ ถ้าคนไทยคนไหนอยากริเริ่มผลิตรถจิ๋วๆขึ้นมา ผมว่าคงมีคนซื้อไม่น้อยเลย นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนุ่มชาวจีนรายหนึ่งกลายเป็นที่สนใจในโลกโซเชียล หลังออกมาเล่าประสบการณ์สอบภาษาญี่ปุ่นจนผ่านระดับ N2 ด้วยการดูหนัง AV มากกว่า 4,500 เรื่อง

    หนุ่มจีนที่ใช้นามแฝงว่า Jakku Song ได้โพสต์คลิปใน YouTube เล่าวิธีเรียนภาษาที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โดยนาย Song คนนี้ยืนยันว่า เขาเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองผ่านการดูหนังเอวีทั้งหมด 4,545 เรื่อง

    ความคลั่งไคล้นี้ทำให้เขาถึงขั้นสามารถสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) ได้ถึงขั้น N2 ซึ่งเป็นระดับที่สามารถนำไปใช้สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนอาชีวศึกษาของญี่ปุ่นได้

    Song ยืนยันว่า เขาไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนมาก่อน แต่เพราะสนใจวัฒนธรรมเอวีญี่ปุ่นอย่างมาก จึงทุ่มเทเวลาไปกับการดูหนังเอวี และฝึกเลียนแบบภาษาของตัวละคร

    ในคลิปวิดีโอล่าสุดที่โพสต์ลงใน YouTube จะเห็นพ่อหนุ่ม Song คนนี้นอนอยู่ท่ามกลาง “กองทิชชู่ใช้แล้ว” พร้อมโชว์ใบประกาศนียบัตรผ่านการสอบภาษาญี่ปุ่นระดับ N2 ก่อนจะกล่าวขอบคุณบรรดาสาวๆ เอวีอย่าง Sola Aoi และ Tsukasa Aoi ที่เป็นเสมือนครู จากนั้นก็ “หมดสติ” ไปด้วยความอ่อนเพลีย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000000355

    #MGROnline #ภาษาญี่ปุ่น #วัฒนธรรมเอวีญี่ปุ่น #หนังเอวี

    หนุ่มชาวจีนรายหนึ่งกลายเป็นที่สนใจในโลกโซเชียล หลังออกมาเล่าประสบการณ์สอบภาษาญี่ปุ่นจนผ่านระดับ N2 ด้วยการดูหนัง AV มากกว่า 4,500 เรื่อง • หนุ่มจีนที่ใช้นามแฝงว่า Jakku Song ได้โพสต์คลิปใน YouTube เล่าวิธีเรียนภาษาที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โดยนาย Song คนนี้ยืนยันว่า เขาเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองผ่านการดูหนังเอวีทั้งหมด 4,545 เรื่อง • ความคลั่งไคล้นี้ทำให้เขาถึงขั้นสามารถสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) ได้ถึงขั้น N2 ซึ่งเป็นระดับที่สามารถนำไปใช้สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนอาชีวศึกษาของญี่ปุ่นได้ • Song ยืนยันว่า เขาไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนมาก่อน แต่เพราะสนใจวัฒนธรรมเอวีญี่ปุ่นอย่างมาก จึงทุ่มเทเวลาไปกับการดูหนังเอวี และฝึกเลียนแบบภาษาของตัวละคร • ในคลิปวิดีโอล่าสุดที่โพสต์ลงใน YouTube จะเห็นพ่อหนุ่ม Song คนนี้นอนอยู่ท่ามกลาง “กองทิชชู่ใช้แล้ว” พร้อมโชว์ใบประกาศนียบัตรผ่านการสอบภาษาญี่ปุ่นระดับ N2 ก่อนจะกล่าวขอบคุณบรรดาสาวๆ เอวีอย่าง Sola Aoi และ Tsukasa Aoi ที่เป็นเสมือนครู จากนั้นก็ “หมดสติ” ไปด้วยความอ่อนเพลีย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000000355 • #MGROnline #ภาษาญี่ปุ่น #วัฒนธรรมเอวีญี่ปุ่น #หนังเอวี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย
    จากมุมมองของ Nikkei Asia
    .
    ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76%
    .
    แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้
    .
    "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า
    .
    "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์"
    .
    นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง
    .
    "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ
    .
    จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน
    .
    การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก
    .
    ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว!
    .
    นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า
    .
    "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง"
    .
    นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน
    .
    "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก
    .
    ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%)
    .
    ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า
    .
    ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์
    .
    อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้
    .
    สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง
    .
    แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้?
    .
    เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳
    .
    .
    อ้างอิง :
    NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand
    https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย จากมุมมองของ Nikkei Asia . ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76% . แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้ . "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า . "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์" . นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง . "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ . จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน . การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก . ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว! . นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า . "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง" . นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน . "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า . "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก . ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%) . ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น . ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า . ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์ . อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้ . สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง . แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้? . เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳 . . อ้างอิง : NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 995 มุมมอง 1 รีวิว
  • เอามือปิดฟ้าไม่มีวันมิด 2 #เปลือยธารินทร์ EP 05
    คนทำงานล้มเหลวมีอยู่ 2 ประเภท
    ประเภทแรก จะเหมือนหมา คือ ขึ้แล้วรีบเอาเท้าหลังคุ้ยดินกลบเสีย
    ประเภทหลัง จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก
    แต่ในญี่ปุ่น คนที่ทำงานล้มเหลวนั้น เขามีพิธีกรรมเรียกกันว่า เซปปุกุ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามคนรู้ภาษาญี่ปุ่นเอง https://youtu.be/nArbd2Enhu0
    เอามือปิดฟ้าไม่มีวันมิด 2 #เปลือยธารินทร์ EP 05 คนทำงานล้มเหลวมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรก จะเหมือนหมา คือ ขึ้แล้วรีบเอาเท้าหลังคุ้ยดินกลบเสีย ประเภทหลัง จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่ในญี่ปุ่น คนที่ทำงานล้มเหลวนั้น เขามีพิธีกรรมเรียกกันว่า เซปปุกุ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามคนรู้ภาษาญี่ปุ่นเอง https://youtu.be/nArbd2Enhu0
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อฉัน ไปดู หนัง กับ ลูก เกี่ยวกับการตาย ของ นักวาด การ์ตูน เมื่อ ปี 2019 ตอนแรก คิดว่า เป็น หนังที่ลูกสนใจ เพราะ เป็น มังงะ (การ์ตูนภาษาญี่ปุ่น) แต่ ลูกบอกว่า มา เพื่อ ไว้อาลัย ให้ นักวาด การ์ตูน อีกครั้ง 🙏 ขอแสดงความเสียใจ อีกครั้ง กับ ผู้เสียชีวิต (Look back) R.I.P
    เมื่อฉัน ไปดู หนัง กับ ลูก เกี่ยวกับการตาย ของ นักวาด การ์ตูน เมื่อ ปี 2019 ตอนแรก คิดว่า เป็น หนังที่ลูกสนใจ เพราะ เป็น มังงะ (การ์ตูนภาษาญี่ปุ่น) แต่ ลูกบอกว่า มา เพื่อ ไว้อาลัย ให้ นักวาด การ์ตูน อีกครั้ง 🙏 ขอแสดงความเสียใจ อีกครั้ง กับ ผู้เสียชีวิต (Look back) R.I.P
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • พูดถึงเรื่องดราม่าสกู๊ปข่าวการจ่ายเงินผ่าน QR code ในอาเซียนของสื่อ Nikkei Asia แล้ว นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แสดงให้เห็นความจำเป็นที่ไทยเราต้องมีสื่อระดับนานาชาติของตัวเองครับ

    ลองนึกภาพตามนะครับ Nikkei Asia เสนอข่าวผิดพลาดเกี่ยวกับประเทศไทย ว่าประเทศไทยคนใช้จ่ายผ่าน QR code น้อยมาก รั้งท้ายอาเซียนตามหลังแม้กระทั่งกัมพูชา จากนั้นสื่อ นักวิชาการและอินฟลูเอนเซอร์ของไทยก็ออกมาช่วยกันชี้แจง แก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด แต่แทนที่สื่อ Nikkei Asia จะแก้ไขข้อมูล กลับตัดประเทศไทยออกจากการจัดอันดับอาเซียนเสียดื้อๆ

    ประเด็นคือจากที่สื่อ นักวิชาการ อินฟลูเอนเซอร์ของไทยออกมาช่วยกันชี้แจง คนไทยส่วนใหญ่น่าจะรู้ความจริงแล้วว่าประเทศไทยเราจริงๆ เป็นผู้นำด้านการใช้จ่ายผ่าน QR code ติดระดับโลก ไม่ได้รั้งท้ายอาเซียนแต่อย่างใด แต่ชาวต่างชาติอื่นๆ ที่เขาอ่านข่าวจากสื่อ Nikkei Asia จะรู้ความจริงนี้ไหม ? ในเมื่อ Nikkei Asia ไม่ยอมแก้ไขข้อมูล แต่ตัดเนื้อหาเกี่ยวกับประเทศไทยไปเฉยๆ เลย ส่วนที่คนไทยช่วยกันชี้แจงนี่ก็มีแต่ข้อมูลภาษาไทย อยู่ในสื่อหรือเพจโซเชียลที่คนไทยเป็นกลุ่มผู้ติดตามหลัก

    ผมคิดว่านี่เป็นปัญหาสำคัญ หลายครั้งที่มีข่าวผิดๆ เกี่ยวกับประเทศไทย เสนอภาพบ้านเราไปในทางลบ แต่เมื่อคนไทยมาช่วยกันเสนอความจริง กลับมีแต่ข้อมูลภาษาไทย รู้กันอยู่แค่ในประเทศไทยนี่แหละ ส่วนชาวต่างชาติประเทศอื่นๆ ที่ได้รับข้อมูลผิดๆ ไป กลับไม่รู้ความจริงที่คนไทยช่วยกันชี้แจงด้วย ถ้าโชคดีมีสื่อหรืออินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติช่วยชี้แจงบ้างก็ดีไป แต่ผมว่าเราไม่ควรหวังพึ่งชาวต่างชาติช่วยชี้แจงแทนเราเสมอไป

    นี่จึงเป็นอีกหนึ่งกรณีที่แสดงให้เห็นว่าไทยเราควรมีสื่อระดับนานาชาติของตัวเอง ทำนองเดียวกับสื่อ Al Jazeera ของกาตาร์ RT ของรัสเซีย เป็นต้น เสนอข่าวเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษารัสเซีย เป็นต้น เพื่อเป็นปากเสียงให้ประเทศไทยในระดับนานาชาติครับ

    สวัสดี


    การทูตและการทหาร
    Military and Diplomacy

    22.09.2024


    พูดถึงเรื่องดราม่าสกู๊ปข่าวการจ่ายเงินผ่าน QR code ในอาเซียนของสื่อ Nikkei Asia แล้ว นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แสดงให้เห็นความจำเป็นที่ไทยเราต้องมีสื่อระดับนานาชาติของตัวเองครับ ลองนึกภาพตามนะครับ Nikkei Asia เสนอข่าวผิดพลาดเกี่ยวกับประเทศไทย ว่าประเทศไทยคนใช้จ่ายผ่าน QR code น้อยมาก รั้งท้ายอาเซียนตามหลังแม้กระทั่งกัมพูชา จากนั้นสื่อ นักวิชาการและอินฟลูเอนเซอร์ของไทยก็ออกมาช่วยกันชี้แจง แก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด แต่แทนที่สื่อ Nikkei Asia จะแก้ไขข้อมูล กลับตัดประเทศไทยออกจากการจัดอันดับอาเซียนเสียดื้อๆ ประเด็นคือจากที่สื่อ นักวิชาการ อินฟลูเอนเซอร์ของไทยออกมาช่วยกันชี้แจง คนไทยส่วนใหญ่น่าจะรู้ความจริงแล้วว่าประเทศไทยเราจริงๆ เป็นผู้นำด้านการใช้จ่ายผ่าน QR code ติดระดับโลก ไม่ได้รั้งท้ายอาเซียนแต่อย่างใด แต่ชาวต่างชาติอื่นๆ ที่เขาอ่านข่าวจากสื่อ Nikkei Asia จะรู้ความจริงนี้ไหม ? ในเมื่อ Nikkei Asia ไม่ยอมแก้ไขข้อมูล แต่ตัดเนื้อหาเกี่ยวกับประเทศไทยไปเฉยๆ เลย ส่วนที่คนไทยช่วยกันชี้แจงนี่ก็มีแต่ข้อมูลภาษาไทย อยู่ในสื่อหรือเพจโซเชียลที่คนไทยเป็นกลุ่มผู้ติดตามหลัก ผมคิดว่านี่เป็นปัญหาสำคัญ หลายครั้งที่มีข่าวผิดๆ เกี่ยวกับประเทศไทย เสนอภาพบ้านเราไปในทางลบ แต่เมื่อคนไทยมาช่วยกันเสนอความจริง กลับมีแต่ข้อมูลภาษาไทย รู้กันอยู่แค่ในประเทศไทยนี่แหละ ส่วนชาวต่างชาติประเทศอื่นๆ ที่ได้รับข้อมูลผิดๆ ไป กลับไม่รู้ความจริงที่คนไทยช่วยกันชี้แจงด้วย ถ้าโชคดีมีสื่อหรืออินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติช่วยชี้แจงบ้างก็ดีไป แต่ผมว่าเราไม่ควรหวังพึ่งชาวต่างชาติช่วยชี้แจงแทนเราเสมอไป นี่จึงเป็นอีกหนึ่งกรณีที่แสดงให้เห็นว่าไทยเราควรมีสื่อระดับนานาชาติของตัวเอง ทำนองเดียวกับสื่อ Al Jazeera ของกาตาร์ RT ของรัสเซีย เป็นต้น เสนอข่าวเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษารัสเซีย เป็นต้น เพื่อเป็นปากเสียงให้ประเทศไทยในระดับนานาชาติครับ สวัสดี การทูตและการทหาร Military and Diplomacy 22.09.2024
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องของประเทศไทย​#ต่างชาติ​ไม่เกี่ยว#Dear Sir,
    This is the Kingdom of Thailand. A consul general of foreign must not intervene our Constitutional laws of Thailand.

    ใครที่รู้ภาษาต่างชาติ​ เช่น​ ภาษาอังกฤษ​ช่วยกรุณา​แก้ไขหากใช้คำหรือเขียนประโยคผิด​ และหากช่วยกันเขียนภาษาเยอรมัน​ ภาษฝรั่งเศส​ ภาษาญี่ปุ่น​ ภาษาเกาหลี​ ช่วยสงเคราะห์​ด้วยครับ
    #เรื่องของประเทศไทย​#ต่างชาติ​ไม่เกี่ยว#Dear Sir, This is the Kingdom of Thailand. A consul general of foreign must not intervene our Constitutional laws of Thailand. ใครที่รู้ภาษาต่างชาติ​ เช่น​ ภาษาอังกฤษ​ช่วยกรุณา​แก้ไขหากใช้คำหรือเขียนประโยคผิด​ และหากช่วยกันเขียนภาษาเยอรมัน​ ภาษฝรั่งเศส​ ภาษาญี่ปุ่น​ ภาษาเกาหลี​ ช่วยสงเคราะห์​ด้วยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซียนหยู่ เจ้าหญิงสายลับ

    เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ชิง พระองค์หนึ่ง นามว่า อ้ายซินเจว่หลัว เซียนหยู่ (爱新觉罗 显玗) ซึ่งมีชีวิตโลดโผนมาก เจ้าหญิงพระองค์นี้ ยังมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “Yoshiko Kawashima”

    https://www.misc.today/2023/01/Yoshiko-Kawashima.html
    เซียนหยู่ เจ้าหญิงสายลับ เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ชิง พระองค์หนึ่ง นามว่า อ้ายซินเจว่หลัว เซียนหยู่ (爱新觉罗 显玗) ซึ่งมีชีวิตโลดโผนมาก เจ้าหญิงพระองค์นี้ ยังมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “Yoshiko Kawashima” https://www.misc.today/2023/01/Yoshiko-Kawashima.html
    WWW.MISC.TODAY
    เซียนหยู่ เจ้าหญิงสายลับ Yoshiko Kawashima
    เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ชิง นามว่า อ้ายซินเจว่หลัว เซียนหยู่ ซึ่งมีชีวิตโลดโผนมาก เจ้าหญิงพระองค์นี้ ยังมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Yoshiko Kawashima
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว