• Really?!?! ขนส่งสิงห์บุรีสบายดีหรือ หลังขนส่งแจงรถบัสมรณะ ตรวจสภาพประตูฉุกเฉินล่าสุด 23 พ.ค.67 ยังแข็งแรงดี ใช้งานได้ปกติ รถติดถังแก๊ส 15 ปีแล้ว หมดอายุ 2569 ทำประกันชั้น 3 ไว้

    จากกรณีโศกนาฏกรรมรถบัสทัศนศึกษานักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เกิดเหตุเพลิงไหม้ บริเวณถนนพหลโยธินขาเข้า ช่วงบริเวณหน้าเซียร์รังสิต ช่องทางขวา ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก เหตุเกิดช่วงเที่ยงวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

    ด้าน นายสมาน จันทร์พุฒ อายุ 48 ปี คนขับรถบัสคันเกิดเหตุ ซึ่งหนีไปบ้านภรรยา จ.อ่างทอง เข้าพบตำรวจ สภ.วิเศษชัยชาญ ก่อนนำตัวมาสอบปากคำ สภ.คูคต แล้ว เบื้องต้นแจ้งข้อหา

    1.ขับรถโดยประมาท หรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

    2.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล แล้วไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 วรรค 2

    ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ ต.ท่าข้าม อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี นายจิรภัทร ทายาทเจ้าของรถบัสมรณะ เปิดเผยกับสื่อว่า กิจการในเครือบริษัทเกี่ยวกับรถทัวร์ดังกล่าวเป็นธุรกิจของคุณพ่อ เบื้องต้นทราบว่าได้รับเหมารถทัวร์ไปทัศนศึกษา จำนวน 4 คัน โดยมี 1 คันที่เกิดปัญหา ปกติรถทัวร์ทุกคันจะจอดอยู่ที่ว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามของถนน

    จากนั้นพบกับ นายพยับ อายุ 57 ปี ซึ่งเปิดแผงเช่าพระอยู่บริเวณดังกล่าว เล่าว่า เปิดแผงเช่าพระตรงที่นี้มาประมาณ 5 ปี ซึ่งรถทัวร์ทั้งหมดมาจอดอยู่ประจำ ถ้ามีคนเหมาไปก็จะมีไปบ้าง ถ้าไม่มีก็จะจอดซ่อมบำรุงอยู่บริเวณพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งเป็นพื้นที่ของชลประทาน

    ต่อมา สื่อได้สัมภาษณ์นางอัจฉรา เจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า จากการเช็ก GPS ของรถคันเกิดเหตุทราบว่า รถบัสคันที่เกิดเหตุหมายเลขทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี เป็นของผู้ประกอบการชื่อ น.ส.ปาณิสรา ชินบุตร เลขที่ใบอนุญาต สห.1/2564 วันสิ้นอายุภาษี 30 มิถุนายน 2568

    นางอัจฉรากล่าวว่า สำหรับ ประตูรถฉุกเฉิน ได้มาตรวจสภาพครั้งล่าสุดวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 โดยมีสภาพแข็งแรง ใช้งานได้ตามปกติ และขณะเกิดเหตุเวลา 12.07 น. รถใช้ความเร็วในการขับอยู่ที่ 81 กม./ชม. รถคันนี้ใช้แก๊ส NGV โดยถังแก๊สนี้ใช้งานมาแล้ว 15 ปี และจะหมดอายุในปี 2569

    นางอัจฉราเผยอีกว่า สำหรับสาเหตุในการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ต้องรถผลการพิสูจน์หลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่รถคันนี้ได้ทำประกันชั้น 3 ไว้

    #Thaitimes

    #Thaitimes
    Really?!?! ขนส่งสิงห์บุรีสบายดีหรือ หลังขนส่งแจงรถบัสมรณะ ตรวจสภาพประตูฉุกเฉินล่าสุด 23 พ.ค.67 ยังแข็งแรงดี ใช้งานได้ปกติ รถติดถังแก๊ส 15 ปีแล้ว หมดอายุ 2569 ทำประกันชั้น 3 ไว้ จากกรณีโศกนาฏกรรมรถบัสทัศนศึกษานักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เกิดเหตุเพลิงไหม้ บริเวณถนนพหลโยธินขาเข้า ช่วงบริเวณหน้าเซียร์รังสิต ช่องทางขวา ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก เหตุเกิดช่วงเที่ยงวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ด้าน นายสมาน จันทร์พุฒ อายุ 48 ปี คนขับรถบัสคันเกิดเหตุ ซึ่งหนีไปบ้านภรรยา จ.อ่างทอง เข้าพบตำรวจ สภ.วิเศษชัยชาญ ก่อนนำตัวมาสอบปากคำ สภ.คูคต แล้ว เบื้องต้นแจ้งข้อหา 1.ขับรถโดยประมาท หรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ 2.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล แล้วไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 วรรค 2 ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ ต.ท่าข้าม อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี นายจิรภัทร ทายาทเจ้าของรถบัสมรณะ เปิดเผยกับสื่อว่า กิจการในเครือบริษัทเกี่ยวกับรถทัวร์ดังกล่าวเป็นธุรกิจของคุณพ่อ เบื้องต้นทราบว่าได้รับเหมารถทัวร์ไปทัศนศึกษา จำนวน 4 คัน โดยมี 1 คันที่เกิดปัญหา ปกติรถทัวร์ทุกคันจะจอดอยู่ที่ว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามของถนน จากนั้นพบกับ นายพยับ อายุ 57 ปี ซึ่งเปิดแผงเช่าพระอยู่บริเวณดังกล่าว เล่าว่า เปิดแผงเช่าพระตรงที่นี้มาประมาณ 5 ปี ซึ่งรถทัวร์ทั้งหมดมาจอดอยู่ประจำ ถ้ามีคนเหมาไปก็จะมีไปบ้าง ถ้าไม่มีก็จะจอดซ่อมบำรุงอยู่บริเวณพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งเป็นพื้นที่ของชลประทาน ต่อมา สื่อได้สัมภาษณ์นางอัจฉรา เจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า จากการเช็ก GPS ของรถคันเกิดเหตุทราบว่า รถบัสคันที่เกิดเหตุหมายเลขทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี เป็นของผู้ประกอบการชื่อ น.ส.ปาณิสรา ชินบุตร เลขที่ใบอนุญาต สห.1/2564 วันสิ้นอายุภาษี 30 มิถุนายน 2568 นางอัจฉรากล่าวว่า สำหรับ ประตูรถฉุกเฉิน ได้มาตรวจสภาพครั้งล่าสุดวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 โดยมีสภาพแข็งแรง ใช้งานได้ตามปกติ และขณะเกิดเหตุเวลา 12.07 น. รถใช้ความเร็วในการขับอยู่ที่ 81 กม./ชม. รถคันนี้ใช้แก๊ส NGV โดยถังแก๊สนี้ใช้งานมาแล้ว 15 ปี และจะหมดอายุในปี 2569 นางอัจฉราเผยอีกว่า สำหรับสาเหตุในการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ต้องรถผลการพิสูจน์หลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่รถคันนี้ได้ทำประกันชั้น 3 ไว้ #Thaitimes #Thaitimes
    Sad
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หมดอายุใบรับรอง??

    @ดาวแปดแฉก

    ผู้ติดตามส่งข้อความเอกสารฉบับนี้ให้แอดมินดู หลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรม รถบัสไฟไหม้ทำให้นักเรียนและครู โรงเรียนแห่งหนึ่ง จ.อุทัยธานี เสียชีวิต

    เอกสารฉบับนี้มีรายละเอียดของรถบัสคันที่เกิดเหตุเกือบทั้งหมด ทั้งวันที่ตรวจสภาพครั้งแรก 5/8/56 วันที่จดทะเบียน 26/10/2561 วันสิ้นอายุภาษี 30/6/2568 สถานะปกติ แต่ตรงหัวข้อ ประตูฉุกเฉินด้านข้าง/ด้านท้าย ระบุเครื่องหมาย / บาน โดยไม่ได้ระบุตัวเลข ??

    อีกทั้งเอกสาร) ฉบับนี้น่าสนใจและตั้งข้อสังเกตตรงที่ ถังก๊าซ จำนวนก๊าซ 3 ถัง วันหมดอายุใบรับรอง 18/6/2567 ระบุหมายเลขถังก๊าซ ??

    เอกสารฉบับนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ก็สอดคล้องกับภาพที่ตำรวจภูธรภาค 1 ระหว่างตรวจที่เกิดเหตุ พบถังก๊าซติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังที่นั่งผู้ขับขี่ในห้องโดยสาร สอดคล้องกลับภาพจากกล้องวงจรปิดที่รถบัส วิ่งบน ถ.วิภาวดีรังสิต ก่อนเฉี่ยวชนกับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ และภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไฟลุกไหม้ บริเวณด้านหน้ารถบัส คนขับรีบลงจากรถ

    ประเด็นนี้คงต้องให้ตำรวจ , เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และผู้เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ เพื่อให้คลายข้อสงสัยที่ประชาชนตั้งข้อสังเกต เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน.

    ขอบคุณภาพ :: เจ้าของภาพ #ไฟไหม้รถบัส #โศกนาฏกรรม #รถบัส #ตำรวจคูคต #พิสูจน์หลักฐาน

    https://www.facebook.com/share/4YvusW9D2wHJsQMR/?mibextid=oFDknk
    #หมดอายุใบรับรอง?? @ดาวแปดแฉก ผู้ติดตามส่งข้อความเอกสารฉบับนี้ให้แอดมินดู หลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรม รถบัสไฟไหม้ทำให้นักเรียนและครู โรงเรียนแห่งหนึ่ง จ.อุทัยธานี เสียชีวิต เอกสารฉบับนี้มีรายละเอียดของรถบัสคันที่เกิดเหตุเกือบทั้งหมด ทั้งวันที่ตรวจสภาพครั้งแรก 5/8/56 วันที่จดทะเบียน 26/10/2561 วันสิ้นอายุภาษี 30/6/2568 สถานะปกติ แต่ตรงหัวข้อ ประตูฉุกเฉินด้านข้าง/ด้านท้าย ระบุเครื่องหมาย / บาน โดยไม่ได้ระบุตัวเลข ?? อีกทั้งเอกสาร) ฉบับนี้น่าสนใจและตั้งข้อสังเกตตรงที่ ถังก๊าซ จำนวนก๊าซ 3 ถัง วันหมดอายุใบรับรอง 18/6/2567 ระบุหมายเลขถังก๊าซ ?? เอกสารฉบับนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ก็สอดคล้องกับภาพที่ตำรวจภูธรภาค 1 ระหว่างตรวจที่เกิดเหตุ พบถังก๊าซติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังที่นั่งผู้ขับขี่ในห้องโดยสาร สอดคล้องกลับภาพจากกล้องวงจรปิดที่รถบัส วิ่งบน ถ.วิภาวดีรังสิต ก่อนเฉี่ยวชนกับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ และภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไฟลุกไหม้ บริเวณด้านหน้ารถบัส คนขับรีบลงจากรถ ประเด็นนี้คงต้องให้ตำรวจ , เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และผู้เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ เพื่อให้คลายข้อสงสัยที่ประชาชนตั้งข้อสังเกต เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน. ขอบคุณภาพ :: เจ้าของภาพ #ไฟไหม้รถบัส #โศกนาฏกรรม #รถบัส #ตำรวจคูคต #พิสูจน์หลักฐาน https://www.facebook.com/share/4YvusW9D2wHJsQMR/?mibextid=oFDknk
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชือดแล้ว 'ครูเบญ' ชื่อหาย พักราชการ ผอ.สพม.สระแก้ว
    .
    แม้ในทางกระแสสังคมกรณีของครูเบญที่มีชื่อเป็นผู้สอบได้ในตำแหน่งครูผู้สอน เอกวิทยาศาสตร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว จะไม่ค่อยร้อนแรงเท่าไหรแล้ว แต่ในแง่ของการตรวจสอบหาคนรับผิดชอบยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ​ คณะที่ปรึกษา​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ ปฏิบัติ​หน้า​ที่โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพบว่ามีความผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อีกทั้งยังกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ศธ.สั่งพักราชการผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดสระแก้วเป็นการชั่วคราว จนกว่าผลสอบสวนจะเสร็จสิ้น ซึ่งเป็นมาตรการในการป้องกันการแทรกแซงหรือส่งผลกระทบต่อการสอบสวน เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
    .
    ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยตำรวจ อัยการ และเจ้าหน้าที่ ศธ.ส่วนกลาง ทำงานอีกชุดหนึ่งด้วย พร้อมส่งหลักฐานทุกอย่างให้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบความชัดเจน และยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขหรือดัดแปลงหลักฐาน
    .
    “การทำงานของคณะกรรมการสอบสวนของ ศธ.จะไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภายนอกที่ร่วมสอบสวน แต่เป็นการทำงานคู่ขนานเพื่อเร่งหาข้อเท็จจริง ซึ่งจะไม่ล่าช้าแน่นอน กระบวนการตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการศึกษา และคลายข้อสงสัยทุกประเด็นต่อสังคม” โฆษก ศธ.กล่าว
    ............
    Sondhi X
    เชือดแล้ว 'ครูเบญ' ชื่อหาย พักราชการ ผอ.สพม.สระแก้ว . แม้ในทางกระแสสังคมกรณีของครูเบญที่มีชื่อเป็นผู้สอบได้ในตำแหน่งครูผู้สอน เอกวิทยาศาสตร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว จะไม่ค่อยร้อนแรงเท่าไหรแล้ว แต่ในแง่ของการตรวจสอบหาคนรับผิดชอบยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ​ คณะที่ปรึกษา​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ ปฏิบัติ​หน้า​ที่โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพบว่ามีความผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อีกทั้งยังกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ศธ.สั่งพักราชการผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดสระแก้วเป็นการชั่วคราว จนกว่าผลสอบสวนจะเสร็จสิ้น ซึ่งเป็นมาตรการในการป้องกันการแทรกแซงหรือส่งผลกระทบต่อการสอบสวน เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย . ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยตำรวจ อัยการ และเจ้าหน้าที่ ศธ.ส่วนกลาง ทำงานอีกชุดหนึ่งด้วย พร้อมส่งหลักฐานทุกอย่างให้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบความชัดเจน และยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขหรือดัดแปลงหลักฐาน . “การทำงานของคณะกรรมการสอบสวนของ ศธ.จะไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภายนอกที่ร่วมสอบสวน แต่เป็นการทำงานคู่ขนานเพื่อเร่งหาข้อเท็จจริง ซึ่งจะไม่ล่าช้าแน่นอน กระบวนการตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการศึกษา และคลายข้อสงสัยทุกประเด็นต่อสังคม” โฆษก ศธ.กล่าว ............ Sondhi X
    Like
    Yay
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดคำฟ้อง "พล.ต.อ.สมยศ" กับพวก 8 คนปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ใช้อำนาจกดดันลูกน้องเปลี่ยนความเร็ว ส่วน "เนตร นาคสุข" ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจสั่งไม่ฟ้อง ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย 10 กันยายนนี้

    29 สิงหาคม 2567 - เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี ปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยืนฟ้องพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง กับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อท 131 /2567 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 , 200 , 83 , 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 /1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2563 มาตรา 172,192
    พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่3 ก.ย.2555 เวลาประมาณ 05.20 น. เกิดเหตุนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหา ขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อเฟอรารี่ ไปตามถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท 49 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ตราโล่ซึ่งมีด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐเป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่ส้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนน หยุดอยู่ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ห่างจากจุดชนประมาณ 164.45 เมตร เป็นเหตุให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ได้รับความเสียหาย ด.ต.วิเชียร ถึงแก่ความตาย
    ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีจราจรโดยมีพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมได้เองและรวบรวมพยานเอกสารประกอบสำนวนการสอบสวน โดยมีรายงานกองพิสูจน์หลักฐาน กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ตรวจสอบรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่จากภาพของกล้องวงจรปิด และจากการวัดระยะจริง ในสถานที่เดียวกับที่ปรากฏในภาพ คำนวณอัตราเร็วเฉลี่ยในช่วงที่รถยนต์ในภาพเคลื่อนที่เข้ามาทางของภาพด้านขวาจนถึงจุดที่เคลื่อนที่ออกจากภาพทางด้านซ้ายเมื่อคำนวณอัตราเร็วอัตราเร็วโดยเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    โดยการคำนวณดังกล่าวอาจจะมีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้สรุปหลักฐานทางคดีและความเห็นของพนักงานสอบสวนส่งไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้
    โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ ฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ เห็นควรสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ฐานขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ด.ต.วิเชียร ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหาย เนื่องจากถึงแก่ความตาย

    ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2556 อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้ว มีคำสั่งฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย และ มีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ และมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ยุติการดำเนินคดีกับ ด.ต.วิเชียร ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ขนรถของผู้อื่นเสียหาย ต่อมาผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาแล้วไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย คำสั่งไม่ฟ้องจึงเด็ดขาดเป็นที่ยุติ

    ในระหว่างนั้นความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของผู้อื่นเสียหาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ ได้ล่วงเลยพ้นกำหนดระยะเวลาอายุความตามกฎหมาย คงเหลือความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

    ต่อมาจำเลยที่ 8 ในฐานะพนักงานอัยการผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสั่งคดี ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดได้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธและมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย ไม่แย้งคำสั่งพนักงานอัยการ คำสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็น อันเด็ดขาด
    ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นคณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเลยที่ 3 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ กองบังคับการตำรวจนครบาล4 กองบัญชาการตำรวจนครบาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่4-7 ในขณะเกิดเหตุมิได้มีสถานะหรือได้กระทำการในสถานะเป็นเจ้าพนักงาน แต่เป็นบุคคลผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือเจ้าพนักงานของรัฐในการกระทำผิด จำเลยที่ 8 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอัยการศาลสูง รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด

    เมื่อระหว่างวันที่ 29 ก.พ. 2559 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 มิ.ย.2563 เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดได้กระทำความผิดจำเลยที่1-3 ได้อาศัยโอกาสที่ตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับจำเลยที่ 4-7 สมคบกันกระทำผิดด้วยการวางแผนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ในวันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและ ด.ต.วิเชียรถึงแก่ความตาย จากความเร็วของรถยนต์ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ลงวันที่ 26 ก.ย. 2555 ซึ่งมี พ.ต.อ. ธ เป็นผู้จัดทำรายงานไว้ว่ารถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่มีความเร็วโดยเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือ น้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เป็นความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ได้วางแผนกัน
    โดยให้จำเลยที่5 ดำเนินการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ครั้งที่ 9 ต่อพนักงานอัยการในคดีที่นายวรยุทธเป็นผู้ต้องหา ขอให้สอบพยาน พ.ต.อ. ธ. ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามที่ร้องขอ จำเลยที่5 และจำเลยที่6 ได้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ให้ดำเนินการคิดวิธีคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ให้มีความเร็ว ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยที่ 7 ได้คิดค้นหาวิธีคำนวณโดยใช้วิธีนำความยาวของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่แล่นผ่านจุดใดจุดหนึ่งตามภาพที่ได้จากคลิปไฟล์ภาพที่ไม่ใช่ไฟล์ภาพต้นฉบับมาใช้คำนวณจนทำให้คำนวณความเร็วรถยนต์ได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อันเป็นการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก

    จากนั้นจำเลยที่ 3 อาศัยโอกาสที่ตนเป็นพนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ โดยนัดแนะและให้จำเลยที่ 1 ,2,4,5,7 เข้าร่วมการสอบปากคำดังกล่าวด้วย จากนั้นในขณะการสอบปากคำเพิ่มเติมจำเลยที่ 3 ได้ปล่อยให้จำเลยที่ 7 ได้แสดงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์ตามที่ได้นัดแนะกับจำเลยที่5-6 ให้ พ.ต.อ. ธ.ดูเพื่อโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้เชื่อคล้อยตามวิธีคิดคำนวณของจำเลยที่ 7 ที่ตระเตรียมมา โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ในฐานะ ผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. อาศัยโอกาสที่มีอำนาจหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ 4-5 ทำการใช้อิทธิพลบังคับกดดันและโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่นำเสนอ
    โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำการพูดในขณะร่วมสนทนาและสอบปากคำว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมพูดกับคุยน้อง มันไว้ ก็คือน้องเนี่ยคำนวณจากระยะ แล้วก็ออกมาเป็นความเร็ว ความเร็วที่คิดมันคิดจากทฤษฎีที่เป็นทฤษฎีที่คิดในห้องทดลอง ห้องทดลองก็จะอากาศเบาบาง คือมันพยายามให้คิดความเร็วเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อการทำมาร์เก็ตติ้งความเร็วเท่าไหร่ เร่งเท่าไหร่ แต่ว่าในความเป็นจริง ในทัศนวิสัยเช่นว่ายามเช้าอากาศหนักอะไรอย่างเนี่ย ความเร็วไม่เป็นไปตามทฤษฎี นี่คือสิ่งที่ผมคิดนะ อย่างที่สองคือระยะทางที่ใช้คำนวณหน้ากล้องหลังกล้อง ความเร็วอาจจะเปลี่ยน อาจจะเร็วขึ้นก็ได้ อาจจะลดลงก็ได้ลดลงเพราะว่าทัศนวิสัยการจราจรอะไรก็แล้วแต่ที่มันอยู่ข้างหน้า ซึ่งในกล้องมันไม่ปรากฏ นี่ผมคิดในมุมมองผมแบบนี้" กับให้ พล.ต.ท. ม. ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. พูดกับ พ.ต.อ. ธ. ว่า "ทางพี่ อ.(ซึ่งหมายถึงชื่อเล่นของจำเลยที่ 1 ) เค้าอยากให้จบในชั้นอัยการเค้าจะได้จบเลยจะได้ไม่ต้องสืบ"

    ส่วนจำเลยที่2 ในฐานะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องตรวจสอบถึงความบกพร่องของรายงานตรวจพิสูจน์หากเกิดความผิดพลาดขึ้นจริงรวมถึงตรวจสอบการคิดคำนวณตามวิธีของจำเลยที่ 7 ซึ่งใช้ไฟล์ที่มิใช่ต้นฉบับ อันเป็นข้อสงสัยถึงวิธีการคิดคำนวณว่ามิได้อยู่บนรากฐานของความถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบและได้พูดว่า "เราคำนวณตามอาจารย์ (ซึ่งหมายถึงจำเลยที่7 ) ได้มั้ย อาจารย์คิดได้ 79.22 เราไปลองดูซิว่าคิดตามแบบเค้าได้ไหม" สอดคล้องกับจำเลยที่ 4 ที่พูดว่า "อยากขอให้เป็น 79.22 ตามที่ อาจารย์ ส. คำนวณ"
    ซึ่งพฤติการณ์ทั้งมวลนี้แสดงถึงเจตนาประสงค์จะหักล้างหลักฐานตามที่ พ.ต.อ. ธ. ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับความเร็วรถยนต์ไว้ โดยใช้อิทธิพลบังคับกดดันให้ พ.ต.อ. ธ. เชื่อและยอมที่จะให้การเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เป็นเหตุให้ พ.ต.อ. ธ. ต้องจำยอมและให้การต่อจำเลยที่ 3 เปลี่ยนแปลงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์จากเดิมที่คิดคำนวณไว้ความเร็วที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลง 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาเป็นให้การว่าการคำนวณดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนและทำการคำนวณความเร็วใหม่ได้ความเร็วรถยนต์ 79.22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังที่จำเลยที่ 7 นำเสนอ จากนั้นจำเลยที่ 3 โดยคำแนะนำของจำเลยที่ 4 ได้จัดทำคำให้การพร้อมกับทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวันที่ให้การโดยคำให้การฉบับแรกจากวันที่ 29 ก.พ.2559 เป็นวันที่ 26 ก.พ.2559 และคำให้การฉบับที่สองจากวันที่ 6 มี.ค. 59 มาเป็น 1 มี.ค.59 ให้ พ.ต.อ. ธ. ลงลายมือชื่อ เป็นหลักฐานเพื่อนำส่งให้แก่พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป
    ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ
    การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหาซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเลยที่ 8

    ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหา ซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
    จำเลยที่ 8 ขณะนั้นเป็นพนักงานอัยการ รักษาการตำแหน่งรองอัยการสูงสุดได้อาศัยโอกาสที่ตนได้รับมอบหมายและมอบอำนาจ ให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดในงานด้านคดีร้องขอความเป็นธรรม ตามคำสั่งอัยการสูงสุดที่1515/2562 ลงวันที่ 1 ต.ค.62 มีอำนาจพิจารณาสำนวนคดีอาญาที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม ที่ยื่นต่อพนักงานอัยการเป็นครั้งที่ 14 ในคดีที่นายวรยุทธ ผู้ต้องหา ในข้อหาความผิดขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พลอากาศโท จ. และนาย จ. เมื่อได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมจำเลยที่ 8 ได้ใช้อำนาจวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาคดีดังกล่าว

    ทั้งที่ผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ รายงานการตรวจสภาพรถคันเกิดเหตุรายงานการเก็บวัตถุพยาน ภาพถ่ายประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ ภาพถ่ายรถยนต์คันเกิดเหตุ และภาพถ่ายรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ พยานใกล้ชิดเหตุการณ์ปากนาย จ. ซึ่งความเห็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้และอดีตอัยการสูงสุด หรืออดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยพยานไว้ก่อนโดยละเอียดแล้ว ว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งปรากฏผลการพิสูจน์ความเร็วของนายวรยุทธขับขี่ ความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีเหตุอันสมควรเพียงพอที่จะนำนายวรยุทธ ผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่จำเลยที่ 8 กลับพิจารณาอาศัยพยานปาก พลอากาศโท จ. ซึ่งให้การหลังเกิดเหตุนานกว่า 2 ปี เศษ และพยานผู้เชี่ยวชาญอื่น อันเป็นการเลือกหยิบยกพยานหลักฐานดังกล่าวมาพิจารณา

    ทั้งที่อดีตอัยการสูงสุดและอดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยไว้ก่อนแล้วว่าไม่ควรนำมารับฟังเนื่องจากไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยจำเลยที่ 8 มิได้ให้เหตุผลหักล้างหรือแสดงผลเป็นอย่างอื่น และไม่รับฟังพยานหลักฐานอื่นในสำนวนที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อันเป็นการวินิจฉัย มูลความผิด โดยใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจด่วนวินิจฉัยคดีเสียเอง ไม่ได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดอย่าง ที่พนักงานอัยการพึงใช้ อันผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการโดยทั่วไป เป็นการกระทำการมิชอบ โดยมีเจตนา เพื่อจะช่วยนายวรยุทธผู้ต้องหามิให้ต้องโทษหรือรับโทษน้อยลงอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุด ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตาย และผู้อื่นหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
    เหตุตามฟ้องเกิดที่ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ถนนอังรีดูนังต์ แขวงวังใหม่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร, อาคารรัฐสภา (หลังเก่า) ถนนอู่ทองใน แขวงดุสิต เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร, สำนักงานอัยการสูงสุด (อาคารถนนแจ้งวัฒนะ) ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
    ชั้นไต่สวน จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ ข้อกล่าวหา
    คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่าการกระทำของจำเลยทั้งแปด มีมูลความผิด ทางอาญาตามข้อกล่าวหาและได้ส่งรายงาน เอกสาร พร้อมความเห็นมายังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการ ฟ้องคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งแปดเป็นคดีนี้
    ในการฟ้องคดีนี้ อัยการสูงสุด มีคำสั่งมอบหมายให้ พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดีจนคดีถึงที่สุด

    ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้พิจารณา เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 131/2567 ให้จำเลยทั้งแปดแต่งทนายความ และให้นัดสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 10 ก.ย.2567 เวลา09.30น.
    ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งแปดและมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งแปดออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

    #Thaitimes
    เปิดคำฟ้อง "พล.ต.อ.สมยศ" กับพวก 8 คนปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ใช้อำนาจกดดันลูกน้องเปลี่ยนความเร็ว ส่วน "เนตร นาคสุข" ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจสั่งไม่ฟ้อง ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย 10 กันยายนนี้ 29 สิงหาคม 2567 - เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี ปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยืนฟ้องพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง กับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อท 131 /2567 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 , 200 , 83 , 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 /1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2563 มาตรา 172,192 พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่3 ก.ย.2555 เวลาประมาณ 05.20 น. เกิดเหตุนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหา ขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อเฟอรารี่ ไปตามถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท 49 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ตราโล่ซึ่งมีด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐเป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่ส้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนน หยุดอยู่ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ห่างจากจุดชนประมาณ 164.45 เมตร เป็นเหตุให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ได้รับความเสียหาย ด.ต.วิเชียร ถึงแก่ความตาย ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีจราจรโดยมีพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมได้เองและรวบรวมพยานเอกสารประกอบสำนวนการสอบสวน โดยมีรายงานกองพิสูจน์หลักฐาน กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ตรวจสอบรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่จากภาพของกล้องวงจรปิด และจากการวัดระยะจริง ในสถานที่เดียวกับที่ปรากฏในภาพ คำนวณอัตราเร็วเฉลี่ยในช่วงที่รถยนต์ในภาพเคลื่อนที่เข้ามาทางของภาพด้านขวาจนถึงจุดที่เคลื่อนที่ออกจากภาพทางด้านซ้ายเมื่อคำนวณอัตราเร็วอัตราเร็วโดยเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยการคำนวณดังกล่าวอาจจะมีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้สรุปหลักฐานทางคดีและความเห็นของพนักงานสอบสวนส่งไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ ฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ เห็นควรสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ฐานขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ด.ต.วิเชียร ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหาย เนื่องจากถึงแก่ความตาย ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2556 อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้ว มีคำสั่งฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย และ มีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ และมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ยุติการดำเนินคดีกับ ด.ต.วิเชียร ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ขนรถของผู้อื่นเสียหาย ต่อมาผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาแล้วไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย คำสั่งไม่ฟ้องจึงเด็ดขาดเป็นที่ยุติ ในระหว่างนั้นความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของผู้อื่นเสียหาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ ได้ล่วงเลยพ้นกำหนดระยะเวลาอายุความตามกฎหมาย คงเหลือความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต่อมาจำเลยที่ 8 ในฐานะพนักงานอัยการผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสั่งคดี ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดได้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธและมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย ไม่แย้งคำสั่งพนักงานอัยการ คำสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็น อันเด็ดขาด ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นคณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเลยที่ 3 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ กองบังคับการตำรวจนครบาล4 กองบัญชาการตำรวจนครบาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่4-7 ในขณะเกิดเหตุมิได้มีสถานะหรือได้กระทำการในสถานะเป็นเจ้าพนักงาน แต่เป็นบุคคลผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือเจ้าพนักงานของรัฐในการกระทำผิด จำเลยที่ 8 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอัยการศาลสูง รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด เมื่อระหว่างวันที่ 29 ก.พ. 2559 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 มิ.ย.2563 เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดได้กระทำความผิดจำเลยที่1-3 ได้อาศัยโอกาสที่ตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับจำเลยที่ 4-7 สมคบกันกระทำผิดด้วยการวางแผนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ในวันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและ ด.ต.วิเชียรถึงแก่ความตาย จากความเร็วของรถยนต์ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ลงวันที่ 26 ก.ย. 2555 ซึ่งมี พ.ต.อ. ธ เป็นผู้จัดทำรายงานไว้ว่ารถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่มีความเร็วโดยเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือ น้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เป็นความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ได้วางแผนกัน โดยให้จำเลยที่5 ดำเนินการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ครั้งที่ 9 ต่อพนักงานอัยการในคดีที่นายวรยุทธเป็นผู้ต้องหา ขอให้สอบพยาน พ.ต.อ. ธ. ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามที่ร้องขอ จำเลยที่5 และจำเลยที่6 ได้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ให้ดำเนินการคิดวิธีคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ให้มีความเร็ว ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยที่ 7 ได้คิดค้นหาวิธีคำนวณโดยใช้วิธีนำความยาวของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่แล่นผ่านจุดใดจุดหนึ่งตามภาพที่ได้จากคลิปไฟล์ภาพที่ไม่ใช่ไฟล์ภาพต้นฉบับมาใช้คำนวณจนทำให้คำนวณความเร็วรถยนต์ได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อันเป็นการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก จากนั้นจำเลยที่ 3 อาศัยโอกาสที่ตนเป็นพนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ โดยนัดแนะและให้จำเลยที่ 1 ,2,4,5,7 เข้าร่วมการสอบปากคำดังกล่าวด้วย จากนั้นในขณะการสอบปากคำเพิ่มเติมจำเลยที่ 3 ได้ปล่อยให้จำเลยที่ 7 ได้แสดงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์ตามที่ได้นัดแนะกับจำเลยที่5-6 ให้ พ.ต.อ. ธ.ดูเพื่อโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้เชื่อคล้อยตามวิธีคิดคำนวณของจำเลยที่ 7 ที่ตระเตรียมมา โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ในฐานะ ผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. อาศัยโอกาสที่มีอำนาจหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ 4-5 ทำการใช้อิทธิพลบังคับกดดันและโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่นำเสนอ โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำการพูดในขณะร่วมสนทนาและสอบปากคำว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมพูดกับคุยน้อง มันไว้ ก็คือน้องเนี่ยคำนวณจากระยะ แล้วก็ออกมาเป็นความเร็ว ความเร็วที่คิดมันคิดจากทฤษฎีที่เป็นทฤษฎีที่คิดในห้องทดลอง ห้องทดลองก็จะอากาศเบาบาง คือมันพยายามให้คิดความเร็วเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อการทำมาร์เก็ตติ้งความเร็วเท่าไหร่ เร่งเท่าไหร่ แต่ว่าในความเป็นจริง ในทัศนวิสัยเช่นว่ายามเช้าอากาศหนักอะไรอย่างเนี่ย ความเร็วไม่เป็นไปตามทฤษฎี นี่คือสิ่งที่ผมคิดนะ อย่างที่สองคือระยะทางที่ใช้คำนวณหน้ากล้องหลังกล้อง ความเร็วอาจจะเปลี่ยน อาจจะเร็วขึ้นก็ได้ อาจจะลดลงก็ได้ลดลงเพราะว่าทัศนวิสัยการจราจรอะไรก็แล้วแต่ที่มันอยู่ข้างหน้า ซึ่งในกล้องมันไม่ปรากฏ นี่ผมคิดในมุมมองผมแบบนี้" กับให้ พล.ต.ท. ม. ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. พูดกับ พ.ต.อ. ธ. ว่า "ทางพี่ อ.(ซึ่งหมายถึงชื่อเล่นของจำเลยที่ 1 ) เค้าอยากให้จบในชั้นอัยการเค้าจะได้จบเลยจะได้ไม่ต้องสืบ" ส่วนจำเลยที่2 ในฐานะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องตรวจสอบถึงความบกพร่องของรายงานตรวจพิสูจน์หากเกิดความผิดพลาดขึ้นจริงรวมถึงตรวจสอบการคิดคำนวณตามวิธีของจำเลยที่ 7 ซึ่งใช้ไฟล์ที่มิใช่ต้นฉบับ อันเป็นข้อสงสัยถึงวิธีการคิดคำนวณว่ามิได้อยู่บนรากฐานของความถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบและได้พูดว่า "เราคำนวณตามอาจารย์ (ซึ่งหมายถึงจำเลยที่7 ) ได้มั้ย อาจารย์คิดได้ 79.22 เราไปลองดูซิว่าคิดตามแบบเค้าได้ไหม" สอดคล้องกับจำเลยที่ 4 ที่พูดว่า "อยากขอให้เป็น 79.22 ตามที่ อาจารย์ ส. คำนวณ" ซึ่งพฤติการณ์ทั้งมวลนี้แสดงถึงเจตนาประสงค์จะหักล้างหลักฐานตามที่ พ.ต.อ. ธ. ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับความเร็วรถยนต์ไว้ โดยใช้อิทธิพลบังคับกดดันให้ พ.ต.อ. ธ. เชื่อและยอมที่จะให้การเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เป็นเหตุให้ พ.ต.อ. ธ. ต้องจำยอมและให้การต่อจำเลยที่ 3 เปลี่ยนแปลงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์จากเดิมที่คิดคำนวณไว้ความเร็วที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลง 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาเป็นให้การว่าการคำนวณดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนและทำการคำนวณความเร็วใหม่ได้ความเร็วรถยนต์ 79.22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังที่จำเลยที่ 7 นำเสนอ จากนั้นจำเลยที่ 3 โดยคำแนะนำของจำเลยที่ 4 ได้จัดทำคำให้การพร้อมกับทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวันที่ให้การโดยคำให้การฉบับแรกจากวันที่ 29 ก.พ.2559 เป็นวันที่ 26 ก.พ.2559 และคำให้การฉบับที่สองจากวันที่ 6 มี.ค. 59 มาเป็น 1 มี.ค.59 ให้ พ.ต.อ. ธ. ลงลายมือชื่อ เป็นหลักฐานเพื่อนำส่งให้แก่พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหาซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเลยที่ 8 ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหา ซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำเลยที่ 8 ขณะนั้นเป็นพนักงานอัยการ รักษาการตำแหน่งรองอัยการสูงสุดได้อาศัยโอกาสที่ตนได้รับมอบหมายและมอบอำนาจ ให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดในงานด้านคดีร้องขอความเป็นธรรม ตามคำสั่งอัยการสูงสุดที่1515/2562 ลงวันที่ 1 ต.ค.62 มีอำนาจพิจารณาสำนวนคดีอาญาที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม ที่ยื่นต่อพนักงานอัยการเป็นครั้งที่ 14 ในคดีที่นายวรยุทธ ผู้ต้องหา ในข้อหาความผิดขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พลอากาศโท จ. และนาย จ. เมื่อได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมจำเลยที่ 8 ได้ใช้อำนาจวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาคดีดังกล่าว ทั้งที่ผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ รายงานการตรวจสภาพรถคันเกิดเหตุรายงานการเก็บวัตถุพยาน ภาพถ่ายประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ ภาพถ่ายรถยนต์คันเกิดเหตุ และภาพถ่ายรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ พยานใกล้ชิดเหตุการณ์ปากนาย จ. ซึ่งความเห็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้และอดีตอัยการสูงสุด หรืออดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยพยานไว้ก่อนโดยละเอียดแล้ว ว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งปรากฏผลการพิสูจน์ความเร็วของนายวรยุทธขับขี่ ความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีเหตุอันสมควรเพียงพอที่จะนำนายวรยุทธ ผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่จำเลยที่ 8 กลับพิจารณาอาศัยพยานปาก พลอากาศโท จ. ซึ่งให้การหลังเกิดเหตุนานกว่า 2 ปี เศษ และพยานผู้เชี่ยวชาญอื่น อันเป็นการเลือกหยิบยกพยานหลักฐานดังกล่าวมาพิจารณา ทั้งที่อดีตอัยการสูงสุดและอดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยไว้ก่อนแล้วว่าไม่ควรนำมารับฟังเนื่องจากไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยจำเลยที่ 8 มิได้ให้เหตุผลหักล้างหรือแสดงผลเป็นอย่างอื่น และไม่รับฟังพยานหลักฐานอื่นในสำนวนที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อันเป็นการวินิจฉัย มูลความผิด โดยใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจด่วนวินิจฉัยคดีเสียเอง ไม่ได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดอย่าง ที่พนักงานอัยการพึงใช้ อันผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการโดยทั่วไป เป็นการกระทำการมิชอบ โดยมีเจตนา เพื่อจะช่วยนายวรยุทธผู้ต้องหามิให้ต้องโทษหรือรับโทษน้อยลงอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุด ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตาย และผู้อื่นหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เหตุตามฟ้องเกิดที่ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ถนนอังรีดูนังต์ แขวงวังใหม่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร, อาคารรัฐสภา (หลังเก่า) ถนนอู่ทองใน แขวงดุสิต เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร, สำนักงานอัยการสูงสุด (อาคารถนนแจ้งวัฒนะ) ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ชั้นไต่สวน จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ ข้อกล่าวหา คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่าการกระทำของจำเลยทั้งแปด มีมูลความผิด ทางอาญาตามข้อกล่าวหาและได้ส่งรายงาน เอกสาร พร้อมความเห็นมายังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการ ฟ้องคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งแปดเป็นคดีนี้ ในการฟ้องคดีนี้ อัยการสูงสุด มีคำสั่งมอบหมายให้ พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดีจนคดีถึงที่สุด ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้พิจารณา เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 131/2567 ให้จำเลยทั้งแปดแต่งทนายความ และให้นัดสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 10 ก.ย.2567 เวลา09.30น. ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งแปดและมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งแปดออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล #Thaitimes
    อัยการปราบทุจริตยื่นฟ้อง “สมยศ-เนตร” กับพวกรวม 8 คน ช่วยเหลือกลับคำสั่งคดี “บอส” ขับรถชนตำรวจจราจรทองหล่อดับ ด้านอดีต ผบ.ตร.ยอมรับกังวลใจ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000079981

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 714 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้ำยาล้างห้องน้ำมรณะ

    ใครจะเชื่อว่าคลิปไวรัลที่นำน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ซึ่งมีฤทธิ์รุนแรง มาราดตามสุขภัณฑ์ ตามท่อน้ำทิ้ง แล้วพบควันพวยพุ่งออกมาน่าตื่นเต้น วันหนึ่งอาจกลายเป็นโศกนาฎกรรมคร่าชีวิตครอบครัวไปอย่างน่าเศร้า

    กรณีการเสียชีวิตของข้าราชการตำรวจหญิงรายหนึ่ง สังกัดสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี พร้อมกับลูกสาวอีก 2 คน หลังหมดสติในห้องน้ำภายในบ้านพัก เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา เดิมรายงานข่าวระบุว่าเกิดจากการเทโซดาไฟลงไปในท่อน้ำทิ้ง แต่ล่าสุดได้รับการคลี่คลายปริศนาจากสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ระบุว่า ไม่ใช่โซดาไฟ

    แต่เป็น "น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง" ที่มีส่วนผสมของกรดซัลฟิวริกเข้มข้น หนำซ้ำยังไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. (วัตถุอันตรายที่ใช้ทางสาธารณสุข) และเลขที่จดแจ้งรองรับ

    พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 พร้อมกับชูน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ที่คาดว่าเป็นต้นตอที่ทำให้สามแม่ลูกเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน หาซื้อผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันมาพิสูจน์ พบว่าเป็นกรดซัลฟิวริกความเข้มข้นสูง ลักษณะเป็นของเหลวสีดำ

    เมื่อเจ้าหน้าที่ทดสอบโดยนำกระดาษใส่ในแก้วทดลอง ตามด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนลงไป เมื่อหยดน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งดังกล่าว พบว่าเกิดกลุ่มควันไอระเหยจำนวนมาก และเมื่อเจ้าหน้าที่ได้นำแผ่นแท็บพิสูจน์ความเป็นกรดด่างไปรองสารระเหยที่ลอยขึ้นมา ก่อนนำไปเทียบกับแถบสี พบว่ามีความเป็นกรดสูง

    แสดงให้เห็นว่า กรดซัลฟิวริกทำปฏิกิริยากลายเป็นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือก๊าซไข่เน่า มีควันพวยพุ่งขึ้นมา

    พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ หาซื้อได้ยาก ไม่มีขายในห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่จะพบในร้านขายวัสดุก่อสร้าง อีกทั้งผลิตภัณฑ์นี้ไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. และเลขที่จดแจ้งรองรับ พร้อมเตือนประชาชนที่จำเป็นจะต้องใช้สารเคมีใดๆ ให้ศึกษารายละเอียดความอันตรายของสารเหล่านั้นและซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีเครื่องหมาย อย. วอส. และเลขที่จดแจ้งรองรับ

    น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ นำมาแสดง มีชื่อว่า TURTLE หรือ เตอเติล-เคลีย ขนาด 500 ซี.ซี. ข้างขวดระบุว่า "น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง" ระบุสรรพคุณ วิธีใช้ และคำเตือนวัตถุมีพิษอันตราย มีสารประกอบที่ออกฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง อย่าให้สัมผัสผิวหนังและเข้าตา หากถูกผิวหนังหรือเข้าตาให้ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง และรีบนำตัวส่งแพทย์

    แต่ไม่พบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวระบุชื่อ และที่อยู่ของผู้ผลิตว่ามาจากไหน และไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. ระบุอยู่ที่ขวดอีกด้วย เทียบกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า พบว่านอกจากจะมีเครื่องหมาย อย. วอส. แล้ว ยังระบุวิธีการใช้ คำเตือนอย่างละเอียด รวมทั้งสถานที่ผลิตอีกด้วย

    แม้ "น้ำยาตราเต่า" ที่ชาวบ้านเรียกกันจะไม่มีขายในห้างสรรพสินค้า แต่พบว่ามีขายตามร้านวัสดุก่อสร้าง หนำซ้ำแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังในไทย สามารถหาซื้อน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งยี่ห้อดังกล่าวอย่างง่ายดาย โดยราคาขายอยู่ที่ 51-75 บาทต่อขวด และยังมีน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งในลักษณะเดียวกันจำหน่ายอีกด้วย

    จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการสืบหาต้นตอว่า น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง มาจากไหน พร้อมทั้งสั่งการไปยังร้านค้า และร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างหยุดจำหน่าย เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน

    เพราะน้ำยามรณะที่ว่านี้ เมื่อไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. และไม่มีสถานที่ผลิต ย่อมเป็นน้ำยาเถื่อนที่ไม่ควรมีไว้ในครัวเรือน

    #Newskit #กรดซัลฟิวริก #น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง
    น้ำยาล้างห้องน้ำมรณะ ใครจะเชื่อว่าคลิปไวรัลที่นำน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ซึ่งมีฤทธิ์รุนแรง มาราดตามสุขภัณฑ์ ตามท่อน้ำทิ้ง แล้วพบควันพวยพุ่งออกมาน่าตื่นเต้น วันหนึ่งอาจกลายเป็นโศกนาฎกรรมคร่าชีวิตครอบครัวไปอย่างน่าเศร้า กรณีการเสียชีวิตของข้าราชการตำรวจหญิงรายหนึ่ง สังกัดสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี พร้อมกับลูกสาวอีก 2 คน หลังหมดสติในห้องน้ำภายในบ้านพัก เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา เดิมรายงานข่าวระบุว่าเกิดจากการเทโซดาไฟลงไปในท่อน้ำทิ้ง แต่ล่าสุดได้รับการคลี่คลายปริศนาจากสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ระบุว่า ไม่ใช่โซดาไฟ แต่เป็น "น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง" ที่มีส่วนผสมของกรดซัลฟิวริกเข้มข้น หนำซ้ำยังไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. (วัตถุอันตรายที่ใช้ทางสาธารณสุข) และเลขที่จดแจ้งรองรับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 พร้อมกับชูน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ที่คาดว่าเป็นต้นตอที่ทำให้สามแม่ลูกเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน หาซื้อผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันมาพิสูจน์ พบว่าเป็นกรดซัลฟิวริกความเข้มข้นสูง ลักษณะเป็นของเหลวสีดำ เมื่อเจ้าหน้าที่ทดสอบโดยนำกระดาษใส่ในแก้วทดลอง ตามด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนลงไป เมื่อหยดน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งดังกล่าว พบว่าเกิดกลุ่มควันไอระเหยจำนวนมาก และเมื่อเจ้าหน้าที่ได้นำแผ่นแท็บพิสูจน์ความเป็นกรดด่างไปรองสารระเหยที่ลอยขึ้นมา ก่อนนำไปเทียบกับแถบสี พบว่ามีความเป็นกรดสูง แสดงให้เห็นว่า กรดซัลฟิวริกทำปฏิกิริยากลายเป็นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือก๊าซไข่เน่า มีควันพวยพุ่งขึ้นมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ หาซื้อได้ยาก ไม่มีขายในห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่จะพบในร้านขายวัสดุก่อสร้าง อีกทั้งผลิตภัณฑ์นี้ไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. และเลขที่จดแจ้งรองรับ พร้อมเตือนประชาชนที่จำเป็นจะต้องใช้สารเคมีใดๆ ให้ศึกษารายละเอียดความอันตรายของสารเหล่านั้นและซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีเครื่องหมาย อย. วอส. และเลขที่จดแจ้งรองรับ น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ นำมาแสดง มีชื่อว่า TURTLE หรือ เตอเติล-เคลีย ขนาด 500 ซี.ซี. ข้างขวดระบุว่า "น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง" ระบุสรรพคุณ วิธีใช้ และคำเตือนวัตถุมีพิษอันตราย มีสารประกอบที่ออกฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง อย่าให้สัมผัสผิวหนังและเข้าตา หากถูกผิวหนังหรือเข้าตาให้ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง และรีบนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่พบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวระบุชื่อ และที่อยู่ของผู้ผลิตว่ามาจากไหน และไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. ระบุอยู่ที่ขวดอีกด้วย เทียบกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า พบว่านอกจากจะมีเครื่องหมาย อย. วอส. แล้ว ยังระบุวิธีการใช้ คำเตือนอย่างละเอียด รวมทั้งสถานที่ผลิตอีกด้วย แม้ "น้ำยาตราเต่า" ที่ชาวบ้านเรียกกันจะไม่มีขายในห้างสรรพสินค้า แต่พบว่ามีขายตามร้านวัสดุก่อสร้าง หนำซ้ำแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังในไทย สามารถหาซื้อน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งยี่ห้อดังกล่าวอย่างง่ายดาย โดยราคาขายอยู่ที่ 51-75 บาทต่อขวด และยังมีน้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งในลักษณะเดียวกันจำหน่ายอีกด้วย จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการสืบหาต้นตอว่า น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง มาจากไหน พร้อมทั้งสั่งการไปยังร้านค้า และร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างหยุดจำหน่าย เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน เพราะน้ำยามรณะที่ว่านี้ เมื่อไม่มีเครื่องหมาย อย. วอส. และไม่มีสถานที่ผลิต ย่อมเป็นน้ำยาเถื่อนที่ไม่ควรมีไว้ในครัวเรือน #Newskit #กรดซัลฟิวริก #น้ำยาทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 695 มุมมอง 0 รีวิว