• กมธ.มั่นคงฯ จ่อเรียก 'แพทองธาร' แจงคลิปคุยฮุนเซน จี้ บช.ก. เช็กตัวตน 'ฮวด'
    https://www.thai-tai.tv/news/19994/
    .
    #พรรณิการ์วานิช #คณะก้าวหน้า #กมธความมั่นคงแห่งรัฐ #คลิปเสียง #ฮุนเซน #แพทองธารชินวัตร #อธิปไตยไทย #ผู้ลี้ภัย #การเมืองไทย #เคลียงฮวด #ปราบปรามอาชญากรรม #ชุติพงศ์พิภพภิญโญ #พรรคประชาชน
    กมธ.มั่นคงฯ จ่อเรียก 'แพทองธาร' แจงคลิปคุยฮุนเซน จี้ บช.ก. เช็กตัวตน 'ฮวด' https://www.thai-tai.tv/news/19994/ . #พรรณิการ์วานิช #คณะก้าวหน้า #กมธความมั่นคงแห่งรัฐ #คลิปเสียง #ฮุนเซน #แพทองธารชินวัตร #อธิปไตยไทย #ผู้ลี้ภัย #การเมืองไทย #เคลียงฮวด #ปราบปรามอาชญากรรม #ชุติพงศ์พิภพภิญโญ #พรรคประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน

    ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน

    นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้

    นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย

    สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง

    ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา

    #Newskit
    ลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้ นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • กต.แถลง ไทยยังใช้มาตรการควบคุมชายแดนกับกัมพูชา แม้ลดความตึงเครียดแต่ยังเปราะบาง ศอ.ปชด.เตรียมเสนอ สมช.ยกระดับป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน ตัดกระแสไฟฟ้าระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งเข้าพื้นที่บ่อนการพนัน และสแกมเมอร์ ส่วนวีซ่าไทยลดวันเขมรอยู่ได้เหลือ 7 วันแล้วเช่นกันแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000053994

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    กต.แถลง ไทยยังใช้มาตรการควบคุมชายแดนกับกัมพูชา แม้ลดความตึงเครียดแต่ยังเปราะบาง ศอ.ปชด.เตรียมเสนอ สมช.ยกระดับป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน ตัดกระแสไฟฟ้าระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งเข้าพื้นที่บ่อนการพนัน และสแกมเมอร์ ส่วนวีซ่าไทยลดวันเขมรอยู่ได้เหลือ 7 วันแล้วเช่นกันแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000053994 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวียดนามสั่งบล็อก Telegram อ้างเหตุไม่ร่วมมือปราบปรามอาชญากรรม

    รัฐบาลเวียดนาม ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมบล็อกแอปพลิเคชัน Telegram โดยให้เหตุผลว่า แพลตฟอร์มนี้ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านแอป ซึ่ง Telegram แสดงความประหลาดใจต่อคำสั่งดังกล่าว

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการบล็อก Telegram ในเวียดนาม
    กระทรวงเทคโนโลยีของเวียดนามออกคำสั่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2025
    - ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต้องดำเนินมาตรการบล็อก Telegram และรายงานผลภายในวันที่ 2 มิถุนายน

    ตำรวจเวียดนามรายงานว่า 68% ของ 9,600 ช่องและกลุ่มบน Telegram มีเนื้อหาผิดกฎหมาย
    - รวมถึง การฉ้อโกง, ค้ายาเสพติด และกิจกรรมที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย

    รัฐบาลเวียดนามยืนยันคำสั่งบล็อก Telegram ผ่านเว็บไซต์ทางการ
    - ระบุว่า Telegram ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องตรวจสอบและลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย

    Telegram แสดงความประหลาดใจและยืนยันว่าได้ตอบสนองต่อคำร้องขอทางกฎหมายของเวียดนาม
    - บริษัทได้รับ หนังสือแจ้งจากหน่วยงานสื่อสารของเวียดนาม และกำลังดำเนินการตอบกลับภายในวันที่ 27 พฤษภาคม

    เวียดนามเคยขอให้แพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook, YouTube และ TikTok ลบเนื้อหาที่รัฐบาลมองว่าเป็น "ข้อมูลที่เป็นพิษ"
    - รวมถึง เนื้อหาที่มีลักษณะต่อต้านรัฐบาล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/23/vietnam-acts-to-block-messaging-app-telegram--government-document-seen-by-reuters-shows
    เวียดนามสั่งบล็อก Telegram อ้างเหตุไม่ร่วมมือปราบปรามอาชญากรรม รัฐบาลเวียดนาม ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมบล็อกแอปพลิเคชัน Telegram โดยให้เหตุผลว่า แพลตฟอร์มนี้ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านแอป ซึ่ง Telegram แสดงความประหลาดใจต่อคำสั่งดังกล่าว 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการบล็อก Telegram ในเวียดนาม ✅ กระทรวงเทคโนโลยีของเวียดนามออกคำสั่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2025 - ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต้องดำเนินมาตรการบล็อก Telegram และรายงานผลภายในวันที่ 2 มิถุนายน ✅ ตำรวจเวียดนามรายงานว่า 68% ของ 9,600 ช่องและกลุ่มบน Telegram มีเนื้อหาผิดกฎหมาย - รวมถึง การฉ้อโกง, ค้ายาเสพติด และกิจกรรมที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ✅ รัฐบาลเวียดนามยืนยันคำสั่งบล็อก Telegram ผ่านเว็บไซต์ทางการ - ระบุว่า Telegram ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องตรวจสอบและลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย ✅ Telegram แสดงความประหลาดใจและยืนยันว่าได้ตอบสนองต่อคำร้องขอทางกฎหมายของเวียดนาม - บริษัทได้รับ หนังสือแจ้งจากหน่วยงานสื่อสารของเวียดนาม และกำลังดำเนินการตอบกลับภายในวันที่ 27 พฤษภาคม ✅ เวียดนามเคยขอให้แพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook, YouTube และ TikTok ลบเนื้อหาที่รัฐบาลมองว่าเป็น "ข้อมูลที่เป็นพิษ" - รวมถึง เนื้อหาที่มีลักษณะต่อต้านรัฐบาล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/23/vietnam-acts-to-block-messaging-app-telegram--government-document-seen-by-reuters-shows
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Telegram 'surprised' as Vietnam orders messaging app to be blocked
    HANOI (Reuters) -Vietnam's technology ministry has ordered telecommunication service providers to block the messaging app Telegram for not cooperating in combating alleged crimes committed by its users, in a move that Telegram said was surprising.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร.เซ็นตั้ง "บิ๊กอ้อ" คุมศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษตามนโยบายเร่งด่วน ลุยล้างบางผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000047609

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ผบ.ตร.เซ็นตั้ง "บิ๊กอ้อ" คุมศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษตามนโยบายเร่งด่วน ลุยล้างบางผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000047609 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 548 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทั่วโลกไม่ทํา(เว้นไทย) ใช้วีซ่าเปิดบัญชีม้า : [NEWS UPDATE]

    พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เผยถึงการจับกุมเจ้าหน้าที่ธนาคาร และจับกลุ่มผู้ต้องหาอํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาชาวจีน โดยพาไปติดต่อธนาคารทั่วประเทศขอเปิดบัญชี มีผู้จัดการธนาคารและพนักงานร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร เพื่อให้เปิดบัญชีได้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว โดยได้ส่วนแบ่งจากการเปิดบัญชี ซึ่งใน 15 บัญชีของผู้ต้องหาชาวจีนมีเงินเข้า 118 ล้านบาท ขยายผลเกี่ยวข้องกับ 462 บัญชี มีผู้เสียหาย 2,084 คดี มูลค่าความเสียหาย 2,200 ล้านบาท พบเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ประสานจีนออกหมายจับชาวจีนที่หนี ประสานธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบชาวต่างชาติที่เปิดบัญชีธนาคารด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกไม่มีใครทํา

    -บัญชีวัดไร่ขิงพิรุธเพียบ

    -ทำไมต้องเอาเป็นเอาตาย

    -ส.อ.ท.หนุนชะลอแจกเงินหมื่น

    -ทีมสุดซอยค้นฟรีโซน
    ทั่วโลกไม่ทํา(เว้นไทย) ใช้วีซ่าเปิดบัญชีม้า : [NEWS UPDATE] พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เผยถึงการจับกุมเจ้าหน้าที่ธนาคาร และจับกลุ่มผู้ต้องหาอํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาชาวจีน โดยพาไปติดต่อธนาคารทั่วประเทศขอเปิดบัญชี มีผู้จัดการธนาคารและพนักงานร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร เพื่อให้เปิดบัญชีได้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว โดยได้ส่วนแบ่งจากการเปิดบัญชี ซึ่งใน 15 บัญชีของผู้ต้องหาชาวจีนมีเงินเข้า 118 ล้านบาท ขยายผลเกี่ยวข้องกับ 462 บัญชี มีผู้เสียหาย 2,084 คดี มูลค่าความเสียหาย 2,200 ล้านบาท พบเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ประสานจีนออกหมายจับชาวจีนที่หนี ประสานธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบชาวต่างชาติที่เปิดบัญชีธนาคารด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกไม่มีใครทํา -บัญชีวัดไร่ขิงพิรุธเพียบ -ทำไมต้องเอาเป็นเอาตาย -ส.อ.ท.หนุนชะลอแจกเงินหมื่น -ทีมสุดซอยค้นฟรีโซน
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 812 มุมมอง 40 0 รีวิว
  • ทั้งโลกมีที่ไทย Only! ใช้วีซ่าเปิดบัญชีม้า : [THE MESSAGE]
    ล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    เผยถึงการจับกุมเจ้าหน้าที่ธนาคารสนับสนุนขบวนการคอลเซ็นเตอร์เปิดบัญชีธนาคาร และจับกลุ่มผู้ต้องหาอํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาชาวจีน โดยพาไปติดต่อธนาคารทั่วประเทศเพื่อขอเปิดบัญชี โดยมีผู้จัดการธนาคารและพนักงานร่วมกันปลอมแปลงเอกสารเพื่อให้เปิดบัญชีได้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว โดยได้ส่วนแบ่งจากการเปิดบัญชี
    ซึ่งใน 15 บัญชีของกลุ่มผู้ต้องหาชาวจีนมีเงินเข้า 118 ล้านบาท ถอนไปแล้ว 91 ล้านบาท ที่เหลืออายัดเอาไว้ได้ มีผู้เสียหาย 106 คดี ขยายผลต่อเนื่องเกี่ยวข้องกับ 462 บัญชี มีผู้เสียหาย 2,084 คดี มูลค่าความเสียหาย 2,200 ล้านบาท อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผล
    ประสานทางการจีนออกหมายจับ
    ชาวจีนที่หลบหนีออกนอกประเทศ และประสานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เปิดบัญชีธนาคารด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกไม่มีใครทํา
    ทั้งโลกมีที่ไทย Only! ใช้วีซ่าเปิดบัญชีม้า : [THE MESSAGE] ล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยถึงการจับกุมเจ้าหน้าที่ธนาคารสนับสนุนขบวนการคอลเซ็นเตอร์เปิดบัญชีธนาคาร และจับกลุ่มผู้ต้องหาอํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาชาวจีน โดยพาไปติดต่อธนาคารทั่วประเทศเพื่อขอเปิดบัญชี โดยมีผู้จัดการธนาคารและพนักงานร่วมกันปลอมแปลงเอกสารเพื่อให้เปิดบัญชีได้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว โดยได้ส่วนแบ่งจากการเปิดบัญชี ซึ่งใน 15 บัญชีของกลุ่มผู้ต้องหาชาวจีนมีเงินเข้า 118 ล้านบาท ถอนไปแล้ว 91 ล้านบาท ที่เหลืออายัดเอาไว้ได้ มีผู้เสียหาย 106 คดี ขยายผลต่อเนื่องเกี่ยวข้องกับ 462 บัญชี มีผู้เสียหาย 2,084 คดี มูลค่าความเสียหาย 2,200 ล้านบาท อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผล ประสานทางการจีนออกหมายจับ ชาวจีนที่หลบหนีออกนอกประเทศ และประสานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เปิดบัญชีธนาคารด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกไม่มีใครทํา
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 737 มุมมอง 33 0 รีวิว
  • Thaipublica’s Pick: กองทัพเรืออินโดนีเซีย ยึดเรือติดธงชาติไทยลักลอบขนยาบ้าและโคเคน มูลค่า 426 ล้านเหรียญสหรัฐฯ.กองทัพเรืออินโดนีเซีย ยึดเรือลักลอบขนยาบ้าและโคเคนเกือบ 2 ตันมูลค่า 425 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกชายฝั่งเกาะสุมาตราในสัปดาห์นี้ พร้อมจับกุมชาวไทย 1 รายและชาวเมียนมา 4 รายที่พบอยู่บนเรือ กองทัพเรือระบุเมื่อวันศุกร์ (16 พฤษภาคม 2568).เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมเรือลำดังกล่าวหลังจากปิดไฟและเร่งความเร็วเพื่อพยายามหลบหนีออกจากน่านน้ำอินโดนีเซียในภูมิภาคตันจุง บาไล การิมัน (Tanjung Balai Karimun) ของ หมู่เกาะรีเยา (Riau Island) กองทัพเรือระบุ.เจ้าหน้าที่ยึดกระสอบสีเหลืองและสีขาวได้เกือบ 100 กระสอบ ภายในบรรจุโคเคนประมาณ 1.2 ตัน และยาบ้า 705 กิโลกรัม มูลค่า 7 ล้านล้านรูเปียะฮ์ (425.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โฆษกกองทัพเรือ ไอ มาดิ วิระ ฮาดี อาร์ซันตา วาร์ธานา(I Made Wira Hady Arsanta Wardhana) กล่าวในแถลงการณ์.อินโดนีเซียมีกฎหมายปราบปรามยาเสพติดที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และการค้ายาเสพติดมีโทษถึงประหารชีวิต.กองทัพเรือระบุว่า เรือลำดังกล่าวซึ่งติดธงชาติไทย ถูกนำไปยังฐานทัพเรือในตันจุง บาไล การิมุน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของลูกเรือ นอกจากสัญชาติของพวกเขา.เจ้าหน้าที่ยังคงสืบสวนต่อไปว่ายาเสพติดเหล่านี้มาจากไหน และเรือกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เจ้าหน้าที่กองทัพเรือ ซึ่งใช้ชื่อเพียงว่านายฟาวซี กล่าวในการแถลงข่าว.การจับกุมยาเสพติดครั้งนี้ถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประเทศ.สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรม แห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime - UNODC) ระบุในรายงานปี 2567 ว่า เมื่อปี 2566 มีการจับกุมยาบ้าได้มากถึง 190 ตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกลุ่มอาชญากรใช้ประโยชน์จากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอในการลักลอบขนยาเสพติด โดยส่วนใหญ่ผ่านอ่าวไทย.สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมาที่ติดกับบางส่วนของไทยและลาว มีประวัติศาสตร์ในด้านการผลิตยาเสพติดมายาวนาน โดยส่วนใหญ่ใช้โดยกลุ่มอาชญากรในเอเชียที่จำหน่ายยาเสพติดไปไกลถึงญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์.ในปี 2565 พบโคเคน 179 กิโลกรัม (395 ปอนด์) ในน่านน้ำใกล้ท่าเรือเมอระก์บนเกาะชวา ซึ่งถือเป็นการยึดโคเคนครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศในเวลานั้น UNODC ระบุในรายงานโคเคนระดับโลกประจำปี 2566.(1 เหรียญสหรัฐ = 16,435.0000 รูเปียะฮ์).เรื่อง : https://www.yahoo.com/news/indonesia-seizes-ship-carrying-methamphetamine-094840017.html.#เรือติดธงชาติไทยขนยาเสพติด #อินโดนีเซีย ที่มา : Thaipublicahttps://www.facebook.com/share/p/1C6nV7Umiv/?mibextid=wwXIfr
    Thaipublica’s Pick: กองทัพเรืออินโดนีเซีย ยึดเรือติดธงชาติไทยลักลอบขนยาบ้าและโคเคน มูลค่า 426 ล้านเหรียญสหรัฐฯ.กองทัพเรืออินโดนีเซีย ยึดเรือลักลอบขนยาบ้าและโคเคนเกือบ 2 ตันมูลค่า 425 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกชายฝั่งเกาะสุมาตราในสัปดาห์นี้ พร้อมจับกุมชาวไทย 1 รายและชาวเมียนมา 4 รายที่พบอยู่บนเรือ กองทัพเรือระบุเมื่อวันศุกร์ (16 พฤษภาคม 2568).เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมเรือลำดังกล่าวหลังจากปิดไฟและเร่งความเร็วเพื่อพยายามหลบหนีออกจากน่านน้ำอินโดนีเซียในภูมิภาคตันจุง บาไล การิมัน (Tanjung Balai Karimun) ของ หมู่เกาะรีเยา (Riau Island) กองทัพเรือระบุ.เจ้าหน้าที่ยึดกระสอบสีเหลืองและสีขาวได้เกือบ 100 กระสอบ ภายในบรรจุโคเคนประมาณ 1.2 ตัน และยาบ้า 705 กิโลกรัม มูลค่า 7 ล้านล้านรูเปียะฮ์ (425.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โฆษกกองทัพเรือ ไอ มาดิ วิระ ฮาดี อาร์ซันตา วาร์ธานา(I Made Wira Hady Arsanta Wardhana) กล่าวในแถลงการณ์.อินโดนีเซียมีกฎหมายปราบปรามยาเสพติดที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และการค้ายาเสพติดมีโทษถึงประหารชีวิต.กองทัพเรือระบุว่า เรือลำดังกล่าวซึ่งติดธงชาติไทย ถูกนำไปยังฐานทัพเรือในตันจุง บาไล การิมุน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของลูกเรือ นอกจากสัญชาติของพวกเขา.เจ้าหน้าที่ยังคงสืบสวนต่อไปว่ายาเสพติดเหล่านี้มาจากไหน และเรือกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เจ้าหน้าที่กองทัพเรือ ซึ่งใช้ชื่อเพียงว่านายฟาวซี กล่าวในการแถลงข่าว.การจับกุมยาเสพติดครั้งนี้ถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประเทศ.สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรม แห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime - UNODC) ระบุในรายงานปี 2567 ว่า เมื่อปี 2566 มีการจับกุมยาบ้าได้มากถึง 190 ตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกลุ่มอาชญากรใช้ประโยชน์จากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอในการลักลอบขนยาเสพติด โดยส่วนใหญ่ผ่านอ่าวไทย.สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมาที่ติดกับบางส่วนของไทยและลาว มีประวัติศาสตร์ในด้านการผลิตยาเสพติดมายาวนาน โดยส่วนใหญ่ใช้โดยกลุ่มอาชญากรในเอเชียที่จำหน่ายยาเสพติดไปไกลถึงญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์.ในปี 2565 พบโคเคน 179 กิโลกรัม (395 ปอนด์) ในน่านน้ำใกล้ท่าเรือเมอระก์บนเกาะชวา ซึ่งถือเป็นการยึดโคเคนครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศในเวลานั้น UNODC ระบุในรายงานโคเคนระดับโลกประจำปี 2566.(1 เหรียญสหรัฐ = 16,435.0000 รูเปียะฮ์).เรื่อง : https://www.yahoo.com/news/indonesia-seizes-ship-carrying-methamphetamine-094840017.html.#เรือติดธงชาติไทยขนยาเสพติด #อินโดนีเซีย ที่มา : Thaipublicahttps://www.facebook.com/share/p/1C6nV7Umiv/?mibextid=wwXIfr
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 546 มุมมอง 0 รีวิว
  • เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) 2025 แก้ไขข้อจำกัดการต่อสู้่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบเดิมๆ และเพิ่มแนวทางให้ผู้ให้บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมรับผิดชอบค่าเสียหาย หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ทำตามมาตรฐานต่างๆ ครบถ้วนแล้ว
    ความเปลี่ยนแปลงสำคัญ ของกฎหมายนี้คือการก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) เป็นศูนย์กลางรับแจ้งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีอำนาจในการต่อสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์รูปแบบต่างๆ เช่น
    ระงับบัญชีเงินฝาก รวบรวมจำนวนบัญชีเงินฝากที่บุคคลถือไว้ (ไม่รวมจำนวนเงิน), ขอข้อมูลบัญชีต้องสงสัย
    เปิดเผยข้อมูลบัญชีไปยังหน่วยงานเอกชนหรือรัฐที่เกี่ยวข้อง แก้ไขข้อจำกัดที่เดิมธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับฝั่งผู้ให้บริการคริปโต
    แจ้งข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ หรือชื่อ SMS ให้กสทช. สั่งบล็อค
    รวบรวมรายชื่อบุคคลหรือหมายเลขบัญชีคริปโต และสั่งให้ระงับการให้บริการได้
    ศปอท. จะใช้คนจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิย, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ก.ล.ต., กสทช., และหน่วยงานอื่นที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
    ประเด็นหนึ่งที่กฎหมายนี้ได้รับการพูดถึงเป็นวงกว้างนอกจากการตั้ง ศปอท. ก็คือการให้ธนาคารและค่ายโทรศัพท์มือถือร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายเหมือนมาตรการของสิงคโปร์ แต่พ.ร.ก. ฉบับนี้เขียนในมาตรา 8/10 ให้ครอบคลุมขึ้น ด้วยการรวมทั้งสถาบันการเงิน, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม, ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์, และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ยกเว้นว่าจะพิสูจน์ได้ว่าได้ปฎิบัติตามมาตรฐานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไว้ครบแล้ว
    กฎหมายมีผลแล้ววันนี้ แต่ประกาศหลักเกณฑ์จำนวนมากยังต้องรอการประกาศต่อไป
    ที่มา - ราชกิจจานุเบกษา
    เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) 2025 แก้ไขข้อจำกัดการต่อสู้่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบเดิมๆ และเพิ่มแนวทางให้ผู้ให้บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมรับผิดชอบค่าเสียหาย หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ทำตามมาตรฐานต่างๆ ครบถ้วนแล้ว ความเปลี่ยนแปลงสำคัญ ของกฎหมายนี้คือการก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) เป็นศูนย์กลางรับแจ้งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีอำนาจในการต่อสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์รูปแบบต่างๆ เช่น ระงับบัญชีเงินฝาก รวบรวมจำนวนบัญชีเงินฝากที่บุคคลถือไว้ (ไม่รวมจำนวนเงิน), ขอข้อมูลบัญชีต้องสงสัย เปิดเผยข้อมูลบัญชีไปยังหน่วยงานเอกชนหรือรัฐที่เกี่ยวข้อง แก้ไขข้อจำกัดที่เดิมธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับฝั่งผู้ให้บริการคริปโต แจ้งข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ หรือชื่อ SMS ให้กสทช. สั่งบล็อค รวบรวมรายชื่อบุคคลหรือหมายเลขบัญชีคริปโต และสั่งให้ระงับการให้บริการได้ ศปอท. จะใช้คนจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิย, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ก.ล.ต., กสทช., และหน่วยงานอื่นที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ประเด็นหนึ่งที่กฎหมายนี้ได้รับการพูดถึงเป็นวงกว้างนอกจากการตั้ง ศปอท. ก็คือการให้ธนาคารและค่ายโทรศัพท์มือถือร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายเหมือนมาตรการของสิงคโปร์ แต่พ.ร.ก. ฉบับนี้เขียนในมาตรา 8/10 ให้ครอบคลุมขึ้น ด้วยการรวมทั้งสถาบันการเงิน, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม, ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์, และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ยกเว้นว่าจะพิสูจน์ได้ว่าได้ปฎิบัติตามมาตรฐานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไว้ครบแล้ว กฎหมายมีผลแล้ววันนี้ แต่ประกาศหลักเกณฑ์จำนวนมากยังต้องรอการประกาศต่อไป ที่มา - ราชกิจจานุเบกษา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 677 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) บังคับใช้วันแรก เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้ครอบคลุม ลดขั้นตอนคืนเงินผู้เสียหาย รวมทั้งธนาคารและค่ายมือถือรับผิดชอบร่วมกัน

    วันนี้ (13 เม.ย.) เป็นวันแรกที่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สรุปสาระสำคัญ คือ เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ครอบคลุมการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บ และบัญชีสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการแก้ไข

    ขณะเดียวกัน ได้ลดขั้นตอนกระบวนการเพื่อสามารถคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้โดยตรงในชั้นเจ้าหน้าที่ โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาล อีกด้านหนึ่ง ยังมีการสร้างความร่วมมือ กำหนดความรับผิดชอบให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับผิดหากไม่ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรการหรือมาตรฐานของหน่วยงานกำกับ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035214

    #MGROnline #พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #พรก #มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
    #DE #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
    พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) บังคับใช้วันแรก เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้ครอบคลุม ลดขั้นตอนคืนเงินผู้เสียหาย รวมทั้งธนาคารและค่ายมือถือรับผิดชอบร่วมกัน • วันนี้ (13 เม.ย.) เป็นวันแรกที่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สรุปสาระสำคัญ คือ เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ครอบคลุมการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บ และบัญชีสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการแก้ไข • ขณะเดียวกัน ได้ลดขั้นตอนกระบวนการเพื่อสามารถคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้โดยตรงในชั้นเจ้าหน้าที่ โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาล อีกด้านหนึ่ง ยังมีการสร้างความร่วมมือ กำหนดความรับผิดชอบให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับผิดหากไม่ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรการหรือมาตรฐานของหน่วยงานกำกับ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035214 • #MGROnline #พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #พรก #มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #DE #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG)

    เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์ในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ของทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG) โดยมีการพูดคุยในประเด็นความสัมพันธ์จีน-ไทยในวาระ 50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การหลอกลวงทางโทรคมนาคม รวมถึงความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยระยะที่ 2 โดยรายการสัมภาษณ์ดังกล่าวออกอากาศเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568

    ผู้สื่อข่าว CMG: ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยว่ามิตรภาพจีน-ไทยมีรากฐานลึกซึ้งนับพันปี และคำกล่าวที่ว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ยังมั่นคงเหนียวแน่นตลอดมา ในฐานะเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ท่านมองแนวคิดนี้อย่างไร และปีนี้มีความหมายพิเศษต่อความสัมพันธ์จีน-ไทยอย่างไร

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” มีความหมาย 3 ประการ คือจีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นเครือญาติที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน จีนและไทยร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียม ความไว้วางใจระหว่างกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการพัฒนาร่วมกัน เดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ และได้ร่วมกับผู้นำไทยในการกำหนดวิสัยทัศน์การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทย ซึ่งเป็นการเติมเต็มความหมายของคำว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ให้มีความหมายที่ทันสมัยมากขึ้น และชี้นำทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต

    ปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสัมพันธ์จีน-ไทย เราได้กำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย 50 ปี” รวมทั้งคำขวัญร่วมกันว่า “จีน - ไทยสานใจกัน ร่วมสร้างฝันประชาคม” สำหรับปีนี้ เราจะใช้โอกาสสำคัญนี้ในการสรุปประสบการณ์อันเป็นประโยชน์จากการร่วมมือกันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์จีน-ไทยในอนาคต

    ผู้สื่อข่าว CMG: ปัจจุบัน จีนและไทยกำลังดำเนินความร่วมมือหลายโครงการเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์และออนไลน์ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองเมียวดีของเมียนมา ความคืบหน้าของปฏิบัติการนี้เป็นอย่างไร

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: การหลอกลวงทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในเมืองเมียวดีของเมียนมา ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของแก๊งอาชญากรรมทางไซเบอร์ ช่วงที่ผ่านมา จีน-ไทย-เมียนมา ได้ร่วมมือกันเปิดปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ ทำให้สามารถทำลายเครือข่ายอาชญากรรมได้หลายจุด และจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสามประเทศในการปราบปรามการหลอกลวงทางไซเบอร์และปกป้องความมั่นคงในภูมิภาค

    ก้าวต่อไป จีน-ไทย-เมียนมาจะดำเนินมาตรการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนเช่นการหลอกลวงทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เราจะขยายความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกบังคับให้กระทำผิด จับกุมตัวการใหญ่ของกลุ่มอาชญากรและกวาดล้างศูนย์คอลเซ็นเตอร์ เพื่อปกป้องความปลอดภัยทางชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองจีนและประชาชนของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค

    ผู้สื่อข่าว CMG: คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2573 แม้ว่าระยะที่ 1 ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลไทยตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ในระหว่างการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ผู้นำทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟจีน-ไทย และการส่งเสริมแนวคิดการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทยอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟจีน-ไทย ระยะที่ 1 และจะเริ่มต้นโครงการระยะที่ 2 ภายในปีนี้

    ฝ่ายไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยต่อโครงการรถไฟจีน-ไทย และมีความหมายสำคัญต่อการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เราชื่นชมในการตัดสินใจของฝ่ายไทย และท่าทีที่แสดงถึงความมุ่งมั่นนี้อย่างสูง ฝ่ายจีนก็จะให้การสนับสนุนและความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น

    ในความเป็นจริงนั้น รถไฟจีน-ไทยเป็นเส้นทางการคมนาคมทางบกเส้นใหม่ระหว่างจีนและไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางการคมนาคมหลักในคาบสมุทรอินโดจีน ทุกคนทราบดีว่า รถไฟจีน-ลาว ได้เปิดให้บริการมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว การที่รถไฟจีน-ไทยแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนทั้งสามประเทศ ในอนาคต รถไฟจีน-ไทยจะขยายไปทางทิศใต้เชื่อมต่อกับเครือข่ายรถไฟของมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างจีนกับประเทศในอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

    ผู้สื่อข่าว CMG: ไทยเพิ่งได้รับการรับรองให้เป็นหุ้นส่วนพันธมิตรของกลุ่มประเทศ BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งในกลไกต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือจีน-อาเซียน และความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไทยก็มีบทบาทสำคัญ ในสถานการณ์ปัจจุบัน จีนและไทยจะร่วมกันเสริมสร้างบทบาทกลไกพหุภาคีของประเทศโลกใต้ (Global South) อย่างไร

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ไทยเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือพันธมิตรที่สำคัญของจีนในกลไกพหุภาคี อีกทั้งเป็นสมาชิกสำคัญของอาเซียน และได้เข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเป็นประธานร่วมของความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และมีบทบาทสำคัญในหลายองค์กรระหว่างประเทศและระดับภูมิภาค

    จากสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง กลุ่มประเทศโลกใต้ กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย ไทยได้แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนต่อแนวคิดการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างมนุษยชาติ รวมถึงการสนับสนุนแนวคิดการพัฒนาระดับโลก แนวคิดความมั่นคงระดับโลก และแนวคิดอารยธรรมระดับโลก ซึ่งเสนอโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน จีนและไทยควรเสริมสร้างการสื่อสารและความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งผลักดันและปฏิบัติตามหลักการพหุภาคีและการเปิดกว้างในระดับภูมิภาคให้เห็นเป็นรูปธรรมที่แท้จริง เพื่อร่วมส่งเสริมความหลากหลายและความเป็นระเบียบของโลก ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเป็นธรรม เพื่อร่วมกันสร้างระบบการปกครองโลกตามหลักธรรมาภิบาลอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/18t7wHFRgk/?mibextid=wwXIfr
    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์ในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ของทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG) โดยมีการพูดคุยในประเด็นความสัมพันธ์จีน-ไทยในวาระ 50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การหลอกลวงทางโทรคมนาคม รวมถึงความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยระยะที่ 2 โดยรายการสัมภาษณ์ดังกล่าวออกอากาศเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าว CMG: ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยว่ามิตรภาพจีน-ไทยมีรากฐานลึกซึ้งนับพันปี และคำกล่าวที่ว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ยังมั่นคงเหนียวแน่นตลอดมา ในฐานะเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ท่านมองแนวคิดนี้อย่างไร และปีนี้มีความหมายพิเศษต่อความสัมพันธ์จีน-ไทยอย่างไร เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” มีความหมาย 3 ประการ คือจีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นเครือญาติที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน จีนและไทยร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียม ความไว้วางใจระหว่างกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการพัฒนาร่วมกัน เดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ และได้ร่วมกับผู้นำไทยในการกำหนดวิสัยทัศน์การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทย ซึ่งเป็นการเติมเต็มความหมายของคำว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ให้มีความหมายที่ทันสมัยมากขึ้น และชี้นำทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต ปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสัมพันธ์จีน-ไทย เราได้กำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย 50 ปี” รวมทั้งคำขวัญร่วมกันว่า “จีน - ไทยสานใจกัน ร่วมสร้างฝันประชาคม” สำหรับปีนี้ เราจะใช้โอกาสสำคัญนี้ในการสรุปประสบการณ์อันเป็นประโยชน์จากการร่วมมือกันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์จีน-ไทยในอนาคต ผู้สื่อข่าว CMG: ปัจจุบัน จีนและไทยกำลังดำเนินความร่วมมือหลายโครงการเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์และออนไลน์ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองเมียวดีของเมียนมา ความคืบหน้าของปฏิบัติการนี้เป็นอย่างไร เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: การหลอกลวงทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในเมืองเมียวดีของเมียนมา ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของแก๊งอาชญากรรมทางไซเบอร์ ช่วงที่ผ่านมา จีน-ไทย-เมียนมา ได้ร่วมมือกันเปิดปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ ทำให้สามารถทำลายเครือข่ายอาชญากรรมได้หลายจุด และจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสามประเทศในการปราบปรามการหลอกลวงทางไซเบอร์และปกป้องความมั่นคงในภูมิภาค ก้าวต่อไป จีน-ไทย-เมียนมาจะดำเนินมาตรการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนเช่นการหลอกลวงทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เราจะขยายความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกบังคับให้กระทำผิด จับกุมตัวการใหญ่ของกลุ่มอาชญากรและกวาดล้างศูนย์คอลเซ็นเตอร์ เพื่อปกป้องความปลอดภัยทางชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองจีนและประชาชนของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ผู้สื่อข่าว CMG: คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2573 แม้ว่าระยะที่ 1 ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลไทยตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้ เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ในระหว่างการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ผู้นำทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟจีน-ไทย และการส่งเสริมแนวคิดการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทยอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟจีน-ไทย ระยะที่ 1 และจะเริ่มต้นโครงการระยะที่ 2 ภายในปีนี้ ฝ่ายไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยต่อโครงการรถไฟจีน-ไทย และมีความหมายสำคัญต่อการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เราชื่นชมในการตัดสินใจของฝ่ายไทย และท่าทีที่แสดงถึงความมุ่งมั่นนี้อย่างสูง ฝ่ายจีนก็จะให้การสนับสนุนและความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น ในความเป็นจริงนั้น รถไฟจีน-ไทยเป็นเส้นทางการคมนาคมทางบกเส้นใหม่ระหว่างจีนและไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางการคมนาคมหลักในคาบสมุทรอินโดจีน ทุกคนทราบดีว่า รถไฟจีน-ลาว ได้เปิดให้บริการมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว การที่รถไฟจีน-ไทยแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนทั้งสามประเทศ ในอนาคต รถไฟจีน-ไทยจะขยายไปทางทิศใต้เชื่อมต่อกับเครือข่ายรถไฟของมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างจีนกับประเทศในอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผู้สื่อข่าว CMG: ไทยเพิ่งได้รับการรับรองให้เป็นหุ้นส่วนพันธมิตรของกลุ่มประเทศ BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งในกลไกต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือจีน-อาเซียน และความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไทยก็มีบทบาทสำคัญ ในสถานการณ์ปัจจุบัน จีนและไทยจะร่วมกันเสริมสร้างบทบาทกลไกพหุภาคีของประเทศโลกใต้ (Global South) อย่างไร เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ไทยเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือพันธมิตรที่สำคัญของจีนในกลไกพหุภาคี อีกทั้งเป็นสมาชิกสำคัญของอาเซียน และได้เข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเป็นประธานร่วมของความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และมีบทบาทสำคัญในหลายองค์กรระหว่างประเทศและระดับภูมิภาค จากสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง กลุ่มประเทศโลกใต้ กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย ไทยได้แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนต่อแนวคิดการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างมนุษยชาติ รวมถึงการสนับสนุนแนวคิดการพัฒนาระดับโลก แนวคิดความมั่นคงระดับโลก และแนวคิดอารยธรรมระดับโลก ซึ่งเสนอโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน จีนและไทยควรเสริมสร้างการสื่อสารและความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งผลักดันและปฏิบัติตามหลักการพหุภาคีและการเปิดกว้างในระดับภูมิภาคให้เห็นเป็นรูปธรรมที่แท้จริง เพื่อร่วมส่งเสริมความหลากหลายและความเป็นระเบียบของโลก ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเป็นธรรม เพื่อร่วมกันสร้างระบบการปกครองโลกตามหลักธรรมาภิบาลอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น ที่มา https://www.facebook.com/share/p/18t7wHFRgk/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1024 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวบแก๊งคอลเซนเตอร์เขมร ตร.ไซเบอร์รับคนไทยกลับแยกคนผิด ตั้งข้อหาหนัก
    .
    เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาจากทางกัมพูชาว่าจะมีการทยอยส่งตัวคนไทยที่เข้าไปทำงานกับแก๊งคอลเซนเตอร์กลับประเทศไทย ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกลไกที่ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ / ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) โดยพบว่ามีผู้ที่เข้าข่าย กระทำความผิดในข้อหาการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและข้อหาอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แบ่งเป็น คนไทยกว่า 100 ราย ต่างชาติ 2 รายที่เรียกกันว่าบอสชาวจีน
    .
    ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการดำเนินการตามรายละเอียดดังนี้ 1.จากการซักถามปากคำและคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานใน ประเทศกัมพูชา สามารถจัดกลุ่มได้ จำนวน 8 กลุ่ม
    .
    ได้แก่ (1) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 2 จำนวน 23 คน มีพฤติการณ์หลอกให้ลงทุนในหุ้น
    (2) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 15 จำนวน 14 คน มีพฤติการณ์เป็นโรแมนซ์สแกม หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (3) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 18 จำนวน 18 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ M98
    .
    (4) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ B9 จำนวน 4 คน มีพฤติการณ์หลอกลวงด้วยการโทร หรือ call center โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน
    (5) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ออฟฟิศ 6 จำนวน 27 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 1 คน) มีพฤติการณ์หลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (การไฟฟ้า/กรมบัญชีกลาง)
    .
    (6) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ห้อง 9 จำนวน 6 คน (7) ยังระบุสถานที่ทำงานไม่ได้ ซึ่งอยู่ในบริเวณตึกภูมิตาสวน จำนวน 12 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 6 คน) คงเหลือเป็นบุคคลที่เข้าสู่กระบวนการ NRM จำนวน 6 คน ( อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการชักชวนเล่นการพนันไฮโลออนไลน์
    .
    ในจำนวนทั้งหมด 112 คน ที่ได้ดำเนินการซักถาม ก่อนกระบวนการคัดกรองตามกระบวนการคัดกรองผู้เสียหายตามคดีค้ามนุษย์ NRM พบว่าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน ซึ่งผลการคัดกรองทั้งหมดจำนวน 112 คน ปรากฏว่า ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์แต่อย่างใด
    .
    จากการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานพบว่าคนไทยตามข้อ 1. ที่ทำงานในตึกภูมิตาสวนรวมจำนวน 100 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และพบว่ามีหัวหน้า และคนติดตามซึ่งเป็นชาวจีน จำนวน 2 คนร่วมกระทำผิดด้วย ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน รวม 19 คน ยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด
    .
    ข่าวแจ้งว่า วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. พนักงานสอบสวนของ บช.สอท. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับบุคคลตามข้อ 2. ต่อศาลอาญา รวมจำนวน 102 คน ในข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลดังกล่าว ทั้งหมดรวม 102 คน แยกเป็นคนไทย จำนวน 100 คน และชาวจีน 2 คน
    .
    เวลาประมาณ 16.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และ ภ.จว.สระแก้ว ได้นำหมายจับดังกล่าวมาแสดง และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นคนไทย รวม 93 คน (ที่เหลืออีก 7 คน ได้มีการจับกุมตามหมายจับคดีอื่นไปก่อนแล้ว) และได้ทำบันทึกจับกุม รวมทั้งดำเนินการแจ้งการควบคุมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
    .
    และเวลาประมาณ 23.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้นำผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้งหมด 93 คน ออกจากสโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ไปยัง บช.สอท. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    .
    ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน ซึ่งยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด และไม่ได้ถูกออกหมายจับ ได้ส่งกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว
    .
    สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระแก้ว ได้รับตัวไป เพื่อคุ้มครอง และส่งกลับภูมิลำเนาต่อไป
    .
    จากนั้น วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 23.40 น. ได้ปิดศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM ณ สโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ทั่วไปปกติ
    ..............
    Sondhi X
    รวบแก๊งคอลเซนเตอร์เขมร ตร.ไซเบอร์รับคนไทยกลับแยกคนผิด ตั้งข้อหาหนัก . เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาจากทางกัมพูชาว่าจะมีการทยอยส่งตัวคนไทยที่เข้าไปทำงานกับแก๊งคอลเซนเตอร์กลับประเทศไทย ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกลไกที่ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ / ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) โดยพบว่ามีผู้ที่เข้าข่าย กระทำความผิดในข้อหาการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและข้อหาอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แบ่งเป็น คนไทยกว่า 100 ราย ต่างชาติ 2 รายที่เรียกกันว่าบอสชาวจีน . ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการดำเนินการตามรายละเอียดดังนี้ 1.จากการซักถามปากคำและคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานใน ประเทศกัมพูชา สามารถจัดกลุ่มได้ จำนวน 8 กลุ่ม . ได้แก่ (1) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 2 จำนวน 23 คน มีพฤติการณ์หลอกให้ลงทุนในหุ้น (2) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 15 จำนวน 14 คน มีพฤติการณ์เป็นโรแมนซ์สแกม หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (3) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 18 จำนวน 18 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ M98 . (4) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ B9 จำนวน 4 คน มีพฤติการณ์หลอกลวงด้วยการโทร หรือ call center โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน (5) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ออฟฟิศ 6 จำนวน 27 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 1 คน) มีพฤติการณ์หลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (การไฟฟ้า/กรมบัญชีกลาง) . (6) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ห้อง 9 จำนวน 6 คน (7) ยังระบุสถานที่ทำงานไม่ได้ ซึ่งอยู่ในบริเวณตึกภูมิตาสวน จำนวน 12 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 6 คน) คงเหลือเป็นบุคคลที่เข้าสู่กระบวนการ NRM จำนวน 6 คน (😎 อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการชักชวนเล่นการพนันไฮโลออนไลน์ . ในจำนวนทั้งหมด 112 คน ที่ได้ดำเนินการซักถาม ก่อนกระบวนการคัดกรองตามกระบวนการคัดกรองผู้เสียหายตามคดีค้ามนุษย์ NRM พบว่าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน ซึ่งผลการคัดกรองทั้งหมดจำนวน 112 คน ปรากฏว่า ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์แต่อย่างใด . จากการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานพบว่าคนไทยตามข้อ 1. ที่ทำงานในตึกภูมิตาสวนรวมจำนวน 100 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และพบว่ามีหัวหน้า และคนติดตามซึ่งเป็นชาวจีน จำนวน 2 คนร่วมกระทำผิดด้วย ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน รวม 19 คน ยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด . ข่าวแจ้งว่า วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. พนักงานสอบสวนของ บช.สอท. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับบุคคลตามข้อ 2. ต่อศาลอาญา รวมจำนวน 102 คน ในข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลดังกล่าว ทั้งหมดรวม 102 คน แยกเป็นคนไทย จำนวน 100 คน และชาวจีน 2 คน . เวลาประมาณ 16.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และ ภ.จว.สระแก้ว ได้นำหมายจับดังกล่าวมาแสดง และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นคนไทย รวม 93 คน (ที่เหลืออีก 7 คน ได้มีการจับกุมตามหมายจับคดีอื่นไปก่อนแล้ว) และได้ทำบันทึกจับกุม รวมทั้งดำเนินการแจ้งการควบคุมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ . และเวลาประมาณ 23.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้นำผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้งหมด 93 คน ออกจากสโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ไปยัง บช.สอท. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป . ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน ซึ่งยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด และไม่ได้ถูกออกหมายจับ ได้ส่งกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว . สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระแก้ว ได้รับตัวไป เพื่อคุ้มครอง และส่งกลับภูมิลำเนาต่อไป . จากนั้น วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 23.40 น. ได้ปิดศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM ณ สโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ทั่วไปปกติ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2763 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลรุกคืบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กัดไม่ปล่อย “ไม่จบ ไม่เลิก” เร่งแก้ราคาสินค้าเกษตร-ประมง คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน

    มติประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตร การเยียวยาอุตสาหกรรมประมง และการคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน โดยเน้นนโยบาย "กัดไม่ปล่อย ไม่จบ ไม่เลิก" เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

    ปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” สองกระทรวงหลักร่วมรับผิดชอบ
    การระบาดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างหนัก รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการเข้มข้น โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการปราบปราม

    กระทรวงกลาโหม ปิดช่องทางข้ามแดน ตัดเส้นทางเครือข่ายอาชญากรรม
    Seal ชายแดน 14 จังหวัด เพื่อสกัดเส้นทางลำเลียงอาชญากรข้ามชาติ
    กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ การค้ามนุษย์ ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่บริเวณชายแดน
    ดำเนินมาตรการ "ตัดไฟ ตัดทางน้ำมัน" เพื่อทำลายโครงสร้างสนับสนุน ของเครือข่ายมิจฉาชีพ
    ประสานงานกับประเทศปลายทาง เช่น จีนและเมียนมา เพื่อนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
    คุมเข้มเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หากพบการทุจริต ดำเนินการลงโทษทันที

    กระทรวงดิจิทัลฯ ปิดช่องทางสื่อสารของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
    รื้อถอนเสาสัญญาณใกล้ชายแดน โดยปรับลดความสูง ความแรงของสัญญาณ และควบคุมทิศทางของคลื่นความถี่
    ตัดสัญญาณซิมบ็อกซ์ที่ผิดกฎหมาย เพื่อลดการโทรศัพท์หลอกลวงจากต่างประเทศ
    คัดกรองเบอร์โทรต้องสงสัย (Cleansing System) ปิดกั้นหมายเลข ที่มีแนวโน้มใช้ในทางมิชอบ

    เป้าหมายคือ การทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้หมดสิ้นจากประเทศไทย!

    แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
    เศรษฐกิจภาคเกษตร เป็นหัวใจสำคัญของประเทศไทย แต่ราคาพืชผลยังคงผันผวน รัฐบาลจึงเร่งดำเนินมาตรการระยะสั้น และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

    มาตรการเร่งด่วน
    ตรึงราคาข้าวเปลือก, มันสำปะหลัง, ข้าวโพด, ปาล์มน้ำมัน และยางพารา
    อุดหนุนเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำ
    ควบคุมต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และค่าแรง

    มาตรการระยะยาว
    พัฒนาพันธุ์พืชใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และความต้องการของตลาด
    นำเทคโนโลยี และนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) มาช่วยเพิ่มผลผลิต
    เชื่อมโยงข้อมูลตลาดล่วงหน้า (Agri-Market Intelligence) เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาตกต่ำ

    เกษตรกรไทยต้องมีรายได้ที่มั่นคง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้!

    แก้ปัญหาวิกฤติอุตสาหกรรมประมง เร่งจ่ายเงินเยียวยา
    อุตสาหกรรมประมงของไทย ได้รับผลกระทบหนักจากนโยบาย "นำเรือออกนอกระบบ" เพื่อลดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ทำให้เจ้าของเรือจำนวนมาก ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา

    แนวทางการช่วยเหลือ
    กรมประมง และกระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยา ให้เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ
    เสนอที่ประชุม ครม. เพื่ออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม
    ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมประมง ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบสากล โดยไม่กระทบต่อผู้ประกอบการ

    รัฐบาลยืนยันว่า ประมงไทยจะต้องอยู่รอด และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้!

    คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ปรับกฎหมายให้รัดกุมขึ้น
    ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า กำลังระบาดในกลุ่มเยาวชนอย่างหนัก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ และการเสพติดในระยะยาว รัฐบาลจึงเร่งหามาตรการควบคุมอย่างจริงจัง

    มาตรการเร่งด่วน
    ปรับแก้ข้อกฎหมาย เพื่อให้การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมายชัดเจนยิ่งขึ้น
    เพิ่มโทษสำหรับการนำเข้า และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต
    คุมเข้มโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่โฆษณาขายบุหรี่ไฟฟ้า

    มาตรการให้ความรู้เยาวชน
    จัดแคมเปญให้ความรู้ เรื่องอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน
    สร้างระบบแจ้งเบาะแส เพื่อให้ประชาชนช่วยกันสอดส่อง

    รัฐบาลมุ่งมั่นปกป้องสุขภาพเยาวชนไทย จากภัยของบุหรี่ไฟฟ้า!

    เดินหน้าปฏิบัติการ กัดไม่ปล่อย! การประชุม ครม. ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทำงาน ที่จริงจังของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ

    กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำลายเครือข่ายอาชญากรรม
    ตรึงราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
    ฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมง ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
    คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ป้องกันภัยสุขภาพและการเสพติด

    รัฐบาลยืนยัน! จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเห็นผล!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 262122 ก.พ. 2568

    #รัฐบาลไทย #ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ราคาสินค้าเกษตร #ปัญหาประมง #บุหรี่ไฟฟ้า #ปกป้องเยาวชน #นโยบายรัฐ #ครม2568 #เกษตรกรไทย #หยุดแก๊งมิจฉาชีพ
    รัฐบาลรุกคืบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กัดไม่ปล่อย “ไม่จบ ไม่เลิก” เร่งแก้ราคาสินค้าเกษตร-ประมง คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน 📅 มติประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตร การเยียวยาอุตสาหกรรมประมง และการคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน โดยเน้นนโยบาย "กัดไม่ปล่อย ไม่จบ ไม่เลิก" เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” สองกระทรวงหลักร่วมรับผิดชอบ การระบาดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างหนัก รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการเข้มข้น โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการปราบปราม กระทรวงกลาโหม ปิดช่องทางข้ามแดน ตัดเส้นทางเครือข่ายอาชญากรรม 🔹 Seal ชายแดน 14 จังหวัด เพื่อสกัดเส้นทางลำเลียงอาชญากรข้ามชาติ 🔹 กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ การค้ามนุษย์ ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่บริเวณชายแดน 🔹 ดำเนินมาตรการ "ตัดไฟ ตัดทางน้ำมัน" เพื่อทำลายโครงสร้างสนับสนุน ของเครือข่ายมิจฉาชีพ 🔹 ประสานงานกับประเทศปลายทาง เช่น จีนและเมียนมา เพื่อนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 🔹 คุมเข้มเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หากพบการทุจริต ดำเนินการลงโทษทันที กระทรวงดิจิทัลฯ ปิดช่องทางสื่อสารของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 🔸 รื้อถอนเสาสัญญาณใกล้ชายแดน โดยปรับลดความสูง ความแรงของสัญญาณ และควบคุมทิศทางของคลื่นความถี่ 🔸 ตัดสัญญาณซิมบ็อกซ์ที่ผิดกฎหมาย เพื่อลดการโทรศัพท์หลอกลวงจากต่างประเทศ 🔸 คัดกรองเบอร์โทรต้องสงสัย (Cleansing System) ปิดกั้นหมายเลข ที่มีแนวโน้มใช้ในทางมิชอบ 🛡️ เป้าหมายคือ การทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้หมดสิ้นจากประเทศไทย! แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร เศรษฐกิจภาคเกษตร เป็นหัวใจสำคัญของประเทศไทย แต่ราคาพืชผลยังคงผันผวน รัฐบาลจึงเร่งดำเนินมาตรการระยะสั้น และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร มาตรการเร่งด่วน ✔️ ตรึงราคาข้าวเปลือก, มันสำปะหลัง, ข้าวโพด, ปาล์มน้ำมัน และยางพารา ✔️ อุดหนุนเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำ ✔️ ควบคุมต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และค่าแรง มาตรการระยะยาว 🌱 พัฒนาพันธุ์พืชใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และความต้องการของตลาด 📡 นำเทคโนโลยี และนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) มาช่วยเพิ่มผลผลิต 📊 เชื่อมโยงข้อมูลตลาดล่วงหน้า (Agri-Market Intelligence) เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาตกต่ำ 👩‍🌾 เกษตรกรไทยต้องมีรายได้ที่มั่นคง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้! แก้ปัญหาวิกฤติอุตสาหกรรมประมง เร่งจ่ายเงินเยียวยา อุตสาหกรรมประมงของไทย ได้รับผลกระทบหนักจากนโยบาย "นำเรือออกนอกระบบ" เพื่อลดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ทำให้เจ้าของเรือจำนวนมาก ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา แนวทางการช่วยเหลือ ✅ กรมประมง และกระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยา ให้เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ ✅ เสนอที่ประชุม ครม. เพื่ออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม ✅ ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมประมง ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบสากล โดยไม่กระทบต่อผู้ประกอบการ 🎣 รัฐบาลยืนยันว่า ประมงไทยจะต้องอยู่รอด และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้! คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ปรับกฎหมายให้รัดกุมขึ้น ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า กำลังระบาดในกลุ่มเยาวชนอย่างหนัก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ และการเสพติดในระยะยาว รัฐบาลจึงเร่งหามาตรการควบคุมอย่างจริงจัง มาตรการเร่งด่วน 🚫 ปรับแก้ข้อกฎหมาย เพื่อให้การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมายชัดเจนยิ่งขึ้น 🚫 เพิ่มโทษสำหรับการนำเข้า และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต 🚫 คุมเข้มโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่โฆษณาขายบุหรี่ไฟฟ้า มาตรการให้ความรู้เยาวชน 📢 จัดแคมเปญให้ความรู้ เรื่องอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน 📢 สร้างระบบแจ้งเบาะแส เพื่อให้ประชาชนช่วยกันสอดส่อง 🚭 รัฐบาลมุ่งมั่นปกป้องสุขภาพเยาวชนไทย จากภัยของบุหรี่ไฟฟ้า! เดินหน้าปฏิบัติการ กัดไม่ปล่อย! การประชุม ครม. ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทำงาน ที่จริงจังของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ✅ กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำลายเครือข่ายอาชญากรรม ✅ ตรึงราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ✅ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมง ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ✅ คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ป้องกันภัยสุขภาพและการเสพติด 🏛️ รัฐบาลยืนยัน! จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเห็นผล! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 262122 ก.พ. 2568 📌 #รัฐบาลไทย #ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ราคาสินค้าเกษตร #ปัญหาประมง #บุหรี่ไฟฟ้า #ปกป้องเยาวชน #นโยบายรัฐ #ครม2568 #เกษตรกรไทย #หยุดแก๊งมิจฉาชีพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1408 มุมมอง 0 รีวิว
  • "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน

    “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่

    - นครราชสีมา
    - ชัยภูมิ
    - บุรีรัมย์
    - สุรินทร์
    - ศรีสะเกษ
    - อุบลราชธานี
    - อำนาจเจริญ
    - ยโสธร

    กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน

    ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร?
    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

    1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง
    เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย”

    2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย
    หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
    การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่

    ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน

    สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง

    รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ

    ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน

    รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย

    แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ
    เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

    ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง

    ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร

    ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย"
    แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่

    สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน
    ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ
    ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย

    ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้
    ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน
    ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้

    กรณีเหตุกราดยิงในโคราช
    เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม

    ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568

    #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    "บิ๊กต๋อง" งัดยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” ล้างอาชญากรอีสานใต้ เช็กรูรั่วแนวชายแดน “บิ๊กต๋อง” หรือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) ได้ประกาศใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) เป็นแนวทางหลัก ในการปราบปรามอาชญากรรมใน 8 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ - นครราชสีมา - ชัยภูมิ - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีสะเกษ - อุบลราชธานี - อำนาจเจริญ - ยโสธร กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมา เพื่อสกัดและทำลายภัยคุกคามร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ อาชญากรติดอาวุธหนัก หรือกลุ่มที่กระทำผิดรุนแรงต่อสังคม แนวทางนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเด็ดขาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการ ไล่เช็กรูรั่วตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบกระทำผิดข้ามแดน ทำความเข้าใจยุทธวิธี “สตอป แอนด์ ดีสทรอย” คืออะไร? ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" (Stop & Destroy) มีเป้าหมายหลักคือ การยับยั้ง และทำลายภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อประชาชน และความมั่นคง โดยมี 2 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1️⃣ "สตอป" (Stop) คือ หยุดยั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสกัด และควบคุมเป้าหมาย โดยใช้วิธีการเจรจา วางกำลังปิดล้อม หรือบีบให้เป้าหมาย เข้าสู่สถานการณ์ที่ตำรวจสามารถควบคุมได้ หากเป้าหมายให้ความร่วมมือ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอน “ดีสทรอย” 2️⃣ "ดีสทรอย" (Destroy) ทำลาย หากเป้าหมายไม่ยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมคุกคามรุนแรง เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด การใช้อาวุธเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ยุทธวิธีนี้เน้นความรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปตามกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ที่ตำรวจอีสานใต้ ใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ✅ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ใช้เมื่อเผชิญกับ เครือข่ายค้ายาเสพติดที่ติดอาวุธ และพร้อมปะทะ ปฏิบัติการมักเกิดขึ้นในพื้นที่ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว หรือกรณีที่พบการลักลอบขนยาเสพติด ผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น แนวป่าชายแดน หรือแม่น้ำโขง ✅ รับมือกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มก่อการร้าย เมื่อเผชิญกับผู้ก่ออาชญากรรมที่มีอาวุธหนัก และปฏิเสธการมอบตัว รวมถึงกรณีที่ต้องเข้าจู่โจม แหล่งกบดานของอาชญากรข้ามชาติ ✅ ไล่ล่าคนร้ายที่พยายามหลบหนี ใช้เมื่อคนร้ายขับรถแหกด่าน หรือมีแนวโน้มใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีมาตรการในการ ปิดล้อมสกัดจับ เพื่อไม่ให้คนร้ายสร้างอันตรายต่อประชาชน ✅ รับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในสถานการณ์เหตุกราดยิง หรือเหตุรุนแรงที่กระทบต่อสาธารณชน มุ่งเน้นการระงับเหตุโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสีย แนวทางปฏิบัติของยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" 📌 ขั้ยตอนแรก วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนดำเนินการ เจ้าหน้าที่ต้องประเมินระดับภัยคุกคาม ก่อนเลือกใช้กำลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ 📌 ขั้นตอนที่สอง ใช้มาตรการป้องกันก่อนใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสั่งให้หยุด หรือเจรจาต่อรอง ก่อนใช้อาวุธ หากคนร้ายให้ความร่วมมือ อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง 📌 ขั้นตอนที่สาม ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็น หากเป้าหมายมีพฤติกรรมรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อาวุธ ตามหลักยุทธวิธี โดยเน้นการยิงเพื่อหยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่การสังหารโดยไม่มีเหตุอันควร 📌 ขั้นตอนสุดท้าย. ควบคุมสถานการณ์หลังปฏิบัติการ ตรวจสอบพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อความโปร่งใส ข้อถกเถียงเกี่ยวกับยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" แม้ว่ายุทธวิธีนี้จะช่วยให้การปฏิบัติงานของตำรวจ มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่ 🔹 สิทธิของผู้ต้องหา การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อาจละเมิดสิทธิมนุษยชน 🔹 ความเสี่ยงต่อประชาชน หากปฏิบัติการเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ 🔹 ความโปร่งใสของการปฏิบัติ ต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ตัวอย่างการใช้ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" ในพื้นที่อีสานใต้ 🔴 ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดชายแดน ตำรวจภูธรภาค 3 ใช้ยุทธวิธีนี้ จับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พบการยิงปะทะในบางกรณี ที่คนร้ายพยายามหลบหนี และใช้กำลังตอบโต้ 🔴 กรณีเหตุกราดยิงในโคราช เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยุทธวิธีนี้ ในการยุติเหตุรุนแรง และป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม ยุทธวิธี "สตอป แอนด์ ดีสทรอย" เป็นแนวทางสำคัญ ที่ตำรวจภูธรภาค 3 นำมาใช้เพื่อลดภัยคุกคามร้ายแรง และรักษาความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้กำลัง แต่หากดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ยุทธวิธีนี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อีสานใต้ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252337 ก.พ. 2568 #StopAndDestroy #บิ๊กต๋อง #ยุทธวิธีตำรวจ #ปราบปรามยาเสพติด #อาชญากรรมอีสานใต้ #แนวชายแดน #ตำรวจภูธรภาค3 #CrimeControl #SouthIsaan #BorderSecurity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1575 มุมมอง 0 รีวิว
  • จเรตำรวจแห่งชาติ เผย ทางการจีนส่ง 3,700 รายชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมียวดี ให้ไทยใช้เป็นข้อมูลคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ ร่วมกับฐานของมูลของตำรวจและสถานทูตต่างประเทศ สั่งเดินหน้าระเบิดสะพานโจร ตัดทรัพยากรที่ใช้ในการกระทำผิด

    วันนี้ (14 ก.พ.) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมกับ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC เพื่อจัดตั้ง Specialized Cyber Scam and Trafficking in Persons for Forced Criminality Taskforce

    พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือเรื่องรายละเอียดที่ทางการไทยได้รวบรวมข้อมูลมาจากมาตรการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ทั้งการตัดการจ่ายไฟ ระงับสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และงดจ่ายน้ำมันตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกำหนดแนวทางในการทำงานร่วมกัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000014827

    #MGROnline #จเรตำรวจแห่งชาติ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #เมียวดี
    จเรตำรวจแห่งชาติ เผย ทางการจีนส่ง 3,700 รายชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมียวดี ให้ไทยใช้เป็นข้อมูลคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ ร่วมกับฐานของมูลของตำรวจและสถานทูตต่างประเทศ สั่งเดินหน้าระเบิดสะพานโจร ตัดทรัพยากรที่ใช้ในการกระทำผิด • วันนี้ (14 ก.พ.) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมกับ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC เพื่อจัดตั้ง Specialized Cyber Scam and Trafficking in Persons for Forced Criminality Taskforce • พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือเรื่องรายละเอียดที่ทางการไทยได้รวบรวมข้อมูลมาจากมาตรการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ทั้งการตัดการจ่ายไฟ ระงับสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และงดจ่ายน้ำมันตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกำหนดแนวทางในการทำงานร่วมกัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000014827 • #MGROnline #จเรตำรวจแห่งชาติ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #เมียวดี
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 716 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตาก – ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ชายแดน ติดตามแผน “แม่สอดโมเดล” ลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมข้ามชาติ ตามส่อง “ชเวโก๊กโก่-เมืองใหม่จีนเทาเมียวดี” พบผู้คนยังใช้ชีวิตปกติ-เดินหน้าก่อสร้างกันครึกโครม หลังไทยระงับจ่ายไฟ-งดส่งออกน้ำมันข้ามแดน

    วันนี้ (10 ก.พ. 68) พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด และ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อติดตามการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ตามมาตรการ “แม่สอดโมเดล” โดยมี พล.ต.ณรงค์ฤทธิ ปาณิกบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 3 นำเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ

    ทั้งนี้ ผบ.บท.พร้อมคณะ ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์จากกองกำลังนเรศวร และตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการแนวชายแดน รวมถึงจุดตรวจสำคัญ เช่น สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ท่าข้าม 34 (ท่าศาลเจ้า) และจุดตรวจการณ์ต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่เฝ้าระวังอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมือง และขนส่งยาเสพติด

    แต่ที่น่าสนใจคือ คณะ ผบ.ทบ.ได้เดินทางไปดูชายแดนที่บ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด ที่บริเวณตรงข้ามฝั่งไทยคือ ชเวโก๊กโก่ เมืองใหม่ของกลุ่มทุนจีน ที่มองจากฝั่งไทยแล้วเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งพบว่าบรรยากาศในฝั่งเมียนมามีการใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่สนใจคณะของฝ่ายไทย นอกจากนี้ยังมีการเดินหน้าก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000013433

    #MGROnline #ตาก #แม่สอดโมเดล #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมข้ามชาติ
    ตาก – ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ชายแดน ติดตามแผน “แม่สอดโมเดล” ลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมข้ามชาติ ตามส่อง “ชเวโก๊กโก่-เมืองใหม่จีนเทาเมียวดี” พบผู้คนยังใช้ชีวิตปกติ-เดินหน้าก่อสร้างกันครึกโครม หลังไทยระงับจ่ายไฟ-งดส่งออกน้ำมันข้ามแดน • วันนี้ (10 ก.พ. 68) พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด และ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อติดตามการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ตามมาตรการ “แม่สอดโมเดล” โดยมี พล.ต.ณรงค์ฤทธิ ปาณิกบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 3 นำเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ • ทั้งนี้ ผบ.บท.พร้อมคณะ ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์จากกองกำลังนเรศวร และตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการแนวชายแดน รวมถึงจุดตรวจสำคัญ เช่น สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ท่าข้าม 34 (ท่าศาลเจ้า) และจุดตรวจการณ์ต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่เฝ้าระวังอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมือง และขนส่งยาเสพติด • แต่ที่น่าสนใจคือ คณะ ผบ.ทบ.ได้เดินทางไปดูชายแดนที่บ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด ที่บริเวณตรงข้ามฝั่งไทยคือ ชเวโก๊กโก่ เมืองใหม่ของกลุ่มทุนจีน ที่มองจากฝั่งไทยแล้วเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งพบว่าบรรยากาศในฝั่งเมียนมามีการใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่สนใจคณะของฝ่ายไทย นอกจากนี้ยังมีการเดินหน้าก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000013433 • #MGROnline #ตาก #แม่สอดโมเดล #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมข้ามชาติ
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 939 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาไม่ให้ประกัน 2 คู่หูจีนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้าน หลังยื่นหลักทรัพย์คนละ 3 แสนบาท ชี้เกรงจะหลบหนี ตามตัวยาก ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน

    วันนี้ (8 ก.พ.2568) พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอฝากขังครั้งแรก นายยี วานโยว (Mr.YE Wanyou) อายุ 28 ปี และนายลี่ เว่ยเจีย (Mr.Lee Weijie) อายุ 29 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาที่ 1-2 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะความเสียหายแก่ผู้อื่น, เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือให้ยืมบัญชี เงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือให้ยืมหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ซึ่งลงทะเบียน ผู้ใช้ในนามของบุคคลหนึ่งแต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 342(1), 343 วรรคสอง, พรบว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ 2550 มาตรา 14(1) วรรคหนึ่ง, พ.ร.ก.มาตรการป้องการและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มราตรา 10, 11

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000012823

    #MGROnline #แก๊งคอลเซ็นเตอร์
    ศาลอาญาไม่ให้ประกัน 2 คู่หูจีนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้าน หลังยื่นหลักทรัพย์คนละ 3 แสนบาท ชี้เกรงจะหลบหนี ตามตัวยาก ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน • วันนี้ (8 ก.พ.2568) พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอฝากขังครั้งแรก นายยี วานโยว (Mr.YE Wanyou) อายุ 28 ปี และนายลี่ เว่ยเจีย (Mr.Lee Weijie) อายุ 29 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาที่ 1-2 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะความเสียหายแก่ผู้อื่น, เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือให้ยืมบัญชี เงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือให้ยืมหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ซึ่งลงทะเบียน ผู้ใช้ในนามของบุคคลหนึ่งแต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 342(1), 343 วรรคสอง, พรบว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ 2550 มาตรา 14(1) วรรคหนึ่ง, พ.ร.ก.มาตรการป้องการและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มราตรา 10, 11 • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000012823 • #MGROnline #แก๊งคอลเซ็นเตอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 593 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ "ทลายมังกรเทาชลบุรี" เข้าตรวจค้น 5 จุดในจังหวัดชลบุรี พบกลุ่มชาวจีนเทาใช้คริปโตเคอร์เรนซีจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และจดทะเบียนนิติบุคคลกว่า 40 แห่ง เพื่อดำเนินธุรกิจปล่อยเช่า รับชำระค่าบริการผ่าน USDT และสกุลเงินต่างประเทศ ตำรวจยึดหลักฐานสำคัญ พร้อมเตรียมขยายผลดำเนินคดีกับเครือข่ายผู้กระทำผิด มุ่งปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินประเทศ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008991

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ "ทลายมังกรเทาชลบุรี" เข้าตรวจค้น 5 จุดในจังหวัดชลบุรี พบกลุ่มชาวจีนเทาใช้คริปโตเคอร์เรนซีจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และจดทะเบียนนิติบุคคลกว่า 40 แห่ง เพื่อดำเนินธุรกิจปล่อยเช่า รับชำระค่าบริการผ่าน USDT และสกุลเงินต่างประเทศ ตำรวจยึดหลักฐานสำคัญ พร้อมเตรียมขยายผลดำเนินคดีกับเครือข่ายผู้กระทำผิด มุ่งปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินประเทศ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008991 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Haha
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1375 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว หลังมีข่าวแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกนักท่องเที่ยวจีนไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน หวังสร้างความเชื่อมั่น พร้อมรองรับสถานการณ์ในทุกมิติ

    จากกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวจีนถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม

    วันนี้ (12 ม.ค.) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปทท.ตร.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในทุกมิติ เพื่อความเชื่อมั่นในการเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000003379

    #MGROnline #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #ยกระดับ #มาตรการดูแลความปลอดภัย #นักท่องเที่ยว #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #หลอกนักท่องเที่ยวจีน
    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว หลังมีข่าวแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกนักท่องเที่ยวจีนไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน หวังสร้างความเชื่อมั่น พร้อมรองรับสถานการณ์ในทุกมิติ • จากกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวจีนถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม • วันนี้ (12 ม.ค.) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปทท.ตร.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในทุกมิติ เพื่อความเชื่อมั่นในการเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000003379 • #MGROnline #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #ยกระดับ #มาตรการดูแลความปลอดภัย #นักท่องเที่ยว #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #หลอกนักท่องเที่ยวจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 808 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงราย - ตร.สงสัย 151 คนไทยถูกปล่อยพ้นคุกพม่าวันนี้ บางคนเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ พบบางรายลอบข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ

    วันนี้ (4 ม.ค.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.เปิดเผยกรณีทางการเมียนมา จะปล่อยตัวคนไทยจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน หญิง 77 คน เนื่องในวันปลดปล่อยเอกราชหรือวันชาติเมียนมา 4 ม.ค.ของทุกปี

    หลังจากทั้งหมดถูกจับกุมระหว่างเมียนมากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ในท่าขี้เหล็ก และถูกศาลจำคุกที่เชียงตุง

    พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่าตนได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผบ.ตร.ประเทศเมียนมา ขณะเดินทางไปประชุมที่กรุงเนปิดอร์ เมืองหลวงของเมียนมาและได้ขอให้มีการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 151 คน ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่ได้รับการลดโทษให้เหลือเวลา 10 เดือน กระทั่งได้รับการปล่อยตัวในครั้งนี้ ซึ่งต้องขอบคุณทาง ผบ.ตร.เมียนมา ด้วย

    ทั้งนี้คนกลุ่มนี้เดิมมีจำนวน 154 คน แต่ได้เสียชีวิตขณะถูกจำคุก 1 คน และได้กลับมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 คน จึงเหลือ 151 คน ทั้งหมดส่วนใหญ่ออกนอกประเทศไทยด้วยการทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว แต่มีอยู่จำนวน 4 คนที่ไมได้ทำบัตรผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืงอ (ตม.) แต่ออกไปตามช่องทางธรรมชาติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000962

    #MGROnline #เชียงราย #คุกพม่า #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #บ่อนพนันออนไลน์
    เชียงราย - ตร.สงสัย 151 คนไทยถูกปล่อยพ้นคุกพม่าวันนี้ บางคนเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ พบบางรายลอบข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ • วันนี้ (4 ม.ค.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.เปิดเผยกรณีทางการเมียนมา จะปล่อยตัวคนไทยจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน หญิง 77 คน เนื่องในวันปลดปล่อยเอกราชหรือวันชาติเมียนมา 4 ม.ค.ของทุกปี • หลังจากทั้งหมดถูกจับกุมระหว่างเมียนมากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์ในท่าขี้เหล็ก และถูกศาลจำคุกที่เชียงตุง • พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่าตนได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผบ.ตร.ประเทศเมียนมา ขณะเดินทางไปประชุมที่กรุงเนปิดอร์ เมืองหลวงของเมียนมาและได้ขอให้มีการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 151 คน ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่ได้รับการลดโทษให้เหลือเวลา 10 เดือน กระทั่งได้รับการปล่อยตัวในครั้งนี้ ซึ่งต้องขอบคุณทาง ผบ.ตร.เมียนมา ด้วย • ทั้งนี้คนกลุ่มนี้เดิมมีจำนวน 154 คน แต่ได้เสียชีวิตขณะถูกจำคุก 1 คน และได้กลับมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 คน จึงเหลือ 151 คน ทั้งหมดส่วนใหญ่ออกนอกประเทศไทยด้วยการทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว แต่มีอยู่จำนวน 4 คนที่ไมได้ทำบัตรผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืงอ (ตม.) แต่ออกไปตามช่องทางธรรมชาติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000962 • #MGROnline #เชียงราย #คุกพม่า #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #บ่อนพนันออนไลน์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 886 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงราย - ไทยเตรียมตั้งโต๊ะสอบ/คัดแยก เป็นเหยื่อค้ามนุษย์จริงหรือไม่ต่อ วันชาติเมียนมาปล่อยคนไทย 151 คน พ้นคุกเชียงตุงกลับแม่สาย หลังโดนจับกุมตามนโยบายกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์กลางท่าขี้เหล็ก ตั้งแต่ต้นปี 67 คาดทั้งถึงท่าขี้เหล็กค่ำนี้

    วันนี้ (4 ม.ค.) ที่ด่านพรมแดนสะพานม้ตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย รอรับการปล่อยตัวคนไทยจากทางการเมียนมาจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน

    ซึ่งทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่เมียนมาจับกุมช่วงที่ทางการเมียนมาปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนการพนันออนไลน์ผิดกฎหมายอย่างหนักใน จ.ท่าขี้เหล็ก ระหว่างวันที่ 23 ก.พ.-18 มี.ค.2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับชาวจีนและชาวเมียนมารวมกันหลายร้อยคน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000948

    #MGROnline #เชียงราย #เหยื่อค้ามนุษย์
    เชียงราย - ไทยเตรียมตั้งโต๊ะสอบ/คัดแยก เป็นเหยื่อค้ามนุษย์จริงหรือไม่ต่อ วันชาติเมียนมาปล่อยคนไทย 151 คน พ้นคุกเชียงตุงกลับแม่สาย หลังโดนจับกุมตามนโยบายกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-บ่อนพนันออนไลน์กลางท่าขี้เหล็ก ตั้งแต่ต้นปี 67 คาดทั้งถึงท่าขี้เหล็กค่ำนี้ • วันนี้ (4 ม.ค.) ที่ด่านพรมแดนสะพานม้ตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ตร.นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย รอรับการปล่อยตัวคนไทยจากทางการเมียนมาจำนวน 151 คน เป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน • ซึ่งทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่เมียนมาจับกุมช่วงที่ทางการเมียนมาปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนการพนันออนไลน์ผิดกฎหมายอย่างหนักใน จ.ท่าขี้เหล็ก ระหว่างวันที่ 23 ก.พ.-18 มี.ค.2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับชาวจีนและชาวเมียนมารวมกันหลายร้อยคน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000000948 • #MGROnline #เชียงราย #เหยื่อค้ามนุษย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 838 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติจับมือกสทช. เดินหน้า “ระเบิดสะพานโจร” ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งปิดสวิตซ์เสาสัญญาณ 3 จุดใกล้แนวชายแดน ส่งสัญญาณให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ขู่เอาผิดคนไทยข้ามแดนไปทำงาน

    วันนี้ (28 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประชุมสรุปสถานการณ์อาชญากรรมคดีออนไลน์ในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่ห้องประชุม ศปก.ตม.จว.สระแก้ว จากนั้นลงพื้นที่บริเวณชายแดนเพื่อตรวจดูตึก 25 ชั้นฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่มองเห็นจากฝั่งไทย และลงพื้นที่ข้างเคียงเพื่อตรวจสอบเสา และสายส่งสัญญาณ พร้อมแถลงข่าว ณ ตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000124737

    #MGROnline #ระเบิดสะพานโจร
    สำนักงานตำรวจแห่งชาติจับมือกสทช. เดินหน้า “ระเบิดสะพานโจร” ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งปิดสวิตซ์เสาสัญญาณ 3 จุดใกล้แนวชายแดน ส่งสัญญาณให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ขู่เอาผิดคนไทยข้ามแดนไปทำงาน • วันนี้ (28 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประชุมสรุปสถานการณ์อาชญากรรมคดีออนไลน์ในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่ห้องประชุม ศปก.ตม.จว.สระแก้ว จากนั้นลงพื้นที่บริเวณชายแดนเพื่อตรวจดูตึก 25 ชั้นฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่มองเห็นจากฝั่งไทย และลงพื้นที่ข้างเคียงเพื่อตรวจสอบเสา และสายส่งสัญญาณ พร้อมแถลงข่าว ณ ตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000124737 • #MGROnline #ระเบิดสะพานโจร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 760 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบช.น. ร่วมกทม. ป.ป.ส. ตรวจยาเสพติดสถานบันเทิงย่านข้าวสาร เตรียมความพร้อมปราบปรามอาชญากรรมเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2568

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000122643

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบช.น. ร่วมกทม. ป.ป.ส. ตรวจยาเสพติดสถานบันเทิงย่านข้าวสาร เตรียมความพร้อมปราบปรามอาชญากรรมเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2568 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000122643 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1053 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" CIB Nominee sweep ep.2 รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิด4 ธันวาคม 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.ฐากิจจ์ โตเกียรติชูกรณ์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยมี นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , หม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้แทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมแถลงข่าวด้วยสืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลให้ดำเนินการ กวาดล้างธุรกิจตัวแทนอำพรางหรือนอมินีในประเทศไทย ซึ่งประกอบอาชีพต้องห้ามตามกฎหมาย แข่งขันแย่งอาชีพคนไทย และหลีกเลี่ยงการเสียภาษี โดยพบว่าส่วนหนึ่งเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมออนไลน์ ใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน คอนโด และโครงการบ้านหรู ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยประสานความร่วมมือไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) “การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (NOMINEE)” ระหว่างตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 มีการเชื่อมต่อระบบข้อมูลผู้จดทะเบียนนิติบุคคลกับระบบข้อมูลกลาง ของตำรวจสอบสวนกลาง (BIG DATA) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลในการป้องกันปราบปรามนิติบุคคลต้องสงสัย ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคล ตลอดห้วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจของ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท พบว่า มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้ง กรณีใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคลจึงขออนุมัติศาลเพื่อขอหมายเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย อาทิเช่น สำนักงานบัญชี โกดัง/คลังสินค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ร้านรับแลกเงินต่างประเทศ/เงินดิจิทัล บริษัทอสังหาริมทรัพย์และบ้านหรูที่ถือครองโดยผิดกฎหมาย จากการตรวจค้น รวบรวมพยานหลักฐานและพยานเอกสารที่ตรวจยึด ทำให้พบแผนประทุษกรรมในการกระทำความผิด 2 รูปแบบ คือ (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) (2) การจดทะเบียนบริษัท ในลักษณะของบริษัทม้า เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนผลประโยชน์จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และใช้ในการฟอกเงิน ผลการปฏิบัติ(ภาพรวม) 1) ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 46 จุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ 2) พบเอกสารเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของบุคคลและนิติบุคคล จำนวนทั้งสิ้น 442 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 1,189 ล้านบาท ตรวจพบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท 3) การดำเนินคดี - นิติบุคคล จำนวน 442 ราย - บุคคล จำนวน 1,014 ราย (กรรมการ, ผู้ถือหุ้น, ผู้ทำบัญชี, ทนายความ, นายทุน) (สัญชาติจีน 258 ราย, ไทย 714 ราย, เยอรมัน 3 ราย, อังกฤษ 3 ราย, ญี่ปุ่น 2 ราย, เมียนมาร์ 2 ราย, กัมพูชา 4 ราย, อเมริกัน 1 ราย, มาเลเซีย 21 ราย,เวียดนาม 4 ราย ,สิงคโปร์ 1 ราย ,คาซัคสถาน 1 ราย 4) ของกลางและทรัพย์สินที่ตรวจยึด 1. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 34 เล่ม 2. เอกสารการถือครองที่ดิน จำนวน 22 ฉบับ รวมมูลค่า 254 ล้านบาท 3. ตราประทับบริษัทต่างๆ จำนวน 494 ชิ้น 4. ป้ายบริษัท จำนวน 67 ป้าย 5. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 24 เครื่อง 6. ธนบัตรสกุลเงินไทยและต่างประเทศ จำนวน 1,149,290 บาท 7. เครื่องนับธนบัตร จำนวน 2 เครื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 2. พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 3. พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล พ.ศ.2561 4. พ.ร.บ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา พ.ศ.2485 5. พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 6. พ.ร.ก.การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 7. ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 8. ประมวลกฎหมายอาญา 9. พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) ชาวต่างชาติจะว่าจ้าง บริษัทบัญชี ในการจดทะเบียนนิติบุคคลประกอบธุรกิจโดยใช้คนไทยเข้ามาเป็นตัวแทนอำพราง หรือที่เรียกว่า “นอมินี” ถือหุ้นแทนชาวต่างชาติในสัดส่วนที่ไม่เกินกว่าที่กำหนด เพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมายและการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ มาประกอบธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับคนไทย ตลอดจนการถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบนิติบุคคล 244 ราย บุคคล 319 ราย (จีน 248,ไทย 57 สัญชาติอื่น 14 ราย) เบื้องต้นตรวจพบบริษัทลักษณะเป็นนอมินีของชาวต่างชาติ จำแนกเป็นธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นการค้าที่ดิน, ท่องเที่ยว, ธุรกิจบริการและธุรกิจประเภทอื่นๆ มีทุนจดทะเบียนรวมกัน 891,000,000 บาท จุดตรวจค้นที่ 1 รวม 8 จุด : สำนักงานบัญชี 3 แห่ง และบริษัทนอมินี 5 ที่ถือครองบ้านหรู - พบ ชาวต่างชาติสัญชาติจีนจดทะเบียนนิติบุคคลร่วมทุนกับคนไทยโดยมีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่น่าสงสัย เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบนิติบุคคลที่จดทะเบียนเพื่อถือครองอสังหาริมทรัพย์หลายรายการ เช่น โฉนดที่ดินลักษณะเป็นบ้านหรู และที่ดินเพื่อการเกษตร รวม 22 แปลง รวมมูลค่า 254 ล้านบาท รวมถึงตราประทับของบริษัทต่างๆ จำนวนกว่า 242 ชิ้น และยังพบข้อมูลการว่าจ้างบริษัทรับทำบัญชีและจดทะเบียนบริษัทที่รับทำบัญชีและจดจัดตั้งบริษัทให้กับชาวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มคนจีน โดยจะใช้ชื่อของตนเอง กลุ่มเครือญาติของตน รวมทั้งลูกจ้างของบริษัทเข้าไปถือหุ้นร่วมกับชาวต่างชาติ ในสัดส่วนของคนไทย เพื่อหลบหลีกข้อกฎหมาย จุดตรวจค้นที่ 2 รวม 7 จุด : ร้านค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน และโกดังนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ - ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการและ สมุทรสาคร พบสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากต่างประเทศจำนวนหลายแสนชิ้น จึงได้ตรวจยึดสินค้าทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้นพบสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร (สินค้าต้องห้ามนำเข้า, สินค้าที่ไม่ผ่านอนุญาต อย.) จุดตรวจค้นที่ 3 รวม 8 จุด : บริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ, สินทรัพย์ดิจิทัล USDT - พื้นที่กรุงเทพมหานคร ลักลอบเปิดกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (USDT) โดยผิดกฎหมาย พบสถานประกอบการที่ดำเนินการโดยใช้ชื่อคนไทย ตรวจยึด สิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจำนวนมาก เช่น ธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศ เครื่องนับธนบัตร คอมพิวเตอร์ บัญชีธนาคารของคนจีน โบชัวร์รับแลกเงิน(USDT) โดยพบว่ามีชาวจีน 6 คนเป็นเจ้าของธุรกิจใชวีซาทองเที่ยวและวีซ่านักศึกษาเขามาในประเทศ (2) การจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล ในลักษณะของบริษัทม้า จากการวิเคราะห์แผนประทุษกรรม พบว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปลี่ยนมาใช้บัญชีบริษัทเพื่อเปิด “บัญชีม้านิติบุคคล” แทนบัญชีบุคคลเพื่อรับโอนเงิน เนื่องจากสามารถโอนเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน ต่อครั้ง/ต่อวัน, ไม่ต้องทำการ KYC, สามารถโอนผ่าน browser (internet banking ) โดยเพียงมี User และ password ของบัญชีนิติบุคคล เท่านั้น กลุ่มมิจฉาชีพจึง ว่าจ้างสำนักงานบัญชี/สำนักงานทนายความ ในการจดทะเบียนนิติบุคคล จัดหาบัญชีหรือ “คอกม้า” โดยแอบอ้างใช้ชื่อคนไทยเข้าไปเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น เพื่ออำพราง เมื่อจดทะเบียนสำเร็จ จะนำนิติบุคคลดังกล่าวไปเปิดบัญชีเพื่อรับโอนผลประโยชน์หรือฟอกเงิน โดยไม่มีการประกอบกิจการจริง และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพในการหลอกลวงประชาชน จากการตรวจสอบข้อมูลการแจ้งความร้องทุกข์ผ่าน ระบบรับแจ้งความออนไลน์ (Thai police online) พบบริษัทที่มีลักษณะเข้าข่ายบริษัทนิติบุคคลม้าจำนวนหลายบริษัท จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ ได้แก่ ชลบุรี 10 จุด กรุงเทพมหานคร 3 จุด เชียงใหม่ 3 ราชบุรี 2 จุด จังหวัดละ 1 จุด ประกอบด้วย ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี จุดประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เผยว่า ผลการปฏิบัติ พบ นายทุน ชาวจีน, ชาวมาเลเซีย(สัญญาชาติจีน) รวม 8 ราย ว่าจ้างบริษัทบัญชีรวม 14 บริษัท จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร โดยมีทนายความ ผู้ทำบัญชี ผู้รับมอบอำนาจในการจดทะเบียน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด และจากการขยายผล พบนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 198 บริษัท บุคคลธรรมดา 695 ราย (เป็นต่างชาติ 37 คน คนไทย 658 คน) ตรวจยึด บัญชีธนาคาร 314 บัญชี เงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังพบว่า สำนักงานบัญชี บริษัทกฎหมาย สำนักงานทนายความ มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นกับการกระทำความผิด โดยรับรองลายมือชื่ออันเป็นเท็จ ในเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน มีความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และประมวลกฎหมายอาญา (รับรองเอกสารอันเป็นเท็จ, แจ้งเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จ) จึงได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่บัญชี และ ทนายความ จำนวน 25 ราย รวมทั้งได้มีหนังสือแจ้งไปยัง สภาทนายความ และสภาวิชาชีพบัญชี เพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาต ต่อไป ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยถึงพี่น้องประชาชน การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้น โดยการนำเอาชื่อของตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดไปก่อตั้งบริษัทให้กับบุคคลต่างชาติ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนชาวต่างชาติเข้ามาแสวงผลประโยชน์ภายในประเทศ อันส่งผลกระทบภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น การแข่งขันทางธุรกิจในประเทศ และธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับประชาชนคนไทยซึ่งจะมีความผิดทั้งนิติบุคคลและผู้ให้ความช่วยเหลือ อันเป็นความผิดตาม พรบ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
    ยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" CIB Nominee sweep ep.2 รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิด4 ธันวาคม 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.ฐากิจจ์ โตเกียรติชูกรณ์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยมี นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , หม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้แทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมแถลงข่าวด้วยสืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลให้ดำเนินการ กวาดล้างธุรกิจตัวแทนอำพรางหรือนอมินีในประเทศไทย ซึ่งประกอบอาชีพต้องห้ามตามกฎหมาย แข่งขันแย่งอาชีพคนไทย และหลีกเลี่ยงการเสียภาษี โดยพบว่าส่วนหนึ่งเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมออนไลน์ ใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน คอนโด และโครงการบ้านหรู ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยประสานความร่วมมือไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) “การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (NOMINEE)” ระหว่างตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 มีการเชื่อมต่อระบบข้อมูลผู้จดทะเบียนนิติบุคคลกับระบบข้อมูลกลาง ของตำรวจสอบสวนกลาง (BIG DATA) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลในการป้องกันปราบปรามนิติบุคคลต้องสงสัย ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคล ตลอดห้วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจของ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท พบว่า มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้ง กรณีใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคลจึงขออนุมัติศาลเพื่อขอหมายเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย อาทิเช่น สำนักงานบัญชี โกดัง/คลังสินค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ร้านรับแลกเงินต่างประเทศ/เงินดิจิทัล บริษัทอสังหาริมทรัพย์และบ้านหรูที่ถือครองโดยผิดกฎหมาย จากการตรวจค้น รวบรวมพยานหลักฐานและพยานเอกสารที่ตรวจยึด ทำให้พบแผนประทุษกรรมในการกระทำความผิด 2 รูปแบบ คือ (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) (2) การจดทะเบียนบริษัท ในลักษณะของบริษัทม้า เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนผลประโยชน์จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และใช้ในการฟอกเงิน ผลการปฏิบัติ(ภาพรวม) 1) ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 46 จุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ 2) พบเอกสารเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของบุคคลและนิติบุคคล จำนวนทั้งสิ้น 442 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 1,189 ล้านบาท ตรวจพบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท 3) การดำเนินคดี - นิติบุคคล จำนวน 442 ราย - บุคคล จำนวน 1,014 ราย (กรรมการ, ผู้ถือหุ้น, ผู้ทำบัญชี, ทนายความ, นายทุน) (สัญชาติจีน 258 ราย, ไทย 714 ราย, เยอรมัน 3 ราย, อังกฤษ 3 ราย, ญี่ปุ่น 2 ราย, เมียนมาร์ 2 ราย, กัมพูชา 4 ราย, อเมริกัน 1 ราย, มาเลเซีย 21 ราย,เวียดนาม 4 ราย ,สิงคโปร์ 1 ราย ,คาซัคสถาน 1 ราย 4) ของกลางและทรัพย์สินที่ตรวจยึด 1. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 34 เล่ม 2. เอกสารการถือครองที่ดิน จำนวน 22 ฉบับ รวมมูลค่า 254 ล้านบาท 3. ตราประทับบริษัทต่างๆ จำนวน 494 ชิ้น 4. ป้ายบริษัท จำนวน 67 ป้าย 5. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 24 เครื่อง 6. ธนบัตรสกุลเงินไทยและต่างประเทศ จำนวน 1,149,290 บาท 7. เครื่องนับธนบัตร จำนวน 2 เครื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 2. พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 3. พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล พ.ศ.2561 4. พ.ร.บ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา พ.ศ.2485 5. พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 6. พ.ร.ก.การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 7. ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 8. ประมวลกฎหมายอาญา 9. พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) ชาวต่างชาติจะว่าจ้าง บริษัทบัญชี ในการจดทะเบียนนิติบุคคลประกอบธุรกิจโดยใช้คนไทยเข้ามาเป็นตัวแทนอำพราง หรือที่เรียกว่า “นอมินี” ถือหุ้นแทนชาวต่างชาติในสัดส่วนที่ไม่เกินกว่าที่กำหนด เพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมายและการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ มาประกอบธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับคนไทย ตลอดจนการถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบนิติบุคคล 244 ราย บุคคล 319 ราย (จีน 248,ไทย 57 สัญชาติอื่น 14 ราย) เบื้องต้นตรวจพบบริษัทลักษณะเป็นนอมินีของชาวต่างชาติ จำแนกเป็นธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นการค้าที่ดิน, ท่องเที่ยว, ธุรกิจบริการและธุรกิจประเภทอื่นๆ มีทุนจดทะเบียนรวมกัน 891,000,000 บาท จุดตรวจค้นที่ 1 รวม 8 จุด : สำนักงานบัญชี 3 แห่ง และบริษัทนอมินี 5 ที่ถือครองบ้านหรู - พบ ชาวต่างชาติสัญชาติจีนจดทะเบียนนิติบุคคลร่วมทุนกับคนไทยโดยมีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่น่าสงสัย เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบนิติบุคคลที่จดทะเบียนเพื่อถือครองอสังหาริมทรัพย์หลายรายการ เช่น โฉนดที่ดินลักษณะเป็นบ้านหรู และที่ดินเพื่อการเกษตร รวม 22 แปลง รวมมูลค่า 254 ล้านบาท รวมถึงตราประทับของบริษัทต่างๆ จำนวนกว่า 242 ชิ้น และยังพบข้อมูลการว่าจ้างบริษัทรับทำบัญชีและจดทะเบียนบริษัทที่รับทำบัญชีและจดจัดตั้งบริษัทให้กับชาวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มคนจีน โดยจะใช้ชื่อของตนเอง กลุ่มเครือญาติของตน รวมทั้งลูกจ้างของบริษัทเข้าไปถือหุ้นร่วมกับชาวต่างชาติ ในสัดส่วนของคนไทย เพื่อหลบหลีกข้อกฎหมาย จุดตรวจค้นที่ 2 รวม 7 จุด : ร้านค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน และโกดังนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ - ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการและ สมุทรสาคร พบสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากต่างประเทศจำนวนหลายแสนชิ้น จึงได้ตรวจยึดสินค้าทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้นพบสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร (สินค้าต้องห้ามนำเข้า, สินค้าที่ไม่ผ่านอนุญาต อย.) จุดตรวจค้นที่ 3 รวม 8 จุด : บริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ, สินทรัพย์ดิจิทัล USDT - พื้นที่กรุงเทพมหานคร ลักลอบเปิดกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (USDT) โดยผิดกฎหมาย พบสถานประกอบการที่ดำเนินการโดยใช้ชื่อคนไทย ตรวจยึด สิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจำนวนมาก เช่น ธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศ เครื่องนับธนบัตร คอมพิวเตอร์ บัญชีธนาคารของคนจีน โบชัวร์รับแลกเงิน(USDT) โดยพบว่ามีชาวจีน 6 คนเป็นเจ้าของธุรกิจใชวีซาทองเที่ยวและวีซ่านักศึกษาเขามาในประเทศ (2) การจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล ในลักษณะของบริษัทม้า จากการวิเคราะห์แผนประทุษกรรม พบว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปลี่ยนมาใช้บัญชีบริษัทเพื่อเปิด “บัญชีม้านิติบุคคล” แทนบัญชีบุคคลเพื่อรับโอนเงิน เนื่องจากสามารถโอนเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน ต่อครั้ง/ต่อวัน, ไม่ต้องทำการ KYC, สามารถโอนผ่าน browser (internet banking ) โดยเพียงมี User และ password ของบัญชีนิติบุคคล เท่านั้น กลุ่มมิจฉาชีพจึง ว่าจ้างสำนักงานบัญชี/สำนักงานทนายความ ในการจดทะเบียนนิติบุคคล จัดหาบัญชีหรือ “คอกม้า” โดยแอบอ้างใช้ชื่อคนไทยเข้าไปเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น เพื่ออำพราง เมื่อจดทะเบียนสำเร็จ จะนำนิติบุคคลดังกล่าวไปเปิดบัญชีเพื่อรับโอนผลประโยชน์หรือฟอกเงิน โดยไม่มีการประกอบกิจการจริง และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพในการหลอกลวงประชาชน จากการตรวจสอบข้อมูลการแจ้งความร้องทุกข์ผ่าน ระบบรับแจ้งความออนไลน์ (Thai police online) พบบริษัทที่มีลักษณะเข้าข่ายบริษัทนิติบุคคลม้าจำนวนหลายบริษัท จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ ได้แก่ ชลบุรี 10 จุด กรุงเทพมหานคร 3 จุด เชียงใหม่ 3 ราชบุรี 2 จุด จังหวัดละ 1 จุด ประกอบด้วย ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี จุดประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เผยว่า ผลการปฏิบัติ พบ นายทุน ชาวจีน, ชาวมาเลเซีย(สัญญาชาติจีน) รวม 8 ราย ว่าจ้างบริษัทบัญชีรวม 14 บริษัท จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร โดยมีทนายความ ผู้ทำบัญชี ผู้รับมอบอำนาจในการจดทะเบียน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด และจากการขยายผล พบนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 198 บริษัท บุคคลธรรมดา 695 ราย (เป็นต่างชาติ 37 คน คนไทย 658 คน) ตรวจยึด บัญชีธนาคาร 314 บัญชี เงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังพบว่า สำนักงานบัญชี บริษัทกฎหมาย สำนักงานทนายความ มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นกับการกระทำความผิด โดยรับรองลายมือชื่ออันเป็นเท็จ ในเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน มีความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และประมวลกฎหมายอาญา (รับรองเอกสารอันเป็นเท็จ, แจ้งเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จ) จึงได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่บัญชี และ ทนายความ จำนวน 25 ราย รวมทั้งได้มีหนังสือแจ้งไปยัง สภาทนายความ และสภาวิชาชีพบัญชี เพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาต ต่อไป ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยถึงพี่น้องประชาชน การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้น โดยการนำเอาชื่อของตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดไปก่อตั้งบริษัทให้กับบุคคลต่างชาติ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนชาวต่างชาติเข้ามาแสวงผลประโยชน์ภายในประเทศ อันส่งผลกระทบภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น การแข่งขันทางธุรกิจในประเทศ และธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับประชาชนคนไทยซึ่งจะมีความผิดทั้งนิติบุคคลและผู้ให้ความช่วยเหลือ อันเป็นความผิดตาม พรบ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1763 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร เตรียมปั้น ตำรวจอินฟลู มาต่อสู้คนเลว
    บิ๊กต่าย ผบ.ตร ได้รับเสียงสรรเสริญจากตํารวจทั้งประเทศ ในการแถลง สิบห้านโยบายหลักของสํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยให้ตํารวจทั้งหมดปฏิบัติตามนโยบายอย่างเร่งด่วนประกอบด้วย
    ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนmindsetให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ให้รางวัลแก่ตํารวจน้ําดี และลงโทษตํารวจเลว พัฒนางานสถานีตํารวจ แก้ไขปัญหางานสอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง สร้างเสริมวินัยจราจร ทํางานเชิงรุกด้านการข่าว ประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรเป็นต้น
    ซึ่ง ข้อหนึ่งที่สร้างความฮือฮาก็คือให้ผู้บัญชาการหรือผู้บังคับการ จะต้องเป็น influencerด้วยตนเอง เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ตํารวจจะต้องเป็น influ เองสักทีเพราะที่ผ่านมา influ สายกฎหมายสายสังคม กลับมาก่อคดีอาญาต่างๆนานาเสียเอง อย่างทนายตั้มที่กลายร่างเป็นทนายต้ม สร้างภาพหลอกลวงสังคมปกปิดความสกปรกชั่วร้ายที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เอกสายไหม ต้องรอด โดนคดีปั่นข่าวเท็จดีไอคอน ด้วยวัตถุประสงค์ลึกลับอะไรสักอย่าง ฟิล์มรัฐภูมิ จ่อถูกดําเนินคดีข้อหาพยายามตบทรัพย์ดิไอคอน แกนนําต้านโกงอย่างเจ๊พัฒน์ กิจอนงค์ สุดท้ายมาโดนคดีตบทรัพย์เสียเอง
    ตัวอย่างเหล่านี้เป็นความพิกลพิการของสังคมไทย ลงภาพลักษณ์ของคนที่ไม่สะอาดจริงปล่อยให้มายึดหัวหาดเป็นอินฟลูเอนเซอร์เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่องค์กรตํารวจยุคบิ๊กต่าย จะผลักดันคนดีคนเก่งในสํานักงานตํารวจแห่งชาติขึ้นมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อคานอํานาจอินฟลูปลอมๆ ทั้งหลาย
    อย่างน้อยตํารวจเก่าสองคนก็ผลักดันตัวเองสําเร็จจนผงาดเป็นอินฟลูชื่อดัง เวลาพูดถึงประเด็นปัญหาใดๆจะมีน้ําหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งก็คือ อาเรย์วัด และผู้การแต้มหรือมือปราบหูดํา 2 คนนี้ให้ความจริงทุกเรื่องอย่างไม่ไว้หน้าใคร
    ในความเป็นอินฟลู ผู้การแต้ม มีจุดยืนชัดเจนไม่หิวแสงการจะไปออกรายการแต่ละทียังเลือกคนร่วมรายการเช่นไม่ยอมไปออกทีวี กับ นายสิธาเบี้ยบังเกิด อย่างเด็ดขาดจนเป็นที่รู้กันว่ารายการใดมีพู่กันแต้มต้องไม่มีทนายตั้ม ส่วนอาเรย์วัดเป็นอินฟูในสายเฮฮาบู๊ล้างผลาญ ต้องติดตามกันต่อไปว่าตํารวจในเครื่องแบบคนใดจะประสบความสําเร็จตามนโยบายนี้ของบิ๊กต่าย ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ผบ.ตร เตรียมปั้น ตำรวจอินฟลู มาต่อสู้คนเลว บิ๊กต่าย ผบ.ตร ได้รับเสียงสรรเสริญจากตํารวจทั้งประเทศ ในการแถลง สิบห้านโยบายหลักของสํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยให้ตํารวจทั้งหมดปฏิบัติตามนโยบายอย่างเร่งด่วนประกอบด้วย ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนmindsetให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ให้รางวัลแก่ตํารวจน้ําดี และลงโทษตํารวจเลว พัฒนางานสถานีตํารวจ แก้ไขปัญหางานสอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง สร้างเสริมวินัยจราจร ทํางานเชิงรุกด้านการข่าว ประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรเป็นต้น ซึ่ง ข้อหนึ่งที่สร้างความฮือฮาก็คือให้ผู้บัญชาการหรือผู้บังคับการ จะต้องเป็น influencerด้วยตนเอง เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ตํารวจจะต้องเป็น influ เองสักทีเพราะที่ผ่านมา influ สายกฎหมายสายสังคม กลับมาก่อคดีอาญาต่างๆนานาเสียเอง อย่างทนายตั้มที่กลายร่างเป็นทนายต้ม สร้างภาพหลอกลวงสังคมปกปิดความสกปรกชั่วร้ายที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เอกสายไหม ต้องรอด โดนคดีปั่นข่าวเท็จดีไอคอน ด้วยวัตถุประสงค์ลึกลับอะไรสักอย่าง ฟิล์มรัฐภูมิ จ่อถูกดําเนินคดีข้อหาพยายามตบทรัพย์ดิไอคอน แกนนําต้านโกงอย่างเจ๊พัฒน์ กิจอนงค์ สุดท้ายมาโดนคดีตบทรัพย์เสียเอง ตัวอย่างเหล่านี้เป็นความพิกลพิการของสังคมไทย ลงภาพลักษณ์ของคนที่ไม่สะอาดจริงปล่อยให้มายึดหัวหาดเป็นอินฟลูเอนเซอร์เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่องค์กรตํารวจยุคบิ๊กต่าย จะผลักดันคนดีคนเก่งในสํานักงานตํารวจแห่งชาติขึ้นมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อคานอํานาจอินฟลูปลอมๆ ทั้งหลาย อย่างน้อยตํารวจเก่าสองคนก็ผลักดันตัวเองสําเร็จจนผงาดเป็นอินฟลูชื่อดัง เวลาพูดถึงประเด็นปัญหาใดๆจะมีน้ําหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งก็คือ อาเรย์วัด และผู้การแต้มหรือมือปราบหูดํา 2 คนนี้ให้ความจริงทุกเรื่องอย่างไม่ไว้หน้าใคร ในความเป็นอินฟลู ผู้การแต้ม มีจุดยืนชัดเจนไม่หิวแสงการจะไปออกรายการแต่ละทียังเลือกคนร่วมรายการเช่นไม่ยอมไปออกทีวี กับ นายสิธาเบี้ยบังเกิด อย่างเด็ดขาดจนเป็นที่รู้กันว่ารายการใดมีพู่กันแต้มต้องไม่มีทนายตั้ม ส่วนอาเรย์วัดเป็นอินฟูในสายเฮฮาบู๊ล้างผลาญ ต้องติดตามกันต่อไปว่าตํารวจในเครื่องแบบคนใดจะประสบความสําเร็จตามนโยบายนี้ของบิ๊กต่าย ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1616 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts