• 'ทรัมป์' ตัดงบมนุษยธรรม 'ไทย' พร้อมช่วยผู้ลี้ภัย ลั่นต้องไม่มีใครตาย
    .
    การประกาศตัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายๆด้านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ส่งผลกระทบมาถึงโรงพยาบาลผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนทันที ซึ่งในประเด็นนี้ท่าทีของรัฐบาลไทยยังคงมั่นใจว่าจะยังสามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามปกติ
    .
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ระบุว่า ส่วนตัวในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน การให้ความสำคัญกับด้านมนุษยธรรมไม่มีใครใส่ใจดีเท่ากับประเทศไทย ในการดูแลผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ในกรณีที่คนที่ไม่ใช่คนไทยแล้วประสบสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด สภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่มีทางเลือกอื่น เราก็ให้การดูแลอย่างเต็มที่
    .
    "สหรัฐอเมริกาจะประกาศอะไรก็เป็นเรื่องของนโยบายเขา แต่ถ้าระบบสาธารณสุขไทยจะไม่มีการปล่อยให้ใครต้องมาเสียชีวิตในประเทศของเรา โดยที่เราสามารถช่วยเหลือเขาได้ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศของเรา" นายอนุทิน ระบุ
    .
    ทั้งนี้ นายอนุทิน มั่นใจว่าการให้ความช่วยเหลือของประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยถึงขนาดที่จะมีผู้ลี้ภียทะลักเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก เพราะมีการป้องกันชายแดนไว้อยู่แล้ว ถ้าเป็นกรณีเข้ามาเพราะหนีความรุนแรง เราก็จะขีดเส้นว่าเขาสามารถอยู่ได้ในบริเวณที่กำหนด และสถานการณ์เปิดก็จะส่งตัวกลับประเทศ
    .
    ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยกับทางผู้นำมาเลเซียถึงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่เป็นความท้าทายของอาเซียนในการนำเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกัน ว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอาเซียนอย่างไร
    .
    "สิ่งไหนที่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ก็จะต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ปัญหา" นายภูมิธรรม กล่าว
    ..............
    Sondhi X
    'ทรัมป์' ตัดงบมนุษยธรรม 'ไทย' พร้อมช่วยผู้ลี้ภัย ลั่นต้องไม่มีใครตาย . การประกาศตัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายๆด้านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ส่งผลกระทบมาถึงโรงพยาบาลผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนทันที ซึ่งในประเด็นนี้ท่าทีของรัฐบาลไทยยังคงมั่นใจว่าจะยังสามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามปกติ . นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ระบุว่า ส่วนตัวในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน การให้ความสำคัญกับด้านมนุษยธรรมไม่มีใครใส่ใจดีเท่ากับประเทศไทย ในการดูแลผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ในกรณีที่คนที่ไม่ใช่คนไทยแล้วประสบสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด สภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่มีทางเลือกอื่น เราก็ให้การดูแลอย่างเต็มที่ . "สหรัฐอเมริกาจะประกาศอะไรก็เป็นเรื่องของนโยบายเขา แต่ถ้าระบบสาธารณสุขไทยจะไม่มีการปล่อยให้ใครต้องมาเสียชีวิตในประเทศของเรา โดยที่เราสามารถช่วยเหลือเขาได้ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศของเรา" นายอนุทิน ระบุ . ทั้งนี้ นายอนุทิน มั่นใจว่าการให้ความช่วยเหลือของประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยถึงขนาดที่จะมีผู้ลี้ภียทะลักเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก เพราะมีการป้องกันชายแดนไว้อยู่แล้ว ถ้าเป็นกรณีเข้ามาเพราะหนีความรุนแรง เราก็จะขีดเส้นว่าเขาสามารถอยู่ได้ในบริเวณที่กำหนด และสถานการณ์เปิดก็จะส่งตัวกลับประเทศ . ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยกับทางผู้นำมาเลเซียถึงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่เป็นความท้าทายของอาเซียนในการนำเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกัน ว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอาเซียนอย่างไร . "สิ่งไหนที่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ก็จะต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ปัญหา" นายภูมิธรรม กล่าว .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 899 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยอมรับว่า สหรัฐอเมริกาไม่เคยชนะสงครามเลยแม้แต่ครั้งเดียวในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา!

    “เราเข้าสู่สงครามเยอะมาก แต่ไม่เคยชนะ สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับชัยชนะในความขัดแย้งทางทหารแม้แต่ครั้งเดียวในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ส่วนกลาโหมเองก็ประสบปัญหาครั้งใหญ่ด้านกำลังพล ปัญหาในการจัดซื้ออาวุธที่ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง เราซื้อเครื่องบินมาในราคาหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งราคาแพงลิ่วจนน่ากลัว กำหนดการส่งมอบก็ล่าช้าเสมอ ดังนั้นมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แน่นอนว่าจะมีคนที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่มีเราจต้องทำ”

    เจ.ดี. แวนซ์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ CBS News



    เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยอมรับว่า สหรัฐอเมริกาไม่เคยชนะสงครามเลยแม้แต่ครั้งเดียวในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา! “เราเข้าสู่สงครามเยอะมาก แต่ไม่เคยชนะ สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับชัยชนะในความขัดแย้งทางทหารแม้แต่ครั้งเดียวในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ส่วนกลาโหมเองก็ประสบปัญหาครั้งใหญ่ด้านกำลังพล ปัญหาในการจัดซื้ออาวุธที่ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง เราซื้อเครื่องบินมาในราคาหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งราคาแพงลิ่วจนน่ากลัว กำหนดการส่งมอบก็ล่าช้าเสมอ ดังนั้นมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แน่นอนว่าจะมีคนที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่มีเราจต้องทำ” เจ.ดี. แวนซ์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ CBS News
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่าเนทันยาฮูจะเข้าพบกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในสัปดาห์หน้า

    นี่อาจเป็นผู้นำประเทศลำดับต้นๆที่มีโอกาสพบทรัมป์ หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
    มีรายงานว่าเนทันยาฮูจะเข้าพบกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในสัปดาห์หน้า นี่อาจเป็นผู้นำประเทศลำดับต้นๆที่มีโอกาสพบทรัมป์ หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดนมาร์กเปิดเผย จะทุ่มงบประมาณ 14,600 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (ประมาณ 2,050 ล้านดอลลาร์ หรือ 69,000 ล้านบาท) เสริมประจำการทางทหารในอาร์กติก ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แสดงความสนใจซ้ำๆ ที่จะเข้าควบคุมกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก และเย้ยหยันโคเปนเฮเกน ว่าไม่มีศักยภาพพอที่จะปกป้องเกาะแห่งนี้
    .
    ในเดือนนี้ ทรัมป์ บอกว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และเดนมาร์กต้องปล่อยมือจากการควบคุมเกาะอาร์กติกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้
    .
    หลังจากปรับลดการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองลงอย่างมากมานานกว่า 1 ทศวรรษ เดนมาร์ก แถลงในวันจันทร์ (27 ม.ค.) ว่าจะใช้จ่ายเงิน 14,600 ล้านโครเนอ ในการเสริมความมั่นคงในภูมิภาคอาร์กติก ดินแดนยุทธศาสตร์ใกล้กับทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย
    .
    "เราต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่า มีความท้าทายร้ายแรงในเรื่องความมั่นคงและด้านการป้องกันตนเองในอาร์กติกและนอร์ทแอตแลนติก" โทรเอลส์ ลุนด์ โพลเซน รัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุในถ้อยแถลง
    .
    ในขณะที่ เดนมาร์ก รับผิดชอบมอบความมั่นคงและการป้องกันตนเองแก่กรีนแลนด์ แต่พวกเขากลับมีแสนยานุภาพทางทหารอย่างจำกัดบนเกาะที่ใหญ่โตแห่งนี้ จนถึงมองอย่างกว้างว่าเป็นหลุมดำด้านความมั่นคง
    .
    ณ ปัจจุบัน ศักยภาพของเดนมาร์กนั้นมีเพียงแค่เรือตรวจการณ์เก่าเก็บ 4 ลำ เครื่องบินลาดตระเวนชาลเลนเจอร์ 1 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 12 ตัว ซึ่งทั้งหมดมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจการณ์ทั่วเกาะ ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าฝรั่งเศสถึง 4 เท่า
    .
    ในงบประมาณใหม่นี้ รวมไปถึงเงินทุนสำหรับเรือราชนาวีอาร์กติกใหม่ 3 ลำ เพิ่มโดรนตรวจการณ์ระยะไกลที่วางแผนไว้อีกเท่าตัวเป็น 4 ลำ เช่นเดียวกับดาวเทียวสอดแนม ถ้อยแถลงรัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุ
    .
    รายงานข่าวระบุว่า บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ของเดนมาร์ก เห็นพ้องกันจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับอาร์กติก ในข้อตกลงหนึ่งๆ ที่จะนำเสนอในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
    .
    ในด้านกองทัพสหรัฐฯ พวกเขามีกำลังพลประจำการถาวรอยู่ ณ ฐานทัพอวกาศพิทัฟฟิก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะกรีนแลนด์ ตำแหน่งยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของระบบแจ้งเตือนขีปนาวุธล่วงหน้า ในขณะที่จุดดังกล่าวเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดสำหรับเดินทางจากยุโรปไปยังอเมริกาเหนือ ผ่านเกาะแห่งนี้
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (25 ม.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน บอกว่า เดนมาร์กไม่มีแสนยานุภาพเพียงพอที่จะปกป้องเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ความเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเป็นการเย้ยยันข่าวลือที่หลุดออกมาว่า เดนมาร์กมีแผนเพิ่มประจำการทางทหารบนเกาะในอาร์กติกแห่งนี้
    .
    ทรัมป์ เคยหยิบยกความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์ ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก และรื้อฟื้นความคิดดังกล่าวหลังได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
    .
    ผู้นำอเมริการายนี้เน้นย้ำว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญในด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ในขณะที่เดนมาร์กปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเกาะแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย
    .
    ทรัมป์ กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าเกาะกรีนแลนด์ เราจะได้มันมา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ เพื่อเสรีภาพของโลก มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสหรัฐฯ เหนือสิ่งอื่นใดที่เรามีคือ สามารถมอบเสรีภาพ เดนมาร์กไม่สามารถมอบให้ได้ พวกเขาส่งสุนัขลากเลื่อนเข้าไปอีก 2 ตัวเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พวกเขาคิดหรือว่านั่นเป็นการป้องกัน" ทรัมป์บอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส
    .
    ดูเหมือนว่า ทรัมป์ จะพาดพิงถึงถ้อยแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมของเดนมาร์ก ที่บอกว่าโคเปนเฮเกนมีแผนเพิ่มเติมเรือตรวจการณ์ 2 ลำ โดรน 2 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 2 ตัว เข้าไปเสริมกองกำลังพล 75 นาย เรือ 4 ลำ และเครื่องบินลาดตระเวน 1 ลำ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    .
    "ผมไม่รู้ว่า เดนมาร์ก จะอ้างว่าอย่างไร แต่มันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรมากๆ หากพวกเขาไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น" ทรัมป์บอกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมอ้างว่า "ประชาชนชาวกรีนแลนด์ต้องการเข้าร่วมกับเรา"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008692
    ..............
    Sondhi X
    เดนมาร์กเปิดเผย จะทุ่มงบประมาณ 14,600 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (ประมาณ 2,050 ล้านดอลลาร์ หรือ 69,000 ล้านบาท) เสริมประจำการทางทหารในอาร์กติก ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แสดงความสนใจซ้ำๆ ที่จะเข้าควบคุมกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก และเย้ยหยันโคเปนเฮเกน ว่าไม่มีศักยภาพพอที่จะปกป้องเกาะแห่งนี้ . ในเดือนนี้ ทรัมป์ บอกว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และเดนมาร์กต้องปล่อยมือจากการควบคุมเกาะอาร์กติกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ . หลังจากปรับลดการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองลงอย่างมากมานานกว่า 1 ทศวรรษ เดนมาร์ก แถลงในวันจันทร์ (27 ม.ค.) ว่าจะใช้จ่ายเงิน 14,600 ล้านโครเนอ ในการเสริมความมั่นคงในภูมิภาคอาร์กติก ดินแดนยุทธศาสตร์ใกล้กับทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย . "เราต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่า มีความท้าทายร้ายแรงในเรื่องความมั่นคงและด้านการป้องกันตนเองในอาร์กติกและนอร์ทแอตแลนติก" โทรเอลส์ ลุนด์ โพลเซน รัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุในถ้อยแถลง . ในขณะที่ เดนมาร์ก รับผิดชอบมอบความมั่นคงและการป้องกันตนเองแก่กรีนแลนด์ แต่พวกเขากลับมีแสนยานุภาพทางทหารอย่างจำกัดบนเกาะที่ใหญ่โตแห่งนี้ จนถึงมองอย่างกว้างว่าเป็นหลุมดำด้านความมั่นคง . ณ ปัจจุบัน ศักยภาพของเดนมาร์กนั้นมีเพียงแค่เรือตรวจการณ์เก่าเก็บ 4 ลำ เครื่องบินลาดตระเวนชาลเลนเจอร์ 1 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 12 ตัว ซึ่งทั้งหมดมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจการณ์ทั่วเกาะ ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าฝรั่งเศสถึง 4 เท่า . ในงบประมาณใหม่นี้ รวมไปถึงเงินทุนสำหรับเรือราชนาวีอาร์กติกใหม่ 3 ลำ เพิ่มโดรนตรวจการณ์ระยะไกลที่วางแผนไว้อีกเท่าตัวเป็น 4 ลำ เช่นเดียวกับดาวเทียวสอดแนม ถ้อยแถลงรัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุ . รายงานข่าวระบุว่า บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ของเดนมาร์ก เห็นพ้องกันจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับอาร์กติก ในข้อตกลงหนึ่งๆ ที่จะนำเสนอในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ . ในด้านกองทัพสหรัฐฯ พวกเขามีกำลังพลประจำการถาวรอยู่ ณ ฐานทัพอวกาศพิทัฟฟิก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะกรีนแลนด์ ตำแหน่งยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของระบบแจ้งเตือนขีปนาวุธล่วงหน้า ในขณะที่จุดดังกล่าวเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดสำหรับเดินทางจากยุโรปไปยังอเมริกาเหนือ ผ่านเกาะแห่งนี้ . ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (25 ม.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน บอกว่า เดนมาร์กไม่มีแสนยานุภาพเพียงพอที่จะปกป้องเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ความเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเป็นการเย้ยยันข่าวลือที่หลุดออกมาว่า เดนมาร์กมีแผนเพิ่มประจำการทางทหารบนเกาะในอาร์กติกแห่งนี้ . ทรัมป์ เคยหยิบยกความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์ ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก และรื้อฟื้นความคิดดังกล่าวหลังได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา . ผู้นำอเมริการายนี้เน้นย้ำว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญในด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ในขณะที่เดนมาร์กปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเกาะแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย . ทรัมป์ กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าเกาะกรีนแลนด์ เราจะได้มันมา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ เพื่อเสรีภาพของโลก มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสหรัฐฯ เหนือสิ่งอื่นใดที่เรามีคือ สามารถมอบเสรีภาพ เดนมาร์กไม่สามารถมอบให้ได้ พวกเขาส่งสุนัขลากเลื่อนเข้าไปอีก 2 ตัวเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พวกเขาคิดหรือว่านั่นเป็นการป้องกัน" ทรัมป์บอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส . ดูเหมือนว่า ทรัมป์ จะพาดพิงถึงถ้อยแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมของเดนมาร์ก ที่บอกว่าโคเปนเฮเกนมีแผนเพิ่มเติมเรือตรวจการณ์ 2 ลำ โดรน 2 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 2 ตัว เข้าไปเสริมกองกำลังพล 75 นาย เรือ 4 ลำ และเครื่องบินลาดตระเวน 1 ลำ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน . "ผมไม่รู้ว่า เดนมาร์ก จะอ้างว่าอย่างไร แต่มันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรมากๆ หากพวกเขาไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น" ทรัมป์บอกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมอ้างว่า "ประชาชนชาวกรีนแลนด์ต้องการเข้าร่วมกับเรา" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008692 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 837 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเตรียมลงนาม "คำสั่งบริหาร" ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับกองทัพอีกครั้ง ประกอบด้วย:

    - ประการแรก "เจ้าหน้าที่ทหารข้ามเพศ" จะถูกสั่งห้ามในการทำหน้าที่โดยให้เหตุผลว่าเพราะการรักษาทางการแพทย์อาจทำให้พวกเขา "ไม่พร้อม" แต่เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดไม่ชัดเจน และอาจมีข้อยกเว้นบางประการ

    จากข้อมูลเมื่อปี 2018 มีเจ้าหน้าข้ามเพศในกองทัพประมาณ 14,000 นาย

    - ประการที่สอง ยุติโครงการ DEI โดยสิ้นเชิง รวมทั้งติดตามผล เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงโดยการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานเหล่านั้น และเจ้าหน้าที่ DEI ทั้งหมดจะถูกพักงานแต่ยังได้รับเงินช่วยเหลือต่อไป ในขณะที่ Pete Hegseth รัฐมนตรีกลาโหมจะรับหน้าที่ทบทวนนโยบาย "WOKE" ที่แอบแฝงอยู่ในกองทัพทั้งหมด

    - ประการที่สาม เจ้าหน้าที่ที่ถูกไล่ออกเพราะปฏิเสธการฉีดวัคซีนในช่วงโควิดระบาด จะถูกยกเลิกคำสั่งนั้น และได้กลับเข้าตำแหน่งและยศเดิม รวมทั้งได้รับเงินเดือนย้อนหลัง และสวัสดิการต่างๆกลับคืน
    มีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเตรียมลงนาม "คำสั่งบริหาร" ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับกองทัพอีกครั้ง ประกอบด้วย: - ประการแรก "เจ้าหน้าที่ทหารข้ามเพศ" จะถูกสั่งห้ามในการทำหน้าที่โดยให้เหตุผลว่าเพราะการรักษาทางการแพทย์อาจทำให้พวกเขา "ไม่พร้อม" แต่เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดไม่ชัดเจน และอาจมีข้อยกเว้นบางประการ จากข้อมูลเมื่อปี 2018 มีเจ้าหน้าข้ามเพศในกองทัพประมาณ 14,000 นาย - ประการที่สอง ยุติโครงการ DEI โดยสิ้นเชิง รวมทั้งติดตามผล เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงโดยการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานเหล่านั้น และเจ้าหน้าที่ DEI ทั้งหมดจะถูกพักงานแต่ยังได้รับเงินช่วยเหลือต่อไป ในขณะที่ Pete Hegseth รัฐมนตรีกลาโหมจะรับหน้าที่ทบทวนนโยบาย "WOKE" ที่แอบแฝงอยู่ในกองทัพทั้งหมด - ประการที่สาม เจ้าหน้าที่ที่ถูกไล่ออกเพราะปฏิเสธการฉีดวัคซีนในช่วงโควิดระบาด จะถูกยกเลิกคำสั่งนั้น และได้กลับเข้าตำแหน่งและยศเดิม รวมทั้งได้รับเงินเดือนย้อนหลัง และสวัสดิการต่างๆกลับคืน
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงการต่างประเทศบราซิลเตรียมร้องขอคำอธิบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติที่ "ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์" (degrading treatment) ของผู้อพยพบราซิล ซึ่งถูกขนขึ้นเที่ยวบินเนรเทศออกจากสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    ก่อนหน้านั้นมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่บราซิลได้ขอให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ถอดกุญแจมือผู้อพยพที่ถูกเนรเทศกลับมายังบราซิลเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (24) ขณะที่รัฐมนตรีอาวุโสคนหนึ่งในรัฐบาลประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ก็ประณามการกระทำของฝ่ายอเมริกันว่าเป็นการ "ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรง" ต่อสิทธิเพื่อนร่วมชาติของตน
    .
    เที่ยวบินดังกล่าวซึ่งมีผู้โดยสารชาวบราซิล 88 คน เจ้าหน้าความมั่งคงสหรัฐฯ 16 นาย และลูกเรืออีก 8 คน เดิมมีกำหนดลงจอดที่เมืองเบลูโอรีชองซีในรัฐมีนัสเชไรส์ทางตอนใต้ของบราซิล ทว่าต้องแวะจอดฉุกเฉินที่เมืองมาเนาช์ (Manaus) เนื่องจากเกิดปัญหาด้านเทคนิค ตามข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมบราซิล
    .
    ณ สถานที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่บราซิลได้สั่งให้มีการถอดกุญแจมือผู้อพยพทั้งหมด และประธานาธิบดี ลูลา ได้สั่งการให้กองทัพอากาศบราซิลส่งเครื่องบินไปรับช่วงพาพลเมืองเหล่านั้นมาส่งยังที่หมาย "อย่างมีเกียรติและปลอดภัย"
    .
    เที่ยวบินดังกล่าวถือเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ที่สหรัฐฯ มีการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายกลับมายังบราซิล และถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมและตำรวจบราซิล
    .
    รัฐบาล ทรัมป์ ได้นำมาตรการปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมายมาใช้อย่างครอบคลุม โดย ทรัมป์ ประกาศชัดเจนว่าจะใช้วิธี "เนรเทศหมู่" เพื่อนำคนลักลอบเข้าเมืองเหล่านี้ออกไปจากแผ่นดินอเมริกา
    .
    อย่างไรก็ตาม การใส่กุญแจมือหรือผูกมัดด้วยวิธีอื่นๆ ต่อผู้อพยพที่โดนเนรเทศขึ้นเครื่องบินมาจากสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ทางการบราซิลไม่พอใจมานานแล้ว และแม้แต่อดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพันธมิตรทรัมป์ ก็ยังเคยขอให้สหรัฐฯ เลิกการกระทำเช่นนี้เสีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008328
    ..............
    Sondhi X
    กระทรวงการต่างประเทศบราซิลเตรียมร้องขอคำอธิบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติที่ "ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์" (degrading treatment) ของผู้อพยพบราซิล ซึ่งถูกขนขึ้นเที่ยวบินเนรเทศออกจากสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . ก่อนหน้านั้นมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่บราซิลได้ขอให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ถอดกุญแจมือผู้อพยพที่ถูกเนรเทศกลับมายังบราซิลเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (24) ขณะที่รัฐมนตรีอาวุโสคนหนึ่งในรัฐบาลประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ก็ประณามการกระทำของฝ่ายอเมริกันว่าเป็นการ "ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรง" ต่อสิทธิเพื่อนร่วมชาติของตน . เที่ยวบินดังกล่าวซึ่งมีผู้โดยสารชาวบราซิล 88 คน เจ้าหน้าความมั่งคงสหรัฐฯ 16 นาย และลูกเรืออีก 8 คน เดิมมีกำหนดลงจอดที่เมืองเบลูโอรีชองซีในรัฐมีนัสเชไรส์ทางตอนใต้ของบราซิล ทว่าต้องแวะจอดฉุกเฉินที่เมืองมาเนาช์ (Manaus) เนื่องจากเกิดปัญหาด้านเทคนิค ตามข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมบราซิล . ณ สถานที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่บราซิลได้สั่งให้มีการถอดกุญแจมือผู้อพยพทั้งหมด และประธานาธิบดี ลูลา ได้สั่งการให้กองทัพอากาศบราซิลส่งเครื่องบินไปรับช่วงพาพลเมืองเหล่านั้นมาส่งยังที่หมาย "อย่างมีเกียรติและปลอดภัย" . เที่ยวบินดังกล่าวถือเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ที่สหรัฐฯ มีการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายกลับมายังบราซิล และถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมและตำรวจบราซิล . รัฐบาล ทรัมป์ ได้นำมาตรการปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมายมาใช้อย่างครอบคลุม โดย ทรัมป์ ประกาศชัดเจนว่าจะใช้วิธี "เนรเทศหมู่" เพื่อนำคนลักลอบเข้าเมืองเหล่านี้ออกไปจากแผ่นดินอเมริกา . อย่างไรก็ตาม การใส่กุญแจมือหรือผูกมัดด้วยวิธีอื่นๆ ต่อผู้อพยพที่โดนเนรเทศขึ้นเครื่องบินมาจากสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ทางการบราซิลไม่พอใจมานานแล้ว และแม้แต่อดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพันธมิตรทรัมป์ ก็ยังเคยขอให้สหรัฐฯ เลิกการกระทำเช่นนี้เสีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008328 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    14
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 991 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งระงับอย่างครอบคลุมเงินช่วยเหลือที่มอบแก่ต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน"
    .
    "ผมระงับการจ้างงานรัฐบาลกลาง ระงับกฎเกณฑ์รัฐบาลกลาง และระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ" ทรัมป์บอกกับฝูงชนผู้สนับสนุนลาสเวกัสเมื่อวันเสาร์(25ม.ค.) "และผมจัดตั้งกระทรวงฯใหม่ กระทรวงกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล และเรากำลังจะมีคนดีๆมากมาย"
    .
    ไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารระงับโครงการช่วยเหลือพัฒนาต่างประเทศทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน โดยระหว่างนี้จะดำเนินการทบทวนเพื่อสรุปว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายต่างๆในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" หรือไม่
    .
    ระหว่างการรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ประกาศว่าจะปรับลดการใช้จ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ และปรับโฟกัสของรัฐบาลให้กันมาใส่ใจกับประเด็นภายในประเทศ อย่างเช่นตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และต่อสู้จัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย
    .
    ในวันเสาร์(25ม.ค.) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกบันทึกฉบับหนึ่ง ระงับการเบิกจ่ายเงินผ่านกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ(USAID) แต่มีข้อยกเว้นให้บางส่วน ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือด้านการทหารที่ป้อนแก่อิสราเอลและอียิปต์
    .
    ก่อนหน้านี้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ(22ม.ค.) รูบิโอ กล่าวว่า "ทุกๆดอลลาร์ที่เราใช้จ่าย ทุกๆโครงการที่เราให้เงินสนับสนุน และทุกๆนโยบายที่เราเสาะหา จำเป็นต้องมีความชอบธรรม ด้วยคำตอบใน 3 คำถามง่ายๆ นั่นคือ มันทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้นหรือไม่ มันทำให้อเมริกาเข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า และมันทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรืองหรือไม่"
    .
    แม้รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อ้างว่าการระงับเงินช่วยเหลือจะไม่ส่งผลกระทบต่อาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครน แต่สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่าบันทึกของรูบิโอ ไม่ได้พาดพิงถึงข้อยกเว้นใดๆสำหรับเงินช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนและพันธมิตรหลักอื่นๆ อย่างเช่นไต้หวันและบรรดาชาติสมาชิกนาโต
    .
    ที่ผ่านมา ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน บ่อยครั้ง สำหรับการส่งมอบความช่วยเหลือหลายหมื่้นล้านดอลลาร์แก่ยูเครน พร้อมสัญญาว่าจะผลักดันให้หาทางออกทางการทูตแทน ในวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
    .
    อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เปิดเผยโดยไม่ขอระบุนามว่า คำสั่งของ ทรัมป์จะทำให้หลายองค์กรต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านสุขภาพที่อาจช่วยชีวิตคน การรักษาเอชไอวี โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานด้านการเกษตร การสนับสนุนองค์กรประชาสังคม และด้านการศึกษา
    .
    ตัวเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า อเมริกาคือผู้บริจาคเงินช่วยเหลือต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยพวกเขาบริจาคเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.28 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยอิสราเอลได้รับเงินช่วยเหลือทางทหารปีละ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อียิปต์ได้รับ 1.3 พันล้านดอลลาร์
    .
    บรรดาประเทศและดินแดนที่จะได้รับเงินสนับสนุนในลักษณะเดียวกันในปี 2025 ได้แก่ ยูเครน จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม จิบูติ โคลอมเบียมปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน ตามคำขอของรัฐบาลไบเดนที่ยื่นต่อสภาคองเกรส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008314
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งระงับอย่างครอบคลุมเงินช่วยเหลือที่มอบแก่ต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" . "ผมระงับการจ้างงานรัฐบาลกลาง ระงับกฎเกณฑ์รัฐบาลกลาง และระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ" ทรัมป์บอกกับฝูงชนผู้สนับสนุนลาสเวกัสเมื่อวันเสาร์(25ม.ค.) "และผมจัดตั้งกระทรวงฯใหม่ กระทรวงกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล และเรากำลังจะมีคนดีๆมากมาย" . ไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารระงับโครงการช่วยเหลือพัฒนาต่างประเทศทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน โดยระหว่างนี้จะดำเนินการทบทวนเพื่อสรุปว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายต่างๆในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" หรือไม่ . ระหว่างการรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ประกาศว่าจะปรับลดการใช้จ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ และปรับโฟกัสของรัฐบาลให้กันมาใส่ใจกับประเด็นภายในประเทศ อย่างเช่นตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และต่อสู้จัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย . ในวันเสาร์(25ม.ค.) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกบันทึกฉบับหนึ่ง ระงับการเบิกจ่ายเงินผ่านกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ(USAID) แต่มีข้อยกเว้นให้บางส่วน ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือด้านการทหารที่ป้อนแก่อิสราเอลและอียิปต์ . ก่อนหน้านี้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ(22ม.ค.) รูบิโอ กล่าวว่า "ทุกๆดอลลาร์ที่เราใช้จ่าย ทุกๆโครงการที่เราให้เงินสนับสนุน และทุกๆนโยบายที่เราเสาะหา จำเป็นต้องมีความชอบธรรม ด้วยคำตอบใน 3 คำถามง่ายๆ นั่นคือ มันทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้นหรือไม่ มันทำให้อเมริกาเข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า และมันทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรืองหรือไม่" . แม้รายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อ้างว่าการระงับเงินช่วยเหลือจะไม่ส่งผลกระทบต่อาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครน แต่สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่าบันทึกของรูบิโอ ไม่ได้พาดพิงถึงข้อยกเว้นใดๆสำหรับเงินช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนและพันธมิตรหลักอื่นๆ อย่างเช่นไต้หวันและบรรดาชาติสมาชิกนาโต . ที่ผ่านมา ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน บ่อยครั้ง สำหรับการส่งมอบความช่วยเหลือหลายหมื่้นล้านดอลลาร์แก่ยูเครน พร้อมสัญญาว่าจะผลักดันให้หาทางออกทางการทูตแทน ในวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน . อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เปิดเผยโดยไม่ขอระบุนามว่า คำสั่งของ ทรัมป์จะทำให้หลายองค์กรต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านสุขภาพที่อาจช่วยชีวิตคน การรักษาเอชไอวี โภชนาการ สุขภาพแม่และเด็ก งานด้านการเกษตร การสนับสนุนองค์กรประชาสังคม และด้านการศึกษา . ตัวเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า อเมริกาคือผู้บริจาคเงินช่วยเหลือต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยพวกเขาบริจาคเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.28 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 โดยอิสราเอลได้รับเงินช่วยเหลือทางทหารปีละ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อียิปต์ได้รับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ . บรรดาประเทศและดินแดนที่จะได้รับเงินสนับสนุนในลักษณะเดียวกันในปี 2025 ได้แก่ ยูเครน จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม จิบูติ โคลอมเบียมปานามา เอกวาดอร์ อิสราเอล อียิปต์ และจอร์แดน ตามคำขอของรัฐบาลไบเดนที่ยื่นต่อสภาคองเกรส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008314 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1017 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าเขาจะกำหนดมาตรการแก้เผ็ดต่างๆ เล่นงานโคลอมเบีย ในนั้นรวมถึงรีดภาษีและคว่ำบาตร หลังประเทศแถบอเมริกาใต้แห่งนี้ไม่อ้าแขนรับเครื่องบินทหาร 2 ลำของสหรัฐฯ ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่ถูกเนรเทศ ส่วนหนึ่งในการปราบปรามพวกผู้อพยพของรัฐบาลอเมริกา
    .
    ความเคลื่อนไหวลงโทษของทรัมป์ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายทำให้โคลอมเบีย เป็นแบบอย่างชาติอื่นๆ ในขณะที่ประเทศแห่งนี้เป็นชาติที่ 2 ในละตินอเมริกา ที่ปฏิเสธเครื่องบินทหารบรรทุกผู้อพยพของสหรัฐฯ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งกร้าวในด้านนโยบายต่างประเทศของวอชิงตัน และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทรัมป์ ที่จะบีบให้ประเทศอื่นๆ ยอมอ่อนข้อทำตามความต้องการของเขา
    .
    ทรัมป์ เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ว่าการที่ กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบีย ปฏิเสธอ้าแขนรับเที่ยวบินบรรทุกพวกผู้ลี้ภัย ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ
    .
    มาตรการแก้แค้นนั้น รวมไปถึงการรีดภาษี 25% ต่อสินค้าของโคลอมเบียทั้งหมดที่นำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะแตะระดับ 50% ใน 1 สัปดาห์ คำสั่งแบนด้านการเดินทางและเพิกถอนวีซ่าพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย คว่ำบาตรภาคธนาคารและภาคการเงิน
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ เผยด้วยว่าเขาจะสั่งให้ยกระดับการตรวจสอบทางชายแดนพลเมืองชาวโคลอมเบียและสินค้าจากโคลอมเบียด้วย "มาตรการต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้น" เขาเขียน "เราจะไม่ยอมให้รัฐบาลโคลอมเบียละเมิดพันธะทางกฎหมายของพวกเขา ในเรื่องการอ้าแขนรับและส่งคืนพวกอาชญากร ที่พวกเขาบีบให้ลอบเข้าสู่สหรัฐฯ!"
    .
    ด้าน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงว่า "อเมริกาจะไม่ยอมรับคำโกหกหรือถูกเอาเปรียบอีกต่อไป" พร้อมระบุ เปโตร อนุมัติเที่ยวบินเหล่านี้ และมอบอำนาจทุกอย่างที่จำเป็น แต่จากนั้นกลับยกเลิกไฟเขียว ตอนที่เครื่องบินทั้ง 2 ลำ อยู่ระหว่างการเดินทาง
    .
    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศให้พวกผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกำหนดมาตรการปราบปรามต่างๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (20 ม.ค.) ในนั้นรวมถึงสั่งการให้ทหารเข้าช่วยหน่วยงานความมั่นคงตามแนวชายแดน ออกประกาศแบนการลี้ภัยอย่างครอบคลุม และใช้มาตรการต่างๆ ในการจำกัดสิทธิความเป็นพลเมืองของลูกพวกผู้อพยพที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินอเมริกา
    .
    ประธานาธิบดีเปโตร ประณามความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ในวันอาทิตย์ (26 ม.ค.) ชี้ว่ามันเป็นการปฏิบัติกับพวกผู้อพยพราวกับอาชญากร ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ทาง เปโตร บอกว่าโคลอมเบีย จะยินดีกว่านี้ หากสหรัฐฯ เนรเทศพวกผู้อพยพด้วยเครื่องบินพลเรือน "อเมริกาไม่อาจปฏิบัติกับพวกผู้อพยพชาวโคลอมเบียราวกับอาชญากร"
    .
    เปโตร บอกต่อว่าแม้ว่าจะมีชาวอเมริกามากกว่า 15,660 คน อยู่ในสถานะเข้าเมืองผิดกฎหมายในโคลอมเบีย แต่เขาไม่เคยคิดปฏิบัติการจู่โจมใดๆ และส่งคืนอเมริกันชนเหล่านั้นในสภาพที่ใส่กุญแจมือ กลับไปยังสหรัฐฯ "เราอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนาซี" เขาเขียน เหน็บแนมไปยังทรัมป์
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เม็กซิโก ได้ปฏิเสธคำร้องที่ขอให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ บรรทุกพวกผู้อพยพลงจอดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ไม่ได้ดำเนินการแบบเดียวกันนี้กับเม็กซิโก ชาติคู่หูทางการค้าใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่บอกว่าเขากำลังคิดเกี่ยวกับการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เพื่อบีบให้ดำเนินการต่างๆ เพิ่มเติมจัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมายและการไหลบ่าเข้าสู่อเมริกาของยาเฟนทานิล
    .
    ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าอเมริกาคือคู่ค้าและการลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโคลอมเบีย ส่วน โคลอมเบีย เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของสหรัฐฯ หากนับเฉพาะในละตินอเมริกา
    .
    ความเห็นของเปโดร ถือเป็นการสอดประสานส่งเสียงแสดงความขุ่นเคืองหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในละตินอเมริกา ต่อความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอายุ 1 สัปดาห์ของทรัมป์ ที่เริ่มดำเนินการเนรเทศหมู่พวกผู้อพยพ
    .
    เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ (25 ม.ค.) กระทรวงการต่างประเทศบราซิล ประณามการปฏิบัติที่ย่ำยีศักดิ์ศรีชาวบราซิล หลังพบเห็นพวกผู้อพยพถูกใส่กุญแจมือบนเที่ยวบินพาณิชย์ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่โดนเนรเทศจากสหรัฐฯ ครั้งเดินทางมาถึง ผู้โดยสารบางส่วนยังรายงานด้วยว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมบนเที่ยวบิน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008312
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าเขาจะกำหนดมาตรการแก้เผ็ดต่างๆ เล่นงานโคลอมเบีย ในนั้นรวมถึงรีดภาษีและคว่ำบาตร หลังประเทศแถบอเมริกาใต้แห่งนี้ไม่อ้าแขนรับเครื่องบินทหาร 2 ลำของสหรัฐฯ ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่ถูกเนรเทศ ส่วนหนึ่งในการปราบปรามพวกผู้อพยพของรัฐบาลอเมริกา . ความเคลื่อนไหวลงโทษของทรัมป์ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายทำให้โคลอมเบีย เป็นแบบอย่างชาติอื่นๆ ในขณะที่ประเทศแห่งนี้เป็นชาติที่ 2 ในละตินอเมริกา ที่ปฏิเสธเครื่องบินทหารบรรทุกผู้อพยพของสหรัฐฯ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งกร้าวในด้านนโยบายต่างประเทศของวอชิงตัน และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทรัมป์ ที่จะบีบให้ประเทศอื่นๆ ยอมอ่อนข้อทำตามความต้องการของเขา . ทรัมป์ เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ว่าการที่ กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบีย ปฏิเสธอ้าแขนรับเที่ยวบินบรรทุกพวกผู้ลี้ภัย ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ . มาตรการแก้แค้นนั้น รวมไปถึงการรีดภาษี 25% ต่อสินค้าของโคลอมเบียทั้งหมดที่นำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะแตะระดับ 50% ใน 1 สัปดาห์ คำสั่งแบนด้านการเดินทางและเพิกถอนวีซ่าพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบีย คว่ำบาตรภาคธนาคารและภาคการเงิน . นอกจากนี้ ทรัมป์ เผยด้วยว่าเขาจะสั่งให้ยกระดับการตรวจสอบทางชายแดนพลเมืองชาวโคลอมเบียและสินค้าจากโคลอมเบียด้วย "มาตรการต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้น" เขาเขียน "เราจะไม่ยอมให้รัฐบาลโคลอมเบียละเมิดพันธะทางกฎหมายของพวกเขา ในเรื่องการอ้าแขนรับและส่งคืนพวกอาชญากร ที่พวกเขาบีบให้ลอบเข้าสู่สหรัฐฯ!" . ด้าน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงว่า "อเมริกาจะไม่ยอมรับคำโกหกหรือถูกเอาเปรียบอีกต่อไป" พร้อมระบุ เปโตร อนุมัติเที่ยวบินเหล่านี้ และมอบอำนาจทุกอย่างที่จำเป็น แต่จากนั้นกลับยกเลิกไฟเขียว ตอนที่เครื่องบินทั้ง 2 ลำ อยู่ระหว่างการเดินทาง . ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศให้พวกผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกำหนดมาตรการปราบปรามต่างๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (20 ม.ค.) ในนั้นรวมถึงสั่งการให้ทหารเข้าช่วยหน่วยงานความมั่นคงตามแนวชายแดน ออกประกาศแบนการลี้ภัยอย่างครอบคลุม และใช้มาตรการต่างๆ ในการจำกัดสิทธิความเป็นพลเมืองของลูกพวกผู้อพยพที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินอเมริกา . ประธานาธิบดีเปโตร ประณามความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ในวันอาทิตย์ (26 ม.ค.) ชี้ว่ามันเป็นการปฏิบัติกับพวกผู้อพยพราวกับอาชญากร ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ทาง เปโตร บอกว่าโคลอมเบีย จะยินดีกว่านี้ หากสหรัฐฯ เนรเทศพวกผู้อพยพด้วยเครื่องบินพลเรือน "อเมริกาไม่อาจปฏิบัติกับพวกผู้อพยพชาวโคลอมเบียราวกับอาชญากร" . เปโตร บอกต่อว่าแม้ว่าจะมีชาวอเมริกามากกว่า 15,660 คน อยู่ในสถานะเข้าเมืองผิดกฎหมายในโคลอมเบีย แต่เขาไม่เคยคิดปฏิบัติการจู่โจมใดๆ และส่งคืนอเมริกันชนเหล่านั้นในสภาพที่ใส่กุญแจมือ กลับไปยังสหรัฐฯ "เราอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนาซี" เขาเขียน เหน็บแนมไปยังทรัมป์ . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เม็กซิโก ได้ปฏิเสธคำร้องที่ขอให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ บรรทุกพวกผู้อพยพลงจอดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ไม่ได้ดำเนินการแบบเดียวกันนี้กับเม็กซิโก ชาติคู่หูทางการค้าใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่บอกว่าเขากำลังคิดเกี่ยวกับการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เพื่อบีบให้ดำเนินการต่างๆ เพิ่มเติมจัดการกับพวกผู้อพยพผิดกฎหมายและการไหลบ่าเข้าสู่อเมริกาของยาเฟนทานิล . ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าอเมริกาคือคู่ค้าและการลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโคลอมเบีย ส่วน โคลอมเบีย เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของสหรัฐฯ หากนับเฉพาะในละตินอเมริกา . ความเห็นของเปโดร ถือเป็นการสอดประสานส่งเสียงแสดงความขุ่นเคืองหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในละตินอเมริกา ต่อความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอายุ 1 สัปดาห์ของทรัมป์ ที่เริ่มดำเนินการเนรเทศหมู่พวกผู้อพยพ . เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ (25 ม.ค.) กระทรวงการต่างประเทศบราซิล ประณามการปฏิบัติที่ย่ำยีศักดิ์ศรีชาวบราซิล หลังพบเห็นพวกผู้อพยพถูกใส่กุญแจมือบนเที่ยวบินพาณิชย์ที่บรรทุกพวกผู้อพยพที่โดนเนรเทศจากสหรัฐฯ ครั้งเดินทางมาถึง ผู้โดยสารบางส่วนยังรายงานด้วยว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมบนเที่ยวบิน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008312 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1003 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก
    .
    เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ
    .
    พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ
    .
    พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง
    .
    นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง
    .
    ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย
    .
    ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
    .
    วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ
    .
    นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก
    .
    ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก . เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ . พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ . พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง . นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง . ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย . ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ . วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ . นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก . ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    Like
    Love
    Haha
    30
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1252 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 ไม่ได้ถูก "พราก" ไปจากโดนัลด์ ทรัมป์ วิกฤตยูเครนก็คงไม่เกิดขึ้น

    ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว พาเวล ซารูบิน

    นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญในการสัมภาษณ์:
    ▪️ การพบกันเป็นการส่วนตัวระหว่างปูตินและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เป็นความคิดที่ดี

    ▪️ ประธานาธิบดีเรียกความสัมพันธ์ของเขากับทรัมป์ว่า "มีความไว้วางใจและมีเหตุผล"

    ▪️ ที่ผ่านมารัสเซียไม่เคยปฏิเสธการติดต่อกับสหรัฐฯ แต่เป็นฝ่ายวอชิงตันที่พยายามปิดกั้น

    ▪️ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียมากมาย ซึ่งเกือบทั้งหมดเหมือนเป็นการยิงไปที่เท้าของพวกเขาเอง

    ▪️ หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 วิกฤตในยูเครนในปัจจุบันอาจหลีกเลี่ยงได้

    ▪️ ทรัมป์คงไม่ตัดสินใจคว่ำบาตรรัสเซียในลักษณะที่จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯเหมือนอย่างที่ไบเดนทำ

    ▪️ ตอนนี้รัสเซียมีสิ่งที่จะสามารถใช้ในการเชื่อมต่อกับสหรัฐในชุดปัจจุบันมากมาย

    ▪️ ราคาพลังงานที่สูงหรือต่ำเกินไปส่งผลเสียต่อทั้งรัสเซียและสหรัฐฯ

    ▪️ ปูตินเชื่อว่า บรรดาผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังเคียฟ จะบังคับให้เซเลนสกียกเลิกการเจรจากับรัสเซียในที่สุด

    ▪️ กฎหมายการห้ามเจรจากับรัสเซียที่เซเลนสกีประกาศใช้ ทำให้การเจรจากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย บ่งบอกว่าการเจรจาจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกยกเลิก

    ▪️ เคียฟได้รับเงินหลายแสนล้าน แน่นอนว่าเซเลนสกีจะไม่รีบยกเลิกการตัดสินใจห้ามการเจรจากับรัสเซีย และที่ผ่านมาเขาออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้คว่ำบาตรรัสเซียมากมาย







    หากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 ไม่ได้ถูก "พราก" ไปจากโดนัลด์ ทรัมป์ วิกฤตยูเครนก็คงไม่เกิดขึ้น ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว พาเวล ซารูบิน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญในการสัมภาษณ์: ▪️ การพบกันเป็นการส่วนตัวระหว่างปูตินและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เป็นความคิดที่ดี ▪️ ประธานาธิบดีเรียกความสัมพันธ์ของเขากับทรัมป์ว่า "มีความไว้วางใจและมีเหตุผล" ▪️ ที่ผ่านมารัสเซียไม่เคยปฏิเสธการติดต่อกับสหรัฐฯ แต่เป็นฝ่ายวอชิงตันที่พยายามปิดกั้น ▪️ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียมากมาย ซึ่งเกือบทั้งหมดเหมือนเป็นการยิงไปที่เท้าของพวกเขาเอง ▪️ หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 วิกฤตในยูเครนในปัจจุบันอาจหลีกเลี่ยงได้ ▪️ ทรัมป์คงไม่ตัดสินใจคว่ำบาตรรัสเซียในลักษณะที่จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯเหมือนอย่างที่ไบเดนทำ ▪️ ตอนนี้รัสเซียมีสิ่งที่จะสามารถใช้ในการเชื่อมต่อกับสหรัฐในชุดปัจจุบันมากมาย ▪️ ราคาพลังงานที่สูงหรือต่ำเกินไปส่งผลเสียต่อทั้งรัสเซียและสหรัฐฯ ▪️ ปูตินเชื่อว่า บรรดาผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังเคียฟ จะบังคับให้เซเลนสกียกเลิกการเจรจากับรัสเซียในที่สุด ▪️ กฎหมายการห้ามเจรจากับรัสเซียที่เซเลนสกีประกาศใช้ ทำให้การเจรจากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย บ่งบอกว่าการเจรจาจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกยกเลิก ▪️ เคียฟได้รับเงินหลายแสนล้าน แน่นอนว่าเซเลนสกีจะไม่รีบยกเลิกการตัดสินใจห้ามการเจรจากับรัสเซีย และที่ผ่านมาเขาออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้คว่ำบาตรรัสเซียมากมาย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • Meta กำลังพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับ AI chatbot ของพวกเขา ซึ่งไม่สามารถระบุชื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง (5555+ ขออนุญาต ขำ) ปัญหานี้ถูกยกระดับเป็นเรื่องเร่งด่วนหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ AI chatbot ของ Meta ยังคงระบุว่าโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีอยู่

    Meta ได้เริ่มกระบวนการฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งเป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้ที่เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดี นอกจากนี้ Meta ยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ รวมถึงการยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐอเมริกา และการแต่งตั้ง Joel Kaplan เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการทั่วโลกคนใหม่

    น่าสนใจที่เห็นว่า Meta กำลังพยายามปรับตัวและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้บริการ AI chatbot ของพวกเขามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้ Meta มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/meta-seeks-urgent-fix-to-ai-chatbot039s-confusion-on-name-of-us-president
    Meta กำลังพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับ AI chatbot ของพวกเขา ซึ่งไม่สามารถระบุชื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง (5555+ ขออนุญาต ขำ) ปัญหานี้ถูกยกระดับเป็นเรื่องเร่งด่วนหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ AI chatbot ของ Meta ยังคงระบุว่าโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีอยู่ Meta ได้เริ่มกระบวนการฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งเป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้ที่เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดี นอกจากนี้ Meta ยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ รวมถึงการยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐอเมริกา และการแต่งตั้ง Joel Kaplan เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการทั่วโลกคนใหม่ น่าสนใจที่เห็นว่า Meta กำลังพยายามปรับตัวและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้บริการ AI chatbot ของพวกเขามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้ Meta มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/meta-seeks-urgent-fix-to-ai-chatbot039s-confusion-on-name-of-us-president
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta seeks urgent fix to AI chatbot's confusion on name of US president
    NEW YORK (Reuters) - The inability of Meta's AI chatbot to identify the current president of the United States was elevated to urgent status by the Facebook owner this week, requiring a fast fix, a person familiar with the issue said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS ซึ่งปกครองซีเรียอยู่ในขณะนี้ แสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

    น่าสนใจว่าในแถลงการณ์ เรียกซีเรียว่า "สาธารณรัฐอาหรับ"
    ผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS ซึ่งปกครองซีเรียอยู่ในขณะนี้ แสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ น่าสนใจว่าในแถลงการณ์ เรียกซีเรียว่า "สาธารณรัฐอาหรับ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานไปทั่วว่าทีมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังวางแผนย้ายชาวปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคนไปที่ “อินโดนีเซีย” ชั่วคราวระหว่างเขตฉนวนกาซากำลังซ่อมใหม่เพื่อบูรณะ ส.ส. อินโดนีเซียวันอังคาร (21 ม.ค.) ไม่พอใจชี้ ไม่ใช่ธุระของทรัมป์แต่เป็นของประชาชนปาเลสไตน์ หลังรัฐบาลนายกรัฐมนตรีปราโบโว ซูเบียนโต เพิ่งออกมารับรอง จากาตาร์จะไม่ทอดทิ้งปาเลสไตน์
    .
    มิดเดิลอีสต์มอนิเตอร์รายงานวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่า มีรายงานออกมาจากสื่อ NBC News ของสหรัฐฯ ในวันเสาร์ (18) ว่า ทีมของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งเข้าพิธีสาบานตัวในวันจันทร์ (20) และกลายเป็นผู้นำคนที่ 47 ของอเมริกา กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในการย้ายประชาชนปาเลสไตน์รวม 2 ล้านคนจากเขตฉนวนกาซาในตะวันออกกลางมาที่ “อินโดนีเซีย” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างที่กาซากำลังอยู่ระหว่างการบูรณะสร้างใหม่
    .
    ทั้งนี้ สื่ออเมริกันได้อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจของทรัมป์ที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า “อินโดนีเซีย” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกพิจารณาในการเป็นที่พักพิงของผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคน
    .
    และนอกจากนี้ NBC News ยังรายงานว่า ทูตพิเศษตะวันออกกลางของทรัมป์ สตีฟ วิตต์คอฟฟ์ (Steve Witkoff) กำลังพิจารณาการเดินทางไปเยือนกาซา เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-ฮามาสให้ยังคงอยู่
    .
    แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ทีมทรัมป์กล่าวว่า “คุณต้องเห็นมัน คุณต้องรู้สึกมัน” และชี้ว่า
    .
    “การทำเช่นนั้นจะเปิดโอกาสให้ทูตพิเศษของทรัมป์สามารถเห็นไดนามิกความเคลื่อนไหวในพื้นที่ด้วยตาตัวเองมากกว่าได้มาจากคำพูดของอิสราเอล”
    .
    ทั้งนี้ วิตต์คอฟฟ์กำลังทำงานเพื่อทำให้ประสบสำเร็จต่อเสถียรภาพระยะยาวของชาวอิสราเอลและประชาชนปาเลสไตน์อีก 2 ล้านคน ซึ่งเขาได้พบกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ถือเป็นจุดสำคัญทำให้ข้อตกลงหยุดยิงสามารถบรรลุ
    .
    อย่างไรก็ตาม ข่าวการย้ายชาวปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคนมาที่อินโดนีเซียตามข้อเสนอของทีมทรัมป์ทำให้นักการเมืองอิเหนาไม่พอใจ
    .
    เรดิโอรีพับลิกอินโดนีเซียรายงานว่า ส.ส. มาร์ดานี อาลี ซีรา (Mardani Ali Sera) ได้ออกมาตอบโต้ข่าวข้อเสนอย้ายว่า การโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ไม่ใช่กิจธุระของทรัมป์ แต่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของชาวปาเลสไตน์ในการตัดสินอนาคตตัวเอง
    .
    “มันขึ้นอยู่กับประชาชนกาซา มันไม่ใช่กิจธุระของทรัมป์” เขากล่าว
    .
    มาร์ดานีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐสภา BKSAP กล่าวเสริมว่า ชาวปาเลสไตน์นั้นไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ที่จะสามารถย้ายไปง่ายๆ ได้
    .
    และยังย้ำต่อพันธสัญญาของอินโดนีเซียในการสนับสนุนการเป็นอิสรภาพของปาเลสไตน์จากอิสราเอลผู้ยึดครอง สอดคล้องกับการออกมายืนยันของรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียที่ก่อนหน้ายืนยัน อ้างอิงจาก อันตาราของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ว่ารัฐบาลจากาตาร์จะไม่มีวันทอดทิ้งชาวปาเลสไตน์ไว้เบื้องหลัง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006998
    ..............
    Sondhi X
    มีรายงานไปทั่วว่าทีมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังวางแผนย้ายชาวปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคนไปที่ “อินโดนีเซีย” ชั่วคราวระหว่างเขตฉนวนกาซากำลังซ่อมใหม่เพื่อบูรณะ ส.ส. อินโดนีเซียวันอังคาร (21 ม.ค.) ไม่พอใจชี้ ไม่ใช่ธุระของทรัมป์แต่เป็นของประชาชนปาเลสไตน์ หลังรัฐบาลนายกรัฐมนตรีปราโบโว ซูเบียนโต เพิ่งออกมารับรอง จากาตาร์จะไม่ทอดทิ้งปาเลสไตน์ . มิดเดิลอีสต์มอนิเตอร์รายงานวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่า มีรายงานออกมาจากสื่อ NBC News ของสหรัฐฯ ในวันเสาร์ (18) ว่า ทีมของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งเข้าพิธีสาบานตัวในวันจันทร์ (20) และกลายเป็นผู้นำคนที่ 47 ของอเมริกา กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในการย้ายประชาชนปาเลสไตน์รวม 2 ล้านคนจากเขตฉนวนกาซาในตะวันออกกลางมาที่ “อินโดนีเซีย” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างที่กาซากำลังอยู่ระหว่างการบูรณะสร้างใหม่ . ทั้งนี้ สื่ออเมริกันได้อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจของทรัมป์ที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า “อินโดนีเซีย” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกพิจารณาในการเป็นที่พักพิงของผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคน . และนอกจากนี้ NBC News ยังรายงานว่า ทูตพิเศษตะวันออกกลางของทรัมป์ สตีฟ วิตต์คอฟฟ์ (Steve Witkoff) กำลังพิจารณาการเดินทางไปเยือนกาซา เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-ฮามาสให้ยังคงอยู่ . แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ทีมทรัมป์กล่าวว่า “คุณต้องเห็นมัน คุณต้องรู้สึกมัน” และชี้ว่า . “การทำเช่นนั้นจะเปิดโอกาสให้ทูตพิเศษของทรัมป์สามารถเห็นไดนามิกความเคลื่อนไหวในพื้นที่ด้วยตาตัวเองมากกว่าได้มาจากคำพูดของอิสราเอล” . ทั้งนี้ วิตต์คอฟฟ์กำลังทำงานเพื่อทำให้ประสบสำเร็จต่อเสถียรภาพระยะยาวของชาวอิสราเอลและประชาชนปาเลสไตน์อีก 2 ล้านคน ซึ่งเขาได้พบกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ถือเป็นจุดสำคัญทำให้ข้อตกลงหยุดยิงสามารถบรรลุ . อย่างไรก็ตาม ข่าวการย้ายชาวปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคนมาที่อินโดนีเซียตามข้อเสนอของทีมทรัมป์ทำให้นักการเมืองอิเหนาไม่พอใจ . เรดิโอรีพับลิกอินโดนีเซียรายงานว่า ส.ส. มาร์ดานี อาลี ซีรา (Mardani Ali Sera) ได้ออกมาตอบโต้ข่าวข้อเสนอย้ายว่า การโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ไม่ใช่กิจธุระของทรัมป์ แต่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของชาวปาเลสไตน์ในการตัดสินอนาคตตัวเอง . “มันขึ้นอยู่กับประชาชนกาซา มันไม่ใช่กิจธุระของทรัมป์” เขากล่าว . มาร์ดานีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐสภา BKSAP กล่าวเสริมว่า ชาวปาเลสไตน์นั้นไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ที่จะสามารถย้ายไปง่ายๆ ได้ . และยังย้ำต่อพันธสัญญาของอินโดนีเซียในการสนับสนุนการเป็นอิสรภาพของปาเลสไตน์จากอิสราเอลผู้ยึดครอง สอดคล้องกับการออกมายืนยันของรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียที่ก่อนหน้ายืนยัน อ้างอิงจาก อันตาราของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ว่ารัฐบาลจากาตาร์จะไม่มีวันทอดทิ้งชาวปาเลสไตน์ไว้เบื้องหลัง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006998 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Yay
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1441 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ปูติน-สี’ วิดีโอคอลชื่นมื่นนานกว่าชั่วโมงครึ่ง ย้ำความสัมพันธ์แนบแน่น เผยพร้อมติดต่อกับคณะบริหารทรัมป์ภายใต้หลักการเอื้อผลประโยชน์ร่วมกันและการเคารพกันและกัน นอกจากนั้น ประมุขวังเครมลินยังเผยว่า พร้อมเจรจาเรื่องยูเครน แต่ย้ำว่า อเมริกาต้องเคารพผลประโยชน์ของรัสเซีย รวมทั้งจัดการกับต้นตอของวิกฤตเพื่อให้เกิดสันติภาพระยะยาว ไม่ใช่หวังผลแค่ข้อตกลงหยุดยิงช่วงสั้นๆ
    .
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย พัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวแน่นแฟ้นและยิ่งแนบแน่นมากขึ้นหลังจากปูตินส่งทหารบุกยูเครนในปี 2022 นอกจากนี้ จีนยังกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งซื้อน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย เวลาเดียวกันก็เป็นแหล่งเทคโนโลยีสำคัญของแดนหมีขาว ขณะที่มอสโกถูกตะวันตกรุมแซงก์ชัน
    .
    ระหว่างการวิดีโอคอลกับสีคราวนี้ ที่กินเวลานานกว่าชั่วโมงครึ่งเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) หรือหนึ่งวันหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น ปูตินย้ำว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับจีนอยู่บนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ความเท่าเทียม และการเอื้อประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองภายในหรือสถานการณ์ระหว่างประเทศ
    .
    ประมุขวังเครมลินเสริมว่า รัสเซียและจีนสนับสนุนการพัฒนาระเบียบโลกแบบมีหลายขั้วที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น และดำเนินการเพื่อรับประกันความมั่นคงที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ในอาณาบริเวณยูเรเซียและทั่วโลก ก่อนสำทับว่า ความพยายามร่วมกันระหว่างสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพกิจการโลก
    .
    ทางด้าน สี ยกย่องความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างกันเช่นเดียวกัน และแสดงความพร้อมในการร่วมกับปูตินยกระดับความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย รวมทั้งรับมือความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภายนอก ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีเสถียรภาพและยืดหยุ่น และปกป้องความเป็นกลางและความยุติธรรมระหว่างประเทศ
    .
    ผู้นำแดนมังกรย้ำว่า รัสเซียและจีนควรกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ สนับสนุนกันและกันอย่างมั่นคง และปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของสองประเทศต่อไป
    .
    แม้ไม่ได้เอ่ยถึงทรัมป์โดยตรง แต่เครมลินระบุว่า สีและปูตินพูดคุยกันเรื่องการติดต่อกับคณะบริหารใหม่ของอเมริกาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
    .
    ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ (17 ม.ค.) สี ได้คุยกับ ทรัมป์ ทางโทรศัพท์และแสดงความหวังว่า ความสัมพันธ์สองประเทศจะเป็นไปในแง่ดี
    .
    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทรัมป์ขู่เก็บภาษีศุลกากรและใช้มาตรการอื่นๆ กับจีนหากได้กลับสู่ทำเนียบขาว แต่ขณะเดียวกันก็แย้มว่า สองชาติมหาอำนาจที่เป็นคู่แข่งกันอาจร่วมมือกันได้ในบางประเด็น เช่น ความขัดแย้งระดับภูมิภาค และการจำกัดการส่งออกสารที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิล
    .
    ทางด้าน ยูริ ยูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศของปูติน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การหารือระหว่าง ปูติน กับ สี ครั้งนี้ มีการเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า สีได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวสั้นๆ กับปูติน และผู้นำทั้งสองยังหารือกันในบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ในการติดต่อกับคณะบริหารชุดใหม่ของอเมริกา โดยทั้ง ปูติน และ สีต่างแสดงความพร้อมในการพัฒนาความสัมพันธ์กับวอชิงตัน บนหลักการของผลประโยชน์ร่วมกันและการเคารพกันและกัน
    .
    อนึ่ง ระหว่างการประชุมสภาความมั่นคงของรัสเซียที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ในวันจันทร์ ไม่นานก่อนที่ทรัมป์จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ปูตินได้กล่าวแสดงความยินดีและตอบรับความตั้งใจของผู้นำสหรัฐฯ ในการหารือกับมอสโก รวมทั้งบอกว่า รัสเซียเปิดกว้างในการเจรจาเรื่องยูเครน แต่ย้ำว่าอเมริกาต้องเคารพผลประโยชน์ของรัสเซีย และต้องจัดการกับต้นตอของวิกฤตเพื่อให้เกิดสันติภาพระยะยาวที่อิงกับผลประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชนและทุกประเทศที่อยู่ในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่หวังผลแค่ข้อตกลงหยุดยิงช่วงสั้นๆ
    .
    ขณะที่ทางด้านทรัมป์ ระหว่างการแถลงข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (20) ภายหลังสาบานตัวรับตำแหน่งแล้ว ได้พูดถึงเรื่องสงครามยูเครนว่า ได้รับแจ้งจากประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนว่า ต้องการทำข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย
    .
    ทรัมป์ยังแสดงความหวังว่า ปูตินจะเห็นพ้อง ก่อนสำทับว่า ประมุขวังเครมลินกำลังทำลายรัสเซียด้วยการปฏิเสธการทำข้อตกลง โดยเขาอ้างอิงถึงปัญหาเศรษฐกิจของรัสเซียที่รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ
    .
    จากนั้นในวันอังคาร (21) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า อาจเพิ่มมาตรการแซงก์ชันรัสเซีย หากปูตินยังไม่ยอมเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006995
    ..............
    Sondhi X
    ‘ปูติน-สี’ วิดีโอคอลชื่นมื่นนานกว่าชั่วโมงครึ่ง ย้ำความสัมพันธ์แนบแน่น เผยพร้อมติดต่อกับคณะบริหารทรัมป์ภายใต้หลักการเอื้อผลประโยชน์ร่วมกันและการเคารพกันและกัน นอกจากนั้น ประมุขวังเครมลินยังเผยว่า พร้อมเจรจาเรื่องยูเครน แต่ย้ำว่า อเมริกาต้องเคารพผลประโยชน์ของรัสเซีย รวมทั้งจัดการกับต้นตอของวิกฤตเพื่อให้เกิดสันติภาพระยะยาว ไม่ใช่หวังผลแค่ข้อตกลงหยุดยิงช่วงสั้นๆ . ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย พัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวแน่นแฟ้นและยิ่งแนบแน่นมากขึ้นหลังจากปูตินส่งทหารบุกยูเครนในปี 2022 นอกจากนี้ จีนยังกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งซื้อน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย เวลาเดียวกันก็เป็นแหล่งเทคโนโลยีสำคัญของแดนหมีขาว ขณะที่มอสโกถูกตะวันตกรุมแซงก์ชัน . ระหว่างการวิดีโอคอลกับสีคราวนี้ ที่กินเวลานานกว่าชั่วโมงครึ่งเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) หรือหนึ่งวันหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น ปูตินย้ำว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับจีนอยู่บนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ความเท่าเทียม และการเอื้อประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองภายในหรือสถานการณ์ระหว่างประเทศ . ประมุขวังเครมลินเสริมว่า รัสเซียและจีนสนับสนุนการพัฒนาระเบียบโลกแบบมีหลายขั้วที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น และดำเนินการเพื่อรับประกันความมั่นคงที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ในอาณาบริเวณยูเรเซียและทั่วโลก ก่อนสำทับว่า ความพยายามร่วมกันระหว่างสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพกิจการโลก . ทางด้าน สี ยกย่องความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างกันเช่นเดียวกัน และแสดงความพร้อมในการร่วมกับปูตินยกระดับความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย รวมทั้งรับมือความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภายนอก ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีเสถียรภาพและยืดหยุ่น และปกป้องความเป็นกลางและความยุติธรรมระหว่างประเทศ . ผู้นำแดนมังกรย้ำว่า รัสเซียและจีนควรกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ สนับสนุนกันและกันอย่างมั่นคง และปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของสองประเทศต่อไป . แม้ไม่ได้เอ่ยถึงทรัมป์โดยตรง แต่เครมลินระบุว่า สีและปูตินพูดคุยกันเรื่องการติดต่อกับคณะบริหารใหม่ของอเมริกาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต . ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ (17 ม.ค.) สี ได้คุยกับ ทรัมป์ ทางโทรศัพท์และแสดงความหวังว่า ความสัมพันธ์สองประเทศจะเป็นไปในแง่ดี . อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทรัมป์ขู่เก็บภาษีศุลกากรและใช้มาตรการอื่นๆ กับจีนหากได้กลับสู่ทำเนียบขาว แต่ขณะเดียวกันก็แย้มว่า สองชาติมหาอำนาจที่เป็นคู่แข่งกันอาจร่วมมือกันได้ในบางประเด็น เช่น ความขัดแย้งระดับภูมิภาค และการจำกัดการส่งออกสารที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิล . ทางด้าน ยูริ ยูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศของปูติน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การหารือระหว่าง ปูติน กับ สี ครั้งนี้ มีการเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า สีได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวสั้นๆ กับปูติน และผู้นำทั้งสองยังหารือกันในบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ในการติดต่อกับคณะบริหารชุดใหม่ของอเมริกา โดยทั้ง ปูติน และ สีต่างแสดงความพร้อมในการพัฒนาความสัมพันธ์กับวอชิงตัน บนหลักการของผลประโยชน์ร่วมกันและการเคารพกันและกัน . อนึ่ง ระหว่างการประชุมสภาความมั่นคงของรัสเซียที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ในวันจันทร์ ไม่นานก่อนที่ทรัมป์จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ปูตินได้กล่าวแสดงความยินดีและตอบรับความตั้งใจของผู้นำสหรัฐฯ ในการหารือกับมอสโก รวมทั้งบอกว่า รัสเซียเปิดกว้างในการเจรจาเรื่องยูเครน แต่ย้ำว่าอเมริกาต้องเคารพผลประโยชน์ของรัสเซีย และต้องจัดการกับต้นตอของวิกฤตเพื่อให้เกิดสันติภาพระยะยาวที่อิงกับผลประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชนและทุกประเทศที่อยู่ในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่หวังผลแค่ข้อตกลงหยุดยิงช่วงสั้นๆ . ขณะที่ทางด้านทรัมป์ ระหว่างการแถลงข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (20) ภายหลังสาบานตัวรับตำแหน่งแล้ว ได้พูดถึงเรื่องสงครามยูเครนว่า ได้รับแจ้งจากประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนว่า ต้องการทำข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย . ทรัมป์ยังแสดงความหวังว่า ปูตินจะเห็นพ้อง ก่อนสำทับว่า ประมุขวังเครมลินกำลังทำลายรัสเซียด้วยการปฏิเสธการทำข้อตกลง โดยเขาอ้างอิงถึงปัญหาเศรษฐกิจของรัสเซียที่รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ . จากนั้นในวันอังคาร (21) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า อาจเพิ่มมาตรการแซงก์ชันรัสเซีย หากปูตินยังไม่ยอมเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006995 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1342 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเขาอาจกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ หากว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ปฏิเสธเจรจาข้อตกลงยุติสงครามกับยูเครน
    .
    "ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น" ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว เมื่อถูกถามว่าสหรัฐฯจะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับรัสเซียหรือไม่ หากว่าประธานาธิบดีรัสเซียไม่ยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจา
    .
    ก่อนหน้าเข้าพิธีสาบานตนในวันจันทร์(20ม.ค.) ทรัมป์ เคยประกาศกร้าว่าจะยุติสงครามยูเครนในทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เพิ่มความคาดหมายว่าเขาอาจจะใช้เงินช่วยเหลือเป็นตัวงัดข้อบีบบังคับให้เคียฟเป็นฝ่ายยอมทำตามรัสเซีย ซึ่งเปิดฉากรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022
    .
    ในความเห็นที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ปูติน แบบที่ไม่พบเห็นบ่อยนัก ทรัมป์ระบุในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าประธานาธิบดีรัสเซีย ควรทำข้อตกลง "ผมคิดว่าเขากำลังทำลายรัสเซีย ด้วยการไม่ทำข้อตกลง"
    .
    ทรัมป์ เผยอีกว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน บอกกับเขาว่าต้องการข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงคราม
    .
    ทั้งนี้ระหว่างตอบคำถามผู้สื่อข่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) ทรัมป์ ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมที่อาจกำหนดเล่นงานรัสเซีย ในขณะที่สหรัฐฯคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซียอย่างหนักไปก่อนหน้าแล้ว ลงโทษกรณีที่รุกรานยูเครน
    .
    ขณะเดียวกัน ทรัมป์ เผยว่ารัฐบาลของเขากำลังหาพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับการส่งมอบอาวุธแก่ยูเครน พร้อมบอกว่าจากมุมมองของเขา พวกสหภาพยุโรปควรดำเนินการสนับสนุนยูเครนมากกว่าที่เป็นอยู่
    .
    "เรากำลังพูดคุยกับเซเลนสกี เรากำลังจะพูดคุยกับประธานาธิบดีปูตินเร็วๆนี้ "ทรัมป์กล่าว "เรากำลังพินิจพิจารณามัน"
    .
    นกอจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังเผยด้วยว่าเขาได้กดดันประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เรียกร้องให้เข้าแทรกแซงเพื่อยุติสงครามยูเครน "เขาไม่ทำอะไรเท่าไหร่ในเรื่องนี้ เขามีอำนาจมากมาย เช่นเดียวกับเราที่มีอำนาจมากมาย ผมบอกกับเขาไปว่า คุณควรจะหาทางออกให้เรื่องนี้ เราหารือกันในเรื่องดังกล่าว"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006643
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเขาอาจกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ หากว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ปฏิเสธเจรจาข้อตกลงยุติสงครามกับยูเครน . "ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น" ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว เมื่อถูกถามว่าสหรัฐฯจะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับรัสเซียหรือไม่ หากว่าประธานาธิบดีรัสเซียไม่ยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจา . ก่อนหน้าเข้าพิธีสาบานตนในวันจันทร์(20ม.ค.) ทรัมป์ เคยประกาศกร้าว่าจะยุติสงครามยูเครนในทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เพิ่มความคาดหมายว่าเขาอาจจะใช้เงินช่วยเหลือเป็นตัวงัดข้อบีบบังคับให้เคียฟเป็นฝ่ายยอมทำตามรัสเซีย ซึ่งเปิดฉากรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 . ในความเห็นที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ปูติน แบบที่ไม่พบเห็นบ่อยนัก ทรัมป์ระบุในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าประธานาธิบดีรัสเซีย ควรทำข้อตกลง "ผมคิดว่าเขากำลังทำลายรัสเซีย ด้วยการไม่ทำข้อตกลง" . ทรัมป์ เผยอีกว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน บอกกับเขาว่าต้องการข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงคราม . ทั้งนี้ระหว่างตอบคำถามผู้สื่อข่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) ทรัมป์ ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมที่อาจกำหนดเล่นงานรัสเซีย ในขณะที่สหรัฐฯคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซียอย่างหนักไปก่อนหน้าแล้ว ลงโทษกรณีที่รุกรานยูเครน . ขณะเดียวกัน ทรัมป์ เผยว่ารัฐบาลของเขากำลังหาพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับการส่งมอบอาวุธแก่ยูเครน พร้อมบอกว่าจากมุมมองของเขา พวกสหภาพยุโรปควรดำเนินการสนับสนุนยูเครนมากกว่าที่เป็นอยู่ . "เรากำลังพูดคุยกับเซเลนสกี เรากำลังจะพูดคุยกับประธานาธิบดีปูตินเร็วๆนี้ "ทรัมป์กล่าว "เรากำลังพินิจพิจารณามัน" . นกอจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังเผยด้วยว่าเขาได้กดดันประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เรียกร้องให้เข้าแทรกแซงเพื่อยุติสงครามยูเครน "เขาไม่ทำอะไรเท่าไหร่ในเรื่องนี้ เขามีอำนาจมากมาย เช่นเดียวกับเราที่มีอำนาจมากมาย ผมบอกกับเขาไปว่า คุณควรจะหาทางออกให้เรื่องนี้ เราหารือกันในเรื่องดังกล่าว" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006643 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1273 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีอเมริกันชนราว 47% ที่เห็นชอบการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ หลังจากเขาคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาณบ่งชี้ว่าประเทศแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยการแบ่งขั้ว หลังตัวแทนจากรีพับลิกันคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน จากผลโพลของรอยเตอร์/อิปซอส ที่ปิดการสำรวจในวันอังคาร (21 ม.ค.)
    .
    ผลสำรวจที่ดำเนินการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) และวันอังคาร (21 ม.ค.) ตามหลัง ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมของเขาสูงกว่าตลอดช่วงเวลาเกือบทั้งหมดในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017-2021
    .
    อย่างไรก็ตาม ผลโพลพบด้วยว่าชาวอเมริกาพากันขุ่นเคืองต่อความเคลื่อนไหวแรกๆ บางอย่างของประธานาธิบดีรายนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 58% บอกว่า ทรัมป์ ไม่ควรนิรโทษกรรมทุกคนที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดทางอาญา ระหว่างเหตุจลาจลบุกจู่โจมอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021
    .
    ทรัมป์ ดำเนินการดังกล่าว นิรโทษกรรมเหล่าผู้สนับสนุนเกือบ 1,600 ราย ที่ถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา ร่วมกันปิดล้อมอาคารรัฐสภา ไม่กี่ชั่วโมงหลังดำรงตำแหน่งสมัย 2 อย่างเป็นทางการ ในระหว่างที่กำลังจัดทำโพล
    .
    มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 29% ที่เห็นชอบแนวทางของทรัมป์ ในการจัดการกับสิ่งที่รับรู้กันว่าเป็นระบบตุลาการเชิงการเมือง ทรัมป์กล่าวหา โจ ไบเดน ผู้นำคนก่อนก่อความบิดเบี้ยวแก่กระบวนการยุติธรรม ด้วยความพยายามดำเนินคดีต่างๆ กับเขา ในเจตนาขัดขวางเขาจากการดำรงตำแหน่ง ข้อกล่าวหาที่ทางฝั่งเดโมแครตปฏิเสธ นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังบอกว่าเขาอาจใช้ระบบยุติธรรมหาทางแก้แค้นคู่ปรับทางการเมืองด้วย
    .
    พวกผู้ตอบแบบสอบถามให้การสนับสนุนแนวทางทรัมป์ มากกว่าในการจัดการกับประเด็นอื่นๆ โดยมี 46% ที่เห็นชอบแนวทางการรับมือพวกผู้อพยพของทรัมป์ ประเด็นที่อเมริกันชนจำนวนมากอยากเห็นมันเป็นประเด็นที่รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญในลำดับสูงสุด
    .
    ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้ง 2024 เหนือ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากเดโมแครต ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 312 ต่อ 226 เสียง แต่ในส่วนของคะแนนป็อบปูลาร์โหวตนั้น เขาได้คะแนนเสียงแค่ 49.8% เฉือน แฮร์ริส ที่ได้ไป 48.3%
    .
    ผลสำรวจเท่ากับเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับทรัมป์ ผู้ซึ่งเริ่มต้นวาระดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 ด้วยคะแนนนิยม 43% ก่อนคะแนนนิยมจะดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 49% ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ปิดฉากการเป็นประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 34% ตามหลังเหตุปิดล้อมอาคารรัฐสภา พยายามโค่นล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ที่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
    .
    คล้ายกับ ไบเดน ซึ่งพ้นจากตำแหน่งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) คะแนนนิยมของทรัมป์ ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 45% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของการดำรงตำแหน่งสมัยแรก และเคยดำดิ่งลงไปในระดับต่ำสุดเหลือแค่ 33% ในเดือนธันวาคม 2017
    .
    ไบเดน เริ่มต้นทำหน้าที่ประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 55% แต่เรตติ้งของเขาปักหัวลงอย่างรวดเร็ว และเคยดำดิ่งแตะระดับแค่ 35% ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ภาวะที่ไม่ได้รับความนิยมของตัวแทนจากพรรคเดโมแครตรายนี้ ถูกมองอย่างกว้างขวางว่ากลายเป็นตัวส่งเสริมคะแนนนิยมของทรัมป์ ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
    .
    การคืนสู่อำนาจของทรัมป์ เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาชาติเพื่อนบ้านและทั่วโลก แต่ผลสำรวจพบว่ามีอเมริกันชนเพียงเล็กน้อยที่สนับสนุนแผนขยายเขตแดนอเมริกาของทรัมป์ เช่นเดียวกับมาตรการรีดภาษีที่อาจทำให้ราคาเชื้อเพลิงดีดตัวสูงขึ้น
    .
    ผลสำรวจพบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 16% ที่เห็นด้วยกับถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ว่า สหรัฐฯ ควรกดดันให้เดนมาร์ก ยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่อเมริกา
    .
    เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ กล่าวว่าสหรัฐฯ มีความจำเป็นต้องควบคุมเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เพื่อรับประกันความมั่นคงระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เดนมาร์ก และ กรีนแลนด์ บอกว่าเกาะยักษ์แห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย
    .
    ขณะเดียวกัน มีเพียงราว 29% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่บอกว่าสหรัฐฯ ควรทวงคืนการควบคุมคลองปานามา มาจากปานามา อีกหนึ่งเป้าหมายระหว่างประเทศของทรัมป์ อเมริกายอมปล่อยมือการควบคุมน่านน้ำยุทธศาสตร์แห่งนี้ให้แก่แคนาดาในปี 1999 แต่ ทรัมป์ กล่าวหา ปานามา ยกให้จีนดูแลปฏิบัติการต่างๆ ของคลองแห่งนี้ คำกล่าวหาที่ทางรัฐบาลปานามาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006615
    ..............
    Sondhi X
    มีอเมริกันชนราว 47% ที่เห็นชอบการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ หลังจากเขาคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาณบ่งชี้ว่าประเทศแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยการแบ่งขั้ว หลังตัวแทนจากรีพับลิกันคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน จากผลโพลของรอยเตอร์/อิปซอส ที่ปิดการสำรวจในวันอังคาร (21 ม.ค.) . ผลสำรวจที่ดำเนินการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) และวันอังคาร (21 ม.ค.) ตามหลัง ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมของเขาสูงกว่าตลอดช่วงเวลาเกือบทั้งหมดในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017-2021 . อย่างไรก็ตาม ผลโพลพบด้วยว่าชาวอเมริกาพากันขุ่นเคืองต่อความเคลื่อนไหวแรกๆ บางอย่างของประธานาธิบดีรายนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 58% บอกว่า ทรัมป์ ไม่ควรนิรโทษกรรมทุกคนที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดทางอาญา ระหว่างเหตุจลาจลบุกจู่โจมอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 . ทรัมป์ ดำเนินการดังกล่าว นิรโทษกรรมเหล่าผู้สนับสนุนเกือบ 1,600 ราย ที่ถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา ร่วมกันปิดล้อมอาคารรัฐสภา ไม่กี่ชั่วโมงหลังดำรงตำแหน่งสมัย 2 อย่างเป็นทางการ ในระหว่างที่กำลังจัดทำโพล . มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 29% ที่เห็นชอบแนวทางของทรัมป์ ในการจัดการกับสิ่งที่รับรู้กันว่าเป็นระบบตุลาการเชิงการเมือง ทรัมป์กล่าวหา โจ ไบเดน ผู้นำคนก่อนก่อความบิดเบี้ยวแก่กระบวนการยุติธรรม ด้วยความพยายามดำเนินคดีต่างๆ กับเขา ในเจตนาขัดขวางเขาจากการดำรงตำแหน่ง ข้อกล่าวหาที่ทางฝั่งเดโมแครตปฏิเสธ นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังบอกว่าเขาอาจใช้ระบบยุติธรรมหาทางแก้แค้นคู่ปรับทางการเมืองด้วย . พวกผู้ตอบแบบสอบถามให้การสนับสนุนแนวทางทรัมป์ มากกว่าในการจัดการกับประเด็นอื่นๆ โดยมี 46% ที่เห็นชอบแนวทางการรับมือพวกผู้อพยพของทรัมป์ ประเด็นที่อเมริกันชนจำนวนมากอยากเห็นมันเป็นประเด็นที่รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญในลำดับสูงสุด . ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้ง 2024 เหนือ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากเดโมแครต ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 312 ต่อ 226 เสียง แต่ในส่วนของคะแนนป็อบปูลาร์โหวตนั้น เขาได้คะแนนเสียงแค่ 49.8% เฉือน แฮร์ริส ที่ได้ไป 48.3% . ผลสำรวจเท่ากับเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับทรัมป์ ผู้ซึ่งเริ่มต้นวาระดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 ด้วยคะแนนนิยม 43% ก่อนคะแนนนิยมจะดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 49% ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ปิดฉากการเป็นประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 34% ตามหลังเหตุปิดล้อมอาคารรัฐสภา พยายามโค่นล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ที่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ . คล้ายกับ ไบเดน ซึ่งพ้นจากตำแหน่งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) คะแนนนิยมของทรัมป์ ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 45% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของการดำรงตำแหน่งสมัยแรก และเคยดำดิ่งลงไปในระดับต่ำสุดเหลือแค่ 33% ในเดือนธันวาคม 2017 . ไบเดน เริ่มต้นทำหน้าที่ประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 55% แต่เรตติ้งของเขาปักหัวลงอย่างรวดเร็ว และเคยดำดิ่งแตะระดับแค่ 35% ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ภาวะที่ไม่ได้รับความนิยมของตัวแทนจากพรรคเดโมแครตรายนี้ ถูกมองอย่างกว้างขวางว่ากลายเป็นตัวส่งเสริมคะแนนนิยมของทรัมป์ ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง . การคืนสู่อำนาจของทรัมป์ เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาชาติเพื่อนบ้านและทั่วโลก แต่ผลสำรวจพบว่ามีอเมริกันชนเพียงเล็กน้อยที่สนับสนุนแผนขยายเขตแดนอเมริกาของทรัมป์ เช่นเดียวกับมาตรการรีดภาษีที่อาจทำให้ราคาเชื้อเพลิงดีดตัวสูงขึ้น . ผลสำรวจพบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 16% ที่เห็นด้วยกับถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ว่า สหรัฐฯ ควรกดดันให้เดนมาร์ก ยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่อเมริกา . เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ กล่าวว่าสหรัฐฯ มีความจำเป็นต้องควบคุมเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เพื่อรับประกันความมั่นคงระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เดนมาร์ก และ กรีนแลนด์ บอกว่าเกาะยักษ์แห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย . ขณะเดียวกัน มีเพียงราว 29% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่บอกว่าสหรัฐฯ ควรทวงคืนการควบคุมคลองปานามา มาจากปานามา อีกหนึ่งเป้าหมายระหว่างประเทศของทรัมป์ อเมริกายอมปล่อยมือการควบคุมน่านน้ำยุทธศาสตร์แห่งนี้ให้แก่แคนาดาในปี 1999 แต่ ทรัมป์ กล่าวหา ปานามา ยกให้จีนดูแลปฏิบัติการต่างๆ ของคลองแห่งนี้ คำกล่าวหาที่ทางรัฐบาลปานามาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006615 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1354 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามคำสั่งนับสิบครอบคลุมประเด็นโลกร้อนไปจนถึงคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งตามที่ลั่นวาจาไว้
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารบางส่วนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว เช่น การอภัยโทษผู้ประท้วงจำนวนมากที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แต่ยังมีคำสั่งอีกจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเกินคาด เช่น การนำอเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
    .
    ต่อไปนี้คือสรุปคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามในสนามกีฬาที่วอชิงตันท่ามกลางผู้สนับสนุนจำนวนมาก และที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมาภายหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    คนเข้าเมือง
    .
    ทรัมป์เซ็นคำสั่งหลายฉบับเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีที่อเมริกาจัดการปัญหาคนเข้าเมืองและความเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณชายแดนทางใต้
    ประมุขทำเนียบขาวคนใหม่ยังสัญญาว่า จะจัดการเนรเทศครั้งใหญ่ซึ่งจะมีกองทัพร่วมปฏิบัติการด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่ “อาชญากรต่างด้าว”
    .
    ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ลงนามคำสั่งยกเลิกการให้สัญชาติจากการเกิดในประเทศ อย่างไรก็ดี ทรัมป์อาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายเนื่องจากการให้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัตินี้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ
    .
    ม็อบบุกสภา 6 มกราคม
    .
    ทรัมป์ลงนามอภัยโทษผู้สนับสนุนตนเองบางส่วนจากทั้งหมด 1,500 คนที่บุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2020 โดยเรียกคนเหล่านั้นที่ถูกตัดสินความผิดหรือยอมรับผิดในการก่อจลาจลว่าเป็น “ตัวประกัน”
    .
    ความหลากหลาย ความเท่าเทียม การยอมรับความแตกต่าง
    .
    ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกายกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมโครงการความหลากหลายและความเท่าเทียมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในหน่วยงานรัฐบาล ภาคธุรกิจ และบริการสาธารณสุข รวมถึงสิทธิของคนอเมริกันกลุ่ม LGBTQ ตามที่สัญญาไว้ว่าจะจัดการวัฒนธรรม “การตื่นรู้”
    .
    ทรัมป์ยังประกาศว่า ต่อไปรัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับคนเพียงสองเพศคือชายกับหญิงเท่านั้น
    .
    ข้อตกลงโลกร้อนปารีส
    .
    ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อนปารีสเหมือนที่เคยทำมาตอนรับตำแหน่งสมัยแรก ตอกย้ำการปฏิเสธความพยายามของทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ขณะที่ภัยพิบติธรรมชาติรุนแรงขึ้นทั่วโลก
    .
    อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลา 1 ปีหลังจากยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อกรอบข้อตกลงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฉบับนี้ อเมริกาจึงจะสามารถถอนตัวได้
    .
    การขุดเจาะน้ำมัน
    .
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อขยายการขุดเจาะในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลก
    .
    เวิร์ก ฟอร์ม โฮม
    .
    นอกจากนั้น ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งกำหนดให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางกลับไปทำงานในสำนักงานเต็มเวลา เพื่อยุติการอนุญาตการทำงานจากที่บ้านส่วนใหญ่ที่ริเริ่มขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
    .
    ถอนตัวจาก WHO
    .
    ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้อเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก โดยยืนยันว่า ไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ จ่ายเงินสมทบองค์กรนี้มากกว่าที่จีนจ่าย
    .
    ติ๊กต็อก Tiktok
    .
    ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกไป 75 วัน ซึ่งเท่ากับเป็นการชะลอการดำเนินการห้ามการเผยแพร่และอัปเดตแพลตฟอร์มติ๊กต็อกในอเมริกาที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 ม.ค.)
    .
    ทรัมป์ระบุว่า ต้องการให้ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต็อกที่อยู่ในจีน ตกลงขายหุ้นติ๊กต็อก 50% ให้นักลงทุนในอเมริกา
    .
    ผู้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์
    .
    ทรัมป์ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันของคณะบริหารของไบเดนต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์
    .
    คิวบา
    .
    ทรัมป์ล้มล้างอีกหนึ่งคำสั่งของไบเดนที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในการถอดคิวบาออกจากบัญชีดำประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยนักโทษ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006613
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งนับสิบครอบคลุมประเด็นโลกร้อนไปจนถึงคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งตามที่ลั่นวาจาไว้ . คำสั่งฝ่ายบริหารบางส่วนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว เช่น การอภัยโทษผู้ประท้วงจำนวนมากที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แต่ยังมีคำสั่งอีกจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเกินคาด เช่น การนำอเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) . ต่อไปนี้คือสรุปคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามในสนามกีฬาที่วอชิงตันท่ามกลางผู้สนับสนุนจำนวนมาก และที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมาภายหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . คนเข้าเมือง . ทรัมป์เซ็นคำสั่งหลายฉบับเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีที่อเมริกาจัดการปัญหาคนเข้าเมืองและความเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณชายแดนทางใต้ ประมุขทำเนียบขาวคนใหม่ยังสัญญาว่า จะจัดการเนรเทศครั้งใหญ่ซึ่งจะมีกองทัพร่วมปฏิบัติการด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่ “อาชญากรต่างด้าว” . ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ลงนามคำสั่งยกเลิกการให้สัญชาติจากการเกิดในประเทศ อย่างไรก็ดี ทรัมป์อาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายเนื่องจากการให้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัตินี้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ . ม็อบบุกสภา 6 มกราคม . ทรัมป์ลงนามอภัยโทษผู้สนับสนุนตนเองบางส่วนจากทั้งหมด 1,500 คนที่บุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2020 โดยเรียกคนเหล่านั้นที่ถูกตัดสินความผิดหรือยอมรับผิดในการก่อจลาจลว่าเป็น “ตัวประกัน” . ความหลากหลาย ความเท่าเทียม การยอมรับความแตกต่าง . ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกายกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมโครงการความหลากหลายและความเท่าเทียมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในหน่วยงานรัฐบาล ภาคธุรกิจ และบริการสาธารณสุข รวมถึงสิทธิของคนอเมริกันกลุ่ม LGBTQ ตามที่สัญญาไว้ว่าจะจัดการวัฒนธรรม “การตื่นรู้” . ทรัมป์ยังประกาศว่า ต่อไปรัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับคนเพียงสองเพศคือชายกับหญิงเท่านั้น . ข้อตกลงโลกร้อนปารีส . ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อนปารีสเหมือนที่เคยทำมาตอนรับตำแหน่งสมัยแรก ตอกย้ำการปฏิเสธความพยายามของทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ขณะที่ภัยพิบติธรรมชาติรุนแรงขึ้นทั่วโลก . อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลา 1 ปีหลังจากยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อกรอบข้อตกลงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฉบับนี้ อเมริกาจึงจะสามารถถอนตัวได้ . การขุดเจาะน้ำมัน . ทรัมป์ลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อขยายการขุดเจาะในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลก . เวิร์ก ฟอร์ม โฮม . นอกจากนั้น ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งกำหนดให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางกลับไปทำงานในสำนักงานเต็มเวลา เพื่อยุติการอนุญาตการทำงานจากที่บ้านส่วนใหญ่ที่ริเริ่มขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด . ถอนตัวจาก WHO . ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้อเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก โดยยืนยันว่า ไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ จ่ายเงินสมทบองค์กรนี้มากกว่าที่จีนจ่าย . ติ๊กต็อก Tiktok . ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกไป 75 วัน ซึ่งเท่ากับเป็นการชะลอการดำเนินการห้ามการเผยแพร่และอัปเดตแพลตฟอร์มติ๊กต็อกในอเมริกาที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 ม.ค.) . ทรัมป์ระบุว่า ต้องการให้ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต็อกที่อยู่ในจีน ตกลงขายหุ้นติ๊กต็อก 50% ให้นักลงทุนในอเมริกา . ผู้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์ . ทรัมป์ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันของคณะบริหารของไบเดนต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ . คิวบา . ทรัมป์ล้มล้างอีกหนึ่งคำสั่งของไบเดนที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในการถอดคิวบาออกจากบัญชีดำประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยนักโทษ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006613 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1411 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น"

    ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์ 

    ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute" 
    แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว"

    ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ

    มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม

    มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย

    แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  

    ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง

    เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online  

    1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง

    2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน 

    3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา" 

    4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ

    สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า

    1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า

    2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม

    3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด

    4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ

    5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่

    6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม

    แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก" 

    "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น" 

    "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ

    ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว

    ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
    https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น" ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์  ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute"  แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว" ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน   ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online   1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง 2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน  3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา"  4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า 1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า 2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม 3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด 4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ 5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่ 6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก"  "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น"  "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปธน.ปูตินทักทาย ปธน.สี จิ้นผิงของจีน ในการประชุมทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์

    ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยประธานาธิบดีปูติน ได้สรุปสาระสำคัญหลังการสนทนาของผู้นำทั้งสอง:

    - เครมลินพร้อมที่จะติดต่อกับตัวแทนของทรัมป์ แต่ตัวแทนของทรัมป์ยังไม่ได้ติดต่อกับตัวแทนของรัสเซีย และยังไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมสำหรับการติดต่อกับทรัมป์จากสหรัฐ

    - การสนทนาระหว่างปูตินและสีจิ้นผิงในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ แต่เป็นการตกลงกันไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา

    - สี จิ้นผิง แจ้งรายละเอียดทั่วไปให้ปูตินทราบ เกี่ยวกับเนื้อหาการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเขากับทรัมป์

    - ปูตินและสีจิ้นผิงแลกเปลี่ยนคำเชิญในการเยือนประเทศของแต่ละฝ่าย โดยที่:
    ♦️สี จิ้นผิง คาดว่าจะอยู่ที่มอสโกเพื่อร่วมขบวนพาเหรดวันแห่งชัยชนะในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้

    ♦️ส่วนปูตินได้รับเชิญไปจีนเพื่อร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือญี่ปุ่นในวันที่ 3 กันยายน เช่นกัน

    - ผู้นำจีนกล่าวว่า จีนพร้อมยกระดับความสัมพันธ์กับรัสเซียขึ้นอีกขั้นในปี 2025

    - ทั้งสองผู้นำสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและจีน ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของโลก

    - ปูตินกล่าวยินดีที่การทำงานร่วมกันระหว่างรัสเซียและจีนที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพในกิจการระหว่างประเทศของทั้งสอง
    ปธน.ปูตินทักทาย ปธน.สี จิ้นผิงของจีน ในการประชุมทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยประธานาธิบดีปูติน ได้สรุปสาระสำคัญหลังการสนทนาของผู้นำทั้งสอง: - เครมลินพร้อมที่จะติดต่อกับตัวแทนของทรัมป์ แต่ตัวแทนของทรัมป์ยังไม่ได้ติดต่อกับตัวแทนของรัสเซีย และยังไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมสำหรับการติดต่อกับทรัมป์จากสหรัฐ - การสนทนาระหว่างปูตินและสีจิ้นผิงในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ แต่เป็นการตกลงกันไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา - สี จิ้นผิง แจ้งรายละเอียดทั่วไปให้ปูตินทราบ เกี่ยวกับเนื้อหาการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเขากับทรัมป์ - ปูตินและสีจิ้นผิงแลกเปลี่ยนคำเชิญในการเยือนประเทศของแต่ละฝ่าย โดยที่: ♦️สี จิ้นผิง คาดว่าจะอยู่ที่มอสโกเพื่อร่วมขบวนพาเหรดวันแห่งชัยชนะในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ ♦️ส่วนปูตินได้รับเชิญไปจีนเพื่อร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือญี่ปุ่นในวันที่ 3 กันยายน เช่นกัน - ผู้นำจีนกล่าวว่า จีนพร้อมยกระดับความสัมพันธ์กับรัสเซียขึ้นอีกขั้นในปี 2025 - ทั้งสองผู้นำสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและจีน ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของโลก - ปูตินกล่าวยินดีที่การทำงานร่วมกันระหว่างรัสเซียและจีนที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพในกิจการระหว่างประเทศของทั้งสอง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้

    บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก

    บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena)

    บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต

    ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

    จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์”

    ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน

    นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ

    ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

    -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations)

    -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร

    -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

    -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป

    -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ

    -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

    ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena) บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์” ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations) -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่ ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา
    .
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม
    .
    "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน
    .
    ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด"
    .
    โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย
    .
    ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม"
    .
    แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี
    .
    ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ
    .
    ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว
    .
    ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233
    .........
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา . โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม . "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน . ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด" . โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย . ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ . ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม" . แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี . ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ . ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว . ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1274 มุมมอง 1 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้สัตย์ปฏิญาณ ด้วยการชูมือขวาขึ้น แต่ไม่ได้วางมือซ้ายบนพระคัมภีร์ไบเบิล 2 เล่มที่ เมลาเนีย ภรรยาของเขา ยืนถืออยู่ข้างๆ ก่อประเด็นคำถามว่ามันจะส่งผลกระทบใดๆ หรือไม่ และมันเป็นการสาบานตนที่ชอบตามรัฐธรรมนูญหรือเปล่า
    .
    แม้พวกนักวิชาการออกมาแสดงความคิดเห็นว่าความพลั้งเผลอดังกล่าวไม่มีผลในทางปฏิบัติ แต่ประเด็นนี้โหมกระพือความอยากรู้บนสื่อสังคมออนไลน์ โดยกรณีที่ ทรัมป์ ไม่วางมือบนพระคัมภีร์ไบเบิล กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์ในลำดับต้นๆ ที่ถูกค้นหามากที่สุดบนกูเกิลในช่วงบ่ายวันจันทร์ (20 ม.ค.)
    .
    เฌเรมี ซูรี ศาสตราจารย์และนักวิชาการด้านประธานาธิบดี แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ระบุว่าสิ่งที่ว่าที่ประธานาธิบดีใช้ให้คำสัตย์ปฏิญาณ ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์ไบเบิล เอกสารประวัติศาสตร์ หรือไม่ใช้อะไรเลย ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้ารับอำนาจของประธานาธิบดีรายนั้นๆ
    .
    "ไม่มีอะไรในรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่าประธานาธิบดีจำเป็นต้องผูกโยงเรื่องนี้กับพระผู้เป็นเจ้าอยู่แล้ว มันเป็นการสาบานตนต่อรัฐธรรมนูญ" เขากล่าว "ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องใดๆ กับการสาบานตนของเขา" พร้อมบอกว่ารัฐธรรมนูญอนุญาตให้ว่าที่ประธานาธิบดีทั้งสาบานหรือยืนยันก็ได้ "บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ เปิดกว้างสำหรับใครก็ตามที่ให้คำสัตย์ปฏิญาณ"
    .
    โฆษกของทรัมป์ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
    .
    ตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุไว้ว่า ว่าที่ประธานาธิบดีควรกล่าวตามหลังคำสัตย์ปฏิญาณหรือคำยืนยัน ว่า "ข้าพเจ้า (ชื่อ) ขอให้คำสาบาน (หรือยืนยัน) อย่างจริงจังว่า จะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างซื่อสัตย์ และจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกปักรักษา คุ้มครอง และปกป้องรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ (ขอพระเจ้าทรงโปรด)"
    .
    ทีมเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ เผยว่าทรัมป์เลือกพระคัมภีร์ไบเบิลของ อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐฯ ในการสาบานตน ส่วนอีกเล่มเป็นพระคัมภีร์ที่มารดามอบให้เขา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006236
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้สัตย์ปฏิญาณ ด้วยการชูมือขวาขึ้น แต่ไม่ได้วางมือซ้ายบนพระคัมภีร์ไบเบิล 2 เล่มที่ เมลาเนีย ภรรยาของเขา ยืนถืออยู่ข้างๆ ก่อประเด็นคำถามว่ามันจะส่งผลกระทบใดๆ หรือไม่ และมันเป็นการสาบานตนที่ชอบตามรัฐธรรมนูญหรือเปล่า . แม้พวกนักวิชาการออกมาแสดงความคิดเห็นว่าความพลั้งเผลอดังกล่าวไม่มีผลในทางปฏิบัติ แต่ประเด็นนี้โหมกระพือความอยากรู้บนสื่อสังคมออนไลน์ โดยกรณีที่ ทรัมป์ ไม่วางมือบนพระคัมภีร์ไบเบิล กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์ในลำดับต้นๆ ที่ถูกค้นหามากที่สุดบนกูเกิลในช่วงบ่ายวันจันทร์ (20 ม.ค.) . เฌเรมี ซูรี ศาสตราจารย์และนักวิชาการด้านประธานาธิบดี แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ระบุว่าสิ่งที่ว่าที่ประธานาธิบดีใช้ให้คำสัตย์ปฏิญาณ ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์ไบเบิล เอกสารประวัติศาสตร์ หรือไม่ใช้อะไรเลย ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้ารับอำนาจของประธานาธิบดีรายนั้นๆ . "ไม่มีอะไรในรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่าประธานาธิบดีจำเป็นต้องผูกโยงเรื่องนี้กับพระผู้เป็นเจ้าอยู่แล้ว มันเป็นการสาบานตนต่อรัฐธรรมนูญ" เขากล่าว "ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องใดๆ กับการสาบานตนของเขา" พร้อมบอกว่ารัฐธรรมนูญอนุญาตให้ว่าที่ประธานาธิบดีทั้งสาบานหรือยืนยันก็ได้ "บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ เปิดกว้างสำหรับใครก็ตามที่ให้คำสัตย์ปฏิญาณ" . โฆษกของทรัมป์ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว . ตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุไว้ว่า ว่าที่ประธานาธิบดีควรกล่าวตามหลังคำสัตย์ปฏิญาณหรือคำยืนยัน ว่า "ข้าพเจ้า (ชื่อ) ขอให้คำสาบาน (หรือยืนยัน) อย่างจริงจังว่า จะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างซื่อสัตย์ และจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกปักรักษา คุ้มครอง และปกป้องรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ (ขอพระเจ้าทรงโปรด)" . ทีมเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ เผยว่าทรัมป์เลือกพระคัมภีร์ไบเบิลของ อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐฯ ในการสาบานตน ส่วนอีกเล่มเป็นพระคัมภีร์ที่มารดามอบให้เขา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006236 .............. Sondhi X
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 808 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหภาพยุโรป (อียู) พร้อมปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง จากคำประกาศของคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของกลุ่ม หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบายรีดภาษีและจัดเก็บภาษีประเทศอื่นๆ ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    "ถ้ามีความจำเป็นสำหรับปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของยุโรป เราพร้อมที่จะทำ" วัลดิส ดอมบรอฟสกีส์ กรรมาธิการการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าว หลังถูกถามเกี่ยวกับคำขู่ของทรัมป์ แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สดๆ ร้อนๆ ยังไม่แถลงมาตรการรีดภาษีรอบใหม่ใดๆ กับบรรดาคู่หูทางการค้าของอเมริกา
    .
    ดอมบรอฟสกีส์ เน้นย้ำว่า อียู เคยตอบโต้ "ในแนวทางที่สมน้ำสมเนื้อ" ต่อมาตรการรีดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ที่รัฐบาลทรัมป์สมัยแรกระหว่างปี 2017-2021 กำหนดเล่นงานอียู ด้วยการเล็งเป้าเล่นงานสินค้านำเข้าต่างๆ จากสหรัฐฯ อย่างเช่นรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์-เดวิดสัน และวิสกีเบอร์เบิ้น
    .
    ก่อนเข้ารับตำแหน่งสมัยล่าสุดนี้ ทรัมป์ขู่รีดภาษีอย่างครอบคลุม ในนั้นรวมถึงกับอียู คู่หูการค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับชาติเพื่อนบ้านอย่างแคนาดากับเม็กซิโก และ จีน คู่อริทางยุทธศาสตร์
    .
    ท่ามกลางเค้าลางแห่งความเสี่ยงถูกรีดภาษี อียูหันมาดำเนินยุทธศาสตร์ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอียูกับสหรัฐฯ มาเป็นนานหลายเดือน แทนการเผชิญหน้า
    .
    "อียูและสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ เราจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะในบริบทท่ามกลางความยุ่งเหยิงทางภูมิรัฐศาสตร์นี้" ดอมบรอฟสกีส์เน้นย้ำ พร้อมเตือนว่าความขัดแย้งทางการค้า "จะก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ทุกฝ่าย ในนั้นรวมถึงอเมริกาด้วย"
    .
    นอกจากนี้ เขาเตือนว่าอียู "ต้องทำงานด้านความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจของเรา" ในนั้นรวมถึงหาทางมีคู่หูทางการค้าที่หลากหลาย
    .
    อียูแถลงกระชับข้อตกลงทางการค้ากับเม็กซิโก ไม่กี่วันก่อน ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่ง และในวันจันทร์ (20 ม.ค.) พวกเขาแถลงว่ากำลังกลับมาเจรจสข้อตกลงการค้าเสรีกับมาเลเซีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006234
    ..............
    Sondhi X
    สหภาพยุโรป (อียู) พร้อมปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง จากคำประกาศของคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของกลุ่ม หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบายรีดภาษีและจัดเก็บภาษีประเทศอื่นๆ ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . "ถ้ามีความจำเป็นสำหรับปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของยุโรป เราพร้อมที่จะทำ" วัลดิส ดอมบรอฟสกีส์ กรรมาธิการการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าว หลังถูกถามเกี่ยวกับคำขู่ของทรัมป์ แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สดๆ ร้อนๆ ยังไม่แถลงมาตรการรีดภาษีรอบใหม่ใดๆ กับบรรดาคู่หูทางการค้าของอเมริกา . ดอมบรอฟสกีส์ เน้นย้ำว่า อียู เคยตอบโต้ "ในแนวทางที่สมน้ำสมเนื้อ" ต่อมาตรการรีดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ที่รัฐบาลทรัมป์สมัยแรกระหว่างปี 2017-2021 กำหนดเล่นงานอียู ด้วยการเล็งเป้าเล่นงานสินค้านำเข้าต่างๆ จากสหรัฐฯ อย่างเช่นรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์-เดวิดสัน และวิสกีเบอร์เบิ้น . ก่อนเข้ารับตำแหน่งสมัยล่าสุดนี้ ทรัมป์ขู่รีดภาษีอย่างครอบคลุม ในนั้นรวมถึงกับอียู คู่หูการค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับชาติเพื่อนบ้านอย่างแคนาดากับเม็กซิโก และ จีน คู่อริทางยุทธศาสตร์ . ท่ามกลางเค้าลางแห่งความเสี่ยงถูกรีดภาษี อียูหันมาดำเนินยุทธศาสตร์ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอียูกับสหรัฐฯ มาเป็นนานหลายเดือน แทนการเผชิญหน้า . "อียูและสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ เราจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะในบริบทท่ามกลางความยุ่งเหยิงทางภูมิรัฐศาสตร์นี้" ดอมบรอฟสกีส์เน้นย้ำ พร้อมเตือนว่าความขัดแย้งทางการค้า "จะก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ทุกฝ่าย ในนั้นรวมถึงอเมริกาด้วย" . นอกจากนี้ เขาเตือนว่าอียู "ต้องทำงานด้านความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจของเรา" ในนั้นรวมถึงหาทางมีคู่หูทางการค้าที่หลากหลาย . อียูแถลงกระชับข้อตกลงทางการค้ากับเม็กซิโก ไม่กี่วันก่อน ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่ง และในวันจันทร์ (20 ม.ค.) พวกเขาแถลงว่ากำลังกลับมาเจรจสข้อตกลงการค้าเสรีกับมาเลเซีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006234 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 806 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค)
    .
    เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี
    .
    เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น
    .
    ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน
    .
    เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต
    .
    ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที
    .
    บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา
    .
    “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว
    .
    ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา
    .
    ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน
    .
    อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989
    .
    โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
    .
    โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา
    .
    ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา”
    .
    บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน”
    .
    และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว”
    .
    “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด”
    .
    เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช”
    .
    เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค) . เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี . เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น . ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน . เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต . ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า . เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที . บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา . “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว . ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา . ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน . อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989 . โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล . โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา . ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา” . บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน” . และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว” . “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด” . เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช” . เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 889 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เตรียมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ให้สัญญาปิดฉากความตกต่ำนาน 4 ปีและนำอเมริกาสู่ยุคทอง ลั่นพร้อมเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งรวมถึงการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองนับล้าน และการปรับบทบาทใหม่ของอเมริกาในเวทีโลก
    .
    การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกลับมาอย่างผู้ชนะเต็มตัวของ “ดิสรัปเตอร์ทางการเมือง” ที่รอดจากการถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึงสองครั้ง รวมถึงการถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงหนึ่งครั้ง นอกจากนั้นยังเผชิญความพยายามในการลอบสังหารสองครั้ง และการถูกฟ้องร้องจากความพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
    .
    ทรัมป์ วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ใหม่แทนที่ โจ ไบเดน ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอายุมากที่สุดขณะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถัดจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (ปี 1885-1889 และปี1893-1897) ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่อง
    .
    พิธีสาบานตนกำหนดเริ่มต้นขึ้นเวลา 12.00 น. วันจันทร์ตามเวลาในกรุงวอชิงตัน (ตรงกับเวลา เที่ยงคืน คืนวันจันทร์ ตามเวลาเมืองไทย) ภายในอาคารรัฐสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่มีการจัดพิธีภายในอาคาร ทั้งนี้ เนื่องจากพยากรณ์อากาศระบุว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจัด
    .
    ก่อนหน้าที่พิธีจะเริ่มต้นหนึ่งวัน ทรัมป์ได้ไปกล่าวปราศรัยท่ามกลางผู้สนับสนุนที่อัดแน่นในสนามกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน โดยให้สัญญาว่า จะปิดฉากความตกต่ำที่ดำเนินมานาน 4 ปี ซึ่งก็คือหมายถึงสมัยการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน และเริ่มต้นอเมริกายุคใหม่ที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง รวมทั้งเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว
    .
    ทรัมป์ใช้เวลาจำนวนมากในการปราศรัยนานหนึ่งชั่วโมงคราวนี้โฟกัสที่ปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของอเมริกาผู้นี้ ประกาศว่า จะหยุดยั้งการบุกรุกข้ามแดนและจัดการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองทันที
    .
    ทรัมป์สัญญาว่า จะใช้อำนาจฝ่ายบริหารตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนทางใต้ติดกับเม็กซิโก ยกเลิกนโยบาย “การตื่นรู้” ที่รวมถึง “ความบ้าคลั่งของการยอมรับคนข้ามเพศ” ในโรงเรียน ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เขาจะเซ็นประกาศใช้อำนาจฝ่ายบริหารถึงราว 200 ฉบับ
    .
    เขายังย้ำคำสัญญาในการเผยแพร่ไฟล์ข้อมูลการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และน้องชาย บ็อบบี้ เคนเนดี้ รวมทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง
    .
    ทรัมป์สำทับว่า จะอภัยโทษผู้ต้องหาจำนวนมาก จากกว่า 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน
    .
    สำหรับทางด้านไบเดนเดินทางไปรัฐเซาท์แคโรไลนาเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา และกล่าวเรียกร้องให้คนอเมริกันเชื่อมั่นว่า วันที่ดีกว่านี้กำลังจะมาถึง พร้อมให้สัญญา “จะไม่ไปไหน” โดยไบเดนมีกำหนดกลับไปกรุงวอชิงตันเพื่อร่วมพิธีส่งมอบตำแหน่งให้ทรัมป์ที่เขาเคยตราหน้าว่า เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย อีกทั้งยังถือเป็นการ “ตบหน้า” ทรัมป์กลายๆ เนื่องจาก ทรัมป์นั้นไม่ยอมรับเลยว่าพ่ายแพ้แก่ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 และไม่ยอมร่วมพิธีสาบานตนของไบเดนในเดือนมกราคม 2021
    .
    ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียอีก ทรัมป์ก็แสดงบทบาทเข้าสู่กรณีระดับโลก หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ ติ๊กต็อก แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยม ยกความดีความชอบว่า “ความชัดเจน” ของทรัมป์ทำให้ติ๊กต็อกกลับมาให้บริการอีกครั้งในอเมริกา หลังขึ้นจอดำนานหลายชั่วโมง
    .
    วันเดียวกันนั้น ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอล 3 คนภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่ทีมงานของทรัมป์มีส่วนร่วมผลักดันโดยทำงานร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของไบเดน
    .
    ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต่างมองการกลับมาของทรัมป์ ว่าจะต้องเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้แล้วว่าเตรียมเขย่าระเบียบโลกอีกคำรบหนึ่ง ด้วยการให้สัญญาเก็บภาษีศุลกากรแบบเหวี่ยงแหจากทั้งประเทศอริอย่างเช่นจีน และประเทศที่เป็นมิตรอย่างแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนั้นเขายังข่มขู่เข้ายึดคลองปานานา กดดันให้แคนาดายอมถูกผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และบีบคั้นให้เดนมาร์กยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่สหรัฐฯ ตลอดจนตั้งข้อสงสัยในการให้ความช่วยเหลือยูเครนของอเมริกา โดยที่มีแผนจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และบีบให้ยูเครนยอมสละดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006227
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์เตรียมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ให้สัญญาปิดฉากความตกต่ำนาน 4 ปีและนำอเมริกาสู่ยุคทอง ลั่นพร้อมเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งรวมถึงการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองนับล้าน และการปรับบทบาทใหม่ของอเมริกาในเวทีโลก . การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกลับมาอย่างผู้ชนะเต็มตัวของ “ดิสรัปเตอร์ทางการเมือง” ที่รอดจากการถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึงสองครั้ง รวมถึงการถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงหนึ่งครั้ง นอกจากนั้นยังเผชิญความพยายามในการลอบสังหารสองครั้ง และการถูกฟ้องร้องจากความพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ . ทรัมป์ วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ใหม่แทนที่ โจ ไบเดน ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอายุมากที่สุดขณะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถัดจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (ปี 1885-1889 และปี1893-1897) ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่อง . พิธีสาบานตนกำหนดเริ่มต้นขึ้นเวลา 12.00 น. วันจันทร์ตามเวลาในกรุงวอชิงตัน (ตรงกับเวลา เที่ยงคืน คืนวันจันทร์ ตามเวลาเมืองไทย) ภายในอาคารรัฐสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่มีการจัดพิธีภายในอาคาร ทั้งนี้ เนื่องจากพยากรณ์อากาศระบุว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจัด . ก่อนหน้าที่พิธีจะเริ่มต้นหนึ่งวัน ทรัมป์ได้ไปกล่าวปราศรัยท่ามกลางผู้สนับสนุนที่อัดแน่นในสนามกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน โดยให้สัญญาว่า จะปิดฉากความตกต่ำที่ดำเนินมานาน 4 ปี ซึ่งก็คือหมายถึงสมัยการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน และเริ่มต้นอเมริกายุคใหม่ที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง รวมทั้งเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว . ทรัมป์ใช้เวลาจำนวนมากในการปราศรัยนานหนึ่งชั่วโมงคราวนี้โฟกัสที่ปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของอเมริกาผู้นี้ ประกาศว่า จะหยุดยั้งการบุกรุกข้ามแดนและจัดการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองทันที . ทรัมป์สัญญาว่า จะใช้อำนาจฝ่ายบริหารตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนทางใต้ติดกับเม็กซิโก ยกเลิกนโยบาย “การตื่นรู้” ที่รวมถึง “ความบ้าคลั่งของการยอมรับคนข้ามเพศ” ในโรงเรียน ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เขาจะเซ็นประกาศใช้อำนาจฝ่ายบริหารถึงราว 200 ฉบับ . เขายังย้ำคำสัญญาในการเผยแพร่ไฟล์ข้อมูลการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และน้องชาย บ็อบบี้ เคนเนดี้ รวมทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง . ทรัมป์สำทับว่า จะอภัยโทษผู้ต้องหาจำนวนมาก จากกว่า 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน . สำหรับทางด้านไบเดนเดินทางไปรัฐเซาท์แคโรไลนาเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา และกล่าวเรียกร้องให้คนอเมริกันเชื่อมั่นว่า วันที่ดีกว่านี้กำลังจะมาถึง พร้อมให้สัญญา “จะไม่ไปไหน” โดยไบเดนมีกำหนดกลับไปกรุงวอชิงตันเพื่อร่วมพิธีส่งมอบตำแหน่งให้ทรัมป์ที่เขาเคยตราหน้าว่า เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย อีกทั้งยังถือเป็นการ “ตบหน้า” ทรัมป์กลายๆ เนื่องจาก ทรัมป์นั้นไม่ยอมรับเลยว่าพ่ายแพ้แก่ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 และไม่ยอมร่วมพิธีสาบานตนของไบเดนในเดือนมกราคม 2021 . ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียอีก ทรัมป์ก็แสดงบทบาทเข้าสู่กรณีระดับโลก หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ ติ๊กต็อก แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยม ยกความดีความชอบว่า “ความชัดเจน” ของทรัมป์ทำให้ติ๊กต็อกกลับมาให้บริการอีกครั้งในอเมริกา หลังขึ้นจอดำนานหลายชั่วโมง . วันเดียวกันนั้น ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอล 3 คนภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่ทีมงานของทรัมป์มีส่วนร่วมผลักดันโดยทำงานร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของไบเดน . ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต่างมองการกลับมาของทรัมป์ ว่าจะต้องเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้แล้วว่าเตรียมเขย่าระเบียบโลกอีกคำรบหนึ่ง ด้วยการให้สัญญาเก็บภาษีศุลกากรแบบเหวี่ยงแหจากทั้งประเทศอริอย่างเช่นจีน และประเทศที่เป็นมิตรอย่างแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนั้นเขายังข่มขู่เข้ายึดคลองปานานา กดดันให้แคนาดายอมถูกผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และบีบคั้นให้เดนมาร์กยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่สหรัฐฯ ตลอดจนตั้งข้อสงสัยในการให้ความช่วยเหลือยูเครนของอเมริกา โดยที่มีแผนจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และบีบให้ยูเครนยอมสละดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006227 .............. Sondhi X
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 860 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts