• บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน
    ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน
    *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด...
    #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ
    #บันทึกบุญ

    กฤษณ์จรัส วัทฒโก
    เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63
    Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363
    TikTok : พลัมเฮร่า
    โทร.089-2466495
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    *6363 รหัสลัภ
    บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด... #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ #บันทึกบุญ กฤษณ์จรัส วัทฒโก เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363 TikTok : พลัมเฮร่า โทร.089-2466495 #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ *6363 รหัสลัภ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจริญธรรมเถิด
    เกิดเหตุผลดี
    บุญร่วมชีวี
    มีสุขที่ใจ

    ทุกข์มีทุกเมื่อ
    เชื่อมั่นแก้ไข
    สติฝึกไว้
    ได้สมาธิ

    ได้สำนึกจริง
    ยิ่งดีแก่จิต
    ปัญญาออกฤทธิ์
    มิตรธรรมมาแน่

    กิเลสตัณหา
    พาทุกข์ต้องแก้
    มีจิตแน่วแน่
    แก้ให้ห่างไกล

    จิตธรรมหนึ่งเดียว
    เคี่ยวเข็ญขวนขวาย
    หนึ่งอารมณ์ได้
    ให้เจริญธรรม

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    เจริญธรรมเถิด เกิดเหตุผลดี บุญร่วมชีวี มีสุขที่ใจ ทุกข์มีทุกเมื่อ เชื่อมั่นแก้ไข สติฝึกไว้ ได้สมาธิ ได้สำนึกจริง ยิ่งดีแก่จิต ปัญญาออกฤทธิ์ มิตรธรรมมาแน่ กิเลสตัณหา พาทุกข์ต้องแก้ มีจิตแน่วแน่ แก้ให้ห่างไกล จิตธรรมหนึ่งเดียว เคี่ยวเข็ญขวนขวาย หนึ่งอารมณ์ได้ ให้เจริญธรรม ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิพพานปัจจโยโหตุ
    นิพพานปัจจโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นิพพานปัจจโยโหตุ
    นิพพานปัจจโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • การงานที่ทำ
    นำพาคลุกคลี
    สมาธิดี
    มีความสำคัญ

    สติให้อยู่
    รู้ให้เท่าทัน
    ขวนขวายบากบั่น
    ปัญญาวิจัย

    สิ่งใดควรทำ
    นำพาอาศัย
    ดีเหตุปัจจัย
    ให้คุณประโยขน์

    ทุกข์โทษโรคกรรม
    นำพาอับโชค
    ปัญญาแล่นโลด
    โคจรให้ดี

    เจริญรุ่งเรือง
    เปรื่องปราดวิถี
    ปัญญาที่มี
    กรรมดีอาศัย

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    การงานที่ทำ นำพาคลุกคลี สมาธิดี มีความสำคัญ สติให้อยู่ รู้ให้เท่าทัน ขวนขวายบากบั่น ปัญญาวิจัย สิ่งใดควรทำ นำพาอาศัย ดีเหตุปัจจัย ให้คุณประโยขน์ ทุกข์โทษโรคกรรม นำพาอับโชค ปัญญาแล่นโลด โคจรให้ดี เจริญรุ่งเรือง เปรื่องปราดวิถี ปัญญาที่มี กรรมดีอาศัย ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีธรรมครรลอง
    ครองความจริงอยู่
    กำหนดตามดู
    รู้ให้เท่าทัน

    รู้ควรไม่ควร
    ถ้วนถี่พัวพัน
    ตั้งใจตั้งมั่น
    ปัญญาออกใช้

    หนทางสายกลาง
    ทางธรรมอาศัย
    รู้ยังยั้งได้
    ให้เผื่อใจไว้

    มีเหตุทุกขัง
    ยังต้องขวนขวาย
    อนิจจังได้
    ไม่ประมาทกรรม

    อนัตตาเด่น
    เป็นสัจธรรม
    ถูกตรงดื่มด่ำ
    ธรรมจริงอาศัย

    ขอให้พบธรรมคงามดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    มีธรรมครรลอง ครองความจริงอยู่ กำหนดตามดู รู้ให้เท่าทัน รู้ควรไม่ควร ถ้วนถี่พัวพัน ตั้งใจตั้งมั่น ปัญญาออกใช้ หนทางสายกลาง ทางธรรมอาศัย รู้ยังยั้งได้ ให้เผื่อใจไว้ มีเหตุทุกขัง ยังต้องขวนขวาย อนิจจังได้ ไม่ประมาทกรรม อนัตตาเด่น เป็นสัจธรรม ถูกตรงดื่มด่ำ ธรรมจริงอาศัย ขอให้พบธรรมคงามดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • กุศลเวรกรรม
    นำดีเวียนว่าย
    เวรกรรมเลวร้าย
    ให้ร้ายไม่ดี

    ทางธรรมสายกลาง
    วางได้แม้มี
    กิเลสห่างหนี
    ดีเหตุทุกข์ไกล

    จิตใจมั่นคง
    ตรงถูกกลางได้
    ความรู้ได้ใช้
    ได้เมตตาธรรม

    จิตใจเมตตา
    พาหายเวรกรรม
    บริสุทธิ์ธรรม
    นำจิตผุดผ่อง

    จิตแท้จิตเดิม
    เติมธรรมครรลอง
    คลายหายบกพร่อง
    ครองธรรมแท้จริง

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    กุศลเวรกรรม นำดีเวียนว่าย เวรกรรมเลวร้าย ให้ร้ายไม่ดี ทางธรรมสายกลาง วางได้แม้มี กิเลสห่างหนี ดีเหตุทุกข์ไกล จิตใจมั่นคง ตรงถูกกลางได้ ความรู้ได้ใช้ ได้เมตตาธรรม จิตใจเมตตา พาหายเวรกรรม บริสุทธิ์ธรรม นำจิตผุดผ่อง จิตแท้จิตเดิม เติมธรรมครรลอง คลายหายบกพร่อง ครองธรรมแท้จริง ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตนี้มีอยู่
    ดูแลรักษา
    ให้ธรรมนำพา
    สาระคุณได้

    กิเลสมายา
    พาระวังไว้
    หากพาครองไว้
    ได้ทุกข์เดือดร้อน

    ความคิดพูดทำ
    ธรรมจริงสั่งสอน
    จิตไม่สั่นคลอน
    พรดีทุกเมื่อ

    หนทางสายกลาง
    ทางธรรมไม่เบื่อ
    ศรัทธาจุนเจื่อ
    เชื่อได้แน่แท้

    คุณงามความดี
    ศีลธรรมดีแน่
    เหตุทุกข์ได้แก้
    แน่แท้ผ่องแผ้ว

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    จิตนี้มีอยู่ ดูแลรักษา ให้ธรรมนำพา สาระคุณได้ กิเลสมายา พาระวังไว้ หากพาครองไว้ ได้ทุกข์เดือดร้อน ความคิดพูดทำ ธรรมจริงสั่งสอน จิตไม่สั่นคลอน พรดีทุกเมื่อ หนทางสายกลาง ทางธรรมไม่เบื่อ ศรัทธาจุนเจื่อ เชื่อได้แน่แท้ คุณงามความดี ศีลธรรมดีแน่ เหตุทุกข์ได้แก้ แน่แท้ผ่องแผ้ว ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเห็นมีเยอะ
    เผลอเลอเหลวไหล
    ตัณหาคุมได้
    ให้สติมี

    สติดีพา
    สมาธิดี
    ปัญญาธรรมมี
    ดีทางสายกลาง

    จิตพัฒนา
    พาแจ้งสว่าง
    ยึดมั่นคลายวาง
    ท่ามกลางปัญญา

    จิตรวมสูญกลาง
    ทางธรรมรักษา
    ชอบธรรมค้นหา
    พาทุกข์ห่างไกล

    เหตุทุกข์ดับได้
    ให้ทุกข์ดับได้
    เหตุทุกข์ยึดหมาย
    ทุกข์ไม่ดับหาย

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุขยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ความเห็นมีเยอะ เผลอเลอเหลวไหล ตัณหาคุมได้ ให้สติมี สติดีพา สมาธิดี ปัญญาธรรมมี ดีทางสายกลาง จิตพัฒนา พาแจ้งสว่าง ยึดมั่นคลายวาง ท่ามกลางปัญญา จิตรวมสูญกลาง ทางธรรมรักษา ชอบธรรมค้นหา พาทุกข์ห่างไกล เหตุทุกข์ดับได้ ให้ทุกข์ดับได้ เหตุทุกข์ยึดหมาย ทุกข์ไม่ดับหาย ขอให้พบธรรมความดีมีสุขยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศถึงเพื่อนๆ กลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.) ครูนัทได้ฟื้นฟูกลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะกลุ่มใหญ่ขึ้น เป็น "คณะพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.)" ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการพุทธศาสนาเถรวาทและนักวิชาการแขนงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้ง ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งครูนัทกำลังดำเนินการจัดทำโครงการสัมนาวิชาการนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภาศึกษาเรื่องการบัญญัติกฎหมายเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่ออนุว้ติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

    โดยการประชุมผู้นำคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างถูกต้องตามคัมภีร์พระพุทธศาสนามีพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎก ตลอดจนการศึกษาภาษาบาลีมีความสำคัญ ควรให้พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการให้ความรู้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาพระไตรปิฎกจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ไม่ใช่เข้าใจเอาตามฐานข้อมูลทางสังคมไทย ที่ถูกต้องจะต้องเข้าใจตามฐานข้อมูลทางสังคมของประเทศอินเดีย จึงควรมีการส่งเสริมให้เรียนพระไตรปิฎกและคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎกให้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น และให้มีกองทุนส่งเสริมการศึกษาพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย ให้พระภิกษุได้มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานจากฐานข้อมูลที่แท้จริงยังสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าใจบริบทในพระไตรปิฎกให้มากขึ้น จะได้ไม่เกิดการตีความหรือความเข้าใจที่ผิดจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง เช่นที่ทุกวันนี้คนไทย ชาวพุทธเถรวาทไทย เข้าใจเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดเกือบทั้งประเทศ โดยชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คำว่า “เดรัจฉานวิชา” หมายถึงวิชาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ขวางกั้นพระนิพพาน เป็นวิชาที่มีความเลวทรามงมงาย แท้จริงแล้ว ความหมายของ “เดรัจฉานวิชา” หาได้เป็นอย่างที่สังคมไทยส่วนใหญ่เข้าใจไม่ แต่เดรัจฉานวิชาคือวิชาเลี้ยงชีพทั่วไป เป็นวิชาเลี้ยงชีพของชาวบ้าน และไม่ได้ขวางกั้นพระนิพพานแต่อย่างใด โดยไม่พบในพระไตรปิฎกพระสูตรใดหรือเล่มใดเลยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า “เดรัจฉานวิชาขวางกั้นพระนิพพาน” โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เดรัจฉานวิชา" คือ วิชาเลี้ยงชีพที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงชีพ ไม่ใช่วิชาที่จะนำไปสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการขอที่เขาให้ด้วยศรัทธา ไม่ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยวิชาชาวบ้านเพื่อแข่งกับชาวบ้านเพราะจะทำให้ชาวบ้านไม่ศรัทธา ไม่ดูแลอุปถัมภ์ภิกษุ ไม่ศรัทธาเพราะเห็นว่าภิกษุไม่ต่างจากตน จะไม่ฟังธรรมจากภิกษุในพระพุทธศาสนา

    พระภิกษุที่จะมีสิทธิได้ไปศึกษาดูงานในโครงการ จะต้องเป็นผู้สอบวัดระดับความรู้ทางบาลีและพระไตรปิฎกได้ตามมาตรฐานที่จะกำหนดขึ้นมาและขาดแคลนทุนทรัพย์ (พระหนุ่มเณรน้อยบ้านนอกเราที่ไม่มีโยมอุปัฏฐากจะได้มีโอกาส) อันจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการศึกษาพระไตรปิฎกให้ลึกซึ้งขึ้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูนัทตั้งความปรารถนามานานแล้ว แต่ยังทำไม่สำเร็จ คราวนี้จะลองอีกครั้ง

    ทั้งยังควรมีการควบคุมการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เกิดการเผยแพร่ในสิ่งที่ผิดหรือบิดเบือน จนเป็นเหตุให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กฎระเบียบจะเป็นอย่างไร จะสรุปได้เมื่อมีการฟังเสียงประชาชน เราไม่ควรปล่อยให้มีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำคอนเท้นต์ที่มีลักษณะบิดเบือนข้อมูลหรือองค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาเถรวาท

    ครูนัทฝากให้ช่วยกันกระจายข่าวด้วยนะคะ และขอให้นักวิชาการ ครูบาอาจารย์แขนงต่างๆ ที่ทราบข่าวนี้ มาร่วมกับครูนัทนะคะ ติดต่อมาหาครูนัทได้เลยทางช่องแชทค่ะ

    ขอบคุณมากๆ นะคะ
    ขอบพระคุณเจ้าของภาพสวยๆนะคะ
    ประกาศถึงเพื่อนๆ กลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.) ครูนัทได้ฟื้นฟูกลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะกลุ่มใหญ่ขึ้น เป็น "คณะพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.)" ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการพุทธศาสนาเถรวาทและนักวิชาการแขนงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้ง ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งครูนัทกำลังดำเนินการจัดทำโครงการสัมนาวิชาการนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภาศึกษาเรื่องการบัญญัติกฎหมายเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่ออนุว้ติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย โดยการประชุมผู้นำคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างถูกต้องตามคัมภีร์พระพุทธศาสนามีพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎก ตลอดจนการศึกษาภาษาบาลีมีความสำคัญ ควรให้พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการให้ความรู้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาพระไตรปิฎกจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ไม่ใช่เข้าใจเอาตามฐานข้อมูลทางสังคมไทย ที่ถูกต้องจะต้องเข้าใจตามฐานข้อมูลทางสังคมของประเทศอินเดีย จึงควรมีการส่งเสริมให้เรียนพระไตรปิฎกและคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎกให้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น และให้มีกองทุนส่งเสริมการศึกษาพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย ให้พระภิกษุได้มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานจากฐานข้อมูลที่แท้จริงยังสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าใจบริบทในพระไตรปิฎกให้มากขึ้น จะได้ไม่เกิดการตีความหรือความเข้าใจที่ผิดจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง เช่นที่ทุกวันนี้คนไทย ชาวพุทธเถรวาทไทย เข้าใจเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดเกือบทั้งประเทศ โดยชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คำว่า “เดรัจฉานวิชา” หมายถึงวิชาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ขวางกั้นพระนิพพาน เป็นวิชาที่มีความเลวทรามงมงาย แท้จริงแล้ว ความหมายของ “เดรัจฉานวิชา” หาได้เป็นอย่างที่สังคมไทยส่วนใหญ่เข้าใจไม่ แต่เดรัจฉานวิชาคือวิชาเลี้ยงชีพทั่วไป เป็นวิชาเลี้ยงชีพของชาวบ้าน และไม่ได้ขวางกั้นพระนิพพานแต่อย่างใด โดยไม่พบในพระไตรปิฎกพระสูตรใดหรือเล่มใดเลยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า “เดรัจฉานวิชาขวางกั้นพระนิพพาน” โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เดรัจฉานวิชา" คือ วิชาเลี้ยงชีพที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงชีพ ไม่ใช่วิชาที่จะนำไปสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการขอที่เขาให้ด้วยศรัทธา ไม่ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยวิชาชาวบ้านเพื่อแข่งกับชาวบ้านเพราะจะทำให้ชาวบ้านไม่ศรัทธา ไม่ดูแลอุปถัมภ์ภิกษุ ไม่ศรัทธาเพราะเห็นว่าภิกษุไม่ต่างจากตน จะไม่ฟังธรรมจากภิกษุในพระพุทธศาสนา พระภิกษุที่จะมีสิทธิได้ไปศึกษาดูงานในโครงการ จะต้องเป็นผู้สอบวัดระดับความรู้ทางบาลีและพระไตรปิฎกได้ตามมาตรฐานที่จะกำหนดขึ้นมาและขาดแคลนทุนทรัพย์ (พระหนุ่มเณรน้อยบ้านนอกเราที่ไม่มีโยมอุปัฏฐากจะได้มีโอกาส) อันจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการศึกษาพระไตรปิฎกให้ลึกซึ้งขึ้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูนัทตั้งความปรารถนามานานแล้ว แต่ยังทำไม่สำเร็จ คราวนี้จะลองอีกครั้ง ทั้งยังควรมีการควบคุมการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เกิดการเผยแพร่ในสิ่งที่ผิดหรือบิดเบือน จนเป็นเหตุให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กฎระเบียบจะเป็นอย่างไร จะสรุปได้เมื่อมีการฟังเสียงประชาชน เราไม่ควรปล่อยให้มีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำคอนเท้นต์ที่มีลักษณะบิดเบือนข้อมูลหรือองค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ครูนัทฝากให้ช่วยกันกระจายข่าวด้วยนะคะ และขอให้นักวิชาการ ครูบาอาจารย์แขนงต่างๆ ที่ทราบข่าวนี้ มาร่วมกับครูนัทนะคะ ติดต่อมาหาครูนัทได้เลยทางช่องแชทค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ ขอบพระคุณเจ้าของภาพสวยๆนะคะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเห็นคลุมครอบ
    ชอบจึงวิจัย
    ความเห็นมากมาย
    ให้ควบคุมได้

    เห็นทุกข์รู้ทุกข์
    เห็นสุขรู้ไว้
    อนิจจังได้
    ให้เพียรเห็นจริง

    สติให้อยู่
    รู้เท่าทุกสิ่ง
    อนิจจังจริง
    ยิ่งทันยิ่งได้

    รู้โลกเห็นธรรม
    นำพาวิจัย
    เพียรรู้ขวนขวาย
    ให้เป็นสติ

    ขวนขวายนำพา
    สมาธิจิต
    ธรรมจิตสนิท
    จิตรวมตั้งมั่น

    ขอบุญนี้จงสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ
    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง
    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ความเห็นคลุมครอบ ชอบจึงวิจัย ความเห็นมากมาย ให้ควบคุมได้ เห็นทุกข์รู้ทุกข์ เห็นสุขรู้ไว้ อนิจจังได้ ให้เพียรเห็นจริง สติให้อยู่ รู้เท่าทุกสิ่ง อนิจจังจริง ยิ่งทันยิ่งได้ รู้โลกเห็นธรรม นำพาวิจัย เพียรรู้ขวนขวาย ให้เป็นสติ ขวนขวายนำพา สมาธิจิต ธรรมจิตสนิท จิตรวมตั้งมั่น ขอบุญนี้จงสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • 28/2/68

    เนื้อหายาวมาก แต่คุ้มค่าแก่การอ่านค่ะ

    หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
    แล้ววันหนึ่ง....

    แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ
    จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช

    อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น
    มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน
    มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย

    หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ
    ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน
    บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน

    มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่
    แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้ เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน

    ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามาช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร
    เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี
    ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

    ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่นในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง

    ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย
    มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว

    ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า
    สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิดจัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น

    ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้
    เราก็ไม่ควรเชื่อ

    ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
    ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน

    ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้

    ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม
    ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง…

    ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง
    น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้

    อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย
    มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้ แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้
    ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า…
    ทำไมต้องเป็นเราด้วย…

    วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ
    วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเราเองได้ ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง……

    มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่……

    ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น
    ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้…..

    โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย
    ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ

    ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่งเบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ
    ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง

    ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ
    เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ?

    แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง…… พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ
    เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไขและปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้

    มีคำถามในใจว่า...
    “ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ”

    ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา
    จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม

    หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด
    ด้วยตัวเองแล้ว

    ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง
    ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้ เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษาด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม
    ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต...

    ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม

    เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่
    ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก

    อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย
    แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตายเป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้…

    การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆว่า มาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้

    แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์ มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ
    ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด
    ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน
    และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองก็อัศจรรย์ใจมาก

    ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ

    พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน จนเกือบจะสายเกินไป หรือหมดโอกาสไปเสียเลย

    แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ
    และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง
    จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้เลย

    พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา
    ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร

    การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา…

    สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่าเด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น 16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย

    ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม
    พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก

    สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์ จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง
    เรื่องนี้ให้มาก

    หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ
    ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลย

    คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง
    แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้
    ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา
    แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง

    การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา
    วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด…

    /////////

    ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับแพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ

    สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดีช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
    28/2/68 เนื้อหายาวมาก แต่คุ้มค่าแก่การอ่านค่ะ หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง แล้ววันหนึ่ง.... แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้ เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามาช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่นในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิดจัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้ เราก็ไม่ควรเชื่อ ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้ ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง… ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้ แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้ ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า… ทำไมต้องเป็นเราด้วย… วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเราเองได้ ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง…… มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่…… ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้….. โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่งเบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ? แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง…… พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไขและปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้ มีคำถามในใจว่า... “ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ” ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด ด้วยตัวเองแล้ว ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้ เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษาด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต... ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตายเป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้… การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆว่า มาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์ มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองก็อัศจรรย์ใจมาก ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน จนเกือบจะสายเกินไป หรือหมดโอกาสไปเสียเลย แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้เลย พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา… สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่าเด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น 16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์ จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง เรื่องนี้ให้มาก หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลย คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้ ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด… ///////// ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับแพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดีช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้อมกราบทุกพระองค์
    นิพพานปัจจโยโหตุ
    น้อมกราบทุกพระองค์ นิพพานปัจจโยโหตุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน
    ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน
    *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด...
    #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ
    #บันทึกบุญ

    กฤษณ์จรัส วัทฒโก
    เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63
    Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363
    TikTok : พลัมเฮร่า
    โทร.089-2466495
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    *6363 รหัสลัภ
    บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด... #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ #บันทึกบุญ กฤษณ์จรัส วัทฒโก เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363 TikTok : พลัมเฮร่า โทร.089-2466495 #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ *6363 รหัสลัภ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน
    ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน
    *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด...
    #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ
    #บันทึกบุญ

    กฤษณ์จรัส วัทฒโก
    เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63
    Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363
    TikTok : พลัมเฮร่า
    โทร.089-2466495
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    *6363 รหัสลัภ
    บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด... #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ #บันทึกบุญ กฤษณ์จรัส วัทฒโก เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363 TikTok : พลัมเฮร่า โทร.089-2466495 #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ *6363 รหัสลัภ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจริญศีลธรรม
    กรรมดีอาศัย
    คุณมีมากมาย
    ใช้ได้ทุกเมื่อ

    ้เชื้อไฟกิเลส
    เหตุทุกข์น่าเบื่อ
    ศีลธรรมเอื้อเฟื้อ
    เพื่อดับห่างไกล

    พระพุทธธรรมสงฆ์
    ส่งเสริมอาศัย
    พึ่งพาตนได้
    ให้น้อมนำไว้

    หนทางประเสริฐ
    เชิดชูอาศัย
    ทางสายกลางได้
    ให้ทุกข์ดับไป

    จิตธรรมเป็นหนึ่ง
    ถึงต้องขวนขวาย
    เป็นกลางทางได้
    ใหได้้ถึงฝั่ง

    ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ได้ธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    เจริญศีลธรรม กรรมดีอาศัย คุณมีมากมาย ใช้ได้ทุกเมื่อ ้เชื้อไฟกิเลส เหตุทุกข์น่าเบื่อ ศีลธรรมเอื้อเฟื้อ เพื่อดับห่างไกล พระพุทธธรรมสงฆ์ ส่งเสริมอาศัย พึ่งพาตนได้ ให้น้อมนำไว้ หนทางประเสริฐ เชิดชูอาศัย ทางสายกลางได้ ให้ทุกข์ดับไป จิตธรรมเป็นหนึ่ง ถึงต้องขวนขวาย เป็นกลางทางได้ ใหได้้ถึงฝั่ง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ได้ธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าชายสิทธัตถะ หรือที่รู้จักในนาม **พระโคตมพุทธเจ้า** เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ พระองค์ประสูติเมื่อประมาณ 563 ปีก่อนคริสตกาล (หรือตามบางแหล่งข้อมูลคือ 480 ปีก่อนคริสตกาล) ที่ลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล

    ### ชีวิตในวัยเยาว์
    เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งแคว้นสักกะ และพระนางสิริมหามายา พระองค์ทรงเติบโตในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและความหรูหรา ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีและมีชีวิตที่สุขสบาย

    ### การออกบวช
    เมื่อพระองค์ทรงพบกับความทุกข์ในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย ความแก่ และความตาย พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตและหนทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์ทรงออกจากพระราชวังเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา และทรงเริ่มการแสวงหาความรู้และความจริง

    ### การตรัสรู้
    หลังจากแสวงหาความรู้และปฏิบัติธรรมอย่างหนัก พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ที่ตำบลพุทธคยา เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ทรงค้นพบ **อริยสัจ 4** (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ) และ **มรรคมีองค์ 8** (หนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์)

    ### การเผยแผ่ธรรมะ
    หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากว่า 45 ปี ในการเผยแผ่ธรรมะและสอนผู้คนให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตและหนทางสู่การหลุดพ้น พระองค์ทรงมีสาวกจำนวนมาก ทั้งพระภิกษุและฆราวาส

    ### การปรินิพพาน
    พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ที่เมืองกุสินารา ปัจจุบันอยู่ในประเทศอินเดีย การปรินิพพานของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดของวัฏสงสารและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

    ### มรดกทางจิตวิญญาณ
    พระพุทธเจ้าทรงทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่มนุษยชาติ หลักธรรมคำสอนของพระองค์ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญา

    หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือหลักธรรมคำสอนของพระองค์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ!
    เจ้าชายสิทธัตถะ หรือที่รู้จักในนาม **พระโคตมพุทธเจ้า** เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ พระองค์ประสูติเมื่อประมาณ 563 ปีก่อนคริสตกาล (หรือตามบางแหล่งข้อมูลคือ 480 ปีก่อนคริสตกาล) ที่ลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล ### ชีวิตในวัยเยาว์ เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งแคว้นสักกะ และพระนางสิริมหามายา พระองค์ทรงเติบโตในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและความหรูหรา ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีและมีชีวิตที่สุขสบาย ### การออกบวช เมื่อพระองค์ทรงพบกับความทุกข์ในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย ความแก่ และความตาย พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตและหนทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์ทรงออกจากพระราชวังเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา และทรงเริ่มการแสวงหาความรู้และความจริง ### การตรัสรู้ หลังจากแสวงหาความรู้และปฏิบัติธรรมอย่างหนัก พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ที่ตำบลพุทธคยา เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ทรงค้นพบ **อริยสัจ 4** (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ) และ **มรรคมีองค์ 8** (หนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์) ### การเผยแผ่ธรรมะ หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากว่า 45 ปี ในการเผยแผ่ธรรมะและสอนผู้คนให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตและหนทางสู่การหลุดพ้น พระองค์ทรงมีสาวกจำนวนมาก ทั้งพระภิกษุและฆราวาส ### การปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ที่เมืองกุสินารา ปัจจุบันอยู่ในประเทศอินเดีย การปรินิพพานของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดของวัฏสงสารและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ### มรดกทางจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าทรงทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่มนุษยชาติ หลักธรรมคำสอนของพระองค์ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญา หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือหลักธรรมคำสอนของพระองค์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • การงานราบรื่น
    รู้ตื่นเบิกบาน
    กรรมดีประสาน
    ฐานใจมั่นคง

    อำนาจศีลธรรม
    กรรมดีดำรง
    ความจริงถูกตรง
    ทรงคุณยิ่งใหญ่

    รักษาใจไว้
    ให้รวมใจได้
    ธรรมประทับใจ
    ให้ทุกข์ห่างไกล

    ดีชั่วใคร่ครวญ
    รู้ควรอย่างไร
    ตอแยหรือไม่
    ให้สติอยู่

    ตั้งสมาธิ
    วิเคราะห์ให้รู้
    กิเลสมีอยู่
    สู้ให้ห่างไกล

    ขอพบธรรมความดีมีสุขยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    การงานราบรื่น รู้ตื่นเบิกบาน กรรมดีประสาน ฐานใจมั่นคง อำนาจศีลธรรม กรรมดีดำรง ความจริงถูกตรง ทรงคุณยิ่งใหญ่ รักษาใจไว้ ให้รวมใจได้ ธรรมประทับใจ ให้ทุกข์ห่างไกล ดีชั่วใคร่ครวญ รู้ควรอย่างไร ตอแยหรือไม่ ให้สติอยู่ ตั้งสมาธิ วิเคราะห์ให้รู้ กิเลสมีอยู่ สู้ให้ห่างไกล ขอพบธรรมความดีมีสุขยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จับโป๊ะ...#คนตื้นธรรม : #รู้พุทธแบบตื้นๆ
    มีผู้ส่งคลิปคนตื้นธรรม...ไปบรรยายธรรมะแก่กลุ่มคนใกล้วันมาฆะบูชา...มาให้โดยกล่าวถึงโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสไว้ในวันมาฆะบูชาว่า คือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน...สิ่งที่เขาพูดถูกต้องหรือไม่...สามารถจับโป๊ะว่าคนๆนี้มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแบบพื้นฐานง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ มาชำแหละกันดู
    #โอวาทปาฏิโมกข์กับพระปาฏิโมกข์ต่างกันอย่างไร
    ปาฏิโมกข์ คือ มาจาก ๒ คำ คือ ปาติ(ฏิ) = เฉพาะ หรือ รักษา กับ โมกฺข แปลว่า หลุดพ้น มีความหมายว่า หลุดพ้นโดยเฉพาะกับธรรมที่รักษาความหลุดพ้น ปาฏิโมกข์มี ๒ ประเภทคือ
    ๑.#โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หลักการใหญ่หรือหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องตรัสไว้หลังตรัสรู้ จึงมีคำสรุปเป็นพระบาลีว่า "เอตํ พุทฺธานสาสนํ นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" สำหรับพระโคตมะพระพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ในวันมาฆะบูชานี้แล
    ๒. #อาณาปาฏิโมกข์ คือ ศีลใหญ่หรือศีลหลักของภิกษุและภิกษุณี ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังมีพระช่วงหลังประพฤติไม่ดีไม่งาม เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ เพื่อรักษาคณะสงฆ์ และเพื่อรักษาศรัทธาจากพุทธบริษัทกลุ่มอื่น จึงบัญญัติไว้...ตอนหลังกลายเป็นสังฆกรรมที่พระสวดทุกกึ่งเดือน.. เพื่อทบทวนและสังวรระวังในศีลของตน.
    #ตื้นธรรม : #บอกโอวาทปาฏิโมกข์คือปาฏิโมกข์ศีลพระ
    คนตื้นธรรมคราวนี้ถูกจับโป๊ะชัดๆจากผู้รู้ว่า...มีความรู้เรื่องพุทธน้อยมาก...โดยการอธิบายว่า โอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสในวันมาฆะคือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน ผิดแบบไม่น่าให้อภัย ใครฟังหรืออ่านเรื่องนี้แล้วเฉยๆปล่อยผ่านก็แสดงว่าไม่ค่อยรู้เรื่องพระพุทธศาสนาเช่นกัน
    #โอวาทปาฏิโมกข์กับปาติโมกข์พระ : #เทียบได้จากไทม์ไลน์
    โอวาทปาฏิโมกข์ที่ตรัสกับพระอรหันต์ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๑,๒๕๐ รูป พระพุทธเจ้าตรัสในตอนพรรษาที่ ๑ หลังตรัสรู้ เมื่อขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แล้วเผยแผ่ธรรมจนมีพระสาวกมากกว่า ๑,๒๕๐ รูปในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓
    (ประมาณ ๙ เดือน)
    ส่วนปาติโมกข์ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังพระสุทินเสพเมถุนธรรมกับภริยาเก่าเพื่อสืบสกุล พระอรรถกถาจารย์วินิจฉัยว่าหลังพรรษาที่ ๒๐ ไปแล้วก็พิสูจน์ได้ว่า ปาติโมกข์ในวันมาฆะกับปาฏิโมกข์ศีลพระ...ไทม์ไลน์..ต่างกันแน่นอน เขามั่วนิ่ม...ชัวร์
    #ปาฏิโมกข์ทั้ง ๒ : #เนื้อหาก็แตกต่าง
    โอวาทปาฏิโมกข์ในวันมาฆะ คือ #หัวใจของพระพุทธศาสนา มี
    -#อุดมการณ์ ๓ คือ
    ขันติ นิพพาน การไม่เบียดเบียน
    -#หลักการ ๓
    ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์
    - #วิธีการ
    ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ยึดในหลักปาฏิโมกข์ ใช้ชีวิตพอดี เน้นความสงบ หมั่นฝึกสมาธิภาวนา
    นี่คือสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    ส่วนพระปาฏิโมกข์คือศีลหลักพระที่พระต้องรักษามี ๒๒๗ ข้อ แบ่งไปตามนี้ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ล้วนเป็นศีลของพระแทบทั้งสิ้น มันคนละอย่างกันเลย
    คนตื้นธรรมรู้ธรรมะแบบงูๆปลาๆ เอาหางมาชนหัว มั่วนิ่มไปหมด อาศัยว่าพูดเร็ว พูดมัน และคนไม่ค่อยจะรู้เรื่องพระเรื่องเจ้ากัน.. มันจึงดำน้ำโผล่มาบอกธรรมะ..ทั้งๆที่วิญญูชนผู้รู้เขาติเตียน แต่กลับด่าสวนกลับ...ไม่เคยยอมรับว่าตนสอนผิดสอนพลาดยังไง...แม้เขาจะได้อะไรบ้าง....แต่อนาคตของเขาไม่แน่นอน...เพราะเล่นกับของสูงระดับอ้างพระบรมศาสดาบ่อยๆ...หวังจะชักชวนจูงผู้ศรัทธาที่มีความรู้ไม่มาก...งานนี้คุณกำลังเล่นไฟ...ไฟนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่คือไฟนรกโลกันต์...ทานที่เขายกมือท่วมหัวถวายด้วยศรัทธาถ้าไม่ดีจริง. อย่าว่าแต่ชาติหน้าเลย...ชาตินี้แหละ...ดูไป.
    ด้วยจิตคารวะ
    ดร.มงคล นาฏกระสูตร
    มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
    #จับโป๊ะ...#คนตื้นธรรม : #รู้พุทธแบบตื้นๆ มีผู้ส่งคลิปคนตื้นธรรม...ไปบรรยายธรรมะแก่กลุ่มคนใกล้วันมาฆะบูชา...มาให้โดยกล่าวถึงโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสไว้ในวันมาฆะบูชาว่า คือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน...สิ่งที่เขาพูดถูกต้องหรือไม่...สามารถจับโป๊ะว่าคนๆนี้มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแบบพื้นฐานง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ มาชำแหละกันดู #โอวาทปาฏิโมกข์กับพระปาฏิโมกข์ต่างกันอย่างไร ปาฏิโมกข์ คือ มาจาก ๒ คำ คือ ปาติ(ฏิ) = เฉพาะ หรือ รักษา กับ โมกฺข แปลว่า หลุดพ้น มีความหมายว่า หลุดพ้นโดยเฉพาะกับธรรมที่รักษาความหลุดพ้น ปาฏิโมกข์มี ๒ ประเภทคือ ๑.#โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หลักการใหญ่หรือหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องตรัสไว้หลังตรัสรู้ จึงมีคำสรุปเป็นพระบาลีว่า "เอตํ พุทฺธานสาสนํ นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" สำหรับพระโคตมะพระพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ในวันมาฆะบูชานี้แล ๒. #อาณาปาฏิโมกข์ คือ ศีลใหญ่หรือศีลหลักของภิกษุและภิกษุณี ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังมีพระช่วงหลังประพฤติไม่ดีไม่งาม เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ เพื่อรักษาคณะสงฆ์ และเพื่อรักษาศรัทธาจากพุทธบริษัทกลุ่มอื่น จึงบัญญัติไว้...ตอนหลังกลายเป็นสังฆกรรมที่พระสวดทุกกึ่งเดือน.. เพื่อทบทวนและสังวรระวังในศีลของตน. #ตื้นธรรม : #บอกโอวาทปาฏิโมกข์คือปาฏิโมกข์ศีลพระ คนตื้นธรรมคราวนี้ถูกจับโป๊ะชัดๆจากผู้รู้ว่า...มีความรู้เรื่องพุทธน้อยมาก...โดยการอธิบายว่า โอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสในวันมาฆะคือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน ผิดแบบไม่น่าให้อภัย ใครฟังหรืออ่านเรื่องนี้แล้วเฉยๆปล่อยผ่านก็แสดงว่าไม่ค่อยรู้เรื่องพระพุทธศาสนาเช่นกัน #โอวาทปาฏิโมกข์กับปาติโมกข์พระ : #เทียบได้จากไทม์ไลน์ โอวาทปาฏิโมกข์ที่ตรัสกับพระอรหันต์ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๑,๒๕๐ รูป พระพุทธเจ้าตรัสในตอนพรรษาที่ ๑ หลังตรัสรู้ เมื่อขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แล้วเผยแผ่ธรรมจนมีพระสาวกมากกว่า ๑,๒๕๐ รูปในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ (ประมาณ ๙ เดือน) ส่วนปาติโมกข์ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังพระสุทินเสพเมถุนธรรมกับภริยาเก่าเพื่อสืบสกุล พระอรรถกถาจารย์วินิจฉัยว่าหลังพรรษาที่ ๒๐ ไปแล้วก็พิสูจน์ได้ว่า ปาติโมกข์ในวันมาฆะกับปาฏิโมกข์ศีลพระ...ไทม์ไลน์..ต่างกันแน่นอน เขามั่วนิ่ม...ชัวร์ #ปาฏิโมกข์ทั้ง ๒ : #เนื้อหาก็แตกต่าง โอวาทปาฏิโมกข์ในวันมาฆะ คือ #หัวใจของพระพุทธศาสนา มี -#อุดมการณ์ ๓ คือ ขันติ นิพพาน การไม่เบียดเบียน -#หลักการ ๓ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ - #วิธีการ ๖ ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ยึดในหลักปาฏิโมกข์ ใช้ชีวิตพอดี เน้นความสงบ หมั่นฝึกสมาธิภาวนา นี่คือสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ส่วนพระปาฏิโมกข์คือศีลหลักพระที่พระต้องรักษามี ๒๒๗ ข้อ แบ่งไปตามนี้ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ล้วนเป็นศีลของพระแทบทั้งสิ้น มันคนละอย่างกันเลย คนตื้นธรรมรู้ธรรมะแบบงูๆปลาๆ เอาหางมาชนหัว มั่วนิ่มไปหมด อาศัยว่าพูดเร็ว พูดมัน และคนไม่ค่อยจะรู้เรื่องพระเรื่องเจ้ากัน.. มันจึงดำน้ำโผล่มาบอกธรรมะ..ทั้งๆที่วิญญูชนผู้รู้เขาติเตียน แต่กลับด่าสวนกลับ...ไม่เคยยอมรับว่าตนสอนผิดสอนพลาดยังไง...แม้เขาจะได้อะไรบ้าง....แต่อนาคตของเขาไม่แน่นอน...เพราะเล่นกับของสูงระดับอ้างพระบรมศาสดาบ่อยๆ...หวังจะชักชวนจูงผู้ศรัทธาที่มีความรู้ไม่มาก...งานนี้คุณกำลังเล่นไฟ...ไฟนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่คือไฟนรกโลกันต์...ทานที่เขายกมือท่วมหัวถวายด้วยศรัทธาถ้าไม่ดีจริง. อย่าว่าแต่ชาติหน้าเลย...ชาตินี้แหละ...ดูไป. ด้วยจิตคารวะ ดร.มงคล นาฏกระสูตร มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • สติดดีพา
    สมาธิดี
    ให้ปัญญามี
    ดีธรรมครรลอง

    หนทางสายกลาง
    ทางพอเพียงครอง
    รู้ทุกข์เกี่ยวข้อง
    ต้องเหตุดับได้

    เลี้ยงชีพการงาน
    การดีอาศัย
    หิวอิ่มพอไหว
    ให้รู้เหมาะควร

    ความเห็นดำริ
    คิดตรองใคร่ครวญ
    พูดทำถี่ถ้วน
    ทบทวนรู้พอ

    จงทำความดี
    ศีลธรรมสานต่อ
    ระเบียบชูช่อ
    ห่อด้วยวินัย

    ขอห้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    สติดดีพา สมาธิดี ให้ปัญญามี ดีธรรมครรลอง หนทางสายกลาง ทางพอเพียงครอง รู้ทุกข์เกี่ยวข้อง ต้องเหตุดับได้ เลี้ยงชีพการงาน การดีอาศัย หิวอิ่มพอไหว ให้รู้เหมาะควร ความเห็นดำริ คิดตรองใคร่ครวญ พูดทำถี่ถ้วน ทบทวนรู้พอ จงทำความดี ศีลธรรมสานต่อ ระเบียบชูช่อ ห่อด้วยวินัย ขอห้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)**
    หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้

    ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา
    1. **กรรม (Karma)**
    - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่
    - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์)
    - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์)

    2. **ไตรลักษณ์**
    - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง)
    - เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    - ไม่มีตัวตน (อนัตตา)
    การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ

    3. **มรรคมีองค์ 8**
    ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส)

    ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ
    1. เทวดา (สวรรค์)
    2. มนุษย์
    3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย)
    4. เปรต (วิญญาณอดอยาก)
    5. สัตว์
    6. นรก

    ### การหลุดพ้น
    - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่

    ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
    - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ
    - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน

    การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)** หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้ ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา 1. **กรรม (Karma)** - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่ - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์) - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์) 2. **ไตรลักษณ์** - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง) - เป็นทุกข์ (ทุกขัง) - ไม่มีตัวตน (อนัตตา) การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ 3. **มรรคมีองค์ 8** ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส) ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ 1. เทวดา (สวรรค์) 2. มนุษย์ 3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย) 4. เปรต (วิญญาณอดอยาก) 5. สัตว์ 6. นรก ### การหลุดพ้น - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่ ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)**
    หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้

    ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา
    1. **กรรม (Karma)**
    - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่
    - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์)
    - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์)

    2. **ไตรลักษณ์**
    - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง)
    - เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    - ไม่มีตัวตน (อนัตตา)
    การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ

    3. **มรรคมีองค์ 8**
    ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส)

    ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ
    1. เทวดา (สวรรค์)
    2. มนุษย์
    3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย)
    4. เปรต (วิญญาณอดอยาก)
    5. สัตว์
    6. นรก

    ### การหลุดพ้น
    - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่

    ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
    - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ
    - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน

    การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)** หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้ ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา 1. **กรรม (Karma)** - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่ - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์) - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์) 2. **ไตรลักษณ์** - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง) - เป็นทุกข์ (ทุกขัง) - ไม่มีตัวตน (อนัตตา) การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ 3. **มรรคมีองค์ 8** ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส) ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ 1. เทวดา (สวรรค์) 2. มนุษย์ 3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย) 4. เปรต (วิญญาณอดอยาก) 5. สัตว์ 6. นรก ### การหลุดพ้น - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่ ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระวังของร้อน
    สอนใจตนเอง
    บาปกรรมข่มเหง
    เก่งไม่พ้นกรรม

    กิเลสตัณหา
    พาให้ถลำ
    เดือดร้อนยังทำ
    นำเกิดตามกรรม

    เกิดแล้วตั้งอยู่
    สู่ทางมืดดำ
    ได้แต่หลงคลำ
    กรรมอำเภอใจ

    กิเลสแก้ไข
    ให้ทุกข์กระจาย
    ศีลธรรมอาศัย
    แก้ไขทุกข์หาย

    ความจริงมีอยู่
    รู้เกิดแก่ตาย
    ดับเหตุทุกข์หาย
    ให้เจริญธรรม

    อิทังเม ญาตินัง โหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรืองรวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะปัจจะโยโหตุ
    ระวังของร้อน สอนใจตนเอง บาปกรรมข่มเหง เก่งไม่พ้นกรรม กิเลสตัณหา พาให้ถลำ เดือดร้อนยังทำ นำเกิดตามกรรม เกิดแล้วตั้งอยู่ สู่ทางมืดดำ ได้แต่หลงคลำ กรรมอำเภอใจ กิเลสแก้ไข ให้ทุกข์กระจาย ศีลธรรมอาศัย แก้ไขทุกข์หาย ความจริงมีอยู่ รู้เกิดแก่ตาย ดับเหตุทุกข์หาย ให้เจริญธรรม อิทังเม ญาตินัง โหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรืองรวยทรัพย์นอกใน นิพพานะปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือความว่างนิพพาน
    หนังสือความว่างนิพพาน
    Like
    1
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปริยัตินำล่อง
    ต้องปฏิบัติ
    ฝึกให้ถนัด
    คัดกรองชำนาญ

    ปฏิเวธก่อเกิด
    เลิศเลอการงาน
    เข้าออกชำนาญ
    งานจิตจบดี

    จงอยู่เป็นสุข
    ทุกข์อย่าได้มี
    รู้กรรมชั่วดี
    ชีวีอาศัย

    อยู่ดีพ้องจอง
    ต้องกินต้องถ่าย
    มีลมหายใจ
    ใช้ฐานจิตกรรม

    จิตนี้สำคัญ
    ตั้งมั่นเป็นธรรม
    ไม่รู้หลงกรรม
    นำทุกข์เวียนว่าย

    มีคุณปัญญา
    ภาวนาไว้
    ดับร้อนพึ่งได้
    ได้ธรรมพึ่งตน

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะปัจจะโยโหตุ
    ปริยัตินำล่อง ต้องปฏิบัติ ฝึกให้ถนัด คัดกรองชำนาญ ปฏิเวธก่อเกิด เลิศเลอการงาน เข้าออกชำนาญ งานจิตจบดี จงอยู่เป็นสุข ทุกข์อย่าได้มี รู้กรรมชั่วดี ชีวีอาศัย อยู่ดีพ้องจอง ต้องกินต้องถ่าย มีลมหายใจ ใช้ฐานจิตกรรม จิตนี้สำคัญ ตั้งมั่นเป็นธรรม ไม่รู้หลงกรรม นำทุกข์เวียนว่าย มีคุณปัญญา ภาวนาไว้ ดับร้อนพึ่งได้ ได้ธรรมพึ่งตน ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน นิพพานะปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts