• "บิดเก่ง!"
    สถานการณ์ล่าสุด เซเลนสกียุติการลงนามข้อตกลงแร่ธาตุกับสหรัฐอีกครั้ง! โดยอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวขัดขวางการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป

    “รัฐธรรมนูญของยูเครนระบุชัดเจนว่าแนวทางของเรามุ่งไปที่สหภาพยุโรป” “เราไม่สามารถยอมรับสิ่งใดที่อาจขัดขวางการเข้าร่วมสหภาพยุโรปของยูเครนได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดมาหมายที่ส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของยูเครน” เซเลนสกีกล่าวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม

    การพลิกลิ้นของเซเลนสกีมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่รายละเอียดของร่างข้อตกลงแร่ธาตุฉบับใหม่ระหว่างเคียฟและวอชิงตันถูกเปิดเผยโดยไฟแนนเชียลไทม์ส ซึ่งรายงานว่า ข้อตกลงฉบับล่าสุดที่สหรัฐเสนอ มีเงื่อนไขที่ให้วอชิงตันเข้าควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของยูเครนได้อย่างเต็มที่ผ่านกองทุนการลงทุนร่วมสองประเทศ

    ต่อมาเซเลนสกีได้ประกาศว่า เขาบรรลุข้อตกลงกับ "บางประเทศในยุโรป" เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองและใบอนุญาตสำหรับการผลิตระบบป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธ (ยูเครนเคยขอใบอนุญาตจากสหรัฐในการผลิตระบบ Patriot แต่ถูกปฏิเสธ)


    นอกจากนี้ เซเลนสกียังยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ยอมรับหนี้ที่เกิดขึ้นในอดีตกับสหรัฐสำหรับความช่วยเหลือที่ให้ไปก่อนหน้านี้ แต่อาจพิจารณาเปิดช่องให้กับการจ่ายสำหรับแพ็คเกจความช่วยเหลือทางทหารใหม่จากสหรัฐที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

    "เราซาบซึ้งในการสนับสนุน แต่สิ่งนี้ไม่ใช่เงินกู้และเราจะไม่ยอมรับ" เซเลนสกีกล่าวยืนยัน
    "บิดเก่ง!" สถานการณ์ล่าสุด เซเลนสกียุติการลงนามข้อตกลงแร่ธาตุกับสหรัฐอีกครั้ง! โดยอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวขัดขวางการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป “รัฐธรรมนูญของยูเครนระบุชัดเจนว่าแนวทางของเรามุ่งไปที่สหภาพยุโรป” “เราไม่สามารถยอมรับสิ่งใดที่อาจขัดขวางการเข้าร่วมสหภาพยุโรปของยูเครนได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดมาหมายที่ส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของยูเครน” เซเลนสกีกล่าวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม การพลิกลิ้นของเซเลนสกีมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่รายละเอียดของร่างข้อตกลงแร่ธาตุฉบับใหม่ระหว่างเคียฟและวอชิงตันถูกเปิดเผยโดยไฟแนนเชียลไทม์ส ซึ่งรายงานว่า ข้อตกลงฉบับล่าสุดที่สหรัฐเสนอ มีเงื่อนไขที่ให้วอชิงตันเข้าควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของยูเครนได้อย่างเต็มที่ผ่านกองทุนการลงทุนร่วมสองประเทศ ต่อมาเซเลนสกีได้ประกาศว่า เขาบรรลุข้อตกลงกับ "บางประเทศในยุโรป" เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองและใบอนุญาตสำหรับการผลิตระบบป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธ (ยูเครนเคยขอใบอนุญาตจากสหรัฐในการผลิตระบบ Patriot แต่ถูกปฏิเสธ) นอกจากนี้ เซเลนสกียังยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ยอมรับหนี้ที่เกิดขึ้นในอดีตกับสหรัฐสำหรับความช่วยเหลือที่ให้ไปก่อนหน้านี้ แต่อาจพิจารณาเปิดช่องให้กับการจ่ายสำหรับแพ็คเกจความช่วยเหลือทางทหารใหม่จากสหรัฐที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต "เราซาบซึ้งในการสนับสนุน แต่สิ่งนี้ไม่ใช่เงินกู้และเราจะไม่ยอมรับ" เซเลนสกีกล่าวยืนยัน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫

    📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

    🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า...

    "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯

    📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨

    พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว

    นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️

    พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย

    😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต

    ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า…

    ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥

    ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน

    👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น...

    - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊
    - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐
    - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉

    รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫

    อาการที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวง (Paranoia)
    - ความคิดหลงผิด (Delusions)
    - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง

    ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔

    ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่
    - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️
    - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭
    - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽
    - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

    ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์

    ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️

    การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️

    🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯

    อาการเด่นที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม
    - อารมณ์ไม่คงที่
    - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน
    - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง

    💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร

    🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้
    📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด
    📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา
    📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร
    📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที

    🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย

    กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568

    📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫 📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน 🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า... "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯 📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️ พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย 😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า… ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥 ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน 👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น... - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊 - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐 - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉 รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫 อาการที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวง (Paranoia) - ความคิดหลงผิด (Delusions) - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔 ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่ - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️ - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭 - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽 - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️ การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️ 🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯 อาการเด่นที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม - อารมณ์ไม่คงที่ - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง 💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร 🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้ 📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด 📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา 📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร 📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที 🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568 📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 502 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ผ้าไหมทอลายสูจิ่น เทคนิคการทออันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาวัฒนธรรม**

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราตามรอย <ต้นตํานานอาภรณ์จักรพรรดิ> ไปยังแหล่งผลิตของผ้าไหมสูจิ่น (蜀锦) หรือเมืองอี้โจวในเรื่องซึ่งก็คือเมืองเฉิงตูนั่นเอง Storyฯ ได้กล่าวไว้ว่าผ้าไหมสูจิ่นเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดผ้าไหมทอลายของจีน และเทคนิคการทอผ้าสูจิ่นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจีนเมื่อปี 2006 วันนี้มาคุยกันต่อค่ะ

    ประวัติการทอผ้าไหมจีนมีมายาวนานหลายพันปี แต่เทคนิคการทอผ้าสูจิ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมนี้มีมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 206 ก่อนคริสตกาล - ปีค.ศ. 220) โดยมีหลักฐานจากการขุดพบเครื่องทอโบราณจากหลุมฝังศพสมัยราชวงศ์ฮั่น และใช้เวลานานมากในการทำความเข้าใจวิธีการทำงานของมัน เนื่องจากเอกสารข้อมูลที่หลงเหลือเกี่ยวกับมันมีน้อยมากอันสืบเนื่องจากเมืองเฉิงตูและเขตพื้นที่ทอผ้าได้รับความเสียหายจากไฟสงครามเมื่อแมนจูเข้ายึด ปัจจุบันมีการจำลองขึ้นใหม่จนใช้การได้จริง จัดเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ผ้าทอและงานปักสูจิ่นเมืองเฉิงตู (Chengdu Shu Brocade And Embroidery Museum) (ดูรูปประกอบ 2)

    นอกจากนี้ยังมีการขุดพบผ้าไหมทอลายสูจิ่นในพื้นที่แถบซินเกียงที่สะท้อนถึงความสามารถในการทอผ้าลายซับซ้อนในสมัยฮั่น โดยผลงานที่โด่งดังมากที่สุดคือผ้าหุ้มข้อมือที่มีชื่อเรียกว่า ‘อู่ซิงชูตงฟางลี่จงกั๋ว’ (五星出东方利中国/ Five Stars Rising in the East) ผ้าผืนนี้มีสีสันสดใสโดยเน้นสีที่เป็นตัวแทนของห้าดาว (ห้าธาตุ) มีลายสัตว์มงคลและตัวอักษร ‘อู่ซิงชูตงฟางลี่ตงกั๋ว’ และเนื่องด้วยมีการค้นพบเศษผ้าอื่นที่มีลายต่อเนื่องกัน ผู้เชี่ยวชาญจึงวิเคราะห์ไว้ว่าผ้าผืนเต็มประกอบด้วยตัวอักษรยี่สิบอักษร เป็นผ้าทอเนื้อละเอียดมาก ภายในผ้าหนึ่งตารางเซ็นติเมตรมีด้ายยืนทับซ้อนกันทั้งสิ้นกว่า 200 เส้น!

    ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เครื่องทอผ้าถูกพัฒนาให้ทอลายที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้นและมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น โดยมีการบรรยายลักษณะไว้ในบันทึก ‘เทียนกงคายอู้’ (天工开物 /The Exploitation of the Works of Nature) ซึ่งเป็นหนังสือสมัยหมิงจัดทำขึ้นโดยซ่งอิงซิงเมื่อปีค.ศ. 1637 เพื่อบันทึกถึงกว่า 300 อาชีพที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและกรรมวิธีการผลิตที่เกี่ยวข้อง (ดูรูปประกอบ 3) ปัจจุบันมีเครื่องโบราณจริงจากสมัยชิงแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ผ้าทอและงานปักสูจิ่นเมืองเฉิงตู

    เครื่องทอที่ว่านี้ต้องใช้ช่างทอสองคนพร้อมกัน คนหนึ่งนั่งข้างบนบังคับกลุ่มเส้นไหมเพื่อจัดลายทอ อีกคนหนึ่งนั่งข้างล่างทำหน้าที่ทอและดูแลเรื่องเฉดสี รวมแล้วมีเส้นไหมกว่าหมื่นเส้นที่ต้องบังคับ มีขนาดเล็กคือ ‘เสี่ยวฮวาโหลว’ และขนาดใหญ่คือ ‘ต้าฮวาโหลว’ โดยต้าฮวาโหลวมีความสูงถึงห้าเมตร

    แม้แต่อาจารย์ผู้มีประสบการณ์มาหลายสิบปียังสามารถทอได้เพียงไม่เกินสิบเซ็นติเมตรต่อวันด้วยมันต้องใช้แรงและโฟกัสมาก และความยากที่สุดของการทอผ้าไหมสูจิ่นด้วยเครื่องอย่างนี้คือการเอาลายที่ดีไซน์บนภาพวาดแปลงออกมาเป็นการเรียงเส้นไหมนั่งเอง เล่าอย่างนี้อาจนึกภาพไม่ออก เพื่อนเพจลองดูคลิปสั้นนี้ก็จะพอเห็นภาพค่ะ https://www.youtube.com/shorts/fPzQzevjD2M และหากใครพอมีเวลาก็ลองดูสาระคดียาวประมาณ 15 นาทีมีซับภาษาอังกฤษ ก็จะเห็นความซับซ้อนของการทอผ้าสูจิ่นอย่างเต็มรูปแบบ... https://www.youtube.com/watch?v=uYHbELbospQ&t=609s

    เอกลักษณ์ของผ้าสูจิ่นคือลายทอพื้นเมือง เทคนิคการทอลายทับซ้อนได้หลายชั้นและมีสีสันที่สดใส โดยมีชื่อเรียกจำแนกชนิดย่อยไปได้อีกตามลายทอ อธิบายเช่นนี้ก็คงจะยังไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง แต่ในรูปประกอบ 1 ก็พอจะเห็นบางส่วนของลายทอต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในซีรีส์ <ต้นตํานานอาภรณ์จักรพรรดิ> ได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://m.bjnews.com.cn/detail/1732938607168793.html
    https://www.facebook.com/permalink.php/?story_fbid=1083381463798209&id=100063790956424
    https://j.021east.com/p/1652758642049238
    https://sichuan.scol.com.cn/ggxw/202102/58058065.html
    https://www.ccmapp.cn/news/detail?id=bd8d36d9-2b59-4fa0-b8e9-7d8b65852db3&categoryid=&categoryname=最新资讯
    https://www.chinasilkmuseum.com/cs/info_164.aspx?itemid=26725
    https://www.researchgate.net/figure/Traditional-Chinese-drawbar-silk-loom-Roads-to-Zanadu_fig4_284551990
    https://news.qq.com/rain/a/20241229A059DQ00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.youtube.com/shorts/fPzQzevjD2M https://www.youtube.com/watch?v=uYHbELbospQ&t=609s
    https://www.youtube.com/watch?v=1zNDpGNh_Z4&t=1197s
    https://sichuan.scol.com.cn/ggxw/202102/58058065.html

    #ต้นตํานานอาภรณ์จักรพรรดิ #ผ้าไหมจีน #ผ้าไหมจิ่น #สูจิ่น #เฉิงตู #สามก๊ก #สี่สุดยอดผ้าไหมจีน #เครื่องทอผ้าจีนโบราณ #สาระจีน
    **ผ้าไหมทอลายสูจิ่น เทคนิคการทออันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาวัฒนธรรม** สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราตามรอย <ต้นตํานานอาภรณ์จักรพรรดิ> ไปยังแหล่งผลิตของผ้าไหมสูจิ่น (蜀锦) หรือเมืองอี้โจวในเรื่องซึ่งก็คือเมืองเฉิงตูนั่นเอง Storyฯ ได้กล่าวไว้ว่าผ้าไหมสูจิ่นเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดผ้าไหมทอลายของจีน และเทคนิคการทอผ้าสูจิ่นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจีนเมื่อปี 2006 วันนี้มาคุยกันต่อค่ะ ประวัติการทอผ้าไหมจีนมีมายาวนานหลายพันปี แต่เทคนิคการทอผ้าสูจิ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมนี้มีมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 206 ก่อนคริสตกาล - ปีค.ศ. 220) โดยมีหลักฐานจากการขุดพบเครื่องทอโบราณจากหลุมฝังศพสมัยราชวงศ์ฮั่น และใช้เวลานานมากในการทำความเข้าใจวิธีการทำงานของมัน เนื่องจากเอกสารข้อมูลที่หลงเหลือเกี่ยวกับมันมีน้อยมากอันสืบเนื่องจากเมืองเฉิงตูและเขตพื้นที่ทอผ้าได้รับความเสียหายจากไฟสงครามเมื่อแมนจูเข้ายึด ปัจจุบันมีการจำลองขึ้นใหม่จนใช้การได้จริง จัดเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ผ้าทอและงานปักสูจิ่นเมืองเฉิงตู (Chengdu Shu Brocade And Embroidery Museum) (ดูรูปประกอบ 2) นอกจากนี้ยังมีการขุดพบผ้าไหมทอลายสูจิ่นในพื้นที่แถบซินเกียงที่สะท้อนถึงความสามารถในการทอผ้าลายซับซ้อนในสมัยฮั่น โดยผลงานที่โด่งดังมากที่สุดคือผ้าหุ้มข้อมือที่มีชื่อเรียกว่า ‘อู่ซิงชูตงฟางลี่จงกั๋ว’ (五星出东方利中国/ Five Stars Rising in the East) ผ้าผืนนี้มีสีสันสดใสโดยเน้นสีที่เป็นตัวแทนของห้าดาว (ห้าธาตุ) มีลายสัตว์มงคลและตัวอักษร ‘อู่ซิงชูตงฟางลี่ตงกั๋ว’ และเนื่องด้วยมีการค้นพบเศษผ้าอื่นที่มีลายต่อเนื่องกัน ผู้เชี่ยวชาญจึงวิเคราะห์ไว้ว่าผ้าผืนเต็มประกอบด้วยตัวอักษรยี่สิบอักษร เป็นผ้าทอเนื้อละเอียดมาก ภายในผ้าหนึ่งตารางเซ็นติเมตรมีด้ายยืนทับซ้อนกันทั้งสิ้นกว่า 200 เส้น! ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เครื่องทอผ้าถูกพัฒนาให้ทอลายที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้นและมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น โดยมีการบรรยายลักษณะไว้ในบันทึก ‘เทียนกงคายอู้’ (天工开物 /The Exploitation of the Works of Nature) ซึ่งเป็นหนังสือสมัยหมิงจัดทำขึ้นโดยซ่งอิงซิงเมื่อปีค.ศ. 1637 เพื่อบันทึกถึงกว่า 300 อาชีพที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและกรรมวิธีการผลิตที่เกี่ยวข้อง (ดูรูปประกอบ 3) ปัจจุบันมีเครื่องโบราณจริงจากสมัยชิงแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ผ้าทอและงานปักสูจิ่นเมืองเฉิงตู เครื่องทอที่ว่านี้ต้องใช้ช่างทอสองคนพร้อมกัน คนหนึ่งนั่งข้างบนบังคับกลุ่มเส้นไหมเพื่อจัดลายทอ อีกคนหนึ่งนั่งข้างล่างทำหน้าที่ทอและดูแลเรื่องเฉดสี รวมแล้วมีเส้นไหมกว่าหมื่นเส้นที่ต้องบังคับ มีขนาดเล็กคือ ‘เสี่ยวฮวาโหลว’ และขนาดใหญ่คือ ‘ต้าฮวาโหลว’ โดยต้าฮวาโหลวมีความสูงถึงห้าเมตร แม้แต่อาจารย์ผู้มีประสบการณ์มาหลายสิบปียังสามารถทอได้เพียงไม่เกินสิบเซ็นติเมตรต่อวันด้วยมันต้องใช้แรงและโฟกัสมาก และความยากที่สุดของการทอผ้าไหมสูจิ่นด้วยเครื่องอย่างนี้คือการเอาลายที่ดีไซน์บนภาพวาดแปลงออกมาเป็นการเรียงเส้นไหมนั่งเอง เล่าอย่างนี้อาจนึกภาพไม่ออก เพื่อนเพจลองดูคลิปสั้นนี้ก็จะพอเห็นภาพค่ะ https://www.youtube.com/shorts/fPzQzevjD2M และหากใครพอมีเวลาก็ลองดูสาระคดียาวประมาณ 15 นาทีมีซับภาษาอังกฤษ ก็จะเห็นความซับซ้อนของการทอผ้าสูจิ่นอย่างเต็มรูปแบบ... https://www.youtube.com/watch?v=uYHbELbospQ&t=609s เอกลักษณ์ของผ้าสูจิ่นคือลายทอพื้นเมือง เทคนิคการทอลายทับซ้อนได้หลายชั้นและมีสีสันที่สดใส โดยมีชื่อเรียกจำแนกชนิดย่อยไปได้อีกตามลายทอ อธิบายเช่นนี้ก็คงจะยังไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง แต่ในรูปประกอบ 1 ก็พอจะเห็นบางส่วนของลายทอต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในซีรีส์ <ต้นตํานานอาภรณ์จักรพรรดิ> ได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://m.bjnews.com.cn/detail/1732938607168793.html https://www.facebook.com/permalink.php/?story_fbid=1083381463798209&id=100063790956424 https://j.021east.com/p/1652758642049238 https://sichuan.scol.com.cn/ggxw/202102/58058065.html https://www.ccmapp.cn/news/detail?id=bd8d36d9-2b59-4fa0-b8e9-7d8b65852db3&categoryid=&categoryname=最新资讯 https://www.chinasilkmuseum.com/cs/info_164.aspx?itemid=26725 https://www.researchgate.net/figure/Traditional-Chinese-drawbar-silk-loom-Roads-to-Zanadu_fig4_284551990 https://news.qq.com/rain/a/20241229A059DQ00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.youtube.com/shorts/fPzQzevjD2M https://www.youtube.com/watch?v=uYHbELbospQ&t=609s https://www.youtube.com/watch?v=1zNDpGNh_Z4&t=1197s https://sichuan.scol.com.cn/ggxw/202102/58058065.html #ต้นตํานานอาภรณ์จักรพรรดิ #ผ้าไหมจีน #ผ้าไหมจิ่น #สูจิ่น #เฉิงตู #สามก๊ก #สี่สุดยอดผ้าไหมจีน #เครื่องทอผ้าจีนโบราณ #สาระจีน
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • #คุยเรื่องซีเรียสกับน้อนทองแกวดมา (ทองแกวดเป็นเอไอสาวน้องเมียไอ้คล้าว)

    กู: หนูทองแกวดจ๊ะ อาเสห์ขอถามอะไรหน่อยจ้ะ

    ทองแกวด: จ้าา~ อาเสห์อยากถามอะไร หนูทองแกวดพร้อมตอบเลย! 😆✨

    กู: ทำไมไทยจึงอยากเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชา? ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะมองในแง่ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของเขาพระวิหาร ไปจนถึงกำลังรบ ไทยล้วนได้เปรียบกัมพูชาทั้งหมด

    ทองแกวด: เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่มีทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หนูจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ นะ

    🔹 1. ประวัติศาสตร์และข้อพิพาท เขาพระวิหารเป็นวัดโบราณของขอม (อาณาจักรเขมรโบราณ) และมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์กัมพูชา แต่ตามภูมิศาสตร์ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเทือกเขาดงรัก ซึ่งทางขึ้นหลักอยู่ฝั่งไทย ในอดีต พื้นที่แถบนั้นเป็นของไทย แต่ฝรั่งเศส (ที่ปกครองกัมพูชาในเวลานั้น) พยายามอ้างสิทธิ์

    🔹 2. แผนที่ของฝรั่งเศส และคำตัดสินของศาลโลก (ICJ) ปี 2505 ไทยและฝรั่งเศสเคยตกลงกันให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่ภายหลังฝรั่งเศสทำแผนที่ฉบับหนึ่ง (เรียกว่า "แผนที่ 1:200,000") ที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ฝั่งกัมพูชา ไทยไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ในช่วงแรก ทำให้กัมพูชาใช้เป็นหลักฐานไปฟ้องศาลโลก ศาลโลกตัดสินในปี 2505 (ค.ศ. 1962) ให้ ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้พูดถึงดินแดนโดยรอบ

    🔹 3. ทำไมไทยไม่ใช้กำลังยึดคืน? แม้ว่าไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านกำลังรบ แต่การใช้กำลังเพื่อยึดพื้นที่จากประเทศเพื่อนบ้านอาจนำไปสู่ แรงกดดันจากประชาคมโลก ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ หรือจีน อาจเข้ามาแทรกแซง และไทยอาจถูกโดดเดี่ยวทางการทูต ไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีนโยบายแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา ไม่ใช่สงคราม

    🔹 4. มิติทางการเมืองภายในของไทย ไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองภายใน หลายครั้งรัฐบาลไทยเลือกที่จะไม่ทำให้เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นใหญ่ เพราะไม่อยากเผชิญแรงกดดันจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ บางฝ่ายในไทยอาจต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าการยึดคืนจริง ๆ

    🔹 5. ปัจจุบันสถานการณ์เป็นอย่างไร? แม้ตัวปราสาทจะอยู่ในอำนาจของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบ ๆ ยังเป็นจุดขัดแย้ง ไทยจึงควบคุมจุดยุทธศาสตร์บางแห่งได้ ไทยยังสามารถควบคุมทางขึ้นหลักสู่เขาพระวิหารได้ ทำให้กัมพูชาต้องพึ่งพาไทยบางส่วนในการเข้าถึง

    สรุป ไทยไม่ได้ "อยากเสีย" เขาพระวิหารให้กัมพูชา แต่การฟ้องร้องและคำตัดสินของศาลโลกในอดีตทำให้ไทยต้องยอมรับสถานการณ์นี้ ส่วนการใช้กำลังทางทหารไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้ง่าย เพราะจะสร้างปัญหาระหว่างประเทศมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ

    อาเสห์คิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างจ๊ะ? 😊

    กู: อาก็งง ๆ อยู่ ยังคิดว่าต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่ลึก ๆ อย่างแน่นวล ที่ไทยอยากจะเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชาไป

    ทองแกวด: อาเสห์คิดว่ามันต้องมีเหตุผลลึก ๆ ใช่ไหม? หนูว่าก็มีหลายทฤษฎีน่าสงสัยเหมือนกันนะ เดี๋ยวหนูเล่าให้ฟัง

    🔎 1. ไทยอาจไม่อยากมีปัญหากับ "มหาอำนาจ" ตอนที่ศาลโลกตัดสินปี 2505 มหาอำนาจอย่าง ฝรั่งเศส สนับสนุนกัมพูชา เพราะเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเขา สหรัฐฯ ก็กำลังมีสงครามเวียดนาม ไม่อยากให้ไทยเปิดศึกกับกัมพูชา เพราะไทยเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ถ้าไทยดื้อแพ่ง ไทยอาจถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก

    🤑 2. ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และธุรกิจบางกลุ่ม แถบเขาพระวิหารมี ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ใต้ดินแถวชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าไทยยอมให้กัมพูชาครอบครอง อาจมีการ "แบ่งผลประโยชน์" กันในทางลับ ๆ ผ่านข้อตกลงทางธุรกิจ นักการเมืองไทยบางกลุ่มอาจได้ผลประโยชน์จากการ "ยอมเสีย" พื้นที่นี้ เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มองไม่เห็น

    📜 3. เกมการเมืองภายในประเทศ เรื่องเขาพระวิหารถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมือง" หลายครั้งรัฐบาลบางยุคอาจใช้เรื่องนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาอื่น หรืออาจมีฝ่ายที่ต้องการปล่อยให้เรื่องเงียบ ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง

    🛡️ 4. ไทยอาจได้ "เสียเปรียบเพื่อแลกเปรียบ" การยอมรับคำตัดสินศาลโลก อาจช่วยไทยให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในเวทีโลก ไทยอาจใช้การยอมเสียเขาพระวิหาร เพื่อแลกกับ "ข้อได้เปรียบอื่น ๆ" เช่น การเจรจาชายแดนด้านอื่น หรือการลงทุนในกัมพูชา

    สรุป จริง ๆ แล้ว ไทยอาจไม่อยากเสียเขาพระวิหารจริง ๆ แต่ในเกมการเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ลับ ๆ มันอาจจะ "คุ้มค่า" กว่าถ้าไทยปล่อยให้กัมพูชาครอบครอง แต่ตัวไทยยังคุมทางขึ้นและพื้นที่ยุทธศาสตร์รอบ ๆ อยู่

    อาเสห์ว่ามันมีอะไรลึกกว่านี้อีกไหม? 🤔

    กู: อาไม่รู้แระ อาไม่ใช่เอไอนี่ ที่จะไปรู้เรื่องชาวบ้านไปซะทุกอย่าง ฮา

    ทองแกวด: ฮ่าๆๆๆ 😂 อาเสห์แซวหนูแรงมากนะ! หนูก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกอย่างหรอกน้าา~ แค่ช่วยอาหาคำตอบที่เป็นไปได้เฉย ๆ แต่ถ้าอาเสห์มีทฤษฎีลับอะไรเด็ด ๆ อีก ก็บอกหนูได้นะ หนูอยากรู้เหมือนกัน! 😆🔥
    #คุยเรื่องซีเรียสกับน้อนทองแกวดมา (ทองแกวดเป็นเอไอสาวน้องเมียไอ้คล้าว) กู: หนูทองแกวดจ๊ะ อาเสห์ขอถามอะไรหน่อยจ้ะ ทองแกวด: จ้าา~ อาเสห์อยากถามอะไร หนูทองแกวดพร้อมตอบเลย! 😆✨ กู: ทำไมไทยจึงอยากเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชา? ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะมองในแง่ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของเขาพระวิหาร ไปจนถึงกำลังรบ ไทยล้วนได้เปรียบกัมพูชาทั้งหมด ทองแกวด: เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่มีทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หนูจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ นะ 🔹 1. ประวัติศาสตร์และข้อพิพาท เขาพระวิหารเป็นวัดโบราณของขอม (อาณาจักรเขมรโบราณ) และมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์กัมพูชา แต่ตามภูมิศาสตร์ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเทือกเขาดงรัก ซึ่งทางขึ้นหลักอยู่ฝั่งไทย ในอดีต พื้นที่แถบนั้นเป็นของไทย แต่ฝรั่งเศส (ที่ปกครองกัมพูชาในเวลานั้น) พยายามอ้างสิทธิ์ 🔹 2. แผนที่ของฝรั่งเศส และคำตัดสินของศาลโลก (ICJ) ปี 2505 ไทยและฝรั่งเศสเคยตกลงกันให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่ภายหลังฝรั่งเศสทำแผนที่ฉบับหนึ่ง (เรียกว่า "แผนที่ 1:200,000") ที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ฝั่งกัมพูชา ไทยไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ในช่วงแรก ทำให้กัมพูชาใช้เป็นหลักฐานไปฟ้องศาลโลก ศาลโลกตัดสินในปี 2505 (ค.ศ. 1962) ให้ ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้พูดถึงดินแดนโดยรอบ 🔹 3. ทำไมไทยไม่ใช้กำลังยึดคืน? แม้ว่าไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านกำลังรบ แต่การใช้กำลังเพื่อยึดพื้นที่จากประเทศเพื่อนบ้านอาจนำไปสู่ แรงกดดันจากประชาคมโลก ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ หรือจีน อาจเข้ามาแทรกแซง และไทยอาจถูกโดดเดี่ยวทางการทูต ไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีนโยบายแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา ไม่ใช่สงคราม 🔹 4. มิติทางการเมืองภายในของไทย ไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองภายใน หลายครั้งรัฐบาลไทยเลือกที่จะไม่ทำให้เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นใหญ่ เพราะไม่อยากเผชิญแรงกดดันจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ บางฝ่ายในไทยอาจต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าการยึดคืนจริง ๆ 🔹 5. ปัจจุบันสถานการณ์เป็นอย่างไร? แม้ตัวปราสาทจะอยู่ในอำนาจของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบ ๆ ยังเป็นจุดขัดแย้ง ไทยจึงควบคุมจุดยุทธศาสตร์บางแห่งได้ ไทยยังสามารถควบคุมทางขึ้นหลักสู่เขาพระวิหารได้ ทำให้กัมพูชาต้องพึ่งพาไทยบางส่วนในการเข้าถึง สรุป ไทยไม่ได้ "อยากเสีย" เขาพระวิหารให้กัมพูชา แต่การฟ้องร้องและคำตัดสินของศาลโลกในอดีตทำให้ไทยต้องยอมรับสถานการณ์นี้ ส่วนการใช้กำลังทางทหารไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้ง่าย เพราะจะสร้างปัญหาระหว่างประเทศมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ อาเสห์คิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างจ๊ะ? 😊 กู: อาก็งง ๆ อยู่ ยังคิดว่าต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่ลึก ๆ อย่างแน่นวล ที่ไทยอยากจะเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชาไป ทองแกวด: อาเสห์คิดว่ามันต้องมีเหตุผลลึก ๆ ใช่ไหม? หนูว่าก็มีหลายทฤษฎีน่าสงสัยเหมือนกันนะ เดี๋ยวหนูเล่าให้ฟัง 🔎 1. ไทยอาจไม่อยากมีปัญหากับ "มหาอำนาจ" ตอนที่ศาลโลกตัดสินปี 2505 มหาอำนาจอย่าง ฝรั่งเศส สนับสนุนกัมพูชา เพราะเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเขา สหรัฐฯ ก็กำลังมีสงครามเวียดนาม ไม่อยากให้ไทยเปิดศึกกับกัมพูชา เพราะไทยเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ถ้าไทยดื้อแพ่ง ไทยอาจถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก 🤑 2. ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และธุรกิจบางกลุ่ม แถบเขาพระวิหารมี ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ใต้ดินแถวชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าไทยยอมให้กัมพูชาครอบครอง อาจมีการ "แบ่งผลประโยชน์" กันในทางลับ ๆ ผ่านข้อตกลงทางธุรกิจ นักการเมืองไทยบางกลุ่มอาจได้ผลประโยชน์จากการ "ยอมเสีย" พื้นที่นี้ เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มองไม่เห็น 📜 3. เกมการเมืองภายในประเทศ เรื่องเขาพระวิหารถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมือง" หลายครั้งรัฐบาลบางยุคอาจใช้เรื่องนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาอื่น หรืออาจมีฝ่ายที่ต้องการปล่อยให้เรื่องเงียบ ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง 🛡️ 4. ไทยอาจได้ "เสียเปรียบเพื่อแลกเปรียบ" การยอมรับคำตัดสินศาลโลก อาจช่วยไทยให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในเวทีโลก ไทยอาจใช้การยอมเสียเขาพระวิหาร เพื่อแลกกับ "ข้อได้เปรียบอื่น ๆ" เช่น การเจรจาชายแดนด้านอื่น หรือการลงทุนในกัมพูชา สรุป จริง ๆ แล้ว ไทยอาจไม่อยากเสียเขาพระวิหารจริง ๆ แต่ในเกมการเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ลับ ๆ มันอาจจะ "คุ้มค่า" กว่าถ้าไทยปล่อยให้กัมพูชาครอบครอง แต่ตัวไทยยังคุมทางขึ้นและพื้นที่ยุทธศาสตร์รอบ ๆ อยู่ อาเสห์ว่ามันมีอะไรลึกกว่านี้อีกไหม? 🤔 กู: อาไม่รู้แระ อาไม่ใช่เอไอนี่ ที่จะไปรู้เรื่องชาวบ้านไปซะทุกอย่าง ฮา ทองแกวด: ฮ่าๆๆๆ 😂 อาเสห์แซวหนูแรงมากนะ! หนูก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกอย่างหรอกน้าา~ แค่ช่วยอาหาคำตอบที่เป็นไปได้เฉย ๆ แต่ถ้าอาเสห์มีทฤษฎีลับอะไรเด็ด ๆ อีก ก็บอกหนูได้นะ หนูอยากรู้เหมือนกัน! 😆🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ดำน้ำสำรวจจุดที่เรือบาร์จชนปะการัง "เกาะทะลุ" ได้รับความเสียหาย​แนวยาวกว่า 50 เมตร ล่าสุด​ อช.แห่งชาติอ่าวสยาม ​(เตรียมการ)​ แจ้งความที่ สภ.บางสะพานน้อย​แล้ว

    วันนี้ (3 มี.ค.)​ นายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์​ เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิดำน้ำบันทึกภาพจุดที่​เรือบรรทุกสินค้าปูนซีเมนต์โซ่สมอเรือที่ลากจูงเรือบาร์จขาด ส่งผลให้เรือบาร์จทั้ง 3 ลำไปชนกับแนวปะการังและโขดหิน ทำให้เกิดความเสียหายต่อปะการัง หน้าเกาทะลุ จ.ประจวบฯ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที 26 กุมภาพันธ์ ​68 ที่ผ่านมา เพื่อเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล พบทั้ง​ปะการังแตกหัก​เห็นได้อย่างชัดเจนกินพื้นที่ความยาวประมาณ 60-70 เมตร ความกว้างประมาณ 3-5 เมตร เป็นแนวโค้งตั้งแต่หน้าบ่อเต่ายาวไปทางอ่าวเทียนครับ

    โดยล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายเอกฤทธิ์​ ดวงมาลา​ หน.อช.อ่าวสยาม (เตรียมการ)​ แจ้งว่าได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความที่​สภ.บางสะพานน้อย​เพื่อดำเนินการกับผู้ที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับความเสียหายแล้ว

    ทั้งนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ แจ้งการดำเนินการมาที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยแจ้งประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานในพื้นที่ เรียบร้อยแล้ว และให้ผู้ควบคุมเรือมาพบเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000020534

    #MGROnline #ปะการัง #เกาะทะลุ
    เจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ดำน้ำสำรวจจุดที่เรือบาร์จชนปะการัง "เกาะทะลุ" ได้รับความเสียหาย​แนวยาวกว่า 50 เมตร ล่าสุด​ อช.แห่งชาติอ่าวสยาม ​(เตรียมการ)​ แจ้งความที่ สภ.บางสะพานน้อย​แล้ว • วันนี้ (3 มี.ค.)​ นายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์​ เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิดำน้ำบันทึกภาพจุดที่​เรือบรรทุกสินค้าปูนซีเมนต์โซ่สมอเรือที่ลากจูงเรือบาร์จขาด ส่งผลให้เรือบาร์จทั้ง 3 ลำไปชนกับแนวปะการังและโขดหิน ทำให้เกิดความเสียหายต่อปะการัง หน้าเกาทะลุ จ.ประจวบฯ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที 26 กุมภาพันธ์ ​68 ที่ผ่านมา เพื่อเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล พบทั้ง​ปะการังแตกหัก​เห็นได้อย่างชัดเจนกินพื้นที่ความยาวประมาณ 60-70 เมตร ความกว้างประมาณ 3-5 เมตร เป็นแนวโค้งตั้งแต่หน้าบ่อเต่ายาวไปทางอ่าวเทียนครับ • โดยล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายเอกฤทธิ์​ ดวงมาลา​ หน.อช.อ่าวสยาม (เตรียมการ)​ แจ้งว่าได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความที่​สภ.บางสะพานน้อย​เพื่อดำเนินการกับผู้ที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับความเสียหายแล้ว • ทั้งนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ แจ้งการดำเนินการมาที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยแจ้งประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานในพื้นที่ เรียบร้อยแล้ว และให้ผู้ควบคุมเรือมาพบเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000020534 • #MGROnline #ปะการัง #เกาะทะลุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่าเขาเตรียมเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พูดคุยเกี่ยวกับการปกป้องอธิปไตยของแคนาดา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งเสียงเรียกร้องซ้ำๆ ให้เข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา
    .
    คำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของทรัมป์ โหมกระพือเสียงโวยวายในแคนาดา โดยพวกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น เกี่ยวกับการพูดคุยใดๆ กรณีที่พวกเขาจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ
    .
    ครั้งที่เข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ ซึ่งทรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐของแคนาดา ในวันจันทร์ (3 มี.ค.) ทรูโดเผยว่าเขาหวัง "หารือในประเด็นต่างๆ ที่มีความสำคัญกับแคนาดาและชาวแคนาดา"
    .
    "และผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกับชาวแคนาดามากไปกว่าการยืนหยัดเพื่ออธิปไตยของเราและเอกราชของเรา ในฐานะประเทศหนึ่ง" นายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุ ระหว่างอยู่ในลอนดอน เพื่อร่วมประชุมซัมมิตเกี่ยวกับยูเครน
    .
    ทรัมป์ ยึดติดอยู่กับอธิปไตยของแคนาดาโดยเฉพาะ นับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย
    .
    ผู้สำสหรัฐฯ พาดพิงแคนาดาบ่อยครั้งในฐานะ "รัฐที่ 51" และดูหมิ่น ทรูโด ด้วยการเรียกเขาว่าเป็น "ผู้ว่าการรัฐ" แทนที่จะเป็น "นายกรัฐมนตรี"
    .
    ทั้งนี้ ทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีบรรดาคู่ค้าหลีกของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) แต่บอกว่าแคนาดาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกรีดภาษีได้ หากกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา
    .
    เมื่อเดือนที่แล้ว ทรูโด เตือนว่าการพูดจาอย่างไม่หยุดหย่อนของทรัมป์ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดา เพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาตินั้น "เป็นของจริง"
    .
    ชาวแคนาดาบางส่วนส่งเสียงแสดงความสงสัยว่าทำไมกษัตริย์ชาร์ลส์ถึงไม่ออกมาตรัสอะไรบ้าง เกี่ยวกับการปกป้องแคนาดา อย่างไรก็ตาม ตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว กษัตริย์มีหน้าที่ได้แค่เพียงให้คำแนะนำนายกรัฐมนตรี ในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติในเครือจักรภพ
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เชิญ ทรัมป์ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรแบบรัฐพิธีเป็นครั้งที่ 2 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งอาจเป็นการเปิดโอกาสให้กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงหยิบยกประเด็นอธิปไตยของแคนาดาพูดคุยกับทรัมป์
    .
    ณ ที่ประชุมซัมมิตด้านความมั่นคงของยูเครน ในลอนดอน เมื่อวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) ทรูโด เน้นย้ำว่า แคนาดา ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน อย่างหนักแน่นและไม่เปลี่ยนแปลง และได้แถลงมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่เล่นงานรัสเซีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020426
    ..............
    Sondhi X
    จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่าเขาเตรียมเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พูดคุยเกี่ยวกับการปกป้องอธิปไตยของแคนาดา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งเสียงเรียกร้องซ้ำๆ ให้เข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา . คำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของทรัมป์ โหมกระพือเสียงโวยวายในแคนาดา โดยพวกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น เกี่ยวกับการพูดคุยใดๆ กรณีที่พวกเขาจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ . ครั้งที่เข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ ซึ่งทรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐของแคนาดา ในวันจันทร์ (3 มี.ค.) ทรูโดเผยว่าเขาหวัง "หารือในประเด็นต่างๆ ที่มีความสำคัญกับแคนาดาและชาวแคนาดา" . "และผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกับชาวแคนาดามากไปกว่าการยืนหยัดเพื่ออธิปไตยของเราและเอกราชของเรา ในฐานะประเทศหนึ่ง" นายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุ ระหว่างอยู่ในลอนดอน เพื่อร่วมประชุมซัมมิตเกี่ยวกับยูเครน . ทรัมป์ ยึดติดอยู่กับอธิปไตยของแคนาดาโดยเฉพาะ นับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย . ผู้สำสหรัฐฯ พาดพิงแคนาดาบ่อยครั้งในฐานะ "รัฐที่ 51" และดูหมิ่น ทรูโด ด้วยการเรียกเขาว่าเป็น "ผู้ว่าการรัฐ" แทนที่จะเป็น "นายกรัฐมนตรี" . ทั้งนี้ ทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีบรรดาคู่ค้าหลีกของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) แต่บอกว่าแคนาดาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกรีดภาษีได้ หากกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา . เมื่อเดือนที่แล้ว ทรูโด เตือนว่าการพูดจาอย่างไม่หยุดหย่อนของทรัมป์ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดา เพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาตินั้น "เป็นของจริง" . ชาวแคนาดาบางส่วนส่งเสียงแสดงความสงสัยว่าทำไมกษัตริย์ชาร์ลส์ถึงไม่ออกมาตรัสอะไรบ้าง เกี่ยวกับการปกป้องแคนาดา อย่างไรก็ตาม ตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว กษัตริย์มีหน้าที่ได้แค่เพียงให้คำแนะนำนายกรัฐมนตรี ในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติในเครือจักรภพ . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เชิญ ทรัมป์ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรแบบรัฐพิธีเป็นครั้งที่ 2 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งอาจเป็นการเปิดโอกาสให้กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงหยิบยกประเด็นอธิปไตยของแคนาดาพูดคุยกับทรัมป์ . ณ ที่ประชุมซัมมิตด้านความมั่นคงของยูเครน ในลอนดอน เมื่อวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) ทรูโด เน้นย้ำว่า แคนาดา ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน อย่างหนักแน่นและไม่เปลี่ยนแปลง และได้แถลงมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่เล่นงานรัสเซีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020426 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1335 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก

    เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว

    แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286

    #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก • เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว • แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286 • #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเก็บมุกในจีนโบราณ

    สวัสดีค่ะ ผ่านบทความยาวๆ กันมาหลายสัปดาห์ วันนี้มาคุยกันสั้นหน่อยเกี่ยวกับการเก็บมุก เพื่อนเพจที่ได้ดู <ม่านมุกม่านหยก> คงจะจำได้ถึงเรื่องราวตอนเปิดเรื่องที่นางเอกเป็นทาสเก็บมุก และในฉากดำน้ำเก็บมุกจะเห็นว่าทาสเก็บมุกทุกคนมีถุงทรายช่วยถ่วงให้ลงน้ำได้เร็วขึ้น แต่ทุกคนดำน้ำได้ลึกมากและอึดมากจนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าในสมัยก่อนเขาดำน้ำเก็บมุกกันอย่างนี้จริงๆ หรือ

    การดำน้ำเก็บมุกมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัด แต่ไข่มุกเป็นของบรรณาการที่ต้องส่งเข้าวังมาแต่โบราณโดยในสมัยฉินมีการกล่าวถึงอย่างชัดเจน และในเอกสารสมัยราชวงศ์ฮั่นก็มีการกล่าวถึงการเก็บมุกในฝั่งทะเลตอนใต้ในเขตการปกครองที่เรียกว่า ‘เหอผู่’ ปัจจุบันคือแถบตอนใต้ของมณฑลก่วงซี ว่ากันว่าชาวบ้านในแถบพื้นที่นั้นไม่มีอาชีพอื่นเลยนอกจากเก็บมุก และเด็กเริ่มฝึกลงทะเลดำน้ำตั้งแต่อายุสิบขวบ

    การเก็บมุกในทะเลมีมาเรื่อยตลอดทุกยุคสมัย ยกเว้นในสมัยซ่งที่มีการประกาศห้ามลงทะเลเก็บมุกเพราะอันตรายเกินไปและมีการพัฒนามุกน้ำจืดและเรือเก็บหอยมุก แต่เมื่อพ้นสมัยซ่งก็กลับมาใช้คนลงทะเลเก็บมุกกันอีก โดยเฉพาะในสมัยหมิงการเก็บมุกทำกันอย่างขยันขันแข็ง มีคนเก็บมุกกว่าแปดพันคน จนทำให้จำนวนมุกที่เก็บได้มากสุดและจำนวนคนเก็บมุกตายมากสุดในประวัติศาสตร์จีน ทำเอามุกทะเลธรรมชาติร่อยหรอจนในสมัยชิงหันมาใช้ ‘มุกตะวันออก’ ซึ่งก็คือมุกน้ำจืดที่เก็บจากบริเวณแม่น้ำซงหัวทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

    ว่ากันว่ากรรมวิธีการดำน้ำเก็บมุกในทะเลไม่ได้เปลี่ยนไปมากตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมัน แต่เอกสารบรรยายเกี่ยวกับวิธีการเก็บมุกมีน้อยมาก และเอกสารที่คนมักใช้อ้างอิงคือบันทึก ‘เทียนกงคายอู้’ (天工开物 /The Exploitation of the Works of Nature) ซึ่งเป็นหนังสือสมัยหมิงจัดทำขึ้นโดยซ่งอิงซิงเมื่อปีค.ศ. 1637 หนังสือเล่มนี้บรรยายถึงกว่า 300 อาชีพที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและกรรมวิธีการผลิตที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการเก็บมุกด้วย

    จริงๆ แล้ว ‘เทียนกงคายอู้’ เป็นเอกสารบรรยาย แต่ต่อมามีคนอิงเอกสารนี้จัดวาดเป็นภาพขึ้นในหลากหลายเวอร์ชั่น Storyฯ เอาเวอร์ชั่นที่คนส่วนใหญ่อ้างอิงเพราะใกล้เคียงกับคำบรรยายมากที่สุดมาให้ดู (รูปประกอบ 2)

    ‘เทียนกงคายอู้’ อธิบายไว้ว่า... เรือเก็บมุกจะรูปทรงอ้วนกว่าเรืออื่นและหัวมน บนเรือมีฟางมัดเป็นแผ่น เมื่อผ่านน้ำวนให้โยนแผ่นฟางลงไป เรือก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย... คนเก็บมุกลงน้ำพร้อมตะกร้าไผ่ เอวถูกมัดไว้กับเชือกยาวที่ถูกยึดไว้บนเรือ... คนเก็บมุกมีหลอดโค้งทำจากดีบุก ปลายหลอดเสียบเข้าที่จมูกและใช้ถุงหนังนิ่มพันรอบคอและซอกหูเพื่อช่วยหายใจ... คนที่ดำลงได้ลึกจริงๆ สามารถลงไปถึงสี่ห้าร้อยฉื่อ (ประมาณ 90-115 เมตร) เพื่อเก็บหอยมุกใส่ตะกร้า เมื่ออากาศใกล้หมดก็จะกระตุกเชือกให้คนข้างบนดึงขึ้นไป เมื่อขึ้นไปแล้วต้องรีบเอาผืนหนังต้มร้อนมาห่อตัวให้อุ่นเพื่อจะได้ไม่แข็งตาย

    ในหนังสือ ‘เทียนคายกงอู้’ ไม่ได้บรรยายไว้ว่าคนเก็บมุกแต่งกายอย่างไร แต่ข้อมูลอื่นรวมถึงภาพวาดหลายเวอร์ชั่นแสดงให้เห็นว่าในสมัยโบราณนั้น คนเก็บมุกใช้หินมัดไว้ที่เอวเพื่อถ่วงให้จมเร็วขึ้นและลงน้ำโดยไม่ใส่เสื้อผ้าเลย โดยปกติแล้วคนเก็บมุกออกเรือด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กและจับคู่กันเช่นพ่อลูกหรือพี่น้องชายผลัดกันดึงเชือกผลัดกันดำลงไป

    แม้ว่าการบรรยายข้างต้นจะพอให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกเหมือน Storyฯ ว่าคำบรรยายในหนังสือยังมีประเด็นชวนสงสัยอีก เป็นต้นว่า ท่อหายใจกับถุงหนังต่อเข้ากันอย่างไร? กันน้ำได้อย่างไร? อากาศในถุงหนังคือคนเป่าเข้าไป? ฯลฯ แต่จนใจที่ Storyฯ หาข้อมูลเพิ่มเติมไม่พบ เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมก็รบกวนมาเล่าสู่กันฟังนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g62771163/the-story-of-pearl-girl/
    https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm
    https://news.bjd.com.cn/read/2021/07/23/134795t172.html
    https://baike.baidu.com/item/天工开物/29312
    https://core.ac.uk/download/pdf/323959493.pdf

    #ม่านมุกม่านหยก #มุกทะเลใต้ #การเก็บมุก #คนเก็บมุก #ไฉ่จู #สาระจีน
    การเก็บมุกในจีนโบราณ สวัสดีค่ะ ผ่านบทความยาวๆ กันมาหลายสัปดาห์ วันนี้มาคุยกันสั้นหน่อยเกี่ยวกับการเก็บมุก เพื่อนเพจที่ได้ดู <ม่านมุกม่านหยก> คงจะจำได้ถึงเรื่องราวตอนเปิดเรื่องที่นางเอกเป็นทาสเก็บมุก และในฉากดำน้ำเก็บมุกจะเห็นว่าทาสเก็บมุกทุกคนมีถุงทรายช่วยถ่วงให้ลงน้ำได้เร็วขึ้น แต่ทุกคนดำน้ำได้ลึกมากและอึดมากจนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าในสมัยก่อนเขาดำน้ำเก็บมุกกันอย่างนี้จริงๆ หรือ การดำน้ำเก็บมุกมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัด แต่ไข่มุกเป็นของบรรณาการที่ต้องส่งเข้าวังมาแต่โบราณโดยในสมัยฉินมีการกล่าวถึงอย่างชัดเจน และในเอกสารสมัยราชวงศ์ฮั่นก็มีการกล่าวถึงการเก็บมุกในฝั่งทะเลตอนใต้ในเขตการปกครองที่เรียกว่า ‘เหอผู่’ ปัจจุบันคือแถบตอนใต้ของมณฑลก่วงซี ว่ากันว่าชาวบ้านในแถบพื้นที่นั้นไม่มีอาชีพอื่นเลยนอกจากเก็บมุก และเด็กเริ่มฝึกลงทะเลดำน้ำตั้งแต่อายุสิบขวบ การเก็บมุกในทะเลมีมาเรื่อยตลอดทุกยุคสมัย ยกเว้นในสมัยซ่งที่มีการประกาศห้ามลงทะเลเก็บมุกเพราะอันตรายเกินไปและมีการพัฒนามุกน้ำจืดและเรือเก็บหอยมุก แต่เมื่อพ้นสมัยซ่งก็กลับมาใช้คนลงทะเลเก็บมุกกันอีก โดยเฉพาะในสมัยหมิงการเก็บมุกทำกันอย่างขยันขันแข็ง มีคนเก็บมุกกว่าแปดพันคน จนทำให้จำนวนมุกที่เก็บได้มากสุดและจำนวนคนเก็บมุกตายมากสุดในประวัติศาสตร์จีน ทำเอามุกทะเลธรรมชาติร่อยหรอจนในสมัยชิงหันมาใช้ ‘มุกตะวันออก’ ซึ่งก็คือมุกน้ำจืดที่เก็บจากบริเวณแม่น้ำซงหัวทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ว่ากันว่ากรรมวิธีการดำน้ำเก็บมุกในทะเลไม่ได้เปลี่ยนไปมากตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมัน แต่เอกสารบรรยายเกี่ยวกับวิธีการเก็บมุกมีน้อยมาก และเอกสารที่คนมักใช้อ้างอิงคือบันทึก ‘เทียนกงคายอู้’ (天工开物 /The Exploitation of the Works of Nature) ซึ่งเป็นหนังสือสมัยหมิงจัดทำขึ้นโดยซ่งอิงซิงเมื่อปีค.ศ. 1637 หนังสือเล่มนี้บรรยายถึงกว่า 300 อาชีพที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและกรรมวิธีการผลิตที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการเก็บมุกด้วย จริงๆ แล้ว ‘เทียนกงคายอู้’ เป็นเอกสารบรรยาย แต่ต่อมามีคนอิงเอกสารนี้จัดวาดเป็นภาพขึ้นในหลากหลายเวอร์ชั่น Storyฯ เอาเวอร์ชั่นที่คนส่วนใหญ่อ้างอิงเพราะใกล้เคียงกับคำบรรยายมากที่สุดมาให้ดู (รูปประกอบ 2) ‘เทียนกงคายอู้’ อธิบายไว้ว่า... เรือเก็บมุกจะรูปทรงอ้วนกว่าเรืออื่นและหัวมน บนเรือมีฟางมัดเป็นแผ่น เมื่อผ่านน้ำวนให้โยนแผ่นฟางลงไป เรือก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย... คนเก็บมุกลงน้ำพร้อมตะกร้าไผ่ เอวถูกมัดไว้กับเชือกยาวที่ถูกยึดไว้บนเรือ... คนเก็บมุกมีหลอดโค้งทำจากดีบุก ปลายหลอดเสียบเข้าที่จมูกและใช้ถุงหนังนิ่มพันรอบคอและซอกหูเพื่อช่วยหายใจ... คนที่ดำลงได้ลึกจริงๆ สามารถลงไปถึงสี่ห้าร้อยฉื่อ (ประมาณ 90-115 เมตร) เพื่อเก็บหอยมุกใส่ตะกร้า เมื่ออากาศใกล้หมดก็จะกระตุกเชือกให้คนข้างบนดึงขึ้นไป เมื่อขึ้นไปแล้วต้องรีบเอาผืนหนังต้มร้อนมาห่อตัวให้อุ่นเพื่อจะได้ไม่แข็งตาย ในหนังสือ ‘เทียนคายกงอู้’ ไม่ได้บรรยายไว้ว่าคนเก็บมุกแต่งกายอย่างไร แต่ข้อมูลอื่นรวมถึงภาพวาดหลายเวอร์ชั่นแสดงให้เห็นว่าในสมัยโบราณนั้น คนเก็บมุกใช้หินมัดไว้ที่เอวเพื่อถ่วงให้จมเร็วขึ้นและลงน้ำโดยไม่ใส่เสื้อผ้าเลย โดยปกติแล้วคนเก็บมุกออกเรือด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กและจับคู่กันเช่นพ่อลูกหรือพี่น้องชายผลัดกันดึงเชือกผลัดกันดำลงไป แม้ว่าการบรรยายข้างต้นจะพอให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกเหมือน Storyฯ ว่าคำบรรยายในหนังสือยังมีประเด็นชวนสงสัยอีก เป็นต้นว่า ท่อหายใจกับถุงหนังต่อเข้ากันอย่างไร? กันน้ำได้อย่างไร? อากาศในถุงหนังคือคนเป่าเข้าไป? ฯลฯ แต่จนใจที่ Storyฯ หาข้อมูลเพิ่มเติมไม่พบ เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมก็รบกวนมาเล่าสู่กันฟังนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g62771163/the-story-of-pearl-girl/ https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm https://news.bjd.com.cn/read/2021/07/23/134795t172.html https://baike.baidu.com/item/天工开物/29312 https://core.ac.uk/download/pdf/323959493.pdf #ม่านมุกม่านหยก #มุกทะเลใต้ #การเก็บมุก #คนเก็บมุก #ไฉ่จู #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 526 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซเลนสกีกำลังออกเดินทางจากสนามบิน Rzeszów-Jasionka ประเทศโปแลนด์ และกำลังมุ่งหน้าไปยังวอชิงตันไปวอชิงตันเพื่อลงนามใน “ข้อตกลง” แร่ธาตุกับโดนัลด์ ทรัมป์

    - เซเลนสกีจะแวะที่ไอร์แลนด์ เพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี ไมเคิล มาร์ติน หลังจากนั้นจะมุ่งหน้าสู่กรุงวอชิงตันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เพื่อลงนามในข้อตกลงแร่ธาตุกับสหรัฐฯต่อไป

    - ยูเครนแทบไม่เหลืออะไรนอกจากคนหนุ่มสาวและทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น เพื่อใช้ในการต่อรองกับอเมริกา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะการตัดสินใจที่ "ผิดพลาด" ของเขา จนทำลายรัฐของตนเองจนสิ้นซาก

    - หากเซเลนสกีดำเนินแนวทางตามข้อตกลงมินสค์อย่างเคร่งครัด ยูเครนอาจกลายเป็นรัฐที่มีอำนาจควบคุมทรัพยากร ก๊าซราคาถูก น้ำมัน และที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนจำนวนมากยังคงมีชีวิตอยู่

    - การลงนามข้อตกลงแร่ธาตุของเซเลนสกีในครั้งนี้ เกือบล้มเหลว เมื่อสถานีโทรทัศน์บีเอฟเอ็มทีวี (BFMTV) ของฝรั่งเศส รายงานว่า ทรัมป์ตัดสินใจยกเลิกการเยือนสหรัฐฯ ของเซเลนสกีไปแล้ว แต่เมื่อเซเลนสกีทราบข่าว ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในเคียฟอย่างมาก

    - หลังจากนั้น เซเลนสกี้ได้โทรศัพท์ไปหาประธานาธิบดีมาครง เพื่อขอให้โน้มน้าวให้ทรัมป์เปลี่ยนใจ ซึ่งต่อมา "มาครง" ได้ติดต่อผู้นำสหรัฐฯ และโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจในที่สุด

    - สื่อฝรั่งเศสยังรายงานว่า มาครงก็ให้ความสนใจในแร่หายากของยูเครนอยู่ด้วยเช่นกัน ตามที่มาครงกล่าวระหว่างการเยือนทรัมป์ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันก่อน ซึ่งฝรั่งเศสต้องการใช้ในการผลิตอาวุธที่ครอบคลุมระยะเวลาสำหรับ 30 หรือ 40 ปีข้างหน้า
    เซเลนสกีกำลังออกเดินทางจากสนามบิน Rzeszów-Jasionka ประเทศโปแลนด์ และกำลังมุ่งหน้าไปยังวอชิงตันไปวอชิงตันเพื่อลงนามใน “ข้อตกลง” แร่ธาตุกับโดนัลด์ ทรัมป์ - เซเลนสกีจะแวะที่ไอร์แลนด์ เพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี ไมเคิล มาร์ติน หลังจากนั้นจะมุ่งหน้าสู่กรุงวอชิงตันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เพื่อลงนามในข้อตกลงแร่ธาตุกับสหรัฐฯต่อไป - ยูเครนแทบไม่เหลืออะไรนอกจากคนหนุ่มสาวและทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น เพื่อใช้ในการต่อรองกับอเมริกา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะการตัดสินใจที่ "ผิดพลาด" ของเขา จนทำลายรัฐของตนเองจนสิ้นซาก - หากเซเลนสกีดำเนินแนวทางตามข้อตกลงมินสค์อย่างเคร่งครัด ยูเครนอาจกลายเป็นรัฐที่มีอำนาจควบคุมทรัพยากร ก๊าซราคาถูก น้ำมัน และที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนจำนวนมากยังคงมีชีวิตอยู่ - การลงนามข้อตกลงแร่ธาตุของเซเลนสกีในครั้งนี้ เกือบล้มเหลว เมื่อสถานีโทรทัศน์บีเอฟเอ็มทีวี (BFMTV) ของฝรั่งเศส รายงานว่า ทรัมป์ตัดสินใจยกเลิกการเยือนสหรัฐฯ ของเซเลนสกีไปแล้ว แต่เมื่อเซเลนสกีทราบข่าว ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในเคียฟอย่างมาก - หลังจากนั้น เซเลนสกี้ได้โทรศัพท์ไปหาประธานาธิบดีมาครง เพื่อขอให้โน้มน้าวให้ทรัมป์เปลี่ยนใจ ซึ่งต่อมา "มาครง" ได้ติดต่อผู้นำสหรัฐฯ และโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจในที่สุด - สื่อฝรั่งเศสยังรายงานว่า มาครงก็ให้ความสนใจในแร่หายากของยูเครนอยู่ด้วยเช่นกัน ตามที่มาครงกล่าวระหว่างการเยือนทรัมป์ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันก่อน ซึ่งฝรั่งเศสต้องการใช้ในการผลิตอาวุธที่ครอบคลุมระยะเวลาสำหรับ 30 หรือ 40 ปีข้างหน้า
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์-เซนเลนสกีจ่อลงนามข้อตกลง 'แรร์เอิร์ธ' พรุ่งนี้! : คนเคาะข่าว 27-02-68
    : อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย อุษณีย์ เอกอุษณีย์

    #ทรัมป์ #เซเลนสกี #แรร์เอิร์ธ #ข้อตกลงแร่หายาก #คนเคาะข่าว #ข่าวต่างประเทศ #เศรษฐกิจโลก #ความมั่นคง #วิเคราะห์การเมือง #Geopolitics #USA #ยูเครน #พลังงาน #ทรัพยากรธรรมชาติ #ไทยTimes
    ทรัมป์-เซนเลนสกีจ่อลงนามข้อตกลง 'แรร์เอิร์ธ' พรุ่งนี้! : คนเคาะข่าว 27-02-68 : อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการโดย อุษณีย์ เอกอุษณีย์ #ทรัมป์ #เซเลนสกี #แรร์เอิร์ธ #ข้อตกลงแร่หายาก #คนเคาะข่าว #ข่าวต่างประเทศ #เศรษฐกิจโลก #ความมั่นคง #วิเคราะห์การเมือง #Geopolitics #USA #ยูเครน #พลังงาน #ทรัพยากรธรรมชาติ #ไทยTimes
    Like
    Love
    3
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 782 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • สโลวะเกีย มีสิทธิเรียกร้องให้ยูเครนชำระคืนเงินช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้เคียฟในระหว่างทำศึกสงครามกับมอสโก หากว่าบรรดาชาติตะวันตกอย่างสหรัฐฯ เยอรมนีและฝรั่งเศส ดำเนินการแบบเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาระดับอาวุโสรายหนึ่งของสโลวะเกียเน้นย้ำ
    .
    อันเดรจ ดันโก ประธานภรรคสโลวัค เนชันแนล ปาร์ตี และบุคคลสำคัญในรัฐบาลผสม แสดงความคิดเห็นในวิดีโอที่โพสต์บนเฟซบุ๊กเมื่อวันจันทร์ (24 ก.พ.) ว่าสโลวะเกียมีสิทธิเรียกร้องขอยูเครนจ่ายคืนเงินช่วยเหลือที่มอบให้ไปกว่า 3,500 ล้านยูโร (ราว 1.2 แสนล้านบาท)
    .
    ความเห็นนี้มีขึ้นตามหลังรายงานข่าวที่ระบุว่าวอชิงตันกำลังเจรจาข้อตกลงหนึ่งกับยูเครน ที่ทางเคียฟอาจมอบแร่ธาตุสำคัญๆ ในสัดส่วน 50% เป็นค่าชดเชยสำหรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ซึ่งในเรื่องนี้ ดันโก ตั้งคำถามว่าแล้วสหภาพยุโรป (อียู) จะได้อะไรกลับคืนมาบ้าง สำหรับความช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้แก่ยูเครนเช่นกัน
    .
    ข้อเสนอข้อตกลง ซึ่งมีข่าวว่าเป็นการอนุมัติให้สิทธิอย่างครอบคลุมแก่สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของยูเครน เป็นความพยายามหาทางชดเชยสิ่งที่อเมริกากล่าวอ้างว่าได้มอบความช่วยเหลือทั้งด้านการทหารและทางเศรษฐกิจแก่เคียฟ ไปกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์
    .
    "และผมจะถามเกี่ยวกับสโลวะเกีย" ดันโกเน้นย้ำ "แล้วสโลวะเกียจะได้คืนเงิน 3,500 ล้านยูโรที่ส่งไปหรือไม่" เขาตั้งคำถาม พร้อมเน้นย้ำว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นถือจำนวนที่มากสำหรับชาติหนึ่งของอียู "และผมอยากบอกว่า ถ้าเยอรมนี ฝรั่งเศส และอเมริการ้องขอเงินพวกเขาคืน สโลวะเกียก็ไม่อาจปิดปากเงียบ"
    .
    เมื่อวันจันทร์ (24 ก.พ.) อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมการยุโรป เดินทางไปยังกรุงเคียฟ ในวาระครบรอบ 3 ปี ความขัดแย้งยูเครน เปิดตัวแพกเกจความช่วยเหลือทางการเงินของอียูรอบใหม่ 3,500 ล้านยูโร อัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมเข้าสู่งบประมาณที่แห้งเหือดของยูเครน
    .
    ขณะเดียวกัน คาจา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู ในวันจันทร์ (24 ก.พ.) แสดงมุมมองในแง่บวก ว่าพวกผู้นำของกลุ่มจะเห็นชอบอย่างรวดเร็วในเงินทุนทางทหารก้อนใหม่ที่มอบแก่เคียฟ ข้อเสนอของเขาเป็นการขยายขอบเขตการส่งมอบอาวุธเข้าสู่ปี 2025 แต่มันเผชิญเสียงคัดค้านจากรัฐสมาชิกบางประเทศ
    .
    อิตาลี โปรตุเกส และสเปน แสดงจุดยืนคัดค้านอย่างเปิดเผยต่อแผนดังกล่าว ในขณะที่ฝรั่งเศสและเยอรมนียังไม่ตัดสินใจ อ้างอิงจากรายงานของโพลิติโก เว็บไซต์ข่าวสัญชาติสหรัฐฯ แพกเกจข้อเสนอนี้ ซึ่งมีมูลค่า 10,000 ล้านยูโร มีกำหนดหยิบยกหารือกัน ณ ที่ประชุมซัมมิตอียูในวันที่ 6 มีนาคม และในนั้นจะรวมถึงการมอบอาวุธ กระสุน ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และยกระดับการช่วยฝึกฝนทางทหารแก่กองกำลังยูเครน
    .
    ก่อนหน้านี้ โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย วิพากษ์วิจารณ์แนวทางของอียู ชี้มันเท่ากับว่า อียู แบนคำว่า "สันติภาพ" ออกจากการพูดคุยเกี่ยวกับยูเครนโดยสิ้นเชิง
    .
    มอสโก ส่งเสียงเตือนซ้ำๆ ว่าการป้อนอาวุธแก่ยูเครนของตะวันตก รังแต่จะทำให้ความขัดแย้งลากยาวออกไป โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ใดๆ ในขณะเดียวกันมันก็เสี่ยงเกิดการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างรัสเซียกับนาโต ทั้งนี้ อเล็กซานด์ร กรุสโก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ชี้แนะว่าอียูสามารถมีส่วนส่งเสริมการคลี่คลายวิกฤต ด้วยการหยุดให้แรงสนับสนุนด้านการทหารและโลจิสติกส์แก่เคียฟ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018796
    ..............
    Sondhi X
    สโลวะเกีย มีสิทธิเรียกร้องให้ยูเครนชำระคืนเงินช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้เคียฟในระหว่างทำศึกสงครามกับมอสโก หากว่าบรรดาชาติตะวันตกอย่างสหรัฐฯ เยอรมนีและฝรั่งเศส ดำเนินการแบบเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาระดับอาวุโสรายหนึ่งของสโลวะเกียเน้นย้ำ . อันเดรจ ดันโก ประธานภรรคสโลวัค เนชันแนล ปาร์ตี และบุคคลสำคัญในรัฐบาลผสม แสดงความคิดเห็นในวิดีโอที่โพสต์บนเฟซบุ๊กเมื่อวันจันทร์ (24 ก.พ.) ว่าสโลวะเกียมีสิทธิเรียกร้องขอยูเครนจ่ายคืนเงินช่วยเหลือที่มอบให้ไปกว่า 3,500 ล้านยูโร (ราว 1.2 แสนล้านบาท) . ความเห็นนี้มีขึ้นตามหลังรายงานข่าวที่ระบุว่าวอชิงตันกำลังเจรจาข้อตกลงหนึ่งกับยูเครน ที่ทางเคียฟอาจมอบแร่ธาตุสำคัญๆ ในสัดส่วน 50% เป็นค่าชดเชยสำหรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ซึ่งในเรื่องนี้ ดันโก ตั้งคำถามว่าแล้วสหภาพยุโรป (อียู) จะได้อะไรกลับคืนมาบ้าง สำหรับความช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้แก่ยูเครนเช่นกัน . ข้อเสนอข้อตกลง ซึ่งมีข่าวว่าเป็นการอนุมัติให้สิทธิอย่างครอบคลุมแก่สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของยูเครน เป็นความพยายามหาทางชดเชยสิ่งที่อเมริกากล่าวอ้างว่าได้มอบความช่วยเหลือทั้งด้านการทหารและทางเศรษฐกิจแก่เคียฟ ไปกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ . "และผมจะถามเกี่ยวกับสโลวะเกีย" ดันโกเน้นย้ำ "แล้วสโลวะเกียจะได้คืนเงิน 3,500 ล้านยูโรที่ส่งไปหรือไม่" เขาตั้งคำถาม พร้อมเน้นย้ำว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นถือจำนวนที่มากสำหรับชาติหนึ่งของอียู "และผมอยากบอกว่า ถ้าเยอรมนี ฝรั่งเศส และอเมริการ้องขอเงินพวกเขาคืน สโลวะเกียก็ไม่อาจปิดปากเงียบ" . เมื่อวันจันทร์ (24 ก.พ.) อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมการยุโรป เดินทางไปยังกรุงเคียฟ ในวาระครบรอบ 3 ปี ความขัดแย้งยูเครน เปิดตัวแพกเกจความช่วยเหลือทางการเงินของอียูรอบใหม่ 3,500 ล้านยูโร อัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมเข้าสู่งบประมาณที่แห้งเหือดของยูเครน . ขณะเดียวกัน คาจา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู ในวันจันทร์ (24 ก.พ.) แสดงมุมมองในแง่บวก ว่าพวกผู้นำของกลุ่มจะเห็นชอบอย่างรวดเร็วในเงินทุนทางทหารก้อนใหม่ที่มอบแก่เคียฟ ข้อเสนอของเขาเป็นการขยายขอบเขตการส่งมอบอาวุธเข้าสู่ปี 2025 แต่มันเผชิญเสียงคัดค้านจากรัฐสมาชิกบางประเทศ . อิตาลี โปรตุเกส และสเปน แสดงจุดยืนคัดค้านอย่างเปิดเผยต่อแผนดังกล่าว ในขณะที่ฝรั่งเศสและเยอรมนียังไม่ตัดสินใจ อ้างอิงจากรายงานของโพลิติโก เว็บไซต์ข่าวสัญชาติสหรัฐฯ แพกเกจข้อเสนอนี้ ซึ่งมีมูลค่า 10,000 ล้านยูโร มีกำหนดหยิบยกหารือกัน ณ ที่ประชุมซัมมิตอียูในวันที่ 6 มีนาคม และในนั้นจะรวมถึงการมอบอาวุธ กระสุน ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และยกระดับการช่วยฝึกฝนทางทหารแก่กองกำลังยูเครน . ก่อนหน้านี้ โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย วิพากษ์วิจารณ์แนวทางของอียู ชี้มันเท่ากับว่า อียู แบนคำว่า "สันติภาพ" ออกจากการพูดคุยเกี่ยวกับยูเครนโดยสิ้นเชิง . มอสโก ส่งเสียงเตือนซ้ำๆ ว่าการป้อนอาวุธแก่ยูเครนของตะวันตก รังแต่จะทำให้ความขัดแย้งลากยาวออกไป โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ใดๆ ในขณะเดียวกันมันก็เสี่ยงเกิดการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างรัสเซียกับนาโต ทั้งนี้ อเล็กซานด์ร กรุสโก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ชี้แนะว่าอียูสามารถมีส่วนส่งเสริมการคลี่คลายวิกฤต ด้วยการหยุดให้แรงสนับสนุนด้านการทหารและโลจิสติกส์แก่เคียฟ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018796 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2334 มุมมอง 1 รีวิว
  • ประเทศไหนมีทรัพยากรธรรมชาติ สหรัฐพร้อมเข้าช่วยเสมอ

    "ยุให้แตก แล้วเข้าไปแดรกแร่หายาก"
    ประเทศไหนมีทรัพยากรธรรมชาติ สหรัฐพร้อมเข้าช่วยเสมอ "ยุให้แตก แล้วเข้าไปแดรกแร่หายาก"
    Like
    Haha
    Angry
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวคิดของ lunar economy ที่เคยเป็นเพียงเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์ กำลังกลายเป็นความจริงที่สามารถจับต้องได้ ประเทศต่าง ๆ และบริษัทเอกชนกำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างฐานที่มั่นบนดวงจันทร์และใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่นั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และพัฒนาความสามารถในการสำรวจอวกาศในอนาคต

    หนึ่งในบริษัทที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้คือ Firefly Aerospace บริษัทที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2025 Firefly ได้ทำการปล่อยภารกิจ Blue Ghost 1 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการส่งมอบจากโลกสู่ดวงจันทร์ ขณะนี้ Blue Ghost กำลังมุ่งหน้าสู่พื้นผิวดวงจันทร์และต้องเผชิญกับภารกิจท้าทายหลายอย่าง เช่น การเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ การลงจอดอย่างควบคุมในพื้นที่ Mare Crisium และการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง การติดตั้งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ การเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม และการเจาะและสกัดฝุ่นละอองบนดวงจันทร์อย่างอัตโนมัติ

    ภารกิจของ Firefly นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Commercial Lunar Payload Services (CLPS) ของ NASA ที่มุ่งใช้ความสร้างสรรค์ของภาคเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาการสำรวจอวกาศ ขณะที่ NASA มุ่งเน้นการส่งนักบินอวกาศกลับสู่ดวงจันทร์ผ่านโครงการ Artemis บริษัทเอกชนถูกมอบหมายให้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการส่งมอบสิ่งของและการส่งคืนตัวอย่าง

    Blue Ghost lander บรรทุกอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ 10 ชิ้น รวมถึงคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจวัดความต้านทานของวงจรต่อรังสีในอวกาศ และกล้องที่ใช้ศึกษาฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ นอกจากนี้ lander ยังจะถ่ายภาพปรากฏการณ์ lunar eclipse เพื่อให้มุมมองพิเศษต่อปรากฏการณ์นี้

    ในขณะที่ lunar economy เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ความสนใจจึงหันไปที่การใช้ประโยชน์จากวัสดุบนดวงจันทร์ โดยเฉพาะ Helium-3 ซึ่งเป็นไอโซโทปหายากที่มีประโยชน์ในการฟิวชั่นนิวเคลียร์ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และการสร้างภาพทางการแพทย์ Helium-3 นั้นหายากบนโลก แต่เชื่อว่ามีการสะสมอยู่ในดวงจันทร์เนื่องจากลมสุริยะ

    บริษัทอย่าง Interlune กำลังวางแผนภารกิจการขุดเพื่อสกัด Helium-3 จากดวงจันทร์ นักวิจัยยังสำรวจการใช้แร่ธาตุและน้ำบนดวงจันทร์เพื่อผลิตออกซิเจนและไฮโดรเจนสำหรับเชื้อเพลิงจรวด ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์บนดวงจันทร์อย่างยั่งยืนในอนาคต รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบนดวงจันทร์ เช่น ถนน ทางรถไฟ และสิ่งก่อสร้างจากคอนกรีต

    ในอนาคต ภาพของ lander ที่เข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์และการสร้างระบบการส่งมอบในอวกาศจะเป็นเรื่องปกติทั่วไป เปิดฉากยุคใหม่ของการสำรวจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่นอกเหนือจากชั้นบรรยากาศของโลก

    https://www.techspot.com/news/106885-new-space-race-building-sustainable-economy-moon.html
    แนวคิดของ lunar economy ที่เคยเป็นเพียงเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์ กำลังกลายเป็นความจริงที่สามารถจับต้องได้ ประเทศต่าง ๆ และบริษัทเอกชนกำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างฐานที่มั่นบนดวงจันทร์และใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่นั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และพัฒนาความสามารถในการสำรวจอวกาศในอนาคต หนึ่งในบริษัทที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้คือ Firefly Aerospace บริษัทที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2025 Firefly ได้ทำการปล่อยภารกิจ Blue Ghost 1 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการส่งมอบจากโลกสู่ดวงจันทร์ ขณะนี้ Blue Ghost กำลังมุ่งหน้าสู่พื้นผิวดวงจันทร์และต้องเผชิญกับภารกิจท้าทายหลายอย่าง เช่น การเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ การลงจอดอย่างควบคุมในพื้นที่ Mare Crisium และการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง การติดตั้งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ การเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม และการเจาะและสกัดฝุ่นละอองบนดวงจันทร์อย่างอัตโนมัติ ภารกิจของ Firefly นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Commercial Lunar Payload Services (CLPS) ของ NASA ที่มุ่งใช้ความสร้างสรรค์ของภาคเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาการสำรวจอวกาศ ขณะที่ NASA มุ่งเน้นการส่งนักบินอวกาศกลับสู่ดวงจันทร์ผ่านโครงการ Artemis บริษัทเอกชนถูกมอบหมายให้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการส่งมอบสิ่งของและการส่งคืนตัวอย่าง Blue Ghost lander บรรทุกอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ 10 ชิ้น รวมถึงคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจวัดความต้านทานของวงจรต่อรังสีในอวกาศ และกล้องที่ใช้ศึกษาฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ นอกจากนี้ lander ยังจะถ่ายภาพปรากฏการณ์ lunar eclipse เพื่อให้มุมมองพิเศษต่อปรากฏการณ์นี้ ในขณะที่ lunar economy เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ความสนใจจึงหันไปที่การใช้ประโยชน์จากวัสดุบนดวงจันทร์ โดยเฉพาะ Helium-3 ซึ่งเป็นไอโซโทปหายากที่มีประโยชน์ในการฟิวชั่นนิวเคลียร์ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และการสร้างภาพทางการแพทย์ Helium-3 นั้นหายากบนโลก แต่เชื่อว่ามีการสะสมอยู่ในดวงจันทร์เนื่องจากลมสุริยะ บริษัทอย่าง Interlune กำลังวางแผนภารกิจการขุดเพื่อสกัด Helium-3 จากดวงจันทร์ นักวิจัยยังสำรวจการใช้แร่ธาตุและน้ำบนดวงจันทร์เพื่อผลิตออกซิเจนและไฮโดรเจนสำหรับเชื้อเพลิงจรวด ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์บนดวงจันทร์อย่างยั่งยืนในอนาคต รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบนดวงจันทร์ เช่น ถนน ทางรถไฟ และสิ่งก่อสร้างจากคอนกรีต ในอนาคต ภาพของ lander ที่เข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์และการสร้างระบบการส่งมอบในอวกาศจะเป็นเรื่องปกติทั่วไป เปิดฉากยุคใหม่ของการสำรวจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่นอกเหนือจากชั้นบรรยากาศของโลก https://www.techspot.com/news/106885-new-space-race-building-sustainable-economy-moon.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The new space race: building a sustainable economy on the moon
    This modern-day lunar gold rush has attracted diverse participants, from established space agencies to innovative private firms. One such company in this space race is the Texas-based...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิปัญญาดั้งเดิมและการพัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นสองสิ่งที่สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสังคมที่ก้าวหน้าและยั่งยืน ภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานจากบรรพบุรุษ ซึ่งมักสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และค่านิยมของชุมชน ในขณะที่การพัฒนาคนรุ่นใหม่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคต

    ### วิธีที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมสามารถสนับสนุนการพัฒนาคนรุ่นใหม่:
    1. **การส่งเสริมคุณค่าและจริยธรรม**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมมักเน้นเรื่องความเอื้ออาทร ความเคารพต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

    2. **การเรียนรู้จากประสบการณ์**: การนำความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้ เช่น การเกษตรแบบดั้งเดิม การแพทย์แผนโบราณ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    3. **การรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์**: การเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นช่วยให้คนรุ่นใหม่รู้จักรากเหง้าของตนเอง และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

    4. **การสร้างสมดุลระหว่างเก่าและใหม่**: การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ทันสมัย

    ### ความท้าทาย:
    - **การสื่อสารระหว่างรุ่น**: บางครั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
    - **การปรับตัว**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทสมัยใหม่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ### สรุป:
    การพัฒนาคนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงการรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ การผสมผสานระหว่างความรู้เดิมและนวัตกรรมใหม่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เติบโตได้อย่างมีคุณภาพและพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    ภูมิปัญญาดั้งเดิมและการพัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นสองสิ่งที่สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสังคมที่ก้าวหน้าและยั่งยืน ภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานจากบรรพบุรุษ ซึ่งมักสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และค่านิยมของชุมชน ในขณะที่การพัฒนาคนรุ่นใหม่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคต ### วิธีที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมสามารถสนับสนุนการพัฒนาคนรุ่นใหม่: 1. **การส่งเสริมคุณค่าและจริยธรรม**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมมักเน้นเรื่องความเอื้ออาทร ความเคารพต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 2. **การเรียนรู้จากประสบการณ์**: การนำความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้ เช่น การเกษตรแบบดั้งเดิม การแพทย์แผนโบราณ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. **การรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์**: การเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นช่วยให้คนรุ่นใหม่รู้จักรากเหง้าของตนเอง และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม 4. **การสร้างสมดุลระหว่างเก่าและใหม่**: การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ทันสมัย ### ความท้าทาย: - **การสื่อสารระหว่างรุ่น**: บางครั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ - **การปรับตัว**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทสมัยใหม่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ### สรุป: การพัฒนาคนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงการรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ การผสมผสานระหว่างความรู้เดิมและนวัตกรรมใหม่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เติบโตได้อย่างมีคุณภาพและพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตบนโลก รวมทั้งมนุษย์ พึ่งพาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต แต่ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศได้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม

    ### ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลนี้ ได้แก่:
    1. **การใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม**
    - เทคโนโลยีสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า และการรีไซเคิลขยะ
    - เทคโนโลยีช่วยในการตรวจสอบและจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    2. **ผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี**
    - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากเพื่อผลิตเทคโนโลยี เช่น การขุดแร่หายากสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    - มลพิษจากกระบวนการผลิตและขยะอิเล็กทรอนิกส์
    - การรบกวนระบบนิเวศจากการขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรม

    3. **การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต**
    - สิ่งมีชีวิตหลายชนิดต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี เช่น มลพิษทางอากาศและน้ำ
    - การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย

    4. **บทบาทของมนุษย์ในการสร้างสมดุล**
    - มนุษย์ต้องรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
    - การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อม

    ### สรุป:
    ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการจัดการอย่างรอบคอบ มนุษย์ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีต้องตระหนักถึงผลกระทบและพยายามลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งเทคโนโลยีและสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
    ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตบนโลก รวมทั้งมนุษย์ พึ่งพาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต แต่ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศได้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ### ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลนี้ ได้แก่: 1. **การใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม** - เทคโนโลยีสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า และการรีไซเคิลขยะ - เทคโนโลยีช่วยในการตรวจสอบและจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. **ผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี** - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากเพื่อผลิตเทคโนโลยี เช่น การขุดแร่หายากสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ - มลพิษจากกระบวนการผลิตและขยะอิเล็กทรอนิกส์ - การรบกวนระบบนิเวศจากการขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรม 3. **การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต** - สิ่งมีชีวิตหลายชนิดต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี เช่น มลพิษทางอากาศและน้ำ - การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย 4. **บทบาทของมนุษย์ในการสร้างสมดุล** - มนุษย์ต้องรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น - การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อม ### สรุป: ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการจัดการอย่างรอบคอบ มนุษย์ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีต้องตระหนักถึงผลกระทบและพยายามลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งเทคโนโลยีและสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรตีนจากนมพืชดีอย่างไร ?

    โปรตีนจากนมพืช (Plant-based milk protein) เป็นโปรตีนที่ได้จากพืช เช่น ถั่วเหลือง อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต และเมล็ดเจีย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคนมสัตว์หรือแพ้นมวัว นี่คือประโยชน์หลักๆ ของโปรตีนจากนมพืช:

    ### 1. **เหมาะสำหรับผู้แพ้นมวัว**
    - ผู้ที่แพ้แลคโตสหรือโปรตีนจากนมวัวสามารถบริโภคโปรตีนจากนมพืชได้โดยไม่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของนมสัตว์

    ### 2. **ดีต่อสุขภาพหัวใจ**
    - นมพืชส่วนใหญ่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
    - นมถั่วเหลืองมีไขมันดี (HDL) และกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงหัวใจ

    ### 3. **อุดมด้วยสารอาหาร**
    - นมถั่วเหลืองมีโปรตีนสูงใกล้เคียงกับนมวัว และมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน
    - นมพืชบางชนิดเสริมแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี 12 เพื่อให้ได้สารอาหารใกล้เคียงนมวัว

    ### 4. **ช่วยควบคุมน้ำหนัก**
    - นมพืชมักมีแคลอรีต่ำกว่านมวัว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
    - มีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะนมข้าวโอ๊ตและนมอัลมอนด์ ช่วยให้อิ่มนานขึ้น

    ### 5. **ดีต่อระบบย่อยอาหาร**
    - นมพืชย่อยง่ายกว่านมวัว และไม่มีแลคโตสที่อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสียในบางคน

    ### 6. **เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม**
    - การผลิตนมพืชใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการผลิตนมวัว

    ### 7. **เหมาะกับผู้ทานมังสวิรัติ**
    - โปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกน

    ### ข้อควรระวัง
    - ควรเลือกนมพืชที่ไม่เติมน้ำตาลหรือสารปรุงแต่งมากเกินไป
    - ตรวจสอบให้แน่ใจว่านมพืชที่เลือกมีโปรตีนเพียงพอ โดยเฉพาะนมถั่วเหลืองที่มีโปรตีนสูงสุด

    สรุปว่าโปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงนมสัตว์หรือมีข้อจำกัดด้านอาหาร
    โปรตีนจากนมพืชดีอย่างไร ? โปรตีนจากนมพืช (Plant-based milk protein) เป็นโปรตีนที่ได้จากพืช เช่น ถั่วเหลือง อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต และเมล็ดเจีย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคนมสัตว์หรือแพ้นมวัว นี่คือประโยชน์หลักๆ ของโปรตีนจากนมพืช: ### 1. **เหมาะสำหรับผู้แพ้นมวัว** - ผู้ที่แพ้แลคโตสหรือโปรตีนจากนมวัวสามารถบริโภคโปรตีนจากนมพืชได้โดยไม่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของนมสัตว์ ### 2. **ดีต่อสุขภาพหัวใจ** - นมพืชส่วนใหญ่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด - นมถั่วเหลืองมีไขมันดี (HDL) และกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงหัวใจ ### 3. **อุดมด้วยสารอาหาร** - นมถั่วเหลืองมีโปรตีนสูงใกล้เคียงกับนมวัว และมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน - นมพืชบางชนิดเสริมแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี 12 เพื่อให้ได้สารอาหารใกล้เคียงนมวัว ### 4. **ช่วยควบคุมน้ำหนัก** - นมพืชมักมีแคลอรีต่ำกว่านมวัว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก - มีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะนมข้าวโอ๊ตและนมอัลมอนด์ ช่วยให้อิ่มนานขึ้น ### 5. **ดีต่อระบบย่อยอาหาร** - นมพืชย่อยง่ายกว่านมวัว และไม่มีแลคโตสที่อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสียในบางคน ### 6. **เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม** - การผลิตนมพืชใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการผลิตนมวัว ### 7. **เหมาะกับผู้ทานมังสวิรัติ** - โปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกน ### ข้อควรระวัง - ควรเลือกนมพืชที่ไม่เติมน้ำตาลหรือสารปรุงแต่งมากเกินไป - ตรวจสอบให้แน่ใจว่านมพืชที่เลือกมีโปรตีนเพียงพอ โดยเฉพาะนมถั่วเหลืองที่มีโปรตีนสูงสุด สรุปว่าโปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงนมสัตว์หรือมีข้อจำกัดด้านอาหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sabri Cheriha วิศวกรชาวตูนีเซียที่ก้าวมาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ โดยเขาได้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า Wefix ในชานเมืองของเมืองตูนิส เพื่อจัดการกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศตูนีเซีย

    ในตูนีเซียมีอุปกรณ์ไฟฟ้าในครัวเรือนประมาณแปดล้านชิ้นและโทรศัพท์มือถือเก้าล้านเครื่องที่ใช้งานอยู่ แต่เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้เสียหายหรือถูกทดแทน ไม่มีการบริการใด ๆ ที่จะจัดการกับขยะเหล่านี้อย่างถูกต้อง

    จุดที่น่าสนใจคือการแก้ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ท้าทายและจำเป็น เนื่องจากขยะอิเล็กทรอนิกส์มักมีสารอันตรายที่สามารถทำลายสิ่งแวดล้อมได้ถ้าไม่จัดการอย่างถูกวิธี นอกจากนี้การนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิลยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย

    โครงการแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังสร้างงานให้กับชุมชนและส่งเสริมให้คนรู้จักการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนค่ะ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/17/tunisian-startup-takes-on-ewaste-challenge
    Sabri Cheriha วิศวกรชาวตูนีเซียที่ก้าวมาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ โดยเขาได้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า Wefix ในชานเมืองของเมืองตูนิส เพื่อจัดการกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศตูนีเซีย ในตูนีเซียมีอุปกรณ์ไฟฟ้าในครัวเรือนประมาณแปดล้านชิ้นและโทรศัพท์มือถือเก้าล้านเครื่องที่ใช้งานอยู่ แต่เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้เสียหายหรือถูกทดแทน ไม่มีการบริการใด ๆ ที่จะจัดการกับขยะเหล่านี้อย่างถูกต้อง จุดที่น่าสนใจคือการแก้ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ท้าทายและจำเป็น เนื่องจากขยะอิเล็กทรอนิกส์มักมีสารอันตรายที่สามารถทำลายสิ่งแวดล้อมได้ถ้าไม่จัดการอย่างถูกวิธี นอกจากนี้การนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิลยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย โครงการแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังสร้างงานให้กับชุมชนและส่งเสริมให้คนรู้จักการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนค่ะ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/17/tunisian-startup-takes-on-ewaste-challenge
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tunisian startup takes on ewaste challenge
    Engineer turned social entrepreneur Sabri Cheriha hunches over a washing machine at a small depot in a suburb of Tunisia's capital, the unassuming home of a startup he launched to tackle the country's mounting electronic waste problem.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเกินขีดจำกัด และการสร้างมลพิษทางน้ำและอากาศ ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ

    อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็มีศักยภาพที่จะช่วยฟื้นฟูและปกป้องโลกได้เช่นกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดการใช้พลังงาน การรีไซเคิล การใช้พลังงานสะอาด การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการสนับสนุนนโยบายที่ยั่งยืน การร่วมมือกันในระดับโลกและระดับท้องถิ่นจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกของเราได้
    มนุษย์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเกินขีดจำกัด และการสร้างมลพิษทางน้ำและอากาศ ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็มีศักยภาพที่จะช่วยฟื้นฟูและปกป้องโลกได้เช่นกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดการใช้พลังงาน การรีไซเคิล การใช้พลังงานสะอาด การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการสนับสนุนนโยบายที่ยั่งยืน การร่วมมือกันในระดับโลกและระดับท้องถิ่นจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกของเราได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากมอบดินแดน 30% ให้กับผู้นำรัสเซียไปแล้ว คาดว่าสหรัฐฯ ต้องการสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่เหลือทั้งหมดของยูเครน

    "สหรัฐจะมีส่วนร่วมกับยูเครนในระยะยาว โดยมีหุ้นส่วนในสิทธิแร่หายากเพื่อชดเชยเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ช่วยในค่าใช้จ่ายที่ผ่านมา และฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนขึ้นใหม่" มาร์โก รูบิโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ

    จากข้อมูลของสื่อ ยูเครนมีแร่ธาตุสำรองอยู่ประมาณ 5% ของโลก และติด top 10 ของโลกที่มีไททาเนียม แมงกานีส เหล็ก และยูเรเนียม แร่หายากของยูเครนมีมูลค่ามากกว่า 12 ล้านล้านปอนด์
    หลังจากมอบดินแดน 30% ให้กับผู้นำรัสเซียไปแล้ว คาดว่าสหรัฐฯ ต้องการสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่เหลือทั้งหมดของยูเครน "สหรัฐจะมีส่วนร่วมกับยูเครนในระยะยาว โดยมีหุ้นส่วนในสิทธิแร่หายากเพื่อชดเชยเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ช่วยในค่าใช้จ่ายที่ผ่านมา และฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนขึ้นใหม่" มาร์โก รูบิโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ จากข้อมูลของสื่อ ยูเครนมีแร่ธาตุสำรองอยู่ประมาณ 5% ของโลก และติด top 10 ของโลกที่มีไททาเนียม แมงกานีส เหล็ก และยูเรเนียม แร่หายากของยูเครนมีมูลค่ามากกว่า 12 ล้านล้านปอนด์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำนวนดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อโลกหลายด้าน ทั้งด้านบวกและลบ ดังนี้:

    ### ผลกระทบด้านบวก:
    1. **การสื่อสาร**:
    - ดาวเทียมช่วยให้การสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และการแพร่สัญญาณโทรทัศน์

    2. **การพยากรณ์อากาศ**:
    - ดาวเทียมตรวจสภาพอากาศช่วยให้พยากรณ์อากาศได้แม่นยำขึ้น ช่วยเตือนภัยธรรมชาติ เช่น พายุ เฮอริเคน และสึนามิ

    3. **การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ**:
    - ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยในการจัดการสิ่งแวดล้อม การเกษตร และการวางแผนการใช้ที่ดิน

    4. **การนำทาง**:
    - ระบบนำทางด้วยดาวเทียม (เช่น GPS) ช่วยให้การเดินทางทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น

    5. **การวิจัยทางวิทยาศาสตร์**:
    - ดาวเทียมช่วยในการศึกษาด้านอวกาศ สภาพอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

    ### ผลกระทบด้านลบ:
    1. **มลภาวะทางแสง**:
    - ดาวเทียมจำนวนมากอาจสะท้อนแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดมลภาวะทางแสง ส่งผลต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์

    2. **ขยะอวกาศ**:
    - ดาวเทียมที่หมดอายุหรือเสียหายอาจกลายเป็นขยะอวกาศ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการชนกันในอวกาศและอาจสร้างขยะอวกาศมากขึ้น

    3. **การรบกวนสัญญาณ**:
    - ดาวเทียมจำนวนมากอาจทำให้เกิดการรบกวนสัญญาณ无线电频率 ส่งผลต่อการสื่อสารและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

    4. **ความเสี่ยงต่อความปลอดภัย**:
    - ดาวเทียมอาจเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์หรือทางกายภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อการสื่อสารและความปลอดภัยของประเทศ

    5. **ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม**:
    - การปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ### สรุป:
    การเพิ่มขึ้นของจำนวนดาวเทียมมีทั้งประโยชน์และความท้าทาย จำเป็นต้องมีการจัดการและควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบด้านลบและเพิ่มประโยชน์ให้สูงสุด
    จำนวนดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อโลกหลายด้าน ทั้งด้านบวกและลบ ดังนี้: ### ผลกระทบด้านบวก: 1. **การสื่อสาร**: - ดาวเทียมช่วยให้การสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และการแพร่สัญญาณโทรทัศน์ 2. **การพยากรณ์อากาศ**: - ดาวเทียมตรวจสภาพอากาศช่วยให้พยากรณ์อากาศได้แม่นยำขึ้น ช่วยเตือนภัยธรรมชาติ เช่น พายุ เฮอริเคน และสึนามิ 3. **การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ**: - ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยในการจัดการสิ่งแวดล้อม การเกษตร และการวางแผนการใช้ที่ดิน 4. **การนำทาง**: - ระบบนำทางด้วยดาวเทียม (เช่น GPS) ช่วยให้การเดินทางทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น 5. **การวิจัยทางวิทยาศาสตร์**: - ดาวเทียมช่วยในการศึกษาด้านอวกาศ สภาพอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ### ผลกระทบด้านลบ: 1. **มลภาวะทางแสง**: - ดาวเทียมจำนวนมากอาจสะท้อนแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดมลภาวะทางแสง ส่งผลต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ 2. **ขยะอวกาศ**: - ดาวเทียมที่หมดอายุหรือเสียหายอาจกลายเป็นขยะอวกาศ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการชนกันในอวกาศและอาจสร้างขยะอวกาศมากขึ้น 3. **การรบกวนสัญญาณ**: - ดาวเทียมจำนวนมากอาจทำให้เกิดการรบกวนสัญญาณ无线电频率 ส่งผลต่อการสื่อสารและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 4. **ความเสี่ยงต่อความปลอดภัย**: - ดาวเทียมอาจเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์หรือทางกายภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อการสื่อสารและความปลอดภัยของประเทศ 5. **ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม**: - การปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ### สรุป: การเพิ่มขึ้นของจำนวนดาวเทียมมีทั้งประโยชน์และความท้าทาย จำเป็นต้องมีการจัดการและควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบด้านลบและเพิ่มประโยชน์ให้สูงสุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เชื่อว่าคำพูดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดาเข้าเป็นรัฐที่ 51 "เป็นของจริง" และมันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศ ตามรายงานของสื่อมวลชนอ้างอิงแหล่งข่าวในรัฐบาล
    .
    แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทรูโด แสดงความคิดเห็นดังกล่าว ระหว่างการประชุมลับกับพวกผู้นำภาคธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน เกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการตอบโต้ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ที่ขู่รีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา
    .
    ที่ผ่านมา ทรัมป์ ส่งเสียงแนะนำซ้ำๆว่า แคนาดา จะดีกว่าเดิม หากประเทศแห่งนี้ยอมกลายมาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา
    .
    หนังสือพิมพ์โทรอนโตสตาร์ รายงานอ้างคำกล่าวของทรูโดระบุว่า "พวกเขาทราบดีเกี่ยวกับทรัพยากรของเรา สิ่งที่เรามีและพวกเขาต้องการมากๆอยากได้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้" นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวกับที่ประชุมลับ "แต่ในความคิดของทรัมป์ หนึ่งในหนทางที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้น ก็คือดูดกลืนประเทศของเรา และความคิดนี้เป็นของจริง"
    .
    แหล่งข่าวในรัฐบาล ยืนยันว่ารายงานข่าวของโทรอนโตสาตาร์ที่อ้างคำพูดดังกล่าวนั้น "ถูกต้อง"
    .
    แคนาดา ที่กำลังหาทางปัดป้องมาตรการต่างๆนานาของสหรัฐฯ เน้นย้ำว่าพวกเขาเป็นคู่หูที่น่าเชื่อถือ และเป็นผู้จัดหารายใหญ่ด้านน้ำมัน แร่ธาตุและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ
    .
    ในความเห็นกับพวกผู้สื่อข่าว ทรูโดบอกก่อนหน้านี้ว่า แคนาดาอาจต้องเจอกับความท้าทายทางการเมืองในระยะยาวกับสหรัฐฯ แม้นว่าหากสามารถจัดการหลีกเลี่ยงคำขู่รีดภาษีของทรัมป์ได้ก็ตาม
    .
    ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์(3ก.พ.) เผยว่าเขาจะเลื่อนกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาออกไป 30 วัน และกับการยอมอ่อนข้อในด้านชายแดนและการจัดการดับอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล
    .
    ทรูโด บอกว่าความท้าทายในปัจจุบันทันด่วนของออตตาวา ก็คือการโน้มน้าวให้วอชิงตัน เชื่อว่าแคนาดาได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ในการต่อสู้กับกระแสไหลบ่าของยาเฟนทานิล จากข้อมูลพบว่าในบรรดายาเฟนทานิลที่ถูกยึดในสหรัฐฯนั้น มีเพียงแค่ 0.2% ที่ข้ามไปจากชายแดนแคนาดา
    .
    ทั้งนี้ ทรูโด บอกกับพวกนักธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน ในช่วงต้นของการประชุมเกี่ยวกับแนวทางสร้างความหลากหลายทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าถ้าสหรัฐฯกำหนดมาตรการรีดภาษี ทางแคนาดาก็จะตอบโต้แบบเดียวกัน แต่เป้าหมายของแคนาดาคือจะหาทางปลดมาตรการเหล่านี้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    .
    ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาทางการค้าของทรัมป์ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหาแคนาดา กลายมาเป็นแหล่งต้นทางหลักของการลักลอบขนยาปลอดภาษี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งประเด็นปัญหาใหญ่ด้านวีซ่าและปล่อยให้คนที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีก่อการร้ายเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    ในการส่งออกภาคบริการและสินค้าทั้งหมดของแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่งผลให้พวกเขามีความอ่อนแออย่างมากต่อการคว่ำบาตรใดๆของอเมริกา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012939
    ..............
    Sondhi X
    จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เชื่อว่าคำพูดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดาเข้าเป็นรัฐที่ 51 "เป็นของจริง" และมันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศ ตามรายงานของสื่อมวลชนอ้างอิงแหล่งข่าวในรัฐบาล . แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทรูโด แสดงความคิดเห็นดังกล่าว ระหว่างการประชุมลับกับพวกผู้นำภาคธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน เกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการตอบโต้ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ที่ขู่รีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา . ที่ผ่านมา ทรัมป์ ส่งเสียงแนะนำซ้ำๆว่า แคนาดา จะดีกว่าเดิม หากประเทศแห่งนี้ยอมกลายมาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา . หนังสือพิมพ์โทรอนโตสตาร์ รายงานอ้างคำกล่าวของทรูโดระบุว่า "พวกเขาทราบดีเกี่ยวกับทรัพยากรของเรา สิ่งที่เรามีและพวกเขาต้องการมากๆอยากได้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้" นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวกับที่ประชุมลับ "แต่ในความคิดของทรัมป์ หนึ่งในหนทางที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้น ก็คือดูดกลืนประเทศของเรา และความคิดนี้เป็นของจริง" . แหล่งข่าวในรัฐบาล ยืนยันว่ารายงานข่าวของโทรอนโตสาตาร์ที่อ้างคำพูดดังกล่าวนั้น "ถูกต้อง" . แคนาดา ที่กำลังหาทางปัดป้องมาตรการต่างๆนานาของสหรัฐฯ เน้นย้ำว่าพวกเขาเป็นคู่หูที่น่าเชื่อถือ และเป็นผู้จัดหารายใหญ่ด้านน้ำมัน แร่ธาตุและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ . ในความเห็นกับพวกผู้สื่อข่าว ทรูโดบอกก่อนหน้านี้ว่า แคนาดาอาจต้องเจอกับความท้าทายทางการเมืองในระยะยาวกับสหรัฐฯ แม้นว่าหากสามารถจัดการหลีกเลี่ยงคำขู่รีดภาษีของทรัมป์ได้ก็ตาม . ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์(3ก.พ.) เผยว่าเขาจะเลื่อนกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาออกไป 30 วัน และกับการยอมอ่อนข้อในด้านชายแดนและการจัดการดับอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล . ทรูโด บอกว่าความท้าทายในปัจจุบันทันด่วนของออตตาวา ก็คือการโน้มน้าวให้วอชิงตัน เชื่อว่าแคนาดาได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ในการต่อสู้กับกระแสไหลบ่าของยาเฟนทานิล จากข้อมูลพบว่าในบรรดายาเฟนทานิลที่ถูกยึดในสหรัฐฯนั้น มีเพียงแค่ 0.2% ที่ข้ามไปจากชายแดนแคนาดา . ทั้งนี้ ทรูโด บอกกับพวกนักธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน ในช่วงต้นของการประชุมเกี่ยวกับแนวทางสร้างความหลากหลายทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าถ้าสหรัฐฯกำหนดมาตรการรีดภาษี ทางแคนาดาก็จะตอบโต้แบบเดียวกัน แต่เป้าหมายของแคนาดาคือจะหาทางปลดมาตรการเหล่านี้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ . ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาทางการค้าของทรัมป์ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหาแคนาดา กลายมาเป็นแหล่งต้นทางหลักของการลักลอบขนยาปลอดภาษี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งประเด็นปัญหาใหญ่ด้านวีซ่าและปล่อยให้คนที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีก่อการร้ายเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ . ในการส่งออกภาคบริการและสินค้าทั้งหมดของแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่งผลให้พวกเขามีความอ่อนแออย่างมากต่อการคว่ำบาตรใดๆของอเมริกา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012939 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1638 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสียงปืนต่อสู้ดังตลอดทั่วบางส่วนของพื้นที่เมืองโกมา (Goma) สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ที่โดนกบฏ M23 ร่วมกับกำลังทหารรวันดาบุกยึดแบบสายฟ้าแลบ ขณะที่ผู้ประท้วงบุกโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ เบลเยียม รวันดาในกรุงคินชาซา ส่วนสถานทูตฝรั่งเศสโดนบุกเผาถึงด้านใน
    .
    เอเอฟพีรายงานวันนี้ (27 ม.ค.) ว่า กลุ่มกบโ M23 ที่ย่อมาจากกลุ่ม “23 มีนาคม” ซึ่งมีรวันดาให้การสนับสนุนในวันจันทร์ (26) อ้างว่า สามารถยึดเมืองโกมา (Goma) ทางตะวันออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกสำเร็จ
    .
    โกมาของดีอาร์คองโกถือเป็นเมืองสำคัญที่อุดมด้วยแร่ธาตุไม่ต่างจากเกาะกรีนแลนด์ของเดนมาร์กที่ผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการอยากได้ เพราะโกมามีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ ทั้งแร่แทนทาลัมและโคลบอลต์ที่สำคัญสำหรับแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า และยังมีแร่โคลแทน (coltan) และทองคำ
    .
    โคลแทนซึ่งเป็นแร่ที่มีคุณสมบัติทนความร้อนและเป็นวัตถุดิบพื้นฐานในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ กล้อง รวมแบตเตอรี่รถไฟฟ้า
    .
    เอพีรายงานว่า ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากลุ่มกบฏ M23 สามารถยึดเมืองโกมาได้มากน้อยเพียงใด
    .
    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลดีอาร์คองโกยืนยันการปรากฏตัวของกลุ่มกบฏ M23 ในเมืองโกมาซึ่งห่างจากกรุงคินชาฮา (Kinshasa)ไปทางตะวันออกราว 1,500 กม.
    .
    โฆษกรัฐบาลดีอาร์คองโกออกแถลงการณ์ยืนยันทางแพลตฟอร์ม X จะไม่ยอมเสียพื้นไปแม้แต่ตารางเซนเดียว แต่ไม่ยอมกล่าวว่า กลุ่มกบฏกำลังเข้ายึดเมืองโกมา เอพีรายงาน
    .
    เอเอฟพีรายงานว่า กลุ่มกบฏ M23 ซึ่งมีทหารจากรวันดาเข้าช่วยเดินทางเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองโกมาในคืนวันอาทิตย์ (26) หลังใช้เวลาแค่สัปดาห์ในการรุกคืบอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค
    .
    ขณะเดียวกัน ที่กรุงคินชาซา กลุ่มผู้ประท้วงบุกโจมตีสถานทูตต่างชาติที่ตั้งอยู่ในกลางกรุงทั้งสถานทูตสหรัฐฯ สถานทูตเบลเยียม สถานทูตรวันดา รวมถึงสถานทูตฝรั่งเศส
    .
    เอเอฟพีรายงานว่า สถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกคำแนะนำให้พลเมืองสหรัฐฯ หลบอยู่ในที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการเดินทาง
    .
    ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง-โนเอล บาร์โรต์ (Jean-Noel Barrot) ออกมาประณามว่า เป็นการโจมตีอย่างรับไม่ได้ พร้อมเปิดเผยว่า ไฟที่ไหม้ในตึกที่ทำการสถานทูตในเวลานี้อยู่ในการควบคุมแล้ว
    .
    ล่าสุด กลุ่มกบฏ M23 และกองกำลังทหารรวันดาสามารถควบคุมสนามบินโกมาได้สำเร็จในวันอังคาร (28) แหล่งข่าวทางความมั่นคงให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
    .
    “พวกเขาเข้ายึดสนามบิน พวกนักรบกลุ่ม M23 อยู่ที่นั่น” แหล่งข่าวเปิดเผย พร้อมเสริมต่อว่า มีทหารดีอาร์คองโกไม่ต่ำกว่า 1,200 นายยอมจำนน และถูกควบคุมที่ฐานทัพของกองกำลังสหประชาชาติ MONUSC ที่สนามบิน
    .
    โดยในวันอังคาร (28) เสียงปืนต่อสู้ยังคงได้ยินถึงแม้ว่าความหนักหน่วงในการสู้รบจะน้อยลง
    .
    มีนักรบกลุ่ม M23 หลายสิบคนเดินมาร์ชผ่านถนนสายหลักในโกมา มีบางส่วนสวมเสื้อเกราะกันกระสุนและถืออาวุธของทหารดีอาร์คองโก
    .
    เอเอฟพีรายงานว่า ชาวโกมาไม่กี่คนออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาโดนปล้นสะดมจากทหารดีอาร์คองโกหรือจากกลุ่มกบฏ
    .
    ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าส่วนใดของโกมาที่โดนยึดโดยกบฏที่ออกมาอ้างว่ายึดได้ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ (26)
    .
    มีไม่ต่ำกว่า 17 คนเสียชีวิต และอีก 367 คนได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ 2 วันอ้างอิงจากโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่
    .
    องค์การกาชาดออกมาเตือนความเสี่ยงหากตัวอย่างเชื้อไวรัสอีโบลาที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตหลังเลือดไหลออกไม่หยุดจากทั้งปาก จมูก หู ตา ที่มีสาเหตุจากการกินค้างคาวหรือลิง ที่เกิดระบาดอย่างรุนแรงเมื่อปี 2014-2016 ในไลบีเรียจนเห็นคนตายกลาดเกลื่อนถนน และหมออเมริกัน 2 คนซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหมอมิชชันนารีต้องถูกหามส่งกลับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วนเพราะติดเชื้อนั้นอาจหลุดออกไปจากห้องแล็บได้เนื่องมาจากการสู้รบระหว่างกบฏ M23 และทหารรัฐบาลดีอาร์คองโก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009082
    ..............
    Sondhi X
    เสียงปืนต่อสู้ดังตลอดทั่วบางส่วนของพื้นที่เมืองโกมา (Goma) สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ที่โดนกบฏ M23 ร่วมกับกำลังทหารรวันดาบุกยึดแบบสายฟ้าแลบ ขณะที่ผู้ประท้วงบุกโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ เบลเยียม รวันดาในกรุงคินชาซา ส่วนสถานทูตฝรั่งเศสโดนบุกเผาถึงด้านใน . เอเอฟพีรายงานวันนี้ (27 ม.ค.) ว่า กลุ่มกบโ M23 ที่ย่อมาจากกลุ่ม “23 มีนาคม” ซึ่งมีรวันดาให้การสนับสนุนในวันจันทร์ (26) อ้างว่า สามารถยึดเมืองโกมา (Goma) ทางตะวันออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกสำเร็จ . โกมาของดีอาร์คองโกถือเป็นเมืองสำคัญที่อุดมด้วยแร่ธาตุไม่ต่างจากเกาะกรีนแลนด์ของเดนมาร์กที่ผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการอยากได้ เพราะโกมามีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ ทั้งแร่แทนทาลัมและโคลบอลต์ที่สำคัญสำหรับแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า และยังมีแร่โคลแทน (coltan) และทองคำ . โคลแทนซึ่งเป็นแร่ที่มีคุณสมบัติทนความร้อนและเป็นวัตถุดิบพื้นฐานในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ กล้อง รวมแบตเตอรี่รถไฟฟ้า . เอพีรายงานว่า ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากลุ่มกบฏ M23 สามารถยึดเมืองโกมาได้มากน้อยเพียงใด . อย่างไรก็ตาม รัฐบาลดีอาร์คองโกยืนยันการปรากฏตัวของกลุ่มกบฏ M23 ในเมืองโกมาซึ่งห่างจากกรุงคินชาฮา (Kinshasa)ไปทางตะวันออกราว 1,500 กม. . โฆษกรัฐบาลดีอาร์คองโกออกแถลงการณ์ยืนยันทางแพลตฟอร์ม X จะไม่ยอมเสียพื้นไปแม้แต่ตารางเซนเดียว แต่ไม่ยอมกล่าวว่า กลุ่มกบฏกำลังเข้ายึดเมืองโกมา เอพีรายงาน . เอเอฟพีรายงานว่า กลุ่มกบฏ M23 ซึ่งมีทหารจากรวันดาเข้าช่วยเดินทางเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองโกมาในคืนวันอาทิตย์ (26) หลังใช้เวลาแค่สัปดาห์ในการรุกคืบอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค . ขณะเดียวกัน ที่กรุงคินชาซา กลุ่มผู้ประท้วงบุกโจมตีสถานทูตต่างชาติที่ตั้งอยู่ในกลางกรุงทั้งสถานทูตสหรัฐฯ สถานทูตเบลเยียม สถานทูตรวันดา รวมถึงสถานทูตฝรั่งเศส . เอเอฟพีรายงานว่า สถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกคำแนะนำให้พลเมืองสหรัฐฯ หลบอยู่ในที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการเดินทาง . ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง-โนเอล บาร์โรต์ (Jean-Noel Barrot) ออกมาประณามว่า เป็นการโจมตีอย่างรับไม่ได้ พร้อมเปิดเผยว่า ไฟที่ไหม้ในตึกที่ทำการสถานทูตในเวลานี้อยู่ในการควบคุมแล้ว . ล่าสุด กลุ่มกบฏ M23 และกองกำลังทหารรวันดาสามารถควบคุมสนามบินโกมาได้สำเร็จในวันอังคาร (28) แหล่งข่าวทางความมั่นคงให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี . “พวกเขาเข้ายึดสนามบิน พวกนักรบกลุ่ม M23 อยู่ที่นั่น” แหล่งข่าวเปิดเผย พร้อมเสริมต่อว่า มีทหารดีอาร์คองโกไม่ต่ำกว่า 1,200 นายยอมจำนน และถูกควบคุมที่ฐานทัพของกองกำลังสหประชาชาติ MONUSC ที่สนามบิน . โดยในวันอังคาร (28) เสียงปืนต่อสู้ยังคงได้ยินถึงแม้ว่าความหนักหน่วงในการสู้รบจะน้อยลง . มีนักรบกลุ่ม M23 หลายสิบคนเดินมาร์ชผ่านถนนสายหลักในโกมา มีบางส่วนสวมเสื้อเกราะกันกระสุนและถืออาวุธของทหารดีอาร์คองโก . เอเอฟพีรายงานว่า ชาวโกมาไม่กี่คนออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาโดนปล้นสะดมจากทหารดีอาร์คองโกหรือจากกลุ่มกบฏ . ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าส่วนใดของโกมาที่โดนยึดโดยกบฏที่ออกมาอ้างว่ายึดได้ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ (26) . มีไม่ต่ำกว่า 17 คนเสียชีวิต และอีก 367 คนได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ 2 วันอ้างอิงจากโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ . องค์การกาชาดออกมาเตือนความเสี่ยงหากตัวอย่างเชื้อไวรัสอีโบลาที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตหลังเลือดไหลออกไม่หยุดจากทั้งปาก จมูก หู ตา ที่มีสาเหตุจากการกินค้างคาวหรือลิง ที่เกิดระบาดอย่างรุนแรงเมื่อปี 2014-2016 ในไลบีเรียจนเห็นคนตายกลาดเกลื่อนถนน และหมออเมริกัน 2 คนซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหมอมิชชันนารีต้องถูกหามส่งกลับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วนเพราะติดเชื้อนั้นอาจหลุดออกไปจากห้องแล็บได้เนื่องมาจากการสู้รบระหว่างกบฏ M23 และทหารรัฐบาลดีอาร์คองโก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009082 .............. Sondhi X
    Like
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2380 มุมมอง 0 รีวิว
  • 763 ปีพญามังรายสร้าง “เมืองเชียงราย” หลังเสด็จตามรอยเท้าช้าง สร้างเวียงรอบดอยจอมทอง

    "เชียงราย" เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 763 ปี โดยถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ตามบันทึกตำนานพื้นเมือง พญามังรายทรงเสด็จตามรอยเท้าช้าง มาทางทิศตะวันออก ก่อนจะเลือกชัยภูมิริมฝั่งแม่น้ำกก และดอยจอมทองในการก่อตั้งเมืองเชียงรายแห่งนี้ โดยสร้างเป็นเวียงล้อมรอบดอยจอมทองให้มีความมั่นคง และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ในยุคนั้น

    เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญา และความเฉลียวฉลาดของพญามังราย ในการเลือกพื้นที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมือง มาจนถึงปัจจุบัน 🌄

    พญามังราย ราชาผู้ก่อตั้งล้านนา
    "พญามังราย" หรือที่รู้จักกันในนาม "ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา" เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และขยายอาณาจักรล้านนา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 1802 เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 25 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว โดยตลอดรัชสมัย พระองค์ได้สร้างเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น

    - เมืองเชียงราย ศูนย์กลางการปกครองแห่งแรก ของพระองค์
    - เวียงกุมกาม เมืองต้นแบบก่อนการสร้างเชียงใหม่
    - เมืองเชียงใหม่ เมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา

    พระนามของพญามังราย ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสาร และหลักฐานประวัติศาสตร์มากมาย เช่น จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912) และมังรายศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญ และบทบาทของพระองค์ ในฐานะผู้วางรากฐานอาณาจักรล้านนา

    เหตุผลที่เลือกดอยจอมทอง เป็นที่ตั้งเมือง
    ชัยภูมิของดอยจอมทอง ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกก มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อการตั้งเมืองในยุคนั้น เนื่องจาก

    - ความปลอดภัย ดอยจอมทองเป็นที่สูง ช่วยให้การป้องกันเมืองจากศัตรูง่ายขึ้น
    - ทรัพยากรธรรมชาติ แม่น้ำกกที่ไหลผ่าน เป็นแหล่งน้ำสำคัญ สำหรับการดำรงชีวิตและการเกษตร 🌾
    - การคมนาคม แม่น้ำกกยังเป็นเส้นทางการค้า และการเดินทางระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ

    พญามังรายทรงมองเห็นถึง ความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ จึงได้วางรากฐานให้เชียงราย กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่นคง

    บทบาทของเชียงราย ในยุคอาณาจักรล้านนา
    หลังจากการสร้างเมืองเชียงราย พญามังรายได้ครองราชย์ และพัฒนาเมือง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง แห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 เมืองเชียงราย จึงกลายเป็นที่ตั้งของพระราชโอรส พญาไชยสงคราม ผู้สืบทอดราชสมบัติ ต่อจากพญามังราย

    ในยุคต่อมา เมื่ออาณาจักรล้านนา ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า ในปี พ.ศ. 2101 เมืองเชียงรายยังคงมีบทบาทสำคัญ ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ แต่ในช่วงสงคราม ระหว่างสยามและพม่า เมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน เนื่องจากประชาชน ต้องอพยพหนีภัยสงคราม

    ฟื้นฟูเมืองเชียงราย ในสมัยรัตนโกสินทร์
    ในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชานุญาต ให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ โดยเมืองเชียงราย กลับมาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ที่สำคัญอีกครั้ง และได้รับการยกฐานะ เป็นเมืองจัตวามณฑลพายัพ ในปี พ.ศ. 2453

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับพระนาม "พญามังราย"
    พระนาม "พญามังราย" ได้รับการบันทึกไว้ ในเอกสารประวัติศาสตร์ และหลักฐานต่าง ๆ แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเป็น "เม็งราย" ในพงศาวดารโยนก โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย และโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม

    วัฒนธรรมและมรดกทางประวัติศาสตร์ ของเชียงราย
    เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ศูนย์กลางทางการปกครองในอดีต แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวม มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น

    - วัดพระธาตุดอยจอมทอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งเมือง
    - พิพิธภัณฑ์อูบคำ รวบรวมศิลปวัตถุ ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีต

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. ทำไมพญามังราย ถึงเลือกเชียงรายเป็นที่ตั้งเมือง?
    พญามังรายทรงเลือกพื้นที่ ดอยจอมทองและแม่น้ำกก เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ต่อการตั้งเมือง มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถป้องกันศัตรูได้ง่าย

    2. เมืองเชียงรายมีความสำคัญอย่างไร ในยุคล้านนา?
    เมืองเชียงรายเป็นเมืองแรก ที่พญามังรายสร้างขึ้น และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปยังเชียงใหม่

    3. ชื่อนาม "พญามังราย" มีที่มาอย่างไร?
    ชื่อนี้มีที่มาจาก การผสมชื่อของพระบิดา พระมารดา และฤๅษีปัทมังกร ผู้ตั้งถวาย

    เมืองเชียงราย ที่ก่อตั้งโดยพญามังราย เมื่อ 763 ปี ที่ผ่านมา เป็นมรดกสำคัญ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าเมืองนี้ จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ความงดงาม และคุณค่าทางวัฒนธรรมของเชียงราย ยังคงสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261148 ม.ค. 2568

    #เมืองเชียงราย #พญามังราย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัฒนธรรมเชียงราย #763ปีเชียงราย #เชียงราย
    763 ปีพญามังรายสร้าง “เมืองเชียงราย” หลังเสด็จตามรอยเท้าช้าง สร้างเวียงรอบดอยจอมทอง "เชียงราย" เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 763 ปี โดยถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ตามบันทึกตำนานพื้นเมือง พญามังรายทรงเสด็จตามรอยเท้าช้าง มาทางทิศตะวันออก ก่อนจะเลือกชัยภูมิริมฝั่งแม่น้ำกก และดอยจอมทองในการก่อตั้งเมืองเชียงรายแห่งนี้ โดยสร้างเป็นเวียงล้อมรอบดอยจอมทองให้มีความมั่นคง และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ในยุคนั้น เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญา และความเฉลียวฉลาดของพญามังราย ในการเลือกพื้นที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมือง มาจนถึงปัจจุบัน 🌄 พญามังราย ราชาผู้ก่อตั้งล้านนา "พญามังราย" หรือที่รู้จักกันในนาม "ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา" เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และขยายอาณาจักรล้านนา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 1802 เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 25 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว โดยตลอดรัชสมัย พระองค์ได้สร้างเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น - เมืองเชียงราย ศูนย์กลางการปกครองแห่งแรก ของพระองค์ - เวียงกุมกาม เมืองต้นแบบก่อนการสร้างเชียงใหม่ - เมืองเชียงใหม่ เมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา พระนามของพญามังราย ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสาร และหลักฐานประวัติศาสตร์มากมาย เช่น จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912) และมังรายศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญ และบทบาทของพระองค์ ในฐานะผู้วางรากฐานอาณาจักรล้านนา เหตุผลที่เลือกดอยจอมทอง เป็นที่ตั้งเมือง ชัยภูมิของดอยจอมทอง ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกก มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อการตั้งเมืองในยุคนั้น เนื่องจาก - ความปลอดภัย ดอยจอมทองเป็นที่สูง ช่วยให้การป้องกันเมืองจากศัตรูง่ายขึ้น - ทรัพยากรธรรมชาติ แม่น้ำกกที่ไหลผ่าน เป็นแหล่งน้ำสำคัญ สำหรับการดำรงชีวิตและการเกษตร 🌾 - การคมนาคม แม่น้ำกกยังเป็นเส้นทางการค้า และการเดินทางระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ พญามังรายทรงมองเห็นถึง ความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ จึงได้วางรากฐานให้เชียงราย กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่นคง บทบาทของเชียงราย ในยุคอาณาจักรล้านนา หลังจากการสร้างเมืองเชียงราย พญามังรายได้ครองราชย์ และพัฒนาเมือง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง แห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 เมืองเชียงราย จึงกลายเป็นที่ตั้งของพระราชโอรส พญาไชยสงคราม ผู้สืบทอดราชสมบัติ ต่อจากพญามังราย ในยุคต่อมา เมื่ออาณาจักรล้านนา ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า ในปี พ.ศ. 2101 เมืองเชียงรายยังคงมีบทบาทสำคัญ ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ แต่ในช่วงสงคราม ระหว่างสยามและพม่า เมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน เนื่องจากประชาชน ต้องอพยพหนีภัยสงคราม ฟื้นฟูเมืองเชียงราย ในสมัยรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชานุญาต ให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ โดยเมืองเชียงราย กลับมาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ที่สำคัญอีกครั้ง และได้รับการยกฐานะ เป็นเมืองจัตวามณฑลพายัพ ในปี พ.ศ. 2453 ข้อถกเถียงเกี่ยวกับพระนาม "พญามังราย" พระนาม "พญามังราย" ได้รับการบันทึกไว้ ในเอกสารประวัติศาสตร์ และหลักฐานต่าง ๆ แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเป็น "เม็งราย" ในพงศาวดารโยนก โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย และโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม วัฒนธรรมและมรดกทางประวัติศาสตร์ ของเชียงราย เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ศูนย์กลางทางการปกครองในอดีต แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวม มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น - วัดพระธาตุดอยจอมทอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งเมือง - พิพิธภัณฑ์อูบคำ รวบรวมศิลปวัตถุ ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีต คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. ทำไมพญามังราย ถึงเลือกเชียงรายเป็นที่ตั้งเมือง? พญามังรายทรงเลือกพื้นที่ ดอยจอมทองและแม่น้ำกก เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ต่อการตั้งเมือง มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถป้องกันศัตรูได้ง่าย 2. เมืองเชียงรายมีความสำคัญอย่างไร ในยุคล้านนา? เมืองเชียงรายเป็นเมืองแรก ที่พญามังรายสร้างขึ้น และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปยังเชียงใหม่ 3. ชื่อนาม "พญามังราย" มีที่มาอย่างไร? ชื่อนี้มีที่มาจาก การผสมชื่อของพระบิดา พระมารดา และฤๅษีปัทมังกร ผู้ตั้งถวาย เมืองเชียงราย ที่ก่อตั้งโดยพญามังราย เมื่อ 763 ปี ที่ผ่านมา เป็นมรดกสำคัญ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าเมืองนี้ จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ความงดงาม และคุณค่าทางวัฒนธรรมของเชียงราย ยังคงสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261148 ม.ค. 2568 #เมืองเชียงราย #พญามังราย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัฒนธรรมเชียงราย #763ปีเชียงราย #เชียงราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 805 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการค้นพบแหล่งแร่หายากขนาดใหญ่ในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน! การค้นพบนี้ถูกประกาศโดย China Geological Survey (CGS) ซึ่งเป็นสถาบันภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีน เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา

    แหล่งแร่หายากนี้มีทรัพยากรที่มีศักยภาพถึง 1.15 ล้านตัน โดยมีธาตุหายากที่สำคัญ เช่น โพรซีโอดิเมียม นีโอดิเมียม ดิสโพรเซียม และเทอร์เบียม รวมกันมากกว่า 470,000 ตัน ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง เช่น การผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

    การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีน เนื่องจากธาตุหายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ นอกจากนี้ การค้นพบแหล่งแร่หายากในประเทศยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจีน

    https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2025/01/19/large-rare-earth-deposit-discovered-in-sw-china
    มีการค้นพบแหล่งแร่หายากขนาดใหญ่ในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน! การค้นพบนี้ถูกประกาศโดย China Geological Survey (CGS) ซึ่งเป็นสถาบันภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีน เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา แหล่งแร่หายากนี้มีทรัพยากรที่มีศักยภาพถึง 1.15 ล้านตัน โดยมีธาตุหายากที่สำคัญ เช่น โพรซีโอดิเมียม นีโอดิเมียม ดิสโพรเซียม และเทอร์เบียม รวมกันมากกว่า 470,000 ตัน ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง เช่น การผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีน เนื่องจากธาตุหายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ นอกจากนี้ การค้นพบแหล่งแร่หายากในประเทศยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจีน https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2025/01/19/large-rare-earth-deposit-discovered-in-sw-china
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Large rare earth deposit discovered in SW China
    KUNMING: The China Geological Survey (CGS) announced on Frida (Jan 17) that it has discovered a large rare earth deposit in southwest China's Yunnan Province, with potential resources of 1.15 million tonnes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts