• อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าที่ตั้งอาศัยเกิดแห่งตัณหาเรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ
    สัทธรรมลำดับที่ : 280
    ชื่อบทธรรม :- ฐานที่เกิดแห่งตัณหา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=280
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ฐานที่เกิดแห่งตัณหา
    --ภิกษุ ท. ! ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ?
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?
    --ภิกษุ ท. ! สิ่งใด มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ?
    --ภิกษุ ท. !
    ตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    หู มีภาวะเป็นที่รัก ที่ยินดีในโลก,
    จมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    กาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    ใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้นๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    รูป ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    เสียง ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    กลิ่น ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    รส ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    โผฏฐัพพะ ทั้งหลายมีภาวะเป็นที่รัก ที่ยินดีในโลก, และ
    ธรรมารมณ์ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    วิญญาณ ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    วิญญาณ ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    วิญญาณ ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    วิญญาณ ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    วิญญาณ ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    วิญญาณ ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    สัมผัส ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    สัมผัส ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    สัมผัส ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    สัมผัส ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    สัมผัส ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    สัมผัส ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้นๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    ความหมายรู้ ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความหมายรู้ ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความหมายรู้ ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความหมายรู้ ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความหมายรู้ใน โผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    ความหมายรู้ ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ
    --ภิกษุ ท. !
    ความคิดนึก ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความคิดนึก ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความคิดนึก ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความคิดนึก ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความคิดนึก ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    ความคิดนึก ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    ตัณหา ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ตัณหา ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ตัณหา ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ตัณหา ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ตัณหา ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    ตัณหา ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็น​ ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    ความตริตรึก ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรึก ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรึก ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรึก ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรึก ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ
    ความตริตรึก ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. !
    ความตริตรอง ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรอง ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรอง ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรอง ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรอง ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก,
    ความตริตรองในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ;
    ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ,
    เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ.

    --ภิกษุ ท. !
    เมื่อตัณหาจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ
    นั้นละ #ความจริงอันประเสริฐคือเหตุที่เกิดทุกข์(ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ)​http://etipitaka.com/read/pali/10/345/?keywords=ทุกฺขสมุทโย+อริยสจฺจํ
    ดังนี้แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหา. ที. 10/229/297.
    http://etipitaka.com/read/thai/10/229/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%99%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหา. ที. ๑๐/๓๔๓/๒๙๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/10/343/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%99%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม....
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=280
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=280
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าที่ตั้งอาศัยเกิดแห่งตัณหาเรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ สัทธรรมลำดับที่ : 280 ชื่อบทธรรม :- ฐานที่เกิดแห่งตัณหา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=280 เนื้อความทั้งหมด :- --ฐานที่เกิดแห่งตัณหา --ภิกษุ ท. ! ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ? เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ? --ภิกษุ ท. ! สิ่งใด มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น. --ภิกษุ ท. ! ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ? --ภิกษุ ท. ! ตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, หู มีภาวะเป็นที่รัก ที่ยินดีในโลก, จมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, กาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ ใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้นๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! รูป ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เสียง ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, กลิ่น ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, รส ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, โผฏฐัพพะ ทั้งหลายมีภาวะเป็นที่รัก ที่ยินดีในโลก, และ ธรรมารมณ์ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ วิญญาณ ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! สัมผัส ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ สัมผัส ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้นๆ. --ภิกษุ ท. ! ความหมายรู้ ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ใน โผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ ความหมายรู้ ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ --ภิกษุ ท. ! ความคิดนึก ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ ความคิดนึก ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! ตัณหา ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ ตัณหา ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็น​ ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! ความตริตรึก ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ ความตริตรึก ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! ความตริตรอง ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรองในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! เมื่อตัณหาจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ นั้นละ #ความจริงอันประเสริฐคือเหตุที่เกิดทุกข์(ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ)​http://etipitaka.com/read/pali/10/345/?keywords=ทุกฺขสมุทโย+อริยสจฺจํ ดังนี้แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหา. ที. 10/229/297. http://etipitaka.com/read/thai/10/229/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%99%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหา. ที. ๑๐/๓๔๓/๒๙๗. http://etipitaka.com/read/pali/10/343/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%99%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม.... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=280 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=280 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ฐานที่เกิดแห่งตัณหา
    -ฐานที่เกิดแห่งตัณหา (สี่อย่าง) ภิกษุ ท. ! การเกิดขึ้นแห่งตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น แก่ภิกษุใน อารมณ์ใด ๆ ก็ตาม มีสี่อย่างเหล่านี้. สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ : ภิกษุ ท. ! ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น แก่ภิกษุ เพราะจีวรเป็น เหตุ บ้าง ; ภิกษุ ท. ! ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น แก่ภิกษุ เพราะอาหารบิณฑบาตเป็นเหตุ บ้าง ; ภิกษุ ท. ! ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น แก่ภิกษุ เพราะเสนาสนะเป็นเหตุ บ้าง ; ภิกษุ ท. ! ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น แก่ภิกษุ เพราะความได้เป็นหรือไม่ได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นเหตุ บ้าง. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล คือ การเกิดขึ้นแห่งตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ในอารมณ์ใด ๆ ก็ตาม มีสี่อย่าง แล. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๒/๙; จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๕/๒๕๗. ที่ตั้งอาศัยเกิดแห่งตัณหา ภิกษุ ท. ! ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ? เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ? ภิกษุ ท. ! สิ่งใด มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น. ภิกษุ ท. ! ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ? ภิกษุ ท. ! ตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, หู มีภาวะเป็นที่รัก ที่ยินดีในโลก, จมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดี ในโลก, กาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และ ใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้นๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! รูป ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เสียง ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, กลิ่น ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, รส ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, โผฏฐัพพะ ทั้งหลายมีภาวะเป็นที่รัก ที่ยินดีในโลก, และธรรมารมณ์ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, วิญญาณ ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และวิญญาณ ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! สัมผัส ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, สัมผัส ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และสัมผัส ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางตา มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางหู มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางจมูก มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางลิ้น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, เวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางกาย มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และเวทนาเกิดแต่สัมผัส ทางใจ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้นๆ. ภิกษุ ท. ! ความหมายรู้ ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความหมายรู้ใน โผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และความหมายรู้ ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ ภิกษุ ท. ! ความคิดนึก ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความคิดนึก ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และความคิดนึก ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! ตัณหา ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ตัณหา ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และตัณหา ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! ความตริตรึก ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรึก ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, และความตริตรึก ในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! ความตริตรอง ในรูป มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในเสียง มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในกลิ่น มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในรส มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรอง ในโผฏฐัพพะ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก, ความตริตรองในธรรมารมณ์ มีภาวะเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ; ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น ๆ, เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในสิ่งนั้น ๆ. ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีแห่งจิตหยั่งลงสู่อมตะเมื่อประกอบด้วยสัญญาอันเหมาะสม
    สัทธรรมลำดับที่ : 646
    ชื่อบทธรรม :- จิตหยั่งลงสู่อมตะเมื่อประกอบด้วยสัญญาอันเหมาะสม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=646
    เนื้อรวามทั้งหมด :-
    --จิตหยั่งลงสู่อมตะเมื่อประกอบด้วยสัญญาอันเหมาะสม
    --ภิกษุ ท. ! สัญญาเจ็ดประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว
    ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ $มีอมตะเป็นปริโยสาน.
    +--เจ็ดประการ อย่างไรเล่า ? คือ
    ๑. อสุภสัญญา
    ๒. มรณสัญญา
    ๓. อาหาเรปฏิกูลสัญญา
    ๔. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
    ๕. อนิจจสัญญา
    ๖. อนิจเจทุกขสัญญา
    ๗. ทุกเขอนัตตสัญญา.

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุ
    ๑. มีจิตอบรมด้วย #อสุภสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก
    จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับ
    ไม่ยื่นเข้าไปในการดื่มด่ำ อยู่ในเมถุนธรรม
    แต่ความวางเฉยหรือว่าความรู้สึกว่าปฏิกูล ดำรงอยู่ในจิต ;
    http://etipitaka.com/read/pali/23/48/?keywords=เมถุน+ปฏิกุ
    เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ
    ย่อมหด ย่อมงอ ไม่เหยียดออก ฉันใดก็ฉันนั้น.
    +--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอสุภสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก
    แต่จิตยังไหลเข้าไปในความดื่มด่ำอยู่ในเมถุนธรรม
    หรือความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลยังดำรง อยู่ในจิตแล้วไซร้ ;
    +--ภิกษุนั้นพึงทราบเถิดว่า
    “อสุภสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้ว
    คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี
    เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา”
    ดังนี้.
    เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่ดังนี้.
    +--ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า
    “อสุภสัญญาอันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว
    ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
    หยั่งลงสู่อมตะ #มีอมตะเป็นปริโยสาน”
    ดังนี้.

    [ หมายเหตุ
    ๒. ในกรณีแห่ง #มรณสัญญา
    อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากความยินดีในชีวิต (ชีวิตนิกนฺติ) ก็ดี ;
    http://etipitaka.com/read/pali/23/49/?keywords=ชีวิตนิกนฺติ

    ๓. ในกรณีแห่ง #อาหาเรปฏิกูลสัญญา
    อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากตัณหาในรส(รสตณฺหา) ก็ดี ;
    http://etipitaka.com/read/pali/23/50/?keywords=รสตณฺหา

    ๔. ในกรณีแห่ง #สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
    อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากความเป็นจิตติดอยู่ในโลก (โลกจิตฺเต) ก็ดี ;
    http://etipitaka.com/read/pali/23/51/?keywords=โลกจิตฺเต

    ๕. ในกรณีแห่ง #อนิจจสัญญา
    อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ (ลาภสกฺการสิโลก) ก็ดี ;
    http://etipitaka.com/read/pali/23/52/?keywords=ลาภสกฺก
    ทั้งสี่สัญญานี้
    ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับ &อสุภสัญญา
    ซึ่งผู้ศึกษาสามารถทำการเปรียบเทียบดูเองได้

    ต่อไปนี้ได้ตรัสถึง &อนิจเจทุกขสัญญา
    อันมีระเบียบแห่งถ้อยคำแปลกออกไปดังต่อไปนี้ :- ]

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย
    ๖. #อนิจเจทุกขสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก
    สัญญาว่าความน่ากลัวอันแรงกล้า (ติพฺพา ภยสญฺญา)
    http://etipitaka.com/read/pali/23/54/?keywords=ติพฺพา+ภยสญฺญา
    ย่อมปรากฏขึ้นในความไม่ขยัน ในความเกียจคร้าน
    ในความทอดทิ้งการงาน ความประมาท ความไม่ประกอบความเพียร และ
    ในความสะเพร่า อย่างน่ากลัวเปรียบเสมือนมีเพชฌฆาตเงื้อดาบอยู่ตรงหน้า ฉะนั้น.
    +--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอนิจเจทุกขสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก
    แต่สัญญาว่าความน่ากลัวอันแรงกล้า
    ในความไม่ขยัน ในความเกียจคร้าน ในความทอดทิ้งการงาน
    ความประมาท ความไม่ประกอบ ความเพียร และในความสะเพร่า
    ก็ไม่ปรากฏขึ้นอย่างน่ากลัวเสมือนหนึ่งมี เพชฌฆาตเงื้อดาบอยู่ตรงหน้า แล้วไซร ้;
    +--ภิกษุนั้นพึงทราบเถิดว่า
    “อนิจเจทุกขสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้ว
    คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี
    เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา”
    ดังนี้.
    เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่
    ดังนี้.
    +--ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า
    “อนิจเจทุกขสัญญา อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว
    ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย

    ๗. #ทุกเขอนัตตสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก
    ใจย่อมปราศจากมานะว่าเราว่าของเรา (อหํการมมํการมาน) ทั้งในกาย
    http://etipitaka.com/read/pali/23/55/?keywords=อหํการมมํการมาน
    อันประกอบด้วยวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหลายในภายนอกด้วย
    เป็นใจที่ก้าวล่วงเสียได้ซึ่งวิธา (มานะ ๓ ชั้น) เป็นใจสงบระงับ พ้นพิเศษแล้วด้วยดี.
    +--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย ทุกเขอนัตตสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก
    แต่ใจยังไม่ปราศจากมานะว่าเราว่าของเรา
    ทั้งในกายอันประกอบด้วยวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหลายในภายนอก
    ไม่เป็นใจก้าวล่วงเสียได้ซึ่งวิธา ไม่สงบระงับพ้นพิเศษแล้วด้วยดีแล้วไซร้ ;
    ภิกษุนั้น พึงทราบเถิดว่า
    “ทุกเขอนัตตสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้ว
    คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี
    เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา” ดังนี้.
    เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่ดังนี้.
    +--ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้ อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า
    “ทุกเขอนัตตสัญญาอันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว
    ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! สัญญาเจ็ดประการเหล่านี้แล อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว
    ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน, แล.-
    http://etipitaka.com/read/pali/23/55/?keywords=อมตปริโยสาน

    (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า สัญญา เหล่านี้
    แม้จะนำไปสู่อมตะด้วยกันทั้งนั้นแต่ก็มีลักษณะต่างๆ กัน
    พึงเลือกเฟ้นเจริญให้ถูกต้องเหมาะสมแก่กรณีของตนๆ เถิด).

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/45/46.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/45/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๔๘/๔๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/48/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=646
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=646
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44
    ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีแห่งจิตหยั่งลงสู่อมตะเมื่อประกอบด้วยสัญญาอันเหมาะสม สัทธรรมลำดับที่ : 646 ชื่อบทธรรม :- จิตหยั่งลงสู่อมตะเมื่อประกอบด้วยสัญญาอันเหมาะสม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=646 เนื้อรวามทั้งหมด :- --จิตหยั่งลงสู่อมตะเมื่อประกอบด้วยสัญญาอันเหมาะสม --ภิกษุ ท. ! สัญญาเจ็ดประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ $มีอมตะเป็นปริโยสาน. +--เจ็ดประการ อย่างไรเล่า ? คือ ๑. อสุภสัญญา ๒. มรณสัญญา ๓. อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๔. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๕. อนิจจสัญญา ๖. อนิจเจทุกขสัญญา ๗. ทุกเขอนัตตสัญญา. --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุ ๑. มีจิตอบรมด้วย #อสุภสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับ ไม่ยื่นเข้าไปในการดื่มด่ำ อยู่ในเมถุนธรรม แต่ความวางเฉยหรือว่าความรู้สึกว่าปฏิกูล ดำรงอยู่ในจิต ; http://etipitaka.com/read/pali/23/48/?keywords=เมถุน+ปฏิกุ เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหด ย่อมงอ ไม่เหยียดออก ฉันใดก็ฉันนั้น. +--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอสุภสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก แต่จิตยังไหลเข้าไปในความดื่มด่ำอยู่ในเมถุนธรรม หรือความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลยังดำรง อยู่ในจิตแล้วไซร้ ; +--ภิกษุนั้นพึงทราบเถิดว่า “อสุภสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้ว คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา” ดังนี้. เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่ดังนี้. +--ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า “อสุภสัญญาอันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ #มีอมตะเป็นปริโยสาน” ดังนี้. [ หมายเหตุ ๒. ในกรณีแห่ง #มรณสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากความยินดีในชีวิต (ชีวิตนิกนฺติ) ก็ดี ; http://etipitaka.com/read/pali/23/49/?keywords=ชีวิตนิกนฺติ ๓. ในกรณีแห่ง #อาหาเรปฏิกูลสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากตัณหาในรส(รสตณฺหา) ก็ดี ; http://etipitaka.com/read/pali/23/50/?keywords=รสตณฺหา ๔. ในกรณีแห่ง #สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากความเป็นจิตติดอยู่ในโลก (โลกจิตฺเต) ก็ดี ; http://etipitaka.com/read/pali/23/51/?keywords=โลกจิตฺเต ๕. ในกรณีแห่ง #อนิจจสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับ จากลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ (ลาภสกฺการสิโลก) ก็ดี ; http://etipitaka.com/read/pali/23/52/?keywords=ลาภสกฺก ทั้งสี่สัญญานี้ ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับ &อสุภสัญญา ซึ่งผู้ศึกษาสามารถทำการเปรียบเทียบดูเองได้ ต่อไปนี้ได้ตรัสถึง &อนิจเจทุกขสัญญา อันมีระเบียบแห่งถ้อยคำแปลกออกไปดังต่อไปนี้ :- ] --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย ๖. #อนิจเจทุกขสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก สัญญาว่าความน่ากลัวอันแรงกล้า (ติพฺพา ภยสญฺญา) http://etipitaka.com/read/pali/23/54/?keywords=ติพฺพา+ภยสญฺญา ย่อมปรากฏขึ้นในความไม่ขยัน ในความเกียจคร้าน ในความทอดทิ้งการงาน ความประมาท ความไม่ประกอบความเพียร และ ในความสะเพร่า อย่างน่ากลัวเปรียบเสมือนมีเพชฌฆาตเงื้อดาบอยู่ตรงหน้า ฉะนั้น. +--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอนิจเจทุกขสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก แต่สัญญาว่าความน่ากลัวอันแรงกล้า ในความไม่ขยัน ในความเกียจคร้าน ในความทอดทิ้งการงาน ความประมาท ความไม่ประกอบ ความเพียร และในความสะเพร่า ก็ไม่ปรากฏขึ้นอย่างน่ากลัวเสมือนหนึ่งมี เพชฌฆาตเงื้อดาบอยู่ตรงหน้า แล้วไซร ้; +--ภิกษุนั้นพึงทราบเถิดว่า “อนิจเจทุกขสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้ว คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา” ดังนี้. เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่ ดังนี้. +--ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า “อนิจเจทุกขสัญญา อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย ๗. #ทุกเขอนัตตสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก ใจย่อมปราศจากมานะว่าเราว่าของเรา (อหํการมมํการมาน) ทั้งในกาย http://etipitaka.com/read/pali/23/55/?keywords=อหํการมมํการมาน อันประกอบด้วยวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหลายในภายนอกด้วย เป็นใจที่ก้าวล่วงเสียได้ซึ่งวิธา (มานะ ๓ ชั้น) เป็นใจสงบระงับ พ้นพิเศษแล้วด้วยดี. +--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย ทุกเขอนัตตสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก แต่ใจยังไม่ปราศจากมานะว่าเราว่าของเรา ทั้งในกายอันประกอบด้วยวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหลายในภายนอก ไม่เป็นใจก้าวล่วงเสียได้ซึ่งวิธา ไม่สงบระงับพ้นพิเศษแล้วด้วยดีแล้วไซร้ ; ภิกษุนั้น พึงทราบเถิดว่า “ทุกเขอนัตตสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้ว คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา” ดังนี้. เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่ดังนี้. +--ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้ อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า “ทุกเขอนัตตสัญญาอันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! สัญญาเจ็ดประการเหล่านี้แล อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน, แล.- http://etipitaka.com/read/pali/23/55/?keywords=อมตปริโยสาน (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า สัญญา เหล่านี้ แม้จะนำไปสู่อมตะด้วยกันทั้งนั้นแต่ก็มีลักษณะต่างๆ กัน พึงเลือกเฟ้นเจริญให้ถูกต้องเหมาะสมแก่กรณีของตนๆ เถิด). #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/45/46. http://etipitaka.com/read/thai/23/45/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๔๘/๔๖. http://etipitaka.com/read/pali/23/48/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=646 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=646 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44 ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - [ข้อความในสูตรอื่น (๑๘/๒๗๒-๒๗๓/๔๐๑-๔๐๒.) แทนที่จะทรงเรียกอาการเช่นนี้แห่ง สังขารว่า “ความดับ” (นิโรโธ) แต่ไปทรงเรียกเสียว่า “ความเข้าไปสงบ” (วูปสโม) ก็มีและทรงเรียกว่า “ความสงบรำงับเฉพาะ” (ปฏิปฺปสฺสทฺธิ) ก็มี].
    -[ข้อความในสูตรอื่น (๑๘/๒๗๒-๒๗๓/๔๐๑-๔๐๒.) แทนที่จะทรงเรียกอาการเช่นนี้แห่ง สังขารว่า “ความดับ” (นิโรโธ) แต่ไปทรงเรียกเสียว่า “ความเข้าไปสงบ” (วูปสโม) ก็มีและทรงเรียกว่า “ความสงบรำงับเฉพาะ” (ปฏิปฺปสฺสทฺธิ) ก็มี]. จิตหยั่งลงสู่อมตะเมื่อประกอบด้วยสัญญาอันเหมาะสม ภิกษุ ท. ! สัญญาเจ็ดประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน. เจ็ดประการ อย่างไรเล่า ? คือ อสุภสัญญา มรณสัญญา อาหาเรปฏิกูลสัญญา สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อนิจจสัญญา อนิจเจทุกขสัญญา ทุกเขอนัตตสัญญา. ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย อสุภสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับ ไม่ยื่นเข้าไปในการดื่มด่ำ อยู่ในเมถุนธรรม แต่ความวางเฉยหรือว่าความรู้สึกว่าปฏิกูล ดำรงอยู่ในจิต ; เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหด ย่อมงอ ไม่เหยียดออก ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอสุภสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก แต่จิตยังไหลเข้าไปในความดื่มด่ำอยู่ในเมถุนธรรม หรือความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลยังดำรง อยู่ในจิตแล้วไซร้ ; ภิกษุนั้นพึงทราบเถิดว่า “อสุภสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้วคุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา” ดังนี้. เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่ดังนี้. .... ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า “อสุภสัญญาอันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน” ดังนี้. [ในกรณีแห่ง มรณสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับจากความยินดีในชีวิต (ชีวิตนิกนฺติ) ก็ดี ; ในกรณีแห่ง อาหาเรปฏิกูลสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับจากตัณหาในรส(รสตณฺหา) ก็ดี ; ในกรณีแห่ง สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับจากความเป็นจิตติดอยู่ในโลก (โลกจิตฺต) ก็ดี ; ในกรณีแห่ง อนิจจสัญญา อันเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับจากลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ (ลาภสกฺการสิโลก) ก็ดี ; ทั้งสี่สัญญานี้ ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับ อสุภสัญญา ซึ่งผู้ศึกษาสามารถทำการเปรียบเทียบดูเองได้ ต่อไปนี้ได้ตรัสถึง อนิจเจทุกขสัญญา อันมีระเบียบแห่งถ้อยคำแปลกออกไปดังต่อไปนี้ :-] ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย อนิจเจทุกขสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก สัญญาว่าความน่ากลัวอันแรงกล้า (ติพฺพาภยสญฺญา) ย่อมปรากฏขึ้นในความไม่ขยัน ในความเกียจคร้าน ในความทอดทิ้งการงาน ความประมาท ความไม่ประกอบความเพียร และในความสะเพร่า อย่างน่ากลัวเปรียบเสมือนมีเพชฌฆาตเงื้อดาบอยู่ตรงหน้า ฉะนั้น. ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอนิจเจทุกขสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก แต่สัญญาว่าความน่ากลัวอันแรงกล้า ในความไม่ขยัน ในความเกียจคร้าน ในความทอดทิ้งการงาน ความประมาท ความไม่ประกอบ ความเพียร และในความสะเพร่า ก็ไม่ปรากฏขึ้นอย่างน่ากลัวเสมือนหนึ่งมีเพชฌฆาตเงื้อดาบอยู่ตรงหน้า แล้วไซร ้; ภิกษุนั้นพึงทราบเถิดว่า “อนิจเจทุกขสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรมเสียแล้ว คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา” ดังนี้. เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้ อยู่ดังนี้. ....ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า “อนิจเจทุกขสัญญา อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วย ทุกเขอนัตตสัญญา อยู่เป็นอย่างมาก ใจย่อมปราศจากมานะว่าเราว่าของเรา (อหงฺการมมงฺการมาน) ทั้งในกาย อันประกอบด้วยวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหลายในภายนอกด้วย เป็นใจที่ก้าวล่วงเสียได้ซึ่งวิธา (มานะ ๓ ชั้น) เป็นใจสงบระงับ พ้นพิเศษแล้วด้วยดี. ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยทุกเขอนัตตสัญญาอยู่เป็นอย่างมาก แต่ใจยังไม่ปราศจากมานะว่าเราว่าของเรา ทั้งในกายอันประกอบด้วยวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหลายในภายนอก ไม่เป็นใจก้าวล่วงเสียได้ซึ่งวิธา ไม่สงบระงับพ้นพิเศษแล้วด้วยดีแล้วไซร้ ; ภิกษุนั้นพึงทราบเถิดว่า “ทุกเขอนัตตสัญญาเป็นอันเรามิได้อบรม เสียแล้ว คุณวิเศษที่ยิ่งกว่าแต่ก่อนของเราไม่มี เรายังมิได้บรรลุผลแห่งภาวนา” ดังนี้. เธอเป็นผู้มีสัมปชัญญะในเรื่องนี้อยู่ดังนี้. .... ภิกษุ ท. ! เรามีเหตุผลในข้อนี้ อยู่ดังนี้ จึงกล่าวว่า “ทุกเขอนัตตสัญญาอันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! สัญญาเจ็ดประการเหล่านี้แล อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน, แล.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าเหตุการเกิดขึ้นแห่งตัณหา
    สัทธรรมลำดับที่ 279
    ชื่ิอบทธรรม :- การเกิดขึ้นแห่งตัณหา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=279
    เนื่ิอความทั้งหมด :-
    --การเกิดขึ้นแห่งตัณหา

    --ภิกษุ ท. ! การก่อขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ตา ด้วย รูปด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณขึ้น,
    การประจวบพร้อม (แห่งตา+รูป+จักขุวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ,
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา,
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์

    --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย หู ด้วย เสียงด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณขึ้น.
    การประจวบพร้อม (แห่งหู+เสียง+โสตวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ,
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา,
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/106/?keywords=ตณฺหา+ทุกฺขสฺส+สมุทโย

    --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย จมูก ด้วย กลิ่นด้วย จึงเกิดฆานวิญญาณขึ้น,
    การประจวบพร้อม (แห่งจมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ,
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา,
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์

    --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ลิ้น ด้วย รสด้วย จึงเกิดชิวหาวิญญาณขึ้น,
    การประจวบพร้อม (แห่งลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ,
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา,
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมี ตัณหา ;
    นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์.

    --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย กาย ด้วย โผฏฐัพพะด้วย จึงเกิดกายวิญญาณขึ้น,
    การประจวบพร้อม (แห่งกาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ,
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา,
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์.

    --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ใจ ด้วย ธรรมารมณ์ด้วย จึงเกิดมโนวิญญาณขึ้น,
    การประจวบพร้อม (แห่งใจ+ธรรมารมณ์+มโนวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ,
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา,
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    นี้ คือ การขึ้นแห่งทุกข์.

    --ภิกษุ ท. ! นี้แล คือ #การก่อขึ้นแห่งทุกข์.-
    http://etipitaka.com/read/pali/18/107/?keywords=ตณฺหา+ทุกฺขสฺส+สมุทโย

    #ทักขสมุทัย #อริสสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/89/154.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/89/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๐๖/๑๕๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/106/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=279
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=279
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าเหตุการเกิดขึ้นแห่งตัณหา สัทธรรมลำดับที่ 279 ชื่ิอบทธรรม :- การเกิดขึ้นแห่งตัณหา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=279 เนื่ิอความทั้งหมด :- --การเกิดขึ้นแห่งตัณหา --ภิกษุ ท. ! การก่อขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ตา ด้วย รูปด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งตา+รูป+จักขุวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์ --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย หู ด้วย เสียงด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณขึ้น. การประจวบพร้อม (แห่งหู+เสียง+โสตวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์. http://etipitaka.com/read/pali/18/106/?keywords=ตณฺหา+ทุกฺขสฺส+สมุทโย --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย จมูก ด้วย กลิ่นด้วย จึงเกิดฆานวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งจมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์ --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ลิ้น ด้วย รสด้วย จึงเกิดชิวหาวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมี ตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์. --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย กาย ด้วย โผฏฐัพพะด้วย จึงเกิดกายวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งกาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์. --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ใจ ด้วย ธรรมารมณ์ด้วย จึงเกิดมโนวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งใจ+ธรรมารมณ์+มโนวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น &จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การขึ้นแห่งทุกข์. --ภิกษุ ท. ! นี้แล คือ #การก่อขึ้นแห่งทุกข์.- http://etipitaka.com/read/pali/18/107/?keywords=ตณฺหา+ทุกฺขสฺส+สมุทโย #ทักขสมุทัย #อริสสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/89/154. http://etipitaka.com/read/thai/18/89/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๐๖/๑๕๔. http://etipitaka.com/read/pali/18/106/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=279 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=279 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (ในสูตรถัดไป ได้ตรัสอุปมาด้วย มูตร ด้วย น้ำลาย ด้วย หนอง ด้วย โลหิต โดยทำนองเดียวกัน, - ๒๐/๔๖/๒๐๔).
    -(ในสูตรถัดไป ได้ตรัสอุปมาด้วย มูตร ด้วย น้ำลาย ด้วย หนอง ด้วย โลหิต โดยทำนองเดียวกัน, - ๒๐/๔๖/๒๐๔). วิภวตัณหา เรื่องของ วิภวตัณหา ที่เป็นพุทธดำรัสโดยตรง ยังไม่พบที่มา ; ขอนักศึกษาจงทราบ โดยเป็นปฏิปักขนัยของ ภวตัณหา. นิทเทศ ๓ ว่าด้วยลักษณะแห่งตัณหา จบ นิทเทศ ๕ ว่าด้วยที่เกิดและการเกิดแห่งตัณหา (มี ๕ เรื่อง) การเกิดขึ้นแห่งตัณหา ภิกษุ ท. ! การก่อขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ตา ด้วย รูปด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งตา+รูป+จักขุวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์ ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย หู ด้วย เสียงด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณขึ้น. การประจวบพร้อม (แห่งหู+เสียง+โสตวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย จมูก ด้วย กลิ่นด้วย จึงเกิดฆานวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งจมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น จึงเกิดมี ผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์ ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ลิ้น ด้วย รสด้วย จึงเกิดชิวหาวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น จึงเกิดมี ผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมี ตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย กาย ด้วย โผฏฐัพพะด้วย จึงเกิดกายวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งกาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัย ใจ ด้วย ธรรมารมณ์ด้วย จึงเกิดมโนวิญญาณขึ้น, การประจวบพร้อม (แห่งใจ+ธรรมารมณ์+มโนวิญญาณ) ทั้ง ๓ อย่างนั้น จึงเกิดมีผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; นี้ คือ การขึ้นแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! นี้แล คือ การก่อขึ้นแห่งทุกข์.
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ
    สัทธรรมลำดับที่ : 278
    ชื่อบทธรรม :- ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=278
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ
    --ภิกษุ ท. ! คูถ(อุจจระ)แม้นิดเดียว ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด ;
    +--ภิกษุ ท. ! สิ่งที่เรียกว่า ภพ (ผลแห่งภวตัณหา-ภวํ) ก็ฉันนั้นเหมือนกัน,
    http://etipitaka.com/read/pali/20/46/?keywords=ภวํ
    แม้มีประมาณน้อย ชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอก. อํ. 20/36/203.
    http://etipitaka.com/read/thai/20/36/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/20/46/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%93
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=278
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=278
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ สัทธรรมลำดับที่ : 278 ชื่อบทธรรม :- ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=278 เนื้อความทั้งหมด :- --ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ --ภิกษุ ท. ! คูถ(อุจจระ)แม้นิดเดียว ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด ; +--ภิกษุ ท. ! สิ่งที่เรียกว่า ภพ (ผลแห่งภวตัณหา-ภวํ) ก็ฉันนั้นเหมือนกัน, http://etipitaka.com/read/pali/20/46/?keywords=ภวํ แม้มีประมาณน้อย ชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอก. อํ. 20/36/203. http://etipitaka.com/read/thai/20/36/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓. http://etipitaka.com/read/pali/20/46/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%93 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=278 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=278 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (ในตอนท้ายของแต่ละปริยาย ได้ตรัสถึงบุคคลผู้มีธรรมตรงกันข้าม คือสามารถฟังธรรมสำเร็จประโยชน์, ผู้ศึกษาพึงคำนวณเอาด้วยตนเอง โดยปฏิปักขนัยจากข้อความข้างบนนี้)
    -(ในตอนท้ายของแต่ละปริยาย ได้ตรัสถึงบุคคลผู้มีธรรมตรงกันข้าม คือสามารถฟังธรรมสำเร็จประโยชน์, ผู้ศึกษาพึงคำนวณเอาด้วยตนเอง โดยปฏิปักขนัยจากข้อความข้างบนนี้) ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ ภิกษุ ท. ! คูถแม้นิดเดียว ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! สิ่งที่เรียกว่า ภพ (ผลแห่งภวตัณหา) ก็ฉันนั้นเหมือนกัน, แม้มีประมาณน้อย ชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้.
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาเป็นลำดับในลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 644
    ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=644
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์
    --ภิกษุ ท. ! อวิชชาภิกษุละได้แล้ว
    วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ในกาลใด,
    ในกาลนั้น ภิกษุนั้น,
    เพราะความสำรอกออกโดยไม่เหลือแห่งอวิชชา เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา, เธอ
    ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่ง อภิสังขารอันเป็นบุญ ;
    ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่ง อภิสังขารอันมิใช่บุญ ;
    ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่ง อภิสังขารอันเป็นอเนญชา ;
    เมื่อ ไม่ปรุงแต่ง อยู่,
    เมื่อ ไม่มุ่งมาด อยู่,
    เธอย่อม ไม่ถือมั่นสิ่งไรๆ ในโลก ;
    เมื่อไม่ถือมั่นอยู่,
    เธอย่อม ไม่สะดุ้งหวาดเสียว;
    เมื่อไม่สะดุ้งหวาดเสียวอยู่,
    เธอย่อม #ปรินิพพานเฉพาะตน นั่นเทียว.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/99/?keywords=ปรินิพฺพายติ
    เธอย่อมรู้ประจักษ์ว่า
    “ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว,
    กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว,
    กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก”
    ดังนี้.
    --ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า
    “เวทนานั้น ไม่เที่ยงอันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว”
    ดังนี้.
    ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า
    “เวทนานั้น ไม่เที่ยง อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว”
    ดังนี้.
    ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า
    “เวทนานั้นไม่เที่ยง อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว”
    ดังนี้.
    +-ภิกษุนั้น
    ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น ;
    ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น ;
    ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น.
    --ภิกษุนั้น
    เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
    “เราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ”
    ดังนี้.
    เมื่อเธอนั้น เสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
    “เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ”
    ดังนี้.
    ภิกษุนั้น ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
    “เวทนาทั้งหลายทั้งปวง
    อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว
    จักเป็นของเย็น ในอัตตภาพนี้เอง ;
    สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ ;
    จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
    เพราะการแตกทำลายแห่งกาย”
    ดังนี้.

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน
    บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผาหม้อ วางไว้พื้นดินอันเรียบ
    ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงระงับหายไป ในที่นั้นเอง กระเบื้องทั้งหลายก็เหลืออยู่ นี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กล่าวคือ
    เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษว่า
    “เราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ”
    ดังนี้.
    เมื่อเธอนั้น เสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
    “เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ”
    ดังนี้.
    +-ภิกษุนั้น ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
    “เวทนาทั้งหลายทั้งปวง
    อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว
    จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้เอง;
    สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ ;
    จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
    เพราะการแตกทำลายแห่งกาย”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ;
    คือ ภิกษุผู้ขีณาสพ
    +--พึงปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร,
    หรือว่าพึงปรุงแต่ง อปุญญาภิสังขาร,
    หรือว่าพึงปรุงแต่งอเนญชาภิสังขาร,
    บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อสังขารทั้งหลาย ไม่มี, เพราะความดับแห่งสังขาร
    โดยประการทั้งปวง,
    วิญญาณ พึงปรากฎ บ้างหรือหนอ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อวิญญาณ ไม่มี, เพราะความดับแห่งวิญญาณ
    โดยประการทั้งปวง,
    นามรูป พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อนามรูป ไม่มี, เพราะความดับแห่งนามรูป
    โดยประการทั้งปวง,
    สฬายตนะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อสฬายตนะ ไม่มี, เพราะความดับแห่งสฬายตนะ
    โดยประการทั้งปวง,
    ผัสสะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อผัสสะ ไม่มี, เพราะความดับแห่งผัสสะ
    โดยประการทั้งปวง,
    เวทนา พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อเวทนา ไม่มี, เพราะความดับแห่งเวทนา
    โดยประการทั้งปวง,
    ตัณหา พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อตัณหา ไม่มี, เพราะความดับแห่งตัณหา
    โดยประการทั้งปวง,
    อุปาทาน พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่ออุปาทาน ไม่มี, เพราะความดับแห่งอุปาทาน
    โดยประการทั้งปวง,
    ภพ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    +--เมื่อภพ ไม่มี, เพราะความดับแห่งภพ
    โดยประการทั้งปวง,
    ชาติ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    --เมื่อชาติ ไม่มี, เพราะความดับแห่งชาติ
    โดยประการทั้งปวง.
    ชรามรณะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”
    --ภิกษุ ท. ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว.
    +--ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลาย จงทำความสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อนั้น ไว้อย่างนั้นเถิด.
    +--ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายจงปลงซึ่งความเชื่อ ในข้อนั้นอย่างนั้นเถิด ;
    จงเป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนั้นเถิด; #นั่นแหละที่สุดแห่งทุกข์ละ,
    http://etipitaka.com/read/pali/16/101/?keywords=เอเสวนฺโต+ทุกฺขสฺสาติ
    ดังนี้ แล.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/81-83/192-195.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๙๙-๑๐๑/๑๙๒-๑๙๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/99/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%92
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=644
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=644
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44
    ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาเป็นลำดับในลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 644 ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=644 เนื้อความทั้งหมด :- --ลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์ --ภิกษุ ท. ! อวิชชาภิกษุละได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ในกาลใด, ในกาลนั้น ภิกษุนั้น, เพราะความสำรอกออกโดยไม่เหลือแห่งอวิชชา เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา, เธอ ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่ง อภิสังขารอันเป็นบุญ ; ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่ง อภิสังขารอันมิใช่บุญ ; ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่ง อภิสังขารอันเป็นอเนญชา ; เมื่อ ไม่ปรุงแต่ง อยู่, เมื่อ ไม่มุ่งมาด อยู่, เธอย่อม ไม่ถือมั่นสิ่งไรๆ ในโลก ; เมื่อไม่ถือมั่นอยู่, เธอย่อม ไม่สะดุ้งหวาดเสียว; เมื่อไม่สะดุ้งหวาดเสียวอยู่, เธอย่อม #ปรินิพพานเฉพาะตน นั่นเทียว. http://etipitaka.com/read/pali/16/99/?keywords=ปรินิพฺพายติ เธอย่อมรู้ประจักษ์ว่า “ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว, กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้. --ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า “เวทนานั้น ไม่เที่ยงอันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว” ดังนี้. ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า “เวทนานั้น ไม่เที่ยง อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว” ดังนี้. ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า “เวทนานั้นไม่เที่ยง อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว” ดังนี้. +-ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น. --ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. เมื่อเธอนั้น เสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของเย็น ในอัตตภาพนี้เอง ; สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ ; จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผาหม้อ วางไว้พื้นดินอันเรียบ ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงระงับหายไป ในที่นั้นเอง กระเบื้องทั้งหลายก็เหลืออยู่ นี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กล่าวคือ เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษว่า “เราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. เมื่อเธอนั้น เสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. +-ภิกษุนั้น ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้เอง; สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ ; จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ; คือ ภิกษุผู้ขีณาสพ +--พึงปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร, หรือว่าพึงปรุงแต่ง อปุญญาภิสังขาร, หรือว่าพึงปรุงแต่งอเนญชาภิสังขาร, บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อสังขารทั้งหลาย ไม่มี, เพราะความดับแห่งสังขาร โดยประการทั้งปวง, วิญญาณ พึงปรากฎ บ้างหรือหนอ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อวิญญาณ ไม่มี, เพราะความดับแห่งวิญญาณ โดยประการทั้งปวง, นามรูป พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อนามรูป ไม่มี, เพราะความดับแห่งนามรูป โดยประการทั้งปวง, สฬายตนะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อสฬายตนะ ไม่มี, เพราะความดับแห่งสฬายตนะ โดยประการทั้งปวง, ผัสสะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อผัสสะ ไม่มี, เพราะความดับแห่งผัสสะ โดยประการทั้งปวง, เวทนา พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อเวทนา ไม่มี, เพราะความดับแห่งเวทนา โดยประการทั้งปวง, ตัณหา พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อตัณหา ไม่มี, เพราะความดับแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง, อุปาทาน พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่ออุปาทาน ไม่มี, เพราะความดับแห่งอุปาทาน โดยประการทั้งปวง, ภพ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” +--เมื่อภพ ไม่มี, เพราะความดับแห่งภพ โดยประการทั้งปวง, ชาติ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” --เมื่อชาติ ไม่มี, เพราะความดับแห่งชาติ โดยประการทั้งปวง. ชรามรณะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” --ภิกษุ ท. ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว. +--ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลาย จงทำความสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อนั้น ไว้อย่างนั้นเถิด. +--ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายจงปลงซึ่งความเชื่อ ในข้อนั้นอย่างนั้นเถิด ; จงเป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนั้นเถิด; #นั่นแหละที่สุดแห่งทุกข์ละ, http://etipitaka.com/read/pali/16/101/?keywords=เอเสวนฺโต+ทุกฺขสฺสาติ ดังนี้ แล.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/81-83/192-195. http://etipitaka.com/read/thai/16/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๙๙-๑๐๑/๑๙๒-๑๙๕. http://etipitaka.com/read/pali/16/99/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%92 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=644 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=644 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44 ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์
    -ลักษณะแห่งการถึงที่สุดทุกข์ ภิกษุ ท. ! อวิชชาภิกษุละได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ในกาลใด, ในกาลนั้น ภิกษุนั้น, เพราะความสำรอกออกโดยไม่เหลือแห่งอวิชชา เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา, เธอย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่งอภิสังขารอันเป็นบุญ ; ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่งอภิสังขารอันมิใช่บุญ ; ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่ง อภิสังขารอันเป็นอเนญชา ; เมื่อ ไม่ปรุงแต่ง อยู่, เมื่อ ไม่มุ่งมาด อยู่, เธอย่อม ไม่ถือมั่นสิ่งไรๆ ในโลก ; เมื่อไม่ถือมั่นอยู่, เธอย่อม ไม่สะดุ้งหวาดเสียว; เมื่อไม่สะดุ้งหวาดเสียวอยู่, เธอย่อม ปรินิพพานเฉพาะตน นั่นเทียว. เธอย่อมรู้ประจักษ์ว่า “ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว, กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้. ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า “เวทนานั้น ไม่เที่ยงอันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว” ดังนี้. ถ้าเสวยทุกขเวทนาก็รู้ประจักษ์ว่า “เวทนานั้น ไม่เที่ยง อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว” ดังนี้. ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า “เวทนานั้นไม่เที่ยง อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว” ดังนี้. ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น. ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. เมื่อเธอนั้น เสวย เวทนาอันมี ชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของเย็น ในอัตตภาพนี้เอง ; สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ ; จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผาหม้อ วางไว้พื้นดินอันเรียบ ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงระงับหายไป ในที่นั้นเอง กระเบื้องทั้งหลายก็เหลืออยู่ นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กล่าวคือ เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษว่า “เราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. เมื่อเธอนั้น เสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ประจักษ์ว่า “เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้เอง; สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ ; จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ; คือ ภิกษุผู้ขีณาสพ พึงปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร, หรือว่าพึงปรุงแต่ง อปุญญาภิสังขาร, หรือว่า พึงปรุงแต่ง อเนญชาภิสังขาร, บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อสังขารทั้งหลาย ไม่มี, เพราะความดับแห่งสังขาร โดยประการทั้งปวง, วิญญาณ พึงปรากฎ บ้างหรือหนอ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อวิญญาณ ไม่มี, เพราะความดับแห่งวิญญาณ โดยประการทั้งปวง, นามรูป พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อนามรูป ไม่มี, เพราะความดับแห่งนามรูป โดยประการทั้งปวง, สฬายตนะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อสฬายตนะ ไม่มี, เพราะความดับแห่งสฬายตนะ โดยประการทั้งปวง, ผัสสะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อผัสสะ ไม่มี, เพราะความดับแห่งผัสสะ โดยประการทั้งปวง, เวทนา พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อเวทนา ไม่มี, เพราะความดับแห่งเวทนา โดยประการทั้งปวง, ตัณหา พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อตัณหา ไม่มี, เพราะความดับแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง, อุปาทาน พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่ออุปาทาน ไม่มี, เพราะความดับแห่งอุปาทาน โดยประการทั้งปวง, ภพ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อภพ ไม่มี, เพราะความดับแห่งภพ โดยประการทั้งปวง, ชาติ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” เมื่อชาติ ไม่มี, เพราะความดับแห่งชาติ โดยประการทั้งปวง. ชรามรณะ พึงปรากฏ บ้างหรือหนอ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว. ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลาย จงทำความสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อนั้น ไว้อย่างนั้นเถิด. ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายจงปลงซึ่งความเชื่อ ในข้อนั้นอย่างนั้นเถิด ; จงเป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนั้นเถิด ; นั่นแหละที่สุดแห่งทุกข์ละ, ดังนี้ แล.
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าพอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 643
    ชื่อบทธรรม :- พอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=643
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --พอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์
    --ภิกษุ ท. !
    ผัสสะ เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง
    ผัสสสมุทัย เป็นส่วนสุดข้างที่สอง
    ผัสสนิโรธ มีในท่ามกลาง
    http://etipitaka.com/read/pali/22/449/?keywords=ผสฺโส
    ตัณหา #เป็นเครื่องร้อยรัดให้ติดกัน ;
    ตัณหานั่นแหละ ย่อมถักร้อยเพื่อให้เกิดขึ้นแห่งภพนั้น ๆ นั่นเทียว.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/449/?keywords=ตณฺหา

    --ภิกษุ ท. ! ด้วยความรู้เพียงเท่านี้แล
    ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
    ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้ ;
    เมื่อรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง รอบรู้ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้ อยู่,
    ย่อมเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในทิฏฐธรรมเทียว.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก.อํ. 22/358/332.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/358/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก.อํ. ๒๒/๔๔๖/๓๓๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/446/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%92
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=643
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=643
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44
    ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าพอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 643 ชื่อบทธรรม :- พอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=643 เนื้อความทั้งหมด :- --พอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์ --ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ผัสสสมุทัย เป็นส่วนสุดข้างที่สอง ผัสสนิโรธ มีในท่ามกลาง http://etipitaka.com/read/pali/22/449/?keywords=ผสฺโส ตัณหา #เป็นเครื่องร้อยรัดให้ติดกัน ; ตัณหานั่นแหละ ย่อมถักร้อยเพื่อให้เกิดขึ้นแห่งภพนั้น ๆ นั่นเทียว. http://etipitaka.com/read/pali/22/449/?keywords=ตณฺหา --ภิกษุ ท. ! ด้วยความรู้เพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้ ; เมื่อรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง รอบรู้ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้ อยู่, ย่อมเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในทิฏฐธรรมเทียว.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก.อํ. 22/358/332. http://etipitaka.com/read/thai/22/358/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก.อํ. ๒๒/๔๔๖/๓๓๒. http://etipitaka.com/read/pali/22/446/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%92 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=643 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=643 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44 ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - พอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์
    -พอรู้เรื่องการร้อยรัด ก็สามารถทำที่สุดทุกข์ ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ผัสสสมุทัย เป็นส่วนสุดข้างที่สอง ผัสสนิโรธ มีในท่ามกลาง ตัณหา เป็นเครื่องร้อยรัดให้ติดกัน ; ตัณหานั่นแหละ ย่อมถักร้อยเพื่อให้เกิดขึ้นแห่งภพนั้น ๆ นั่นเทียว. ภิกษุ ท. !ด้วยความรู้เพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้ ; เมื่อรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง รอบรู้ซึ่งธรรมที่ควรรอบรู้ อยู่, ย่อมเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในทิฏฐธรรมเทียว.
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าเหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่องเพราะภวตัณหา
    สัทธรรมลำดับที่ : 275
    ชื่อบทธรรม :- เหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=275
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --เหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง
    (เพราะภวตัณหา)
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบอยู่ด้วยเหตุห้าอย่าง
    แม้ฟังธรรมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะก้าวลงสู่นิยาม คือความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    เหตุห้าอย่างอะไรเล่า ? ห้าอย่างคือ
    ๑--สนใจแต่คำพูด
    (บุคคลย่อมไม่พูดมาก)​
    ๒--สนใจแต่ผู้พูด
    (ไม่พูดคำพูดที่ผู้อื่นพูดแล้วมาก)​
    ๓--สนใจแต่ตัวเอง
    (ไม่พูดปรารภตน)​
    http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=อตฺตานํ
    ๔--มีจิตฟุ้งซ่านไม่มีเอกัคคตาจิตฟังธรรม
    (เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่านฟังธรรม)​
    http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=สุณาติ+เอกคฺคจิตฺโต
    ๕--ทำในใจไม่แยบคาย​
    (เป็นผู้ไม่มีแน่วแน่ทางใจโดยอุบายแยบคาย) .
    http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=โยนิโส+มนสิกโรติ

    --ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบด้วยเหตุห้าอย่างเหล่านี้แล
    แม้ฟังธรรมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะก้าวลง สู่นิยาม คือ​ #ความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. 22/158/151.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/158/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๙๕/๑๕๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%91
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=275
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=275
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าเหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่องเพราะภวตัณหา สัทธรรมลำดับที่ : 275 ชื่อบทธรรม :- เหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=275 เนื้อความทั้งหมด :- --เหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง (เพราะภวตัณหา) --ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบอยู่ด้วยเหตุห้าอย่าง แม้ฟังธรรมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะก้าวลงสู่นิยาม คือความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย. เหตุห้าอย่างอะไรเล่า ? ห้าอย่างคือ ๑--สนใจแต่คำพูด (บุคคลย่อมไม่พูดมาก)​ ๒--สนใจแต่ผู้พูด (ไม่พูดคำพูดที่ผู้อื่นพูดแล้วมาก)​ ๓--สนใจแต่ตัวเอง (ไม่พูดปรารภตน)​ http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=อตฺตานํ ๔--มีจิตฟุ้งซ่านไม่มีเอกัคคตาจิตฟังธรรม (เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่านฟังธรรม)​ http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=สุณาติ+เอกคฺคจิตฺโต ๕--ทำในใจไม่แยบคาย​ (เป็นผู้ไม่มีแน่วแน่ทางใจโดยอุบายแยบคาย) . http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=โยนิโส+มนสิกโรติ --ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบด้วยเหตุห้าอย่างเหล่านี้แล แม้ฟังธรรมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะก้าวลง สู่นิยาม คือ​ #ความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. 22/158/151. http://etipitaka.com/read/thai/22/158/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๙๕/๑๕๑. http://etipitaka.com/read/pali/22/195/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%91 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=275 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=275 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง
    -เหตุที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง (เพราะภวตัณหา) ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบอยู่ด้วยเหตุห้าอย่าง แม้ฟังธรรมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะก้าวลงสู่นิยาม คือความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย. เหตุห้าอย่างอะไรเล่า ? ห้าอย่างคือ สนใจแต่คำพูด สนใจแต่ผู้พูด สนใจแต่ตัวเอง ๑. หญ้าสองชนิดนี้ เคยแปลกันว่า หญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน. ในที่นี้จึงไม่แปลไว้. มีจิตฟุ้งซ่านไม่มีเอกัคคตาจิตฟังธรรม และทำในใจไม่แยบคาย. ภิกษุ ท. ! บุคคลประกอบด้วยเหตุห้าอย่างเหล่านี้แล แม้ฟังธรรมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะก้าวลง สู่นิยาม คือความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าจะรู้จักกิเลสข้อไหนได้ก็ต่อเมื่อทำลายกิเลสนั้นเสร็จสิ้นแล้ว
    สัทธรรมลำดับที่ : 642
    ชื่อบทธรรม :- อาสวะสิ้นไปเพราะการกำจัดสมารัมภะและอวิชชา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=642
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาสวะสิ้นไปเพราะการกำจัดสมารัมภะและอวิชชา
    --วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
    คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะกายสมารัมภะ
    (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางกาย)
    http://etipitaka.com/read/pali/21/268/?keywords=กายสมา
    เป็นปัจจัยเป็นเครื่อง ทำความคับแค้นเร่าร้อน ;
    เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก กายสมารัมภะ,
    อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี.
    บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และ
    ย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย.
    หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่า (นิชฺชรา) นี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นตนเอง
    http://etipitaka.com/read/pali/21/268/?keywords=นิชฺชรา
    ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู
    พึงน้อมเข้ามาในตนเป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน.
    -​-วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ
    ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”

    --วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คือ
    อาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะวจีสมารัมภะ
    (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางวาจา)
    http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=วจีสมา
    เป็นปัจจัยเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน ;
    เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก วจีสมารัมภะ,
    อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี.
    บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย
    และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/268/?keywords=นิชฺชรา
    หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง
    ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน
    เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน.
    --วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ
    ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”

    --วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
    คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะมโนสมารัมภะ
    (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางใจ)
    http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=มโนสมา
    เป็นปัจจัยเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน ;
    เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก มโนสมารัมภะ,
    อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี.
    บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย
    และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=นิชฺชรา
    หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง
    ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน
    เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน.
    --วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนาจะพึงไหลไปตามบุรุษ
    ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”

    --วัปปะ ! ท่านจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
    คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
    เป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน;
    เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา เพราะความสำรอกออกเสียได้หมดซึ่ง อวิชชา,
    http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=อวิชฺชา
    อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี.
    บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย
    และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้ว กระทำให้สิ้นไปด้วย.
    หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง
    ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน
    เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน.
    --วัปปะ ! อาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ
    ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ?
    “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”-

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/189/195.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/189/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๖๖-๒๗๑/๑๙๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/266/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=642
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=642
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44
    ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียง..
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าจะรู้จักกิเลสข้อไหนได้ก็ต่อเมื่อทำลายกิเลสนั้นเสร็จสิ้นแล้ว สัทธรรมลำดับที่ : 642 ชื่อบทธรรม :- อาสวะสิ้นไปเพราะการกำจัดสมารัมภะและอวิชชา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=642 เนื้อความทั้งหมด :- --อาสวะสิ้นไปเพราะการกำจัดสมารัมภะและอวิชชา --วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะกายสมารัมภะ (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางกาย) http://etipitaka.com/read/pali/21/268/?keywords=กายสมา เป็นปัจจัยเป็นเครื่อง ทำความคับแค้นเร่าร้อน ; เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก กายสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และ ย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย. หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่า (นิชฺชรา) นี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นตนเอง http://etipitaka.com/read/pali/21/268/?keywords=นิชฺชรา ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตนเป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. -​-วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” --วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คือ อาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะวจีสมารัมภะ (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางวาจา) http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=วจีสมา เป็นปัจจัยเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน ; เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก วจีสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย. http://etipitaka.com/read/pali/21/268/?keywords=นิชฺชรา หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. --วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” --วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะมโนสมารัมภะ (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางใจ) http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=มโนสมา เป็นปัจจัยเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน ; เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก มโนสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย. http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=นิชฺชรา หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. --วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนาจะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” --วัปปะ ! ท่านจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน; เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา เพราะความสำรอกออกเสียได้หมดซึ่ง อวิชชา, http://etipitaka.com/read/pali/21/269/?keywords=อวิชฺชา อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้ว กระทำให้สิ้นไปด้วย. หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. --วัปปะ ! อาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”- #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/189/195. http://etipitaka.com/read/thai/21/189/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๖๖-๒๗๑/๑๙๕. http://etipitaka.com/read/pali/21/266/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=642 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44&id=642 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=44 ลำดับสาธยายธรรม : 44 ฟังเสียง.. http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_44.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (ข้อความนี้ เป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งที่คนธรรมดาจะไม่นึกฝัน ว่าเราจะรู้จักสิ่งใดถึงที่สุดนั้น ก็ต่อเมื่อเราจัดการกับสิ่งนั้นตามที่ควรจะทำ ถึงที่สุดแล้ว, มิใช่ว่าพอสักว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ก็รู้จักสิ่งนั้นโดยสมบูรณ์แล้ว. ในกรณีนี้ มีใจความสำคัญว่า จะรู้จักกิเลสข้อไหนได้ ก็ต่อเมื่อ เราทำลายกิเลสนั้นเสร็จสิ้นแล้ว). อาสวะสิ้นไปเพราะการกำจัดสมารัมภะและอวิชชา
    -(ข้อความนี้ เป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งที่คนธรรมดาจะไม่นึกฝัน ว่าเราจะรู้จักสิ่งใดถึงที่สุดนั้น ก็ต่อเมื่อเราจัดการกับสิ่งนั้นตามที่ควรจะทำ ถึงที่สุดแล้ว, มิใช่ว่าพอสักว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ก็รู้จักสิ่งนั้นโดยสมบูรณ์แล้ว. ในกรณีนี้ มีใจความสำคัญว่า จะรู้จักกิเลสข้อไหนได้ ก็ต่อเมื่อ เราทำลายกิเลสนั้นเสร็จสิ้นแล้ว). อาสวะสิ้นไปเพราะการกำจัดสมารัมภะและอวิชชา วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะกายสมารัมภะ (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางกาย) เป็นปัจจัยเป็นเครื่อง ทำความคับแค้นเร่าร้อน ; เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก กายสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย. หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่า (นิชฺชรา) นี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นตนเอง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะวจีสมารัมภะ (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางวาจา) เป็นปัจจัยเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน ; เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก วจีสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย. หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” วัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะมโนสมารัมภะ (ตัณหาปรารภการกระทำกรรมทางใจ) เป็นปัจจัยเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน ; เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจาก มโนสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้วกระทำให้สิ้นไปด้วย. หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. วัปปะ ! อาสวะทั้งหลายอันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนาจะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะ ใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !” วัปปะ ! ท่านจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร ? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อน; เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา เพราะความสำรอกออกเสียได้หมดซึ่ง อวิชชา, อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเครื่องทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมถูกต้อง ๆ ซึ่งกรรมเก่าแล้ว กระทำให้สิ้นไปด้วย. หลักธรรมปฏิปทาอันไม่รู้จักเก่านี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน. วัปปะ ! อาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านเห็นซึ่งฐานะนั้นหรือไม่ ? “ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”-
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาวิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด
    สัทธรรมลำดับที่ : 274
    ชื่อบทธรรม :- วิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=274
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงแก่พวกเธอ ถึงเรื่อง ตัณหา
    อันมีธรรมชาติ เหมือนข่ายเป็นเครื่องดักสัตว์
    มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์,
    ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้
    ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก
    นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ
    จึงไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้.
    พวกเธอ จงฟังข้อความนั้น ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าว
    (มนสิกโรถ ภาสิสฺสามีติ)​
    http://etipitaka.com/read/pali/21/288/?keywords=มนสิกโรถ+ภาสิสฺสามี
    บัดนี้.
    +--ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลสนองรับพระพุทธดำรัสแล้ว,
    พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัส พระพุทธวจนะ
    นี้ว่า :
    ---ภิกษุ ท. ! ตัณหานั้น เป็นอย่างไรเล่า
    จึงชื่อว่ามีธรรมชาติเหมือนข่าย เป็นเครื่องดักสัตว์
    มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์,
    ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้
    ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก
    นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ
    จึงไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้ ?
    --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง
    ที่เข้าไป จับยึดขันธ์อันเป็นภายใน และตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง
    ที่เข้าไปจับยึดขันธ์ อันเป็นภายนอก เหล่านี้ มีอยู่.
    -----
    --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง
    ที่เข้าไป จับยึดขันธ์อันเป็นภายใน เหล่านั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์ อันเป็นภายใน
    นั้นคือ เมื่อมีความนึกไปในทางที่
    ว่า “เรามี เราเป็น” ดังนี้
    ก็เกิดความนึกที่เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา
    ว่า “เรามีอยู่ เป็นอยู่” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น อย่าง นี้ๆ” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น อย่างนั้นๆ (คืออย่างเดียวกันกับคู่เปรียบ)” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น อย่างอื่น (คือแตกต่างตรงกันข้ามจากคู่เปรียบ)” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น ผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น ผู้เที่ยง ผู้ยั่งยืน” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงมีอยู่ พึงเป็นอยู่” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงเป็น อย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงเป็น อย่างนั้นๆ ” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงเป็น อย่างอื่น” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เรา มีอยู่เป็นอยู่” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนั้นๆ” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างอื่น” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักมีอยู่ จักเป็นอยู่” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักเป็น อย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักเป็น อย่างนั้นๆ” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักเป็น อย่างอื่น” ดังนี้ ๑.
    ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ชื่อว่า ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง
    ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายใน.
    ----
    --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา)
    ๑๘ อย่าง ที่เข้าไป จับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก เป็นอย่างไรเล่า ?
    ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก
    คือ เมื่อมีความนึกไปในทางที่
    ว่า “เรามี เราเป็น ด้วยสิ่ง (คือขันธ์อันเป็นภายนอก) นี้” ดังนี้
    ก็เกิดความนึกที่เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา
    ว่า “เรามีอยู่ เป็นอยู่ ด้วยสิ่ง (คือขันธ์อันเป็นภายนอก)นี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น อย่างอื่นด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น ผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราเป็น ผู้เที่ยง ผู้ยั่งยืน ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงมีอยู่ พึงเป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราพึงเป็น อย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เรามีอยู่ เป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักมีอยู่ จักเป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑,
    ว่า “เราจักเป็น อย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑.
    ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ชื่อว่า ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง
    ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก.
    --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง
    ที่เข้าไปจับยึด ขันธ์อันเป็นภายในด้วย
    และตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอกด้วย
    เหล่านี้แล เรียกว่า ตัณหาวิจริต ๓๖ อย่าง.
    --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ ตัณหาวิจริตอย่างนี้แล
    เป็นอดีต ๓๖ อย่าง,
    เป็นอนาคต ๓๖ อย่าง, และ
    ปัจจุบัน ๓๖ อย่าง,
    รวมเป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘ อย่าง.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/290/?keywords=ตณฺหาวิจริต
    --ภิกษุ ท. ! นี่แลคือ ตัณหานั้น อันมีธรรมชาติเหมือนข่ายเป็นเครื่องดักสัตว์
    มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์,
    ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้
    ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก
    นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ
    จึงไม่ล่วงพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้
    แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/201/199.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/201/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๘๘/๑๙๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/288/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=274
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=274
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาวิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด สัทธรรมลำดับที่ : 274 ชื่อบทธรรม :- วิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=274 เนื้อความทั้งหมด :- --วิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงแก่พวกเธอ ถึงเรื่อง ตัณหา อันมีธรรมชาติ เหมือนข่ายเป็นเครื่องดักสัตว์ มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้ ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ จึงไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้. พวกเธอ จงฟังข้อความนั้น ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าว (มนสิกโรถ ภาสิสฺสามีติ)​ http://etipitaka.com/read/pali/21/288/?keywords=มนสิกโรถ+ภาสิสฺสามี บัดนี้. +--ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลสนองรับพระพุทธดำรัสแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัส พระพุทธวจนะ นี้ว่า : ---ภิกษุ ท. ! ตัณหานั้น เป็นอย่างไรเล่า จึงชื่อว่ามีธรรมชาติเหมือนข่าย เป็นเครื่องดักสัตว์ มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้ ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ จึงไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้ ? --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง ที่เข้าไป จับยึดขันธ์อันเป็นภายใน และตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์ อันเป็นภายนอก เหล่านี้ มีอยู่. ----- --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง ที่เข้าไป จับยึดขันธ์อันเป็นภายใน เหล่านั้น เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์ อันเป็นภายใน นั้นคือ เมื่อมีความนึกไปในทางที่ ว่า “เรามี เราเป็น” ดังนี้ ก็เกิดความนึกที่เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา ว่า “เรามีอยู่ เป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น อย่าง นี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น อย่างนั้นๆ (คืออย่างเดียวกันกับคู่เปรียบ)” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น อย่างอื่น (คือแตกต่างตรงกันข้ามจากคู่เปรียบ)” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น ผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น ผู้เที่ยง ผู้ยั่งยืน” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงมีอยู่ พึงเป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็น อย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็น อย่างนั้นๆ ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็น อย่างอื่น” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เรา มีอยู่เป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนั้นๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างอื่น” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักมีอยู่ จักเป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็น อย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็น อย่างนั้นๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็น อย่างอื่น” ดังนี้ ๑. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ชื่อว่า ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายใน. ---- --ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง ที่เข้าไป จับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก คือ เมื่อมีความนึกไปในทางที่ ว่า “เรามี เราเป็น ด้วยสิ่ง (คือขันธ์อันเป็นภายนอก) นี้” ดังนี้ ก็เกิดความนึกที่เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา ว่า “เรามีอยู่ เป็นอยู่ ด้วยสิ่ง (คือขันธ์อันเป็นภายนอก)นี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น อย่างอื่นด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น ผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็น ผู้เที่ยง ผู้ยั่งยืน ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงมีอยู่ พึงเป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็น อย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เรามีอยู่ เป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็น อย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักมีอยู่ จักเป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็น อย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็น อย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็น อย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ชื่อว่า ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก. --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึด ขันธ์อันเป็นภายในด้วย และตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอกด้วย เหล่านี้แล เรียกว่า ตัณหาวิจริต ๓๖ อย่าง. --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ ตัณหาวิจริตอย่างนี้แล เป็นอดีต ๓๖ อย่าง, เป็นอนาคต ๓๖ อย่าง, และ ปัจจุบัน ๓๖ อย่าง, รวมเป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘ อย่าง. http://etipitaka.com/read/pali/21/290/?keywords=ตณฺหาวิจริต --ภิกษุ ท. ! นี่แลคือ ตัณหานั้น อันมีธรรมชาติเหมือนข่ายเป็นเครื่องดักสัตว์ มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้ ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ จึงไม่ล่วงพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้ แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/201/199. http://etipitaka.com/read/thai/21/201/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๘๘/๑๙๙. http://etipitaka.com/read/pali/21/288/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=274 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=274 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด
    -วิภาคแห่งภวตัณหาร้อยแปด ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงแก่พวกเธอ ถึงเรื่อง ตัณหา อันมีธรรมชาติ เหมือนข่ายเป็นเครื่องดักสัตว์ มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้ ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ จึงไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้. พวกเธอ จงฟังข้อความนั้น ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าวบัดนี้. ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลสนองรับพระพุทธดำรัสแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัส พระพุทธวจนะนี้ว่า : ภิกษุ ท. ! ตัณหานั้น เป็นอย่างไรเล่า จึงชื่อว่ามีธรรมชาติเหมือนข่าย เป็นเครื่องดักสัตว์ มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้ ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ จึงไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้ ? ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง ที่เข้าไป จับยึดขันธ์อันเป็นภายใน และตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์ อันเป็นภายนอก เหล่านี้ มีอยู่. ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายใน เหล่านั้น เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์ อันเป็นภายใน นั้นคือ เมื่อมีความนึกไปในทาง ที่ว่า “เรามี เราเป็น” ดังนี้ ก็เกิดความนึกที่เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา ว่า “เรามีอยู่ เป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นอย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นอย่างนั้นๆ (คืออย่างเดียวกันกับคู่เปรียบ)” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นอย่างอื่น (คือแตกต่างตรงกันข้ามจากคู่เปรียบ)” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นผู้ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นผู้เที่ยง ผู้ยั่งยืน” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงมีอยู่ พึงเป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็นอย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็นอย่างนั้นๆ ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็นอย่างอื่น” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เรามีอยู่ เป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็นอย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็นอย่างนั้นๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็นอย่างอื่น” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักมีอยู่ จักเป็นอยู่” ดังนี้ ๑, ว่า “เรา จักเป็นอย่างนี้ๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็นอย่างนั้นๆ” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็นอย่างอื่น” ดังนี้ ๑. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ชื่อว่า ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายใน. ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซ่านไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา) ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก คือ เมื่อมีความนึกไปในทางที่ว่า “เรามี เราเป็น ด้วยสิ่ง (คือขันธ์อันเป็นภายนอก) นี้” ดังนี้ ก็เกิดความนึกที่เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา ว่า “เรามีอยู่ เป็นอยู่ ด้วยสิ่ง (คือขันธ์อันเป็นภายนอก)นี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นอย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นอย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นอย่างอื่นด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราเป็นผู้เที่ยง ผู้ยั่งยืน ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงมีอยู่ พึงเป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็นอย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็นอย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราพึงเป็นอย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เรามีอยู่ เป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็นอย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็นอย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “ขอให้เราเป็นอย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักมีอยู่ จักเป็นอยู่ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็นอย่างนี้ ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็นอย่างนั้น ๆ ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑, ว่า “เราจักเป็นอย่างอื่น ด้วยสิ่งนี้” ดังนี้ ๑. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ชื่อว่า ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอก. ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ ตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึด ขันธ์อันเป็นภายในด้วย และตัณหาวิจริต ๑๘ อย่าง ที่เข้าไปจับยึดขันธ์อันเป็นภายนอกด้วย เหล่านี้แล เรียกว่า ตัณหาวิจริต ๓๖ อย่าง. ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ ตัณหาวิจริตอย่างนี้แล เป็นอดีต ๓๖ อย่าง, เป็นอนาคต ๓๖ อย่าง, และปัจจุบัน ๓๖ อย่าง, รวมเป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘ อย่าง. ภิกษุ ท. ! นี่แลคือ ตัณหานั้น อันมีธรรมชาติเหมือนข่ายเป็นเครื่องดักสัตว์ มีธรรมชาติไหลนอง แผ่กว้าง เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว์, ซึ่งด้วยตัณหานั้นเอง สัตว์โลกนี้ ถูกปกคลุมหุ้มห่อไว้ ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง ประสานกันสับสนดุจรังนก นุงนังเหมือนพงหญ้ามุญชะและปัพพชะ๑ จึงไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้ แล.
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าเมื่อปัจจัยแห่งภวตัณหาเป็นแห่งทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 273
    ชื่อบทธรรม :- ปัจจัยแห่งภวตัณหา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=273
    เนื้อความทั้งหมด :-ปัจจัยแห่งภวตัณหา
    --ภิกษุ ท. ! ที่สุดในเบื้องต้นของภวตัณหา ย่อมไม่ปรากฏ ;
    ก่อนแต่นี้ ภวตัณหามิได้มี ;
    แต่ว่า ภวตัณหาเพิ่งมีต่อภายหลัง.
    ภิกษุ ท. ! คำกล่าวอย่างนี้แหละเป็นคำที่ใคร ๆ ควรกล่าว
    และควรกล่าวด้วยว่า “ภวตัณหา ย่อมปรากฏ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้ภวตัณหานั้น
    ก็เป็น ธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่.
    ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของภวตัณหา ?
    คำตอบพึงมีว่า “อวิชชา เป็นอาหารของภวตัณหา”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้อวิชชา
    ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่.
    ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของอวิชชา ?
    คำตอบพึงมีว่า “นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นอาหารของอวิชชา”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ
    ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่.
    ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของ นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ ?
    คำตอบพึงมีว่า “ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ”
    ดังนี้.
    ....ฯลฯ.... .
    --ภิกษุ ท.(ทั้งหลาย) ด้วยประการดังนี้
    การไม่คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์
    การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์
    ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์.
    การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์.
    ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์
    การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์
    ....ฯลฯ....
    การไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ย่อมทำทุจริต ๓ ประการให้บริบูรณ์ ;
    ทุจริต ๓ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำนิวรณ์ ๕ ประการให้บริบูรณ์ ;
    นิวรณ์ ๕ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์ ;
    อวิชชาบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำภวตัณหาให้บริบูรณ์.
    --ภิกษุ ท. ! #อาหารแห่งภวตัณหานี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้
    http://etipitaka.com/read/pali/24/125/?keywords=อวิชฺชา+ปริปูรา+ภวตณฺหํ
    และ บริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ.24/105/62.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/105/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ.๒๔/๑๒๔/๖๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/124/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=273
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=273
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าเมื่อปัจจัยแห่งภวตัณหาเป็นแห่งทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 273 ชื่อบทธรรม :- ปัจจัยแห่งภวตัณหา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=273 เนื้อความทั้งหมด :-ปัจจัยแห่งภวตัณหา --ภิกษุ ท. ! ที่สุดในเบื้องต้นของภวตัณหา ย่อมไม่ปรากฏ ; ก่อนแต่นี้ ภวตัณหามิได้มี ; แต่ว่า ภวตัณหาเพิ่งมีต่อภายหลัง. ภิกษุ ท. ! คำกล่าวอย่างนี้แหละเป็นคำที่ใคร ๆ ควรกล่าว และควรกล่าวด้วยว่า “ภวตัณหา ย่อมปรากฏ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้ภวตัณหานั้น ก็เป็น ธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของภวตัณหา ? คำตอบพึงมีว่า “อวิชชา เป็นอาหารของภวตัณหา” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้อวิชชา ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของอวิชชา ? คำตอบพึงมีว่า “นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นอาหารของอวิชชา” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของ นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ ? คำตอบพึงมีว่า “ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ” ดังนี้. ....ฯลฯ.... . --ภิกษุ ท.(ทั้งหลาย) ด้วยประการดังนี้ การไม่คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์ ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์. ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ ....ฯลฯ.... การไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ย่อมทำทุจริต ๓ ประการให้บริบูรณ์ ; ทุจริต ๓ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำนิวรณ์ ๕ ประการให้บริบูรณ์ ; นิวรณ์ ๕ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์ ; อวิชชาบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำภวตัณหาให้บริบูรณ์. --ภิกษุ ท. ! #อาหารแห่งภวตัณหานี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ http://etipitaka.com/read/pali/24/125/?keywords=อวิชฺชา+ปริปูรา+ภวตณฺหํ และ บริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ.24/105/62. http://etipitaka.com/read/thai/24/105/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ.๒๔/๑๒๔/๖๒. http://etipitaka.com/read/pali/24/124/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=273 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=273 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ปัจจัยแห่งภวตัณหา
    -ปัจจัยแห่งภวตัณหา ภิกษุ ท. ! ที่สุดในเบื้องต้นของภวตัณหา ย่อมไม่ปรากฏ ; ก่อนแต่นี้ ภวตัณหามิได้มี ; แต่ว่า ภวตัณหาเพิ่งมีต่อภายหลัง. ภิกษุ ท. ! คำกล่าวอย่างนี้แหละเป็นคำที่ใคร ๆ ควรกล่าว และควรกล่าวด้วยว่า “ภวตัณหา ย่อมปรากฏ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้ภวตัณหานั้น ก็เป็น ธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของภวตัณหา ? คำตอบพึงมีว่า “อวิชชา เป็นอาหารของภวตัณหา” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้อวิชชา ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของอวิชชา ? คำตอบพึงมีว่า “นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นอาหารของอวิชชา” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ถึงแม้นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของ นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ ? คำตอบพึงมีว่า “ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ” ดังนี้. ....ฯลฯ.... ....ฯลฯ.... การไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ย่อมทำทุจริต ๓ ประการให้บริบูรณ์ ; ทุจริต ๓ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำนิวรณ์ ๕ ประการให้บริบูรณ์ ; นิวรณ์ ๕ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์ ; อวิชชาบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำภวตัณหาให้บริบูรณ์. ภิกษุ ท. ! อาหารแห่งภวตัณหานี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้และ บริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • เพราะไม่รู้อริยสัจทั้งสี่ สัตว์โลกธาตุนี้จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ
    สัทธรรมลำดับที่ : 4
    ชื่อบทธรรม :- เพราะไม่รู้อริยสัจ จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=63
    เนื้อความทั้งหมด :- เพราะไม่รู้อริยสัจ จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ
    --ภิกษุ ท. ! เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจสี่อย่าง,
    เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ
    ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้.
    --ภิกษุ ท. ! อริยสัจสี่อย่าง เหล่าไหนเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่ง
    อริยสัจคือ ทุกข์,
    อริยสัจคือ เหตุให้เกิดทุกข์,
    อริยสัจคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ และ
    อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ;
    เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ
    ตลอดกาล ยืดยาวนานถึงเพียงนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่ออริยสัจ คือ
    ทุกข์,
    เหตุให้เกิดทุกข์,
    ความดับไม่เหลือของทุกข์ และ
    ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,
    เป็นความจริงที่เราและพวกเธอทั้งหลาย รู้ถึง และแทงตลอดแล้ว ;
    ตัณหาในภพ ก็ถูกถอนขึ้นขาดตัณหาที่จะนำไปสู่ภพ ก็สิ้นไปหมด
    บัดนี้ความต้องเกิดขึ้นอีก มิได้มี ;
    ดังนี้.-

    #ทุกข์ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/428/1698.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/428/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%99%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๑/๑๖๙๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/541/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%99%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=63
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=1&id=4
    ลำดับสาธยายธรรม : 1 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_01.mp3
    เพราะไม่รู้อริยสัจทั้งสี่ สัตว์โลกธาตุนี้จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ สัทธรรมลำดับที่ : 4 ชื่อบทธรรม :- เพราะไม่รู้อริยสัจ จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=63 เนื้อความทั้งหมด :- เพราะไม่รู้อริยสัจ จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ --ภิกษุ ท. ! เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจสี่อย่าง, เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้. --ภิกษุ ท. ! อริยสัจสี่อย่าง เหล่าไหนเล่า ? --ภิกษุ ท. ! เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่ง อริยสัจคือ ทุกข์, อริยสัจคือ เหตุให้เกิดทุกข์, อริยสัจคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ และ อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ; เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาล ยืดยาวนานถึงเพียงนี้. --ภิกษุ ท. ! เมื่ออริยสัจ คือ ทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความดับไม่เหลือของทุกข์ และ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์, เป็นความจริงที่เราและพวกเธอทั้งหลาย รู้ถึง และแทงตลอดแล้ว ; ตัณหาในภพ ก็ถูกถอนขึ้นขาดตัณหาที่จะนำไปสู่ภพ ก็สิ้นไปหมด บัดนี้ความต้องเกิดขึ้นอีก มิได้มี ; ดังนี้.- #ทุกข์ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/428/1698. http://etipitaka.com/read/thai/19/428/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%99%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๑/๑๖๙๘. http://etipitaka.com/read/pali/19/541/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%99%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=63 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=1&id=4 ลำดับสาธยายธรรม : 1 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_01.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การรู้จักอันตคาหิกทิฏฐิไม่เกี่ยวกับ
    -การรู้จักอันตคาหิกทิฏฐิไม่เกี่ยวกับ การรู้อริยสัจและการประพฤติพรหมจรรย์ มาลุงก๎ยบุตร ! อะไรเล่า เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ ? มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “โลกเที่ยง” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “โลกไม่เที่ยง” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “โลกมีที่สิ้นสุด” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “โลกไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีก” ดังนี้เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมไม่มีอีก” ดังนี้เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็มี ไม่มีอีกก็มี” ดังนี้ เป็นสิ่งเราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! ทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็หามิได้ ไม่มีอีกก็หามิได้” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! เพราะเหตุไร นั่นจึงเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ ? เพราะเหตุว่า นั่นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความระงับ ความรู้ยิ่งความรู้พร้อม และนิพพาน, เหตุนั้น นั่นจึงเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! อะไรเล่า เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์ ? มาลุงก๎ยบุตร ! สัจจะว่า “นี้ ความทุกข์” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! สัจจะว่า “นี้ เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! สัจจะว่า “นี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! สัจจะว่า “นี้ ทางเดินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดังนี้ เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์. มาลุงก๎ยบุตร ! เพราะเหตุไร นั่นจึงเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์ ? เพราะเหตุว่า นั่น ประกอบด้วยประโยชน์ นั่น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ นั่นเป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับไม่เหลือ ความระงับความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน, เหตุนั้น นั่นเราจึงพยากรณ์. มาลุงกย๎บุตร ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอจงถือเอาสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ และสิ่งที่เราพยากรณ์โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์ ดังนี้เถิด. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า “โลกเที่ยง” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้ ; เมื่อทิฏฐิว่า “โลกไม่เที่ยง” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า โลกเที่ยง หรือว่า โลกไม่เที่ยง ก็ตาม มีอยู่ ; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมีมรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเป็น สิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า “โลกมีที่สิ้นสุด” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้ ; เมื่อทิฏฐิว่า “โลกไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า โลกมีที่สิ้นสุด หรือว่า โลกไม่มีที่สิ้นสุด ก็ตาม มีอยู่ ; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลายก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า “ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้ ; เมื่อทิฏฐิว่า “ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า ชีวะก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น หรือว่าชีวะก็ อันอื่น สรีระก็อันอื่น ก็ตาม มีอยู่, ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการ กำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีก” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้ ; เมื่อทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมไม่มีอีก” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อีกนั่นเอง. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีก หรือว่า ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมไม่มีอีก ก็ตามมีอยู่ ; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีก ก็มีไม่มีอีกก็มี” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้ ;nเมื่อทิฏฐิว่า “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็หามิได้ไม่มีอีกก็หามิได้” ดังนี้ มีอยู่, มันจะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมาก็หามิได้อยู่นั่นเอง. มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อทิฏฐิว่า ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีกก็มีไม่มีอีกก็มี หรือว่า ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีกก็หามิได้ไม่มีอีกก็หามิได้ ก็ตาม มีอยู่ ; ชาติก็ยังมี ชราก็ยังมี มรณะก็ยังมี, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ก็ยังมี, อันเป็นสิ่งที่เราบัญญัติการกำจัดมันเสียในทิฏฐธรรมนี้.
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาลักษณะแห่งภวตัณหา
    สัทธรรมลำดับที่ : 272
    ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งภวตัณหา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=272
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ลักษณะแห่งภวตัณหา
    --ภิกษุ ท. ! ภวโยคะ (#การประกอบอยู่ด้วยภพ) เป็นอย่างไรเล่า ?
    http://etipitaka.com/read/pali/21/13/?keywords=ภวโยโค
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัด ตามที่เป็นจริง
    ซึ่งความก่อขึ้นแห่งภพทั้งหลาย
    ซึ่งความดับไปแห่งภพทั้งหลาย
    ซึ่งรสอร่อยแห่งภพทั้งหลาย
    ซึ่งโทษแห่งภพทั้งหลาย และ
    ซึ่งอุบายเครื่องออกพ้นไปได้จากภพทั้งหลาย.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อเขาไม่รู้อยู่อย่างนั้น,
    ความกำหนัดในภพ ความเพลิดเพลินในภพ ความเสน่หาในภพ ความสยบในภพ
    ความหิวระหายในภพ ความเร่าร้อนเพราะภพ ความเมาหมกในภพ
    และ #ภวตัณหาในภพทั้งหลาย ย่อมนอนเนื่องอยู่ในบุคคลนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! นี้ เราเรียกว่า ภวโยคะ (การประกอบอยู่ด้วยภพ),
    ดังนี้แล.-

    #ทุกขสมุทัย#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ.21/9/10.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/9/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ.๒๑/๑๓/๑๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/13/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=272
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=272
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาลักษณะแห่งภวตัณหา สัทธรรมลำดับที่ : 272 ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งภวตัณหา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=272 เนื้อความทั้งหมด :- --ลักษณะแห่งภวตัณหา --ภิกษุ ท. ! ภวโยคะ (#การประกอบอยู่ด้วยภพ) เป็นอย่างไรเล่า ? http://etipitaka.com/read/pali/21/13/?keywords=ภวโยโค --ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัด ตามที่เป็นจริง ซึ่งความก่อขึ้นแห่งภพทั้งหลาย ซึ่งความดับไปแห่งภพทั้งหลาย ซึ่งรสอร่อยแห่งภพทั้งหลาย ซึ่งโทษแห่งภพทั้งหลาย และ ซึ่งอุบายเครื่องออกพ้นไปได้จากภพทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! เมื่อเขาไม่รู้อยู่อย่างนั้น, ความกำหนัดในภพ ความเพลิดเพลินในภพ ความเสน่หาในภพ ความสยบในภพ ความหิวระหายในภพ ความเร่าร้อนเพราะภพ ความเมาหมกในภพ และ #ภวตัณหาในภพทั้งหลาย ย่อมนอนเนื่องอยู่ในบุคคลนั้น. --ภิกษุ ท. ! นี้ เราเรียกว่า ภวโยคะ (การประกอบอยู่ด้วยภพ), ดังนี้แล.- #ทุกขสมุทัย​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ.21/9/10. http://etipitaka.com/read/thai/21/9/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ.๒๑/๑๓/๑๐. http://etipitaka.com/read/pali/21/13/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=272 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=272 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ลักษณะแห่งภวตัณหา
    -ลักษณะแห่งภวตัณหา ภิกษุ ท. ! ภวโยคะ (การประกอบอยู่ด้วยภพ) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัด ตามที่เป็นจริง ซึ่งความก่อขึ้นแห่งภพทั้งหลาย ซึ่งความดับไปแห่งภพทั้งหลาย ซึ่งรสอร่อยแห่งภพทั้งหลาย ซึ่งโทษแห่งภพทั้งหลาย และซึ่งอุบายเครื่องออกพ้นไปได้จากภพทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เมื่อเขาไม่รู้อยู่อย่างนั้น, ความกำหนัดในภพ ความเพลิดเพลินในภพ ความเสน่หาในภพ ความสยบในภพ ความหิวระหายในภพ ความเร่าร้อนเพราะภพ ความเมาหมกในภพ และภวตัณหาในภพทั้งหลาย ย่อมนอนเนื่องอยู่ในบุคคลนั้น. ภิกษุ ท. ! นี้ เราเรียกว่า ภวโยคะ (การประกอบอยู่ด้วยภพ), ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดว่ากามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือหรือเป็นดุจหัวงู
    สัทธรรมลำดับที่ : 271
    ชื่อบทธรรม :- กามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=271
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --กามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือ
    --เมื่อสัตว์ มีความใคร่ในกามอยู่,
    ถ้ากามนั้น สำเร็จแก่เขา คือเขาได้ตามปรารถนาแล้ว,
    เขา ย่อมมีปีติในใจ โดยแท้.
    http://etipitaka.com/read/pali/25/484/?keywords=กาม
    +--เมื่อสัตว์ ผู้มีความพอใจ กำลังใคร่ในกามอยู่,
    ถ้ากามนั้น สูญหายไป, เขา ย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกแทง ด้วยศร ฉะนั้น.
    +--ผู้ใด เว้นขาดจากกาม ด้วยความเห็น ว่า เป็นดุจหัวงู
    ผู้นั้นเป็นคนมีสติ ล่วงพ้นตัณหาอันส่ายไปในโลกเสียได้.
    +--ผู้ใด เข้าไปผูกใจอยู่ในที่นา ที่สวน เงิน โค ม้า ทาสชายและสตรี พวกพ้อง และ
    กามทั้งหลายอื่น ๆ เป็น อันมาก กิเลสมารย่อมครอบงำบุคคลผู้นั้นได้,
    http://etipitaka.com/read/pali/25/484/?keywords=กาม
    อันตรายรอบด้าน ย่อมย่ำยีบุคคลผู้นั้น ;
    +--เพราะเหตุนั้น ความทุกข์ ย่อมติดตามเขา เหมือนน้ำไหลเข้าสู่เรืออันแตกแล้ว ฉะนั้น.
    --เพราะฉะนั้น บุคคล ควรเป็นผู้มีสติ ทุกเมื่อ,
    พึงเว้นขาดจากกาม,
    #ละกามแล้วพึงข้ามโอฆะเสียได้ดุจบุคคลอุดยาเรือดีแล้วก็พึงข้ามไปถึงฝั่งโน้น (นิพพาน) ได้
    ฉะนั้น แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สุตฺต.ขุ. 25/360/408.
    http://etipitaka.com/read/thai/25/360/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%90%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สุตฺต.ขุ. ๒๕/๔๘๔/๔๐๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/25/484/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%90%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=271
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=271
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18
    ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดว่ากามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือหรือเป็นดุจหัวงู สัทธรรมลำดับที่ : 271 ชื่อบทธรรม :- กามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=271 เนื้อความทั้งหมด :- --กามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือ --เมื่อสัตว์ มีความใคร่ในกามอยู่, ถ้ากามนั้น สำเร็จแก่เขา คือเขาได้ตามปรารถนาแล้ว, เขา ย่อมมีปีติในใจ โดยแท้. http://etipitaka.com/read/pali/25/484/?keywords=กาม +--เมื่อสัตว์ ผู้มีความพอใจ กำลังใคร่ในกามอยู่, ถ้ากามนั้น สูญหายไป, เขา ย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกแทง ด้วยศร ฉะนั้น. +--ผู้ใด เว้นขาดจากกาม ด้วยความเห็น ว่า เป็นดุจหัวงู ผู้นั้นเป็นคนมีสติ ล่วงพ้นตัณหาอันส่ายไปในโลกเสียได้. +--ผู้ใด เข้าไปผูกใจอยู่ในที่นา ที่สวน เงิน โค ม้า ทาสชายและสตรี พวกพ้อง และ กามทั้งหลายอื่น ๆ เป็น อันมาก กิเลสมารย่อมครอบงำบุคคลผู้นั้นได้, http://etipitaka.com/read/pali/25/484/?keywords=กาม อันตรายรอบด้าน ย่อมย่ำยีบุคคลผู้นั้น ; +--เพราะเหตุนั้น ความทุกข์ ย่อมติดตามเขา เหมือนน้ำไหลเข้าสู่เรืออันแตกแล้ว ฉะนั้น. --เพราะฉะนั้น บุคคล ควรเป็นผู้มีสติ ทุกเมื่อ, พึงเว้นขาดจากกาม, #ละกามแล้วพึงข้ามโอฆะเสียได้ดุจบุคคลอุดยาเรือดีแล้วก็พึงข้ามไปถึงฝั่งโน้น (นิพพาน) ได้ ฉะนั้น แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สุตฺต.ขุ. 25/360/408. http://etipitaka.com/read/thai/25/360/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%90%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สุตฺต.ขุ. ๒๕/๔๘๔/๔๐๘. http://etipitaka.com/read/pali/25/484/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%90%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=271 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18&id=271 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=18 ลำดับสาธยายธรรม : 18 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_18.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - กามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือ
    -กามเปรียบด้วยรูรั่วของเรือ เมื่อสัตว์ มีความใคร่ในกามอยู่, ถ้ากามนั้น สำเร็จแก่เขา คือเขาได้ตามปรารถนาแล้ว, เขา ย่อมมีปีติในใจ โดยแท้. เมื่อสัตว์ ผู้มีความพอใจ กำลังใคร่ในกามอยู่, ถ้ากามนั้น สูญหายไป, เขา ย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกแทง ด้วยศร ฉะนั้น. ผู้ใด เว้นขาดจากกาม ด้วยความเห็น ว่า เป็นดุจหัวงู ผู้นั้นเป็นคนมีสติ ล่วงพ้นตัณหาอันส่ายไปในโลกเสียได้. ผู้ใด เข้าไปผูกใจอยู่ในที่นา ที่สวน เงิน โค ม้า ทาสชายและสตรี พวกพ้อง และกามทั้งหลายอื่น ๆเป็น อันมาก กิเลสมารย่อมครอบงำบุคคลผู้นั้นได้, อันตรายรอบด้าน ย่อมย่ำยีบุคคลผู้นั้น ; เพราะเหตุนั้น ความทุกข์ ย่อมติดตามเขา เหมือนน้ำไหลเข้าสู่เรืออันแตกแล้ว ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น บุคคล ควรเป็นผู้มีสติ ทุกเมื่อ, พึงเว้นขาดจากกาม, ละกามแล้ว พึงข้ามโอฆะเสียได้ ดุจบุคคลอุดยาเรือดีแล้ว ก็พึงข้ามไปถึงฝั่งโน้น (นิพพาน) ได้ ฉะนั้น แล.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • ระวังตัณหา
    พาก่อกรรมชั่ว
    เดือดร้อนไปทั่ว
    พัวพันถึงตัว

    กิเลสความอยาก
    ลากพาไปทั่ว
    ก่อกรรมทำชั่ว
    นัวเนียติดอยู่

    อยากหรือไม่อยาก
    หากไม่ตามรู้
    ควบคุมให้อยู่
    สู้ทุกข์ไม่ได้

    อยากหรือไม่อยาก
    หากสติหาย
    กระวนกระวาย
    ไปตามความอยาก

    กิเลสกรรมชั่ว
    พัวพันความอยาก
    ยึดแล้วลำบาก
    ลากสู่ทุกข์ภัย

    ยิ่งยึดยิ่งทุกข์
    ซุกหมักหมมไว้
    ชำระไม่ได้
    ล้วนไม่สบาย

    ศีลธรรมกรรมดี
    มีอยากทำไป
    สติครองไว้
    ทำไปวางไป

    มีธรรมสายกลาง
    ทางประเสริฐไว้
    รู้ตามจริงได้
    ไกลทุกข์พอใจ

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลชัย

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ระวังตัณหา พาก่อกรรมชั่ว เดือดร้อนไปทั่ว พัวพันถึงตัว กิเลสความอยาก ลากพาไปทั่ว ก่อกรรมทำชั่ว นัวเนียติดอยู่ อยากหรือไม่อยาก หากไม่ตามรู้ ควบคุมให้อยู่ สู้ทุกข์ไม่ได้ อยากหรือไม่อยาก หากสติหาย กระวนกระวาย ไปตามความอยาก กิเลสกรรมชั่ว พัวพันความอยาก ยึดแล้วลำบาก ลากสู่ทุกข์ภัย ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ซุกหมักหมมไว้ ชำระไม่ได้ ล้วนไม่สบาย ศีลธรรมกรรมดี มีอยากทำไป สติครองไว้ ทำไปวางไป มีธรรมสายกลาง ทางประเสริฐไว้ รู้ตามจริงได้ ไกลทุกข์พอใจ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลชัย นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • กรรมดีไม่ผุด
    ไม่หยุดกรรมชั่ว
    พาให้เมามัว
    ชั่วพามืดมิด

    กิเลสตัณหา
    พามาปกปิด
    ความเห็นก็ผิด
    บิดเบือนธรรมแท้

    ธรรมแท้ถูกตรง
    คงความจริงแน่
    รู้แล้วดูแล
    แก้ไขขวนขวาย

    ชำระกำจัด
    ปัดเป่าทุกข์ภัย
    กิเลสมารร้าย
    ให้ดับสิ้นไป

    มีธรรมความจริง
    อิงแนบอาศัย
    ศรัทธาไว้ใจ
    ให้ธรรมความจริง

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลขัย

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    กรรมดีไม่ผุด ไม่หยุดกรรมชั่ว พาให้เมามัว ชั่วพามืดมิด กิเลสตัณหา พามาปกปิด ความเห็นก็ผิด บิดเบือนธรรมแท้ ธรรมแท้ถูกตรง คงความจริงแน่ รู้แล้วดูแล แก้ไขขวนขวาย ชำระกำจัด ปัดเป่าทุกข์ภัย กิเลสมารร้าย ให้ดับสิ้นไป มีธรรมความจริง อิงแนบอาศัย ศรัทธาไว้ใจ ให้ธรรมความจริง ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลขัย นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • สติดูรู้เท่าทัน
    จิตตั้งมั่นปัญญาเกิด
    เห็นกระจ่างทางประเสริฐ
    ไม่เตลิดเกิดธรรมจริง

    ธรรมถูกตรงคงที่แน่
    กิเลสแย่แก้ดั่งลิง
    ถูกตัณหาพารุ่งริ่ง
    กรรมยุ่งยิ่งยิ่งทุกข์ตรม

    ธรรมถูกตรงปลงได้แน่
    จริงแน่แท้และเกลียวกลม
    ธรรมสว่างทางเหมาะสม
    ปัญญาคมบ่มฟอกจิต

    ธรรมฟอกจิตจิตผ่องแผ้ว
    ถูกตรงแนวแผ้วถางจิต
    บริสุทธิ์ผุดผ่องจิต
    แท้ธรรมจิตมิตรเพื่อนตาย

    จิตฟอกกายให้ผุดผ่อง
    พาคล้องจองต้องจิตกาย
    ธรรมความจริงยิ่งอาศัย
    ปีติได้ให้ศรัทธา

    ขอให้พบธรรมความจริงมีความสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลชัย

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    สติดูรู้เท่าทัน จิตตั้งมั่นปัญญาเกิด เห็นกระจ่างทางประเสริฐ ไม่เตลิดเกิดธรรมจริง ธรรมถูกตรงคงที่แน่ กิเลสแย่แก้ดั่งลิง ถูกตัณหาพารุ่งริ่ง กรรมยุ่งยิ่งยิ่งทุกข์ตรม ธรรมถูกตรงปลงได้แน่ จริงแน่แท้และเกลียวกลม ธรรมสว่างทางเหมาะสม ปัญญาคมบ่มฟอกจิต ธรรมฟอกจิตจิตผ่องแผ้ว ถูกตรงแนวแผ้วถางจิต บริสุทธิ์ผุดผ่องจิต แท้ธรรมจิตมิตรเพื่อนตาย จิตฟอกกายให้ผุดผ่อง พาคล้องจองต้องจิตกาย ธรรมความจริงยิ่งอาศัย ปีติได้ให้ศรัทธา ขอให้พบธรรมความจริงมีความสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลชัย นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาความอร่อยกลางกองทุกข์-(ความลวงของกาม)
    สัทธรรมลำดับที่ : 260
    ชื่อบทธรรม :- ความอร่อยกลางกองทุกข์-(ความลวงของกาม)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=260
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ความอร่อยกลางกองทุกข์-(ความลวงของกาม)
    --มาคัณฑิยะ ! บุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล สุกปลั่ง ถูกตัวเชื้อโรค แทะกัดอยู่
    ใช้เล็บเกาปากแผลอยู่ รมตัวอยู่ที่หลุมถ่านไฟ.
    --มาคัณฑิยะ ! เขา ทำเช่นนั้นอยู่เพียงใด, ปากแผลของเขา ก็ยิ่งไม่สะอาด
    ยิ่งมีกลิ่นเหม็น และเปื่อยเน่ามากยิ่งขึ้น อยู่เพียงนั้น,
    จะมีความรู้สึกสักว่า ความพอใจ และความสบายเนื้ออยู่บ้าง
    ก็ตรงที่แผลได้รับการเกาหรือการอบอุ่น เพราะไฟนั้นเป็นเหตุ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ;
    --มาคัณฑิยะ ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ สัตว์ทั้งหลาย
    ยังเป็นผู้ไม่ไปปราศจากความกำหนัดใน #กามทั้งหลาย
    ถูกกามตัณหาแทะกัดอยู่ ถูกความเร่าร้อน
    เพราะกามแผดเผาอยู่ ก็ยังขืนเสพกามทั้งหลายอยู่นั่นเอง.
    --มาคัณฑิยะ ! เขายังทำเช่นนั้น อยู่เพียงใด,
    กามตัณหาของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเจริญขึ้นด้วย
    เขาถูกความเร่าร้อนเพราะกามแผดเผาอยู่ด้วย
    และสัตว์เหล่านั้น จะมีความรู้สึกสักว่าความพอใจ
    และความสบายเนื้ออยู่บ้าง
    ก็ตรงที่รสอันอาศัยกามคุณ ๕ เป็นเหตุอยู่เพียงนั้น
    เท่านั้นแล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/215/285.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/215/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๒๗๔/๒๘๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/279/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=260
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=260
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17
    ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาความอร่อยกลางกองทุกข์-(ความลวงของกาม) สัทธรรมลำดับที่ : 260 ชื่อบทธรรม :- ความอร่อยกลางกองทุกข์-(ความลวงของกาม) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=260 เนื้อความทั้งหมด :- --ความอร่อยกลางกองทุกข์-(ความลวงของกาม) --มาคัณฑิยะ ! บุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล สุกปลั่ง ถูกตัวเชื้อโรค แทะกัดอยู่ ใช้เล็บเกาปากแผลอยู่ รมตัวอยู่ที่หลุมถ่านไฟ. --มาคัณฑิยะ ! เขา ทำเช่นนั้นอยู่เพียงใด, ปากแผลของเขา ก็ยิ่งไม่สะอาด ยิ่งมีกลิ่นเหม็น และเปื่อยเน่ามากยิ่งขึ้น อยู่เพียงนั้น, จะมีความรู้สึกสักว่า ความพอใจ และความสบายเนื้ออยู่บ้าง ก็ตรงที่แผลได้รับการเกาหรือการอบอุ่น เพราะไฟนั้นเป็นเหตุ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; --มาคัณฑิยะ ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ สัตว์ทั้งหลาย ยังเป็นผู้ไม่ไปปราศจากความกำหนัดใน #กามทั้งหลาย ถูกกามตัณหาแทะกัดอยู่ ถูกความเร่าร้อน เพราะกามแผดเผาอยู่ ก็ยังขืนเสพกามทั้งหลายอยู่นั่นเอง. --มาคัณฑิยะ ! เขายังทำเช่นนั้น อยู่เพียงใด, กามตัณหาของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเจริญขึ้นด้วย เขาถูกความเร่าร้อนเพราะกามแผดเผาอยู่ด้วย และสัตว์เหล่านั้น จะมีความรู้สึกสักว่าความพอใจ และความสบายเนื้ออยู่บ้าง ก็ตรงที่รสอันอาศัยกามคุณ ๕ เป็นเหตุอยู่เพียงนั้น เท่านั้นแล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/215/285. http://etipitaka.com/read/thai/13/215/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๒๗๔/๒๘๕. http://etipitaka.com/read/pali/13/279/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=260 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=260 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17 ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (ในสูตรต่อไป ได้ตรัสถึงในกรณีแห่ง อายตนะภายนอกหก ซึ่งมีข้อความเหมือนในกรณีแห่ง อายตนะภายในข้างบนนี้ทุกประการ ต่างแต่ชื่ออายตนะ).
    -(ในสูตรต่อไป ได้ตรัสถึงในกรณีแห่ง อายตนะภายนอกหก ซึ่งมีข้อความเหมือนในกรณีแห่ง อายตนะภายในข้างบนนี้ทุกประการ ต่างแต่ชื่ออายตนะ). ความอร่อยกลางกองทุกข์ (ความลวงของกาม) มาคัณฑิยะ ! บุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล สุกปลั่ง ถูกตัวเชื้อโรค แทะกัดอยู่ ใช้เล็บเกาปากแผลอยู่ รมตัวอยู่ที่หลุมถ่านไฟ. มาคัณฑิยะ ! เขา ทำเช่นนั้นอยู่เพียงใด, ปากแผลของเขา ก็ยิ่งไม่สะอาด ยิ่งมีกลิ่นเหม็น และ เปื่อยเน่ามากยิ่งขึ้น อยู่เพียงนั้น, จะมีความรู้สึกสักว่า ความพอใจ และความสบายเนื้ออยู่บ้าง ก็ตรงที่แผลได้รับการเกาหรือการอบอุ่น เพราะไฟนั้นเป็นเหตุ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; มาคัณฑิยะ ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ สัตว์ทั้งหลาย ยังเป็นผู้ไม่ไปปราศจากความกำหนัดในกามทั้งหลาย ถูกกามตัณหาแทะกัดอยู่ ถูกความเร่าร้อน เพราะกามแผดเผาอยู่ ก็ยังขืนเสพกามทั้งหลายอยู่นั่นเอง. มาคัณฑิยะ ! เขายังทำเช่นนั้น อยู่เพียงใด, กามตัณหาของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเจริญขึ้นด้วย เขาถูกความเร่าร้อนเพราะกามแผดเผาอยู่ด้วย และสัตว์เหล่านั้น จะมีความรู้สึกสักว่าความพอใจ และความสบายเนื้ออยู่บ้าง ก็ตรงที่รสอันอาศัยกามคุณ ๕ เป็นเหตุอยู่เพียงนั้น เท่านั้นแล.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาเข้าไปหาความตายเพราะกาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 257
    ชื่อบทธรรม :- เข้าไปหาความตายเพราะกาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=257
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --เข้าไปหาความตายเพราะกาม
    -เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ทรงครองจีวร ถือบาตร เ ข้าไปบิณฑบาต ในเมืองสาวัตถี,
    พระพุทธองค์ ได้ทรงเห็นหมู่มนุษย์ในเมืองสาวัตถีเหล่านั้น
    ซึ่งกำลังข้องเกี่ยว #ติดพันอยู่กะกาม กำหนัดในกาม เมาหมกอยู่ในกาม เป็นอยู่โดยส่วนมาก,
    http://etipitaka.com/read/pali/25/200/?keywords=กาเมสุ+สตฺเต

    จึงทรงเปล่งพระอุทานนี้ ว่า :-
    -“สัตว์ทั้งหลาย ผู้มืดมนธ์เพราะอำนาจแห่งกาม
    ถูกตัณหา เป็นดุจข่ายเครื่องดักสัตว์ปกคลุมไว้
    ถูกเครื่องมุงคือ ตัณหาปิดบังไว้
    ถูกหมู่มารซึ่งเป็นเหมือนพวกพ้องของผู้ประมาท จองจำตัวไว้
    ย่อมไปสู่ชราและมรณะ
    เหมือนปลาเข้าไปสู่ปากแห่งเครื่องดัก
    หรือเหมือนลูกโคที่ยังดื่มนมเข้าไปหาแม่ ฉะนั้น”
    ดังนี้ แล.-

    #ทุกขสมุทัย#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก#พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุ. ขุ. 25/137/150.
    http://etipitaka.com/read/thai/25/137/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๐/๑๕๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/25/200/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=257
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=257
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17
    ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาเข้าไปหาความตายเพราะกาม สัทธรรมลำดับที่ : 257 ชื่อบทธรรม :- เข้าไปหาความตายเพราะกาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=257 เนื้อความทั้งหมด :- --เข้าไปหาความตายเพราะกาม -เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองจีวร ถือบาตร เ ข้าไปบิณฑบาต ในเมืองสาวัตถี, พระพุทธองค์ ได้ทรงเห็นหมู่มนุษย์ในเมืองสาวัตถีเหล่านั้น ซึ่งกำลังข้องเกี่ยว #ติดพันอยู่กะกาม กำหนัดในกาม เมาหมกอยู่ในกาม เป็นอยู่โดยส่วนมาก, http://etipitaka.com/read/pali/25/200/?keywords=กาเมสุ+สตฺเต จึงทรงเปล่งพระอุทานนี้ ว่า :- -“สัตว์ทั้งหลาย ผู้มืดมนธ์เพราะอำนาจแห่งกาม ถูกตัณหา เป็นดุจข่ายเครื่องดักสัตว์ปกคลุมไว้ ถูกเครื่องมุงคือ ตัณหาปิดบังไว้ ถูกหมู่มารซึ่งเป็นเหมือนพวกพ้องของผู้ประมาท จองจำตัวไว้ ย่อมไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาเข้าไปสู่ปากแห่งเครื่องดัก หรือเหมือนลูกโคที่ยังดื่มนมเข้าไปหาแม่ ฉะนั้น” ดังนี้ แล.- #ทุกขสมุทัย​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก​ #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุ. ขุ. 25/137/150. http://etipitaka.com/read/thai/25/137/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๐/๑๕๐. http://etipitaka.com/read/pali/25/200/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=257 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=257 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17 ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เข้าไปหาความตายเพราะกาม
    -เข้าไปหาความตายเพราะกาม เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองจีวร ถือบาตร เ ข้าไปบิณฑบาต ในเมืองสาวัตถี, พระพุทธองค์ ได้ทรงเห็นหมู่มนุษย์ในเมืองสาวัตถีเหล่านั้น ซึ่งกำลังข้องเกี่ยว ติดพัน อยู่กะกาม กำหนัดในกาม เมาหมกอยู่ในกาม เป็นอยู่โดยส่วนมาก, จึงทรงเปล่งพระอุทานนี้ ว่า : “สัตว์ทั้งหลาย ผู้มืดมนธ์เพราะอำนาจแห่งกาม ถูกตัณหา เป็นดุจข่ายเครื่องดักสัตว์ปกคลุมไว้ ถูกเครื่องมุงคือ ตัณหาปิดบังไว้ ถูกหมู่มารซึ่งเป็นเหมือนพวกพ้องของผู้ประมาท จองจำตัวไว้ ย่อมไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาเข้าไปสู่ปากแห่งเครื่องดัก หรือเหมือนลูกโคที่ยังดื่มนมเข้าไปหาแม่ ฉะนั้น” ดังนี้ แล.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • คนแอบถามกันว่าพราหมณ์เป็นฮินดู..รึ วันนี้ชี้แจงไปเล่าเรื่องความเป็นมาให้เขาฟัง ศาสนาในโลกนี้ก็มีศาสนาพากันพ้นทุกข์ ละเลิกกิเลส ตัณหาราคะ
    เทพท่านไม่มีธรรมะ ไม่มีบทสอนทางด้านทุกข์ ใดๆ ท่านทำแค่อวยพรให้สมปรารถนา ใครอยากได้อยากมีต้องสะสมบุญกุศลมาเองแล้วจะอวยพรให้ได้เร็วขึ้น
    คนแอบถามกันว่าพราหมณ์เป็นฮินดู..รึ วันนี้ชี้แจงไปเล่าเรื่องความเป็นมาให้เขาฟัง ศาสนาในโลกนี้ก็มีศาสนาพากันพ้นทุกข์ ละเลิกกิเลส ตัณหาราคะ เทพท่านไม่มีธรรมะ ไม่มีบทสอนทางด้านทุกข์ ใดๆ ท่านทำแค่อวยพรให้สมปรารถนา ใครอยากได้อยากมีต้องสะสมบุญกุศลมาเองแล้วจะอวยพรให้ได้เร็วขึ้น
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา
    สัทธรรมลำดับที่ : 1001
    ชื่อบทธรรม :- ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1001
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา
    --ภิกษุ ท. ! สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา(ทางดำเนินแห่งจิตให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งสักกายะ)
    เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ อริยสาวกผู้มีการสดับ
    ได้เห็นพระอริยเจ้าฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า
    ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า
    ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
    ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ :-
    +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งรูป โดยความเป็นตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีรูป
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งรูปว่ามีอยู่ในตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในรูป บ้าง ;
    +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งเวทนา โดยความเป็นตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีเวทนา
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งเวทนาว่ามีอยู่ในตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในเวทนา บ้าง ;
    +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งสัญญา โดยความเป็นตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีสัญญา
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งสัญญาว่ามีอยู่ในตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในสัญญา บ้าง ;
    +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งสังขาร โดยความเป็นตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีสังขาร
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งสังขารว่ามีอยู่ในตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในสังขาร บ้าง ;
    +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณ โดยความเป็นตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีวิญญาณ
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณว่ามีอยู่ในตน
    หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในวิญญาณ บ้าง.
    --ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา
    http://etipitaka.com/read/pali/17/55/?keywords=สกฺกายนิโรธคามินี
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้อธิบายว่า ข้อ (ที่กล่าวมาทั้งหมด) นั้น
    เรียกว่า #การตามเห็นอันเป็นเครื่องให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งทุกข์(ทุกฺขนิโรธคามินี สมนุปสฺสนา).-
    http://etipitaka.com/read/pali/17/56/?keywords=ทุกฺขนิโรธคามินี+สมนุปสฺสนาติ

    (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า
    ทุกขนิโรธคามิน​ี สมนุปัสสนา นั่นแหละ
    คือสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา (ทางดำเนินแห่งจิตให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งสักกายะ).
    คำว่า ปฏิปทา ในกรณีเช่นนี้ หมายถึง ทางดำเนินแห่งจิต
    มิใช่การปฏิบัติด้วยเจตนา;
    ได้แก่ ความเห็นไม่ผิดเหล่านั้นนั่นเองเป็นตัวปฏิปทา.
    --ในบาลีแห่งอื่น ( อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๑ )
    http://etipitaka.com/read/pali/14/516/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%92
    แทนที่จะยกเอาเบญจขันธ์มาเป็นวัตถุแห่งการเห็น
    แต่ได้ตรัสยกเอาอายตนิกธรรม ๖ หมวด คือ
    อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก วิญญาณหก ผัสสะหก เวทนาหก ตัณหาหก
    มาเป็นวัตถุแห่งการตามเห็นเกี่ยวกับไม่มีตัวตน;
    และทรงเรียกการตามเห็นนั้นว่า ทางดำเนินแห่งจิตให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งสักกายะ
    อย่างเดียวกับสูตรข้างบน
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/44/90.
    http://etipitaka.com/read/thai/17/44/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๕/๙๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/55/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1001
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86&id=1001
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86
    ลำดับสาธยายธรรม : 86 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_86.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา สัทธรรมลำดับที่ : 1001 ชื่อบทธรรม :- ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1001 เนื้อความทั้งหมด :- --ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา --ภิกษุ ท. ! สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา(ทางดำเนินแห่งจิตให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งสักกายะ) เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ อริยสาวกผู้มีการสดับ ได้เห็นพระอริยเจ้าฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ :- +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งรูป โดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีรูป หรือไม่ตามเห็นซึ่งรูปว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในรูป บ้าง ; +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งเวทนา โดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีเวทนา หรือไม่ตามเห็นซึ่งเวทนาว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในเวทนา บ้าง ; +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งสัญญา โดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีสัญญา หรือไม่ตามเห็นซึ่งสัญญาว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในสัญญา บ้าง ; +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งสังขาร โดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีสังขาร หรือไม่ตามเห็นซึ่งสังขารว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในสังขาร บ้าง ; +--ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณ โดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีวิญญาณ หรือไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในวิญญาณ บ้าง. --ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา http://etipitaka.com/read/pali/17/55/?keywords=สกฺกายนิโรธคามินี ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้อธิบายว่า ข้อ (ที่กล่าวมาทั้งหมด) นั้น เรียกว่า #การตามเห็นอันเป็นเครื่องให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งทุกข์(ทุกฺขนิโรธคามินี สมนุปสฺสนา).- http://etipitaka.com/read/pali/17/56/?keywords=ทุกฺขนิโรธคามินี+สมนุปสฺสนาติ (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ทุกขนิโรธคามิน​ี สมนุปัสสนา นั่นแหละ คือสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา (ทางดำเนินแห่งจิตให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งสักกายะ). คำว่า ปฏิปทา ในกรณีเช่นนี้ หมายถึง ทางดำเนินแห่งจิต มิใช่การปฏิบัติด้วยเจตนา; ได้แก่ ความเห็นไม่ผิดเหล่านั้นนั่นเองเป็นตัวปฏิปทา. --ในบาลีแห่งอื่น ( อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๑ ) http://etipitaka.com/read/pali/14/516/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%92 แทนที่จะยกเอาเบญจขันธ์มาเป็นวัตถุแห่งการเห็น แต่ได้ตรัสยกเอาอายตนิกธรรม ๖ หมวด คือ อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก วิญญาณหก ผัสสะหก เวทนาหก ตัณหาหก มาเป็นวัตถุแห่งการตามเห็นเกี่ยวกับไม่มีตัวตน; และทรงเรียกการตามเห็นนั้นว่า ทางดำเนินแห่งจิตให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งสักกายะ อย่างเดียวกับสูตรข้างบน ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/44/90. http://etipitaka.com/read/thai/17/44/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๕/๙๐. http://etipitaka.com/read/pali/17/55/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1001 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86&id=1001 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86 ลำดับสาธยายธรรม : 86 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_86.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา
    -(การที่ทรงยืนยันว่า ธรรมบท ๔ อย่างเหล่านี้ มีมาแต่โบราณ ติดต่อสืบกันมาไม่ขาดสาย โดยไม่มีใครคัดค้าน จนถึงทุกวันนี้ ย่อมเป็นการแสดงว่าต้องมีมารวมอยู่ในคำสอนของพระองค์ในบัดนี้ : อนภิชฌา และอัพยาบาท คือ สัมมาสังกัปปะ รวมกันกับสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เป็นสามองค์ในบรรดาองค์มรรคทั้งแปด จึงได้นำข้อความนี้มารวมไว้ในหมวดนี้ อันเป็นหมวดที่รวมแห่งมรรค). ข้อปฏิบัติที่เป็นสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา ภิกษุ ท. ! สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา (ทางดำเนินแห่งจิตให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งสักกายะ) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ อริยสาวกผู้มีการสดับ ได้เห็นพระอริยเจ้าฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ : ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งรูปโดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีรูปหรือไม่ตามเห็นซึ่งรูปว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในรูป บ้าง ; ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งเวทนาโดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีเวทนา หรือไม่ตามเห็นซึ่งเวทนาว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในเวทนา บ้าง ; ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งสัญญาโดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีสัญญา หรือไม่ตามเห็นซึ่งสัญญาว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในสัญญา บ้าง ; ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งสังขารโดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีสังขาร หรือไม่ตามเห็นซึ่งสังขารว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในสังขาร บ้าง ; ย่อม ไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณโดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีวิญญาณ หรือไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณว่ามีอยู่ในตน หรือไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีอยู่ในวิญญาณ บ้าง. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้อธิบายว่า ข้อ (ที่กล่าวมาทั้งหมด) นั้น เรียกว่าการตามเห็นอันเป็นเครื่องให้ถึงซึ่งการดับไปแห่งทุกข์ (ทุกฺขนิโรธคามินี สมนุปสฺสนา)-
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาไม่มีความเย็นในกาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 254
    ชื่อบทธรรม :- ไม่มีความเย็นในกาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=254
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ไม่มีความเย็นในกาม
    --“มาคัณฑิยะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร คือ
    ท่านเคยได้เห็นหรือเคยได้ฟังบ้างหรือไม่ ว่า
    พระราชาก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาก็ดี
    ผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่,
    ยังละกามตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อนเพราะกามไม่ได้
    แล้วจะเป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบเย็นอยู่ ณ ภายใน
    ในอดีตก็ตาม กำลังอยู่ในปัจจุบันก็ตาม หรือจักอยู่ในอนาคตก็ตาม
    นั้นมีอยู่บ้างหรือ ?”
    --“ข้อนั้น ไม่เคยมีเลย ท่านโคดม !”
    --มาคัณฑิยะ ! ถูกแล้ว,
    แม้เราเอง ก็ไม่เคยให้เห็นไม่เคยได้ฟังเช่นนั้นเลยว่า
    พระราชาก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาก็ดี
    ผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่,
    ยังละกามตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อนเพราะกามไม่ได้
    แล้วจะเป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบเย็นอยู่ ณ ภายใน
    ในอดีตก็ตาม กำลังอยู่ในปัจจุบันก็ตาม หรือจักอยู่ในอนาคตก็ตาม
    ดังนี้แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก#พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/216/286.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/216/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๒๘๐/๒๘๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/280/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%96
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=254
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=254
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17
    ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาไม่มีความเย็นในกาม สัทธรรมลำดับที่ : 254 ชื่อบทธรรม :- ไม่มีความเย็นในกาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=254 เนื้อความทั้งหมด :- --ไม่มีความเย็นในกาม --“มาคัณฑิยะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร คือ ท่านเคยได้เห็นหรือเคยได้ฟังบ้างหรือไม่ ว่า พระราชาก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาก็ดี ผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่, ยังละกามตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อนเพราะกามไม่ได้ แล้วจะเป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบเย็นอยู่ ณ ภายใน ในอดีตก็ตาม กำลังอยู่ในปัจจุบันก็ตาม หรือจักอยู่ในอนาคตก็ตาม นั้นมีอยู่บ้างหรือ ?” --“ข้อนั้น ไม่เคยมีเลย ท่านโคดม !” --มาคัณฑิยะ ! ถูกแล้ว, แม้เราเอง ก็ไม่เคยให้เห็นไม่เคยได้ฟังเช่นนั้นเลยว่า พระราชาก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาก็ดี ผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่, ยังละกามตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อนเพราะกามไม่ได้ แล้วจะเป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบเย็นอยู่ ณ ภายใน ในอดีตก็ตาม กำลังอยู่ในปัจจุบันก็ตาม หรือจักอยู่ในอนาคตก็ตาม ดังนี้แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก​ #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/216/286. http://etipitaka.com/read/thai/13/216/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๒๘๐/๒๘๖. http://etipitaka.com/read/pali/13/280/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=254 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=254 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17 ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ไม่มีความเย็นในกาม
    -ไม่มีความเย็นในกาม มาคัณฑิยะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร คือ ท่านเคยได้เห็นหรือเคยได้ฟังบ้างหรือไม่ ว่า พระราชาก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาก็ดีผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่, ยังละกามตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อนเพราะกามไม่ได้ แล้วจะเป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบเย็นอยู่ ณ ภายใน ในอดีตก็ตาม กำลังอยู่ในปัจจุบันก็ตาม หรือจักอยู่ในอนาคตก็ตาม นั้นมีอยู่บ้างหรือ ?” “ข้อนั้น ไม่เคยมีเลย ท่านโคดม !” มาคัณฑิยะ ! ถูกแล้ว, แม้เราเอง ก็ไม่เคยให้เห็นไม่เคยได้ฟังเช่นนั้นเลยว่า พระราชาก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาก็ดี ผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่, ยังละกามตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อนเพราะกามไม่ได้ แล้วจะเป็นผู้ปราศจากความกระหาย มีจิตสงบเย็นอยู่ ณ ภายใน ในอดีตก็ตาม กำลังอยู่ในปัจจุบันก็ตาม หรือจักอยู่ในอนาคตก็ตาม ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาการปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง)
    สัทธรรมลำดับที่ : 632
    ชื่อบทธรรม :- การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=632
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง)
    --ภิกษุ ท. !
    --ถ้าภิกษุ แสดงธรรม
    เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด
    เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง #ชราและมรณะ อยู่ไซร้ ;
    ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า
    +--“ผู้กล่าวซึ่งธรรม(ธมฺมกถิ)​” ดังนี้.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=ธมฺมกถิ

    +--ถ้าภิกษุเป็นผู้ ปฏิบัติแล้ว
    เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด
    เพื่อความดับไม่เหลือ แห่งชราและมรณะ อยู่ไซร้ ;
    ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า
    +--“ผู้ปฏิบัติแล้วซึ่งธรรมตามสมควรแก่ธรรม(ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺ)​” ดังนี้.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺ

    +--ถ้าภิกษุเป็นผู้ หลุดพ้นแล้ว
    เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความคลายกำหนัด
    เพราะความดับไม่เหลือ แห่งชราและมรณะ ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่น ถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ;
    ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า
    +--“ผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม(ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานปฺปตฺ)​” ดังนี้.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานปฺปตฺ
    --
    (ในกรณีแห่ง
    ๒.ชาติ ๓.ภพ ๔.อุปาทาน ๕.ตัณหา ๖.เวทนา ๗.ผัสสะ ๘.สฬายตนะ ๙.นามรูป ๑๐.วิญญาณ ๑๑.สังขาร และ ๑๒.อวิชชา
    ก็มีข้อความที่กล่าวไว้อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง
    ๑.ชราและมรณะ ที่กล่าวไว้ข้างบนนี้
    ).-

    #ทุุกขมรรค#อริยสัจสึ่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/16/46.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/16/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๒/๔๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=632
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=632
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43
    ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาการปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง) สัทธรรมลำดับที่ : 632 ชื่อบทธรรม :- การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=632 เนื้อความทั้งหมด :- --การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง) --ภิกษุ ท. ! --ถ้าภิกษุ แสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง #ชราและมรณะ อยู่ไซร้ ; ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า +--“ผู้กล่าวซึ่งธรรม(ธมฺมกถิ)​” ดังนี้. http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=ธมฺมกถิ +--ถ้าภิกษุเป็นผู้ ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่งชราและมรณะ อยู่ไซร้ ; ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า +--“ผู้ปฏิบัติแล้วซึ่งธรรมตามสมควรแก่ธรรม(ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺ)​” ดังนี้. http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺ +--ถ้าภิกษุเป็นผู้ หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือ แห่งชราและมรณะ ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่น ถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ; ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า +--“ผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม(ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานปฺปตฺ)​” ดังนี้. http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานปฺปตฺ -- (ในกรณีแห่ง ๒.ชาติ ๓.ภพ ๔.อุปาทาน ๕.ตัณหา ๖.เวทนา ๗.ผัสสะ ๘.สฬายตนะ ๙.นามรูป ๑๐.วิญญาณ ๑๑.สังขาร และ ๑๒.อวิชชา ก็มีข้อความที่กล่าวไว้อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง ๑.ชราและมรณะ ที่กล่าวไว้ข้างบนนี้ ).- #ทุุกขมรรค​ #อริยสัจสึ่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/16/46. http://etipitaka.com/read/thai/16/16/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๒๒/๔๖. http://etipitaka.com/read/pali/16/22/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=632 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=632 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43 ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง)
    -การปรินิพพานในทิฏฐธรรม (อีกปริยายหนึ่ง) ภิกษุ ท. ! ถ้าภิกษุ แสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง ชราและมรณะ อยู่ไซร้ ; ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า “ผู้กล่าวซึ่งธรรม” ดังนี้. ถ้าภิกษุเป็นผู้ ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่งชราและมรณะ อยู่ไซร้ ; ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า “ผู้ปฏิบัติแล้วซึ่งธรรมตามสมควรแก่ธรรม” ดังนี้. ถ้าภิกษุเป็นผู้ หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือ แห่งชราและมรณะ ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่น ถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ; ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า “ผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม” ดังนี้. (ในกรณีแห่ง ชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขาร และ อวิชชา ก็มีข้อความที่กล่าวไว้อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง ชราและมรณะที่กล่าวไว้ข้างบนนี้).
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม
    สัทธรรมลำดับที่ : 999
    ชื่อบทธรรม :- การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=999
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม
    ...
    ---ถูกแล้ว ถูกแล้ว
    --สารีบุตร ! สารีบุตร ! อริยสาวกใด
    มีความเลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคตถึงที่สุดโดยส่วนเดียว,
    เขาย่อมไม่สงสัยหรือลังเลใน #ตถาคตหรือคำสอนในตถาคต.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=ตถาคต
    --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธาแล้ว
    พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้ปรารภความเพียร
    เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย
    เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    +--สารีบุตร ! ความเพียรเช่นนั้นของอริยสาวกนั้นย่อมเป็น #วิริยินทรีย์
    ของเธอนั้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=วิริยินฺทฺริ
    --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา
    เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่แล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า
    เขาจักเป็นผู้มีสติ ประกอบพร้อมด้วยสติเป็นเครื่องระวังรักษาตนเป็นอย่างยิ่ง
    เป็นผู้ระลึกได้ ตามระลึกได้ ซึ่งสิ่งที่ทำและคำที่พูดแม้ นานได้.
    +--สารีบุตร ! ความระลึกเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น #สตินทรีย์
    ของเธอนั้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=สตินฺทฺริ
    --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา
    ปรารภความเพียร มีสติเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตตั้งมั่นโดยชอบ แล้ว
    พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้กระทำแล้วได้ซึ่งโวสสัคคารมณ์
    จักได้ซึ่งความตั้งมั่นแห่งจิต กล่าวคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว.
    +--สารีบุตร ! ความตั้งมั่นแห่งจิตเช่นนั้นของอริย สาวกนั้น ย่อมเป็น #สมาธินทรีย์
    ของเธอนั้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=สมาธินฺทฺริ
    --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา
    ปรารภความเพียร มีสติเข้าไปตั้งไว้มีจิตตั้งมั่นโดยชอบ แล้ว
    พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้รู้ชัดอย่างนี้ว่า
    “สังสารวัฏฏ์ เป็นสิ่งที่มีที่สุดอันบุคคลรู้ไม่ได้,
    ที่สุดฝ่ายข้างต้น ย่อมไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย
    ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก กำลังแล่นไป ท่องเที่ยวไป.
    ความจางคลายดับไปโดยไม่มีเหลือแห่งอวิชชาอันเป็นกองแห่งความมืดนั้นเสียได้ มีอยู่
    : นั่นเป็นบทที่สงบ นั่นเป็นบทที่ประณีต
    กล่าวคือธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่
    สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”.
    +--สารีบุตร ! ความรู้ชัดเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น #ปัญญินทรีย์
    ของเธอนั้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/300/?keywords=ปญฺญินฺทฺริ
    --สารีบุตร ! อริยสาวกนั้นนั่นแหละ
    ตั้งไว้แล้ว ตั้งไว้แล้ว (ซึ่งวิริยะ) ด้วยอาการอย่างนี้,
    ระลึกแล้ว ระลึกแล้ว (ด้วยสติ) ด้วยอาการอย่างนี้,
    ตั้งมั่นแล้ว ตั้งมั่นแล้ว (ด้วยสมาธิ) ด้วยอาการอย่างนี้,
    รู้ชัดแล้ว รู้ชัดแล้ว (ด้วยปัญญา) ด้วยอาการอย่างนี้,
    เขาย่อมเชื่ออย่างยิ่ง อย่างนี้ว่า
    “ธรรมเหล่าใดเป็นธรรมที่เราเคยฟังแล้วในกาลก่อน,
    ในบัดนี้ เราถูกต้องธรรมเหล่านั้นด้วยนามกายแล้วแลอยู่ ด้วย
    และแทงตลอดธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญาแล้วเห็นอยู่ ด้วย”
    ดังนี้.
    --สารีบุตร ! ความเชื่อเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น #สัทธินทรีย์
    ของเธอนั้น,
    http://etipitaka.com/read/pali/19/300/?keywords=สทฺธินฺทฺริ
    ดังนี้แล.
    --- มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๙๙–๓๐๐/๑๐๑๗–๑๐๒๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%91%E0%B9%97

    (ข้อควรสังเกตอย่างยิ่งในกรณีนี้ คือข้อที่ สัทธินทรีย์ทำกิจของตน
    เมื่ออินทรีย์ทั้งสี่นอกนั้นทำกิจเสร็จแล้ว.
    ข้อนี้หมายความว่า สิ่งที่เรียกว่าสัทธาหรือความเชื่อนั้น
    จะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อทำกิจอันบุคคลนั้นจะต้องทำนั้นๆ ประสบผลสำเร็จแล้ว.
    สัทธาที่เกิดขึ้นเป็นตัวนำในเบื้องต้น ดังที่แสดงอยู่ในหมวดธรรมต่างๆนั้น
    ยังมิใช่สัทธาที่สมบูรณ์;
    ทำให้กล่าวได้ว่า สัทธาสมบูรณ์ปรากฏแก่จิตใจต่อเมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว
    คือประกอบอยู่ในญาณที่เห็นความหลุดพ้นของตนแล้ว
    )

    --สัมมัตตะ เป็นธรรมเครื่องสิ้นอาสวะ
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/254/?keywords=สมฺมา
    +--สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    สัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/255/?keywords=สมฺมาญาณํ+สมฺมาวิมุตฺติ
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อม
    เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/207/122.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/207/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๔/๑๒๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/254/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=999
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86&id=999
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86
    ลำดับสาธยายธรรม : 86 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_86.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม สัทธรรมลำดับที่ : 999 ชื่อบทธรรม :- การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=999 เนื้อความทั้งหมด :- --การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม ... ---ถูกแล้ว ถูกแล้ว --สารีบุตร ! สารีบุตร ! อริยสาวกใด มีความเลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคตถึงที่สุดโดยส่วนเดียว, เขาย่อมไม่สงสัยหรือลังเลใน #ตถาคตหรือคำสอนในตถาคต. http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=ตถาคต --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธาแล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. +--สารีบุตร ! ความเพียรเช่นนั้นของอริยสาวกนั้นย่อมเป็น #วิริยินทรีย์ ของเธอนั้น. http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=วิริยินฺทฺริ --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่แล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้มีสติ ประกอบพร้อมด้วยสติเป็นเครื่องระวังรักษาตนเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ระลึกได้ ตามระลึกได้ ซึ่งสิ่งที่ทำและคำที่พูดแม้ นานได้. +--สารีบุตร ! ความระลึกเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น #สตินทรีย์ ของเธอนั้น. http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=สตินฺทฺริ --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา ปรารภความเพียร มีสติเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตตั้งมั่นโดยชอบ แล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้กระทำแล้วได้ซึ่งโวสสัคคารมณ์ จักได้ซึ่งความตั้งมั่นแห่งจิต กล่าวคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว. +--สารีบุตร ! ความตั้งมั่นแห่งจิตเช่นนั้นของอริย สาวกนั้น ย่อมเป็น #สมาธินทรีย์ ของเธอนั้น. http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=สมาธินฺทฺริ --สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา ปรารภความเพียร มีสติเข้าไปตั้งไว้มีจิตตั้งมั่นโดยชอบ แล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้รู้ชัดอย่างนี้ว่า “สังสารวัฏฏ์ เป็นสิ่งที่มีที่สุดอันบุคคลรู้ไม่ได้, ที่สุดฝ่ายข้างต้น ย่อมไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก กำลังแล่นไป ท่องเที่ยวไป. ความจางคลายดับไปโดยไม่มีเหลือแห่งอวิชชาอันเป็นกองแห่งความมืดนั้นเสียได้ มีอยู่ : นั่นเป็นบทที่สงบ นั่นเป็นบทที่ประณีต กล่าวคือธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่ สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”. +--สารีบุตร ! ความรู้ชัดเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น #ปัญญินทรีย์ ของเธอนั้น. http://etipitaka.com/read/pali/19/300/?keywords=ปญฺญินฺทฺริ --สารีบุตร ! อริยสาวกนั้นนั่นแหละ ตั้งไว้แล้ว ตั้งไว้แล้ว (ซึ่งวิริยะ) ด้วยอาการอย่างนี้, ระลึกแล้ว ระลึกแล้ว (ด้วยสติ) ด้วยอาการอย่างนี้, ตั้งมั่นแล้ว ตั้งมั่นแล้ว (ด้วยสมาธิ) ด้วยอาการอย่างนี้, รู้ชัดแล้ว รู้ชัดแล้ว (ด้วยปัญญา) ด้วยอาการอย่างนี้, เขาย่อมเชื่ออย่างยิ่ง อย่างนี้ว่า “ธรรมเหล่าใดเป็นธรรมที่เราเคยฟังแล้วในกาลก่อน, ในบัดนี้ เราถูกต้องธรรมเหล่านั้นด้วยนามกายแล้วแลอยู่ ด้วย และแทงตลอดธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญาแล้วเห็นอยู่ ด้วย” ดังนี้. --สารีบุตร ! ความเชื่อเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น #สัทธินทรีย์ ของเธอนั้น, http://etipitaka.com/read/pali/19/300/?keywords=สทฺธินฺทฺริ ดังนี้แล. --- มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๙๙–๓๐๐/๑๐๑๗–๑๐๒๒. http://etipitaka.com/read/pali/19/299/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%91%E0%B9%97 (ข้อควรสังเกตอย่างยิ่งในกรณีนี้ คือข้อที่ สัทธินทรีย์ทำกิจของตน เมื่ออินทรีย์ทั้งสี่นอกนั้นทำกิจเสร็จแล้ว. ข้อนี้หมายความว่า สิ่งที่เรียกว่าสัทธาหรือความเชื่อนั้น จะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อทำกิจอันบุคคลนั้นจะต้องทำนั้นๆ ประสบผลสำเร็จแล้ว. สัทธาที่เกิดขึ้นเป็นตัวนำในเบื้องต้น ดังที่แสดงอยู่ในหมวดธรรมต่างๆนั้น ยังมิใช่สัทธาที่สมบูรณ์; ทำให้กล่าวได้ว่า สัทธาสมบูรณ์ปรากฏแก่จิตใจต่อเมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว คือประกอบอยู่ในญาณที่เห็นความหลุดพ้นของตนแล้ว ) --สัมมัตตะ เป็นธรรมเครื่องสิ้นอาสวะ --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย. http://etipitaka.com/read/pali/24/254/?keywords=สมฺมา +--สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ. http://etipitaka.com/read/pali/24/255/?keywords=สมฺมาญาณํ+สมฺมาวิมุตฺติ --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อม เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/207/122. http://etipitaka.com/read/thai/24/207/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๔/๑๒๒. http://etipitaka.com/read/pali/24/254/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=999 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86&id=999 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=86 ลำดับสาธยายธรรม : 86 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_86.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม
    -(ในพระบาลีสูตรอื่นๆ แสดงลักษณะแห่งสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ อันเป็นองค์แห่งอัฏฐังคิกมรรคในกรณีเช่นนี้ แปลกออกไปคือ ราคปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน, โทสวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน, โมหวินยปริโยสาน : มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน (๑๙/๖๙/๒๖๗) ; อมโตคธ : หยั่งลงสู่อมตะ, อมตปรายน : มีเบื้องหน้าเป็นอมตะ, อมตปริโยสาน : มีอมตะเป็นปริโยสาน (๑๙/๖๙/๒๖๙) ; นิพฺพานนินฺน : เอียงไปสู่นิพพาน, นิพฺพานโปณ : โน้มไปสู่นิพพาน, นิพฺพานปพฺภาร : เงื้อมไปสู่นิพพาน (๑๙/๖๙/๒๗๑) ; ดังนี้ก็มี). การทำกิจของอินทรีย์ ในขณะบรรลุธรรม ถูกแล้ว ถูกแล้ว สารีบุตร ! สารีบุตร ! อริยสาวกใด มีความเลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคตถึงที่สุดโดยส่วนเดียว, เขาย่อมไม่สงสัยหรือลังเลในตถาคตหรือคำสอนในตถาคต. สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธาแล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. สารีบุตร ! ความเพียรเช่นนั้นของอริยสาวกนั้นย่อมเป็น วิริยินทรีย์ ของเธอนั้น. สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่แล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้มีสติ ประกอบพร้อมด้วยสติเป็นเครื่องระวังรักษาตนเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ระลึกได้ ตามระลึกได้ ซึ่งสิ่งที่ทำและคำที่พูดแม้ นานได้. สารีบุตร ! ความระลึกเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น สตินทรีย์ ของเธอนั้น. สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา ปรารภความเพียร มีสติเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตตั้งมั่นโดยชอบ แล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้กระทำแล้วได้ซึ่ง โวสสัคคารมณ์ จักได้ซึ่งความตั้งมั่นแห่งจิต กล่าวคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว. สารีบุตร ! ความตั้งมั่นแห่งจิตเช่นนั้นของอริย สาวกนั้น ย่อมเป็น สมาธินทรีย์ ของเธอนั้น. สารีบุตร ! เมื่ออริยสาวกเป็นผู้มีสัทธา ปรารภความเพียร มีสติเข้าไปตั้งไว้มีจิตตั้งมั่นโดยชอบ แล้ว พึงหวังข้อนี้สืบไปว่า เขาจักเป็นผู้รู้ชัดอย่างนี้ว่า “สังสารวัฏฏ์ เป็นสิ่งที่มีที่สุดอันบุคคลรู้ไม่ได้, ที่สุดฝ่ายข้างต้น ย่อมไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก กำลังแล่นไป ท่องเที่ยวไป. ความจางคลายดับไปโดยไม่มีเหลือแห่งอวิชชาอันเป็นกองแห่งความมืดนั้นเสียได้ มีอยู่ : นั่นเป็นบทที่สงบ นั่นเป็นบทที่ประณีต กล่าวคือธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”. สารีบุตร ! ความรู้ชัดเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น ปัญญินทรีย์ ของเธอนั้น. สารีบุตร ! อริยสาวกนั้นนั่นแหละ ตั้งไว้แล้ว ตั้งไว้แล้ว (ซึ่งวิริยะ) ด้วยอาการอย่างนี้, ระลึกแล้ว ระลึกแล้ว (ด้วยสติ) ด้วยอาการอย่างนี้, ตั้งมั่นแล้ว ตั้งมั่นแล้ว (ด้วยสมาธิ) ด้วยอาการอย่างนี้, รู้ชัดแล้ว รู้ชัดแล้ว (ด้วยปัญญา) ด้วยอาการอย่างนี้, เขาย่อมเชื่ออย่างยิ่ง อย่างนี้ว่า “ธรรมเหล่าใดเป็นธรรมที่เราเคยฟังแล้วในกาลก่อน, ในบัดนี้ เราถูกต้องธรรมเหล่านั้นด้วยนามกายแล้วแลอยู่ ด้วย และแทงตลอดธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญาแล้วเห็นอยู่ ด้วย” ดังนี้. สารีบุตร ! ความเชื่อเช่นนั้นของอริยสาวกนั้น ย่อมเป็น สัทธินทรีย์ ของเธอนั้น, ดังนี้แล. มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๙๙ – ๓๐๐/๑๐๑๗ – ๑๐๒๒. (ข้อควรสังเกตอย่างยิ่งในกรณีนี้ คือข้อที่สัทธินทรีย์ทำกิจของตน เมื่ออินทรีย์ทั้งสี่นอกนั้นทำกิจเสร็จแล้ว. ข้อนี้หมายความว่า สิ่งที่เรียกว่าสัทธาหรือความเชื่อนั้น จะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อทำกิจอันบุคคลนั้นจะต้องทำนั้นๆ ประสบผลสำเร็จแล้ว. สัทธาที่เกิดขึ้นเป็นตัวนำในเบื้องต้น ดังที่แสดงอยู่ในหมวดธรรมต่างๆนั้น ยังมิใช่สัทธาที่สมบูรณ์; ทำให้กล่าวได้ว่า สัทธาสมบูรณ์ปรากฏแก่จิตใจต่อเมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว คือประกอบอยู่ในญาณที่เห็นความหลุดพ้นของตนแล้ว). สัมมัตตะ เป็นธรรมเครื่องสิ้นอาสวะ ภิกษุ ท. ! ธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย. สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ. ภิกษุ ท. ! ธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อม เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย.
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาลักษณะแห่งตัณหาสาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 250
    ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=250
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
    +--กามตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ
    สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย กามธาตุ : นี้ เรียกว่า #กามตัณหา.
    +--ภวตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ
    สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย ภวทิฏฐิ : นี้ เรียกว่า #ภวตัณหา.
    +--วิภวตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ
    สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย อุจเฉททิฏฐิ : นี้ เรียกว่า #วิภวตัณหา.
    *---- นัย วิภงฺค. อภิธมฺ ๓๕/๔๙๕/๙๓๓-๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/35/494/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%93%E0%B9%93

    +--ลักษณะแห่งกามตัณหา
    --ภิกษุ ท. ! กามโยคะ (การประกอบอยู่ด้วยกาม) เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่รู้แจ้งชัด ตามที่เป็นจริง
    ซึ่งความก่อขึ้น แห่ง กามทั้งหลาย
    ซึ่งความดับไปแห่ง กามทั้งหลาย
    ซึ่งรสอร่อยแห่ง กามทั้งหลาย
    ซึ่งโทษแห่ง กามทั้งหลาย และ
    ซึ่งอุบายเครื่องออกพ้นไปได้จาก กามทั้งหลาย.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อเขาไม่รู้อยู่อย่างนั้น,
    ความกำหนัดในกาม ความเพลินในกาม ความเสน่หาในกาม ความสยบในกาม
    ความหิวกระหายในกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม ความเมาหมกในกาม
    และกามตัณหา ในกามทั้งหลายย่อมนอนเนื่องอยู่ในบุคคลนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! นี้ เราเรียกว่า #กามโยคะ,
    ดังนี้แล.-
    ...
    --ภิกษุ ท. ! ความพรากจากโยคะ ๔ ประการ นี้แล ฯ
    สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยกามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะและอวิชชาโยคะ
    ย่อมเป็นผู้มีปรกติถึงชาติและมรณะ ไปสู่ สงสาร
    +--ส่วนสัตว์เหล่าใด
    กำหนดรู้กามทั้งหลายและภวโยคะโดยประการทั้งปวง
    ถอนขึ้นซึ่งทิฏฐิโยคะ
    และสำรอก อวิชชาเสียได้
    +--สัตว์เหล่านั้นแล เป็นผู้พรากจากโยคะทั้งปวง
    เป็นมุนีผู้ล่วงพ้นโยคะเสียได้ ฯ

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก#พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/9/10.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/9/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๓/๑๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/13/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=250
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=250
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17
    ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาลักษณะแห่งตัณหาสาม สัทธรรมลำดับที่ : 250 ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=250 เนื้อความทั้งหมด :- --ตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. +--กามตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย กามธาตุ : นี้ เรียกว่า #กามตัณหา. +--ภวตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย ภวทิฏฐิ : นี้ เรียกว่า #ภวตัณหา. +--วิภวตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย อุจเฉททิฏฐิ : นี้ เรียกว่า #วิภวตัณหา. *---- นัย วิภงฺค. อภิธมฺ ๓๕/๔๙๕/๙๓๓-๔. http://etipitaka.com/read/pali/35/494/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%93%E0%B9%93 +--ลักษณะแห่งกามตัณหา --ภิกษุ ท. ! กามโยคะ (การประกอบอยู่ด้วยกาม) เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่รู้แจ้งชัด ตามที่เป็นจริง ซึ่งความก่อขึ้น แห่ง กามทั้งหลาย ซึ่งความดับไปแห่ง กามทั้งหลาย ซึ่งรสอร่อยแห่ง กามทั้งหลาย ซึ่งโทษแห่ง กามทั้งหลาย และ ซึ่งอุบายเครื่องออกพ้นไปได้จาก กามทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! เมื่อเขาไม่รู้อยู่อย่างนั้น, ความกำหนัดในกาม ความเพลินในกาม ความเสน่หาในกาม ความสยบในกาม ความหิวกระหายในกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม ความเมาหมกในกาม และกามตัณหา ในกามทั้งหลายย่อมนอนเนื่องอยู่ในบุคคลนั้น. --ภิกษุ ท. ! นี้ เราเรียกว่า #กามโยคะ, ดังนี้แล.- ... --ภิกษุ ท. ! ความพรากจากโยคะ ๔ ประการ นี้แล ฯ สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยกามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะและอวิชชาโยคะ ย่อมเป็นผู้มีปรกติถึงชาติและมรณะ ไปสู่ สงสาร +--ส่วนสัตว์เหล่าใด กำหนดรู้กามทั้งหลายและภวโยคะโดยประการทั้งปวง ถอนขึ้นซึ่งทิฏฐิโยคะ และสำรอก อวิชชาเสียได้ +--สัตว์เหล่านั้นแล เป็นผู้พรากจากโยคะทั้งปวง เป็นมุนีผู้ล่วงพ้นโยคะเสียได้ ฯ #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก​ #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/9/10. http://etipitaka.com/read/thai/21/9/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๓/๑๐. http://etipitaka.com/read/pali/21/13/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=250 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=250 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17 ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ๑. ตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
    -๑. ตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. กามตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วยกามธาตุ : นี้ เรียกว่า กามตัณหา. ภวตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย ภวทิฏฐิ : นี้ เรียกว่า ภวตัณหา. วิภวตัณหา เป็นอย่างไร ? คือ ราคะ สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห่งจิตที่ประกอบด้วย อุจเฉททิฏฐิ : นี้ เรียกว่า วิภวตัณหา. - นัย วิภงฺค. อภิธมฺ ๓๕/๔๙๕/๙๓๓-๔. ลักษณะแห่งกามตัณหา ภิกษุ ท. ! กามโยคะ (การประกอบอยู่ด้วยกาม) เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่รู้แจ้งชัด ตามที่เป็นจริง ซึ่งความก่อขึ้น แห่งกามทั้งหลาย ซึ่งความดับไปแห่งกามทั้งหลาย ซึ่งรสอร่อยแห่งกามทั้งหลาย ซึ่งโทษแห่งกามทั้งหลาย และซึ่งอุบายเครื่องออกพ้นไปได้จากกามทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เมื่อเขาไม่รู้อยู่อย่างนั้น, ความกำหนัดในกาม ความเพลินในกาม ความเสน่หาในกาม ความสยบในกาม ความหิวกระหายในกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม ความเมาหมกในกาม และกามตัณหา ในกามทั้งหลายย่อมนอนเนื่องอยู่ในบุคคลนั้น. ภิกษุ ท. ! นี้ เราเรียกว่า กามโยคะ, ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกฝึกหัดศึกษาว่าบุคคลผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน
    สัทธรรมลำดับที่ : 630
    ชื่อบทธรรม :- การปรินิพพานในทิฏฐธรรม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=630
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การปรินิพพานในทิฏฐธรรม
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
    ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้ พระเจ้าข้า !”
    --ท่านผู้จอมเทพ !
    รูป ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยตาก็ดี,
    เสียง ทั้งหลายที่รู้แจ้งด้วยหูก็ดี,
    กลิ่น ทั้งหลาย รู้แจ้งด้วยจมูกก็ดี,
    รส ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยลิ้นก็ดี,
    โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยผิวกายก็ดี, และ
    ธรรมารมณ์ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยใจก็ดี ;
    อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจที่ยั่วยวนใจให้รัก
    เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่ ;
    และภิกษุก็ไม่เป็นผู้เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น,
    เมื่อไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น,
    วิญญาณนั้น อันตัณหาในอารมณ์มีรูปเป็นต้นอาศัยแล้ว
    ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น วิญญาณที่จะเป็นอุปาทานย่อมไม่มี.
    --ท่านผู้จอมเทพ ! #ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/129/?keywords=ปรินิพฺพายติ
    --ท่านผู้จอมเทพ ! นี้แล เป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย
    ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้,
    ดังนี้แล.-

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/104/179.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/104/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๒๘/๑๗๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/128/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=630
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=630
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43
    ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    อริยสาวกฝึกหัดศึกษาว่าบุคคลผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน สัทธรรมลำดับที่ : 630 ชื่อบทธรรม :- การปรินิพพานในทิฏฐธรรม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=630 เนื้อความทั้งหมด :- --การปรินิพพานในทิฏฐธรรม --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้ พระเจ้าข้า !” --ท่านผู้จอมเทพ ! รูป ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยตาก็ดี, เสียง ทั้งหลายที่รู้แจ้งด้วยหูก็ดี, กลิ่น ทั้งหลาย รู้แจ้งด้วยจมูกก็ดี, รส ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยผิวกายก็ดี, และ ธรรมารมณ์ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยใจก็ดี ; อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจที่ยั่วยวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่ ; และภิกษุก็ไม่เป็นผู้เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น, เมื่อไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น, วิญญาณนั้น อันตัณหาในอารมณ์มีรูปเป็นต้นอาศัยแล้ว ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น วิญญาณที่จะเป็นอุปาทานย่อมไม่มี. --ท่านผู้จอมเทพ ! #ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน. http://etipitaka.com/read/pali/18/129/?keywords=ปรินิพฺพายติ --ท่านผู้จอมเทพ ! นี้แล เป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้, ดังนี้แล.- #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/104/179. http://etipitaka.com/read/thai/18/104/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๒๘/๑๗๙. http://etipitaka.com/read/pali/18/128/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=630 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=630 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43 ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การปรินิพพานในทิฏฐธรรม
    -การปรินิพพานในทิฏฐธรรม “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้ พระเจ้าข้า !” ท่านผู้จอมเทพ ! รูป ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยตาก็ดี, เสียง ทั้งหลายที่รู้แจ้งด้วยหูก็ดี, กลิ่น ทั้งหลาย รู้แจ้งด้วยจมูกก็ดี, รส ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยผิวกายก็ดี, และ ธรรมารมณ์ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยใจก็ดี ; อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจที่ยั่วยวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่ ; และภิกษุก็ไม่เป็นผู้เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น, เมื่อไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น, วิญญาณนั้น อันตัณหาในอารมณ์มีรูปเป็นต้นอาศัยแล้ว ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น วิญญาณที่จะเป็นอุปาทานย่อมไม่มี. ท่านผู้จอมเทพ ! ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน. ท่านผู้จอมเทพ ! นี้แล เป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้, ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
More Results