ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 11
นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
ตอน 11
ในบันทึกความทรงจำของ ซุนยัดเซน เขาบอกว่า เมื่อเขาไปถึง ญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1895 นายอินนูไก ทาเคชิ Inukai Takashi หัวหน้าพรรคลิเบอรัลของญี่ปุ่น ได้ส่ง นาย มิยาซากิ ยะโซะ และ ฮิรามายะ ชิน มารับ ที่เมืองโยโกฮาม่า หลังจากนั้น ก็พาเขามาโตเกียว เพื่อมาพบกับหัวหน้าใหญ่ของพรรค ในตอนนั้น พรรคลิเบอรัลได้เป็นรัฐบาล และนายโอกูมะ ชิเกโนบุ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี อินนูไกเป็นผู้ช่วย หลังจากนั้น คนพวกนี้ ก็ได้แนะนำให้ ซุนยัดเซ็น รู้จักกับชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน และคนพวกนี้ได้ช่วยเขาอย่างมาก ในการทำการปฏิวัติในปี ค.ศ.1911…
ตัวซุนยัดเซ็นเอง เมื่อมาอยู่ญี่ปุ่น ก็ตัดหางเปียทิ้ง แถมเปลี่ยนมาใช้ชื่อญี่ปุ่น ว่า นาคามาย่า โชว Nakamaya Sho
ส่วนนาย อินนูไก ทาเคชิ เอง ก็เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของตนว่า
“… คงมีน้อยคน ที่จะเห็นใจชาวจีนที่รักชาติ และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้านี้ อย่างจริงใจ อย่างที่ผมมีให้กับพวกเขา เมื่อซุนยัดเซ็น และพวก ลี้ภัย มาอยู่กับพวกเรา ผมปกป้องเขา หลายครั้งที่เขามาอยู่ที่บ้านผม บ้านผมกลายเป็นที่ประชุมลับ หลายครั้งที่เขาใส่เสื้อผ้า และกินอาหาร จากรายได้อันน้อยนิดของผม เมื่อซุนยัดเซ็นอยู่กับผม ผมบอกกับเขาว่า ทางออกที่เหมาะสมของจีน มีอยู่ทางเดียว คือ ทำอย่างที่ญี่ปุ่นทำ..”
ก็เป็นเรื่องที่เราคงต้องทำความเข้าแยะหน่อย
นายอินนูไก ทาเคชิ นั้น เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เขาแปลหนังสือเล่มหนึ่ง ในปี ค.ศ.1874 เป็นหนังสือที่เขียนโดย นาย Henry C Carey ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในสมัยนั้นนาย Carey เป็นผู้เสนอให้ใช้ ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์แบบ อเมริกัน และค้ดค้านการค้าเสรีแบบอังกฤษ ซึ่งนาย Carey บอกว่า มันก็คือการเอาการค้านำหน้า เพื่อจะยึดเอาประเทศคู่ค้าเป็นอาณานิคมนั่นแหละ
เรื่องนายอินนูไก นี่ มันพอบอกอะไรเราได้ไหมครับ
ซุนยัดเซ็น หลบอยู่ในญี่ปุ่นถึง 10 ปี (บางเอกสารว่า อยู่ 6 ปี) ระหว่างนั้น เขาตั้งสมาคมลับของเขา Hsing Chung Hui ขึ้นที่ เมือง นางาซากิ เมือง ชิโมโนเซกิ และโกเบ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 นักศึกษาชาวจีนเข้ามาอยู่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น นักศีกษาพวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับแผนปฏิวัติของซุนยัดเซ็นเกือบทั้งสิ้น ในปี ค.ศ.1902 มีนักศึกษาจีนในญี่ปุ่น ประมาณ 500 คน แต่ในปี ค.ศ.1906 มีนักศึกษาชาวจีนถึง 13,000 คน และเมื่อราชวงศ์แมนจูห้ามชาวจีนเข้าศึกษาในโรงเรียนทหาร นักศึกษาจีนก็ข้ามมาเรียนที่โรงเรียนทหารที่ซุนยัดเซ็น สร้างขึ้น ที่ชานเมืองโตเกียว แถวตำบลอาโอยามา ในพวกนักศึกษาจีนที่เข้ามาเรียนที่ญี่ปุ่น มีหนุ่มแน่น วัย 18 ปี คนหนึ่ง เข้ามาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ของซุนยัดเซ็น เมื่อปี 1907 เขา ชื่อ เจียงไคเช็ค
ในช่วงปี ค.ศ.1903 ถึง 1905 ซุนยัดเซ็น เดินสายระหว่าง ฮาวาย อเมริกา และยุโรป กับพรรคพวก และตั้งสมาคมใหม่ ชื่อ Tung Meng Hui หรือ Chinese Revolution Alliance และกลับมาตั้งสมาคมนี้ที่โตเกียวด้วย ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.1905 เขาจัดประชุมสมาคมที่บ้านของ นาย ยูชิดะ โรเฮอิ ซึ่งเป็นนักการเมืองใหญ่ในโตเกียว และเป็นหัวหน้าสมาคมลับ มังกรดำ ยากูซ่าในญี่ปุ่น ซึ่งให้การสนับสนันด้านการเงิน และอื่นๆ แก่ซุนยัดเซ็น แต่จริงๆแล้ว Tung Meng Hui โตเกียว ก่อตั้งขึ้นที่บ้านของ นาย ซากาโมโต้ คินยา สมาชิกรัฐสภาของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในจีน
ในปี ค.ศ.1907 ซุนยัดเซ็น เดินสายในญี่ปุ่น และเสนอนโยบาย 3 ประการ ของเขา พร้อมกับประกาศว่า จะยกทางเหนือของมณทลชางชุน ให้แก่ ญี่ปุ่น ถ้าช่วยเหลือเขาในการปฏิวัติจีน ปรากฏว่า คำประกาศของ ซุนยัดเซ็น คงล้ำเส้นไปหน่อย ไม่รู้ไปขัดแผนใคร รัฐบาลญี่ปุ่นจึงสั่งให้ซุนยัดเซ็นออกไปจากญี่ปุ่น แต่ทั้ง ยูชิดะ และฝ่ายการเมืองของญี่ปุ่นเห็นว่า ยังไงก็ควรรักษาไมตรีกับซุนยัดเซ็นไว้ก่อน ในที่สุด เป็นเจ้าพ่อมังกรดำเอง เป็นผู้แนะนำให้ ซุนยัดเซ็นออกไปจากญี่ปุ่นชั่วคราว พร้อมแถมเงินติดกระเป๋าให้ ซุนยัดเซ็น ไม่ให้เสียหน้า เสียไมตรีต่อกัน อืม…
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซุนยัดเซ็นเขียนไว้ ในบันทึกของเขาว่า
“… สัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เป็นปัญหาร่วมกันของความอยู่รอด (ของประเทศ) และความสิ้นสุด (ของประเทศ) ถ้าไม่มีญี่ปุ่น ก็อาจจะไม่มีจีน และถ้าไม่มีจีน ก็อาจจะไม่มีญี่ปุ่น… ”
ซุนยัดเซ็นเห็นว่า จีนกับญี่ปุ่น และชาติอื่นๆ ในเอเซียต้องจับมือกัน Pan – Asianism
” ความปรารถนาของข้าพเจ้า คือ เห็นพวกเรา ชาวเอเซีย ควรร่วมกันขับไล่พวกชาติตะวันตกทั้งหลาย ให้หมดไปจากเอเซียของเราเสียที .. และหมดอย่างถาวร” และด้วยความคิดเยี่ยงนี้ ซุนยัดเซ็น ก็เข้าไปวุ่นวายกับการกบฏในฟิลิปปินส์ และเวียตนามด้วย
ตลอดเวลา 16 ปี ของการพยายามปฏิวัติ ไล่ราชวง์ชิง และไล่ฝรั่งออกจากจีน ซุนยัดเซ็นเดินสายพูดไปทั่วทุกแห่ง เพื่อหาเงินมาทำปฏิวัติ เขาเริ่มตั้งแต่ การไปพูด และรับเงินบริจาค แต่เงินบริจาค มันก็พอแค่เลี้ยงตัวกับเป็นค่าเดินทางไปพูด ต่อมา ซุนเริ่มพัฒนาวิธีการหาเงิน เขาเริ่มออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับพวกที่ต้องการสนับสนุนเขา โดยสัญญาจะใช้เงินให้ เมื่อปฏิวัติสำเร็จพร้อมดอกเบี้ยสูง แต่ก็ยังไม่ได้เงินตามเป้าหมาย ซุน เปลี่ยนเป็นออกตั๋ว พร้อมคำสัญญาว่า จะใช้เงิน พร้อมให้สัมปทาน หรือให้ สิทธิพิเศษ หลังจากนั้น เขาโดนรัฐบาลแต่ละประเทศ ที่ยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ หมายหัว เขาจึงกลับมาตั้งหลัก และเปลี่ยนแผนการระดมทุนอีกรอบ
คราวนี้ ซุน ทำการบ้าน หารายชื่อเศรษฐีจีน ที่อยู่แถบเอเซีย โดยเฉพาะแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ร้อยกว่าคน เขาจึงเดินสายมามาทางนั้น เขาออกพันธบัตรสงคราม war bond ไม่ต่างกับที่พวกวอลสตรีท ทำให้กับอังกฤษ เมื่อตอนจะสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สำหรับปฏิวัติจีน ซุน ยอมทำสัญญาแปะไว้กับพันธบัตรรายใหญ่ว่า พร้อมที่จะให้สัมปทานทำเหมือง ในจีนเป็นเวลา 10 ปี และในบางราย เขาสัญญาว่า จะให้คนจีนที่เป็นเจ้าของเหมืองดีบุก ทำสัญญาขายดีบุก ให้แก่ อเมริกา ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ของการส่งออกดีบุก ขนาดทำอย่างนี้แล้ว เขายังได้ทุนไม่พอไปทำการปฏิวัติ เขาจึงไปขอเงินกู้จากธนาคารฝรั่งเศสใน ฮ่องกง เป็นจำนวน 40 ล้านเหรียญ ฮ่องกง โดยวางโรงสีข้าว 3 โรง ในไทย ให้เป็นหลักประกัน กับ เหมืองแร่ อีก 3 รายในมลายู ให้เป็นหลักประกัน เช่นเดียวกัน แต่ที่สุด ก็ไม่ได้เงินกู้รายนี้
ความคิดของซุน เกี่ยวกับเรื่องการออกตั๋ว พ่วงสัมปทาน ให้คนจีน ที่สนับสนุนเงินทุนมาทำปฏิวัติ นี่ น่าสนใจมาก มันโดนใจ หรือมันไปขัดข้องใจใครกันบ้างไหม
ซุน เล่าว่า ในระหว่างการเดินสาย เขาได้พบคนหลากหลาย และหลายคน แม้จะไม่ใช่คนจีน ก็มีความเห็นใจจีน ซุนจึงได้เพื่อน 4 คน ที่มาช่วยเรื่องการจัดการหาเงินทุน
Homer Lea เป็นชาวอเมริกันหลังค่อม ที่มีการศึกษา จบมหาวิทยาลัย และ ชอบการทหาร เขาเดินทางไปจีน ในช่วงกบฏนักมวย เข้าใจสภาพของจีนดี จึงเข้ามาช่วยคนจีนก่อนที่จะเจอซุน เสียด้วยซ้ำ เขาตั้งโรงเรียนฝึกการต่อสู้ และยุทธศาสตร์ เพื่อสอนให้พวกคนจีน ในลอสแองเจลีส ที่พร้อมจะไปร่วมทำการปฏิวัติกับ ซุน Lea ยังพา เพื่อนทหารประเภทกระดูกเหล็ก มาช่วยการให้การฝีก อีกหลายคน ต่อมา Lea เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของ ซุน
Charles Boothe เป็นอดีตนายธนาคารแถวนิวยอร์ค ถูกให้เกษียณจากอาชีพ เพราะสุขภาพไม่ดี
W W Allen นักการเงินมือดีมีอนาคต จากวอลสตรีท ซึ่งเป็นเพื่อนรักตั้งแต่เด็กของ Boothe
Yung Wing ชาวจีนจบการศึกษา Yale เป็นนักเรียนหัวก้าวหน้าอยู่แถบคอนเนคติคัต ถิ่นคนรวยอยู่ไม่ว่าฝร้่ง หรือจีน
ทั้ง 4 คน ตั้งกลุ่มอเมริกันเพื่อจีน ในปี ค.ศ.1910 และช่วยการวางแผนปฏิวัติไล่ราชวงศ์แมนจู โดยตั้งงบไว้ที่ 10 ล้านเหรียญ Lea เป็นคนวางแผนการทหาร Boothe เป็นผู้ประสานงานกับพวกต่างชาติ Allen เป็นตัวสำคัญ ในการประสานงานเรื่องการเงิน กับกลุ่มวอลสตรีท ส่วน Yung เป็นตัวกลางในการเชื่อมการทำงาน ระหว่างกลุ่มปฏิวัติในอเมริกา กับในเอเซีย
คงเริ่มมองเห็นอะไรกันบ้าง แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
22 ส.ค. 2558
นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
ตอน 11
ในบันทึกความทรงจำของ ซุนยัดเซน เขาบอกว่า เมื่อเขาไปถึง ญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1895 นายอินนูไก ทาเคชิ Inukai Takashi หัวหน้าพรรคลิเบอรัลของญี่ปุ่น ได้ส่ง นาย มิยาซากิ ยะโซะ และ ฮิรามายะ ชิน มารับ ที่เมืองโยโกฮาม่า หลังจากนั้น ก็พาเขามาโตเกียว เพื่อมาพบกับหัวหน้าใหญ่ของพรรค ในตอนนั้น พรรคลิเบอรัลได้เป็นรัฐบาล และนายโอกูมะ ชิเกโนบุ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี อินนูไกเป็นผู้ช่วย หลังจากนั้น คนพวกนี้ ก็ได้แนะนำให้ ซุนยัดเซ็น รู้จักกับชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน และคนพวกนี้ได้ช่วยเขาอย่างมาก ในการทำการปฏิวัติในปี ค.ศ.1911…
ตัวซุนยัดเซ็นเอง เมื่อมาอยู่ญี่ปุ่น ก็ตัดหางเปียทิ้ง แถมเปลี่ยนมาใช้ชื่อญี่ปุ่น ว่า นาคามาย่า โชว Nakamaya Sho
ส่วนนาย อินนูไก ทาเคชิ เอง ก็เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของตนว่า
“… คงมีน้อยคน ที่จะเห็นใจชาวจีนที่รักชาติ และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้านี้ อย่างจริงใจ อย่างที่ผมมีให้กับพวกเขา เมื่อซุนยัดเซ็น และพวก ลี้ภัย มาอยู่กับพวกเรา ผมปกป้องเขา หลายครั้งที่เขามาอยู่ที่บ้านผม บ้านผมกลายเป็นที่ประชุมลับ หลายครั้งที่เขาใส่เสื้อผ้า และกินอาหาร จากรายได้อันน้อยนิดของผม เมื่อซุนยัดเซ็นอยู่กับผม ผมบอกกับเขาว่า ทางออกที่เหมาะสมของจีน มีอยู่ทางเดียว คือ ทำอย่างที่ญี่ปุ่นทำ..”
ก็เป็นเรื่องที่เราคงต้องทำความเข้าแยะหน่อย
นายอินนูไก ทาเคชิ นั้น เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เขาแปลหนังสือเล่มหนึ่ง ในปี ค.ศ.1874 เป็นหนังสือที่เขียนโดย นาย Henry C Carey ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในสมัยนั้นนาย Carey เป็นผู้เสนอให้ใช้ ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์แบบ อเมริกัน และค้ดค้านการค้าเสรีแบบอังกฤษ ซึ่งนาย Carey บอกว่า มันก็คือการเอาการค้านำหน้า เพื่อจะยึดเอาประเทศคู่ค้าเป็นอาณานิคมนั่นแหละ
เรื่องนายอินนูไก นี่ มันพอบอกอะไรเราได้ไหมครับ
ซุนยัดเซ็น หลบอยู่ในญี่ปุ่นถึง 10 ปี (บางเอกสารว่า อยู่ 6 ปี) ระหว่างนั้น เขาตั้งสมาคมลับของเขา Hsing Chung Hui ขึ้นที่ เมือง นางาซากิ เมือง ชิโมโนเซกิ และโกเบ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 นักศึกษาชาวจีนเข้ามาอยู่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น นักศีกษาพวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับแผนปฏิวัติของซุนยัดเซ็นเกือบทั้งสิ้น ในปี ค.ศ.1902 มีนักศึกษาจีนในญี่ปุ่น ประมาณ 500 คน แต่ในปี ค.ศ.1906 มีนักศึกษาชาวจีนถึง 13,000 คน และเมื่อราชวงศ์แมนจูห้ามชาวจีนเข้าศึกษาในโรงเรียนทหาร นักศึกษาจีนก็ข้ามมาเรียนที่โรงเรียนทหารที่ซุนยัดเซ็น สร้างขึ้น ที่ชานเมืองโตเกียว แถวตำบลอาโอยามา ในพวกนักศึกษาจีนที่เข้ามาเรียนที่ญี่ปุ่น มีหนุ่มแน่น วัย 18 ปี คนหนึ่ง เข้ามาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ของซุนยัดเซ็น เมื่อปี 1907 เขา ชื่อ เจียงไคเช็ค
ในช่วงปี ค.ศ.1903 ถึง 1905 ซุนยัดเซ็น เดินสายระหว่าง ฮาวาย อเมริกา และยุโรป กับพรรคพวก และตั้งสมาคมใหม่ ชื่อ Tung Meng Hui หรือ Chinese Revolution Alliance และกลับมาตั้งสมาคมนี้ที่โตเกียวด้วย ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.1905 เขาจัดประชุมสมาคมที่บ้านของ นาย ยูชิดะ โรเฮอิ ซึ่งเป็นนักการเมืองใหญ่ในโตเกียว และเป็นหัวหน้าสมาคมลับ มังกรดำ ยากูซ่าในญี่ปุ่น ซึ่งให้การสนับสนันด้านการเงิน และอื่นๆ แก่ซุนยัดเซ็น แต่จริงๆแล้ว Tung Meng Hui โตเกียว ก่อตั้งขึ้นที่บ้านของ นาย ซากาโมโต้ คินยา สมาชิกรัฐสภาของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในจีน
ในปี ค.ศ.1907 ซุนยัดเซ็น เดินสายในญี่ปุ่น และเสนอนโยบาย 3 ประการ ของเขา พร้อมกับประกาศว่า จะยกทางเหนือของมณทลชางชุน ให้แก่ ญี่ปุ่น ถ้าช่วยเหลือเขาในการปฏิวัติจีน ปรากฏว่า คำประกาศของ ซุนยัดเซ็น คงล้ำเส้นไปหน่อย ไม่รู้ไปขัดแผนใคร รัฐบาลญี่ปุ่นจึงสั่งให้ซุนยัดเซ็นออกไปจากญี่ปุ่น แต่ทั้ง ยูชิดะ และฝ่ายการเมืองของญี่ปุ่นเห็นว่า ยังไงก็ควรรักษาไมตรีกับซุนยัดเซ็นไว้ก่อน ในที่สุด เป็นเจ้าพ่อมังกรดำเอง เป็นผู้แนะนำให้ ซุนยัดเซ็นออกไปจากญี่ปุ่นชั่วคราว พร้อมแถมเงินติดกระเป๋าให้ ซุนยัดเซ็น ไม่ให้เสียหน้า เสียไมตรีต่อกัน อืม…
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซุนยัดเซ็นเขียนไว้ ในบันทึกของเขาว่า
“… สัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เป็นปัญหาร่วมกันของความอยู่รอด (ของประเทศ) และความสิ้นสุด (ของประเทศ) ถ้าไม่มีญี่ปุ่น ก็อาจจะไม่มีจีน และถ้าไม่มีจีน ก็อาจจะไม่มีญี่ปุ่น… ”
ซุนยัดเซ็นเห็นว่า จีนกับญี่ปุ่น และชาติอื่นๆ ในเอเซียต้องจับมือกัน Pan – Asianism
” ความปรารถนาของข้าพเจ้า คือ เห็นพวกเรา ชาวเอเซีย ควรร่วมกันขับไล่พวกชาติตะวันตกทั้งหลาย ให้หมดไปจากเอเซียของเราเสียที .. และหมดอย่างถาวร” และด้วยความคิดเยี่ยงนี้ ซุนยัดเซ็น ก็เข้าไปวุ่นวายกับการกบฏในฟิลิปปินส์ และเวียตนามด้วย
ตลอดเวลา 16 ปี ของการพยายามปฏิวัติ ไล่ราชวง์ชิง และไล่ฝรั่งออกจากจีน ซุนยัดเซ็นเดินสายพูดไปทั่วทุกแห่ง เพื่อหาเงินมาทำปฏิวัติ เขาเริ่มตั้งแต่ การไปพูด และรับเงินบริจาค แต่เงินบริจาค มันก็พอแค่เลี้ยงตัวกับเป็นค่าเดินทางไปพูด ต่อมา ซุนเริ่มพัฒนาวิธีการหาเงิน เขาเริ่มออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับพวกที่ต้องการสนับสนุนเขา โดยสัญญาจะใช้เงินให้ เมื่อปฏิวัติสำเร็จพร้อมดอกเบี้ยสูง แต่ก็ยังไม่ได้เงินตามเป้าหมาย ซุน เปลี่ยนเป็นออกตั๋ว พร้อมคำสัญญาว่า จะใช้เงิน พร้อมให้สัมปทาน หรือให้ สิทธิพิเศษ หลังจากนั้น เขาโดนรัฐบาลแต่ละประเทศ ที่ยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ หมายหัว เขาจึงกลับมาตั้งหลัก และเปลี่ยนแผนการระดมทุนอีกรอบ
คราวนี้ ซุน ทำการบ้าน หารายชื่อเศรษฐีจีน ที่อยู่แถบเอเซีย โดยเฉพาะแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ร้อยกว่าคน เขาจึงเดินสายมามาทางนั้น เขาออกพันธบัตรสงคราม war bond ไม่ต่างกับที่พวกวอลสตรีท ทำให้กับอังกฤษ เมื่อตอนจะสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สำหรับปฏิวัติจีน ซุน ยอมทำสัญญาแปะไว้กับพันธบัตรรายใหญ่ว่า พร้อมที่จะให้สัมปทานทำเหมือง ในจีนเป็นเวลา 10 ปี และในบางราย เขาสัญญาว่า จะให้คนจีนที่เป็นเจ้าของเหมืองดีบุก ทำสัญญาขายดีบุก ให้แก่ อเมริกา ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ของการส่งออกดีบุก ขนาดทำอย่างนี้แล้ว เขายังได้ทุนไม่พอไปทำการปฏิวัติ เขาจึงไปขอเงินกู้จากธนาคารฝรั่งเศสใน ฮ่องกง เป็นจำนวน 40 ล้านเหรียญ ฮ่องกง โดยวางโรงสีข้าว 3 โรง ในไทย ให้เป็นหลักประกัน กับ เหมืองแร่ อีก 3 รายในมลายู ให้เป็นหลักประกัน เช่นเดียวกัน แต่ที่สุด ก็ไม่ได้เงินกู้รายนี้
ความคิดของซุน เกี่ยวกับเรื่องการออกตั๋ว พ่วงสัมปทาน ให้คนจีน ที่สนับสนุนเงินทุนมาทำปฏิวัติ นี่ น่าสนใจมาก มันโดนใจ หรือมันไปขัดข้องใจใครกันบ้างไหม
ซุน เล่าว่า ในระหว่างการเดินสาย เขาได้พบคนหลากหลาย และหลายคน แม้จะไม่ใช่คนจีน ก็มีความเห็นใจจีน ซุนจึงได้เพื่อน 4 คน ที่มาช่วยเรื่องการจัดการหาเงินทุน
Homer Lea เป็นชาวอเมริกันหลังค่อม ที่มีการศึกษา จบมหาวิทยาลัย และ ชอบการทหาร เขาเดินทางไปจีน ในช่วงกบฏนักมวย เข้าใจสภาพของจีนดี จึงเข้ามาช่วยคนจีนก่อนที่จะเจอซุน เสียด้วยซ้ำ เขาตั้งโรงเรียนฝึกการต่อสู้ และยุทธศาสตร์ เพื่อสอนให้พวกคนจีน ในลอสแองเจลีส ที่พร้อมจะไปร่วมทำการปฏิวัติกับ ซุน Lea ยังพา เพื่อนทหารประเภทกระดูกเหล็ก มาช่วยการให้การฝีก อีกหลายคน ต่อมา Lea เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของ ซุน
Charles Boothe เป็นอดีตนายธนาคารแถวนิวยอร์ค ถูกให้เกษียณจากอาชีพ เพราะสุขภาพไม่ดี
W W Allen นักการเงินมือดีมีอนาคต จากวอลสตรีท ซึ่งเป็นเพื่อนรักตั้งแต่เด็กของ Boothe
Yung Wing ชาวจีนจบการศึกษา Yale เป็นนักเรียนหัวก้าวหน้าอยู่แถบคอนเนคติคัต ถิ่นคนรวยอยู่ไม่ว่าฝร้่ง หรือจีน
ทั้ง 4 คน ตั้งกลุ่มอเมริกันเพื่อจีน ในปี ค.ศ.1910 และช่วยการวางแผนปฏิวัติไล่ราชวงศ์แมนจู โดยตั้งงบไว้ที่ 10 ล้านเหรียญ Lea เป็นคนวางแผนการทหาร Boothe เป็นผู้ประสานงานกับพวกต่างชาติ Allen เป็นตัวสำคัญ ในการประสานงานเรื่องการเงิน กับกลุ่มวอลสตรีท ส่วน Yung เป็นตัวกลางในการเชื่อมการทำงาน ระหว่างกลุ่มปฏิวัติในอเมริกา กับในเอเซีย
คงเริ่มมองเห็นอะไรกันบ้าง แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
22 ส.ค. 2558
ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 11
นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
ตอน 11
ในบันทึกความทรงจำของ ซุนยัดเซน เขาบอกว่า เมื่อเขาไปถึง ญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1895 นายอินนูไก ทาเคชิ Inukai Takashi หัวหน้าพรรคลิเบอรัลของญี่ปุ่น ได้ส่ง นาย มิยาซากิ ยะโซะ และ ฮิรามายะ ชิน มารับ ที่เมืองโยโกฮาม่า หลังจากนั้น ก็พาเขามาโตเกียว เพื่อมาพบกับหัวหน้าใหญ่ของพรรค ในตอนนั้น พรรคลิเบอรัลได้เป็นรัฐบาล และนายโอกูมะ ชิเกโนบุ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี อินนูไกเป็นผู้ช่วย หลังจากนั้น คนพวกนี้ ก็ได้แนะนำให้ ซุนยัดเซ็น รู้จักกับชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน และคนพวกนี้ได้ช่วยเขาอย่างมาก ในการทำการปฏิวัติในปี ค.ศ.1911…
ตัวซุนยัดเซ็นเอง เมื่อมาอยู่ญี่ปุ่น ก็ตัดหางเปียทิ้ง แถมเปลี่ยนมาใช้ชื่อญี่ปุ่น ว่า นาคามาย่า โชว Nakamaya Sho
ส่วนนาย อินนูไก ทาเคชิ เอง ก็เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของตนว่า
“… คงมีน้อยคน ที่จะเห็นใจชาวจีนที่รักชาติ และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้านี้ อย่างจริงใจ อย่างที่ผมมีให้กับพวกเขา เมื่อซุนยัดเซ็น และพวก ลี้ภัย มาอยู่กับพวกเรา ผมปกป้องเขา หลายครั้งที่เขามาอยู่ที่บ้านผม บ้านผมกลายเป็นที่ประชุมลับ หลายครั้งที่เขาใส่เสื้อผ้า และกินอาหาร จากรายได้อันน้อยนิดของผม เมื่อซุนยัดเซ็นอยู่กับผม ผมบอกกับเขาว่า ทางออกที่เหมาะสมของจีน มีอยู่ทางเดียว คือ ทำอย่างที่ญี่ปุ่นทำ..”
ก็เป็นเรื่องที่เราคงต้องทำความเข้าแยะหน่อย
นายอินนูไก ทาเคชิ นั้น เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เขาแปลหนังสือเล่มหนึ่ง ในปี ค.ศ.1874 เป็นหนังสือที่เขียนโดย นาย Henry C Carey ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในสมัยนั้นนาย Carey เป็นผู้เสนอให้ใช้ ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์แบบ อเมริกัน และค้ดค้านการค้าเสรีแบบอังกฤษ ซึ่งนาย Carey บอกว่า มันก็คือการเอาการค้านำหน้า เพื่อจะยึดเอาประเทศคู่ค้าเป็นอาณานิคมนั่นแหละ
เรื่องนายอินนูไก นี่ มันพอบอกอะไรเราได้ไหมครับ
ซุนยัดเซ็น หลบอยู่ในญี่ปุ่นถึง 10 ปี (บางเอกสารว่า อยู่ 6 ปี) ระหว่างนั้น เขาตั้งสมาคมลับของเขา Hsing Chung Hui ขึ้นที่ เมือง นางาซากิ เมือง ชิโมโนเซกิ และโกเบ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 นักศึกษาชาวจีนเข้ามาอยู่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น นักศีกษาพวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับแผนปฏิวัติของซุนยัดเซ็นเกือบทั้งสิ้น ในปี ค.ศ.1902 มีนักศึกษาจีนในญี่ปุ่น ประมาณ 500 คน แต่ในปี ค.ศ.1906 มีนักศึกษาชาวจีนถึง 13,000 คน และเมื่อราชวงศ์แมนจูห้ามชาวจีนเข้าศึกษาในโรงเรียนทหาร นักศึกษาจีนก็ข้ามมาเรียนที่โรงเรียนทหารที่ซุนยัดเซ็น สร้างขึ้น ที่ชานเมืองโตเกียว แถวตำบลอาโอยามา ในพวกนักศึกษาจีนที่เข้ามาเรียนที่ญี่ปุ่น มีหนุ่มแน่น วัย 18 ปี คนหนึ่ง เข้ามาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ของซุนยัดเซ็น เมื่อปี 1907 เขา ชื่อ เจียงไคเช็ค
ในช่วงปี ค.ศ.1903 ถึง 1905 ซุนยัดเซ็น เดินสายระหว่าง ฮาวาย อเมริกา และยุโรป กับพรรคพวก และตั้งสมาคมใหม่ ชื่อ Tung Meng Hui หรือ Chinese Revolution Alliance และกลับมาตั้งสมาคมนี้ที่โตเกียวด้วย ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.1905 เขาจัดประชุมสมาคมที่บ้านของ นาย ยูชิดะ โรเฮอิ ซึ่งเป็นนักการเมืองใหญ่ในโตเกียว และเป็นหัวหน้าสมาคมลับ มังกรดำ ยากูซ่าในญี่ปุ่น ซึ่งให้การสนับสนันด้านการเงิน และอื่นๆ แก่ซุนยัดเซ็น แต่จริงๆแล้ว Tung Meng Hui โตเกียว ก่อตั้งขึ้นที่บ้านของ นาย ซากาโมโต้ คินยา สมาชิกรัฐสภาของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในจีน
ในปี ค.ศ.1907 ซุนยัดเซ็น เดินสายในญี่ปุ่น และเสนอนโยบาย 3 ประการ ของเขา พร้อมกับประกาศว่า จะยกทางเหนือของมณทลชางชุน ให้แก่ ญี่ปุ่น ถ้าช่วยเหลือเขาในการปฏิวัติจีน ปรากฏว่า คำประกาศของ ซุนยัดเซ็น คงล้ำเส้นไปหน่อย ไม่รู้ไปขัดแผนใคร รัฐบาลญี่ปุ่นจึงสั่งให้ซุนยัดเซ็นออกไปจากญี่ปุ่น แต่ทั้ง ยูชิดะ และฝ่ายการเมืองของญี่ปุ่นเห็นว่า ยังไงก็ควรรักษาไมตรีกับซุนยัดเซ็นไว้ก่อน ในที่สุด เป็นเจ้าพ่อมังกรดำเอง เป็นผู้แนะนำให้ ซุนยัดเซ็นออกไปจากญี่ปุ่นชั่วคราว พร้อมแถมเงินติดกระเป๋าให้ ซุนยัดเซ็น ไม่ให้เสียหน้า เสียไมตรีต่อกัน อืม…
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซุนยัดเซ็นเขียนไว้ ในบันทึกของเขาว่า
“… สัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เป็นปัญหาร่วมกันของความอยู่รอด (ของประเทศ) และความสิ้นสุด (ของประเทศ) ถ้าไม่มีญี่ปุ่น ก็อาจจะไม่มีจีน และถ้าไม่มีจีน ก็อาจจะไม่มีญี่ปุ่น… ”
ซุนยัดเซ็นเห็นว่า จีนกับญี่ปุ่น และชาติอื่นๆ ในเอเซียต้องจับมือกัน Pan – Asianism
” ความปรารถนาของข้าพเจ้า คือ เห็นพวกเรา ชาวเอเซีย ควรร่วมกันขับไล่พวกชาติตะวันตกทั้งหลาย ให้หมดไปจากเอเซียของเราเสียที .. และหมดอย่างถาวร” และด้วยความคิดเยี่ยงนี้ ซุนยัดเซ็น ก็เข้าไปวุ่นวายกับการกบฏในฟิลิปปินส์ และเวียตนามด้วย
ตลอดเวลา 16 ปี ของการพยายามปฏิวัติ ไล่ราชวง์ชิง และไล่ฝรั่งออกจากจีน ซุนยัดเซ็นเดินสายพูดไปทั่วทุกแห่ง เพื่อหาเงินมาทำปฏิวัติ เขาเริ่มตั้งแต่ การไปพูด และรับเงินบริจาค แต่เงินบริจาค มันก็พอแค่เลี้ยงตัวกับเป็นค่าเดินทางไปพูด ต่อมา ซุนเริ่มพัฒนาวิธีการหาเงิน เขาเริ่มออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับพวกที่ต้องการสนับสนุนเขา โดยสัญญาจะใช้เงินให้ เมื่อปฏิวัติสำเร็จพร้อมดอกเบี้ยสูง แต่ก็ยังไม่ได้เงินตามเป้าหมาย ซุน เปลี่ยนเป็นออกตั๋ว พร้อมคำสัญญาว่า จะใช้เงิน พร้อมให้สัมปทาน หรือให้ สิทธิพิเศษ หลังจากนั้น เขาโดนรัฐบาลแต่ละประเทศ ที่ยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ หมายหัว เขาจึงกลับมาตั้งหลัก และเปลี่ยนแผนการระดมทุนอีกรอบ
คราวนี้ ซุน ทำการบ้าน หารายชื่อเศรษฐีจีน ที่อยู่แถบเอเซีย โดยเฉพาะแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ร้อยกว่าคน เขาจึงเดินสายมามาทางนั้น เขาออกพันธบัตรสงคราม war bond ไม่ต่างกับที่พวกวอลสตรีท ทำให้กับอังกฤษ เมื่อตอนจะสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สำหรับปฏิวัติจีน ซุน ยอมทำสัญญาแปะไว้กับพันธบัตรรายใหญ่ว่า พร้อมที่จะให้สัมปทานทำเหมือง ในจีนเป็นเวลา 10 ปี และในบางราย เขาสัญญาว่า จะให้คนจีนที่เป็นเจ้าของเหมืองดีบุก ทำสัญญาขายดีบุก ให้แก่ อเมริกา ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ของการส่งออกดีบุก ขนาดทำอย่างนี้แล้ว เขายังได้ทุนไม่พอไปทำการปฏิวัติ เขาจึงไปขอเงินกู้จากธนาคารฝรั่งเศสใน ฮ่องกง เป็นจำนวน 40 ล้านเหรียญ ฮ่องกง โดยวางโรงสีข้าว 3 โรง ในไทย ให้เป็นหลักประกัน กับ เหมืองแร่ อีก 3 รายในมลายู ให้เป็นหลักประกัน เช่นเดียวกัน แต่ที่สุด ก็ไม่ได้เงินกู้รายนี้
ความคิดของซุน เกี่ยวกับเรื่องการออกตั๋ว พ่วงสัมปทาน ให้คนจีน ที่สนับสนุนเงินทุนมาทำปฏิวัติ นี่ น่าสนใจมาก มันโดนใจ หรือมันไปขัดข้องใจใครกันบ้างไหม
ซุน เล่าว่า ในระหว่างการเดินสาย เขาได้พบคนหลากหลาย และหลายคน แม้จะไม่ใช่คนจีน ก็มีความเห็นใจจีน ซุนจึงได้เพื่อน 4 คน ที่มาช่วยเรื่องการจัดการหาเงินทุน
Homer Lea เป็นชาวอเมริกันหลังค่อม ที่มีการศึกษา จบมหาวิทยาลัย และ ชอบการทหาร เขาเดินทางไปจีน ในช่วงกบฏนักมวย เข้าใจสภาพของจีนดี จึงเข้ามาช่วยคนจีนก่อนที่จะเจอซุน เสียด้วยซ้ำ เขาตั้งโรงเรียนฝึกการต่อสู้ และยุทธศาสตร์ เพื่อสอนให้พวกคนจีน ในลอสแองเจลีส ที่พร้อมจะไปร่วมทำการปฏิวัติกับ ซุน Lea ยังพา เพื่อนทหารประเภทกระดูกเหล็ก มาช่วยการให้การฝีก อีกหลายคน ต่อมา Lea เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของ ซุน
Charles Boothe เป็นอดีตนายธนาคารแถวนิวยอร์ค ถูกให้เกษียณจากอาชีพ เพราะสุขภาพไม่ดี
W W Allen นักการเงินมือดีมีอนาคต จากวอลสตรีท ซึ่งเป็นเพื่อนรักตั้งแต่เด็กของ Boothe
Yung Wing ชาวจีนจบการศึกษา Yale เป็นนักเรียนหัวก้าวหน้าอยู่แถบคอนเนคติคัต ถิ่นคนรวยอยู่ไม่ว่าฝร้่ง หรือจีน
ทั้ง 4 คน ตั้งกลุ่มอเมริกันเพื่อจีน ในปี ค.ศ.1910 และช่วยการวางแผนปฏิวัติไล่ราชวงศ์แมนจู โดยตั้งงบไว้ที่ 10 ล้านเหรียญ Lea เป็นคนวางแผนการทหาร Boothe เป็นผู้ประสานงานกับพวกต่างชาติ Allen เป็นตัวสำคัญ ในการประสานงานเรื่องการเงิน กับกลุ่มวอลสตรีท ส่วน Yung เป็นตัวกลางในการเชื่อมการทำงาน ระหว่างกลุ่มปฏิวัติในอเมริกา กับในเอเซีย
คงเริ่มมองเห็นอะไรกันบ้าง แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
22 ส.ค. 2558
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
21 มุมมอง
0 รีวิว