• ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก
    .
    เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ
    .
    พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ
    .
    พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง
    .
    นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง
    .
    ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย
    .
    ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
    .
    วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ
    .
    นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก
    .
    ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก . เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ . พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ . พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง . นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง . ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย . ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ . วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ . นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก . ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    Like
    Love
    Haha
    29
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1098 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ

    วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้

    กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ

    นิยามใหม่ของ "การสมรส"
    ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป

    นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น
    - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์
    - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย
    - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต

    สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส
    1. สิทธิทางกฎหมาย
    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น
    - สิทธิในการรับมรดก
    - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต
    - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
    - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส

    2. การจัดการทรัพย์สิน
    ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย

    ข้อกังวลและความท้าทาย
    แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น
    - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง
    - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่

    ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม
    สร้างความเท่าเทียมในสังคม
    การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม

    เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย
    การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม

    สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย

    🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568

    #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม

    23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ นิยามใหม่ของ "การสมรส" ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์ - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส 1. สิทธิทางกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น - สิทธิในการรับมรดก - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส 2. การจัดการทรัพย์สิน ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย ข้อกังวลและความท้าทาย แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่ ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม สร้างความเท่าเทียมในสังคม การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย 🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568 #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมตา แพลตฟอร์มส์ บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ ยกเลิกโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ในสหรัฐฯ และลดข้อจำกัดการสนทนาในหัวข้อซึ่งเป็นที่ถกเถียงต่างๆ อย่างเช่นผู้อพยพและความเท่าเทียมทางเพศ ยอมจำนนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพวกหัวอนุรักษนิยมทั้งหลาย ในนั้นรวมถึงว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมเข้ารับตำแหน่งเป็นสมัย 2
    .
    ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงความทรงจำเมื่อเร็วๆ นี้ของเมตา ในแนวทางบริหารจัดการกับเนื้อหาทางการเมืองในบริการของพวกเขา และมีขึ้นในขณะที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัทส่งสัญญาณปรารถนาปรับความเข้าใจกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ
    .
    การเปลี่ยนแปลงจะครอบคลุมถึงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเธรดส์ ซึ่งเป็น 3 แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมตา ดัน โจเอล คาแพลน ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายนโยบายที่สนับสนุนรีพับลิกัน ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ และในวันจันทร์ (6 ม.ค.) แถลงว่า ได้แต่งตั้ง ดานา ไวท์ ซีอีโอของอัลติเมทไฟต์ติงแชมเปียนชิพ และเพื่อนใกล้ชิดของทรัมป์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท
    .
    ซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในวิดีโอว่า "เราไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มันมีความผิดพลาดมากมายมากเกินไป และเป็นการคัดครองมากเกินไป มันถึงเวลาแล้วที่จะกลับสู่รากเหง้าของเราเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก" ทั้งนี้มีรายงานว่า ซัคเคอร์เบิร์ก มีแผนนำระบบ "Community Notes"มาใช้ แบบเดียวกับที่ใช้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์
    .
    นอกจากนี้แล้ว เมตาจะโฟกัสไปที่ระบบอัตโนมัติในการลบ "เนื้อหาที่อ่อนไหวสูงและผิดกฎหมาย" อย่างเช่นก่อการร้ายและยาเสพติด ซัคเตอร์เบิร์กล่าว พร้อมระบุว่าจะหยุดสแกนเชิงรุกหาวาทกรรมแห่งความเกลียดชังและการละเมิดกฎรูปแบบอื่นๆ และจะทบทวนตรวจสอบโพสต์เหล่านั้น ตอบสนองต่อรายงานของผู้ใช้เท่านั้น
    .
    การถึงจุดจบของการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2016 สร้างความแปลกใจแก่องค์กรพันธมิตรทั้งหลาย "เราไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวนี้กำลังเกิดขึ้น และมันเป็นเรื่องช็อกสำหรับเรา ชัดเจนว่ามันจะส่งผลกระทบกับเรา" เจนซี สติลเลอร์ บรรณาธิการบริหารของ Check Your Fact ระบุ
    .
    คริสติน โรเบิร์ตส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเนื้อหาของ Gannett Media ระบุว่า "ความจริงและข้อเท็จจริงรับใช้ทุกๆ คน ไม่ใช่แค่ฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป เราทราบข่าวนี้พร้อมๆ กับทุกคนในวันนี้ มันส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาคมตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชน เรากำลังประเมินสถานการณ์"
    .
    เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซัคเคอร์เบิร์ก แสดงความเสียใจต่อการกลั่นกรองเนื้อหาบางอย่างในหัวข้อต่างๆ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 นอกจากนี้แล้ว เมตายังบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ากองทุนสาบานตนของทรัมป์ ความเคลื่อนไหวที่ต่างจากแนวทางปฏิบัติในอดีตของบริษัท
    .
    "นี่คือการก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ สำหรับการกลั่นกรองเนื้อหาในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่เนื้อหาบิดเบือนข้อมูลและเป็นอันตรายที่เติบโตเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา" จากความเห็นของ รอส เบอร์ลีย์ ผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Centre for Information Resilience "ความเคลื่อนไหวนี้ ดูเหมือนเป็นการเอาอกเอาใจทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นนโยบายที่ฉลาด"
    .
    สำหรับเวลานี้ เมตามีแผนเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เฉพาะตลาดสหรัฐฯ โดยยังไม่มีแผนยุติโปรแกรม fact-checking ในดินแดนอื่นๆ อย่างเช่นสหภาพยุโรป ที่จะใช้แนวทางกระตือรือร้นมากกว่าในการกำหนดกฎระเบียบกับบรรดาบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย โฆษกบอกกับรอยเตอร์
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับแผนยุติโปรแกรม fact-checking ของเมตา แพลตฟอร์มส์ โดยระบุว่า "พวกเขาก้าวหน้าไปมาก เมตา ชายผู้ชื่อ ซัคเคอร์เบิร์ก น่าประทับใจอย่างมก" ทรัมป์ระบุบางที ซัคเคอร์เบิร์ก อาจตอบสนองต่อเหตุคำขู่ต่างๆ ที่มีต่อตัวเขา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001966
    ..............
    Sondhi X
    เมตา แพลตฟอร์มส์ บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ ยกเลิกโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ในสหรัฐฯ และลดข้อจำกัดการสนทนาในหัวข้อซึ่งเป็นที่ถกเถียงต่างๆ อย่างเช่นผู้อพยพและความเท่าเทียมทางเพศ ยอมจำนนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพวกหัวอนุรักษนิยมทั้งหลาย ในนั้นรวมถึงว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมเข้ารับตำแหน่งเป็นสมัย 2 . ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงความทรงจำเมื่อเร็วๆ นี้ของเมตา ในแนวทางบริหารจัดการกับเนื้อหาทางการเมืองในบริการของพวกเขา และมีขึ้นในขณะที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัทส่งสัญญาณปรารถนาปรับความเข้าใจกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ . การเปลี่ยนแปลงจะครอบคลุมถึงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเธรดส์ ซึ่งเป็น 3 แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมตา ดัน โจเอล คาแพลน ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายนโยบายที่สนับสนุนรีพับลิกัน ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ และในวันจันทร์ (6 ม.ค.) แถลงว่า ได้แต่งตั้ง ดานา ไวท์ ซีอีโอของอัลติเมทไฟต์ติงแชมเปียนชิพ และเพื่อนใกล้ชิดของทรัมป์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท . ซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในวิดีโอว่า "เราไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มันมีความผิดพลาดมากมายมากเกินไป และเป็นการคัดครองมากเกินไป มันถึงเวลาแล้วที่จะกลับสู่รากเหง้าของเราเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก" ทั้งนี้มีรายงานว่า ซัคเคอร์เบิร์ก มีแผนนำระบบ "Community Notes"มาใช้ แบบเดียวกับที่ใช้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์ . นอกจากนี้แล้ว เมตาจะโฟกัสไปที่ระบบอัตโนมัติในการลบ "เนื้อหาที่อ่อนไหวสูงและผิดกฎหมาย" อย่างเช่นก่อการร้ายและยาเสพติด ซัคเตอร์เบิร์กล่าว พร้อมระบุว่าจะหยุดสแกนเชิงรุกหาวาทกรรมแห่งความเกลียดชังและการละเมิดกฎรูปแบบอื่นๆ และจะทบทวนตรวจสอบโพสต์เหล่านั้น ตอบสนองต่อรายงานของผู้ใช้เท่านั้น . การถึงจุดจบของการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2016 สร้างความแปลกใจแก่องค์กรพันธมิตรทั้งหลาย "เราไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวนี้กำลังเกิดขึ้น และมันเป็นเรื่องช็อกสำหรับเรา ชัดเจนว่ามันจะส่งผลกระทบกับเรา" เจนซี สติลเลอร์ บรรณาธิการบริหารของ Check Your Fact ระบุ . คริสติน โรเบิร์ตส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเนื้อหาของ Gannett Media ระบุว่า "ความจริงและข้อเท็จจริงรับใช้ทุกๆ คน ไม่ใช่แค่ฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป เราทราบข่าวนี้พร้อมๆ กับทุกคนในวันนี้ มันส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาคมตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชน เรากำลังประเมินสถานการณ์" . เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซัคเคอร์เบิร์ก แสดงความเสียใจต่อการกลั่นกรองเนื้อหาบางอย่างในหัวข้อต่างๆ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 นอกจากนี้แล้ว เมตายังบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ากองทุนสาบานตนของทรัมป์ ความเคลื่อนไหวที่ต่างจากแนวทางปฏิบัติในอดีตของบริษัท . "นี่คือการก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ สำหรับการกลั่นกรองเนื้อหาในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่เนื้อหาบิดเบือนข้อมูลและเป็นอันตรายที่เติบโตเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา" จากความเห็นของ รอส เบอร์ลีย์ ผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Centre for Information Resilience "ความเคลื่อนไหวนี้ ดูเหมือนเป็นการเอาอกเอาใจทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นนโยบายที่ฉลาด" . สำหรับเวลานี้ เมตามีแผนเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เฉพาะตลาดสหรัฐฯ โดยยังไม่มีแผนยุติโปรแกรม fact-checking ในดินแดนอื่นๆ อย่างเช่นสหภาพยุโรป ที่จะใช้แนวทางกระตือรือร้นมากกว่าในการกำหนดกฎระเบียบกับบรรดาบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย โฆษกบอกกับรอยเตอร์ . ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับแผนยุติโปรแกรม fact-checking ของเมตา แพลตฟอร์มส์ โดยระบุว่า "พวกเขาก้าวหน้าไปมาก เมตา ชายผู้ชื่อ ซัคเคอร์เบิร์ก น่าประทับใจอย่างมก" ทรัมป์ระบุบางที ซัคเคอร์เบิร์ก อาจตอบสนองต่อเหตุคำขู่ต่างๆ ที่มีต่อตัวเขา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001966 .............. Sondhi X
    Like
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 6 มกราคม 2568 -รายงานข่าวไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่า
    นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด ประกาศลาออกหลังจากดำรงตำแหน่งมาเกือบ 10 ปี หลังจากมีการคาดเดาอนาคตทางการเมืองของเขามาหลายสัปดาห์

    เขาเสริมว่า เขาจะระงับการทำงานของรัฐสภาจนถึงวันที่ 24 มีนาคม เพื่อให้พรรคเสรีนิยมของเขามีเวลาในการเลือกผู้นำคนใหม่

    ทรูโดกล่าวว่า “ผมตั้งใจจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี หลังจากที่พรรคได้เลือกผู้นำคนใหม่แล้ว”

    ทรูโดกล่าวที่เมืองออตตาวาเมื่อวันจันทร์ว่า “รัฐสภาหยุดชะงักมาหลายเดือนแล้ว ประเทศนี้สมควรได้รับตัวเลือกที่แท้จริงในการเลือกตั้งครั้งหน้า และสำหรับผมแล้ว ชัดเจนแล้วว่า หากผมต้องต่อสู้ภายใน ผมจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนั้น”

    ความนิยมของนายทรูโด วัย 53 ปี ตกต่ำลงเป็นประวัติศาสตร์ หลังจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งและสมาชิกพรรคของเขาหันหลังให้กับเขา หลังจากที่มีการคาดเดากันอย่างวุ่นวายเกี่ยวกับความสามารถในการบริหารประเทศในกลุ่ม G7

    พรรคประชาธิปไตยใหม่ (NDP) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญในรัฐสภา ประกาศก่อนคริสต์มาสว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยของพรรคเสรีนิยมอีกต่อไป

    พรรคฝ่ายค้าน รวมถึงพรรค NDP ยังกล่าวอีกว่าพวกเขาพร้อมที่จะผ่านญัตติไม่ไว้วางใจในสภาสามัญ ซึ่งอาจกระตุ้นให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนกำหนด

    นายปิแอร์ ปัวลิเวียร์ ซึ่งพรรคอนุรักษ์นิยมของเขามีคะแนนนำพรรคเสรีนิยม 25 คะแนนในผลสำรวจ ได้เรียกร้องให้นายทรูโดลาออกหรือจัดการเลือกตั้งใหม่หลายครั้ง โดยอ้างถึงความท้าทายที่ใกล้จะเกิดขึ้นในแคนาดากับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่

    ทรัมป์ได้ล้อเลียนนายทรูโดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเรียกเขาว่าผู้ว่าการรัฐที่ 51 ของสหรัฐ ซึ่งเป็นการจุดชนวนให้นายกรัฐมนตรีลาออก

    ทรูโดเกิดที่เมืองออตตาวา เป็นบุตรชายของปิแอร์ ทรูโด ผู้นำพรรคเสรีนิยมผู้มีเสน่ห์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 1968 ถึง 1979 และตั้งแต่ปี 1980 ถึง 1984 เคยทำงานเป็นครูสอนละครในโรงเรียนที่เมืองแวนคูเวอร์ ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยมในเดือนเมษายน 2013

    เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2015 เมื่อผู้มาใหม่หน้าใหม่พาพรรคเสรีนิยมของเขาไปสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมและสตีเฟน ฮาร์เปอร์ ผู้นำที่ไม่เป็นที่นิยมของพวกเขา

    ในช่วงดำรงตำแหน่ง ทรูโดได้ผ่านกฎหมายเพื่อยกเลิกกฎหมายยาเสพติด ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และส่งเสริมการปรองดองกับชนพื้นเมือง ตลอดจนความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เขายังให้คำมั่นว่าจะรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 25,000 คนที่หลบหนีสงครามในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา แม้จะมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับระดับผู้อพยพ

    แต่ความนิยมในตัวทรูโดก็ลดลงในช่วงปีที่ผ่านมาเนื่องจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงและวิกฤตการณ์ด้านที่อยู่อาศัย ความพยายามของเขาในการกระตุ้นเศรษฐกิจของแคนาดาหลังการระบาดใหญ่ผ่านการย้ายถิ่นฐานในระดับสูงสุดยังเผชิญกับการต่อต้านอย่างกว้างขวาง

    การสำรวจความคิดเห็นของแองกัส รีดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมแสดงให้เห็นว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ตั้งใจจะลงคะแนนให้พรรคเสรีนิยมลดลงเหลือ 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ทรูโดขึ้นสู่อำนาจ ในขณะที่คะแนนความไม่เห็นด้วยของนายกรัฐมนตรี ซึ่งผ่าน "Trudeau Tracker" ของผู้ให้บริการสำรวจความคิดเห็น อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 74 เปอร์เซ็นต์

    การลาออกอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมของคริสเทีย ฟรีแลนด์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่เคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรี หลังจากเกิดข้อพิพาทกับทรูโดเกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐบาล ทำให้เกิดการเรียกร้องให้เขาลาออกจากทั้งฝ่ายค้านและพรรคของตัวเองอีกครั้ง

    หลังจากการเคลื่อนไหวของฟรีแลนด์ จัคมีท ซิงห์ หัวหน้าพรรค NDP กล่าวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมว่าพรรคของเขามีความคิดที่จะถอนการสนับสนุนจากทรูโดหรือพรรคเสรีนิยม ซิงห์ให้คำมั่นว่ากลุ่มผู้ลงคะแนนของพรรคของเขาจะพิจารณาโค่นล้มรัฐบาลเมื่อรัฐสภาเปิดประชุมอีกครั้งในช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเลือกตั้งก่อนกำหนด https://www.ft.com/content/dd453658-4d2c-487d-87f1-24b0129d8d52
    6 มกราคม 2568 -รายงานข่าวไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด ประกาศลาออกหลังจากดำรงตำแหน่งมาเกือบ 10 ปี หลังจากมีการคาดเดาอนาคตทางการเมืองของเขามาหลายสัปดาห์ เขาเสริมว่า เขาจะระงับการทำงานของรัฐสภาจนถึงวันที่ 24 มีนาคม เพื่อให้พรรคเสรีนิยมของเขามีเวลาในการเลือกผู้นำคนใหม่ ทรูโดกล่าวว่า “ผมตั้งใจจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี หลังจากที่พรรคได้เลือกผู้นำคนใหม่แล้ว” ทรูโดกล่าวที่เมืองออตตาวาเมื่อวันจันทร์ว่า “รัฐสภาหยุดชะงักมาหลายเดือนแล้ว ประเทศนี้สมควรได้รับตัวเลือกที่แท้จริงในการเลือกตั้งครั้งหน้า และสำหรับผมแล้ว ชัดเจนแล้วว่า หากผมต้องต่อสู้ภายใน ผมจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนั้น” ความนิยมของนายทรูโด วัย 53 ปี ตกต่ำลงเป็นประวัติศาสตร์ หลังจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งและสมาชิกพรรคของเขาหันหลังให้กับเขา หลังจากที่มีการคาดเดากันอย่างวุ่นวายเกี่ยวกับความสามารถในการบริหารประเทศในกลุ่ม G7 พรรคประชาธิปไตยใหม่ (NDP) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญในรัฐสภา ประกาศก่อนคริสต์มาสว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยของพรรคเสรีนิยมอีกต่อไป พรรคฝ่ายค้าน รวมถึงพรรค NDP ยังกล่าวอีกว่าพวกเขาพร้อมที่จะผ่านญัตติไม่ไว้วางใจในสภาสามัญ ซึ่งอาจกระตุ้นให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนกำหนด นายปิแอร์ ปัวลิเวียร์ ซึ่งพรรคอนุรักษ์นิยมของเขามีคะแนนนำพรรคเสรีนิยม 25 คะแนนในผลสำรวจ ได้เรียกร้องให้นายทรูโดลาออกหรือจัดการเลือกตั้งใหม่หลายครั้ง โดยอ้างถึงความท้าทายที่ใกล้จะเกิดขึ้นในแคนาดากับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ทรัมป์ได้ล้อเลียนนายทรูโดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเรียกเขาว่าผู้ว่าการรัฐที่ 51 ของสหรัฐ ซึ่งเป็นการจุดชนวนให้นายกรัฐมนตรีลาออก ทรูโดเกิดที่เมืองออตตาวา เป็นบุตรชายของปิแอร์ ทรูโด ผู้นำพรรคเสรีนิยมผู้มีเสน่ห์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 1968 ถึง 1979 และตั้งแต่ปี 1980 ถึง 1984 เคยทำงานเป็นครูสอนละครในโรงเรียนที่เมืองแวนคูเวอร์ ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยมในเดือนเมษายน 2013 เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2015 เมื่อผู้มาใหม่หน้าใหม่พาพรรคเสรีนิยมของเขาไปสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมและสตีเฟน ฮาร์เปอร์ ผู้นำที่ไม่เป็นที่นิยมของพวกเขา ในช่วงดำรงตำแหน่ง ทรูโดได้ผ่านกฎหมายเพื่อยกเลิกกฎหมายยาเสพติด ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และส่งเสริมการปรองดองกับชนพื้นเมือง ตลอดจนความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เขายังให้คำมั่นว่าจะรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 25,000 คนที่หลบหนีสงครามในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา แม้จะมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับระดับผู้อพยพ แต่ความนิยมในตัวทรูโดก็ลดลงในช่วงปีที่ผ่านมาเนื่องจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงและวิกฤตการณ์ด้านที่อยู่อาศัย ความพยายามของเขาในการกระตุ้นเศรษฐกิจของแคนาดาหลังการระบาดใหญ่ผ่านการย้ายถิ่นฐานในระดับสูงสุดยังเผชิญกับการต่อต้านอย่างกว้างขวาง การสำรวจความคิดเห็นของแองกัส รีดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมแสดงให้เห็นว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ตั้งใจจะลงคะแนนให้พรรคเสรีนิยมลดลงเหลือ 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ทรูโดขึ้นสู่อำนาจ ในขณะที่คะแนนความไม่เห็นด้วยของนายกรัฐมนตรี ซึ่งผ่าน "Trudeau Tracker" ของผู้ให้บริการสำรวจความคิดเห็น อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 74 เปอร์เซ็นต์ การลาออกอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมของคริสเทีย ฟรีแลนด์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่เคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรี หลังจากเกิดข้อพิพาทกับทรูโดเกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐบาล ทำให้เกิดการเรียกร้องให้เขาลาออกจากทั้งฝ่ายค้านและพรรคของตัวเองอีกครั้ง หลังจากการเคลื่อนไหวของฟรีแลนด์ จัคมีท ซิงห์ หัวหน้าพรรค NDP กล่าวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมว่าพรรคของเขามีความคิดที่จะถอนการสนับสนุนจากทรูโดหรือพรรคเสรีนิยม ซิงห์ให้คำมั่นว่ากลุ่มผู้ลงคะแนนของพรรคของเขาจะพิจารณาโค่นล้มรัฐบาลเมื่อรัฐสภาเปิดประชุมอีกครั้งในช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเลือกตั้งก่อนกำหนด https://www.ft.com/content/dd453658-4d2c-487d-87f1-24b0129d8d52
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว