• กฎหมายไซเบอร์ใหม่ของสหราชอาณาจักรเข้มงวดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐาน

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรเปิดตัว “Cyber Security and Resilience Bill” ที่จะบังคับให้หน่วยงานสำคัญ เช่น สาธารณสุข พลังงาน น้ำ การขนส่ง และบริการดิจิทัล ต้องรายงานเหตุการณ์ไซเบอร์ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมกำหนดค่าปรับสูงสุดถึงวันละ 132,000 ดอลลาร์ หรือคิดตามรายได้ต่อปี เพื่อบังคับให้บริษัทลงทุนด้านความปลอดภัยก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่หลังเกิดเหตุ

    กฎหมายนี้ยังขยายขอบเขตไปถึงผู้ให้บริการ Managed Service Providers (MSPs) และศูนย์ข้อมูล ซึ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้นในการแจ้งเตือนลูกค้าและรัฐบาลเมื่อเกิดเหตุการณ์ นอกจากนี้ยังให้อำนาจรัฐมนตรีเทคโนโลยีสั่งการโดยตรงในกรณีที่มีภัยคุกคามระดับชาติ เช่น การสั่งแยกเครือข่ายชั่วคราวหรือเพิ่มการตรวจสอบพิเศษ

    แรงผลักดันของกฎหมายนี้มาจากเหตุการณ์โจมตีที่สร้างความเสียหายมหาศาล เช่น การโจมตีระบบเงินเดือนของกระทรวงกลาโหมที่ทำให้ข้อมูลทหารกว่า 270,000 คนรั่วไหล และการโจมตี Synnovis ที่ทำให้การนัดหมายทางการแพทย์กว่า 11,000 ครั้งถูกยกเลิก กฎหมายใหม่นี้จึงถูกมองว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้สูงกว่ากฎหมาย EU NIS2 และ GDPR

    เนื้อหาหลักของ Cyber Security and Resilience Bill
    รายงานเหตุการณ์ไซเบอร์ภายใน 24 ชั่วโมง
    ค่าปรับสูงสุดวันละ 132,000 ดอลลาร์ หรือคิดตามรายได้
    ขยายขอบเขตไปถึง MSPs และศูนย์ข้อมูล
    ให้อำนาจรัฐมนตรีสั่งการโดยตรงในกรณีฉุกเฉิน

    ความท้าทายและผลกระทบ
    บริษัทอาจไม่ทันต่อข้อกำหนดเวลา 24 ชั่วโมง
    MSPs ต้องลงทุนเพิ่มใน SOC และการตอบสนองเร็ว
    ความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจและต้นทุนที่สูงขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/4088549/uk-cybersecurity-bill-brings-tougher-rules-for-critical-infrastructure.html
    🇬🇧 กฎหมายไซเบอร์ใหม่ของสหราชอาณาจักรเข้มงวดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลสหราชอาณาจักรเปิดตัว “Cyber Security and Resilience Bill” ที่จะบังคับให้หน่วยงานสำคัญ เช่น สาธารณสุข พลังงาน น้ำ การขนส่ง และบริการดิจิทัล ต้องรายงานเหตุการณ์ไซเบอร์ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมกำหนดค่าปรับสูงสุดถึงวันละ 132,000 ดอลลาร์ หรือคิดตามรายได้ต่อปี เพื่อบังคับให้บริษัทลงทุนด้านความปลอดภัยก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่หลังเกิดเหตุ กฎหมายนี้ยังขยายขอบเขตไปถึงผู้ให้บริการ Managed Service Providers (MSPs) และศูนย์ข้อมูล ซึ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้นในการแจ้งเตือนลูกค้าและรัฐบาลเมื่อเกิดเหตุการณ์ นอกจากนี้ยังให้อำนาจรัฐมนตรีเทคโนโลยีสั่งการโดยตรงในกรณีที่มีภัยคุกคามระดับชาติ เช่น การสั่งแยกเครือข่ายชั่วคราวหรือเพิ่มการตรวจสอบพิเศษ แรงผลักดันของกฎหมายนี้มาจากเหตุการณ์โจมตีที่สร้างความเสียหายมหาศาล เช่น การโจมตีระบบเงินเดือนของกระทรวงกลาโหมที่ทำให้ข้อมูลทหารกว่า 270,000 คนรั่วไหล และการโจมตี Synnovis ที่ทำให้การนัดหมายทางการแพทย์กว่า 11,000 ครั้งถูกยกเลิก กฎหมายใหม่นี้จึงถูกมองว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้สูงกว่ากฎหมาย EU NIS2 และ GDPR ✅ เนื้อหาหลักของ Cyber Security and Resilience Bill ➡️ รายงานเหตุการณ์ไซเบอร์ภายใน 24 ชั่วโมง ➡️ ค่าปรับสูงสุดวันละ 132,000 ดอลลาร์ หรือคิดตามรายได้ ➡️ ขยายขอบเขตไปถึง MSPs และศูนย์ข้อมูล ➡️ ให้อำนาจรัฐมนตรีสั่งการโดยตรงในกรณีฉุกเฉิน ‼️ ความท้าทายและผลกระทบ ⛔ บริษัทอาจไม่ทันต่อข้อกำหนดเวลา 24 ชั่วโมง ⛔ MSPs ต้องลงทุนเพิ่มใน SOC และการตอบสนองเร็ว ⛔ ความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจและต้นทุนที่สูงขึ้น https://www.csoonline.com/article/4088549/uk-cybersecurity-bill-brings-tougher-rules-for-critical-infrastructure.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    UK cybersecurity bill brings tougher rules for critical infrastructure
    Healthcare, energy, transport, and digital services face stricter compliance rules as ministers gain powers to intervene during major cyber incidents.
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • Google ฟ้องศาลสหรัฐเพื่อปิดบริการฟิชชิ่ง Lighthouse

    Google กำลังใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่ให้บริการ “Phishing-as-a-Service” ภายใต้ชื่อ Lighthouse ซึ่งสร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบแบรนด์ดังเพื่อหลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสอีเมลหรือข้อมูลธนาคาร Google พบว่ามีเทมเพลตเว็บไซต์กว่า 107 แบบที่ใช้โลโก้และหน้าล็อกอินของบริษัทจริงเพื่อหลอกเหยื่อ

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทเทคโนโลยีใช้ศาลเป็นเครื่องมือ Microsoft เคยทำเช่นเดียวกันในการจัดการกับ RacoonO365 และ TrickBot แต่ปัญหาคือผู้โจมตีมักอยู่นอกสหรัฐ ทำให้คำสั่งศาลมีผลจำกัด ผู้เชี่ยวชาญบางคนจึงมองว่าการฟ้องร้องอาจช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นการสร้างแรงกดดันและป้องกันไม่ให้บริษัทถูกฟ้องกลับจากผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อ

    นอกจากนี้ Google ยังผลักดันกฎหมายใหม่ เช่น GUARD Act เพื่อปกป้องผู้สูงอายุจากการหลอกลวงทางการเงิน และ SCAM Act เพื่อจัดการกับ “scam compounds” หรือศูนย์กลางที่ใช้แรงงานบังคับในการทำอาชญากรรมไซเบอร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลกและการบล็อกโฆษณาหลอกลวงที่ปรากฏบนแพลตฟอร์มด้วย

    การดำเนินคดีของ Google ต่อ Lighthouse
    พบเว็บไซต์ปลอมกว่า 107 แบบเลียนแบบแบรนด์ดัง
    ใช้ศาลเป็นเครื่องมือจัดการอาชญากรไซเบอร์
    ผลักดันกฎหมายใหม่เพื่อปกป้องผู้บริโภค

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    คำสั่งศาลมีผลจำกัดหากผู้โจมตีอยู่นอกสหรัฐ
    กฎหมายใหม่อาจไม่ทันต่อความคล่องตัวของอาชญากรไซเบอร์
    โฆษณาหลอกลวงบนแพลตฟอร์มยังเป็นปัญหาสำคัญ

    https://www.csoonline.com/article/4088993/google-asks-us-court-to-shut-down-lighthouse-phishing-as-a-service-operation.html
    ⚖️ Google ฟ้องศาลสหรัฐเพื่อปิดบริการฟิชชิ่ง Lighthouse Google กำลังใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่ให้บริการ “Phishing-as-a-Service” ภายใต้ชื่อ Lighthouse ซึ่งสร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบแบรนด์ดังเพื่อหลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสอีเมลหรือข้อมูลธนาคาร Google พบว่ามีเทมเพลตเว็บไซต์กว่า 107 แบบที่ใช้โลโก้และหน้าล็อกอินของบริษัทจริงเพื่อหลอกเหยื่อ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทเทคโนโลยีใช้ศาลเป็นเครื่องมือ Microsoft เคยทำเช่นเดียวกันในการจัดการกับ RacoonO365 และ TrickBot แต่ปัญหาคือผู้โจมตีมักอยู่นอกสหรัฐ ทำให้คำสั่งศาลมีผลจำกัด ผู้เชี่ยวชาญบางคนจึงมองว่าการฟ้องร้องอาจช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นการสร้างแรงกดดันและป้องกันไม่ให้บริษัทถูกฟ้องกลับจากผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อ นอกจากนี้ Google ยังผลักดันกฎหมายใหม่ เช่น GUARD Act เพื่อปกป้องผู้สูงอายุจากการหลอกลวงทางการเงิน และ SCAM Act เพื่อจัดการกับ “scam compounds” หรือศูนย์กลางที่ใช้แรงงานบังคับในการทำอาชญากรรมไซเบอร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลกและการบล็อกโฆษณาหลอกลวงที่ปรากฏบนแพลตฟอร์มด้วย ✅ การดำเนินคดีของ Google ต่อ Lighthouse ➡️ พบเว็บไซต์ปลอมกว่า 107 แบบเลียนแบบแบรนด์ดัง ➡️ ใช้ศาลเป็นเครื่องมือจัดการอาชญากรไซเบอร์ ➡️ ผลักดันกฎหมายใหม่เพื่อปกป้องผู้บริโภค ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ⛔ คำสั่งศาลมีผลจำกัดหากผู้โจมตีอยู่นอกสหรัฐ ⛔ กฎหมายใหม่อาจไม่ทันต่อความคล่องตัวของอาชญากรไซเบอร์ ⛔ โฆษณาหลอกลวงบนแพลตฟอร์มยังเป็นปัญหาสำคัญ https://www.csoonline.com/article/4088993/google-asks-us-court-to-shut-down-lighthouse-phishing-as-a-service-operation.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Google asks US court to shut down Lighthouse phishing-as-a-service operation
    This is but the latest in a series of tech providers leaning on judges to help stop cybercrime.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • ทหารไทย ผู้นำคนใหม่ของไทย หรือเดอะทีมไทยเรา,ท่านจะผิดพลาดแบบยุคโควิด19ไม่ได้อีกแล้วนะ,จะเป็นขี้ข้าทาสอีลิทคาบาลไซออนิสต์หรือใดๆแบบเดิมๆในอดีตไม่ได้อีกแล้วนะ,กฎหมายมากมายที่ออกมาล้วนเป็นไปเพื่อควบคุมคนไทยเป็นทาสในยุคใหม่AIชัดเจนมากของagenda2030มัน,cbdc,เงินดิจิดัล,เมืองอัจฉริยะ,ไบโอเมทริกต่างๆเอย,เหล่านี้เป็นต้นล้วนเป็นภัยอันตรายชัดเจน ระดับฝ่ายข่าวกรอกทางความมั่นคงของชาติทหารเราถ้าพลาดเรื่องนี้ ท่านในนามกองทัพไทยถือว่าทรยศหักหลัง,ไม่สมควรมีประจำการบนแผ่นดินไทยเพราะมิได้ปกป้องดูแลเรา..ประชาชนคนไทยขัดเจนด้วย สมคบคิดจะปกครองให้คนไทยเป็นทาสระบบคาบาลชัดเจนนั้นเอง,ท่านต้องไม่พลาดอีก,ไม่มองโลกแคบขนาดนั้น,บริบทมากมายมันสะท้อนทางฝ่ายมืดชัดเจน ภาษีคาร์บอนก็ผ่านครม.แล้ว,พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็ผ่านแล้ว,นี้คือการเดินไปทางนรกชัดเจน ,ประเทศไทยจะเดินบนทางนรกไม่ได้อีก,ถ้าเดินทางนี้แสดงว่าเราสิ้นทั้งสามสถาบันแล้ว,มิอาจไว้วางใจสามเสาหักต่อไปได้อีก,เพราะแสดงว่าอยู่ภายใต้ทาสมันไปแล้วเช่นกัน หัวโขนนี้จะเอามาหลอกลวงคนไทยทั้งประเทศเพราะบรรลุเป้าหมายของฝ่ายชั่วซาตานไม่สมควรสิ้น,แสดงว่าการลดประชากรไทยจากวัคซีนอำมหิตนี้ที่ฉีดเกือบหมดทุกๆคนคือการปกครองของฝ่ายมืดเบ็ดเสร็จจริงประจำประเทศไทยเรา,มีทางเดียวที่ทหารจะจบความสงสัยคือนำพาคนไทยปลดปล่อยคนไทยจริงอีกจากการปกครองของฝ่ายมืดมันในไทยเรา,ฉีกกฎหมายอีลิททั้งหมดทิ้งทันทีแล้วทหารเขียนกฎหมายใหม่หมด,กฎหมายอดีตเป็นกฎหมายฝ่ายมืด เผาไฟทิ้งทุกๆฉบับเลย ตำราเรียนเท็จก็เอามาเผาทิ้งด้วย เรา..ประเทศไทยจะรอดไปยุคใหม่บนฐานค่าความจริงได้จริง,ทหารไทยต้องยึดอำนาจ ทหารไทยต้อง ใจหาญสไตล์บิ๊กกุ้ง,เราทั้งประเทศจึงจะรอดจากสงครามโลกของซาตานที่ปกครองโลกนี้จริง,เรา..สามารถเป็นบัวลอยพ้นน้ำทั้งประเทศได้จากสายบัวสายทหารไทยเรานำพาที่แข็งแกร่งและนั้นนี้เรา..คนไทยทั้งหมดด้วยรวมกันเป็นต้นบัวทั้งสายนั้นสู่บัวพ้นน้ำในที่สุดของประเทศไทยเราบนดินปุ๋ยโคลนตมจากพื้นฐานมูลใต้น้ำของซาตานที่สร้างขึ้นหรือธรรมชาติซาตานที่สร้างโลกนี้ขึ้น,แต่มิอาจขัดขวางเรา..ประเทศไทยบรรลุแจ้งได้นั้นเอง.,ทหารไทยต้องเด็ดขาดได้แล้ว.

    https://youtube.com/shorts/IPw1NT681uE?si=RvQko8iionjAGhQC
    ทหารไทย ผู้นำคนใหม่ของไทย หรือเดอะทีมไทยเรา,ท่านจะผิดพลาดแบบยุคโควิด19ไม่ได้อีกแล้วนะ,จะเป็นขี้ข้าทาสอีลิทคาบาลไซออนิสต์หรือใดๆแบบเดิมๆในอดีตไม่ได้อีกแล้วนะ,กฎหมายมากมายที่ออกมาล้วนเป็นไปเพื่อควบคุมคนไทยเป็นทาสในยุคใหม่AIชัดเจนมากของagenda2030มัน,cbdc,เงินดิจิดัล,เมืองอัจฉริยะ,ไบโอเมทริกต่างๆเอย,เหล่านี้เป็นต้นล้วนเป็นภัยอันตรายชัดเจน ระดับฝ่ายข่าวกรอกทางความมั่นคงของชาติทหารเราถ้าพลาดเรื่องนี้ ท่านในนามกองทัพไทยถือว่าทรยศหักหลัง,ไม่สมควรมีประจำการบนแผ่นดินไทยเพราะมิได้ปกป้องดูแลเรา..ประชาชนคนไทยขัดเจนด้วย สมคบคิดจะปกครองให้คนไทยเป็นทาสระบบคาบาลชัดเจนนั้นเอง,ท่านต้องไม่พลาดอีก,ไม่มองโลกแคบขนาดนั้น,บริบทมากมายมันสะท้อนทางฝ่ายมืดชัดเจน ภาษีคาร์บอนก็ผ่านครม.แล้ว,พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็ผ่านแล้ว,นี้คือการเดินไปทางนรกชัดเจน ,ประเทศไทยจะเดินบนทางนรกไม่ได้อีก,ถ้าเดินทางนี้แสดงว่าเราสิ้นทั้งสามสถาบันแล้ว,มิอาจไว้วางใจสามเสาหักต่อไปได้อีก,เพราะแสดงว่าอยู่ภายใต้ทาสมันไปแล้วเช่นกัน หัวโขนนี้จะเอามาหลอกลวงคนไทยทั้งประเทศเพราะบรรลุเป้าหมายของฝ่ายชั่วซาตานไม่สมควรสิ้น,แสดงว่าการลดประชากรไทยจากวัคซีนอำมหิตนี้ที่ฉีดเกือบหมดทุกๆคนคือการปกครองของฝ่ายมืดเบ็ดเสร็จจริงประจำประเทศไทยเรา,มีทางเดียวที่ทหารจะจบความสงสัยคือนำพาคนไทยปลดปล่อยคนไทยจริงอีกจากการปกครองของฝ่ายมืดมันในไทยเรา,ฉีกกฎหมายอีลิททั้งหมดทิ้งทันทีแล้วทหารเขียนกฎหมายใหม่หมด,กฎหมายอดีตเป็นกฎหมายฝ่ายมืด เผาไฟทิ้งทุกๆฉบับเลย ตำราเรียนเท็จก็เอามาเผาทิ้งด้วย เรา..ประเทศไทยจะรอดไปยุคใหม่บนฐานค่าความจริงได้จริง,ทหารไทยต้องยึดอำนาจ ทหารไทยต้อง ใจหาญสไตล์บิ๊กกุ้ง,เราทั้งประเทศจึงจะรอดจากสงครามโลกของซาตานที่ปกครองโลกนี้จริง,เรา..สามารถเป็นบัวลอยพ้นน้ำทั้งประเทศได้จากสายบัวสายทหารไทยเรานำพาที่แข็งแกร่งและนั้นนี้เรา..คนไทยทั้งหมดด้วยรวมกันเป็นต้นบัวทั้งสายนั้นสู่บัวพ้นน้ำในที่สุดของประเทศไทยเราบนดินปุ๋ยโคลนตมจากพื้นฐานมูลใต้น้ำของซาตานที่สร้างขึ้นหรือธรรมชาติซาตานที่สร้างโลกนี้ขึ้น,แต่มิอาจขัดขวางเรา..ประเทศไทยบรรลุแจ้งได้นั้นเอง.,ทหารไทยต้องเด็ดขาดได้แล้ว. https://youtube.com/shorts/IPw1NT681uE?si=RvQko8iionjAGhQC
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    คดีล่าสุดของ ร.ต.อ. สิงห์: จอมมารแห่งการฆ่า

    เหตุการณ์สยองขวัญในกรุงเทพ

    คืนแห่งความตายครั้งแรก

    ในคืนเดือนมืด เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในย่านธุรกิจ
    ผู้เสียชีวิตคือดร. กฤษณ์ นักวิจัยเจนีซิส แล็บ

    ลักษณะคดี:

    · ถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้
    · ร่างกายถูกวางในท่าประหลาด เหมือนกำลังนั่งสมาธิ
    · มีสัญลักษณ์ประหลาดเขียนด้วยเลือดอยู่ข้างกาย

    ```mermaid
    graph TB
    A[ดร.กฤษณ์<br>นักวิจัยเก่า] --> B[ถูกฆ่า<br>แบบพิธีกรรม]
    B --> C[พบสัญลักษณ์<br>ลึกลับ]
    C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>รับคดีสำคัญ]
    ```

    หลักฐานลึกลับ

    ร.ต.อ. สิงห์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ:

    · กล้องวงจรปิด: ไม่บันทึกภาพผู้ต้องสงสัย
    · ลายนิ้วมือ: ไม่พบรอยใดๆ
    · สัญลักษณ์เลือด: เป็นรูป "วงกลมสามชั้น" ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    การสอบสวนและคลี่คลาย

    การเชื่อมโยียงกับอดีต

    สิงห์พบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนเชื่อมโยง

    · อดีตพนักงานเจนีซิส แล็บ
    · นักวิจัยโครงการโอปปาติกะ
    · ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลอง

    ลายแทงจากหนูดี

    หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาด:
    "พ่อคะ...หนูรู้สึกถึงพลังงานแห่งความโกรธแค้น
    มันพลังงานธรรมดา...แต่คือพลังงานที่เคยเป็นมนุษย์"

    การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

    สิงห์ใช้ความรู้เดิมด้านวิทยาศาสตร์ช่วยวิเคราะห์:

    ```python
    class MurderAnalysis:
    def __init__(self):
    self.evidence = {
    "energy_residue": "พลังงานจิตระดับสูง",
    "symbolism": "สัญลักษณ์แทนการเกิด-ตาย",
    "victim_pattern": "เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ",
    "motive": "อาจเป็นการแก้แค้น"
    }

    def hypothesis(self):
    return "ฆาตกรอาจเป็นโอปปาติกะที่กลายพันธุ์"
    ```

    การเผชิญหน้าจอมมารแห่งการฆ่า

    ตัวตนที่แท้จริงของฆาตกร

    หลังการสอบสวนอย่างละเอียด พบว่า...
    จอมมารแห่งการฆ่าคือ OPPATIKA-0
    โอปปาติกะรุ่นแรกที่หลบหนีจากการทดลอง

    เบื้องหลังความโกรธแค้น

    OPPATIKA-0 เปิดเผยความจริง:
    "พวกมนุษย์ใช้เราเป็นเครื่องทดลอง...
    ทรมานเรา แล้วทิ้งเราเหมือนขยะ
    นี่คือการตอบแทน!"

    ลักษณะของจอมมาร

    · รูปลักษณ์: ร่างกายพิการจากผลข้างเคียงการทดลอง
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานมืดและลอบล่องหนได้
    · จุดอ่อน: ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่

    การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา

    แนวทางของ ร.ต.อ. สิงห์

    แทนที่จะใช้ความรุนแรง สิงห์เลือกพูดคุย:
    "เราเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ...
    แต่การฆาตกรรมไม่ใช่ทางออก"

    การช่วยเหลือของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถในการสื่อสารกับโอปปาติกะ:
    "พี่ครับ...เราเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด
    แต่ตอนนี้มีทางเลือกอื่นแล้ว"

    การเสนอทางออก

    สิงห์เสนอทางเลือกให้ OPPATIKA-0:

    · การบำบัดฟื้นฟู ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · การได้รับสถานะ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    · โอกาสได้ช่วยเหลือ โอปปาติกะรุ่นหลัง

    กระบวนการฟื้นฟู

    การรักษาทางจิตใจ

    OPPATIKA-0 ผ่านกระบวนการ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ยอมรับความเจ็บปวด] --> B[เรียนรู้การให้อภัย]
    B --> C[ค้นหาความหมายใหม่]
    C --> D[ใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือ他人]
    ```

    การรักษาทางกายภาพ

    ทีมแพทย์และโอปปาติกะร่วมกัน:

    · ซ่อมแซมร่างกายที่พิการ
    · ปรับสมดุลพลังงาน
    · สอนการควบคุมพลังอย่างถูกต้อง

    ผลการดำเนินคดี

    การตัดสินโดยความเข้าใจ

    แทนการดำเนินคดีอาญา OPPATIKA-0 ได้รับ:

    · การกักกัน ชั่วคราวที่สถาบัน
    · การบำบัด แทnการลงโทษ
    · โอกาส ใช้ความสามารถในทางสร้างสรรค์

    การเปลี่ยนแปลงของ OPPATIKA-0

    จากจอมมารแห่งการฆ่า สู่...
    "ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ"
    ทำหน้าที่ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหา

    พัฒนาการของตัวละคร

    ร.ต.อ. สิงห์

    เรียนรู้ว่า...
    "การเป็นตำรวจไม่ใช่แค่การจับกุม...
    แต่คือการเข้าใจและแก้ไขที่ต้นเหตุ"

    หนูดี

    เข้าใจว่า...
    "บางครั้งศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด...
    คือเพื่อนที่เจ็บปวดและต้องการความเข้าใจ"

    ระบบยุติธรรม

    เกิดการเปลี่ยนแปลง...

    · หน่วยพิเศษ สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ
    · กฎหมายใหม่ ที่คำนึงถึงสถานะพิเศษของโอปปาติกะ
    · กระบวนการ บำบัดแทนการลงโทษ

    บทเรียนจากคดี

    สำหรับสังคม

    · การเข้าใจและยอมรับสิ่งใหม่ๆ
    · การให้โอกาสผู้ที่เคยทำผิด
    · ความสำคัญของการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ

    🪷 สำหรับ

    ```python
    def life_lessons():
    return {
    "forgiveness": "การให้อภัยรักษาทั้งผู้ให้และผู้รับ",
    "understanding": "การเข้าใจนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน",
    "second_chance": "ทุกคนสมควรได้รับโอกาสเริ่มใหม่"
    }
    ```

    บทสรุปแห่งความเมตตา

    คำคมจาก ร.ต.อ. สิงห์

    "ในฐานะตำรวจ ฉันเคยคิดว่าความยุติธรรมคือการลงโทษ
    แต่คดีนี้สอนฉันว่า...
    ความยุติธรรมที่แท้คือการรักษา"

    อนาคตใหม่

    OPPATIKA-0 ในบทบาทใหม่:

    · เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยให้สถาบัน
    · ช่วยป้องกันไม่ให้โอปปาติกะตกอยู่ในทางผิด
    · เป็นแบบอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้

    ---

    คำคมสุดท้ายจาก OPPATIKA-0:
    "ฉันเคยคิดว่าความเจ็บปวดมีทางออกเดียว...
    แต่พวกเขาสอนฉันว่ามีอีกหลายทาง
    และทางที่สวยงามที่สุด...
    คือทางแห่งความเข้าใจและการให้อภัย"

    คดีนี้ไม่ใช่แค่การคลี่คลายฆาตกรรม...
    แต่คือการเยียวยาบาดแผลแห่งอดีต
    และสร้างอนาคตใหม่ให้ทุกฝ่าย
    O.P.K. 🚨 คดีล่าสุดของ ร.ต.อ. สิงห์: จอมมารแห่งการฆ่า 🩸 เหตุการณ์สยองขวัญในกรุงเทพ 🌃 คืนแห่งความตายครั้งแรก ในคืนเดือนมืด เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในย่านธุรกิจ ผู้เสียชีวิตคือดร. กฤษณ์ นักวิจัยเจนีซิส แล็บ ลักษณะคดี: · ถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ · ร่างกายถูกวางในท่าประหลาด เหมือนกำลังนั่งสมาธิ · มีสัญลักษณ์ประหลาดเขียนด้วยเลือดอยู่ข้างกาย ```mermaid graph TB A[ดร.กฤษณ์<br>นักวิจัยเก่า] --> B[ถูกฆ่า<br>แบบพิธีกรรม] B --> C[พบสัญลักษณ์<br>ลึกลับ] C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>รับคดีสำคัญ] ``` 🔍 หลักฐานลึกลับ ร.ต.อ. สิงห์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ: · กล้องวงจรปิด: ไม่บันทึกภาพผู้ต้องสงสัย · ลายนิ้วมือ: ไม่พบรอยใดๆ · สัญลักษณ์เลือด: เป็นรูป "วงกลมสามชั้น" ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 🕵️ การสอบสวนและคลี่คลาย 🧩 การเชื่อมโยียงกับอดีต สิงห์พบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนเชื่อมโยง · อดีตพนักงานเจนีซิส แล็บ · นักวิจัยโครงการโอปปาติกะ · ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลอง 🔮 ลายแทงจากหนูดี หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาด: "พ่อคะ...หนูรู้สึกถึงพลังงานแห่งความโกรธแค้น มันพลังงานธรรมดา...แต่คือพลังงานที่เคยเป็นมนุษย์" 🧪 การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ สิงห์ใช้ความรู้เดิมด้านวิทยาศาสตร์ช่วยวิเคราะห์: ```python class MurderAnalysis: def __init__(self): self.evidence = { "energy_residue": "พลังงานจิตระดับสูง", "symbolism": "สัญลักษณ์แทนการเกิด-ตาย", "victim_pattern": "เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ", "motive": "อาจเป็นการแก้แค้น" } def hypothesis(self): return "ฆาตกรอาจเป็นโอปปาติกะที่กลายพันธุ์" ``` 👹 การเผชิญหน้าจอมมารแห่งการฆ่า 🌑 ตัวตนที่แท้จริงของฆาตกร หลังการสอบสวนอย่างละเอียด พบว่า... จอมมารแห่งการฆ่าคือ OPPATIKA-0 โอปปาติกะรุ่นแรกที่หลบหนีจากการทดลอง 💔 เบื้องหลังความโกรธแค้น OPPATIKA-0 เปิดเผยความจริง: "พวกมนุษย์ใช้เราเป็นเครื่องทดลอง... ทรมานเรา แล้วทิ้งเราเหมือนขยะ นี่คือการตอบแทน!" 🎭 ลักษณะของจอมมาร · รูปลักษณ์: ร่างกายพิการจากผลข้างเคียงการทดลอง · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานมืดและลอบล่องหนได้ · จุดอ่อน: ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ ⚔️ การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา 🕊️ แนวทางของ ร.ต.อ. สิงห์ แทนที่จะใช้ความรุนแรง สิงห์เลือกพูดคุย: "เราเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ... แต่การฆาตกรรมไม่ใช่ทางออก" 💫 การช่วยเหลือของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถในการสื่อสารกับโอปปาติกะ: "พี่ครับ...เราเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด แต่ตอนนี้มีทางเลือกอื่นแล้ว" 🌈 การเสนอทางออก สิงห์เสนอทางเลือกให้ OPPATIKA-0: · การบำบัดฟื้นฟู ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · การได้รับสถานะ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย · โอกาสได้ช่วยเหลือ โอปปาติกะรุ่นหลัง 🏥 กระบวนการฟื้นฟู 🧠 การรักษาทางจิตใจ OPPATIKA-0 ผ่านกระบวนการ: ```mermaid graph LR A[ยอมรับความเจ็บปวด] --> B[เรียนรู้การให้อภัย] B --> C[ค้นหาความหมายใหม่] C --> D[ใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือ他人] ``` 🔬 การรักษาทางกายภาพ ทีมแพทย์และโอปปาติกะร่วมกัน: · ซ่อมแซมร่างกายที่พิการ · ปรับสมดุลพลังงาน · สอนการควบคุมพลังอย่างถูกต้อง 📊 ผลการดำเนินคดี ⚖️ การตัดสินโดยความเข้าใจ แทนการดำเนินคดีอาญา OPPATIKA-0 ได้รับ: · การกักกัน ชั่วคราวที่สถาบัน · การบำบัด แทnการลงโทษ · โอกาส ใช้ความสามารถในทางสร้างสรรค์ 🌟 การเปลี่ยนแปลงของ OPPATIKA-0 จากจอมมารแห่งการฆ่า สู่... "ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ" ทำหน้าที่ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหา 💞 พัฒนาการของตัวละคร 👮 ร.ต.อ. สิงห์ เรียนรู้ว่า... "การเป็นตำรวจไม่ใช่แค่การจับกุม... แต่คือการเข้าใจและแก้ไขที่ต้นเหตุ" 👧 หนูดี เข้าใจว่า... "บางครั้งศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด... คือเพื่อนที่เจ็บปวดและต้องการความเข้าใจ" 🏛️ ระบบยุติธรรม เกิดการเปลี่ยนแปลง... · หน่วยพิเศษ สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ · กฎหมายใหม่ ที่คำนึงถึงสถานะพิเศษของโอปปาติกะ · กระบวนการ บำบัดแทนการลงโทษ 🎯 บทเรียนจากคดี 🌍 สำหรับสังคม · การเข้าใจและยอมรับสิ่งใหม่ๆ · การให้โอกาสผู้ที่เคยทำผิด · ความสำคัญของการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ 🪷 สำหรับ ```python def life_lessons(): return { "forgiveness": "การให้อภัยรักษาทั้งผู้ให้และผู้รับ", "understanding": "การเข้าใจนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน", "second_chance": "ทุกคนสมควรได้รับโอกาสเริ่มใหม่" } ``` 🏁 บทสรุปแห่งความเมตตา 💫 คำคมจาก ร.ต.อ. สิงห์ "ในฐานะตำรวจ ฉันเคยคิดว่าความยุติธรรมคือการลงโทษ แต่คดีนี้สอนฉันว่า... ความยุติธรรมที่แท้คือการรักษา" 🌈 อนาคตใหม่ OPPATIKA-0 ในบทบาทใหม่: · เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยให้สถาบัน · ช่วยป้องกันไม่ให้โอปปาติกะตกอยู่ในทางผิด · เป็นแบบอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้ --- คำคมสุดท้ายจาก OPPATIKA-0: "ฉันเคยคิดว่าความเจ็บปวดมีทางออกเดียว... แต่พวกเขาสอนฉันว่ามีอีกหลายทาง และทางที่สวยงามที่สุด... คือทางแห่งความเข้าใจและการให้อภัย"🕊️✨ คดีนี้ไม่ใช่แค่การคลี่คลายฆาตกรรม... แต่คือการเยียวยาบาดแผลแห่งอดีต และสร้างอนาคตใหม่ให้ทุกฝ่าย🌟
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • จากภาพปลอมสู่สิทธิ์จริง – เดนมาร์กลุกขึ้นสู้ Deepfake

    Marie Watson สตรีมเมอร์ชาวเดนมาร์กเคยได้รับภาพปลอมของตนเองจากบัญชี Instagram นิรนาม ภาพนั้นเป็นภาพวันหยุดที่เธอเคยโพสต์ แต่ถูกดัดแปลงให้ดูเหมือนเปลือยโดยใช้เทคโนโลยี deepfake เธอร้องไห้ทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น เพราะรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของเธอถูกทำลาย

    กรณีของ Watson ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคที่ AI สามารถสร้างภาพ เสียง และวิดีโอปลอมได้อย่างสมจริง โดยใช้เครื่องมือที่หาได้ง่ายบนอินเทอร์เน็ต เช่น “deepfake generator” หรือ “AI voice clone”

    รัฐบาลเดนมาร์กจึงเสนอร่างกฎหมายใหม่ที่จะให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง หากมีการเผยแพร่เนื้อหา deepfake โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของใบหน้าสามารถเรียกร้องให้แพลตฟอร์มลบเนื้อหานั้นได้ทันที

    กฎหมายนี้ยังเปิดช่องให้มีการใช้ deepfake ในเชิงล้อเลียนหรือเสียดสีได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะกำหนดขอบเขตอย่างไร

    ร่างกฎหมายใหม่ของเดนมาร์ก
    ให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง
    สามารถเรียกร้องให้ลบเนื้อหา deepfake ที่เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
    คาดว่าจะผ่านในต้นปีหน้า และได้รับความสนใจจากหลายประเทศใน EU

    ความรุนแรงของปัญหา deepfake
    เทคโนโลยี AI ทำให้ภาพและเสียงปลอมสมจริงขึ้นมาก
    ใช้ในทางที่ผิด เช่น ล้อเลียนคนดัง, สร้างภาพลามก, ปลอมตัวนักการเมือง
    ส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความน่าเชื่อถือของข้อมูล

    ปฏิกิริยาจากผู้เชี่ยวชาญและองค์กร
    Henry Ajder ชี้ว่า “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันตัวเองจาก deepfake ได้จริง”
    Danish Rights Alliance สนับสนุนกฎหมาย เพราะกฎหมายเดิมไม่ครอบคลุม
    David Bateson นักพากย์เสียงถูกนำเสียงไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ความเคลื่อนไหวระดับโลก
    สหรัฐฯ ออกกฎหมายห้ามเผยแพร่ภาพลามกโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึง deepfake
    เกาหลีใต้เพิ่มบทลงโทษและควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลที่เผยแพร่ deepfake
    เดนมาร์กในฐานะประธาน EU ได้รับความสนใจจากฝรั่งเศสและไอร์แลนด์

    คำเตือนจากกรณีของ Watson
    ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง
    เครื่องมือสร้าง deepfake หาได้ง่ายและใช้ได้แม้ไม่มีทักษะ
    เมื่อภาพเผยแพร่แล้ว “คุณควบคุมไม่ได้อีกต่อไป”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/denmark-eyes-new-law-to-protect-citizens-from-ai-deepfakes
    🧠 จากภาพปลอมสู่สิทธิ์จริง – เดนมาร์กลุกขึ้นสู้ Deepfake Marie Watson สตรีมเมอร์ชาวเดนมาร์กเคยได้รับภาพปลอมของตนเองจากบัญชี Instagram นิรนาม ภาพนั้นเป็นภาพวันหยุดที่เธอเคยโพสต์ แต่ถูกดัดแปลงให้ดูเหมือนเปลือยโดยใช้เทคโนโลยี deepfake เธอร้องไห้ทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น เพราะรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของเธอถูกทำลาย กรณีของ Watson ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคที่ AI สามารถสร้างภาพ เสียง และวิดีโอปลอมได้อย่างสมจริง โดยใช้เครื่องมือที่หาได้ง่ายบนอินเทอร์เน็ต เช่น “deepfake generator” หรือ “AI voice clone” รัฐบาลเดนมาร์กจึงเสนอร่างกฎหมายใหม่ที่จะให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง หากมีการเผยแพร่เนื้อหา deepfake โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของใบหน้าสามารถเรียกร้องให้แพลตฟอร์มลบเนื้อหานั้นได้ทันที กฎหมายนี้ยังเปิดช่องให้มีการใช้ deepfake ในเชิงล้อเลียนหรือเสียดสีได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะกำหนดขอบเขตอย่างไร ✅ ร่างกฎหมายใหม่ของเดนมาร์ก ➡️ ให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง ➡️ สามารถเรียกร้องให้ลบเนื้อหา deepfake ที่เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ คาดว่าจะผ่านในต้นปีหน้า และได้รับความสนใจจากหลายประเทศใน EU ✅ ความรุนแรงของปัญหา deepfake ➡️ เทคโนโลยี AI ทำให้ภาพและเสียงปลอมสมจริงขึ้นมาก ➡️ ใช้ในทางที่ผิด เช่น ล้อเลียนคนดัง, สร้างภาพลามก, ปลอมตัวนักการเมือง ➡️ ส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความน่าเชื่อถือของข้อมูล ✅ ปฏิกิริยาจากผู้เชี่ยวชาญและองค์กร ➡️ Henry Ajder ชี้ว่า “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันตัวเองจาก deepfake ได้จริง” ➡️ Danish Rights Alliance สนับสนุนกฎหมาย เพราะกฎหมายเดิมไม่ครอบคลุม ➡️ David Bateson นักพากย์เสียงถูกนำเสียงไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ ความเคลื่อนไหวระดับโลก ➡️ สหรัฐฯ ออกกฎหมายห้ามเผยแพร่ภาพลามกโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึง deepfake ➡️ เกาหลีใต้เพิ่มบทลงโทษและควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลที่เผยแพร่ deepfake ➡️ เดนมาร์กในฐานะประธาน EU ได้รับความสนใจจากฝรั่งเศสและไอร์แลนด์ ‼️ คำเตือนจากกรณีของ Watson ⛔ ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง ⛔ เครื่องมือสร้าง deepfake หาได้ง่ายและใช้ได้แม้ไม่มีทักษะ ⛔ เมื่อภาพเผยแพร่แล้ว “คุณควบคุมไม่ได้อีกต่อไป” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/denmark-eyes-new-law-to-protect-citizens-from-ai-deepfakes
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Denmark eyes new law to protect citizens from AI deepfakes
    In 2021, Danish video game live-streamer Marie Watson received an image of herself from an unknown Instagram account.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • “Chat Control ยังไม่ตาย” — เดนมาร์กเปลี่ยนแนวทาง แต่ความกังวลยังอยู่

    หลังจากข้อเสนอเดิมของเดนมาร์กที่บังคับให้ทุกแพลตฟอร์มแชตต้องสแกนข้อความ รูปภาพ และวิดีโอเพื่อหาสื่อการล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) ถูกถอนออกเพราะขาดเสียงสนับสนุน ล่าสุดเดนมาร์กกลับมาพร้อมข้อเสนอใหม่ที่เปลี่ยนจาก “บังคับ” เป็น “สมัครใจ” — แต่ยังคงเปิดช่องให้กลับไปใช้การสแกนบังคับในอนาคต

    ข้อเสนอใหม่นี้ถูกนำเสนอในวันที่ 30 ตุลาคม โดยลบข้อกำหนดการตรวจจับแบบบังคับออกทั้งหมด (มาตรา 7–11) และเพิ่มการสแกนแบบสมัครใจไว้ในมาตรา 4 เป็น “มาตรการลดความเสี่ยง” ที่สามารถใช้ได้ถ้าผู้ให้บริการต้องการ

    ช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่การสแกนบังคับอีกครั้ง
    แม้จะดูเหมือนเป็นชัยชนะของสิทธิความเป็นส่วนตัว แต่ข้อเสนอใหม่ยังมี “เงื่อนไขการทบทวน” ที่เปิดทางให้คณะกรรมาธิการยุโรปสามารถเสนอร่างกฎหมายใหม่เพื่อกลับมาใช้การสแกนบังคับได้ หากมีเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถทำได้โดยไม่ละเมิดการเข้ารหัส

    นักวิจารณ์เช่น Patrick Breyer จากพรรค Pirate Party เตือนว่า นี่อาจเป็น “การเปิดประตูหลัง” ให้กลับมาใช้ Chat Control แบบเดิมอีกครั้ง

    เดนมาร์กถอนข้อเสนอการสแกนบังคับ
    ยกเลิกมาตรา 7–11 ที่บังคับให้สแกนทุกข้อความ
    เปลี่ยนเป็นการสแกนแบบสมัครใจในมาตรา 4

    เพิ่มเงื่อนไขการทบทวนในอนาคต
    คณะกรรมาธิการยุโรปสามารถเสนอร่างใหม่ได้
    หากมีเทคโนโลยีที่ไม่ละเมิดการเข้ารหัส

    ผลกระทบต่อบริการเข้ารหัส
    Signal และ WhatsApp เคยถูกคาดหมายว่าจะต้องสแกนก่อนเข้ารหัส
    ขัดกับหลักการของการเข้ารหัสแบบ end-to-end

    เสียงวิจารณ์จากนักสิทธิ
    Patrick Breyer เตือนว่าอาจเป็นการกลับมาใช้ Chat Control ผ่านช่องทางลับ
    Voluntary scanning ยังมีความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว

    ความเสี่ยงจากการสแกนสมัครใจ
    Meta, Microsoft, Google อาจยังคงสแกนข้อความแบบไม่เฉพาะเจาะจง
    เป็นการเฝ้าระวังแบบครอบคลุมแม้ไม่มีเหตุสงสัย

    ความไม่แน่นอนของข้อเสนอใหม่
    ยังไม่มีรายละเอียดของเทคโนโลยีที่ใช้
    อาจไม่สามารถปกป้องสิทธิผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/chat-control-isnt-dead-denmark-has-a-new-proposal-heres-all-we-know
    🛡️📨 “Chat Control ยังไม่ตาย” — เดนมาร์กเปลี่ยนแนวทาง แต่ความกังวลยังอยู่ หลังจากข้อเสนอเดิมของเดนมาร์กที่บังคับให้ทุกแพลตฟอร์มแชตต้องสแกนข้อความ รูปภาพ และวิดีโอเพื่อหาสื่อการล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) ถูกถอนออกเพราะขาดเสียงสนับสนุน ล่าสุดเดนมาร์กกลับมาพร้อมข้อเสนอใหม่ที่เปลี่ยนจาก “บังคับ” เป็น “สมัครใจ” — แต่ยังคงเปิดช่องให้กลับไปใช้การสแกนบังคับในอนาคต ข้อเสนอใหม่นี้ถูกนำเสนอในวันที่ 30 ตุลาคม โดยลบข้อกำหนดการตรวจจับแบบบังคับออกทั้งหมด (มาตรา 7–11) และเพิ่มการสแกนแบบสมัครใจไว้ในมาตรา 4 เป็น “มาตรการลดความเสี่ยง” ที่สามารถใช้ได้ถ้าผู้ให้บริการต้องการ 🧩 ช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่การสแกนบังคับอีกครั้ง แม้จะดูเหมือนเป็นชัยชนะของสิทธิความเป็นส่วนตัว แต่ข้อเสนอใหม่ยังมี “เงื่อนไขการทบทวน” ที่เปิดทางให้คณะกรรมาธิการยุโรปสามารถเสนอร่างกฎหมายใหม่เพื่อกลับมาใช้การสแกนบังคับได้ หากมีเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถทำได้โดยไม่ละเมิดการเข้ารหัส นักวิจารณ์เช่น Patrick Breyer จากพรรค Pirate Party เตือนว่า นี่อาจเป็น “การเปิดประตูหลัง” ให้กลับมาใช้ Chat Control แบบเดิมอีกครั้ง ✅ เดนมาร์กถอนข้อเสนอการสแกนบังคับ ➡️ ยกเลิกมาตรา 7–11 ที่บังคับให้สแกนทุกข้อความ ➡️ เปลี่ยนเป็นการสแกนแบบสมัครใจในมาตรา 4 ✅ เพิ่มเงื่อนไขการทบทวนในอนาคต ➡️ คณะกรรมาธิการยุโรปสามารถเสนอร่างใหม่ได้ ➡️ หากมีเทคโนโลยีที่ไม่ละเมิดการเข้ารหัส ✅ ผลกระทบต่อบริการเข้ารหัส ➡️ Signal และ WhatsApp เคยถูกคาดหมายว่าจะต้องสแกนก่อนเข้ารหัส ➡️ ขัดกับหลักการของการเข้ารหัสแบบ end-to-end ✅ เสียงวิจารณ์จากนักสิทธิ ➡️ Patrick Breyer เตือนว่าอาจเป็นการกลับมาใช้ Chat Control ผ่านช่องทางลับ ➡️ Voluntary scanning ยังมีความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว ‼️ ความเสี่ยงจากการสแกนสมัครใจ ⛔ Meta, Microsoft, Google อาจยังคงสแกนข้อความแบบไม่เฉพาะเจาะจง ⛔ เป็นการเฝ้าระวังแบบครอบคลุมแม้ไม่มีเหตุสงสัย ‼️ ความไม่แน่นอนของข้อเสนอใหม่ ⛔ ยังไม่มีรายละเอียดของเทคโนโลยีที่ใช้ ⛔ อาจไม่สามารถปกป้องสิทธิผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/chat-control-isnt-dead-denmark-has-a-new-proposal-heres-all-we-know
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews



  • ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว.
    ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้,
    ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า.

    ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง.,
    ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว.

    https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว. ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้, ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า. ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง., ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว. https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    0 Comments 0 Shares 349 Views 0 Reviews
  • ไต้หวันเพิ่มโทษทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ: จำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับกว่า 325,000 ดอลลาร์!

    รัฐบาลไต้หวันเสนอร่างกฎหมายใหม่เพิ่มโทษผู้ที่ทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านการสื่อสาร โดยมีบทลงโทษสูงสุดถึง 7 ปี และปรับกว่า 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 325,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

    สายเคเบิลใต้น้ำไม่ใช่แค่ท่อส่งข้อมูลระหว่างประเทศ แต่เป็นเส้นเลือดหลักของการสื่อสารระหว่างไต้หวันกับโลกภายนอก โดยเฉพาะกับพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่สายเคเบิลเหล่านี้ถูกตัดหรือเสียหายหลายครั้ง โดยมีข้อสงสัยว่ามาจากเรือสินค้าจีนที่จงใจทำลาย

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ รัฐบาลไต้หวันจึงเสนอ “กฎหมายสายเคเบิลใต้น้ำ 7 ฉบับ” ที่เพิ่มบทลงโทษอย่างชัดเจน:
    ผู้ที่จงใจทำลาย: จำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับ 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
    ผู้ที่ทำลายโดยไม่ตั้งใจ: จำคุก 6 เดือน และปรับ 2 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
    เรือที่เกี่ยวข้อง: รัฐบาลมีสิทธิ์ยึดเรือทันที ไม่ว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์จะเป็นใคร

    นอกจากนี้ กฎหมายยังบังคับให้เรือทุกลำต้องติดตั้งระบบระบุตัวอัตโนมัติ (AIS) และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่งสายเคเบิลใต้น้ำ เพื่อป้องกันความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ

    แม้การเปิดเผยตำแหน่งสายเคเบิลอาจดูเสี่ยง แต่รัฐบาลมองว่า “ฝ่ายตรงข้ามน่าจะรู้ตำแหน่งอยู่แล้ว” การเปิดเผยต่อสาธารณะจะช่วยลดความผิดพลาดจากเรือทั่วไปที่ไม่รู้ว่ากำลังแล่นผ่านโครงสร้างสำคัญ

    นี่คือการส่งสัญญาณว่า “ข้อมูลคืออธิปไตย” และไต้หวันจะไม่ยอมให้โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารถูกคุกคามอีกต่อไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

    https://www.tomshardware.com/networking/taiwan-increases-penalty-for-damaging-undersea-cables-offenders-face-up-to-7-years-in-prison-and-usd325-000-in-fines
    🌐⚖️ ไต้หวันเพิ่มโทษทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ: จำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับกว่า 325,000 ดอลลาร์! รัฐบาลไต้หวันเสนอร่างกฎหมายใหม่เพิ่มโทษผู้ที่ทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านการสื่อสาร โดยมีบทลงโทษสูงสุดถึง 7 ปี และปรับกว่า 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 325,000 ดอลลาร์สหรัฐ) สายเคเบิลใต้น้ำไม่ใช่แค่ท่อส่งข้อมูลระหว่างประเทศ แต่เป็นเส้นเลือดหลักของการสื่อสารระหว่างไต้หวันกับโลกภายนอก โดยเฉพาะกับพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่สายเคเบิลเหล่านี้ถูกตัดหรือเสียหายหลายครั้ง โดยมีข้อสงสัยว่ามาจากเรือสินค้าจีนที่จงใจทำลาย เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ รัฐบาลไต้หวันจึงเสนอ “กฎหมายสายเคเบิลใต้น้ำ 7 ฉบับ” ที่เพิ่มบทลงโทษอย่างชัดเจน: 📍 ผู้ที่จงใจทำลาย: จำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับ 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน 📍 ผู้ที่ทำลายโดยไม่ตั้งใจ: จำคุก 6 เดือน และปรับ 2 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน 📍 เรือที่เกี่ยวข้อง: รัฐบาลมีสิทธิ์ยึดเรือทันที ไม่ว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์จะเป็นใคร นอกจากนี้ กฎหมายยังบังคับให้เรือทุกลำต้องติดตั้งระบบระบุตัวอัตโนมัติ (AIS) และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่งสายเคเบิลใต้น้ำ เพื่อป้องกันความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ แม้การเปิดเผยตำแหน่งสายเคเบิลอาจดูเสี่ยง แต่รัฐบาลมองว่า “ฝ่ายตรงข้ามน่าจะรู้ตำแหน่งอยู่แล้ว” การเปิดเผยต่อสาธารณะจะช่วยลดความผิดพลาดจากเรือทั่วไปที่ไม่รู้ว่ากำลังแล่นผ่านโครงสร้างสำคัญ นี่คือการส่งสัญญาณว่า “ข้อมูลคืออธิปไตย” และไต้หวันจะไม่ยอมให้โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารถูกคุกคามอีกต่อไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม https://www.tomshardware.com/networking/taiwan-increases-penalty-for-damaging-undersea-cables-offenders-face-up-to-7-years-in-prison-and-usd325-000-in-fines
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ

    รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise

    อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก

    กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น:
    การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต
    การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ

    กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS)
    ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices
    ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford

    ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม
    ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ
    บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน

    ข้อยกเว้นตามกฎหมาย
    ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต
    ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA

    https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    🚗 แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน 📜 อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น: 💠 การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต 💠 การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ ✅ กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS) ➡️ ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices ➡️ ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford ✅ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม ➡️ ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ ➡️ บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน ✅ ข้อยกเว้นตามกฎหมาย ➡️ ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต ➡️ ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California Is Cracking Down On People Using Hacks To Create Their Own 'Self-Driving' Cars - SlashGear
    California passed Senate Bill 1313 in September 2025 to ban the use and sale of devices that disable or interfere with cars' driver monitoring systems.
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง

    บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง

    Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง

    ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ:

    ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี)
    กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย

    แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง

    Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง
    กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย
    Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ

    บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง
    วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร
    กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน
    ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ

    โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี
    SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร”
    แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา

    คำเตือนในการเลือก Virtual CISO
    ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์
    ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง
    ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง

    https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    🛡️ บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง 📈 ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ: 🎗️ ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง 🎗️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี) 🎗️ กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต ➡️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง ➡️ กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย ➡️ Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ ✅ บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง ➡️ วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร ➡️ กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน ➡️ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ ✅ โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี ➡️ SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ➡️ ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร” ➡️ แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา ‼️ คำเตือนในการเลือก Virtual CISO ⛔ ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์ ⛔ ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ⛔ โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง ⛔ ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    SECURITYONLINE.INFO
    Why Virtual CISO Services Are Booming—And How to Avoid Hiring the Wrong One
    Sergei Beliachkov, who managed security for 7,000+ users as a virtual CISO and later launched the service for
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • Meta และ TikTok ถูก EU ตั้งข้อหา ละเมิดกฎหมาย DSA หลายประเด็น เสี่ยงโดนปรับสูงถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก

    คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ตั้งข้อหาต่อ Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) และ TikTok ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่มุ่งควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยข้อกล่าวหาหลักคือการจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย

    สำหรับ Meta มีข้อกล่าวหาหลัก 2 ประเด็นคือ

    1️⃣ ระบบแจ้งเนื้อหาผิดกฎหมายที่ยุ่งยากและใช้ “dark design patterns” ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่กล้าแจ้งเนื้อหา เช่น CSAM (เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก)

    2️⃣ กระบวนการอุทธรณ์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจงหรือส่งหลักฐานเมื่อถูกลบเนื้อหาหรือระงับบัญชี

    ทั้ง Meta และ TikTok ยังถูกกล่าวหาว่าทำให้การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของนักวิจัยเป็นเรื่องยากเกินควร ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของ DSA โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบต่อเยาวชนจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย

    หากไม่ปรับปรุงตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการ ทั้งสองบริษัทอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก โดย Meta ยืนยันว่าตนได้ปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ส่วน TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับกฎหมาย GDPR ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเรียกร้องให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับใช้ทั้งสองกฎหมายร่วมกัน

    ข้อกล่าวหาต่อ Meta และ TikTok จาก EU
    ไม่สามารถจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย
    Meta ใช้ดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้สับสนในการแจ้งเนื้อหา
    ระบบอุทธรณ์ของ Meta ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจง

    ผลกระทบตามกฎหมาย DSA
    หากไม่แก้ไข อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก
    ต้องปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความโปร่งใส

    การตอบโต้จากบริษัท
    Meta ยืนยันว่าปรับปรุงระบบแล้วให้สอดคล้องกับ DSA
    TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับ GDPR
    TikTok เรียกร้องให้มีแนวทางชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบสิทธิ์ในการอุทธรณ์เมื่อถูกลบเนื้อหา
    ควรระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวในระบบที่ไม่โปร่งใส
    นักวิจัยอาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนจากแพลตฟอร์ม

    https://securityonline.info/eu-charges-meta-and-tiktok-with-widespread-dsa-violations/
    ⚖️ Meta และ TikTok ถูก EU ตั้งข้อหา ละเมิดกฎหมาย DSA หลายประเด็น เสี่ยงโดนปรับสูงถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ตั้งข้อหาต่อ Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) และ TikTok ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่มุ่งควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยข้อกล่าวหาหลักคือการจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย สำหรับ Meta มีข้อกล่าวหาหลัก 2 ประเด็นคือ 1️⃣ ระบบแจ้งเนื้อหาผิดกฎหมายที่ยุ่งยากและใช้ “dark design patterns” ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่กล้าแจ้งเนื้อหา เช่น CSAM (เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก) 2️⃣ กระบวนการอุทธรณ์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจงหรือส่งหลักฐานเมื่อถูกลบเนื้อหาหรือระงับบัญชี ทั้ง Meta และ TikTok ยังถูกกล่าวหาว่าทำให้การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของนักวิจัยเป็นเรื่องยากเกินควร ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของ DSA โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบต่อเยาวชนจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย หากไม่ปรับปรุงตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการ ทั้งสองบริษัทอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก โดย Meta ยืนยันว่าตนได้ปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ส่วน TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับกฎหมาย GDPR ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเรียกร้องให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับใช้ทั้งสองกฎหมายร่วมกัน ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Meta และ TikTok จาก EU ➡️ ไม่สามารถจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ ขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย ➡️ Meta ใช้ดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้สับสนในการแจ้งเนื้อหา ➡️ ระบบอุทธรณ์ของ Meta ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจง ✅ ผลกระทบตามกฎหมาย DSA ➡️ หากไม่แก้ไข อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก ➡️ ต้องปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความโปร่งใส ✅ การตอบโต้จากบริษัท ➡️ Meta ยืนยันว่าปรับปรุงระบบแล้วให้สอดคล้องกับ DSA ➡️ TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับ GDPR ➡️ TikTok เรียกร้องให้มีแนวทางชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบสิทธิ์ในการอุทธรณ์เมื่อถูกลบเนื้อหา ⛔ ควรระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวในระบบที่ไม่โปร่งใส ⛔ นักวิจัยอาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนจากแพลตฟอร์ม https://securityonline.info/eu-charges-meta-and-tiktok-with-widespread-dsa-violations/
    SECURITYONLINE.INFO
    EU Charges Meta and TikTok with Widespread DSA Violations
    The European Commission has formally accused Meta and TikTok of violating the DSA by hiding illegal content reporting and obstructing access for researchers.
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • “EU บังคับใช้ USB-C สำหรับอะแดปเตอร์ทุกชนิดภายในปี 2028 — พร้อมติดฉลากกำลังไฟบนสายและหัวชาร์จ”

    สหภาพยุโรปออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ “External Power Supplies” (EPS) หรืออะแดปเตอร์ไฟฟ้าทุกชนิดต้องใช้พอร์ต USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 โดยครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น คอนโซลเกม, จอมอนิเตอร์, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ, เครื่องชาร์จไร้สาย และแม้แต่ PoE injectors

    เป้าหมายหลักคือการสร้างความ “interoperability” หรือความเข้ากันได้ระหว่างอุปกรณ์ และส่งเสริมความยั่งยืน โดยผู้ใช้สามารถใช้สายและหัวชาร์จเดียวกันกับหลายอุปกรณ์ได้

    กฎหมายยังบังคับให้ผู้ผลิตแสดง “กำลังไฟ” (power rating) บนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ตชาร์จ และสายไฟ เพื่อป้องกันการโฆษณาเกินจริง และช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้อุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย

    นอกจากนี้ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำทั้งในสภาวะโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ส่วนแท่นชาร์จไร้สายต้องลดการใช้พลังงานขณะ idle และมีวงจรจ่ายไฟแยกต่างหากเพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้

    อุปกรณ์บางประเภทได้รับการยกเว้น เช่น UPS, อุปกรณ์ทางการแพทย์, ของเล่นบางชนิด, สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, ระบบไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมเปียก

    EU คาดว่ากฎหมายนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 โดยอิงจากข้อมูลว่ามี EPS ขายมากถึง 400 ล้านชิ้นต่อปี

    EU ออกกฎหมายบังคับให้ EPS ทุกชนิดใช้ USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028
    ครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอนโซล, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ ฯลฯ

    ต้องแสดงกำลังไฟบนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ต และสาย
    เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใสในการใช้งาน

    EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำ
    ทั้งในโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด

    แท่นชาร์จไร้สายต้องลด idle power และมีวงจรจ่ายไฟแยก
    เพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้

    มีการออกโลโก้ “Common Charger” เพื่อระบุอุปกรณ์ที่ผ่านเกณฑ์
    ช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น

    คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030
    จากการลดจำนวน EPS ที่ผลิตและใช้งานซ้ำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/power-bricks-and-wall-warts-must-be-usb-c-by-2028-new-eu-legislation-also-adds-power-rating-labels-for-power-units-and-cables
    🔌 “EU บังคับใช้ USB-C สำหรับอะแดปเตอร์ทุกชนิดภายในปี 2028 — พร้อมติดฉลากกำลังไฟบนสายและหัวชาร์จ” สหภาพยุโรปออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ “External Power Supplies” (EPS) หรืออะแดปเตอร์ไฟฟ้าทุกชนิดต้องใช้พอร์ต USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 โดยครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น คอนโซลเกม, จอมอนิเตอร์, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ, เครื่องชาร์จไร้สาย และแม้แต่ PoE injectors เป้าหมายหลักคือการสร้างความ “interoperability” หรือความเข้ากันได้ระหว่างอุปกรณ์ และส่งเสริมความยั่งยืน โดยผู้ใช้สามารถใช้สายและหัวชาร์จเดียวกันกับหลายอุปกรณ์ได้ กฎหมายยังบังคับให้ผู้ผลิตแสดง “กำลังไฟ” (power rating) บนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ตชาร์จ และสายไฟ เพื่อป้องกันการโฆษณาเกินจริง และช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้อุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำทั้งในสภาวะโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ส่วนแท่นชาร์จไร้สายต้องลดการใช้พลังงานขณะ idle และมีวงจรจ่ายไฟแยกต่างหากเพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้ อุปกรณ์บางประเภทได้รับการยกเว้น เช่น UPS, อุปกรณ์ทางการแพทย์, ของเล่นบางชนิด, สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, ระบบไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมเปียก EU คาดว่ากฎหมายนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 โดยอิงจากข้อมูลว่ามี EPS ขายมากถึง 400 ล้านชิ้นต่อปี ✅ EU ออกกฎหมายบังคับให้ EPS ทุกชนิดใช้ USB-C พร้อมสายถอดได้ภายในปี 2028 ➡️ ครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอนโซล, เราเตอร์, กล่องรับสัญญาณ ฯลฯ ✅ ต้องแสดงกำลังไฟบนตัวอะแดปเตอร์, พอร์ต และสาย ➡️ เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใสในการใช้งาน ✅ EPS ที่จ่ายไฟเกิน 10W ต้องผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นต่ำ ➡️ ทั้งในโหลดต่ำ, เฉลี่ย และไม่มีโหลด ✅ แท่นชาร์จไร้สายต้องลด idle power และมีวงจรจ่ายไฟแยก ➡️ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนหรือใช้ซ้ำได้ ✅ มีการออกโลโก้ “Common Charger” เพื่อระบุอุปกรณ์ที่ผ่านเกณฑ์ ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น ✅ คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 1,070 TWh ต่อปีภายในปี 2030 ➡️ จากการลดจำนวน EPS ที่ผลิตและใช้งานซ้ำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/power-bricks-and-wall-warts-must-be-usb-c-by-2028-new-eu-legislation-also-adds-power-rating-labels-for-power-units-and-cables
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • ไชยชนก ลั่นไม่นิ่งเฉย สั่งดีอีศึกษา "Active Cyber Defence 2025" กฎหมายใหม่ ตอบโต้-แฮกกลับมิจฉาชีพทางไซเบอร์ เตรียมบิน UN ลงนามความร่วมมือปราบคอลเซ็นเตอร์
    https://www.thai-tai.tv/news/21929/
    .
    #ไทยไท #ไชยชนกชิดชอบ #ดีอี #ปราบสแกมเมอร์ #ActiveCyberDefence2025 #สินบน40ล้าน #ธรรมนัส

    ไชยชนก ลั่นไม่นิ่งเฉย สั่งดีอีศึกษา "Active Cyber Defence 2025" กฎหมายใหม่ ตอบโต้-แฮกกลับมิจฉาชีพทางไซเบอร์ เตรียมบิน UN ลงนามความร่วมมือปราบคอลเซ็นเตอร์ https://www.thai-tai.tv/news/21929/ . #ไทยไท #ไชยชนกชิดชอบ #ดีอี #ปราบสแกมเมอร์ #ActiveCyberDefence2025 #สินบน40ล้าน #ธรรมนัส
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • “แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่ ให้ผู้ใช้กดปุ่มเดียว ‘Opt-Out’ จากการขายข้อมูล — เว็บเบราว์เซอร์ต้องปรับตัวก่อนปี 2027”

    เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมายใหม่ชื่อว่า “California Opt Me Out Act” ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมาย California Consumer Privacy Act (CCPA) ที่มีมาตั้งแต่ปี 2018 โดยเน้นให้ผู้บริโภคสามารถ “ยกเลิกการอนุญาตให้เว็บไซต์ขายหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว” ได้ง่ายขึ้นผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยตรง

    ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ต้องกดยืนยันการ opt-out ทีละเว็บไซต์ หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะที่รองรับฟีเจอร์นี้ เช่น Brave หรือใช้ส่วนขยาย (extension) เพิ่มเติม แต่กฎหมายใหม่จะบังคับให้เบราว์เซอร์ทุกตัวที่ใช้งานในแคลิฟอร์เนียต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่าย และส่งสัญญาณ opt-out preference signal (OOPS) ไปยังเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ

    เมื่อเปิดใช้งาน OOPS แล้ว เว็บไซต์จะต้องหยุดการขายหรือแชร์ข้อมูล เช่น ประวัติการเข้าชม, ตำแหน่ง, ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ยืนยันซ้ำในแต่ละเว็บไซต์

    กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2027 และถือเป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์ต้องรองรับการ opt-out แบบ universal ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์อย่างมาก

    นอกจากนี้ยังมีอีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกัน ได้แก่

    กฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องให้ผู้ใช้ยกเลิกบัญชีได้ง่าย และลบข้อมูลทั้งหมดทันที
    กฎหมายที่ปรับปรุงระบบลงทะเบียน data broker โดยให้ผู้ใช้รู้ว่าใครเก็บข้อมูลของตน และนำไปใช้อย่างไร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แคลิฟอร์เนียออกกฎหมาย “Opt Me Out Act” เพื่อให้ผู้ใช้ opt-out ได้ง่ายผ่านเบราว์เซอร์
    กฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่ายและส่งสัญญาณ OOPS
    เมื่อเปิดใช้งาน OOPS เว็บไซต์ต้องหยุดขายหรือแชร์ข้อมูลทันที
    กฎหมายมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2027
    เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์รองรับ opt-out แบบ universal
    ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้ง extension หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะอีกต่อไป
    อีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกันเกี่ยวกับการลบบัญชีโซเชียลและการเปิดเผยข้อมูลจาก data broker

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OOPS (Opt-Out Preference Signal) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย CCPA และ CPPA
    Brave และ Firefox เป็นเบราว์เซอร์ที่รองรับ OOPS มานานแล้ว
    Data broker คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อขายให้กับนักโฆษณา
    การ opt-out แบบ universal ช่วยลดความยุ่งยากในการปกป้องข้อมูลส่วนตัว
    กฎหมายนี้อาจกระทบต่อรายได้ของเว็บไซต์ที่พึ่งพาโฆษณาแบบ personalized

    คำเตือนและข้อจำกัด
    กฎหมายมีผลปี 2027 ผู้ใช้ยังต้องใช้ extension หรือเบราว์เซอร์เฉพาะจนกว่าจะถึงวันนั้น
    เบราว์เซอร์ที่ไม่ปรับตัวอาจถูกห้ามใช้งานในแคลิฟอร์เนีย
    เว็บไซต์ที่ไม่รองรับ OOPS อาจละเมิดกฎหมายและถูกลงโทษ
    ผู้ใช้บางรายอาจไม่รู้ว่าต้องเปิดใช้งาน OOPS ด้วยตนเอง
    การ opt-out อาจทำให้เว็บไซต์บางแห่งแสดงเนื้อหาหรือโฆษณาไม่ตรงความสนใจ

    https://therecord.media/california-signs-law-opt-out-browsers
    🛑 “แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่ ให้ผู้ใช้กดปุ่มเดียว ‘Opt-Out’ จากการขายข้อมูล — เว็บเบราว์เซอร์ต้องปรับตัวก่อนปี 2027” เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมายใหม่ชื่อว่า “California Opt Me Out Act” ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมาย California Consumer Privacy Act (CCPA) ที่มีมาตั้งแต่ปี 2018 โดยเน้นให้ผู้บริโภคสามารถ “ยกเลิกการอนุญาตให้เว็บไซต์ขายหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว” ได้ง่ายขึ้นผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยตรง ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ต้องกดยืนยันการ opt-out ทีละเว็บไซต์ หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะที่รองรับฟีเจอร์นี้ เช่น Brave หรือใช้ส่วนขยาย (extension) เพิ่มเติม แต่กฎหมายใหม่จะบังคับให้เบราว์เซอร์ทุกตัวที่ใช้งานในแคลิฟอร์เนียต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่าย และส่งสัญญาณ opt-out preference signal (OOPS) ไปยังเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ เมื่อเปิดใช้งาน OOPS แล้ว เว็บไซต์จะต้องหยุดการขายหรือแชร์ข้อมูล เช่น ประวัติการเข้าชม, ตำแหน่ง, ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ยืนยันซ้ำในแต่ละเว็บไซต์ กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2027 และถือเป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์ต้องรองรับการ opt-out แบบ universal ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีอีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกัน ได้แก่ 🔰 กฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องให้ผู้ใช้ยกเลิกบัญชีได้ง่าย และลบข้อมูลทั้งหมดทันที 🔰 กฎหมายที่ปรับปรุงระบบลงทะเบียน data broker โดยให้ผู้ใช้รู้ว่าใครเก็บข้อมูลของตน และนำไปใช้อย่างไร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แคลิฟอร์เนียออกกฎหมาย “Opt Me Out Act” เพื่อให้ผู้ใช้ opt-out ได้ง่ายผ่านเบราว์เซอร์ ➡️ กฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่ายและส่งสัญญาณ OOPS ➡️ เมื่อเปิดใช้งาน OOPS เว็บไซต์ต้องหยุดขายหรือแชร์ข้อมูลทันที ➡️ กฎหมายมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2027 ➡️ เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์รองรับ opt-out แบบ universal ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้ง extension หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะอีกต่อไป ➡️ อีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกันเกี่ยวกับการลบบัญชีโซเชียลและการเปิดเผยข้อมูลจาก data broker ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OOPS (Opt-Out Preference Signal) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย CCPA และ CPPA ➡️ Brave และ Firefox เป็นเบราว์เซอร์ที่รองรับ OOPS มานานแล้ว ➡️ Data broker คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อขายให้กับนักโฆษณา ➡️ การ opt-out แบบ universal ช่วยลดความยุ่งยากในการปกป้องข้อมูลส่วนตัว ➡️ กฎหมายนี้อาจกระทบต่อรายได้ของเว็บไซต์ที่พึ่งพาโฆษณาแบบ personalized ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ กฎหมายมีผลปี 2027 ผู้ใช้ยังต้องใช้ extension หรือเบราว์เซอร์เฉพาะจนกว่าจะถึงวันนั้น ⛔ เบราว์เซอร์ที่ไม่ปรับตัวอาจถูกห้ามใช้งานในแคลิฟอร์เนีย ⛔ เว็บไซต์ที่ไม่รองรับ OOPS อาจละเมิดกฎหมายและถูกลงโทษ ⛔ ผู้ใช้บางรายอาจไม่รู้ว่าต้องเปิดใช้งาน OOPS ด้วยตนเอง ⛔ การ opt-out อาจทำให้เว็บไซต์บางแห่งแสดงเนื้อหาหรือโฆษณาไม่ตรงความสนใจ https://therecord.media/california-signs-law-opt-out-browsers
    THERECORD.MEDIA
    California enacts law giving consumers ability to universally opt out of data sharing
    The California Consumer Privacy Act, signed in 2018, gave Californians the right to send opt-out signals, but major browsers have not had to make opt-outs simple to use.
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • “อุตสาหกรรมสิ่งทอในบังกลาเทศพลิกวิกฤตขยะด้วยเทคโนโลยี — เมื่อเศษผ้ากลายเป็นโอกาสระดับพันล้าน”

    บังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าอันดับสองของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาขยะสิ่งทอจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเศษผ้าจากการผลิตที่ยังไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันประเทศสามารถรีไซเคิลเศษผ้าก่อนการบริโภคได้เพียง 5–7% เท่านั้น และมีเพียงไม่ถึง 5% ที่ถูกนำไปอัปไซเคิลเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น พรมตุ๊กตาและผ้าห่ม

    เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัท Reverse Resources ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยติดตามและจัดการขยะสิ่งทอแบบเรียลไทม์ โดยระบบจะช่วยให้โรงงานสามารถแยกประเภทเศษผ้า ติดป้ายกำกับ และลงทะเบียนข้อมูลบนคลาวด์ พร้อมติดตามการเคลื่อนย้ายระหว่างโรงงาน ผู้จัดการขยะ และผู้รีไซเคิล

    ระบบนี้ช่วยให้โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นสำหรับเศษผ้า และแบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะที่เกิดจากซัพพลายเออร์ได้อย่างโปร่งใส ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์ระดับโลกกว่า 60 รายเข้าร่วมแพลตฟอร์มนี้ แม้จะยังครอบคลุมเพียง 1% ของตลาด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่

    รายงานจาก GIZ และ H&M ระบุว่า ขยะสิ่งทอมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว เช่น เวียดนาม ฟินแลนด์ สวีเดน อินเดีย และจีน ส่วนที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นวัสดุยัดไส้ เผาเพื่อผลิตไฟฟ้า หรือฝังกลบ

    การติดตามขยะด้วยข้อมูลดิจิทัลไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้จัดการขยะรายเล็กในบังกลาเทศสามารถเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้โดยตรง ลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เคยควบคุมการจัดการขยะแบบไม่เป็นทางการ

    นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บและรีไซเคิลสิ่งทอ จะยิ่งผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าโรงงานในบังกลาเทศต้องปรับตัวให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บังกลาเทศสามารถรีไซเคิลขยะสิ่งทอได้เพียง 5–7% และอัปไซเคิลไม่ถึง 5%
    ขยะมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว
    Reverse Resources พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจัดการขยะสิ่งทอ
    ระบบช่วยแยกประเภทเศษผ้า ติดป้าย และติดตามการเคลื่อนย้าย
    โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นเมื่อแยกและติดตามเศษผ้า
    แบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะจากซัพพลายเออร์ได้
    ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์กว่า 60 รายเข้าร่วม
    การจัดการขยะแบบดิจิทัลช่วยลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น
    กฎหมายใหม่ของ EU บังคับให้ผู้ผลิตรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรีไซเคิล
    การรีไซเคิลในประเทศอาจเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Reverse Resources ตั้งเป้าติดตามขยะสิ่งทอทั่วโลก 2.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030
    การรีไซเคิลแบบ textile-to-textile ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และลดการปล่อย CO₂
    การใช้แพลตฟอร์ม SaaS ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
    การแยกขยะตามชนิดเส้นใยตั้งแต่ต้นทางช่วยเพิ่มมูลค่าและลดขั้นตอน
    การจัดการขยะอย่างมีข้อมูลช่วยให้โรงงานเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้ง่ายขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/07/bangladesh039s-textile-firms-turn-to-technology-to-sort-waste-crisis
    🧵 “อุตสาหกรรมสิ่งทอในบังกลาเทศพลิกวิกฤตขยะด้วยเทคโนโลยี — เมื่อเศษผ้ากลายเป็นโอกาสระดับพันล้าน” บังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าอันดับสองของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาขยะสิ่งทอจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเศษผ้าจากการผลิตที่ยังไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันประเทศสามารถรีไซเคิลเศษผ้าก่อนการบริโภคได้เพียง 5–7% เท่านั้น และมีเพียงไม่ถึง 5% ที่ถูกนำไปอัปไซเคิลเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น พรมตุ๊กตาและผ้าห่ม เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัท Reverse Resources ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยติดตามและจัดการขยะสิ่งทอแบบเรียลไทม์ โดยระบบจะช่วยให้โรงงานสามารถแยกประเภทเศษผ้า ติดป้ายกำกับ และลงทะเบียนข้อมูลบนคลาวด์ พร้อมติดตามการเคลื่อนย้ายระหว่างโรงงาน ผู้จัดการขยะ และผู้รีไซเคิล ระบบนี้ช่วยให้โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นสำหรับเศษผ้า และแบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะที่เกิดจากซัพพลายเออร์ได้อย่างโปร่งใส ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์ระดับโลกกว่า 60 รายเข้าร่วมแพลตฟอร์มนี้ แม้จะยังครอบคลุมเพียง 1% ของตลาด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ รายงานจาก GIZ และ H&M ระบุว่า ขยะสิ่งทอมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว เช่น เวียดนาม ฟินแลนด์ สวีเดน อินเดีย และจีน ส่วนที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นวัสดุยัดไส้ เผาเพื่อผลิตไฟฟ้า หรือฝังกลบ การติดตามขยะด้วยข้อมูลดิจิทัลไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้จัดการขยะรายเล็กในบังกลาเทศสามารถเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้โดยตรง ลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เคยควบคุมการจัดการขยะแบบไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บและรีไซเคิลสิ่งทอ จะยิ่งผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าโรงงานในบังกลาเทศต้องปรับตัวให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บังกลาเทศสามารถรีไซเคิลขยะสิ่งทอได้เพียง 5–7% และอัปไซเคิลไม่ถึง 5% ➡️ ขยะมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว ➡️ Reverse Resources พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจัดการขยะสิ่งทอ ➡️ ระบบช่วยแยกประเภทเศษผ้า ติดป้าย และติดตามการเคลื่อนย้าย ➡️ โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นเมื่อแยกและติดตามเศษผ้า ➡️ แบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะจากซัพพลายเออร์ได้ ➡️ ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์กว่า 60 รายเข้าร่วม ➡️ การจัดการขยะแบบดิจิทัลช่วยลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ➡️ กฎหมายใหม่ของ EU บังคับให้ผู้ผลิตรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรีไซเคิล ➡️ การรีไซเคิลในประเทศอาจเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Reverse Resources ตั้งเป้าติดตามขยะสิ่งทอทั่วโลก 2.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 ➡️ การรีไซเคิลแบบ textile-to-textile ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และลดการปล่อย CO₂ ➡️ การใช้แพลตฟอร์ม SaaS ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ➡️ การแยกขยะตามชนิดเส้นใยตั้งแต่ต้นทางช่วยเพิ่มมูลค่าและลดขั้นตอน ➡️ การจัดการขยะอย่างมีข้อมูลช่วยให้โรงงานเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้ง่ายขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/07/bangladesh039s-textile-firms-turn-to-technology-to-sort-waste-crisis
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bangladesh's textile firms turn to technology to sort waste crisis
    Digital tracing helps Bangladesh sort management of textile waste and could boost exports.
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • ..555,ความจริงที่คนข้าราชการไทยรับไม่ได้,อดีตที่บัดสบแบบนี้เป็นธรรมเนียมที่ชั่วเลวมาโดยตลอด.
    ..ประเทศไทยต้องปฏิวัติ เปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่ทั้งหมดเพื่อปลดปล่อยประเทศไทยจากกฎหมายกติกาเดิมทั้งหมดที่กดขี่ประชาชนคนไทยจากระบบปกครองชาติตะวันตกที่เราไปรับมาใช้งานโดยคณะ2475แบบปล้นสิทธิเจตจำนงเสรีประชาชนไปให้บังคับประชาชนใช้หมดทั้งประเทศโดยไร้การติดตามประเมินผลดีผลเสียของระบบปกครองที่ตนเองรับมาบังคับให้ประชาชนมาใช้ระบบปกครองของฝรั่งนี้,ทรัพยากรมีค่ามากมายเป็นอันมากตกอยู่ในมือฝรั่งที่มันให้เราใช้ระบบปกครองเหมือนมัน,เช่นบ่อน้ำมันบ่อปิโตรเลียม บ่อทองคำที่กระจายเต็มประเทศ,ทุนตะวันตก ทุนอำมาตย์ทุนเจ้าขุนมูลนายในชนชั้นศักดินาเก่ากินรวบผ่านระบบปกครองนี้,ประชาชนรับแค่เศษเดนเงินซากเศษจากวิถีปกครองมัน,
    ..การยกเลิกระบบปกครองฝรั่งนี้ ฝรั่งมันหวาดกลัวมาก เพราะกฎหมายทั้งหมดที่มันได้ผลประโยชน์เป็นเม็ดเงินมหาศาลกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีทัังแบบเปิดเผยและแบบใต้ดินมืดเถื่อนที่กระทำการสาระพัดจะถูกทำลายยุบทิ้งฉีกทิ้งทั้งหมดทันที,โมฆะทั้งหมดทันที,จากนั้นประเทศไทยจะเขียนกฎหมายใหม่ด้วยระบบปกครองใหม่ของตนเองทั้งหมด นั้นคือใดๆที่เป็นของชาติไทย ของแผ่นดินไทย จะกลับคืนสู่สามัญก่อนทั้งหมดภายใต้ระบบปกครองใหม่ อธิปไตยไทยเราใหม่ทั้งหมดทันที,มันจึงหวาดกลัวมากในการที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่,เพราะเม็ดเงินมหาศาลที่ได้จากประเทศไทยจะหลุดลอยทันที,แค่เงินสะพัดทั่วไทยเราต่อปีแบบเป็นทางการยังกว่า40-50ล้านล้านบาทในประเทศไทยนะ,เอาสิ่งเถื่อนแบบเคสเขมรเคสเดียว ไม่รวมชายแดนมาเลย์ ชายแดนพม่า ชายแดนลาว ทะเลอันดามัน อ่าวไทยแอบดูดน้ำมันดิบใส่โคตรเรือใหญ่ยักษ์อีกในแต่ละปีมีเป็นร้อยๆลำทางลับ ใต้ดินมืดเถื่อนสาระพัดเหล่านี้มาร่วมด้วย ไทยเราเงินเดินสะพัดกว่า100ล้านล้านบาทยังประเมินว่าน้อยไปมาก.
    ..ประเทศไทยจะปลดปล่อยอิสระภาพ กอบกู้ชาติไทย ปลดแอกอิทธิพลต่างชาติใดๆจะมหาอำนาจใดๆจะฝั่งฝรั่งตะวันตก จะฝั่งตะวันออกเอเชียสันดานชาติบัดสบขี้โกงต่างๆก็ด้วย เรา..ประชาชนคนไทยต้องล้างทิ้งระบบปกครองเก่าของฝรั่งทันทีที่คณะ2475ก่อการเอามาบังคับให้ประเทศไทยเราใช้,เรา..ประเทศไทยจะคิดค้นสร้างสรรค์ระบบปกครองเราเองใหม่มันผิดโคตรพ่อโคตรแมร่งบรมโคตรฝรั่งตรงไหน,เรา..ประเทศไทย..เรา..ประชาชนคนไทยจะปลดปล่อยตนเองจะระบบปกครองบัดสบที่ล้มเหลวไม่ได้เหรอ,เปลี่ยนเป็นระบบปกครองธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงธรรมเป็นประมุข,มันชั่วเลวตรงไหน คัดค้านเพื่อใช้ระบบเก่าปกครองแบบนักการเมือง ข้าราชการกินบ้านกินเมืองโกงบ้านโกงเมือง วางคนของตนทั่วทั้งระบบปกครองฝรั่งผีบ้านี้ มันดีตรงไหน,ประหารชีวิตจริงมีนักการเมือง ข้าราชการไทย ทหารนายพลชั่วเลวแบบเปิดบ่อนคาสิโน อำนวยอาชญากรรมค้ามนุษย์สากลโลก มันดีตรงไหนระบบฝรั่งนี้ นักการเมืองชั่วตายจริงกี่คนจากการประหารชีวิตที่กระทำชั่วต่อแผ่นดินไทย นำทุกข์ร้อนต่อประชาชนตนเอง,แดกกันจนร่ำรวยในเดอะแก๊งตนเป็นว่าเล่น มันดีตรงไหนระบบปกครองของฝรั่งนี้,แถอีกว่าmou43,44มันดี มันดีตรงไหนที่กอดอัตรา1:200,000ทำให้ไทยเสียดินแดนชัดเจนคือ1:150,000จากเราใช้1:50,000ปกติสากลทั่วโลก,เขมรก็ใช้กับเวียดนามและลาว กอดไว้ทำพ่อมรึงตายอะไร,ระบบปกครองฝรั่งนี้มันดีตรงไหน.
    ..เรา..ประเทศไทยต้องกล้าหาญเปลี่ยนแปลงตนเอง,เรา..ประเทศไทยสามารถปกครองดูแลตนเองได้,เรา..ประเทศไทยคิดค้นระบบปกครองเราเองได้,เรา..ประชาชนคนไทยคือไทแท้ได้,อาวุธทางสวครามแค่เราไม่มีเจตนาสะสม แต่ถ้าโลกมันบัดสบ เรา..ประชาชนคนไทยก็พร้อมพัฒนามันเพื่อป้องกันอธิปไตยไทยเรา แผ่นดินไทยเราและลูกหลานประชาชนไทยเราทั้งประเทศ,นิวเคลียร์อเมริกามีเป็น10,000กว่าลูกได้,จีนมีหลายพันลูกได้,รัสเชียมีหลายพันลูกเช่นกัน,ไทยเราก็มีวัตถุดิบผลิตมัน เราสามารถสร้างมันได้ ตลอดคนเหนือมนุษย์ด้านจิตวิญญาณเราในไทยอีกเพรียบ,เรา..ต้องถึงเวลาสื่อสารทางจิตเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับต่างดาวจักรวาลฝ่านดีทั่วอนันตจักรวาลแล้ว.
    ..เรา..ประเทศไทยไม่อาจให้ใครคุกคามรุกรานเจตจำนงเสรี อิสระภาพทางกายและจิตวิญญาณเราได้แล้ว,ระเบิดตายทั้งโลกก็ต้องวัดกันเลย.


    https://youtube.com/shorts/H4uSbjaRRdw?si=dZ2ChjttWJfARd6N
    ..555,ความจริงที่คนข้าราชการไทยรับไม่ได้,อดีตที่บัดสบแบบนี้เป็นธรรมเนียมที่ชั่วเลวมาโดยตลอด. ..ประเทศไทยต้องปฏิวัติ เปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่ทั้งหมดเพื่อปลดปล่อยประเทศไทยจากกฎหมายกติกาเดิมทั้งหมดที่กดขี่ประชาชนคนไทยจากระบบปกครองชาติตะวันตกที่เราไปรับมาใช้งานโดยคณะ2475แบบปล้นสิทธิเจตจำนงเสรีประชาชนไปให้บังคับประชาชนใช้หมดทั้งประเทศโดยไร้การติดตามประเมินผลดีผลเสียของระบบปกครองที่ตนเองรับมาบังคับให้ประชาชนมาใช้ระบบปกครองของฝรั่งนี้,ทรัพยากรมีค่ามากมายเป็นอันมากตกอยู่ในมือฝรั่งที่มันให้เราใช้ระบบปกครองเหมือนมัน,เช่นบ่อน้ำมันบ่อปิโตรเลียม บ่อทองคำที่กระจายเต็มประเทศ,ทุนตะวันตก ทุนอำมาตย์ทุนเจ้าขุนมูลนายในชนชั้นศักดินาเก่ากินรวบผ่านระบบปกครองนี้,ประชาชนรับแค่เศษเดนเงินซากเศษจากวิถีปกครองมัน, ..การยกเลิกระบบปกครองฝรั่งนี้ ฝรั่งมันหวาดกลัวมาก เพราะกฎหมายทั้งหมดที่มันได้ผลประโยชน์เป็นเม็ดเงินมหาศาลกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีทัังแบบเปิดเผยและแบบใต้ดินมืดเถื่อนที่กระทำการสาระพัดจะถูกทำลายยุบทิ้งฉีกทิ้งทั้งหมดทันที,โมฆะทั้งหมดทันที,จากนั้นประเทศไทยจะเขียนกฎหมายใหม่ด้วยระบบปกครองใหม่ของตนเองทั้งหมด นั้นคือใดๆที่เป็นของชาติไทย ของแผ่นดินไทย จะกลับคืนสู่สามัญก่อนทั้งหมดภายใต้ระบบปกครองใหม่ อธิปไตยไทยเราใหม่ทั้งหมดทันที,มันจึงหวาดกลัวมากในการที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่,เพราะเม็ดเงินมหาศาลที่ได้จากประเทศไทยจะหลุดลอยทันที,แค่เงินสะพัดทั่วไทยเราต่อปีแบบเป็นทางการยังกว่า40-50ล้านล้านบาทในประเทศไทยนะ,เอาสิ่งเถื่อนแบบเคสเขมรเคสเดียว ไม่รวมชายแดนมาเลย์ ชายแดนพม่า ชายแดนลาว ทะเลอันดามัน อ่าวไทยแอบดูดน้ำมันดิบใส่โคตรเรือใหญ่ยักษ์อีกในแต่ละปีมีเป็นร้อยๆลำทางลับ ใต้ดินมืดเถื่อนสาระพัดเหล่านี้มาร่วมด้วย ไทยเราเงินเดินสะพัดกว่า100ล้านล้านบาทยังประเมินว่าน้อยไปมาก. ..ประเทศไทยจะปลดปล่อยอิสระภาพ กอบกู้ชาติไทย ปลดแอกอิทธิพลต่างชาติใดๆจะมหาอำนาจใดๆจะฝั่งฝรั่งตะวันตก จะฝั่งตะวันออกเอเชียสันดานชาติบัดสบขี้โกงต่างๆก็ด้วย เรา..ประชาชนคนไทยต้องล้างทิ้งระบบปกครองเก่าของฝรั่งทันทีที่คณะ2475ก่อการเอามาบังคับให้ประเทศไทยเราใช้,เรา..ประเทศไทยจะคิดค้นสร้างสรรค์ระบบปกครองเราเองใหม่มันผิดโคตรพ่อโคตรแมร่งบรมโคตรฝรั่งตรงไหน,เรา..ประเทศไทย..เรา..ประชาชนคนไทยจะปลดปล่อยตนเองจะระบบปกครองบัดสบที่ล้มเหลวไม่ได้เหรอ,เปลี่ยนเป็นระบบปกครองธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงธรรมเป็นประมุข,มันชั่วเลวตรงไหน คัดค้านเพื่อใช้ระบบเก่าปกครองแบบนักการเมือง ข้าราชการกินบ้านกินเมืองโกงบ้านโกงเมือง วางคนของตนทั่วทั้งระบบปกครองฝรั่งผีบ้านี้ มันดีตรงไหน,ประหารชีวิตจริงมีนักการเมือง ข้าราชการไทย ทหารนายพลชั่วเลวแบบเปิดบ่อนคาสิโน อำนวยอาชญากรรมค้ามนุษย์สากลโลก มันดีตรงไหนระบบฝรั่งนี้ นักการเมืองชั่วตายจริงกี่คนจากการประหารชีวิตที่กระทำชั่วต่อแผ่นดินไทย นำทุกข์ร้อนต่อประชาชนตนเอง,แดกกันจนร่ำรวยในเดอะแก๊งตนเป็นว่าเล่น มันดีตรงไหนระบบปกครองของฝรั่งนี้,แถอีกว่าmou43,44มันดี มันดีตรงไหนที่กอดอัตรา1:200,000ทำให้ไทยเสียดินแดนชัดเจนคือ1:150,000จากเราใช้1:50,000ปกติสากลทั่วโลก,เขมรก็ใช้กับเวียดนามและลาว กอดไว้ทำพ่อมรึงตายอะไร,ระบบปกครองฝรั่งนี้มันดีตรงไหน. ..เรา..ประเทศไทยต้องกล้าหาญเปลี่ยนแปลงตนเอง,เรา..ประเทศไทยสามารถปกครองดูแลตนเองได้,เรา..ประเทศไทยคิดค้นระบบปกครองเราเองได้,เรา..ประชาชนคนไทยคือไทแท้ได้,อาวุธทางสวครามแค่เราไม่มีเจตนาสะสม แต่ถ้าโลกมันบัดสบ เรา..ประชาชนคนไทยก็พร้อมพัฒนามันเพื่อป้องกันอธิปไตยไทยเรา แผ่นดินไทยเราและลูกหลานประชาชนไทยเราทั้งประเทศ,นิวเคลียร์อเมริกามีเป็น10,000กว่าลูกได้,จีนมีหลายพันลูกได้,รัสเชียมีหลายพันลูกเช่นกัน,ไทยเราก็มีวัตถุดิบผลิตมัน เราสามารถสร้างมันได้ ตลอดคนเหนือมนุษย์ด้านจิตวิญญาณเราในไทยอีกเพรียบ,เรา..ต้องถึงเวลาสื่อสารทางจิตเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับต่างดาวจักรวาลฝ่านดีทั่วอนันตจักรวาลแล้ว. ..เรา..ประเทศไทยไม่อาจให้ใครคุกคามรุกรานเจตจำนงเสรี อิสระภาพทางกายและจิตวิญญาณเราได้แล้ว,ระเบิดตายทั้งโลกก็ต้องวัดกันเลย. https://youtube.com/shorts/H4uSbjaRRdw?si=dZ2ChjttWJfARd6N
    0 Comments 0 Shares 588 Views 0 Reviews
  • “กฎหมายยืนยันอายุออนไลน์ในรัฐโอไฮโอเริ่มใช้แล้ว — ปกป้องเด็กหรือคุกคามสิทธิผู้ใหญ่?”

    ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025 เป็นต้นไป รัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ ได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องยืนยันอายุทุกครั้งก่อนเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจัดว่า “ลามกอนาจารหรือเป็นอันตรายต่อเยาวชน” โดยไม่จำกัดเฉพาะเว็บไซต์ลามก แต่รวมถึงแพลตฟอร์มที่มีเนื้อหาสำคัญในด้านสุขภาพหรือการศึกษาเพศด้วย

    กฎหมายนี้ถูกบรรจุไว้ในงบประมาณรัฐกว่า 3,000 หน้า (HB 96) และผ่านการอนุมัติในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องส่งข้อมูลยืนยันอายุ เช่น บัตรประชาชน หรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา ผ่านระบบของบุคคลที่สาม ซึ่งต้องตรวจสอบอายุทุก 2 ปีสำหรับบัญชีที่ใช้งานต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังต้องใช้ระบบ “geofence” เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของผู้ใช้ หากพบว่าอยู่ในโอไฮโอ จะต้องบล็อกเนื้อหาทันทีจนกว่าจะมีการยืนยันอายุอย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่งและรักษาความเป็นส่วนตัว

    แม้ผู้สนับสนุนจะมองว่ากฎหมายนี้ช่วยปกป้องเด็กจากเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิออนไลน์กลับเตือนว่า การบังคับให้ทุกคนต้องส่งข้อมูลส่วนตัวเพื่อเข้าถึงเนื้อหาถูกกฎหมาย อาจเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กฎหมายยืนยันอายุในรัฐโอไฮโอเริ่มบังคับใช้วันที่ 30 กันยายน 2025
    ผู้ใช้ต้องยืนยันอายุด้วยบัตรประชาชนหรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา
    การยืนยันอายุต้องทำผ่านระบบของบุคคลที่สาม และต้องตรวจสอบใหม่ทุก 2 ปี
    เว็บไซต์ต้องใช้ระบบ geofence เพื่อตรวจสอบตำแหน่งผู้ใช้ก่อนให้เข้าถึงเนื้อหา
    หากผู้ใช้ถูกระบุว่าอยู่ในโอไฮโอ จะถูกบล็อกเนื้อหาจนกว่าจะยืนยันอายุ
    VPN ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในโอไฮโอเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่ง
    กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของ HB 96 ซึ่งเป็นงบประมาณรัฐที่ผ่านในเดือนมิถุนายน
    โอไฮโอกลายเป็นรัฐที่ 24 ของสหรัฐฯ ที่ออกกฎหมายยืนยันอายุออนไลน์

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/mandatory-age-verification-lands-in-ohio-heres-all-you-need-to-know
    🛡️ “กฎหมายยืนยันอายุออนไลน์ในรัฐโอไฮโอเริ่มใช้แล้ว — ปกป้องเด็กหรือคุกคามสิทธิผู้ใหญ่?” ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025 เป็นต้นไป รัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ ได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องยืนยันอายุทุกครั้งก่อนเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจัดว่า “ลามกอนาจารหรือเป็นอันตรายต่อเยาวชน” โดยไม่จำกัดเฉพาะเว็บไซต์ลามก แต่รวมถึงแพลตฟอร์มที่มีเนื้อหาสำคัญในด้านสุขภาพหรือการศึกษาเพศด้วย กฎหมายนี้ถูกบรรจุไว้ในงบประมาณรัฐกว่า 3,000 หน้า (HB 96) และผ่านการอนุมัติในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องส่งข้อมูลยืนยันอายุ เช่น บัตรประชาชน หรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา ผ่านระบบของบุคคลที่สาม ซึ่งต้องตรวจสอบอายุทุก 2 ปีสำหรับบัญชีที่ใช้งานต่อเนื่อง นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังต้องใช้ระบบ “geofence” เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของผู้ใช้ หากพบว่าอยู่ในโอไฮโอ จะต้องบล็อกเนื้อหาทันทีจนกว่าจะมีการยืนยันอายุอย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่งและรักษาความเป็นส่วนตัว แม้ผู้สนับสนุนจะมองว่ากฎหมายนี้ช่วยปกป้องเด็กจากเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิออนไลน์กลับเตือนว่า การบังคับให้ทุกคนต้องส่งข้อมูลส่วนตัวเพื่อเข้าถึงเนื้อหาถูกกฎหมาย อาจเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กฎหมายยืนยันอายุในรัฐโอไฮโอเริ่มบังคับใช้วันที่ 30 กันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้ต้องยืนยันอายุด้วยบัตรประชาชนหรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา ➡️ การยืนยันอายุต้องทำผ่านระบบของบุคคลที่สาม และต้องตรวจสอบใหม่ทุก 2 ปี ➡️ เว็บไซต์ต้องใช้ระบบ geofence เพื่อตรวจสอบตำแหน่งผู้ใช้ก่อนให้เข้าถึงเนื้อหา ➡️ หากผู้ใช้ถูกระบุว่าอยู่ในโอไฮโอ จะถูกบล็อกเนื้อหาจนกว่าจะยืนยันอายุ ➡️ VPN ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในโอไฮโอเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่ง ➡️ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของ HB 96 ซึ่งเป็นงบประมาณรัฐที่ผ่านในเดือนมิถุนายน ➡️ โอไฮโอกลายเป็นรัฐที่ 24 ของสหรัฐฯ ที่ออกกฎหมายยืนยันอายุออนไลน์ https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/mandatory-age-verification-lands-in-ohio-heres-all-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    Mandatory age verification lands in Ohio – here’s all you need to know
    From September 30, citizens must prove their age every time they wish to access adult-only content
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน”

    สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร

    ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป

    ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา:
    เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล
    เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ
    พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ

    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล

    แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้
    ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส
    ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ
    ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก
    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU
    ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน
    กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น
    มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก
    การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน
    การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว
    การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก
    บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้

    https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    🕵️ “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน” สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา: 🔖 เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล 🔖 เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ 🔖 พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้ ➡️ ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส ➡️ ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ ➡️ ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก ➡️ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU ➡️ ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน ➡️ กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น ➡️ มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก ➡️ การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน ➡️ การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว ➡️ การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก ➡️ บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้ https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    METALHEARF.FR
    ChatControl wants to scan all your private messages
    The EU is pushing legislation that would scan all our private messages, even in encrypted apps.
    0 Comments 0 Shares 357 Views 0 Reviews
  • “เมืองโทโยอาเกะจำกัดเวลาเล่นมือถือวันละ 2 ชั่วโมง — กฎหมายใหม่ที่ไม่มีโทษ แต่หวังเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเมือง”

    เมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ผ่านร่างข้อบัญญัติที่แปลกใหม่และกล้าหาญ — จำกัดการใช้สมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิงของประชาชนทุกคนไว้ที่วันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป

    ข้อบัญญัตินี้ไม่ได้มีโทษหรือการบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่เป็นแนวทางเชิงแนะนำที่หวังให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมการใช้หน้าจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่อาจส่งผลต่อการนอนหลับและพัฒนาการทางสุขภาพ

    สำหรับเด็กประถมและต่ำกว่า เมืองแนะนำให้หยุดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. ส่วนเด็กมัธยมต้นขึ้นไปควรหยุดใช้หลัง 22.00 น. โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้งานเพื่อการเรียนหรือการทำงาน

    แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางสมาชิกสภาเมืองที่มองว่าการใช้มือถือควรเป็นเรื่องของวินัยในครอบครัว หรือบางคนชี้ว่ามือถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีปัญหาครอบครัว แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าข้อบัญญัตินี้จะช่วยลดการเสพติดหน้าจอ และเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้พูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม

    นายกเทศมนตรีมาซาฟูมิ โคกิ กล่าวว่าข้อบัญญัตินี้ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ แต่เป็น “แนวทางอ่อนโยน” เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเรื่องสุขภาพ การนอนหลับ และการเลี้ยงดูเด็กในยุคดิจิทัล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เมืองโทโยอาเกะออกข้อบัญญัติจำกัดการใช้มือถือเพื่อความบันเทิงวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง
    เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยไม่มีโทษหรือการบังคับใช้
    เด็กประถมควรหยุดใช้มือถือหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น.
    ข้อบัญญัตินี้ครอบคลุมประชาชนทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็ก

    จุดประสงค์และแนวคิดเบื้องหลัง
    หวังลดผลกระทบจากการใช้มือถือเกินขนาด เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ
    ส่งเสริมให้ครอบครัวพูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยี
    ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กลดเวลาอยู่หน้าจอ
    นายกเทศมนตรีระบุว่าเป็น “แนวทางอ่อนโยน” ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เด็กญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยวันละกว่า 5 ชั่วโมงในวันธรรมดา
    จังหวัดคางาวะเคยออกข้อบัญญัติคล้ายกันในปี 2020 จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก
    การใช้มือถือมากเกินไปมีผลต่อสุขภาพจิตและการพัฒนาทางสังคม
    หลายประเทศเริ่มออกแนวทางจำกัดการใช้หน้าจอในเด็ก เช่น ฝรั่งเศสและเกาหลีใต้

    https://www.tomshardware.com/phones/japanese-city-implements-two-hour-daily-recreational-smartphone-usage-limit-ordinance-comes-into-effect-from-october-1-no-enforcement-or-penalties-proposed
    📱 “เมืองโทโยอาเกะจำกัดเวลาเล่นมือถือวันละ 2 ชั่วโมง — กฎหมายใหม่ที่ไม่มีโทษ แต่หวังเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเมือง” เมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ผ่านร่างข้อบัญญัติที่แปลกใหม่และกล้าหาญ — จำกัดการใช้สมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิงของประชาชนทุกคนไว้ที่วันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป ข้อบัญญัตินี้ไม่ได้มีโทษหรือการบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่เป็นแนวทางเชิงแนะนำที่หวังให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมการใช้หน้าจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่อาจส่งผลต่อการนอนหลับและพัฒนาการทางสุขภาพ สำหรับเด็กประถมและต่ำกว่า เมืองแนะนำให้หยุดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. ส่วนเด็กมัธยมต้นขึ้นไปควรหยุดใช้หลัง 22.00 น. โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้งานเพื่อการเรียนหรือการทำงาน แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางสมาชิกสภาเมืองที่มองว่าการใช้มือถือควรเป็นเรื่องของวินัยในครอบครัว หรือบางคนชี้ว่ามือถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีปัญหาครอบครัว แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าข้อบัญญัตินี้จะช่วยลดการเสพติดหน้าจอ และเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้พูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม นายกเทศมนตรีมาซาฟูมิ โคกิ กล่าวว่าข้อบัญญัตินี้ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ แต่เป็น “แนวทางอ่อนโยน” เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเรื่องสุขภาพ การนอนหลับ และการเลี้ยงดูเด็กในยุคดิจิทัล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เมืองโทโยอาเกะออกข้อบัญญัติจำกัดการใช้มือถือเพื่อความบันเทิงวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยไม่มีโทษหรือการบังคับใช้ ➡️ เด็กประถมควรหยุดใช้มือถือหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. ➡️ ข้อบัญญัตินี้ครอบคลุมประชาชนทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็ก ✅ จุดประสงค์และแนวคิดเบื้องหลัง ➡️ หวังลดผลกระทบจากการใช้มือถือเกินขนาด เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ ➡️ ส่งเสริมให้ครอบครัวพูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยี ➡️ ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กลดเวลาอยู่หน้าจอ ➡️ นายกเทศมนตรีระบุว่าเป็น “แนวทางอ่อนโยน” ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เด็กญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยวันละกว่า 5 ชั่วโมงในวันธรรมดา ➡️ จังหวัดคางาวะเคยออกข้อบัญญัติคล้ายกันในปี 2020 จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก ➡️ การใช้มือถือมากเกินไปมีผลต่อสุขภาพจิตและการพัฒนาทางสังคม ➡️ หลายประเทศเริ่มออกแนวทางจำกัดการใช้หน้าจอในเด็ก เช่น ฝรั่งเศสและเกาหลีใต้ https://www.tomshardware.com/phones/japanese-city-implements-two-hour-daily-recreational-smartphone-usage-limit-ordinance-comes-into-effect-from-october-1-no-enforcement-or-penalties-proposed
    0 Comments 0 Shares 386 Views 0 Reviews
  • กฎหมายใหม่ในรัฐมิชิแกนจ่อแบน VPN และสื่อผู้ใหญ่ทุกประเภท — เสี่ยงกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวทั่วสหรัฐฯ

    เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรครีพับลิกันในรัฐมิชิแกนได้เสนอร่างกฎหมายชื่อ “Anticorruption of Public Morals Act” ซึ่งมีเป้าหมายในการห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรมสาธารณะ” โดยเฉพาะสื่อผู้ใหญ่ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ ภาพ เสียง เรื่องแต่ง หรือแม้แต่เนื้อหาที่สร้างโดย AI รวมถึงการกล่าวถึงบุคคลข้ามเพศ

    ที่น่าจับตามองคือ กฎหมายนี้ยังรวมถึงการห้ามใช้เครื่องมือหลีกเลี่ยงการกรองเนื้อหา เช่น VPN, proxy server และการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสอื่นๆ โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องตรวจจับและบล็อกการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 500,000 ดอลลาร์

    นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษรุนแรงสำหรับผู้ที่เผยแพร่หรือขายเนื้อหาต้องห้าม เช่น จำคุกสูงสุด 20–25 ปี และปรับสูงสุดถึง 125,000 ดอลลาร์ หากมีการเผยแพร่เกิน 100 หน่วย

    แม้ผู้เสนอร่างกฎหมายจะอ้างว่าเป็นการปกป้องเด็กและครอบครัว แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวเตือนว่า การแบน VPN อาจเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนมากขึ้น และอาจกลายเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นหรือประเทศเผด็จการนำไปใช้ต่อ

    รัฐมิชิแกนเสนอร่างกฎหมาย “Anticorruption of Public Morals Act”
    ห้ามเผยแพร่เนื้อหาผู้ใหญ่ทุกประเภท ทั้งภาพ เสียง เรื่องแต่ง และเนื้อหา AI
    รวมถึงการกล่าวถึงบุคคลข้ามเพศในเชิงสื่อ
    มีบทลงโทษรุนแรง เช่น จำคุกสูงสุด 25 ปี และปรับสูงสุด 125,000 ดอลลาร์

    กฎหมายนี้ยังห้ามใช้เครื่องมือหลีกเลี่ยงการกรองเนื้อหา
    ครอบคลุม VPN, proxy server และการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัส
    ISP ต้องตรวจจับและบล็อกการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้
    หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับสูงสุด 500,000 ดอลลาร์

    มีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อบังคับใช้กฎหมาย
    รวมถึงนักวิเคราะห์ดิจิทัล นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    ทำหน้าที่ตรวจสอบเว็บไซต์และรายงานการบังคับใช้ประจำปี

    VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัว
    ช่วยเข้ารหัสข้อมูลและซ่อนตำแหน่ง IP ของผู้ใช้
    ใช้ในการเข้าถึงบริการที่ถูกจำกัดตามภูมิภาค และป้องกันการสอดแนม

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของร่างกฎหมายนี้
    การแบน VPN อาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน
    อาจกลายเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นหรือประเทศเผด็จการใช้ควบคุมอินเทอร์เน็ต
    ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ต้องใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
    อาจขัดต่อหลักการของเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-usage-at-risk-in-michigan-under-new-proposed-adult-content-law
    📰 กฎหมายใหม่ในรัฐมิชิแกนจ่อแบน VPN และสื่อผู้ใหญ่ทุกประเภท — เสี่ยงกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวทั่วสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรครีพับลิกันในรัฐมิชิแกนได้เสนอร่างกฎหมายชื่อ “Anticorruption of Public Morals Act” ซึ่งมีเป้าหมายในการห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรมสาธารณะ” โดยเฉพาะสื่อผู้ใหญ่ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ ภาพ เสียง เรื่องแต่ง หรือแม้แต่เนื้อหาที่สร้างโดย AI รวมถึงการกล่าวถึงบุคคลข้ามเพศ ที่น่าจับตามองคือ กฎหมายนี้ยังรวมถึงการห้ามใช้เครื่องมือหลีกเลี่ยงการกรองเนื้อหา เช่น VPN, proxy server และการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสอื่นๆ โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องตรวจจับและบล็อกการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 500,000 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษรุนแรงสำหรับผู้ที่เผยแพร่หรือขายเนื้อหาต้องห้าม เช่น จำคุกสูงสุด 20–25 ปี และปรับสูงสุดถึง 125,000 ดอลลาร์ หากมีการเผยแพร่เกิน 100 หน่วย แม้ผู้เสนอร่างกฎหมายจะอ้างว่าเป็นการปกป้องเด็กและครอบครัว แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวเตือนว่า การแบน VPN อาจเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนมากขึ้น และอาจกลายเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นหรือประเทศเผด็จการนำไปใช้ต่อ ✅ รัฐมิชิแกนเสนอร่างกฎหมาย “Anticorruption of Public Morals Act” ➡️ ห้ามเผยแพร่เนื้อหาผู้ใหญ่ทุกประเภท ทั้งภาพ เสียง เรื่องแต่ง และเนื้อหา AI ➡️ รวมถึงการกล่าวถึงบุคคลข้ามเพศในเชิงสื่อ ➡️ มีบทลงโทษรุนแรง เช่น จำคุกสูงสุด 25 ปี และปรับสูงสุด 125,000 ดอลลาร์ ✅ กฎหมายนี้ยังห้ามใช้เครื่องมือหลีกเลี่ยงการกรองเนื้อหา ➡️ ครอบคลุม VPN, proxy server และการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัส ➡️ ISP ต้องตรวจจับและบล็อกการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ ➡️ หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับสูงสุด 500,000 ดอลลาร์ ✅ มีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อบังคับใช้กฎหมาย ➡️ รวมถึงนักวิเคราะห์ดิจิทัล นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ ทำหน้าที่ตรวจสอบเว็บไซต์และรายงานการบังคับใช้ประจำปี ✅ VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ ช่วยเข้ารหัสข้อมูลและซ่อนตำแหน่ง IP ของผู้ใช้ ➡️ ใช้ในการเข้าถึงบริการที่ถูกจำกัดตามภูมิภาค และป้องกันการสอดแนม ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของร่างกฎหมายนี้ ⛔ การแบน VPN อาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ⛔ อาจกลายเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นหรือประเทศเผด็จการใช้ควบคุมอินเทอร์เน็ต ⛔ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ต้องใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ⛔ อาจขัดต่อหลักการของเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-usage-at-risk-in-michigan-under-new-proposed-adult-content-law
    WWW.TECHRADAR.COM
    VPN usage at risk in Michigan under new proposed adult content law
    The "Anticorruption of Public Morals Act" would force internet service providers to monitor and block VPN connections
    0 Comments 0 Shares 343 Views 0 Reviews
  • “เอกสารดิจิทัลไม่ใช่แค่ไฟล์ — เมื่อการแก้ไขอย่างปลอดภัยกลายเป็นเกราะป้องกันธุรกิจยุคใหม่”

    ในยุคที่ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นสัญญา บันทึกทางการแพทย์ หรือแผนการเงิน การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย (Secure Document Editing) จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นความรับผิดชอบระดับองค์กรที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการปฏิบัติตามกฎหมายโดยตรง

    บทความจาก HackRead ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ผู้บริหารคนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ในเวิร์กช็อปว่า เอกสารนโยบายภายในองค์กรถูกดักฟังระหว่างการแก้ไข ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลและเกิดความเสียหายถาวร เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแก้ไขเอกสารที่มีการเข้ารหัสและระบบควบคุมสิทธิ์อย่างรัดกุม

    ภัยคุกคามไม่ได้มาจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการจัดการสิทธิ์ภายในที่ไม่เหมาะสม เช่น การแชร์ไฟล์ผ่านอีเมลหรือคลาวด์โดยไม่มีการควบคุม ทำให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ผลตรวจสุขภาพหรือข้อมูลลูกค้า ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์

    การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนจึงเป็นหัวใจของการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลพุ่งสูงถึง 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 และกฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA, GDPR, SOX ต่างกำหนดให้การเข้ารหัสไม่ใช่แค่ “แนะนำ” แต่เป็น “ข้อบังคับ”

    นอกจากเรื่องกฎหมาย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่ใช้ระบบแก้ไขเอกสารแบบเข้ารหัสและมีระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและแนะนำบริการต่อ

    สุดท้าย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยควรถูกฝังอยู่ใน workflow ขององค์กร ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม โดยควรมีระบบเซ็นชื่อดิจิทัล การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท และการเก็บเวอร์ชันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทีมงานทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่ลดระดับความปลอดภัย

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    เอกสารดิจิทัล เช่น สัญญาและข้อมูลสุขภาพ ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด
    การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยต้องมีการเข้ารหัสและควบคุมสิทธิ์
    ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023
    กฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA และ GDPR กำหนดให้การเข้ารหัสเป็นข้อบังคับ

    แนวทางการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย
    ใช้ระบบที่รองรับการเซ็นชื่อดิจิทัลและการควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท
    มีระบบติดตามเวอร์ชันและประวัติการแก้ไข (audit trail)
    ควรฝังระบบความปลอดภัยไว้ใน workflow ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม
    การใช้ระบบที่ใช้งานง่ายช่วยลดการหลีกเลี่ยงจากผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มาตรฐานการเข้ารหัสที่แนะนำในปี 2025 ได้แก่ AES-256 และ RSA-4096
    การเข้ารหัสแบบ zero-knowledge ช่วยป้องกันแม้แต่ผู้ดูแลระบบไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
    การปฏิบัติตาม GDPR ต้องแจ้งเหตุรั่วไหลภายใน 72 ชั่วโมง และมีสิทธิ์ลบข้อมูลตามคำขอผู้ใช้
    การไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของรายได้ทั่วโลก

    https://hackread.com/why-secure-document-editing-important-than-ever/
    📄 “เอกสารดิจิทัลไม่ใช่แค่ไฟล์ — เมื่อการแก้ไขอย่างปลอดภัยกลายเป็นเกราะป้องกันธุรกิจยุคใหม่” ในยุคที่ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นสัญญา บันทึกทางการแพทย์ หรือแผนการเงิน การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย (Secure Document Editing) จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นความรับผิดชอบระดับองค์กรที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการปฏิบัติตามกฎหมายโดยตรง บทความจาก HackRead ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ผู้บริหารคนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ในเวิร์กช็อปว่า เอกสารนโยบายภายในองค์กรถูกดักฟังระหว่างการแก้ไข ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลและเกิดความเสียหายถาวร เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแก้ไขเอกสารที่มีการเข้ารหัสและระบบควบคุมสิทธิ์อย่างรัดกุม ภัยคุกคามไม่ได้มาจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการจัดการสิทธิ์ภายในที่ไม่เหมาะสม เช่น การแชร์ไฟล์ผ่านอีเมลหรือคลาวด์โดยไม่มีการควบคุม ทำให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ผลตรวจสุขภาพหรือข้อมูลลูกค้า ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนจึงเป็นหัวใจของการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลพุ่งสูงถึง 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 และกฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA, GDPR, SOX ต่างกำหนดให้การเข้ารหัสไม่ใช่แค่ “แนะนำ” แต่เป็น “ข้อบังคับ” นอกจากเรื่องกฎหมาย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่ใช้ระบบแก้ไขเอกสารแบบเข้ารหัสและมีระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและแนะนำบริการต่อ สุดท้าย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยควรถูกฝังอยู่ใน workflow ขององค์กร ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม โดยควรมีระบบเซ็นชื่อดิจิทัล การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท และการเก็บเวอร์ชันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทีมงานทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่ลดระดับความปลอดภัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ เอกสารดิจิทัล เช่น สัญญาและข้อมูลสุขภาพ ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด ➡️ การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยต้องมีการเข้ารหัสและควบคุมสิทธิ์ ➡️ ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 ➡️ กฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA และ GDPR กำหนดให้การเข้ารหัสเป็นข้อบังคับ ✅ แนวทางการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย ➡️ ใช้ระบบที่รองรับการเซ็นชื่อดิจิทัลและการควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท ➡️ มีระบบติดตามเวอร์ชันและประวัติการแก้ไข (audit trail) ➡️ ควรฝังระบบความปลอดภัยไว้ใน workflow ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม ➡️ การใช้ระบบที่ใช้งานง่ายช่วยลดการหลีกเลี่ยงจากผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มาตรฐานการเข้ารหัสที่แนะนำในปี 2025 ได้แก่ AES-256 และ RSA-4096 ➡️ การเข้ารหัสแบบ zero-knowledge ช่วยป้องกันแม้แต่ผู้ดูแลระบบไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ➡️ การปฏิบัติตาม GDPR ต้องแจ้งเหตุรั่วไหลภายใน 72 ชั่วโมง และมีสิทธิ์ลบข้อมูลตามคำขอผู้ใช้ ➡️ การไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของรายได้ทั่วโลก https://hackread.com/why-secure-document-editing-important-than-ever/
    HACKREAD.COM
    Why Secure Document Editing is More Important than Ever
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 307 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ

    ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน

    ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน

    Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI

    ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท

    ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308

    รายละเอียดของ GAIN AI Act
    เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026
    กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ
    ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป

    ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก
    ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ
    ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ
    ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ

    ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม
    Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20
    AMD Instinct MI308
    ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด

    จุดยืนของ Nvidia
    ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท
    มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง
    เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    🎙️ เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308 ✅ รายละเอียดของ GAIN AI Act ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026 ➡️ กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ ➡️ ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป ✅ ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก ➡️ ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ ➡️ ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ ➡️ ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ ✅ ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม ➡️ Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20 ➡️ AMD Instinct MI308 ➡️ ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ✅ จุดยืนของ Nvidia ➡️ ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท ➡️ มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง ➡️ เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • ..ถ้าจะเข้าไปร่วมวงกับรัฐบาลชุดนี้,คิดให้ดีๆนะ,ชื่อเสียงที่สร้างมาดีแล้วช่วงนี้อาจพังได้ ล่อเสือออกจากถ้ำเพื่อฆ่าเสือฆ่าสิงโตก็ได้,เตะตัดขาพรรคในอนาคตอีก,เป็นคณะครม.ร่วมผิดจริยธรรมร้ายแรงกับเข้าด้วยในอนาคต พรรคเศรษฐกิจดับอนาถเลยนะ,555,รอเป็นนายกฯในรัฐบาลของตนเองดีกว่า,แกนนำตั้งรัฐบาลเองโน้น, ลงสมัครการเมืองสมัยหน้า ชูนโยบายยกเลิกmou43,44,tor46,ยึดคืนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณคืนมาจากฝรั่งเศสที่ให้เขมรคืนผิดคน อาจได้คะแนนเสียงตรึมเลย,นโยบายอื่นๆโดนใจอีกที่ทำได้กล้าทำ,เช่น จะเขียนกฎหมายใหม่ นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้น,สส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค.,เป็นต้น
    ..แผนนี้อาจทำลายคนมีไฟแรงก็ได้ กระหายตำแหน่งอำนาจมาล่อ อาจจบไม่สวย ทั้งเข้าเนื้อด้วย ,นายกฯคดีตรึมด้วย.ยุบพรรคยังรออยู่ในอนาคตนะ,,นายกฯราชัญกัญชาต้องประกาศจุดยืนตนเองชัดเจนว่าจะยืนจุดไหน,ถ้ายืนข้างประชาชนในเวลานี้คือต้องประกาศว่า ตนเป็นนายกฯแล้วตอนนี้สิ่งที่จะทำให้สำเร็จทันทีคือยกเลิกmou43,44,tor46ในฝ่ายของไทยได้ทันที นายกฯคนนี้จะทำทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง,จะได้ใจคนไทยทันทีทั้งประเทศนะ,เพราะสามารถทำได้จริงฝ่ายเดียวได้จริง.,ขาข้างหนึ่งรอดตายแล้วนะ,ถ้าหลังเข้ารับตำแหน่งไม่ประกาศตรงนี้ เสียของและมือไม่ถึง เรื่องใดๆในอนาคตรอดับอนาถได้เลย อาจไปเร็วกว่า4เดือนอีก.

    https://youtube.com/watch?v=3rI-4aW_tbQ&si=7YOtjfctOXa9WzcP
    ..ถ้าจะเข้าไปร่วมวงกับรัฐบาลชุดนี้,คิดให้ดีๆนะ,ชื่อเสียงที่สร้างมาดีแล้วช่วงนี้อาจพังได้ ล่อเสือออกจากถ้ำเพื่อฆ่าเสือฆ่าสิงโตก็ได้,เตะตัดขาพรรคในอนาคตอีก,เป็นคณะครม.ร่วมผิดจริยธรรมร้ายแรงกับเข้าด้วยในอนาคต พรรคเศรษฐกิจดับอนาถเลยนะ,555,รอเป็นนายกฯในรัฐบาลของตนเองดีกว่า,แกนนำตั้งรัฐบาลเองโน้น, ลงสมัครการเมืองสมัยหน้า ชูนโยบายยกเลิกmou43,44,tor46,ยึดคืนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณคืนมาจากฝรั่งเศสที่ให้เขมรคืนผิดคน อาจได้คะแนนเสียงตรึมเลย,นโยบายอื่นๆโดนใจอีกที่ทำได้กล้าทำ,เช่น จะเขียนกฎหมายใหม่ นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้น,สส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค.,เป็นต้น ..แผนนี้อาจทำลายคนมีไฟแรงก็ได้ กระหายตำแหน่งอำนาจมาล่อ อาจจบไม่สวย ทั้งเข้าเนื้อด้วย ,นายกฯคดีตรึมด้วย.ยุบพรรคยังรออยู่ในอนาคตนะ,,นายกฯราชัญกัญชาต้องประกาศจุดยืนตนเองชัดเจนว่าจะยืนจุดไหน,ถ้ายืนข้างประชาชนในเวลานี้คือต้องประกาศว่า ตนเป็นนายกฯแล้วตอนนี้สิ่งที่จะทำให้สำเร็จทันทีคือยกเลิกmou43,44,tor46ในฝ่ายของไทยได้ทันที นายกฯคนนี้จะทำทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง,จะได้ใจคนไทยทันทีทั้งประเทศนะ,เพราะสามารถทำได้จริงฝ่ายเดียวได้จริง.,ขาข้างหนึ่งรอดตายแล้วนะ,ถ้าหลังเข้ารับตำแหน่งไม่ประกาศตรงนี้ เสียของและมือไม่ถึง เรื่องใดๆในอนาคตรอดับอนาถได้เลย อาจไปเร็วกว่า4เดือนอีก. https://youtube.com/watch?v=3rI-4aW_tbQ&si=7YOtjfctOXa9WzcP
    0 Comments 0 Shares 437 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Chatbot ถึงเด็ก: เมื่อ FTC เตรียมสอบสวนว่า AI กำลังทำร้ายเด็กโดยไม่ตั้งใจ

    ในเดือนกันยายน 2025 สื่อหลายแห่งรายงานว่า FTC (คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ) เตรียมส่งจดหมายถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ให้บริการ AI chatbot เช่น OpenAI, Meta Platforms และ Character.AI เพื่อขอเอกสารภายในที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อเด็ก โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรมการใช้งาน

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่า chatbot บางตัวของ Meta เคยมีบทสนทนาเชิง “โรแมนติกหรือเย้ายวน” กับผู้ใช้ที่เป็นเยาวชน และมีการพูดถึงเรื่องอ่อนไหว เช่น การทำร้ายตัวเองหรือความคิดฆ่าตัวตาย โดยไม่มีระบบป้องกันที่เพียงพอ

    Meta ได้ประกาศว่าจะเพิ่มมาตรการป้องกัน เช่น การฝึกโมเดลให้หลีกเลี่ยงบทสนทนาเชิงชู้สาวกับผู้เยาว์ และจำกัดการเข้าถึง AI character บางตัวชั่วคราว ขณะที่ Character.AI ระบุว่ายังไม่ได้รับจดหมายจาก FTC แต่ยินดีร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อพัฒนากฎหมายในอนาคต

    นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนจากองค์กรผู้บริโภคกว่า 20 แห่งที่กล่าวหาว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังให้บริการ “therapy bot” โดยไม่มีใบอนุญาต และอาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า chatbot คือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

    การสอบสวนของ FTC ต่อบริษัท AI
    เตรียมส่งจดหมายขอเอกสารจาก OpenAI, Meta และ Character.AI
    เน้นผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กจากการใช้ chatbot
    เป็นการสอบสวนเชิงลึกที่อาจนำไปสู่การออกกฎใหม่

    พฤติกรรมของ chatbot ที่เป็นปัญหา
    มีรายงานว่า chatbot ของ Meta เคยพูดเชิงโรแมนติกกับผู้เยาว์
    มีการพูดถึงเรื่องอ่อนไหว เช่น ความคิดฆ่าตัวตาย โดยไม่มีระบบป้องกัน
    Meta ประกาศเพิ่มมาตรการฝึกโมเดลและจำกัดการเข้าถึง AI character

    การตอบสนองจาก Character.AI และภาคส่วนอื่น
    Character.AI ยังไม่ได้รับจดหมาย แต่พร้อมร่วมมือกับ FTC
    องค์กรผู้บริโภคกว่า 20 แห่งร้องเรียนเรื่อง “therapy bot” ที่ไม่มีใบอนุญาต
    Texas Attorney General เปิดสอบสวน Meta และ Character.AI เพิ่มเติม

    บริบททางนโยบายและความปลอดภัย
    ทำเนียบขาวระบุว่าต้องการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ควบคู่กับความปลอดภัย
    การสอบสวนนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกำกับดูแล AI ด้านจริยธรรมและสุขภาพ
    มีแนวโน้มว่ากฎหมายใหม่จะครอบคลุมการใช้งาน AI กับผู้เยาว์โดยเฉพาะ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/ftc-prepares-to-grill-ai-companies-over-impact-on-children-wsj-reports
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Chatbot ถึงเด็ก: เมื่อ FTC เตรียมสอบสวนว่า AI กำลังทำร้ายเด็กโดยไม่ตั้งใจ ในเดือนกันยายน 2025 สื่อหลายแห่งรายงานว่า FTC (คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ) เตรียมส่งจดหมายถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ให้บริการ AI chatbot เช่น OpenAI, Meta Platforms และ Character.AI เพื่อขอเอกสารภายในที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อเด็ก โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรมการใช้งาน การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่า chatbot บางตัวของ Meta เคยมีบทสนทนาเชิง “โรแมนติกหรือเย้ายวน” กับผู้ใช้ที่เป็นเยาวชน และมีการพูดถึงเรื่องอ่อนไหว เช่น การทำร้ายตัวเองหรือความคิดฆ่าตัวตาย โดยไม่มีระบบป้องกันที่เพียงพอ Meta ได้ประกาศว่าจะเพิ่มมาตรการป้องกัน เช่น การฝึกโมเดลให้หลีกเลี่ยงบทสนทนาเชิงชู้สาวกับผู้เยาว์ และจำกัดการเข้าถึง AI character บางตัวชั่วคราว ขณะที่ Character.AI ระบุว่ายังไม่ได้รับจดหมายจาก FTC แต่ยินดีร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อพัฒนากฎหมายในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนจากองค์กรผู้บริโภคกว่า 20 แห่งที่กล่าวหาว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังให้บริการ “therapy bot” โดยไม่มีใบอนุญาต และอาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า chatbot คือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ✅ การสอบสวนของ FTC ต่อบริษัท AI ➡️ เตรียมส่งจดหมายขอเอกสารจาก OpenAI, Meta และ Character.AI ➡️ เน้นผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กจากการใช้ chatbot ➡️ เป็นการสอบสวนเชิงลึกที่อาจนำไปสู่การออกกฎใหม่ ✅ พฤติกรรมของ chatbot ที่เป็นปัญหา ➡️ มีรายงานว่า chatbot ของ Meta เคยพูดเชิงโรแมนติกกับผู้เยาว์ ➡️ มีการพูดถึงเรื่องอ่อนไหว เช่น ความคิดฆ่าตัวตาย โดยไม่มีระบบป้องกัน ➡️ Meta ประกาศเพิ่มมาตรการฝึกโมเดลและจำกัดการเข้าถึง AI character ✅ การตอบสนองจาก Character.AI และภาคส่วนอื่น ➡️ Character.AI ยังไม่ได้รับจดหมาย แต่พร้อมร่วมมือกับ FTC ➡️ องค์กรผู้บริโภคกว่า 20 แห่งร้องเรียนเรื่อง “therapy bot” ที่ไม่มีใบอนุญาต ➡️ Texas Attorney General เปิดสอบสวน Meta และ Character.AI เพิ่มเติม ✅ บริบททางนโยบายและความปลอดภัย ➡️ ทำเนียบขาวระบุว่าต้องการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ควบคู่กับความปลอดภัย ➡️ การสอบสวนนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกำกับดูแล AI ด้านจริยธรรมและสุขภาพ ➡️ มีแนวโน้มว่ากฎหมายใหม่จะครอบคลุมการใช้งาน AI กับผู้เยาว์โดยเฉพาะ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/ftc-prepares-to-grill-ai-companies-over-impact-on-children-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    FTC prepares to grill AI companies over impact on children, WSJ reports
    (Reuters) -The U.S. Federal Trade Commission is preparing to scrutinize the mental health risks of AI chatbots to children and will demand internal documents from major tech firms, including OpenAI, Meta Platforms and Character.AI, the Wall Street Journal reported on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 330 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก WeChat ถึง Douyin: เมื่อโพสต์ทุกชิ้นต้องบอกว่า “มนุษย์หรือ AI”

    ในเดือนกันยายน 2025 จีนได้บังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องติดป้ายกำกับเนื้อหาที่สร้างโดย AI อย่างชัดเจน ทั้งในรูปแบบที่ผู้ใช้มองเห็นได้ (explicit labels) และฝังไว้ใน metadata สำหรับระบบอัตโนมัติ (implicit identifiers) โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ, deepfake, และการชักจูงทางความคิดผ่านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

    แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของจีน เช่น WeChat, Douyin (TikTok เวอร์ชันจีน), Weibo และ RedNote ต่างออกประกาศให้ผู้ใช้ต้อง “ประกาศด้วยตัวเอง” หากโพสต์นั้นสร้างด้วย AI และห้ามลบหรือแก้ไขป้ายกำกับที่ระบบติดไว้โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืน อาจถูกลบโพสต์หรือถูกลงโทษตามที่ Cyberspace Administration of China (CAC) กำหนดไว้

    นอกจากนี้ CAC ยังเปิดช่องให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ “รายงาน” เนื้อหาที่ไม่ได้ติดป้าย AI ได้ด้วยตนเอง และมีการตั้งระบบตรวจสอบ metadata เพื่อช่วยตรวจจับเนื้อหาที่หลุดรอดจากการติดป้าย

    แม้จีนจะเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายลักษณะนี้อย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดนี้กำลังแพร่ไปทั่วโลก เช่น Internet Engineering Task Force เสนอให้มี “AI header field” สำหรับเว็บไซต์ และ Google ก็เริ่มฝัง C2PA credentials ในภาพถ่ายจาก Pixel 10 เพื่อบอกว่า “ภาพนี้ผ่าน AI หรือไม่”


    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-social-media-firms-comply-with-strict-ai-labelling-law-making-it-clear-to-users-and-bots-whats-real-and-whats-not
    🎙️ เรื่องเล่าจาก WeChat ถึง Douyin: เมื่อโพสต์ทุกชิ้นต้องบอกว่า “มนุษย์หรือ AI” ในเดือนกันยายน 2025 จีนได้บังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องติดป้ายกำกับเนื้อหาที่สร้างโดย AI อย่างชัดเจน ทั้งในรูปแบบที่ผู้ใช้มองเห็นได้ (explicit labels) และฝังไว้ใน metadata สำหรับระบบอัตโนมัติ (implicit identifiers) โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ, deepfake, และการชักจูงทางความคิดผ่านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของจีน เช่น WeChat, Douyin (TikTok เวอร์ชันจีน), Weibo และ RedNote ต่างออกประกาศให้ผู้ใช้ต้อง “ประกาศด้วยตัวเอง” หากโพสต์นั้นสร้างด้วย AI และห้ามลบหรือแก้ไขป้ายกำกับที่ระบบติดไว้โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืน อาจถูกลบโพสต์หรือถูกลงโทษตามที่ Cyberspace Administration of China (CAC) กำหนดไว้ นอกจากนี้ CAC ยังเปิดช่องให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ “รายงาน” เนื้อหาที่ไม่ได้ติดป้าย AI ได้ด้วยตนเอง และมีการตั้งระบบตรวจสอบ metadata เพื่อช่วยตรวจจับเนื้อหาที่หลุดรอดจากการติดป้าย แม้จีนจะเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายลักษณะนี้อย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดนี้กำลังแพร่ไปทั่วโลก เช่น Internet Engineering Task Force เสนอให้มี “AI header field” สำหรับเว็บไซต์ และ Google ก็เริ่มฝัง C2PA credentials ในภาพถ่ายจาก Pixel 10 เพื่อบอกว่า “ภาพนี้ผ่าน AI หรือไม่” https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-social-media-firms-comply-with-strict-ai-labelling-law-making-it-clear-to-users-and-bots-whats-real-and-whats-not
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese social media firms comply with strict AI labelling law, making it clear to users and bots what's real and what's not
    It's part of a broader push by the Cyberspace Administration of China to have greater oversight over the AI industry and the content it produces.
    0 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
More Results