• 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠

    😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎

    นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

    ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย

    แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ

    ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่

    เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท

    หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม

    หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า:

    “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล”

    มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ

    สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา

    หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า:

    “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้”

    ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน

    ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน

    เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้

    ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี!

    นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ

    😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎

    นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว

    ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา

    ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน

    ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก

    เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย

    ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา

    ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก

    ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น

    นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม

    ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน

    ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้

    นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม

    ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา

    เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี

    นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ

    ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ

    ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น

    หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด

    ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม

    ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด

    เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก?

    แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น

    ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ

    แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง

    เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง

    สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น

    ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป

    ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น

    ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠 😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎 นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า: “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล” มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า: “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้” ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้ ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี! นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ 😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎 นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก? แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ได้ปรับลด
    การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของอาเซียนในปีนี้ลงเล็กน้อย
    จาก 4.5% เป็น 4.6% อันเนื่องมาจากการคาดกาณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ
    ของ เมียนมา ติมอร์เลสเต และ ไทย ที่มีแนวโน้มลดลง

    สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศเดียวใน 6 ประเทศขนาดใหญ่ในอาเซียน
    ที่ถูกคาดการณ์ว่า จีดีพีมีแนวโน้มจะลดลง อันเนื่องมาจากการใช้จ่าย
    ภาครัฐที่ลดลง และการส่งออกที่ฟื้นตัวต่ำกว่าการคาดการณ์

    โดยตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไทย ปี 2567
    ปรับลดจาก 2.6% เป็น 2.3%
    และ ปี 2568 ปรับลดจาก 3.0% เป็น 2.7%

    ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพีไทย #thaitimes
    💥💥ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ได้ปรับลด การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของอาเซียนในปีนี้ลงเล็กน้อย จาก 4.5% เป็น 4.6% อันเนื่องมาจากการคาดกาณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ของ เมียนมา ติมอร์เลสเต และ ไทย ที่มีแนวโน้มลดลง สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศเดียวใน 6 ประเทศขนาดใหญ่ในอาเซียน ที่ถูกคาดการณ์ว่า จีดีพีมีแนวโน้มจะลดลง อันเนื่องมาจากการใช้จ่าย ภาครัฐที่ลดลง และการส่งออกที่ฟื้นตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ โดยตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไทย ปี 2567 ปรับลดจาก 2.6% เป็น 2.3% และ ปี 2568 ปรับลดจาก 3.0% เป็น 2.7% ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพีไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 860 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥โลกทั้งใบเสี่ยงสูญเสีย จากการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน
    ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เป็นมหาอำนาจ
    และอิทธิพลในระดับโลก

    จุดแข็งเฉพาะตัวของสหรัฐอเมริกาคือกำลังทหารที่แข็งแกร่ง
    และความเต็มใจที่จะให้การรับประกันความปลอดภัยแก่พันธมิตร
    สหรัฐฯ มีข้อตกลงการป้องกันร่วมกันกับ 56 ประเทศทั่วโลก ในยุโรป
    เอเชีย และอเมริกา นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือทางทหาร
    ที่สำคัญแก่ประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอลและยูเครนซึ่งไม่ได้เป็น
    พันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ

    ในทางตรงกันข้าม จีนมีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันกับประเทศเดียว
    คือเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างจากสหรัฐอเมริกา จีนยังมีข้อพิพาทเรื่อง
    ดินแดนกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งมักจะผลักดันให้ประเทศเหล่านี้
    หันไปหาสหรัฐอเมริกา

    จุดแข็งของจีนคือความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
    ปัจจุบันมี 128 ประเทศที่ทำการค้ากับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ
    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนใช้เงินไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
    ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในกว่า 140 ประเทศ
    ส่งผลให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และ
    เป็นมหาอำนาจทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ผลลัพธ์ดังกล่าวจัดแสดงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง
    ในอินโดนีเซีย ท่าเรือและสะพานในแอฟริกา หรือทางหลวง
    ระหว่างทวีปที่ข้ามเอเชียกลาง

    แต่ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    ก็ยังมีข้อเสียมากมายเช่นกัน

    การค้าคุ้มครองและการแยกตัวของเศรษฐกิจโลกในที่สุด
    จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกคน
    การแข่งขันอาวุธครั้งใหม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร
    และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามหายนะขึ้นครั้งใหญ่ในโลก

    การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังทำให้โอกาส
    ที่ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโลก
    ที่คุกคามทุกคน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่มีการควบคุม
    และภาวะโลกร้อนที่ไร้การควบคุม น้อยลงไปมาก

    ที่มา : cna

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥โลกทั้งใบเสี่ยงสูญเสีย จากการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เป็นมหาอำนาจ และอิทธิพลในระดับโลก จุดแข็งเฉพาะตัวของสหรัฐอเมริกาคือกำลังทหารที่แข็งแกร่ง และความเต็มใจที่จะให้การรับประกันความปลอดภัยแก่พันธมิตร สหรัฐฯ มีข้อตกลงการป้องกันร่วมกันกับ 56 ประเทศทั่วโลก ในยุโรป เอเชีย และอเมริกา นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือทางทหาร ที่สำคัญแก่ประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอลและยูเครนซึ่งไม่ได้เป็น พันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ ในทางตรงกันข้าม จีนมีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันกับประเทศเดียว คือเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างจากสหรัฐอเมริกา จีนยังมีข้อพิพาทเรื่อง ดินแดนกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งมักจะผลักดันให้ประเทศเหล่านี้ หันไปหาสหรัฐอเมริกา จุดแข็งของจีนคือความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ปัจจุบันมี 128 ประเทศที่ทำการค้ากับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนใช้เงินไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในกว่า 140 ประเทศ ส่งผลให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และ เป็นมหาอำนาจทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลลัพธ์ดังกล่าวจัดแสดงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง ในอินโดนีเซีย ท่าเรือและสะพานในแอฟริกา หรือทางหลวง ระหว่างทวีปที่ข้ามเอเชียกลาง แต่ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็ยังมีข้อเสียมากมายเช่นกัน การค้าคุ้มครองและการแยกตัวของเศรษฐกิจโลกในที่สุด จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกคน การแข่งขันอาวุธครั้งใหม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามหายนะขึ้นครั้งใหญ่ในโลก การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังทำให้โอกาส ที่ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโลก ที่คุกคามทุกคน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่มีการควบคุม และภาวะโลกร้อนที่ไร้การควบคุม น้อยลงไปมาก ที่มา : cna #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1561 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ปัญหาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นของจีน
    เป็นอุปสรรคแอบแฝงสำคัญ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

    🚩โดยการบริโภคของจีนที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนั้น
    สืบเนื่องมาจากภาวะตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์
    ของประเทศ และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ
    การเงินของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงหนี้สิน

    🚩ความมั่งคั่งของครัวเรือนชาวจีนส่วนใหญ่เนื่องจาก
    เข้าสู่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงสองทศวรรษ
    ที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเริ่มปราบปรามผู้พัฒนา
    อสังหาริมทรัพย์ ที่มีการพึ่งพาหนี้สินสูงในปี 2563

    🚩ขณะนี้ มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นกำลังลดลง
    และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ลดการซื้อที่ดินลง
    ทำให้รายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นลดลงอย่างมาก
    โดยเฉพาะในระดับอำเภอและเทศมณฑล
    ตามที่นักวิเคราะห์ของ S&P Global Ratings กล่าว

    🚩คาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนของปีนี้เป็นต้นไป
    การเงินของรัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เวลาสามถึงห้าปี
    จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ

    ที่มา : cnbc

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    🔥🔥ปัญหาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นของจีน เป็นอุปสรรคแอบแฝงสำคัญ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ 🚩โดยการบริโภคของจีนที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนั้น สืบเนื่องมาจากภาวะตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ ของประเทศ และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ การเงินของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงหนี้สิน 🚩ความมั่งคั่งของครัวเรือนชาวจีนส่วนใหญ่เนื่องจาก เข้าสู่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงสองทศวรรษ ที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเริ่มปราบปรามผู้พัฒนา อสังหาริมทรัพย์ ที่มีการพึ่งพาหนี้สินสูงในปี 2563 🚩ขณะนี้ มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นกำลังลดลง และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ลดการซื้อที่ดินลง ทำให้รายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในระดับอำเภอและเทศมณฑล ตามที่นักวิเคราะห์ของ S&P Global Ratings กล่าว 🚩คาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนของปีนี้เป็นต้นไป การเงินของรัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เวลาสามถึงห้าปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1011 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ดร.นิเวศน์ ได้แสดงความคิดเห็น และชี้แนะ
    ถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน
    และมีข้อแนะนำ สำหรับนักลงทุน
    ที่ลงทุน และมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
    ในระยะยาว สรุปว่า

    🚩*จุดชี้เป็นชี้ตายสำคัญ คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
    ถ้าทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ เติบโตต่อเนื่องได้
    มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทย ดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้นได้อีกเรื่อยๆ
    ถ้าเป็นแบบนี้ให้ถือหุ้นต่อไป

    🚩แต่ถ้าทำไม่ได้ นี่คือ จังหวะและเวลา ที่ควรขาย
    เพราะโอกาสแบบนี้หาได้ยากแล้ว

    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
    🔥🔥ดร.นิเวศน์ ได้แสดงความคิดเห็น และชี้แนะ ถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน และมีข้อแนะนำ สำหรับนักลงทุน ที่ลงทุน และมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาว สรุปว่า 🚩*จุดชี้เป็นชี้ตายสำคัญ คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ถ้าทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ เติบโตต่อเนื่องได้ มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทย ดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้นได้อีกเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ให้ถือหุ้นต่อไป 🚩แต่ถ้าทำไม่ได้ นี่คือ จังหวะและเวลา ที่ควรขาย เพราะโอกาสแบบนี้หาได้ยากแล้ว ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ
    ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง
    ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้

    🚩การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก
    เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม
    ถดถอย

    🚩ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ
    55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน
    ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4%
    หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ
    เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา

    🚩ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน
    ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ
    ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ
    ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ
    นโยบายอย่างไร

    🚩รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง
    การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า
    กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล
    เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น
    สกุลเงินดิจิทัล

    🚩ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น
    เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย
    แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
    หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน
    ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่
    เดือนมิถุนายน
    ที่มา : cointelegraph
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้ 🚩การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม ถดถอย 🚩ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ 55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4% หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา 🚩ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ นโยบายอย่างไร 🚩รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น สกุลเงินดิจิทัล 🚩ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ที่มา : cointelegraph #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 888 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยข้อมูล
    การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของอินโดนีเซีย
    ในไตรมาส 2/2567 เติบโตที่ 5.0%

    🚩คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี
    ของอินโดนีเซีย ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 5.0%

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพีอินโดนีเซีย
    #GDP #การเติบโตทางเศรษฐกิจ #thaitimes
    🔥🔥ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยข้อมูล การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของอินโดนีเซีย ในไตรมาส 2/2567 เติบโตที่ 5.0% 🚩คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของอินโดนีเซีย ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 5.0% #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพีอินโดนีเซีย #GDP #การเติบโตทางเศรษฐกิจ #thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
  • โบอิ้งคาดฝูงบินพาณิชย์ของ 'จีน'
    เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าภายในปี 2586
    .
    รายงานแนวโน้มตลาดการบินเชิงพาณิชย์ของจีน ปี 2567 จากโบอิ้ง (Boeing) ซึ่งคาดการณ์ความต้องการเครื่องบินพาณิชย์และการบริการที่เกี่ยวข้องในระยะยาว ระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2586 ตามการขยายตัวและการสร้างความทันสมัยของอุตสาหกรรมการบินจีนเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าอากาศที่เพิ่มขึ้น
    .
    ดาร์เรน ฮัลสท์ รองประธานฝ่ายการตลาดเชิงพาณิชย์ของโบอิ้ง กล่าวว่าตลาดการบินเชิงพาณิชย์สำหรับขนส่งผู้โดยสารและสินค้าของจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและสายการบินต่างๆ ที่สร้างเครือข่ายการบินภายในประเทศ โดยความต้องการใช้บริการสายการบินของจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้พวกเขาต้องการเครื่องบินรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพด้านเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
    .
    รายงานระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ต่อปี จาก 4,345 เป็น 9,740 ลำ ภายในปี 2043 ขณะปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนต่อปีของจีนจะอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ซึ่งสูงเกินค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ร้อยละ 4.7
    .
    การสัญจรทางอากาศของจีนจะมีปริมาณมากที่สุดในโลก ทำให้จำนวนเครื่องบินลำตัวแคบเติบโตจนคิดเป็นมากกว่าสามในสี่ของการส่งมอบ และจีนจะมีเครื่องบินลำตัวกว้างมากที่สุดในโลก โดยมีความต้องการเครื่องบินลำตัวกว้างเพิ่ม 1,575 ลำ
    .
    สำหรับจำนวนเครื่องบินขนส่งสินค้าของจีน ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะและที่ดัดแปลงมาจากเครื่องบินโดยสาร จะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าตามความต้องการจากภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโต
    .
    ด้านกลุ่มสายการบินของจีนจะต้องการการบริการทางการบิน มูลค่า 7.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทางดิจิทัล การซ่อมบำรุง และการดัดแปลง ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมสายการบินจะต้องการจ้างงานและฝึกอบรมบุคลากรใหม่เกือบ 4.3 แสนคน เพื่อสนับสนุนตำแหน่งนักบิน ช่างเทคนิคฝ่ายซ่อมบำรุง และลูกเรือ
    .
    อนึ่ง เครื่องบินของโบอิ้งถือเป็นหลักสำคัญของระบบขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางการบินพลเรือนของจีนมานานมากกว่า 50 ปีแล้ว และโบอิ้งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมการผลิตทางการบินของจีน โดยเครื่องบินของโบอิ้งใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยจีนมากกว่า 10,000 ลำ
    .
    บรรยายภาพ - C919 เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง ทำลายสถิติจำนวนผู้โดยสารที่ขนส่งได้เกิน 500,000 คนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ถึงปัจจุบัน เครื่องบิน C919 ได้บันทึกชั่วโมงบินมากกว่า 10,000 ชั่วโมง และทำการบินเชิงพาณิชย์สำเร็จมากกว่า 3,700 เที่ยวบิน
    โบอิ้งคาดฝูงบินพาณิชย์ของ 'จีน' เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าภายในปี 2586 . รายงานแนวโน้มตลาดการบินเชิงพาณิชย์ของจีน ปี 2567 จากโบอิ้ง (Boeing) ซึ่งคาดการณ์ความต้องการเครื่องบินพาณิชย์และการบริการที่เกี่ยวข้องในระยะยาว ระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2586 ตามการขยายตัวและการสร้างความทันสมัยของอุตสาหกรรมการบินจีนเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าอากาศที่เพิ่มขึ้น . ดาร์เรน ฮัลสท์ รองประธานฝ่ายการตลาดเชิงพาณิชย์ของโบอิ้ง กล่าวว่าตลาดการบินเชิงพาณิชย์สำหรับขนส่งผู้โดยสารและสินค้าของจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและสายการบินต่างๆ ที่สร้างเครือข่ายการบินภายในประเทศ โดยความต้องการใช้บริการสายการบินของจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้พวกเขาต้องการเครื่องบินรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพด้านเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น . รายงานระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ต่อปี จาก 4,345 เป็น 9,740 ลำ ภายในปี 2043 ขณะปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนต่อปีของจีนจะอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ซึ่งสูงเกินค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ร้อยละ 4.7 . การสัญจรทางอากาศของจีนจะมีปริมาณมากที่สุดในโลก ทำให้จำนวนเครื่องบินลำตัวแคบเติบโตจนคิดเป็นมากกว่าสามในสี่ของการส่งมอบ และจีนจะมีเครื่องบินลำตัวกว้างมากที่สุดในโลก โดยมีความต้องการเครื่องบินลำตัวกว้างเพิ่ม 1,575 ลำ . สำหรับจำนวนเครื่องบินขนส่งสินค้าของจีน ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะและที่ดัดแปลงมาจากเครื่องบินโดยสาร จะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าตามความต้องการจากภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโต . ด้านกลุ่มสายการบินของจีนจะต้องการการบริการทางการบิน มูลค่า 7.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทางดิจิทัล การซ่อมบำรุง และการดัดแปลง ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมสายการบินจะต้องการจ้างงานและฝึกอบรมบุคลากรใหม่เกือบ 4.3 แสนคน เพื่อสนับสนุนตำแหน่งนักบิน ช่างเทคนิคฝ่ายซ่อมบำรุง และลูกเรือ . อนึ่ง เครื่องบินของโบอิ้งถือเป็นหลักสำคัญของระบบขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางการบินพลเรือนของจีนมานานมากกว่า 50 ปีแล้ว และโบอิ้งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมการผลิตทางการบินของจีน โดยเครื่องบินของโบอิ้งใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยจีนมากกว่า 10,000 ลำ . บรรยายภาพ - C919 เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง ทำลายสถิติจำนวนผู้โดยสารที่ขนส่งได้เกิน 500,000 คนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ถึงปัจจุบัน เครื่องบิน C919 ได้บันทึกชั่วโมงบินมากกว่า 10,000 ชั่วโมง และทำการบินเชิงพาณิชย์สำเร็จมากกว่า 3,700 เที่ยวบิน
    Like
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 691 มุมมอง 0 รีวิว