• ความรักในสังสารวัฏ

    ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

    แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย


    ---

    อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก"

    1. ทุกข์
    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา
    ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป


    2. สมุทัย
    เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)
    เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง


    3. นิโรธ
    ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง
    เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ


    4. มรรค
    ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ

    พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง

    ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง

    ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว





    ---

    วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก

    1. ดูใจตนเอง
    เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป


    2. เห็นอารมณ์ตามจริง
    มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น


    3. พิจารณาอนิจจัง
    ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง


    4. ฝึกปล่อยวาง

    ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา

    เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์





    ---

    จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ

    เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด

    จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป
    จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน

    "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"

    ความรักในสังสารวัฏ ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย --- อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก" 1. ทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป 2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง 3. นิโรธ ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ 4. มรรค ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว --- วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก 1. ดูใจตนเอง เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป 2. เห็นอารมณ์ตามจริง มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น 3. พิจารณาอนิจจัง ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง 4. ฝึกปล่อยวาง ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ --- จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • การปล่อยวาง
    จะช่วยให้มีความสุข
    กับชีวิตมากขึ้น

    จากหนังสือ |เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข
    การปล่อยวาง จะช่วยให้มีความสุข กับชีวิตมากขึ้น จากหนังสือ |เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • แยกอาการระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง"

    ลักษณะของ "ขี้เกียจ"

    1. สภาพใจ:

    ใจหนัก เหนื่อย เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร

    มีความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องทำ

    มีความเลี่ยงหลบ เช่น อยากผลัดวันประกันพรุ่ง



    2. สภาพกาย:

    ร่างกายงอมืองอเท้า ไม่อยากขยับเขยื้อน

    รู้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่มีแรงใจหรือแรงกายจะเริ่มต้น

    มักมีผลกระทบ เช่น งานคั่งค้าง หรือความเสียหายตามมา



    3. ลักษณะร่วม:

    มักตามมาด้วยความรู้สึกผิด หรือความทุกข์ใจเล็กๆ จากการไม่ทำหน้าที่

    ไม่มีความโปร่งเบาหรือคลายใจอย่างแท้จริง





    ---

    ลักษณะของ "ปล่อยวาง"

    1. สภาพใจ:

    ใจโปร่ง โล่ง เบา มีความสงบ

    ไม่แบกความคาดหวัง หรือความยึดติดกับผลลัพธ์

    มีความรู้สึกว่า "ทำเต็มที่แล้ว" หรือ "ไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้"



    2. สภาพกาย:

    ร่างกายยังทำหน้าที่ได้ปกติ เช่น ทำงาน ทำกิจกรรม แต่ทำไปโดยไม่มีความกังวล

    หากต้องพัก ร่างกายพักแบบผ่อนคลาย ไม่ใช่เพราะการหนีปัญหา



    3. ลักษณะร่วม:

    ไม่เกิดความรู้สึกผิดหลังการปล่อยวาง เพราะรู้ว่าไม่ได้ละเลยหน้าที่

    มีความพอใจกับปัจจุบัน แม้ผลลัพธ์อาจไม่เป็นดั่งใจ





    ---

    วิธีแยกแยะระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง"

    1. ถามตัวเองว่า "มีสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำหรือไม่?"

    หากคำตอบคือ "ใช่" และยังผลัดวันหรือไม่เริ่มต้น แสดงว่าเป็น ขี้เกียจ

    หากคำตอบคือ "ไม่" เพราะได้ทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ยึดติดผลลัพธ์ แสดงว่าเป็น ปล่อยวาง



    2. พิจารณาอารมณ์หลังการกระทำ:

    ถ้ามีความรู้สึกผิด หรือกังวลใจต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะความขี้เกียจ

    ถ้ามีความโล่ง โปร่ง เบา และพร้อมจะเดินหน้าต่อ แสดงว่าปล่อยวางแล้ว



    3. ดูผลกระทบต่อชีวิต:

    ขี้เกียจมักนำไปสู่ความเสียหาย งานคั่งค้าง หรือความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด

    ปล่อยวางนำไปสู่ความสงบในใจ และการจัดการสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม





    ---

    สรุป:

    ขี้เกียจ: ใจหนัก กายเฉื่อย มักละเลยสิ่งที่ควรทำ

    ปล่อยวาง: ใจเบา กายยังทำหน้าที่ได้ ไม่มีความยึดติดกับผลลัพธ์


    ถ้าอยากปล่อยวางแทนที่จะขี้เกียจ ให้เริ่มจาก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน แล้วค่อย วางใจไม่ยึดติดกับผล ของสิ่งที่ทำ!
    แยกอาการระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง" ลักษณะของ "ขี้เกียจ" 1. สภาพใจ: ใจหนัก เหนื่อย เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร มีความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องทำ มีความเลี่ยงหลบ เช่น อยากผลัดวันประกันพรุ่ง 2. สภาพกาย: ร่างกายงอมืองอเท้า ไม่อยากขยับเขยื้อน รู้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่มีแรงใจหรือแรงกายจะเริ่มต้น มักมีผลกระทบ เช่น งานคั่งค้าง หรือความเสียหายตามมา 3. ลักษณะร่วม: มักตามมาด้วยความรู้สึกผิด หรือความทุกข์ใจเล็กๆ จากการไม่ทำหน้าที่ ไม่มีความโปร่งเบาหรือคลายใจอย่างแท้จริง --- ลักษณะของ "ปล่อยวาง" 1. สภาพใจ: ใจโปร่ง โล่ง เบา มีความสงบ ไม่แบกความคาดหวัง หรือความยึดติดกับผลลัพธ์ มีความรู้สึกว่า "ทำเต็มที่แล้ว" หรือ "ไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้" 2. สภาพกาย: ร่างกายยังทำหน้าที่ได้ปกติ เช่น ทำงาน ทำกิจกรรม แต่ทำไปโดยไม่มีความกังวล หากต้องพัก ร่างกายพักแบบผ่อนคลาย ไม่ใช่เพราะการหนีปัญหา 3. ลักษณะร่วม: ไม่เกิดความรู้สึกผิดหลังการปล่อยวาง เพราะรู้ว่าไม่ได้ละเลยหน้าที่ มีความพอใจกับปัจจุบัน แม้ผลลัพธ์อาจไม่เป็นดั่งใจ --- วิธีแยกแยะระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง" 1. ถามตัวเองว่า "มีสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำหรือไม่?" หากคำตอบคือ "ใช่" และยังผลัดวันหรือไม่เริ่มต้น แสดงว่าเป็น ขี้เกียจ หากคำตอบคือ "ไม่" เพราะได้ทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ยึดติดผลลัพธ์ แสดงว่าเป็น ปล่อยวาง 2. พิจารณาอารมณ์หลังการกระทำ: ถ้ามีความรู้สึกผิด หรือกังวลใจต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะความขี้เกียจ ถ้ามีความโล่ง โปร่ง เบา และพร้อมจะเดินหน้าต่อ แสดงว่าปล่อยวางแล้ว 3. ดูผลกระทบต่อชีวิต: ขี้เกียจมักนำไปสู่ความเสียหาย งานคั่งค้าง หรือความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด ปล่อยวางนำไปสู่ความสงบในใจ และการจัดการสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม --- สรุป: ขี้เกียจ: ใจหนัก กายเฉื่อย มักละเลยสิ่งที่ควรทำ ปล่อยวาง: ใจเบา กายยังทำหน้าที่ได้ ไม่มีความยึดติดกับผลลัพธ์ ถ้าอยากปล่อยวางแทนที่จะขี้เกียจ ให้เริ่มจาก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน แล้วค่อย วางใจไม่ยึดติดกับผล ของสิ่งที่ทำ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อความนี้ชี้ให้เห็นถึงอำนาจของความคิดที่มีต่อชีวิตของเรา โดยเฉพาะความคิดในแง่ลบที่อาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด สับสน และหลงทางได้มากกว่าสิ่งอื่นใด การที่เราไม่สามารถบังคับความคิดหรือกำจัดความคิดร้ายๆ ให้หายไปได้ตามใจต้องการ ทำให้เรามองเห็นสัจธรรมข้อหนึ่งของพุทธศาสนา นั่นคือ "อนัตตา" ความคิดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา และไม่อาจควบคุมได้อย่างแท้จริง

    เมื่อเรารู้จักตามดูความคิด โดยไม่ไปสู้หรือเล่นกับมัน เราจะสังเกตได้ว่าความคิดเหล่านั้นค่อยๆ รบกวนจิตใจน้อยลง การเฝ้าดูโดยไม่ตัดสินหรือพยายามบังคับให้มันหายไปทำให้เราได้เข้าใจธรรมชาติของความคิดว่าเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งที่มาแล้วก็ไป

    การฝึกยอมรับความคิดตามที่มันเป็นจะช่วยให้เรามองเห็นธรรมชาติที่ไม่แน่นอนและไร้ตัวตนของมันได้ชัดเจนขึ้น นี่คือทางหนึ่งที่พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นถึงการปล่อยวาง เมื่อเรายอมรับความคิดอย่างที่มันเป็น เราจะรู้สึกเบาขึ้น และไม่ถูกความคิดร้ายๆ ควบคุมใจให้มืดมนอีกต่อไป
    ข้อความนี้ชี้ให้เห็นถึงอำนาจของความคิดที่มีต่อชีวิตของเรา โดยเฉพาะความคิดในแง่ลบที่อาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด สับสน และหลงทางได้มากกว่าสิ่งอื่นใด การที่เราไม่สามารถบังคับความคิดหรือกำจัดความคิดร้ายๆ ให้หายไปได้ตามใจต้องการ ทำให้เรามองเห็นสัจธรรมข้อหนึ่งของพุทธศาสนา นั่นคือ "อนัตตา" ความคิดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา และไม่อาจควบคุมได้อย่างแท้จริง เมื่อเรารู้จักตามดูความคิด โดยไม่ไปสู้หรือเล่นกับมัน เราจะสังเกตได้ว่าความคิดเหล่านั้นค่อยๆ รบกวนจิตใจน้อยลง การเฝ้าดูโดยไม่ตัดสินหรือพยายามบังคับให้มันหายไปทำให้เราได้เข้าใจธรรมชาติของความคิดว่าเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งที่มาแล้วก็ไป การฝึกยอมรับความคิดตามที่มันเป็นจะช่วยให้เรามองเห็นธรรมชาติที่ไม่แน่นอนและไร้ตัวตนของมันได้ชัดเจนขึ้น นี่คือทางหนึ่งที่พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นถึงการปล่อยวาง เมื่อเรายอมรับความคิดอย่างที่มันเป็น เราจะรู้สึกเบาขึ้น และไม่ถูกความคิดร้ายๆ ควบคุมใจให้มืดมนอีกต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • การปล่อยวางในแบบที่แท้จริงตามพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่การนึกเอาหรือทำให้ตัวเองรู้สึกเบาลงชั่วคราว แต่เป็นการฝึกจิตให้เกิดความเข้าใจในธรรมชาติของความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในกายและจิต เมื่อเราสังเกตลมหายใจ อารมณ์ ความคิด หรือความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าทุกอย่างไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตนที่ถาวร การปล่อยวางที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นจากการเจริญสติรู้ชัดในกายใจ ไม่ใช่จากการแกล้งทำให้รู้สึกดีชั่วคราวด้วยความคิด

    การฝึกจิตในทางนี้ คือการค่อยๆ เจริญสติอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตเกิดความเข้าใจในความไม่เที่ยงจนถึงจุดที่สามารถปล่อยวางได้จริง ไม่ใช่ปล่อยวางชั่วคราวแล้วกลับไปหนักอกอีกครั้งเมื่อเจอปัญหาใหม่ แต่เป็นการปล่อยวางแบบถาวรที่เกิดจากการเห็นความจริงในกายใจโดยไม่ยึดติดในสิ่งใด
    การปล่อยวางในแบบที่แท้จริงตามพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่การนึกเอาหรือทำให้ตัวเองรู้สึกเบาลงชั่วคราว แต่เป็นการฝึกจิตให้เกิดความเข้าใจในธรรมชาติของความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในกายและจิต เมื่อเราสังเกตลมหายใจ อารมณ์ ความคิด หรือความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าทุกอย่างไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตนที่ถาวร การปล่อยวางที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นจากการเจริญสติรู้ชัดในกายใจ ไม่ใช่จากการแกล้งทำให้รู้สึกดีชั่วคราวด้วยความคิด การฝึกจิตในทางนี้ คือการค่อยๆ เจริญสติอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตเกิดความเข้าใจในความไม่เที่ยงจนถึงจุดที่สามารถปล่อยวางได้จริง ไม่ใช่ปล่อยวางชั่วคราวแล้วกลับไปหนักอกอีกครั้งเมื่อเจอปัญหาใหม่ แต่เป็นการปล่อยวางแบบถาวรที่เกิดจากการเห็นความจริงในกายใจโดยไม่ยึดติดในสิ่งใด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสงบและการปล่อยวางเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ทันจิตว่า “ยึดหรือไม่ยึด” การยึดเกาะนั้นเหมือนการพยายามมากมายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่พอได้มาแล้วกลับรู้สึกว่างเปล่า เพราะเมื่อจิตหมดแรงยึด จิตจะว่างจากสิ่งนั้น อาจถึงขั้นรู้สึกอยากถอนตัว

    การสังเกตอาการ “ไม่ยึด” คล้ายกับลมหายใจที่เราไม่เคยยึด แต่รู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสอนให้เห็นถึงความสงบในจิตที่ “ไม่ยึดแต่ไม่ทิ้ง” ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างจิตที่ยึดเหนียวแน่นกับจิตที่ปล่อยวาง

    เมื่อเราเฝ้าดูจิตอย่างเข้าใจ ปัญญาจะเกิดขึ้น ทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่จิตต้องการจริงๆ คือความสงบระงับและความอิ่มเต็มที่แท้จริง การปล่อยวางนี้จะทำให้เรารู้สึกเบาสบาย ไม่ต้องไล่ตามสิ่งใดอย่างไร้ที่สิ้นสุด

    ความสงบและการปล่อยวางเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ทันจิตว่า “ยึดหรือไม่ยึด” การยึดเกาะนั้นเหมือนการพยายามมากมายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่พอได้มาแล้วกลับรู้สึกว่างเปล่า เพราะเมื่อจิตหมดแรงยึด จิตจะว่างจากสิ่งนั้น อาจถึงขั้นรู้สึกอยากถอนตัว การสังเกตอาการ “ไม่ยึด” คล้ายกับลมหายใจที่เราไม่เคยยึด แต่รู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสอนให้เห็นถึงความสงบในจิตที่ “ไม่ยึดแต่ไม่ทิ้ง” ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างจิตที่ยึดเหนียวแน่นกับจิตที่ปล่อยวาง เมื่อเราเฝ้าดูจิตอย่างเข้าใจ ปัญญาจะเกิดขึ้น ทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่จิตต้องการจริงๆ คือความสงบระงับและความอิ่มเต็มที่แท้จริง การปล่อยวางนี้จะทำให้เรารู้สึกเบาสบาย ไม่ต้องไล่ตามสิ่งใดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • การยอมรับความจริงของการสูญเสียเป็นกระบวนการที่สำคัญในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราอย่างแท้จริง การที่เราพยายามยึดติดกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเพียงการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเราเอง เมื่อใดที่เราสูญเสียสิ่งเหล่านั้น จึงเกิดความทุกข์ใจอย่างลึกซึ้ง

    พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการยอมรับความจริงของสังขาร ความไม่เที่ยง และการฝึกจิตใจให้ยอมรับว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราจริง การที่เรารู้และยอมรับสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหายจากความกระวนกระวาย และสามารถมีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น

    1. การสูญเสียเป็นนิมิตหมายที่ดี:
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มองการสูญเสียเป็นโอกาสในการเรียนรู้ความจริงของชีวิต มันเป็นเครื่องเตือนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรที่เราจะสามารถยึดถือไว้ได้ตลอดไป แม้แต่ชีวิตของเราเอง ดังนั้น การยอมรับและเข้าใจถึงความไม่เที่ยงนี้จะช่วยให้เราผ่อนคลายจากความทุกข์และความกังวล

    2. การยึดติดทำให้เกิดทุกข์:
    ยิ่งเราพยายามดิ้นรนเพื่อยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เรายิ่งเจ็บปวดและทุกข์ใจ การที่เราปล่อยวางและยอมรับว่า ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรมและธรรมชาติ จะช่วยให้เรารู้สึกสบายใจและไม่ต้องทุกข์จากการสูญเสีย

    3. กรรมเป็นสิ่งที่เราพกติดตัวไป:
    สิ่งเดียวที่เราจะนำติดตัวไปได้หลังจากชีวิตนี้คือกรรมที่เราทำไว้ ดังนั้น การฝึกใจให้เข้าใจและยอมรับความจริง จะเป็นกรรมดีที่ช่วยให้เราเดินทางผ่านชีวิตนี้ไปด้วยความสงบ และไม่หลงอยู่กับความทุกข์จากการสูญเสีย

    ในที่สุด การฝึกใจให้ยอมรับความไม่เที่ยงและการปล่อยวางจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีสติและสงบสุข ไม่ว่าการสูญเสียจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม

    การยอมรับความจริงของการสูญเสียเป็นกระบวนการที่สำคัญในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราอย่างแท้จริง การที่เราพยายามยึดติดกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเพียงการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเราเอง เมื่อใดที่เราสูญเสียสิ่งเหล่านั้น จึงเกิดความทุกข์ใจอย่างลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการยอมรับความจริงของสังขาร ความไม่เที่ยง และการฝึกจิตใจให้ยอมรับว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราจริง การที่เรารู้และยอมรับสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหายจากความกระวนกระวาย และสามารถมีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น 1. การสูญเสียเป็นนิมิตหมายที่ดี: พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มองการสูญเสียเป็นโอกาสในการเรียนรู้ความจริงของชีวิต มันเป็นเครื่องเตือนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรที่เราจะสามารถยึดถือไว้ได้ตลอดไป แม้แต่ชีวิตของเราเอง ดังนั้น การยอมรับและเข้าใจถึงความไม่เที่ยงนี้จะช่วยให้เราผ่อนคลายจากความทุกข์และความกังวล 2. การยึดติดทำให้เกิดทุกข์: ยิ่งเราพยายามดิ้นรนเพื่อยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เรายิ่งเจ็บปวดและทุกข์ใจ การที่เราปล่อยวางและยอมรับว่า ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรมและธรรมชาติ จะช่วยให้เรารู้สึกสบายใจและไม่ต้องทุกข์จากการสูญเสีย 3. กรรมเป็นสิ่งที่เราพกติดตัวไป: สิ่งเดียวที่เราจะนำติดตัวไปได้หลังจากชีวิตนี้คือกรรมที่เราทำไว้ ดังนั้น การฝึกใจให้เข้าใจและยอมรับความจริง จะเป็นกรรมดีที่ช่วยให้เราเดินทางผ่านชีวิตนี้ไปด้วยความสงบ และไม่หลงอยู่กับความทุกข์จากการสูญเสีย ในที่สุด การฝึกใจให้ยอมรับความไม่เที่ยงและการปล่อยวางจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีสติและสงบสุข ไม่ว่าการสูญเสียจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสวดมนต์ "อิติปิโส" เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถือเป็นการทำบุญอันเป็นมหากุศลที่ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อจิตใจของผู้ป่วย แต่ยังส่งผลดีต่อจิตใจของญาติพี่น้องและผู้ร่วมสวดด้วย การสวดมนต์ร่วมกันเช่นนี้ช่วยกระชับสายใยในทางที่ดี และลดทอนความขัดแย้งหรือปัญหาค้างคาในจิตใจ

    การสวดมนต์ช่วยสร้างพลังบวกให้แก่ผู้ป่วยโดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ดังที่ได้กล่าวไว้คือช่วยปรับจิตใจของผู้ป่วยให้ไปในทางสว่างและมีจิตที่พร้อมยอมรับการปล่อยวาง ทั้งนี้ผลดีที่เกิดขึ้นจะมีทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว การลดทอนความขัดแย้ง และการสร้างพลังความสงบและสว่างในจิตใจของทุกคนที่มีส่วนร่วม

    การปฏิบัติเช่นนี้สามารถพยุงจิตใจผู้ป่วยในช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงใกล้เสียชีวิต ช่วยนำพาจิตใจให้เข้าสู่ภาวะสงบและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ภพภูมิใหม่อย่างราบรื่น ปราศจากความหวาดกลัวหรือกังวลใจจากอดีต

    การที่ญาติๆ มาร่วมกันสวดมนต์ด้วยความตั้งใจดีและเมตตา นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้จิตใจของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ผู้ที่สวดมนต์เองรู้สึกผ่อนคลาย อภัย และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในครอบครัว ส่งผลให้การจากลาของผู้ป่วยเป็นไปด้วยความสงบและราบรื่น

    วิธีนี้เป็นการช่วยให้เกิดความสงบสุขทั้งกับผู้ป่วยและคนรอบข้างในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

    การสวดมนต์ "อิติปิโส" เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถือเป็นการทำบุญอันเป็นมหากุศลที่ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อจิตใจของผู้ป่วย แต่ยังส่งผลดีต่อจิตใจของญาติพี่น้องและผู้ร่วมสวดด้วย การสวดมนต์ร่วมกันเช่นนี้ช่วยกระชับสายใยในทางที่ดี และลดทอนความขัดแย้งหรือปัญหาค้างคาในจิตใจ การสวดมนต์ช่วยสร้างพลังบวกให้แก่ผู้ป่วยโดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ดังที่ได้กล่าวไว้คือช่วยปรับจิตใจของผู้ป่วยให้ไปในทางสว่างและมีจิตที่พร้อมยอมรับการปล่อยวาง ทั้งนี้ผลดีที่เกิดขึ้นจะมีทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว การลดทอนความขัดแย้ง และการสร้างพลังความสงบและสว่างในจิตใจของทุกคนที่มีส่วนร่วม การปฏิบัติเช่นนี้สามารถพยุงจิตใจผู้ป่วยในช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงใกล้เสียชีวิต ช่วยนำพาจิตใจให้เข้าสู่ภาวะสงบและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ภพภูมิใหม่อย่างราบรื่น ปราศจากความหวาดกลัวหรือกังวลใจจากอดีต การที่ญาติๆ มาร่วมกันสวดมนต์ด้วยความตั้งใจดีและเมตตา นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้จิตใจของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ผู้ที่สวดมนต์เองรู้สึกผ่อนคลาย อภัย และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในครอบครัว ส่งผลให้การจากลาของผู้ป่วยเป็นไปด้วยความสงบและราบรื่น วิธีนี้เป็นการช่วยให้เกิดความสงบสุขทั้งกับผู้ป่วยและคนรอบข้างในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความอยากของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่ไม่มีวันเต็มอิ่ม ไม่ว่ามนุษย์จะได้รับอะไรมามากแค่ไหน ความรู้สึกไม่เพียงพอก็ยังคงอยู่ หากไม่มีการควบคุมหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง ความอยากที่ไม่รู้จักจบสิ้นนี้จะนำพาเราไปสู่ความทุกข์และความวุ่นวายในใจอย่างต่อเนื่อง

    เมื่อมนุษย์เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกไม่พอใจ แม้จะได้รับสิ่งที่ต้องการจนมากมาย มันสะท้อนถึงความจริงที่ว่า ความอยากไม่ได้ช่วยให้เราสงบหรือมีความสุขอย่างแท้จริง ตรงจุดนี้ จะเกิดทางสองแพร่งให้เลือก คือ การตามใจความอยากไปเรื่อยๆ หรือการเริ่มเห็นความไร้แก่นสารของความอยาก และหาทางทิ้งมัน

    ผู้ที่เห็นความอยากเป็นสิ่งที่ต้องทิ้ง คือผู้ที่พร้อมที่จะเดินตามแนวทางพุทธ เมื่อเราเจริญสติและสังเกตความอยาก เห็นมันเป็นแค่ภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เราจะเริ่มเข้าใจว่าความอยากนั้นไม่มีความเที่ยงแท้ เพียงแต่ฉุดเราให้วิ่งไปตามความรู้สึกว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า

    เมื่อเราฝึกสติเห็นความอยากเป็นแค่สภาวะที่ไม่เที่ยง ความอยากนั้นจะค่อยๆ หมดอำนาจ เมื่อเรารู้เท่าทันและไม่วิ่งตามมันอีก เราจะพบกับความสงบในใจ และเข้าใจถึงจุดหมายของการเจริญสติ คือ การมีใจที่ฉลาดและไม่ถูกความอยากฉุดให้เราวิ่งตามอย่างไม่รู้จบ

    ทางแห่งพุทธปัญญานั้นเริ่มจากการเห็นความจริงของความอยาก ว่าเป็นเพียงสภาวะที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป การมีสติรู้เท่าทันจะนำไปสู่การปล่อยวาง และชีวิตที่เหลือจะเป็นการเฝ้าดูมันอย่างมีสติ เพื่อตัดสินใจไม่ตามความอยากนั้นอีกต่อไป
    ความอยากของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่ไม่มีวันเต็มอิ่ม ไม่ว่ามนุษย์จะได้รับอะไรมามากแค่ไหน ความรู้สึกไม่เพียงพอก็ยังคงอยู่ หากไม่มีการควบคุมหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง ความอยากที่ไม่รู้จักจบสิ้นนี้จะนำพาเราไปสู่ความทุกข์และความวุ่นวายในใจอย่างต่อเนื่อง เมื่อมนุษย์เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกไม่พอใจ แม้จะได้รับสิ่งที่ต้องการจนมากมาย มันสะท้อนถึงความจริงที่ว่า ความอยากไม่ได้ช่วยให้เราสงบหรือมีความสุขอย่างแท้จริง ตรงจุดนี้ จะเกิดทางสองแพร่งให้เลือก คือ การตามใจความอยากไปเรื่อยๆ หรือการเริ่มเห็นความไร้แก่นสารของความอยาก และหาทางทิ้งมัน ผู้ที่เห็นความอยากเป็นสิ่งที่ต้องทิ้ง คือผู้ที่พร้อมที่จะเดินตามแนวทางพุทธ เมื่อเราเจริญสติและสังเกตความอยาก เห็นมันเป็นแค่ภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เราจะเริ่มเข้าใจว่าความอยากนั้นไม่มีความเที่ยงแท้ เพียงแต่ฉุดเราให้วิ่งไปตามความรู้สึกว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเราฝึกสติเห็นความอยากเป็นแค่สภาวะที่ไม่เที่ยง ความอยากนั้นจะค่อยๆ หมดอำนาจ เมื่อเรารู้เท่าทันและไม่วิ่งตามมันอีก เราจะพบกับความสงบในใจ และเข้าใจถึงจุดหมายของการเจริญสติ คือ การมีใจที่ฉลาดและไม่ถูกความอยากฉุดให้เราวิ่งตามอย่างไม่รู้จบ ทางแห่งพุทธปัญญานั้นเริ่มจากการเห็นความจริงของความอยาก ว่าเป็นเพียงสภาวะที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป การมีสติรู้เท่าทันจะนำไปสู่การปล่อยวาง และชีวิตที่เหลือจะเป็นการเฝ้าดูมันอย่างมีสติ เพื่อตัดสินใจไม่ตามความอยากนั้นอีกต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทางออกจากทุกข์: การเปลี่ยนมุมมองและวิถีปฏิบัติ

    ชีวิตของเราล้วนแล้วแต่ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งการแสวงหาความสุขและหลีกหนีความทุกข์ แต่บ่อยครั้งเรากลับพบว่า ยิ่งไขว่คว้าหาความสุข ความทุกข์กลับยิ่งตามมาไม่หยุดหย่อน นี่คือบทเรียนสำคัญที่พระพุทธศาสนาได้สอนไว้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

    1. เข้าใจธรรมชาติของทุกข์
    ความเหงา ความกลัว และความไม่พึงพอใจ ล้วนเป็นรูปแบบของทุกข์ การยอมรับว่าทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคือก้าวแรกสู่การหลุดพ้น

    2. เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความสุข
    แทนที่จะมองว่าความสุขคือสิ่งที่ต้องไขว่คว้า ให้มองว่าความสุขคือผลพลอยได้จากการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง

    3. ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติธรรม
    การสวดมนต์ไม่ใช่การขอความสุข แต่เป็นการสรรเสริญคุณความดีและแผ่เมตตา ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขใจโดยธรรมชาติ

    4. เปลี่ยนจากการรับเป็นการให้
    เมื่อรู้สึกเหงา แทนที่จะรอคอยให้ผู้อื่นมาหา ลองออกไปช่วยเหลือผู้อื่น การให้จะเติมเต็มหัวใจและขจัดความเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์

    5. ฝึกสติ รู้เท่าทันอารมณ์
    การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำจิตใจ

    6. ลงมือทำสิ่งที่สร้างสรรค์
    เมื่อรู้สึกซึมเศร้าหรือเหม่อลอย ให้หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ทำ เพื่อดึงจิตใจออกจากภาวะนั้น

    7. เข้าใจความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง
    ทั้งความสุขและความทุกข์ล้วนไม่เที่ยง การเข้าใจความจริงนี้จะช่วยให้เราไม่ยึดติดกับอารมณ์ใดๆ

    8. สร้างสมดุลในชีวิต
    ฝึกการดำเนินชีวิตอย่างมีสมดุล ทั้งการทำงาน การพักผ่อน การปฏิบัติธรรม และการช่วยเหลือผู้อื่น

    การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิถีปฏิบัติเช่นนี้ อาจไม่ได้ทำให้ความทุกข์หายไปในทันที แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้มีความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้มา แต่อยู่ที่การปล่อยวาง เราจะพบว่าทางออกจากความทุกข์นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

    ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการฝึกฝนจิตใจ เพื่อก้าวพ้นจากความทุกข์และพบกับความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง"
    "ทางออกจากทุกข์: การเปลี่ยนมุมมองและวิถีปฏิบัติ ชีวิตของเราล้วนแล้วแต่ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งการแสวงหาความสุขและหลีกหนีความทุกข์ แต่บ่อยครั้งเรากลับพบว่า ยิ่งไขว่คว้าหาความสุข ความทุกข์กลับยิ่งตามมาไม่หยุดหย่อน นี่คือบทเรียนสำคัญที่พระพุทธศาสนาได้สอนไว้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง 1. เข้าใจธรรมชาติของทุกข์ ความเหงา ความกลัว และความไม่พึงพอใจ ล้วนเป็นรูปแบบของทุกข์ การยอมรับว่าทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคือก้าวแรกสู่การหลุดพ้น 2. เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความสุข แทนที่จะมองว่าความสุขคือสิ่งที่ต้องไขว่คว้า ให้มองว่าความสุขคือผลพลอยได้จากการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง 3. ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติธรรม การสวดมนต์ไม่ใช่การขอความสุข แต่เป็นการสรรเสริญคุณความดีและแผ่เมตตา ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขใจโดยธรรมชาติ 4. เปลี่ยนจากการรับเป็นการให้ เมื่อรู้สึกเหงา แทนที่จะรอคอยให้ผู้อื่นมาหา ลองออกไปช่วยเหลือผู้อื่น การให้จะเติมเต็มหัวใจและขจัดความเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์ 5. ฝึกสติ รู้เท่าทันอารมณ์ การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำจิตใจ 6. ลงมือทำสิ่งที่สร้างสรรค์ เมื่อรู้สึกซึมเศร้าหรือเหม่อลอย ให้หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ทำ เพื่อดึงจิตใจออกจากภาวะนั้น 7. เข้าใจความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง ทั้งความสุขและความทุกข์ล้วนไม่เที่ยง การเข้าใจความจริงนี้จะช่วยให้เราไม่ยึดติดกับอารมณ์ใดๆ 8. สร้างสมดุลในชีวิต ฝึกการดำเนินชีวิตอย่างมีสมดุล ทั้งการทำงาน การพักผ่อน การปฏิบัติธรรม และการช่วยเหลือผู้อื่น การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิถีปฏิบัติเช่นนี้ อาจไม่ได้ทำให้ความทุกข์หายไปในทันที แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้มีความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้มา แต่อยู่ที่การปล่อยวาง เราจะพบว่าทางออกจากความทุกข์นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการฝึกฝนจิตใจ เพื่อก้าวพ้นจากความทุกข์และพบกับความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/cnHZ46oeFho?si=OeOf4XHQqiSD1eVz
    การปล่อยวางอย่างแท้จริง
    https://youtu.be/cnHZ46oeFho?si=OeOf4XHQqiSD1eVz การปล่อยวางอย่างแท้จริง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • แมวอย่างฉันก็แค่ใช้ชีวิตให้ดี
    แต่ผลที่ได้รับ อาจไม่ดีบ้างก็ไม่เป็นไร
    เพราะทั้งดีและไม่ดี สุดท้ายก็ต้องผ่านไป
    มนุษย์เข้าใจกันบ้างไหม
    " มันก็แค่ปล่อยวาง "

    จากหนังสือ | ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ?

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    # ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ#ความสุข
    #Thaitimes #การปล่อยวาง
    แมวอย่างฉันก็แค่ใช้ชีวิตให้ดี แต่ผลที่ได้รับ อาจไม่ดีบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะทั้งดีและไม่ดี สุดท้ายก็ต้องผ่านไป มนุษย์เข้าใจกันบ้างไหม " มันก็แค่ปล่อยวาง " จากหนังสือ | ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ? #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน # ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ#ความสุข #Thaitimes #การปล่อยวาง
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1468 มุมมอง 0 รีวิว