• ดับความคิดเรื่องผิดถูกต้องหยุดปลูกต้นรัก
    ใจต้องพักก่อนจะพังลงสักครั้งสักหน
    เปลี่ยนโหมดใจไปโหมดหยุดหวังจะหลุดจะพ้น
    จะได้ผลเป็นอย่างไรฉันนี้ใคร่จะลอง
    เกิดที่ใจจะต้องดับที่ใจโอ้ไอยะ
    จำคำพระเอามาเล่าเอามากล่าวมาท่อง
    ยิบยกธรรมมานำทางเอามาสร้างครรลอง
    ให้เข้าร่องให้เข้ารอยเสียสักหน่อยนึง
    ถอยมาตั้งมายังที่อันเป็นที่ควรตั้ง
    ถอยมานั่งนิ่งนิ่งนับเริ่มที่นับว่าหนึ่ง
    นับหนึ่งใหม่ใจเย็นก่อนเพื่อให้ผ่อนจากตึง
    จากนั้นจึงจะค่อยค่อยฝึกการปล่อยวางใจ
    ดับความคิดเรื่องผิดถูกต้องหยุดการผูกเงื่อน
    ปล่อยให้โลกมันไหลเลื่อนปล่อยมันเคลื่อนมันไหว
    วางผิดถูกเลิกผูกพันเราต้องปล่อยมันไป
    เกิดที่ใจดับที่ใจจริงใช่ไหมละเธอ
    ดับความคิดเรื่องผิดถูกต้องหยุดปลูกต้นรัก ใจต้องพักก่อนจะพังลงสักครั้งสักหน เปลี่ยนโหมดใจไปโหมดหยุดหวังจะหลุดจะพ้น จะได้ผลเป็นอย่างไรฉันนี้ใคร่จะลอง เกิดที่ใจจะต้องดับที่ใจโอ้ไอยะ จำคำพระเอามาเล่าเอามากล่าวมาท่อง ยิบยกธรรมมานำทางเอามาสร้างครรลอง ให้เข้าร่องให้เข้ารอยเสียสักหน่อยนึง ถอยมาตั้งมายังที่อันเป็นที่ควรตั้ง ถอยมานั่งนิ่งนิ่งนับเริ่มที่นับว่าหนึ่ง นับหนึ่งใหม่ใจเย็นก่อนเพื่อให้ผ่อนจากตึง จากนั้นจึงจะค่อยค่อยฝึกการปล่อยวางใจ ดับความคิดเรื่องผิดถูกต้องหยุดการผูกเงื่อน ปล่อยให้โลกมันไหลเลื่อนปล่อยมันเคลื่อนมันไหว วางผิดถูกเลิกผูกพันเราต้องปล่อยมันไป เกิดที่ใจดับที่ใจจริงใช่ไหมละเธอ
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง

    เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้

    ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้

    เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร

    มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น

    ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง

    ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้

    หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl)

    หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง

    พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา

    แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า

    ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง

    เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา

    เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jitapuji.com/5258.html
    https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》
    https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/news/8yly6nl.html
    https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette
    https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394
    https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499
    https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7
    https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx

    #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้ ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้ เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้ หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl) หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.jitapuji.com/5258.html https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》 https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/news/8yly6nl.html https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394 https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499 https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7 https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    0 Comments 0 Shares 799 Views 0 Reviews
  • 📌 วิธีคิดที่พาไปข้างหน้า VS วิธีคิดที่ฉุดรั้งตัวเอง

    1️⃣ ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้ทุกวัน...
    ✔️ "ทำไมเมื่อวานฉันไม่รู้แบบนี้?"
    ✔️ "รู้อย่างนี้ทำเร็วกว่านี้ได้ตั้งนานแล้ว!"
    ✔️ "วันนี้ฉันเข้าใจมากขึ้นกว่าวันก่อน!"

    ➡️ ยินดีด้วย!
    📍 แสดงว่าคุณเป็น คนที่พัฒนาอยู่เสมอ
    📍 มี ไฟเรียนรู้ และ รักงานจริง
    📍 ไม่จมอยู่กับ อีโก้ที่ว่า "ฉันรู้หมดแล้ว"

    ---

    2️⃣ แต่ถ้าคุณคิดแบบนี้ตลอด...
    ❌ "ฉันรู้หมดแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ให้เรียนรู้!"
    ❌ "แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องพัฒนาอะไรอีก!"
    ❌ "ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่าฉันหรอก!"

    ➡️ อันตราย!
    📍 คุณกำลัง หยุดนิ่ง หรือ ถอยหลัง
    📍 คุณอาจหมดไฟ (Burnout) หรือขาดแรงจูงใจ
    📍 คุณอาจกำลังปิดกั้น โอกาสใหม่ๆ ของตัวเอง

    ---

    🔥 สรุป: วิธีคิดสำคัญกว่าความสามารถ

    ✅ คนที่ เติบโตได้เร็ว คือคนที่มี Mindset ของการเรียนรู้
    ✅ แม้แต่เรื่อง การปล่อยวาง ก็ยังต้อง เรียนรู้ให้ลึกขึ้น ทุกวัน
    ✅ ไม่มีใครเก่งที่สุดตลอดไป แต่ใครที่พัฒนาเสมอ จะไม่มีวันล้าหลัง

    💡 ดังนั้น ถ้าวันนี้คุณยังมีคำถามใหม่ มีอะไรให้เรียนรู้เพิ่ม
    🎯 แปลว่า คุณกำลังไปถูกทางแล้ว!
    📌 วิธีคิดที่พาไปข้างหน้า VS วิธีคิดที่ฉุดรั้งตัวเอง 1️⃣ ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้ทุกวัน... ✔️ "ทำไมเมื่อวานฉันไม่รู้แบบนี้?" ✔️ "รู้อย่างนี้ทำเร็วกว่านี้ได้ตั้งนานแล้ว!" ✔️ "วันนี้ฉันเข้าใจมากขึ้นกว่าวันก่อน!" ➡️ ยินดีด้วย! 📍 แสดงว่าคุณเป็น คนที่พัฒนาอยู่เสมอ 📍 มี ไฟเรียนรู้ และ รักงานจริง 📍 ไม่จมอยู่กับ อีโก้ที่ว่า "ฉันรู้หมดแล้ว" --- 2️⃣ แต่ถ้าคุณคิดแบบนี้ตลอด... ❌ "ฉันรู้หมดแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ให้เรียนรู้!" ❌ "แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องพัฒนาอะไรอีก!" ❌ "ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่าฉันหรอก!" ➡️ อันตราย! 📍 คุณกำลัง หยุดนิ่ง หรือ ถอยหลัง 📍 คุณอาจหมดไฟ (Burnout) หรือขาดแรงจูงใจ 📍 คุณอาจกำลังปิดกั้น โอกาสใหม่ๆ ของตัวเอง --- 🔥 สรุป: วิธีคิดสำคัญกว่าความสามารถ ✅ คนที่ เติบโตได้เร็ว คือคนที่มี Mindset ของการเรียนรู้ ✅ แม้แต่เรื่อง การปล่อยวาง ก็ยังต้อง เรียนรู้ให้ลึกขึ้น ทุกวัน ✅ ไม่มีใครเก่งที่สุดตลอดไป แต่ใครที่พัฒนาเสมอ จะไม่มีวันล้าหลัง 💡 ดังนั้น ถ้าวันนี้คุณยังมีคำถามใหม่ มีอะไรให้เรียนรู้เพิ่ม 🎯 แปลว่า คุณกำลังไปถูกทางแล้ว!
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • 📌 การแช่ง = การสร้างบ่วงทุกข์ให้ตัวเอง

    ⚡ คำถามสำคัญที่ต้องถามตัวเอง

    แช่งคนเลว แล้วจิตใจมืดหรือสว่าง?

    แช่งคนเลว แล้วสบายใจขึ้นจริงๆ ไหม?

    แช่งคนเลว แล้วไม่ได้ผลทันตา ใครทุกข์หนักกว่ากัน?


    ถ้าคุณตอบอย่างซื่อตรง
    จะเห็นว่าทุกคำตอบชี้ว่า “การแช่ง” มีแต่ผลเสีย
    เพราะโทสะที่เกิดขึ้น สะท้อนจิตใจเรากำลังมืดหม่น


    ---

    🔍 ความจริงของ “การแช่ง”

    ✅ หากแช่งแล้วคนเลวเป็นไปตามที่คาด
    → จิตใจเราอาจเกิดความสะใจ แต่จริงๆ เป็นอัตตาใหญ่โต
    → ความรู้สึกว่า “กูมีอำนาจเหนือคนอื่น” เริ่มเข้าครอบงำ
    → ความโลภและโทสะในใจเติบโต

    ❌ หากแช่งแล้วคนเลวไม่เป็นอะไรเลย
    → เราจะเริ่มคิดว่า “บุญบาปไม่มีจริง”
    → หรือเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “อ่อนแอ ไม่มีพลัง”
    → โทสะและความอาฆาตยังคงอยู่ ไม่ได้ทำให้เราพ้นจากทุกข์


    ---

    📌 จุดอันตรายของการแช่ง

    1️⃣ แช่ง = การฝึกใจให้ติดนิสัยคิดร้าย

    คนที่ติดนิสัยแช่ง จะเริ่มมองโลกในแง่ลบ ตลอดเวลา

    สมองเริ่มสร้างวงจรของความโกรธ จนกลายเป็นคนที่มีแต่ความขุ่นเคือง

    จิตใจเริ่มพัฒนาไปทาง “ความประทุษร้าย” โดยไม่รู้ตัว


    2️⃣ แช่ง = การปลูกเมล็ดพันธุ์ของอารมณ์ร้าย

    คนที่แช่งบ่อยๆ จะมีใบหน้าและดวงตาที่แข็งกระด้างขึ้น

    จิตใต้สำนึกจะสะสมความเกลียดชัง

    พฤติกรรมของเราจะเริ่มก้าวร้าวขึ้น แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ


    3️⃣ แช่ง = การเสพติดอารมณ์แค้น

    ถ้าเคยแช่งแล้วรู้สึกสะใจ

    เราจะเริ่มอยากแช่งให้สะใจมากขึ้น

    ความอาฆาตจะลุกลามจากคนหนึ่ง ไปสู่อีกหลายคน

    สุดท้ายชีวิตจะเต็มไปด้วยแต่ความคับแค้น



    ---

    📌 วิธีแก้ไข “ใจที่อยากแช่ง”

    1️⃣ หยุดทันที แล้วสังเกตจิต

    เมื่อไหร่ที่อยากแช่ง ให้หยุดตัวเองก่อน

    หายใจเข้า รู้ตัวว่า "กำลังโกรธ"

    หายใจออก บอกตัวเองว่า "ฉันจะไม่ปล่อยใจให้ตกต่ำ"

    วิธีนี้ช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์ ก่อนที่โทสะจะควบคุมเรา


    2️⃣ ใช้ "คำตรงข้าม" แทนการแช่ง

    แทนที่จะแช่ง → ให้พูดว่า “ขอให้เขาเจริญ”

    หรือถ้าฝืนใจไม่ได้จริงๆ → พูดว่า “ขอให้เขาได้รับกรรมของตัวเอง”

    วิธีนี้เป็นการ “ตัดโทสะ” และไม่สร้างกรรมใหม่


    3️⃣ ฝึกเข้าใจว่า "ทุกคนรับกรรมของตัวเอง"

    ถ้าเขาเลวจริง กรรมของเขาจะตามมาเอง

    ไม่ต้องแช่ง ไม่ต้องจองเวร

    ถ้าเราไม่คิดแช่ง เราก็ไม่ต้องแบกพลังลบไว้กับตัวเอง


    4️⃣ ฝึกแผ่เมตตา → เพื่อล้างจิตใจตัวเอง

    แผ่เมตตาไม่ได้แปลว่าต้องรักเขา

    แต่เป็นการ ปล่อยวางใจตัวเอง ไม่ให้ถูกความโกรธเผาผลาญ

    หากแผ่เมตตาให้เขาไม่ไหว → แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน



    ---

    📌 สรุป → “แช่ง = ทุกข์ของตัวเอง”

    💡 การแช่ง ไม่ได้ทำให้คนเลวเดือดร้อน
    💡 แต่ทำให้จิตใจของเราเอง ตกต่ำทันที
    💡 การปล่อยวาง คือการปลดปล่อยตัวเองออกจากบ่วงทุกข์

    👉 ถ้าอยากมีความสุข → หยุดแช่ง แล้วหันมาสร้างบุญให้ตัวเอง!

    📌 การแช่ง = การสร้างบ่วงทุกข์ให้ตัวเอง ⚡ คำถามสำคัญที่ต้องถามตัวเอง แช่งคนเลว แล้วจิตใจมืดหรือสว่าง? แช่งคนเลว แล้วสบายใจขึ้นจริงๆ ไหม? แช่งคนเลว แล้วไม่ได้ผลทันตา ใครทุกข์หนักกว่ากัน? ถ้าคุณตอบอย่างซื่อตรง จะเห็นว่าทุกคำตอบชี้ว่า “การแช่ง” มีแต่ผลเสีย เพราะโทสะที่เกิดขึ้น สะท้อนจิตใจเรากำลังมืดหม่น --- 🔍 ความจริงของ “การแช่ง” ✅ หากแช่งแล้วคนเลวเป็นไปตามที่คาด → จิตใจเราอาจเกิดความสะใจ แต่จริงๆ เป็นอัตตาใหญ่โต → ความรู้สึกว่า “กูมีอำนาจเหนือคนอื่น” เริ่มเข้าครอบงำ → ความโลภและโทสะในใจเติบโต ❌ หากแช่งแล้วคนเลวไม่เป็นอะไรเลย → เราจะเริ่มคิดว่า “บุญบาปไม่มีจริง” → หรือเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “อ่อนแอ ไม่มีพลัง” → โทสะและความอาฆาตยังคงอยู่ ไม่ได้ทำให้เราพ้นจากทุกข์ --- 📌 จุดอันตรายของการแช่ง 1️⃣ แช่ง = การฝึกใจให้ติดนิสัยคิดร้าย คนที่ติดนิสัยแช่ง จะเริ่มมองโลกในแง่ลบ ตลอดเวลา สมองเริ่มสร้างวงจรของความโกรธ จนกลายเป็นคนที่มีแต่ความขุ่นเคือง จิตใจเริ่มพัฒนาไปทาง “ความประทุษร้าย” โดยไม่รู้ตัว 2️⃣ แช่ง = การปลูกเมล็ดพันธุ์ของอารมณ์ร้าย คนที่แช่งบ่อยๆ จะมีใบหน้าและดวงตาที่แข็งกระด้างขึ้น จิตใต้สำนึกจะสะสมความเกลียดชัง พฤติกรรมของเราจะเริ่มก้าวร้าวขึ้น แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ 3️⃣ แช่ง = การเสพติดอารมณ์แค้น ถ้าเคยแช่งแล้วรู้สึกสะใจ เราจะเริ่มอยากแช่งให้สะใจมากขึ้น ความอาฆาตจะลุกลามจากคนหนึ่ง ไปสู่อีกหลายคน สุดท้ายชีวิตจะเต็มไปด้วยแต่ความคับแค้น --- 📌 วิธีแก้ไข “ใจที่อยากแช่ง” 1️⃣ หยุดทันที แล้วสังเกตจิต เมื่อไหร่ที่อยากแช่ง ให้หยุดตัวเองก่อน หายใจเข้า รู้ตัวว่า "กำลังโกรธ" หายใจออก บอกตัวเองว่า "ฉันจะไม่ปล่อยใจให้ตกต่ำ" วิธีนี้ช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์ ก่อนที่โทสะจะควบคุมเรา 2️⃣ ใช้ "คำตรงข้าม" แทนการแช่ง แทนที่จะแช่ง → ให้พูดว่า “ขอให้เขาเจริญ” หรือถ้าฝืนใจไม่ได้จริงๆ → พูดว่า “ขอให้เขาได้รับกรรมของตัวเอง” วิธีนี้เป็นการ “ตัดโทสะ” และไม่สร้างกรรมใหม่ 3️⃣ ฝึกเข้าใจว่า "ทุกคนรับกรรมของตัวเอง" ถ้าเขาเลวจริง กรรมของเขาจะตามมาเอง ไม่ต้องแช่ง ไม่ต้องจองเวร ถ้าเราไม่คิดแช่ง เราก็ไม่ต้องแบกพลังลบไว้กับตัวเอง 4️⃣ ฝึกแผ่เมตตา → เพื่อล้างจิตใจตัวเอง แผ่เมตตาไม่ได้แปลว่าต้องรักเขา แต่เป็นการ ปล่อยวางใจตัวเอง ไม่ให้ถูกความโกรธเผาผลาญ หากแผ่เมตตาให้เขาไม่ไหว → แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน --- 📌 สรุป → “แช่ง = ทุกข์ของตัวเอง” 💡 การแช่ง ไม่ได้ทำให้คนเลวเดือดร้อน 💡 แต่ทำให้จิตใจของเราเอง ตกต่ำทันที 💡 การปล่อยวาง คือการปลดปล่อยตัวเองออกจากบ่วงทุกข์ 👉 ถ้าอยากมีความสุข → หยุดแช่ง แล้วหันมาสร้างบุญให้ตัวเอง!
    0 Comments 0 Shares 372 Views 0 Reviews
  • ความรักในสังสารวัฏ

    ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

    แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย


    ---

    อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก"

    1. ทุกข์
    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา
    ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป


    2. สมุทัย
    เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)
    เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง


    3. นิโรธ
    ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง
    เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ


    4. มรรค
    ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ

    พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง

    ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง

    ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว





    ---

    วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก

    1. ดูใจตนเอง
    เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป


    2. เห็นอารมณ์ตามจริง
    มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น


    3. พิจารณาอนิจจัง
    ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง


    4. ฝึกปล่อยวาง

    ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา

    เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์





    ---

    จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ

    เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด

    จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป
    จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน

    "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"

    ความรักในสังสารวัฏ ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย --- อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก" 1. ทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป 2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง 3. นิโรธ ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ 4. มรรค ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว --- วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก 1. ดูใจตนเอง เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป 2. เห็นอารมณ์ตามจริง มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น 3. พิจารณาอนิจจัง ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง 4. ฝึกปล่อยวาง ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ --- จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • การปล่อยวาง
    จะช่วยให้มีความสุข
    กับชีวิตมากขึ้น

    จากหนังสือ |เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข
    การปล่อยวาง จะช่วยให้มีความสุข กับชีวิตมากขึ้น จากหนังสือ |เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #เป็นเราในเวอร์ชั่นที่มีความสุข
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • แยกอาการระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง"

    ลักษณะของ "ขี้เกียจ"

    1. สภาพใจ:

    ใจหนัก เหนื่อย เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร

    มีความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องทำ

    มีความเลี่ยงหลบ เช่น อยากผลัดวันประกันพรุ่ง



    2. สภาพกาย:

    ร่างกายงอมืองอเท้า ไม่อยากขยับเขยื้อน

    รู้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่มีแรงใจหรือแรงกายจะเริ่มต้น

    มักมีผลกระทบ เช่น งานคั่งค้าง หรือความเสียหายตามมา



    3. ลักษณะร่วม:

    มักตามมาด้วยความรู้สึกผิด หรือความทุกข์ใจเล็กๆ จากการไม่ทำหน้าที่

    ไม่มีความโปร่งเบาหรือคลายใจอย่างแท้จริง





    ---

    ลักษณะของ "ปล่อยวาง"

    1. สภาพใจ:

    ใจโปร่ง โล่ง เบา มีความสงบ

    ไม่แบกความคาดหวัง หรือความยึดติดกับผลลัพธ์

    มีความรู้สึกว่า "ทำเต็มที่แล้ว" หรือ "ไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้"



    2. สภาพกาย:

    ร่างกายยังทำหน้าที่ได้ปกติ เช่น ทำงาน ทำกิจกรรม แต่ทำไปโดยไม่มีความกังวล

    หากต้องพัก ร่างกายพักแบบผ่อนคลาย ไม่ใช่เพราะการหนีปัญหา



    3. ลักษณะร่วม:

    ไม่เกิดความรู้สึกผิดหลังการปล่อยวาง เพราะรู้ว่าไม่ได้ละเลยหน้าที่

    มีความพอใจกับปัจจุบัน แม้ผลลัพธ์อาจไม่เป็นดั่งใจ





    ---

    วิธีแยกแยะระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง"

    1. ถามตัวเองว่า "มีสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำหรือไม่?"

    หากคำตอบคือ "ใช่" และยังผลัดวันหรือไม่เริ่มต้น แสดงว่าเป็น ขี้เกียจ

    หากคำตอบคือ "ไม่" เพราะได้ทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ยึดติดผลลัพธ์ แสดงว่าเป็น ปล่อยวาง



    2. พิจารณาอารมณ์หลังการกระทำ:

    ถ้ามีความรู้สึกผิด หรือกังวลใจต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะความขี้เกียจ

    ถ้ามีความโล่ง โปร่ง เบา และพร้อมจะเดินหน้าต่อ แสดงว่าปล่อยวางแล้ว



    3. ดูผลกระทบต่อชีวิต:

    ขี้เกียจมักนำไปสู่ความเสียหาย งานคั่งค้าง หรือความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด

    ปล่อยวางนำไปสู่ความสงบในใจ และการจัดการสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม





    ---

    สรุป:

    ขี้เกียจ: ใจหนัก กายเฉื่อย มักละเลยสิ่งที่ควรทำ

    ปล่อยวาง: ใจเบา กายยังทำหน้าที่ได้ ไม่มีความยึดติดกับผลลัพธ์


    ถ้าอยากปล่อยวางแทนที่จะขี้เกียจ ให้เริ่มจาก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน แล้วค่อย วางใจไม่ยึดติดกับผล ของสิ่งที่ทำ!
    แยกอาการระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง" ลักษณะของ "ขี้เกียจ" 1. สภาพใจ: ใจหนัก เหนื่อย เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร มีความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องทำ มีความเลี่ยงหลบ เช่น อยากผลัดวันประกันพรุ่ง 2. สภาพกาย: ร่างกายงอมืองอเท้า ไม่อยากขยับเขยื้อน รู้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่มีแรงใจหรือแรงกายจะเริ่มต้น มักมีผลกระทบ เช่น งานคั่งค้าง หรือความเสียหายตามมา 3. ลักษณะร่วม: มักตามมาด้วยความรู้สึกผิด หรือความทุกข์ใจเล็กๆ จากการไม่ทำหน้าที่ ไม่มีความโปร่งเบาหรือคลายใจอย่างแท้จริง --- ลักษณะของ "ปล่อยวาง" 1. สภาพใจ: ใจโปร่ง โล่ง เบา มีความสงบ ไม่แบกความคาดหวัง หรือความยึดติดกับผลลัพธ์ มีความรู้สึกว่า "ทำเต็มที่แล้ว" หรือ "ไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้" 2. สภาพกาย: ร่างกายยังทำหน้าที่ได้ปกติ เช่น ทำงาน ทำกิจกรรม แต่ทำไปโดยไม่มีความกังวล หากต้องพัก ร่างกายพักแบบผ่อนคลาย ไม่ใช่เพราะการหนีปัญหา 3. ลักษณะร่วม: ไม่เกิดความรู้สึกผิดหลังการปล่อยวาง เพราะรู้ว่าไม่ได้ละเลยหน้าที่ มีความพอใจกับปัจจุบัน แม้ผลลัพธ์อาจไม่เป็นดั่งใจ --- วิธีแยกแยะระหว่าง "ขี้เกียจ" กับ "ปล่อยวาง" 1. ถามตัวเองว่า "มีสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำหรือไม่?" หากคำตอบคือ "ใช่" และยังผลัดวันหรือไม่เริ่มต้น แสดงว่าเป็น ขี้เกียจ หากคำตอบคือ "ไม่" เพราะได้ทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ยึดติดผลลัพธ์ แสดงว่าเป็น ปล่อยวาง 2. พิจารณาอารมณ์หลังการกระทำ: ถ้ามีความรู้สึกผิด หรือกังวลใจต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะความขี้เกียจ ถ้ามีความโล่ง โปร่ง เบา และพร้อมจะเดินหน้าต่อ แสดงว่าปล่อยวางแล้ว 3. ดูผลกระทบต่อชีวิต: ขี้เกียจมักนำไปสู่ความเสียหาย งานคั่งค้าง หรือความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด ปล่อยวางนำไปสู่ความสงบในใจ และการจัดการสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม --- สรุป: ขี้เกียจ: ใจหนัก กายเฉื่อย มักละเลยสิ่งที่ควรทำ ปล่อยวาง: ใจเบา กายยังทำหน้าที่ได้ ไม่มีความยึดติดกับผลลัพธ์ ถ้าอยากปล่อยวางแทนที่จะขี้เกียจ ให้เริ่มจาก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน แล้วค่อย วางใจไม่ยึดติดกับผล ของสิ่งที่ทำ!
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • ข้อความนี้ชี้ให้เห็นถึงอำนาจของความคิดที่มีต่อชีวิตของเรา โดยเฉพาะความคิดในแง่ลบที่อาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด สับสน และหลงทางได้มากกว่าสิ่งอื่นใด การที่เราไม่สามารถบังคับความคิดหรือกำจัดความคิดร้ายๆ ให้หายไปได้ตามใจต้องการ ทำให้เรามองเห็นสัจธรรมข้อหนึ่งของพุทธศาสนา นั่นคือ "อนัตตา" ความคิดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา และไม่อาจควบคุมได้อย่างแท้จริง

    เมื่อเรารู้จักตามดูความคิด โดยไม่ไปสู้หรือเล่นกับมัน เราจะสังเกตได้ว่าความคิดเหล่านั้นค่อยๆ รบกวนจิตใจน้อยลง การเฝ้าดูโดยไม่ตัดสินหรือพยายามบังคับให้มันหายไปทำให้เราได้เข้าใจธรรมชาติของความคิดว่าเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งที่มาแล้วก็ไป

    การฝึกยอมรับความคิดตามที่มันเป็นจะช่วยให้เรามองเห็นธรรมชาติที่ไม่แน่นอนและไร้ตัวตนของมันได้ชัดเจนขึ้น นี่คือทางหนึ่งที่พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นถึงการปล่อยวาง เมื่อเรายอมรับความคิดอย่างที่มันเป็น เราจะรู้สึกเบาขึ้น และไม่ถูกความคิดร้ายๆ ควบคุมใจให้มืดมนอีกต่อไป
    ข้อความนี้ชี้ให้เห็นถึงอำนาจของความคิดที่มีต่อชีวิตของเรา โดยเฉพาะความคิดในแง่ลบที่อาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด สับสน และหลงทางได้มากกว่าสิ่งอื่นใด การที่เราไม่สามารถบังคับความคิดหรือกำจัดความคิดร้ายๆ ให้หายไปได้ตามใจต้องการ ทำให้เรามองเห็นสัจธรรมข้อหนึ่งของพุทธศาสนา นั่นคือ "อนัตตา" ความคิดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา และไม่อาจควบคุมได้อย่างแท้จริง เมื่อเรารู้จักตามดูความคิด โดยไม่ไปสู้หรือเล่นกับมัน เราจะสังเกตได้ว่าความคิดเหล่านั้นค่อยๆ รบกวนจิตใจน้อยลง การเฝ้าดูโดยไม่ตัดสินหรือพยายามบังคับให้มันหายไปทำให้เราได้เข้าใจธรรมชาติของความคิดว่าเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งที่มาแล้วก็ไป การฝึกยอมรับความคิดตามที่มันเป็นจะช่วยให้เรามองเห็นธรรมชาติที่ไม่แน่นอนและไร้ตัวตนของมันได้ชัดเจนขึ้น นี่คือทางหนึ่งที่พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นถึงการปล่อยวาง เมื่อเรายอมรับความคิดอย่างที่มันเป็น เราจะรู้สึกเบาขึ้น และไม่ถูกความคิดร้ายๆ ควบคุมใจให้มืดมนอีกต่อไป
    0 Comments 0 Shares 335 Views 0 Reviews
  • การปล่อยวางในแบบที่แท้จริงตามพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่การนึกเอาหรือทำให้ตัวเองรู้สึกเบาลงชั่วคราว แต่เป็นการฝึกจิตให้เกิดความเข้าใจในธรรมชาติของความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในกายและจิต เมื่อเราสังเกตลมหายใจ อารมณ์ ความคิด หรือความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าทุกอย่างไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตนที่ถาวร การปล่อยวางที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นจากการเจริญสติรู้ชัดในกายใจ ไม่ใช่จากการแกล้งทำให้รู้สึกดีชั่วคราวด้วยความคิด

    การฝึกจิตในทางนี้ คือการค่อยๆ เจริญสติอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตเกิดความเข้าใจในความไม่เที่ยงจนถึงจุดที่สามารถปล่อยวางได้จริง ไม่ใช่ปล่อยวางชั่วคราวแล้วกลับไปหนักอกอีกครั้งเมื่อเจอปัญหาใหม่ แต่เป็นการปล่อยวางแบบถาวรที่เกิดจากการเห็นความจริงในกายใจโดยไม่ยึดติดในสิ่งใด
    การปล่อยวางในแบบที่แท้จริงตามพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่การนึกเอาหรือทำให้ตัวเองรู้สึกเบาลงชั่วคราว แต่เป็นการฝึกจิตให้เกิดความเข้าใจในธรรมชาติของความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในกายและจิต เมื่อเราสังเกตลมหายใจ อารมณ์ ความคิด หรือความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าทุกอย่างไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตนที่ถาวร การปล่อยวางที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นจากการเจริญสติรู้ชัดในกายใจ ไม่ใช่จากการแกล้งทำให้รู้สึกดีชั่วคราวด้วยความคิด การฝึกจิตในทางนี้ คือการค่อยๆ เจริญสติอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตเกิดความเข้าใจในความไม่เที่ยงจนถึงจุดที่สามารถปล่อยวางได้จริง ไม่ใช่ปล่อยวางชั่วคราวแล้วกลับไปหนักอกอีกครั้งเมื่อเจอปัญหาใหม่ แต่เป็นการปล่อยวางแบบถาวรที่เกิดจากการเห็นความจริงในกายใจโดยไม่ยึดติดในสิ่งใด
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • ความสงบและการปล่อยวางเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ทันจิตว่า “ยึดหรือไม่ยึด” การยึดเกาะนั้นเหมือนการพยายามมากมายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่พอได้มาแล้วกลับรู้สึกว่างเปล่า เพราะเมื่อจิตหมดแรงยึด จิตจะว่างจากสิ่งนั้น อาจถึงขั้นรู้สึกอยากถอนตัว

    การสังเกตอาการ “ไม่ยึด” คล้ายกับลมหายใจที่เราไม่เคยยึด แต่รู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสอนให้เห็นถึงความสงบในจิตที่ “ไม่ยึดแต่ไม่ทิ้ง” ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างจิตที่ยึดเหนียวแน่นกับจิตที่ปล่อยวาง

    เมื่อเราเฝ้าดูจิตอย่างเข้าใจ ปัญญาจะเกิดขึ้น ทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่จิตต้องการจริงๆ คือความสงบระงับและความอิ่มเต็มที่แท้จริง การปล่อยวางนี้จะทำให้เรารู้สึกเบาสบาย ไม่ต้องไล่ตามสิ่งใดอย่างไร้ที่สิ้นสุด

    ความสงบและการปล่อยวางเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ทันจิตว่า “ยึดหรือไม่ยึด” การยึดเกาะนั้นเหมือนการพยายามมากมายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่พอได้มาแล้วกลับรู้สึกว่างเปล่า เพราะเมื่อจิตหมดแรงยึด จิตจะว่างจากสิ่งนั้น อาจถึงขั้นรู้สึกอยากถอนตัว การสังเกตอาการ “ไม่ยึด” คล้ายกับลมหายใจที่เราไม่เคยยึด แต่รู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสอนให้เห็นถึงความสงบในจิตที่ “ไม่ยึดแต่ไม่ทิ้ง” ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างจิตที่ยึดเหนียวแน่นกับจิตที่ปล่อยวาง เมื่อเราเฝ้าดูจิตอย่างเข้าใจ ปัญญาจะเกิดขึ้น ทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่จิตต้องการจริงๆ คือความสงบระงับและความอิ่มเต็มที่แท้จริง การปล่อยวางนี้จะทำให้เรารู้สึกเบาสบาย ไม่ต้องไล่ตามสิ่งใดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • การยอมรับความจริงของการสูญเสียเป็นกระบวนการที่สำคัญในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราอย่างแท้จริง การที่เราพยายามยึดติดกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเพียงการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเราเอง เมื่อใดที่เราสูญเสียสิ่งเหล่านั้น จึงเกิดความทุกข์ใจอย่างลึกซึ้ง

    พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการยอมรับความจริงของสังขาร ความไม่เที่ยง และการฝึกจิตใจให้ยอมรับว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราจริง การที่เรารู้และยอมรับสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหายจากความกระวนกระวาย และสามารถมีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น

    1. การสูญเสียเป็นนิมิตหมายที่ดี:
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มองการสูญเสียเป็นโอกาสในการเรียนรู้ความจริงของชีวิต มันเป็นเครื่องเตือนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรที่เราจะสามารถยึดถือไว้ได้ตลอดไป แม้แต่ชีวิตของเราเอง ดังนั้น การยอมรับและเข้าใจถึงความไม่เที่ยงนี้จะช่วยให้เราผ่อนคลายจากความทุกข์และความกังวล

    2. การยึดติดทำให้เกิดทุกข์:
    ยิ่งเราพยายามดิ้นรนเพื่อยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เรายิ่งเจ็บปวดและทุกข์ใจ การที่เราปล่อยวางและยอมรับว่า ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรมและธรรมชาติ จะช่วยให้เรารู้สึกสบายใจและไม่ต้องทุกข์จากการสูญเสีย

    3. กรรมเป็นสิ่งที่เราพกติดตัวไป:
    สิ่งเดียวที่เราจะนำติดตัวไปได้หลังจากชีวิตนี้คือกรรมที่เราทำไว้ ดังนั้น การฝึกใจให้เข้าใจและยอมรับความจริง จะเป็นกรรมดีที่ช่วยให้เราเดินทางผ่านชีวิตนี้ไปด้วยความสงบ และไม่หลงอยู่กับความทุกข์จากการสูญเสีย

    ในที่สุด การฝึกใจให้ยอมรับความไม่เที่ยงและการปล่อยวางจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีสติและสงบสุข ไม่ว่าการสูญเสียจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม

    การยอมรับความจริงของการสูญเสียเป็นกระบวนการที่สำคัญในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราอย่างแท้จริง การที่เราพยายามยึดติดกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเพียงการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเราเอง เมื่อใดที่เราสูญเสียสิ่งเหล่านั้น จึงเกิดความทุกข์ใจอย่างลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการยอมรับความจริงของสังขาร ความไม่เที่ยง และการฝึกจิตใจให้ยอมรับว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราจริง การที่เรารู้และยอมรับสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหายจากความกระวนกระวาย และสามารถมีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น 1. การสูญเสียเป็นนิมิตหมายที่ดี: พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มองการสูญเสียเป็นโอกาสในการเรียนรู้ความจริงของชีวิต มันเป็นเครื่องเตือนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรที่เราจะสามารถยึดถือไว้ได้ตลอดไป แม้แต่ชีวิตของเราเอง ดังนั้น การยอมรับและเข้าใจถึงความไม่เที่ยงนี้จะช่วยให้เราผ่อนคลายจากความทุกข์และความกังวล 2. การยึดติดทำให้เกิดทุกข์: ยิ่งเราพยายามดิ้นรนเพื่อยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เรายิ่งเจ็บปวดและทุกข์ใจ การที่เราปล่อยวางและยอมรับว่า ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรมและธรรมชาติ จะช่วยให้เรารู้สึกสบายใจและไม่ต้องทุกข์จากการสูญเสีย 3. กรรมเป็นสิ่งที่เราพกติดตัวไป: สิ่งเดียวที่เราจะนำติดตัวไปได้หลังจากชีวิตนี้คือกรรมที่เราทำไว้ ดังนั้น การฝึกใจให้เข้าใจและยอมรับความจริง จะเป็นกรรมดีที่ช่วยให้เราเดินทางผ่านชีวิตนี้ไปด้วยความสงบ และไม่หลงอยู่กับความทุกข์จากการสูญเสีย ในที่สุด การฝึกใจให้ยอมรับความไม่เที่ยงและการปล่อยวางจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีสติและสงบสุข ไม่ว่าการสูญเสียจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • การสวดมนต์ "อิติปิโส" เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถือเป็นการทำบุญอันเป็นมหากุศลที่ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อจิตใจของผู้ป่วย แต่ยังส่งผลดีต่อจิตใจของญาติพี่น้องและผู้ร่วมสวดด้วย การสวดมนต์ร่วมกันเช่นนี้ช่วยกระชับสายใยในทางที่ดี และลดทอนความขัดแย้งหรือปัญหาค้างคาในจิตใจ

    การสวดมนต์ช่วยสร้างพลังบวกให้แก่ผู้ป่วยโดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ดังที่ได้กล่าวไว้คือช่วยปรับจิตใจของผู้ป่วยให้ไปในทางสว่างและมีจิตที่พร้อมยอมรับการปล่อยวาง ทั้งนี้ผลดีที่เกิดขึ้นจะมีทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว การลดทอนความขัดแย้ง และการสร้างพลังความสงบและสว่างในจิตใจของทุกคนที่มีส่วนร่วม

    การปฏิบัติเช่นนี้สามารถพยุงจิตใจผู้ป่วยในช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงใกล้เสียชีวิต ช่วยนำพาจิตใจให้เข้าสู่ภาวะสงบและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ภพภูมิใหม่อย่างราบรื่น ปราศจากความหวาดกลัวหรือกังวลใจจากอดีต

    การที่ญาติๆ มาร่วมกันสวดมนต์ด้วยความตั้งใจดีและเมตตา นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้จิตใจของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ผู้ที่สวดมนต์เองรู้สึกผ่อนคลาย อภัย และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในครอบครัว ส่งผลให้การจากลาของผู้ป่วยเป็นไปด้วยความสงบและราบรื่น

    วิธีนี้เป็นการช่วยให้เกิดความสงบสุขทั้งกับผู้ป่วยและคนรอบข้างในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

    การสวดมนต์ "อิติปิโส" เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถือเป็นการทำบุญอันเป็นมหากุศลที่ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อจิตใจของผู้ป่วย แต่ยังส่งผลดีต่อจิตใจของญาติพี่น้องและผู้ร่วมสวดด้วย การสวดมนต์ร่วมกันเช่นนี้ช่วยกระชับสายใยในทางที่ดี และลดทอนความขัดแย้งหรือปัญหาค้างคาในจิตใจ การสวดมนต์ช่วยสร้างพลังบวกให้แก่ผู้ป่วยโดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ดังที่ได้กล่าวไว้คือช่วยปรับจิตใจของผู้ป่วยให้ไปในทางสว่างและมีจิตที่พร้อมยอมรับการปล่อยวาง ทั้งนี้ผลดีที่เกิดขึ้นจะมีทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว การลดทอนความขัดแย้ง และการสร้างพลังความสงบและสว่างในจิตใจของทุกคนที่มีส่วนร่วม การปฏิบัติเช่นนี้สามารถพยุงจิตใจผู้ป่วยในช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงใกล้เสียชีวิต ช่วยนำพาจิตใจให้เข้าสู่ภาวะสงบและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ภพภูมิใหม่อย่างราบรื่น ปราศจากความหวาดกลัวหรือกังวลใจจากอดีต การที่ญาติๆ มาร่วมกันสวดมนต์ด้วยความตั้งใจดีและเมตตา นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้จิตใจของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ผู้ที่สวดมนต์เองรู้สึกผ่อนคลาย อภัย และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในครอบครัว ส่งผลให้การจากลาของผู้ป่วยเป็นไปด้วยความสงบและราบรื่น วิธีนี้เป็นการช่วยให้เกิดความสงบสุขทั้งกับผู้ป่วยและคนรอบข้างในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • ความอยากของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่ไม่มีวันเต็มอิ่ม ไม่ว่ามนุษย์จะได้รับอะไรมามากแค่ไหน ความรู้สึกไม่เพียงพอก็ยังคงอยู่ หากไม่มีการควบคุมหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง ความอยากที่ไม่รู้จักจบสิ้นนี้จะนำพาเราไปสู่ความทุกข์และความวุ่นวายในใจอย่างต่อเนื่อง

    เมื่อมนุษย์เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกไม่พอใจ แม้จะได้รับสิ่งที่ต้องการจนมากมาย มันสะท้อนถึงความจริงที่ว่า ความอยากไม่ได้ช่วยให้เราสงบหรือมีความสุขอย่างแท้จริง ตรงจุดนี้ จะเกิดทางสองแพร่งให้เลือก คือ การตามใจความอยากไปเรื่อยๆ หรือการเริ่มเห็นความไร้แก่นสารของความอยาก และหาทางทิ้งมัน

    ผู้ที่เห็นความอยากเป็นสิ่งที่ต้องทิ้ง คือผู้ที่พร้อมที่จะเดินตามแนวทางพุทธ เมื่อเราเจริญสติและสังเกตความอยาก เห็นมันเป็นแค่ภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เราจะเริ่มเข้าใจว่าความอยากนั้นไม่มีความเที่ยงแท้ เพียงแต่ฉุดเราให้วิ่งไปตามความรู้สึกว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า

    เมื่อเราฝึกสติเห็นความอยากเป็นแค่สภาวะที่ไม่เที่ยง ความอยากนั้นจะค่อยๆ หมดอำนาจ เมื่อเรารู้เท่าทันและไม่วิ่งตามมันอีก เราจะพบกับความสงบในใจ และเข้าใจถึงจุดหมายของการเจริญสติ คือ การมีใจที่ฉลาดและไม่ถูกความอยากฉุดให้เราวิ่งตามอย่างไม่รู้จบ

    ทางแห่งพุทธปัญญานั้นเริ่มจากการเห็นความจริงของความอยาก ว่าเป็นเพียงสภาวะที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป การมีสติรู้เท่าทันจะนำไปสู่การปล่อยวาง และชีวิตที่เหลือจะเป็นการเฝ้าดูมันอย่างมีสติ เพื่อตัดสินใจไม่ตามความอยากนั้นอีกต่อไป
    ความอยากของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่ไม่มีวันเต็มอิ่ม ไม่ว่ามนุษย์จะได้รับอะไรมามากแค่ไหน ความรู้สึกไม่เพียงพอก็ยังคงอยู่ หากไม่มีการควบคุมหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง ความอยากที่ไม่รู้จักจบสิ้นนี้จะนำพาเราไปสู่ความทุกข์และความวุ่นวายในใจอย่างต่อเนื่อง เมื่อมนุษย์เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกไม่พอใจ แม้จะได้รับสิ่งที่ต้องการจนมากมาย มันสะท้อนถึงความจริงที่ว่า ความอยากไม่ได้ช่วยให้เราสงบหรือมีความสุขอย่างแท้จริง ตรงจุดนี้ จะเกิดทางสองแพร่งให้เลือก คือ การตามใจความอยากไปเรื่อยๆ หรือการเริ่มเห็นความไร้แก่นสารของความอยาก และหาทางทิ้งมัน ผู้ที่เห็นความอยากเป็นสิ่งที่ต้องทิ้ง คือผู้ที่พร้อมที่จะเดินตามแนวทางพุทธ เมื่อเราเจริญสติและสังเกตความอยาก เห็นมันเป็นแค่ภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เราจะเริ่มเข้าใจว่าความอยากนั้นไม่มีความเที่ยงแท้ เพียงแต่ฉุดเราให้วิ่งไปตามความรู้สึกว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเราฝึกสติเห็นความอยากเป็นแค่สภาวะที่ไม่เที่ยง ความอยากนั้นจะค่อยๆ หมดอำนาจ เมื่อเรารู้เท่าทันและไม่วิ่งตามมันอีก เราจะพบกับความสงบในใจ และเข้าใจถึงจุดหมายของการเจริญสติ คือ การมีใจที่ฉลาดและไม่ถูกความอยากฉุดให้เราวิ่งตามอย่างไม่รู้จบ ทางแห่งพุทธปัญญานั้นเริ่มจากการเห็นความจริงของความอยาก ว่าเป็นเพียงสภาวะที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป การมีสติรู้เท่าทันจะนำไปสู่การปล่อยวาง และชีวิตที่เหลือจะเป็นการเฝ้าดูมันอย่างมีสติ เพื่อตัดสินใจไม่ตามความอยากนั้นอีกต่อไป
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • "ทางออกจากทุกข์: การเปลี่ยนมุมมองและวิถีปฏิบัติ

    ชีวิตของเราล้วนแล้วแต่ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งการแสวงหาความสุขและหลีกหนีความทุกข์ แต่บ่อยครั้งเรากลับพบว่า ยิ่งไขว่คว้าหาความสุข ความทุกข์กลับยิ่งตามมาไม่หยุดหย่อน นี่คือบทเรียนสำคัญที่พระพุทธศาสนาได้สอนไว้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

    1. เข้าใจธรรมชาติของทุกข์
    ความเหงา ความกลัว และความไม่พึงพอใจ ล้วนเป็นรูปแบบของทุกข์ การยอมรับว่าทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคือก้าวแรกสู่การหลุดพ้น

    2. เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความสุข
    แทนที่จะมองว่าความสุขคือสิ่งที่ต้องไขว่คว้า ให้มองว่าความสุขคือผลพลอยได้จากการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง

    3. ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติธรรม
    การสวดมนต์ไม่ใช่การขอความสุข แต่เป็นการสรรเสริญคุณความดีและแผ่เมตตา ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขใจโดยธรรมชาติ

    4. เปลี่ยนจากการรับเป็นการให้
    เมื่อรู้สึกเหงา แทนที่จะรอคอยให้ผู้อื่นมาหา ลองออกไปช่วยเหลือผู้อื่น การให้จะเติมเต็มหัวใจและขจัดความเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์

    5. ฝึกสติ รู้เท่าทันอารมณ์
    การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำจิตใจ

    6. ลงมือทำสิ่งที่สร้างสรรค์
    เมื่อรู้สึกซึมเศร้าหรือเหม่อลอย ให้หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ทำ เพื่อดึงจิตใจออกจากภาวะนั้น

    7. เข้าใจความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง
    ทั้งความสุขและความทุกข์ล้วนไม่เที่ยง การเข้าใจความจริงนี้จะช่วยให้เราไม่ยึดติดกับอารมณ์ใดๆ

    8. สร้างสมดุลในชีวิต
    ฝึกการดำเนินชีวิตอย่างมีสมดุล ทั้งการทำงาน การพักผ่อน การปฏิบัติธรรม และการช่วยเหลือผู้อื่น

    การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิถีปฏิบัติเช่นนี้ อาจไม่ได้ทำให้ความทุกข์หายไปในทันที แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้มีความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้มา แต่อยู่ที่การปล่อยวาง เราจะพบว่าทางออกจากความทุกข์นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

    ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการฝึกฝนจิตใจ เพื่อก้าวพ้นจากความทุกข์และพบกับความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง"
    "ทางออกจากทุกข์: การเปลี่ยนมุมมองและวิถีปฏิบัติ ชีวิตของเราล้วนแล้วแต่ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งการแสวงหาความสุขและหลีกหนีความทุกข์ แต่บ่อยครั้งเรากลับพบว่า ยิ่งไขว่คว้าหาความสุข ความทุกข์กลับยิ่งตามมาไม่หยุดหย่อน นี่คือบทเรียนสำคัญที่พระพุทธศาสนาได้สอนไว้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง 1. เข้าใจธรรมชาติของทุกข์ ความเหงา ความกลัว และความไม่พึงพอใจ ล้วนเป็นรูปแบบของทุกข์ การยอมรับว่าทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคือก้าวแรกสู่การหลุดพ้น 2. เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความสุข แทนที่จะมองว่าความสุขคือสิ่งที่ต้องไขว่คว้า ให้มองว่าความสุขคือผลพลอยได้จากการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง 3. ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติธรรม การสวดมนต์ไม่ใช่การขอความสุข แต่เป็นการสรรเสริญคุณความดีและแผ่เมตตา ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขใจโดยธรรมชาติ 4. เปลี่ยนจากการรับเป็นการให้ เมื่อรู้สึกเหงา แทนที่จะรอคอยให้ผู้อื่นมาหา ลองออกไปช่วยเหลือผู้อื่น การให้จะเติมเต็มหัวใจและขจัดความเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์ 5. ฝึกสติ รู้เท่าทันอารมณ์ การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำจิตใจ 6. ลงมือทำสิ่งที่สร้างสรรค์ เมื่อรู้สึกซึมเศร้าหรือเหม่อลอย ให้หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ทำ เพื่อดึงจิตใจออกจากภาวะนั้น 7. เข้าใจความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง ทั้งความสุขและความทุกข์ล้วนไม่เที่ยง การเข้าใจความจริงนี้จะช่วยให้เราไม่ยึดติดกับอารมณ์ใดๆ 8. สร้างสมดุลในชีวิต ฝึกการดำเนินชีวิตอย่างมีสมดุล ทั้งการทำงาน การพักผ่อน การปฏิบัติธรรม และการช่วยเหลือผู้อื่น การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิถีปฏิบัติเช่นนี้ อาจไม่ได้ทำให้ความทุกข์หายไปในทันที แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้มีความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้มา แต่อยู่ที่การปล่อยวาง เราจะพบว่าทางออกจากความทุกข์นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการฝึกฝนจิตใจ เพื่อก้าวพ้นจากความทุกข์และพบกับความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง"
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/cnHZ46oeFho?si=OeOf4XHQqiSD1eVz
    การปล่อยวางอย่างแท้จริง
    https://youtu.be/cnHZ46oeFho?si=OeOf4XHQqiSD1eVz การปล่อยวางอย่างแท้จริง
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • แมวอย่างฉันก็แค่ใช้ชีวิตให้ดี
    แต่ผลที่ได้รับ อาจไม่ดีบ้างก็ไม่เป็นไร
    เพราะทั้งดีและไม่ดี สุดท้ายก็ต้องผ่านไป
    มนุษย์เข้าใจกันบ้างไหม
    " มันก็แค่ปล่อยวาง "

    จากหนังสือ | ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ?

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    # ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ#ความสุข
    #Thaitimes #การปล่อยวาง
    แมวอย่างฉันก็แค่ใช้ชีวิตให้ดี แต่ผลที่ได้รับ อาจไม่ดีบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะทั้งดีและไม่ดี สุดท้ายก็ต้องผ่านไป มนุษย์เข้าใจกันบ้างไหม " มันก็แค่ปล่อยวาง " จากหนังสือ | ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ? #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน # ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ#ความสุข #Thaitimes #การปล่อยวาง
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 1518 Views 0 Reviews