• ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 6

    เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน

    การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย

    ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย

    นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks”

    ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ

    นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917
    ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง
    ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin

    จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน

    จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว

    ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..”

    Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน

    วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน
    (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง )

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 6 เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks” ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917 ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..” Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เสียงหวีดกลางฟ้า” – ปัญหาที่ซ่อนอยู่ของ AirPods Pro 3

    AirPods Pro 3 ได้รับคำชมมากมายเรื่องคุณภาพเสียง การตัดเสียงรบกวน และฟีเจอร์สุขภาพใหม่อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่เมื่อผู้ใช้ทดสอบใช้งานจริงบนเครื่องบินที่ระดับความสูง 39,000 ฟุต กลับพบปัญหาเสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายที่ดังจนเจ็บหู

    ต้นเหตุของปัญหานี้คือการที่ซีลของหูฟังหลุดเล็กน้อย ทำให้ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) เกิดการวนลูปของเสียงและสร้างเสียงหวีดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้เผลอแตะไมโครโฟนภายนอกของ AirPods

    แม้จะเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังจาก M เป็น XS ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวร และเมื่อบินอีกครั้ง เสียงหวีดก็กลับมาอีกครั้งในช่วงไต่ระดับและลดระดับของเครื่องบิน

    ผู้ใช้หลายคนใน Reddit ก็รายงานปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะกับหูฟังข้างซ้าย และพบว่าเสียงจะลดลงเมื่อเปิดโหมด Transparency หรือ Adaptive แต่จะกลับมาเมื่อใช้ ANC แบบเต็ม

    Apple ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือเรียกคืนสินค้า และแม้จะเปลี่ยนหูฟังใหม่จากศูนย์บริการ ปัญหาก็ยังคงอยู่

    จุดเด่นของ AirPods Pro 3
    ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ดีขึ้นจากรุ่นก่อน
    เพิ่มฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
    คุณภาพเสียงและแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม
    ขนาดจุกหูฟังมีให้เลือกตั้งแต่ XXS ถึง L

    ปัญหาที่พบในการใช้งานบนเครื่องบิน
    เสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายเมื่อซีลหลุด
    เกิด feedback loop จากระบบ ANC
    ปัญหาเกิดเฉพาะบนเครื่องบิน ไม่พบในการใช้งานทั่วไป
    การเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ถาวร

    https://basicappleguy.com/basicappleblog/the-airpods-pro-3-flight-problem
    ✈️🎧 “เสียงหวีดกลางฟ้า” – ปัญหาที่ซ่อนอยู่ของ AirPods Pro 3 AirPods Pro 3 ได้รับคำชมมากมายเรื่องคุณภาพเสียง การตัดเสียงรบกวน และฟีเจอร์สุขภาพใหม่อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่เมื่อผู้ใช้ทดสอบใช้งานจริงบนเครื่องบินที่ระดับความสูง 39,000 ฟุต กลับพบปัญหาเสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายที่ดังจนเจ็บหู ต้นเหตุของปัญหานี้คือการที่ซีลของหูฟังหลุดเล็กน้อย ทำให้ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) เกิดการวนลูปของเสียงและสร้างเสียงหวีดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้เผลอแตะไมโครโฟนภายนอกของ AirPods แม้จะเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังจาก M เป็น XS ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวร และเมื่อบินอีกครั้ง เสียงหวีดก็กลับมาอีกครั้งในช่วงไต่ระดับและลดระดับของเครื่องบิน ผู้ใช้หลายคนใน Reddit ก็รายงานปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะกับหูฟังข้างซ้าย และพบว่าเสียงจะลดลงเมื่อเปิดโหมด Transparency หรือ Adaptive แต่จะกลับมาเมื่อใช้ ANC แบบเต็ม Apple ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือเรียกคืนสินค้า และแม้จะเปลี่ยนหูฟังใหม่จากศูนย์บริการ ปัญหาก็ยังคงอยู่ ✅ จุดเด่นของ AirPods Pro 3 ➡️ ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ดีขึ้นจากรุ่นก่อน ➡️ เพิ่มฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ➡️ คุณภาพเสียงและแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม ➡️ ขนาดจุกหูฟังมีให้เลือกตั้งแต่ XXS ถึง L ✅ ปัญหาที่พบในการใช้งานบนเครื่องบิน ➡️ เสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายเมื่อซีลหลุด ➡️ เกิด feedback loop จากระบบ ANC ➡️ ปัญหาเกิดเฉพาะบนเครื่องบิน ไม่พบในการใช้งานทั่วไป ➡️ การเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ถาวร https://basicappleguy.com/basicappleblog/the-airpods-pro-3-flight-problem
    BASICAPPLEGUY.COM
    The AirPods Pro 3 Flight Problem — Basic Apple Guy
    Testing Apple’s latest noise-cancelling earbuds at 39,000 feet reveals a potential flaw most users won’t notice, until they fly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jenkins Plugin Flaws: เมื่อระบบ CI/CD กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของแฮกเกอร์

    Jenkins เจอคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่: SAML Auth Bypass เสี่ยงยึดระบบ CI/CD ทั้งองค์กร ช่องโหว่ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ของ Jenkins เปิดทางให้แฮกเกอร์ขโมย session และสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที พร้อมช่องโหว่อื่น ๆ อีกกว่า 10 รายการที่ยังไม่มีแพตช์

    Jenkins ซึ่งเป็นเครื่องมือ CI/CD ยอดนิยมในองค์กรทั่วโลก กำลังเผชิญกับคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่ โดยมีการเปิดเผยช่องโหว่รวม 14 รายการใน advisory ล่าสุด ซึ่งหลายรายการยังไม่มีแพตช์แก้ไข

    จุดที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ที่ใช้สำหรับ Single Sign-On (SSO) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการไม่เก็บ replay cache ทำให้แฮกเกอร์สามารถ reuse token ที่เคยใช้แล้วเพื่อสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที แม้จะเป็นผู้ดูแลระบบก็ตาม

    ผลกระทบของช่องโหว่นี้:
    แฮกเกอร์สามารถขโมย session และเข้าถึง Jenkins โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    หาก Jenkins มีสิทธิ์เชื่อมต่อกับ GitHub, Docker, หรือ cloud provider แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบ downstream ได้ทันที
    เป็นภัยคุกคามต่อระบบ DevOps pipeline และความปลอดภัยของซอร์สโค้ด

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่น่ากังวล เช่น:
    CVE-2025-64132: Missing permission checks ใน MCP Server Plugin
    CVE-2025-64133: CSRF ใน Extensible Choice Parameter Plugin
    CVE-2025-64134: XXE ใน JDepend Plugin
    CVE-2025-64140: Command Injection ใน Azure CLI Plugin
    CVE-2025-64143–64147: Secrets ถูกเก็บในไฟล์ config แบบ plaintext
    CVE-2025-64148–64150: Missing permission checks ใน Publish to Bitbucket Plugin

    ผู้ดูแลระบบควรรีบตรวจสอบปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่ และอัปเดตหรือปิดการใช้งานปลั๊กอินที่มีช่องโหว่ทันที

    https://securityonline.info/jenkins-faces-wave-of-plugin-flaws-including-saml-authentication-bypass-cve-2025-64131/
    🧨 Jenkins Plugin Flaws: เมื่อระบบ CI/CD กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของแฮกเกอร์ Jenkins เจอคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่: SAML Auth Bypass เสี่ยงยึดระบบ CI/CD ทั้งองค์กร ช่องโหว่ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ของ Jenkins เปิดทางให้แฮกเกอร์ขโมย session และสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที พร้อมช่องโหว่อื่น ๆ อีกกว่า 10 รายการที่ยังไม่มีแพตช์ Jenkins ซึ่งเป็นเครื่องมือ CI/CD ยอดนิยมในองค์กรทั่วโลก กำลังเผชิญกับคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่ โดยมีการเปิดเผยช่องโหว่รวม 14 รายการใน advisory ล่าสุด ซึ่งหลายรายการยังไม่มีแพตช์แก้ไข จุดที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ที่ใช้สำหรับ Single Sign-On (SSO) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการไม่เก็บ replay cache ทำให้แฮกเกอร์สามารถ reuse token ที่เคยใช้แล้วเพื่อสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที แม้จะเป็นผู้ดูแลระบบก็ตาม ผลกระทบของช่องโหว่นี้: 🪲 แฮกเกอร์สามารถขโมย session และเข้าถึง Jenkins โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน 🪲 หาก Jenkins มีสิทธิ์เชื่อมต่อกับ GitHub, Docker, หรือ cloud provider แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบ downstream ได้ทันที 🪲 เป็นภัยคุกคามต่อระบบ DevOps pipeline และความปลอดภัยของซอร์สโค้ด นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่น่ากังวล เช่น: 🪲 CVE-2025-64132: Missing permission checks ใน MCP Server Plugin 🪲 CVE-2025-64133: CSRF ใน Extensible Choice Parameter Plugin 🪲 CVE-2025-64134: XXE ใน JDepend Plugin 🪲 CVE-2025-64140: Command Injection ใน Azure CLI Plugin 🪲 CVE-2025-64143–64147: Secrets ถูกเก็บในไฟล์ config แบบ plaintext 🪲 CVE-2025-64148–64150: Missing permission checks ใน Publish to Bitbucket Plugin ผู้ดูแลระบบควรรีบตรวจสอบปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่ และอัปเดตหรือปิดการใช้งานปลั๊กอินที่มีช่องโหว่ทันที https://securityonline.info/jenkins-faces-wave-of-plugin-flaws-including-saml-authentication-bypass-cve-2025-64131/
    SECURITYONLINE.INFO
    Jenkins Faces Wave of Plugin Flaws, Including SAML Authentication Bypass (CVE-2025-64131)
    Jenkins warned of a Critical SAML Plugin flaw (CVE-2025-64131) that allows session replay/hijacking due to a missing cache. Multiple plugins also expose API tokens in plaintext.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • WP Freeio CVE-2025-11533: เมื่อการสมัครสมาชิกกลายเป็นช่องทางยึดเว็บ

    Wordfence เตือนภัยด่วน: ช่องโหว่ WP Freeio เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บไซต์ WordPress ได้ทันที ปลั๊กอิน WP Freeio ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-11533 ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress จำนวนมากทั่วโลก
    Wordfence Threat Intelligence รายงานช่องโหว่ระดับวิกฤต (CVSS 9.8) ในปลั๊กอิน WP Freeio ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธีม Freeio ที่ขายบน ThemeForest โดยช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน process_register() ของคลาส WP_Freeio_User ที่ใช้จัดการการสมัครสมาชิก

    ปัญหาเกิดจากการที่ฟังก์ชันนี้อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนด role ได้เองผ่านฟิลด์ $_POST['role'] โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้ผู้โจมตีสามารถระบุ role เป็น “administrator” และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบได้ทันที

    Wordfence ตรวจพบการโจมตีทันทีหลังการเปิดเผยช่องโหว่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 และบล็อกการโจมตีไปแล้วกว่า 33,200 ครั้ง

    ตัวอย่างคำขอที่ใช้โจมตี:
    POST /?wpfi-ajax=wp_freeio_ajax_register&action=wp_freeio_ajax_register
    Content-Type: application/x-www-form-urlencoded
    role=administrator&email=attacker@gmail.com&password=xxx&confirmpassword=xxx

    เมื่อได้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแล้ว ผู้โจมตีสามารถ:
    อัปโหลดปลั๊กอินหรือธีมที่มี backdoor
    แก้ไขโพสต์หรือหน้าเว็บเพื่อ redirect ไปยังเว็บไซต์อันตราย
    ฝังสแปมหรือมัลแวร์ในเนื้อหา

    IP ที่พบว่ามีการโจมตีจำนวนมาก เช่น:
    35.178.249.28
    13.239.253.194
    3.25.204.16
    18.220.143.136

    Wordfence แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต WP Freeio เป็นเวอร์ชัน 1.2.22 หรือใหม่กว่าโดยด่วน


    https://securityonline.info/wordfence-warns-of-active-exploits-targeting-critical-privilege-escalation-flaw-in-wp-freeio-cve-2025-11533/
    🔓 WP Freeio CVE-2025-11533: เมื่อการสมัครสมาชิกกลายเป็นช่องทางยึดเว็บ Wordfence เตือนภัยด่วน: ช่องโหว่ WP Freeio เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บไซต์ WordPress ได้ทันที ปลั๊กอิน WP Freeio ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-11533 ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress จำนวนมากทั่วโลก Wordfence Threat Intelligence รายงานช่องโหว่ระดับวิกฤต (CVSS 9.8) ในปลั๊กอิน WP Freeio ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธีม Freeio ที่ขายบน ThemeForest โดยช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน process_register() ของคลาส WP_Freeio_User ที่ใช้จัดการการสมัครสมาชิก ปัญหาเกิดจากการที่ฟังก์ชันนี้อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนด role ได้เองผ่านฟิลด์ $_POST['role'] โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้ผู้โจมตีสามารถระบุ role เป็น “administrator” และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบได้ทันที Wordfence ตรวจพบการโจมตีทันทีหลังการเปิดเผยช่องโหว่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 และบล็อกการโจมตีไปแล้วกว่า 33,200 ครั้ง 🔖 ตัวอย่างคำขอที่ใช้โจมตี: POST /?wpfi-ajax=wp_freeio_ajax_register&action=wp_freeio_ajax_register Content-Type: application/x-www-form-urlencoded role=administrator&email=attacker@gmail.com&password=xxx&confirmpassword=xxx เมื่อได้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแล้ว ผู้โจมตีสามารถ: 💠 อัปโหลดปลั๊กอินหรือธีมที่มี backdoor 💠 แก้ไขโพสต์หรือหน้าเว็บเพื่อ redirect ไปยังเว็บไซต์อันตราย 💠 ฝังสแปมหรือมัลแวร์ในเนื้อหา IP ที่พบว่ามีการโจมตีจำนวนมาก เช่น: 💠 35.178.249.28 💠 13.239.253.194 💠 3.25.204.16 💠 18.220.143.136 Wordfence แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต WP Freeio เป็นเวอร์ชัน 1.2.22 หรือใหม่กว่าโดยด่วน https://securityonline.info/wordfence-warns-of-active-exploits-targeting-critical-privilege-escalation-flaw-in-wp-freeio-cve-2025-11533/
    SECURITYONLINE.INFO
    Wordfence Warns of Active Exploits Targeting Critical Privilege Escalation Flaw in WP Freeio (CVE-2025-11533)
    Urgent patch for WP Freeio plugin (v.< 1.2.22). Unauthenticated attackers can gain admin control instantly via a registration flaw. Update immediately to v.1.2.22.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • WSO2 Auth Bypass: เมื่อ regex กลายเป็นจุดอ่อนของระบบ

    WSO2 เจอช่องโหว่ร้ายแรง: แฮกเกอร์สามารถข้ามการยืนยันตัวตนและเข้าถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้ทันที นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ 3 รายการใน WSO2 API Manager และ Identity Server ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมความเสี่ยงในการขโมยข้อมูลและรันโค้ดจากระยะไกล

    นักวิจัย Crnkovic ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการ ได้แก่ CVE-2025-9152, CVE-2025-10611, และ CVE-2025-9804 โดยแต่ละรายการมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “วิกฤต” และสามารถใช้โจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    จุดอ่อนหลักมาจากการใช้ regex ในการกำหนดสิทธิ์เข้าถึง ที่แยกออกจากตรรกะของแอปพลิเคชัน ทำให้เกิดช่องโหว่หลายรูปแบบ เช่น:
    การใช้เครื่องหมาย / เพื่อหลบเลี่ยง regex
    การใช้ HTTP method แบบตัวพิมพ์เล็ก เช่น “Post” แทน “POST”
    การใช้ path ที่ถูก normalize โดย Java เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    ตัวอย่างการโจมตี:
    เข้าถึง endpoint /keymanager-operations/dcr/register/<client_id> เพื่อขโมย OAuth client secrets
    ใช้ HTTP method “Post” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบสิทธิ์
    ใช้ URL encoding เพื่อเข้าถึง endpoint ที่ควรต้องมีการยืนยันตัวตน เช่น /scim2/Users

    ช่องโหว่ CVE-2025-9804 ยังเปิดทางให้ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถสร้างบัญชีและยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบได้ทันที หากระบบเปิดให้สมัครสมาชิกด้วยตนเอง

    WSO2 ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ Crnkovic เตือนว่า “การใช้ regex ในการควบคุมสิทธิ์เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงสูง” และควรหลีกเลี่ยงในระบบที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง

    https://securityonline.info/researcher-details-critical-authentication-bypasses-in-wso2-api-manager-and-identity-server/
    🔓 WSO2 Auth Bypass: เมื่อ regex กลายเป็นจุดอ่อนของระบบ WSO2 เจอช่องโหว่ร้ายแรง: แฮกเกอร์สามารถข้ามการยืนยันตัวตนและเข้าถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้ทันที นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ 3 รายการใน WSO2 API Manager และ Identity Server ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมความเสี่ยงในการขโมยข้อมูลและรันโค้ดจากระยะไกล นักวิจัย Crnkovic ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการ ได้แก่ CVE-2025-9152, CVE-2025-10611, และ CVE-2025-9804 โดยแต่ละรายการมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “วิกฤต” และสามารถใช้โจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน จุดอ่อนหลักมาจากการใช้ regex ในการกำหนดสิทธิ์เข้าถึง ที่แยกออกจากตรรกะของแอปพลิเคชัน ทำให้เกิดช่องโหว่หลายรูปแบบ เช่น: 🪲 การใช้เครื่องหมาย / เพื่อหลบเลี่ยง regex 🪲 การใช้ HTTP method แบบตัวพิมพ์เล็ก เช่น “Post” แทน “POST” 🪲 การใช้ path ที่ถูก normalize โดย Java เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ตัวอย่างการโจมตี: 🪲 เข้าถึง endpoint /keymanager-operations/dcr/register/<client_id> เพื่อขโมย OAuth client secrets 🪲 ใช้ HTTP method “Post” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบสิทธิ์ 🪲 ใช้ URL encoding เพื่อเข้าถึง endpoint ที่ควรต้องมีการยืนยันตัวตน เช่น /scim2/Users ช่องโหว่ CVE-2025-9804 ยังเปิดทางให้ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถสร้างบัญชีและยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบได้ทันที หากระบบเปิดให้สมัครสมาชิกด้วยตนเอง WSO2 ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ Crnkovic เตือนว่า “การใช้ regex ในการควบคุมสิทธิ์เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงสูง” และควรหลีกเลี่ยงในระบบที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง https://securityonline.info/researcher-details-critical-authentication-bypasses-in-wso2-api-manager-and-identity-server/
    SECURITYONLINE.INFO
    Researcher Details Critical Authentication Bypasses in WSO2 API Manager and Identity Server
    WSO2 patched three Critical flaws (CVSS 9.8) in API Manager/Identity Server. Flaws in regex access control and case-sensitive HTTP methods allow unauthenticated administrative takeover.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อชื่อ “Cameo” กลายเป็นสนามรบระหว่างของจริงกับของปลอม

    Cameo ฟ้อง OpenAI ปมฟีเจอร์ “Cameo” ใน Sora ละเมิดเครื่องหมายการค้าและสร้าง Deepfake ดารา แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง Cameo ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานใช้ชื่อ “Cameo” ในฟีเจอร์ใหม่ของ Sora ที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI โดยใส่ใบหน้าตนเองหรือคนอื่น ซึ่งอาจสร้างความสับสนและละเมิดสิทธิ์ของดารา

    Cameo เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อรับวิดีโอส่วนตัวจากคนดัง เช่น Jon Gruden หรือ Lisa Vanderpump โดยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Cameo” อย่างถูกต้อง แต่เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Sora ที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า “Cameo” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใส่ใบหน้าตัวเองหรือคนอื่นลงในวิดีโอ AI ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งทันที

    Cameo กล่าวหาว่า OpenAI “จงใจละเมิดเครื่องหมายการค้า” และ “เพิกเฉยต่อความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค” พร้อมระบุว่าเกิด “ความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้” ต่อแบรนด์ของตน

    OpenAI ตอบกลับว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของคำว่า Cameo” และกำลังพิจารณาคำฟ้องอยู่

    สิ่งที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจคือ:
    ฟีเจอร์ “Cameo” ของ Sora สามารถสร้างวิดีโอที่เหมือนจริงโดยใช้ใบหน้าคนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนดัง
    ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้แพลตฟอร์ม Cameo เพื่อรับวิดีโอจากคนดังจริง หรือใช้ Sora เพื่อสร้างวิดีโอปลอมที่เหมือนจริง
    มีการกล่าวอ้างว่า Sora ใช้ likeness ของคนดัง เช่น Mark Cuban และ Jake Paul โดยไม่ได้รับอนุญาต

    นอกจากนี้ Sora ยังถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลฝึก AI ที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น อนิเมะ บุคคลที่เสียชีวิต และเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองอื่น ๆ

    https://securityonline.info/ai-vs-authenticity-cameo-sues-openai-over-soras-cameo-deepfake-feature/
    🎭 เมื่อชื่อ “Cameo” กลายเป็นสนามรบระหว่างของจริงกับของปลอม Cameo ฟ้อง OpenAI ปมฟีเจอร์ “Cameo” ใน Sora ละเมิดเครื่องหมายการค้าและสร้าง Deepfake ดารา แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง Cameo ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานใช้ชื่อ “Cameo” ในฟีเจอร์ใหม่ของ Sora ที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI โดยใส่ใบหน้าตนเองหรือคนอื่น ซึ่งอาจสร้างความสับสนและละเมิดสิทธิ์ของดารา Cameo เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อรับวิดีโอส่วนตัวจากคนดัง เช่น Jon Gruden หรือ Lisa Vanderpump โดยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Cameo” อย่างถูกต้อง แต่เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Sora ที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า “Cameo” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใส่ใบหน้าตัวเองหรือคนอื่นลงในวิดีโอ AI ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งทันที Cameo กล่าวหาว่า OpenAI “จงใจละเมิดเครื่องหมายการค้า” และ “เพิกเฉยต่อความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค” พร้อมระบุว่าเกิด “ความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้” ต่อแบรนด์ของตน OpenAI ตอบกลับว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของคำว่า Cameo” และกำลังพิจารณาคำฟ้องอยู่ สิ่งที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจคือ: 🎗️ ฟีเจอร์ “Cameo” ของ Sora สามารถสร้างวิดีโอที่เหมือนจริงโดยใช้ใบหน้าคนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนดัง 🎗️ ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้แพลตฟอร์ม Cameo เพื่อรับวิดีโอจากคนดังจริง หรือใช้ Sora เพื่อสร้างวิดีโอปลอมที่เหมือนจริง 🎗️ มีการกล่าวอ้างว่า Sora ใช้ likeness ของคนดัง เช่น Mark Cuban และ Jake Paul โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ Sora ยังถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลฝึก AI ที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น อนิเมะ บุคคลที่เสียชีวิต และเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองอื่น ๆ https://securityonline.info/ai-vs-authenticity-cameo-sues-openai-over-soras-cameo-deepfake-feature/
    SECURITYONLINE.INFO
    AI vs. Authenticity: Cameo Sues OpenAI Over Sora’s ‘Cameo’ Deepfake Feature
    The Cameo celebrity platform sued OpenAI for trademark infringement over its Sora feature, arguing the name for AI-generated likenesses causes confusion and harms its brand.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • What sets FourPro Studio apart is its client-centered approach. Every project begins with understanding the brand’s values, goals, and target audience, allowing the team to craft solutions that truly resonate. Their blend of innovation, strategy, and creativity has earned them a reputation for delivering excellence across industries—from startups and e-commerce brands to established enterprises.

    https://www.a1jinternational.com/easy-4-pro
    What sets FourPro Studio apart is its client-centered approach. Every project begins with understanding the brand’s values, goals, and target audience, allowing the team to craft solutions that truly resonate. Their blend of innovation, strategy, and creativity has earned them a reputation for delivering excellence across industries—from startups and e-commerce brands to established enterprises. https://www.a1jinternational.com/easy-4-pro
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • A 200g gold bar is a highly popular choice among investors seeking a balance between affordability, liquidity, and long-term value. As one of the most versatile sizes in the bullion market, it offers substantial gold weight while remaining easy to store, trade, and transport. Whether you’re expanding your portfolio or making your first investment, the 200g gold bar represents a smart step toward financial security.

    https://www.a1mint.com/shop/gold/gold-bars/a1j-200g-gold-bar/
    A 200g gold bar is a highly popular choice among investors seeking a balance between affordability, liquidity, and long-term value. As one of the most versatile sizes in the bullion market, it offers substantial gold weight while remaining easy to store, trade, and transport. Whether you’re expanding your portfolio or making your first investment, the 200g gold bar represents a smart step toward financial security. https://www.a1mint.com/shop/gold/gold-bars/a1j-200g-gold-bar/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • พนันไม่เกี่ยวสแกมเมอร์ นักการเมืองทุกคนมีอดีต : [THE MESSAGE]
    ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม(กธ.) เผยกรณีมีการเชื่อมโยงนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรค กธ. เกี่ยวข้องกับเส้นเงินแก๊งสแกมเมอร์ เขาชี้แจงตัวเองแล้ว ขอให้ลองไปฟัง เป็นคดีเก่าที่ผ่านกระบวนการยุติธรรม เราไปพูดมากก็ไม่ดี วันนี้สังคมไทยมองทุกอย่างเป็นสแกมเมอร์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเขาพยายามแยกแยะและชี้แจงว่า เรื่องแก๊งสแกมเมอร์เป็นความผิดประเภทหนึ่ง พนันออนไลน์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การค้ามนุษย์ก็อีกประเภทหนึ่ง ต้องแยกกัน อะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมเขา อย่าเหมารวม ถ้าตรวจสอบทั้งหมด 400 กว่าชีวิตในสภา ทุกคนมีประวัติและอดีต จะให้เราซัดกันหรือ ตนเองมองว่ามันไม่ดี ส่วนการไปชี้แจงคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ วันนี้มีประชุมตั้งแต่เช้า บ่ายก็ติดภารกิจสำคัญ ไม่มีเวลา เหลือเวลาไม่กี่เดือนก็จะยุบสภาแล้ว พยายามทำอะไรที่เกิดประโยชน์กับประชาชน
    พนันไม่เกี่ยวสแกมเมอร์ นักการเมืองทุกคนมีอดีต : [THE MESSAGE] ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม(กธ.) เผยกรณีมีการเชื่อมโยงนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรค กธ. เกี่ยวข้องกับเส้นเงินแก๊งสแกมเมอร์ เขาชี้แจงตัวเองแล้ว ขอให้ลองไปฟัง เป็นคดีเก่าที่ผ่านกระบวนการยุติธรรม เราไปพูดมากก็ไม่ดี วันนี้สังคมไทยมองทุกอย่างเป็นสแกมเมอร์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเขาพยายามแยกแยะและชี้แจงว่า เรื่องแก๊งสแกมเมอร์เป็นความผิดประเภทหนึ่ง พนันออนไลน์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การค้ามนุษย์ก็อีกประเภทหนึ่ง ต้องแยกกัน อะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมเขา อย่าเหมารวม ถ้าตรวจสอบทั้งหมด 400 กว่าชีวิตในสภา ทุกคนมีประวัติและอดีต จะให้เราซัดกันหรือ ตนเองมองว่ามันไม่ดี ส่วนการไปชี้แจงคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ วันนี้มีประชุมตั้งแต่เช้า บ่ายก็ติดภารกิจสำคัญ ไม่มีเวลา เหลือเวลาไม่กี่เดือนก็จะยุบสภาแล้ว พยายามทำอะไรที่เกิดประโยชน์กับประชาชน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สตง.ล็อกเป้าสางแค้น ไม่ได้เลือกตรวจแค่กันจอมพลัง สื่อดังค่ายไหน ที่เคยได้งานรัฐแบบเฉพาะเจาะจงต้องโดนตรวจสอบให้หมด แยมฐาปนีย์ มติชน The Standard คงวิ่งกันขาขวิด ออกข่าวอวย สตง. กันน่าดู
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สตง.ล็อกเป้าสางแค้น ไม่ได้เลือกตรวจแค่กันจอมพลัง สื่อดังค่ายไหน ที่เคยได้งานรัฐแบบเฉพาะเจาะจงต้องโดนตรวจสอบให้หมด แยมฐาปนีย์ มติชน The Standard คงวิ่งกันขาขวิด ออกข่าวอวย สตง. กันน่าดู #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia ผนึกกำลัง Oracle สร้าง 7 ซูเปอร์คอม AI ให้รัฐบาลสหรัฐ – รวมพลังทะลุ 2,200 ExaFLOPS ด้วย Blackwell กว่าแสนตัว!”

    Nvidia ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Oracle และกระทรวงพลังงานสหรัฐ (DOE) เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI จำนวน 7 ระบบ โดยเฉพาะที่ Argonne National Laboratory ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของ “Equinox” และ “Solstice” สองระบบหลักที่ใช้ GPU Blackwell รวมกันกว่า 100,000 ตัว ให้พลังประมวลผลรวมสูงถึง 2,200 ExaFLOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ

    Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยใช้ GPU Blackwell จำนวน 10,000 ตัว ส่วน Solstice จะเป็นระบบขนาด 200 เมกะวัตต์ ที่ใช้ GPU Blackwell มากกว่า 100,000 ตัว และเมื่อเชื่อมต่อกับ Equinox จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดของ DOE

    ระบบเหล่านี้จะถูกใช้ในการสร้างโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์ และพัฒนา “agentic scientists” หรือ AI ที่สามารถค้นคว้าและตั้งสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วยตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia และ Oracle สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI 7 ระบบให้รัฐบาลสหรัฐ
    ใช้ GPU Blackwell รวมกว่า 100,000 ตัว
    พลังประมวลผลรวม 2,200 ExaFLOPS (FP4 สำหรับ AI)
    ระบบหลักคือ Equinox (10,000 GPU) และ Solstice (100,000+ GPU)
    Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026

    จุดประสงค์ของโครงการ
    สนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง
    พัฒนาโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์
    สร้าง “agentic AI” ที่สามารถตั้งสมมติฐานและทดลองได้เอง
    ขับเคลื่อนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ด้วย AI

    ความร่วมมือและการลงทุน
    ใช้โมเดล public-private partnership ระหว่าง Nvidia, Oracle และ DOE
    Oracle เป็นผู้สร้างระบบ Equinox และ Solstice
    ระบบจะใช้ซอฟต์แวร์ของ Nvidia เช่น Megatron-Core และ TensorRT

    ระบบอื่นในโครงการ
    Argonne ยังจะได้ระบบใหม่อีก 3 ตัว: Tara, Minerva และ Janus
    ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ Argonne Leadership Computing Facility

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-and-partners-to-build-seven-ai-supercomputers-for-the-u-s-govt-with-over-100-000-blackwell-gpus-combined-performance-of-2-200-exaflops-of-compute
    🚀 “Nvidia ผนึกกำลัง Oracle สร้าง 7 ซูเปอร์คอม AI ให้รัฐบาลสหรัฐ – รวมพลังทะลุ 2,200 ExaFLOPS ด้วย Blackwell กว่าแสนตัว!” Nvidia ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Oracle และกระทรวงพลังงานสหรัฐ (DOE) เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI จำนวน 7 ระบบ โดยเฉพาะที่ Argonne National Laboratory ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของ “Equinox” และ “Solstice” สองระบบหลักที่ใช้ GPU Blackwell รวมกันกว่า 100,000 ตัว ให้พลังประมวลผลรวมสูงถึง 2,200 ExaFLOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยใช้ GPU Blackwell จำนวน 10,000 ตัว ส่วน Solstice จะเป็นระบบขนาด 200 เมกะวัตต์ ที่ใช้ GPU Blackwell มากกว่า 100,000 ตัว และเมื่อเชื่อมต่อกับ Equinox จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดของ DOE ระบบเหล่านี้จะถูกใช้ในการสร้างโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์ และพัฒนา “agentic scientists” หรือ AI ที่สามารถค้นคว้าและตั้งสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วยตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia และ Oracle สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI 7 ระบบให้รัฐบาลสหรัฐ ➡️ ใช้ GPU Blackwell รวมกว่า 100,000 ตัว ➡️ พลังประมวลผลรวม 2,200 ExaFLOPS (FP4 สำหรับ AI) ➡️ ระบบหลักคือ Equinox (10,000 GPU) และ Solstice (100,000+ GPU) ➡️ Equinox จะเริ่มใช้งานในปี 2026 ✅ จุดประสงค์ของโครงการ ➡️ สนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง ➡️ พัฒนาโมเดล AI ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ สร้าง “agentic AI” ที่สามารถตั้งสมมติฐานและทดลองได้เอง ➡️ ขับเคลื่อนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ด้วย AI ✅ ความร่วมมือและการลงทุน ➡️ ใช้โมเดล public-private partnership ระหว่าง Nvidia, Oracle และ DOE ➡️ Oracle เป็นผู้สร้างระบบ Equinox และ Solstice ➡️ ระบบจะใช้ซอฟต์แวร์ของ Nvidia เช่น Megatron-Core และ TensorRT ✅ ระบบอื่นในโครงการ ➡️ Argonne ยังจะได้ระบบใหม่อีก 3 ตัว: Tara, Minerva และ Janus ➡️ ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ Argonne Leadership Computing Facility https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-and-partners-to-build-seven-ai-supercomputers-for-the-u-s-govt-with-over-100-000-blackwell-gpus-combined-performance-of-2-200-exaflops-of-compute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DGX Spark ของ Nvidia เจอแรงกดดัน – John Carmack ชี้ประสิทธิภาพไม่ถึงเป้า ร้อนจัด แถมรีบูตเอง!”

    Nvidia กำลังเผชิญแรงวิจารณ์หนัก หลังเปิดตัว DGX Spark ชุดพัฒนา AI ขนาดเล็กมูลค่า $4,000 ที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 โดยอดีต CTO ของ Oculus VR อย่าง John Carmack ออกมาเปิดเผยว่าอุปกรณ์นี้ไม่สามารถดึงพลังงานได้ถึงระดับที่โฆษณาไว้ และมีปัญหารีบูตตัวเองเมื่อใช้งานหนัก

    แม้จะโฆษณาว่า DGX Spark รองรับการประมวลผล FP4 แบบ sparse ได้ถึง 1 petaflop และรองรับการใช้พลังงานสูงสุด 240W แต่ Carmack พบว่าเครื่องของเขาดึงไฟได้เพียง 100W และให้ประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก นอกจากนี้ยังมีรายงานจากผู้ใช้หลายรายในฟอรัมของ Nvidia ว่าเครื่องมีปัญหารีบูตและความร้อนสูง

    การทดสอบจากเว็บไซต์ ServeTheHome ก็ยืนยันว่า DGX Spark ไม่สามารถดึงไฟได้ถึง 240W แม้จะใช้ CPU และ GPU พร้อมกัน โดยดึงได้เพียง 200W เท่านั้น

    AMD และ Framework ไม่รอช้า รีบเสนอทางเลือกใหม่ให้ Carmack ทดลองใช้ Strix Halo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่อาจตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพและความเสถียรได้ดีกว่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DGX Spark ราคา $4,000 ใช้ชิป Grace Blackwell GB10
    โฆษณาว่ารองรับ 1 PF FP4 (sparse) และใช้ไฟได้สูงสุด 240W
    John Carmack พบว่าเครื่องดึงไฟได้แค่ 100W และรีบูตตัวเอง
    ServeTheHome ยืนยันว่าเครื่องดึงไฟได้ไม่ถึง 240W แม้ใช้งานเต็มที่
    AMD และ Framework เสนอ Strix Halo ให้ Carmack ทดลองแทน

    จุดเด่นของ DGX Spark (ตามสเปก)
    128GB LPDDR5X RAM แบบ unified memory
    273GB/s memory bandwidth
    ใช้โครงสร้าง Grace CPU 20 คอร์ Arm + Blackwell GPU
    ออกแบบให้รันโมเดลขนาด 20B พารามิเตอร์ในเครื่องเดียว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/users-question-dgx-spark-performance
    🔥 “DGX Spark ของ Nvidia เจอแรงกดดัน – John Carmack ชี้ประสิทธิภาพไม่ถึงเป้า ร้อนจัด แถมรีบูตเอง!” Nvidia กำลังเผชิญแรงวิจารณ์หนัก หลังเปิดตัว DGX Spark ชุดพัฒนา AI ขนาดเล็กมูลค่า $4,000 ที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 โดยอดีต CTO ของ Oculus VR อย่าง John Carmack ออกมาเปิดเผยว่าอุปกรณ์นี้ไม่สามารถดึงพลังงานได้ถึงระดับที่โฆษณาไว้ และมีปัญหารีบูตตัวเองเมื่อใช้งานหนัก แม้จะโฆษณาว่า DGX Spark รองรับการประมวลผล FP4 แบบ sparse ได้ถึง 1 petaflop และรองรับการใช้พลังงานสูงสุด 240W แต่ Carmack พบว่าเครื่องของเขาดึงไฟได้เพียง 100W และให้ประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก นอกจากนี้ยังมีรายงานจากผู้ใช้หลายรายในฟอรัมของ Nvidia ว่าเครื่องมีปัญหารีบูตและความร้อนสูง การทดสอบจากเว็บไซต์ ServeTheHome ก็ยืนยันว่า DGX Spark ไม่สามารถดึงไฟได้ถึง 240W แม้จะใช้ CPU และ GPU พร้อมกัน โดยดึงได้เพียง 200W เท่านั้น AMD และ Framework ไม่รอช้า รีบเสนอทางเลือกใหม่ให้ Carmack ทดลองใช้ Strix Halo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่อาจตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพและความเสถียรได้ดีกว่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DGX Spark ราคา $4,000 ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 ➡️ โฆษณาว่ารองรับ 1 PF FP4 (sparse) และใช้ไฟได้สูงสุด 240W ➡️ John Carmack พบว่าเครื่องดึงไฟได้แค่ 100W และรีบูตตัวเอง ➡️ ServeTheHome ยืนยันว่าเครื่องดึงไฟได้ไม่ถึง 240W แม้ใช้งานเต็มที่ ➡️ AMD และ Framework เสนอ Strix Halo ให้ Carmack ทดลองแทน ✅ จุดเด่นของ DGX Spark (ตามสเปก) ➡️ 128GB LPDDR5X RAM แบบ unified memory ➡️ 273GB/s memory bandwidth ➡️ ใช้โครงสร้าง Grace CPU 20 คอร์ Arm + Blackwell GPU ➡️ ออกแบบให้รันโมเดลขนาด 20B พารามิเตอร์ในเครื่องเดียว https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/users-question-dgx-spark-performance
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD swoops in to help as John Carmack slams Nvidia's $4,000 DGX Spark, says it doesn't hit performance claims, overheats, and maxes out at 100W power draw — developer forums inundated with crashing and shutdown reports
    The $4,000 Grace Blackwell dev kit is rated for 240W and 1 PF of sparse FP4 compute, but early users report 100W ceilings and reboot issues under sustained load.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน”

    OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล

    นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง

    OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ

    ข้อเสนอหลักจาก OpenAI
    สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี
    ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน
    ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน
    ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม

    เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน
    จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว
    สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ
    โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล

    ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI
    จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก
    ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ
    สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม

    สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ ..

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    ⚡ หัวข้อข่าว: “OpenAI เรียกร้องให้สหรัฐสร้างไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี – ชี้พลังงานคืออาวุธลับในสงคราม AI กับจีน” OpenAI ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดผ่านบล็อก “Seizing the AI Opportunity” พร้อมยื่นข้อเสนอถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI กับจีน โดยระบุว่า “ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่คือทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดผู้นำเทคโนโลยีแห่งอนาคต OpenAI เตือนว่า “ช่องว่างพลังงาน” หรือ “electron gap” กำลังขยายตัวอย่างน่ากังวล โดยในปี 2024 จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 429 GW ขณะที่สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW ซึ่งอาจทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล นอกจากการเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ OpenAI ยังเสนอให้เร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานโดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบเอกสารและลดขั้นตอนราชการ พร้อมเสนอให้ใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” เพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐบาลกลาง OpenAI ยังเสนอให้จัดตั้ง “คลังสำรองวัตถุดิบ” สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และแร่หายาก เพื่อป้องกันการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบที่สำคัญ ✅ ข้อเสนอหลักจาก OpenAI ➡️ สร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี ➡️ ใช้ AI ช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงาน ➡️ ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ “ปลดล็อก” การลงทุนด้านพลังงาน ➡️ ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเร่งการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ✅ เหตุผลที่ต้องเร่งสร้างพลังงาน ➡️ จีนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 429 GW ในปีเดียว ➡️ สหรัฐเพิ่มเพียง 51 GW – เกิด “ช่องว่างพลังงาน” ที่อาจทำให้เสียเปรียบ ➡️ โครงสร้างพื้นฐาน AI เช่นศูนย์ข้อมูล ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล ✅ ข้อเสนอเสริมเพื่อความมั่นคงด้าน AI ➡️ จัดตั้งคลังสำรองวัตถุดิบ เช่น ทองแดง แร่หายาก ➡️ ลดการพึ่งพาจีนในด้านวัตถุดิบสำคัญ ➡️ สร้างโอกาสงานใหม่ในสายอาชีพช่าง เช่น ช่างไฟ ช่างกล ช่างเชื่อม สั้นๆ สำหรับลุง คุณแซมคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ .. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-calls-on-u-s-to-build-100-gigawatts-of-additional-power-generating-capacity-per-year-says-electricity-is-a-strategic-asset-in-ai-race-against-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร”

    ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ

    แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง

    โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต

    จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV
    วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ
    ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง
    ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ

    ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
    วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก
    ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์
    เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร

    การใช้งานในภารกิจจริง
    ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้
    ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน
    มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ

    การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ
    ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า
    มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    📦 หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร” ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต ✅ จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV ➡️ วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ➡️ ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง ➡️ ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ ✅ ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ➡️ วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก ➡️ ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ ➡️ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร ✅ การใช้งานในภารกิจจริง ➡️ ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน ➡️ มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ ✅ การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ ➡️ ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า ➡️ มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “แฮกพลัง RTX 4090 โน้ตบุ๊กด้วยชุนต์ม็อด ดันทะลุขีดจำกัด แซงหน้า RTX 5090!”

    วันนี้มีเรื่องเล่าจากโลกของเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ ที่ไม่ยอมให้ข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์มาขวางความแรง! ผู้ใช้ Reddit นามว่า “u/thatavidreadertrue” ได้ทำการ “ชุนต์ม็อด” กับโน้ตบุ๊ก ASUS ROG Zephyrus M16 ที่ใช้ GPU RTX 4090 เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่ และผลลัพธ์คือ…แรงทะลุเพดาน แซง RTX 5090 ไปแบบไม่เกรงใจ!

    ชุนต์ม็อดคือการปรับแต่งวงจรไฟฟ้า โดยการเพิ่มตัวต้านทานขนาดเล็ก (1 mΩ) เข้าไปคู่ขนานกับตัวเดิม (5 mΩ) ทำให้ GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทั้งที่จริงแล้วมันดูดไฟถึง 240W จากเดิมที่จำกัดไว้แค่ 150W! ผลคือ GPU สามารถเร่งความเร็วได้มากขึ้นโดยไม่ถูกจำกัดจากเฟิร์มแวร์

    แม้จะไม่มีการทดสอบเกมจริง แต่ผล Benchmark ก็ชัดเจนว่า RTX 4090 ที่ผ่านการม็อดสามารถแซง RTX 5090 ได้ในหลายการทดสอบ เช่น Solar Bay Extreme ที่ได้คะแนนสูงกว่าถึง 7.6% และเหนือกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5%

    เพื่อรับมือกับความร้อนที่เพิ่มขึ้น เจ้าของเครื่องได้เปลี่ยนวัสดุระบายความร้อนเป็น PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra พร้อมกับ undervolt GPU ให้ใช้ไฟต่ำลงเพื่อความปลอดภัย

    ที่น่าสนใจคือ โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ซื้อจากตลาดมือสองในราคาแค่ $1600! เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ถือว่าเป็น “ดีลเทพ” สำหรับสายโมดิฟาย

    การม็อดชุนต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ GPU
    ลดค่าความต้านทานจาก 5 mΩ เหลือ 0.83 mΩ
    GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทำให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น
    จาก 150W TGP กลายเป็นการใช้ไฟจริงถึง 240W

    ผล Benchmark แสดงให้เห็นถึงความแรงที่เพิ่มขึ้น
    Solar Bay Extreme สูงกว่า RTX 5090 ถึง 7.6%
    สูงกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5%
    คะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

    การจัดการความร้อนหลังม็อด
    ใช้ PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra แทนของเดิม
    GPU อยู่ที่ 80–84°C โดยไม่ throttle
    CPU ร้อนถึง 90°C แต่ยังควบคุมได้

    การ undervolt เพื่อความปลอดภัย
    จำกัดแรงดันไฟฟ้าไว้ที่ 800mV ขณะเล่นเกม
    ลดความเสี่ยงจากการเร่งความเร็วเกินขีดจำกัด

    ความคุ้มค่าด้านราคา
    ซื้อเครื่องมือสองในราคา $1600
    หลังม็อดแล้วแรงกว่า RTX 5090 ที่ราคาสูงกว่า

    การม็อดชุนต์มีความเสี่ยงสูง
    อาจทำให้เครื่องเสียหายถาวร หากทำไม่ถูกต้อง
    อุปกรณ์ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ไฟเกินขีดจำกัด

    ความร้อนที่เพิ่มขึ้นต้องจัดการอย่างเหมาะสม
    หากระบายความร้อนไม่ดี อาจเกิดการ throttle หรือ shutdown
    อุณหภูมิ CPU ที่สูงอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน

    การ undervolt ต้องทำอย่างระมัดระวัง
    หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ระบบไม่เสถียรหรือค้าง

    https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/rtx-4090-laptop-gpu-gets-20-percent-performance-boost-after-shunt-mod-consuming-up-to-240w-reduced-resistance-means-it-also-beats-the-mobile-rtx-5090-on-average
    🛠️ หัวข้อข่าว: “แฮกพลัง RTX 4090 โน้ตบุ๊กด้วยชุนต์ม็อด ดันทะลุขีดจำกัด แซงหน้า RTX 5090!” วันนี้มีเรื่องเล่าจากโลกของเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ ที่ไม่ยอมให้ข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์มาขวางความแรง! ผู้ใช้ Reddit นามว่า “u/thatavidreadertrue” ได้ทำการ “ชุนต์ม็อด” กับโน้ตบุ๊ก ASUS ROG Zephyrus M16 ที่ใช้ GPU RTX 4090 เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่ และผลลัพธ์คือ…แรงทะลุเพดาน แซง RTX 5090 ไปแบบไม่เกรงใจ! ชุนต์ม็อดคือการปรับแต่งวงจรไฟฟ้า โดยการเพิ่มตัวต้านทานขนาดเล็ก (1 mΩ) เข้าไปคู่ขนานกับตัวเดิม (5 mΩ) ทำให้ GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทั้งที่จริงแล้วมันดูดไฟถึง 240W จากเดิมที่จำกัดไว้แค่ 150W! ผลคือ GPU สามารถเร่งความเร็วได้มากขึ้นโดยไม่ถูกจำกัดจากเฟิร์มแวร์ แม้จะไม่มีการทดสอบเกมจริง แต่ผล Benchmark ก็ชัดเจนว่า RTX 4090 ที่ผ่านการม็อดสามารถแซง RTX 5090 ได้ในหลายการทดสอบ เช่น Solar Bay Extreme ที่ได้คะแนนสูงกว่าถึง 7.6% และเหนือกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5% เพื่อรับมือกับความร้อนที่เพิ่มขึ้น เจ้าของเครื่องได้เปลี่ยนวัสดุระบายความร้อนเป็น PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra พร้อมกับ undervolt GPU ให้ใช้ไฟต่ำลงเพื่อความปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ซื้อจากตลาดมือสองในราคาแค่ $1600! เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ถือว่าเป็น “ดีลเทพ” สำหรับสายโมดิฟาย ✅ การม็อดชุนต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ➡️ ลดค่าความต้านทานจาก 5 mΩ เหลือ 0.83 mΩ ➡️ GPU เข้าใจผิดว่าตัวเองใช้ไฟน้อยลง ทำให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น ➡️ จาก 150W TGP กลายเป็นการใช้ไฟจริงถึง 240W ✅ ผล Benchmark แสดงให้เห็นถึงความแรงที่เพิ่มขึ้น ➡️ Solar Bay Extreme สูงกว่า RTX 5090 ถึง 7.6% ➡️ สูงกว่า RTX 4090 รุ่นเดิมถึง 35.5% ➡️ คะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ✅ การจัดการความร้อนหลังม็อด ➡️ ใช้ PTM7950 และ Upsiren UX Pro Ultra แทนของเดิม ➡️ GPU อยู่ที่ 80–84°C โดยไม่ throttle ➡️ CPU ร้อนถึง 90°C แต่ยังควบคุมได้ ✅ การ undervolt เพื่อความปลอดภัย ➡️ จำกัดแรงดันไฟฟ้าไว้ที่ 800mV ขณะเล่นเกม ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเร่งความเร็วเกินขีดจำกัด ✅ ความคุ้มค่าด้านราคา ➡️ ซื้อเครื่องมือสองในราคา $1600 ➡️ หลังม็อดแล้วแรงกว่า RTX 5090 ที่ราคาสูงกว่า ‼️ การม็อดชุนต์มีความเสี่ยงสูง ⛔ อาจทำให้เครื่องเสียหายถาวร หากทำไม่ถูกต้อง ⛔ อุปกรณ์ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ไฟเกินขีดจำกัด ‼️ ความร้อนที่เพิ่มขึ้นต้องจัดการอย่างเหมาะสม ⛔ หากระบายความร้อนไม่ดี อาจเกิดการ throttle หรือ shutdown ⛔ อุณหภูมิ CPU ที่สูงอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน ‼️ การ undervolt ต้องทำอย่างระมัดระวัง ⛔ หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ระบบไม่เสถียรหรือค้าง https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/rtx-4090-laptop-gpu-gets-20-percent-performance-boost-after-shunt-mod-consuming-up-to-240w-reduced-resistance-means-it-also-beats-the-mobile-rtx-5090-on-average
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • “คลิปเดียวเปลี่ยนชีวิต: โลกใหม่ของการตลาดไวรัลยุค MrBeast”

    ใครจะคิดว่าเบื้องหลังความสำเร็จของ MrBeast ยูทูบเบอร์อันดับหนึ่งของโลกที่มีผู้ติดตามกว่า 448 ล้านคน จะมีกองทัพ “คลิปเปอร์” หรือผู้ตัดต่อวิดีโอสั้นกว่า 23,000 คน คอยสร้างคลิปไวรัลจากวิดีโอยาวของเขา แล้วปล่อยลง TikTok, Instagram และ YouTube Shorts เพื่อดึงผู้ชมกลับไปยังช่องหลัก

    บริษัท Clipping ที่ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี คือผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์นี้ โดยจ่ายเงินให้คลิปเปอร์ตั้งแต่ 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว ไปจนถึง 1,500 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านวิว พร้อมเก็บค่าสมาชิกจากลูกค้ารายเดือนสูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์

    คลิปเปอร์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัดต่อวิดีโอธรรมดา แต่ต้อง “จับจังหวะไวรัล” ภายใน 1-2 วินาทีแรกของคลิป เช่น การใส่คำโปรยตลก หรือจับช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวิดีโอมาใช้

    สาระเพิ่มเติม: กลยุทธ์นี้คล้ายกับการซื้อโฆษณาในยุคก่อน แต่เปลี่ยนจากทีวีหรือวิทยุ มาเป็น “พื้นที่บนหน้าจอมือถือ” ของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งมีพลังในการเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่มเป้าหมาย

    MrBeast ใช้คลิปเปอร์กว่า 23,000 คนช่วยโปรโมตวิดีโอ
    คลิปเปอร์ตัดวิดีโอสั้นจากคลิปหลักแล้วโพสต์ลงโซเชียล
    ได้ค่าตอบแทนตามยอดวิว เช่น 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว

    บริษัท Clipping คือผู้ให้บริการเบื้องหลัง
    ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี
    มีลูกค้าระดับศิลปินดัง เช่น Offset, Ice Spice, Jake Paul

    กลยุทธ์ “Clipping” คือการตลาดยุคใหม่
    เปลี่ยนจากโฆษณาแบบเดิมเป็นการซื้อพื้นที่ในฟีดโซเชียล
    ใช้คลิปไวรัลเพื่อดึงผู้ชมไปยังแพลตฟอร์มหลัก เช่น YouTube, Spotify

    รายได้ของ Clipping ปีนี้สูงถึง 7.7 ล้านดอลลาร์
    ส่วนใหญ่รับเป็นคริปโต
    มีแผนขยายบริการไปยังเพลงเก่าและศิลปินหน้าใหม่ในปี 2026

    ความท้าทายของการตลาดแบบ Clipping
    ความเสี่ยงด้านคุณภาพของเนื้อหาเมื่อใช้แรงงานจำนวนมาก
    การควบคุมเนื้อหาที่อาจผิดจริยธรรมหรือสร้างความเข้าใจผิด
    ความอิ่มตัวของผู้ชมต่อคลิปไวรัลที่ซ้ำซาก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/paid-armies-of-clippers-boost-internet-stars-like-mrbeast
    🎬📱 “คลิปเดียวเปลี่ยนชีวิต: โลกใหม่ของการตลาดไวรัลยุค MrBeast” ใครจะคิดว่าเบื้องหลังความสำเร็จของ MrBeast ยูทูบเบอร์อันดับหนึ่งของโลกที่มีผู้ติดตามกว่า 448 ล้านคน จะมีกองทัพ “คลิปเปอร์” หรือผู้ตัดต่อวิดีโอสั้นกว่า 23,000 คน คอยสร้างคลิปไวรัลจากวิดีโอยาวของเขา แล้วปล่อยลง TikTok, Instagram และ YouTube Shorts เพื่อดึงผู้ชมกลับไปยังช่องหลัก บริษัท Clipping ที่ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี คือผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์นี้ โดยจ่ายเงินให้คลิปเปอร์ตั้งแต่ 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว ไปจนถึง 1,500 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านวิว พร้อมเก็บค่าสมาชิกจากลูกค้ารายเดือนสูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์ คลิปเปอร์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัดต่อวิดีโอธรรมดา แต่ต้อง “จับจังหวะไวรัล” ภายใน 1-2 วินาทีแรกของคลิป เช่น การใส่คำโปรยตลก หรือจับช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวิดีโอมาใช้ 💡 สาระเพิ่มเติม: กลยุทธ์นี้คล้ายกับการซื้อโฆษณาในยุคก่อน แต่เปลี่ยนจากทีวีหรือวิทยุ มาเป็น “พื้นที่บนหน้าจอมือถือ” ของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งมีพลังในการเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่มเป้าหมาย ✅ MrBeast ใช้คลิปเปอร์กว่า 23,000 คนช่วยโปรโมตวิดีโอ ➡️ คลิปเปอร์ตัดวิดีโอสั้นจากคลิปหลักแล้วโพสต์ลงโซเชียล ➡️ ได้ค่าตอบแทนตามยอดวิว เช่น 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว ✅ บริษัท Clipping คือผู้ให้บริการเบื้องหลัง ➡️ ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี ➡️ มีลูกค้าระดับศิลปินดัง เช่น Offset, Ice Spice, Jake Paul ✅ กลยุทธ์ “Clipping” คือการตลาดยุคใหม่ ➡️ เปลี่ยนจากโฆษณาแบบเดิมเป็นการซื้อพื้นที่ในฟีดโซเชียล ➡️ ใช้คลิปไวรัลเพื่อดึงผู้ชมไปยังแพลตฟอร์มหลัก เช่น YouTube, Spotify ✅ รายได้ของ Clipping ปีนี้สูงถึง 7.7 ล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วนใหญ่รับเป็นคริปโต ➡️ มีแผนขยายบริการไปยังเพลงเก่าและศิลปินหน้าใหม่ในปี 2026 ‼️ ความท้าทายของการตลาดแบบ Clipping ⛔ ความเสี่ยงด้านคุณภาพของเนื้อหาเมื่อใช้แรงงานจำนวนมาก ⛔ การควบคุมเนื้อหาที่อาจผิดจริยธรรมหรือสร้างความเข้าใจผิด ⛔ ความอิ่มตัวของผู้ชมต่อคลิปไวรัลที่ซ้ำซาก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/paid-armies-of-clippers-boost-internet-stars-like-mrbeast
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Paid armies of 'clippers' boost Internet stars like MrBeast
    It's hard to imagine that MrBeast, the most popular YouTuber, needs help getting and keeping fans.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อการคาดการณ์กลายเป็นธุรกิจ: Truth Predict กำลังจะมา!”

    Trump Media and Technology Group ประกาศเปิดตัว “Truth Predict” — ตลาดทำนายเหตุการณ์ (Prediction Markets) บนแพลตฟอร์ม Truth Social โดยร่วมมือกับ Crypto.com เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถลงทุนจากการคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ เช่น กีฬา การเมือง บันเทิง และเศรษฐกิจ

    ระบบนี้จะเริ่มทดลองใช้งาน (Beta) เร็วๆ นี้ ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในสหรัฐฯ และมีแผนขยายสู่ระดับโลกในอนาคต โดยใช้แพลตฟอร์ม Truth+ สำหรับสตรีมมิ่ง และ Truth.Fi สำหรับบริการด้านการเงิน

    Prediction Markets เป็นตลาดที่ให้ผู้คนซื้อขาย “สัญญา” ตามผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในอนาคต เช่น การเลือกตั้ง หรือผลการแข่งขันกีฬา ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 และถูกมองว่าอาจแม่นยำกว่าการสำรวจความคิดเห็นแบบดั้งเดิมในบางกรณี

    Devin Nunes ซีอีโอของ Trump Media กล่าวว่า “Truth Predict จะเปลี่ยนเสรีภาพในการพูดให้กลายเป็นพลังแห่งการคาดการณ์” โดยเน้นการกระจายอำนาจจากกลุ่มทุนใหญ่สู่ประชาชนทั่วไป

    สาระเพิ่มเติม: ตลาดทำนายเหตุการณ์มีความคล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้น แต่แทนที่จะลงทุนในบริษัท นักลงทุนจะลงทุนใน “ความน่าจะเป็น” ของเหตุการณ์ เช่น “ใครจะชนะเลือกตั้ง” หรือ “ราคาน้ำมันจะเกิน $100 ในเดือนหน้า”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/trump-media-to-enter-prediction-markets-business
    📊🔮 “เมื่อการคาดการณ์กลายเป็นธุรกิจ: Truth Predict กำลังจะมา!” Trump Media and Technology Group ประกาศเปิดตัว “Truth Predict” — ตลาดทำนายเหตุการณ์ (Prediction Markets) บนแพลตฟอร์ม Truth Social โดยร่วมมือกับ Crypto.com เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถลงทุนจากการคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆ เช่น กีฬา การเมือง บันเทิง และเศรษฐกิจ ระบบนี้จะเริ่มทดลองใช้งาน (Beta) เร็วๆ นี้ ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในสหรัฐฯ และมีแผนขยายสู่ระดับโลกในอนาคต โดยใช้แพลตฟอร์ม Truth+ สำหรับสตรีมมิ่ง และ Truth.Fi สำหรับบริการด้านการเงิน Prediction Markets เป็นตลาดที่ให้ผู้คนซื้อขาย “สัญญา” ตามผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในอนาคต เช่น การเลือกตั้ง หรือผลการแข่งขันกีฬา ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 และถูกมองว่าอาจแม่นยำกว่าการสำรวจความคิดเห็นแบบดั้งเดิมในบางกรณี Devin Nunes ซีอีโอของ Trump Media กล่าวว่า “Truth Predict จะเปลี่ยนเสรีภาพในการพูดให้กลายเป็นพลังแห่งการคาดการณ์” โดยเน้นการกระจายอำนาจจากกลุ่มทุนใหญ่สู่ประชาชนทั่วไป 💡 สาระเพิ่มเติม: ตลาดทำนายเหตุการณ์มีความคล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้น แต่แทนที่จะลงทุนในบริษัท นักลงทุนจะลงทุนใน “ความน่าจะเป็น” ของเหตุการณ์ เช่น “ใครจะชนะเลือกตั้ง” หรือ “ราคาน้ำมันจะเกิน $100 ในเดือนหน้า” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/trump-media-to-enter-prediction-markets-business
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump Media to enter prediction markets business
    (Reuters) -Trump Media and Technology Group said on Tuesday it will introduce prediction markets on its social media platform Truth Social through a partnership with Crypto.com, as event-driven markets continue to make inroads into mainstream finance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Foxconn x Nvidia: โรงงานอัจฉริยะกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์กำลังมา!”

    Foxconn ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้ประกาศว่าจะเริ่มติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 โดยหุ่นยนต์เหล่านี้จะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N ซึ่งเป็นระบบ AI ขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานในสายการผลิตโดยเฉพาะ

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการสร้าง “โรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก” ที่สามารถผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในขั้นตอนหลักของการผลิต

    นอกจากโรงงานฮิวสตันแล้ว Foxconn ยังมีแผนขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐเท็กซัส วิสคอนซิน และแคลิฟอร์เนีย เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุค AI

    สาระเพิ่มเติม: หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ (Humanoid Robots) คือหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างและการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับมนุษย์ ซึ่งสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การประกอบชิ้นส่วน การตรวจสอบคุณภาพ หรือแม้แต่การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในโรงงาน

    Foxconn เตรียมติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานฮิวสตัน
    ใช้เทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N
    เริ่มใช้งานในไตรมาสแรกของปี 2026

    เป้าหมายคือสร้างโรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก
    ลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์
    เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI

    ขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐอื่นในสหรัฐฯ
    เท็กซัส
    วิสคอนซิน
    แคลิฟอร์เนีย

    Foxconn เป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI
    รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในยุค AI
    ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของสหรัฐฯ

    ความท้าทายในการใช้หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในสายการผลิต
    ความปลอดภัยในการทำงานร่วมกับมนุษย์
    การบำรุงรักษาและการจัดการระบบ AI ที่ซับซ้อน
    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและข้อมูลในระบบอัจฉริยะ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/foxconn-to-deploy-humanoid-robots-at-houston-ai-server-plant
    🤖🏭 “Foxconn x Nvidia: โรงงานอัจฉริยะกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์กำลังมา!” Foxconn ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้ประกาศว่าจะเริ่มติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 โดยหุ่นยนต์เหล่านี้จะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N ซึ่งเป็นระบบ AI ขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานในสายการผลิตโดยเฉพาะ เป้าหมายของโครงการนี้คือการสร้าง “โรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก” ที่สามารถผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในขั้นตอนหลักของการผลิต นอกจากโรงงานฮิวสตันแล้ว Foxconn ยังมีแผนขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐเท็กซัส วิสคอนซิน และแคลิฟอร์เนีย เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุค AI 💡 สาระเพิ่มเติม: หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ (Humanoid Robots) คือหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างและการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับมนุษย์ ซึ่งสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การประกอบชิ้นส่วน การตรวจสอบคุณภาพ หรือแม้แต่การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในโรงงาน ✅ Foxconn เตรียมติดตั้งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในโรงงานฮิวสตัน ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVIDIA Isaac GR00T N ➡️ เริ่มใช้งานในไตรมาสแรกของปี 2026 ✅ เป้าหมายคือสร้างโรงงานอัจฉริยะต้นแบบระดับโลก ➡️ ลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ ➡️ เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ ขยายการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ไปยังรัฐอื่นในสหรัฐฯ ➡️ เท็กซัส ➡️ วิสคอนซิน ➡️ แคลิฟอร์เนีย ✅ Foxconn เป็นพันธมิตรหลักของ Nvidia ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ➡️ รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในยุค AI ➡️ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของสหรัฐฯ ‼️ ความท้าทายในการใช้หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในสายการผลิต ⛔ ความปลอดภัยในการทำงานร่วมกับมนุษย์ ⛔ การบำรุงรักษาและการจัดการระบบ AI ที่ซับซ้อน ⛔ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและข้อมูลในระบบอัจฉริยะ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/foxconn-to-deploy-humanoid-robots-at-houston-ai-server-plant
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Foxconn to deploy humanoid robots at Houston AI server plant
    TAIPEI (Reuters) -Foxconn, the world's largest electronics maker and Nvidia's key AI server maker, said on Tuesday it will deploy humanoid robots at its Houston plant that produces AI servers for Nvidia.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development

    “สามยักษ์ใหญ่ผนึกกำลัง! Stellantis x Nvidia x Uber ลุยตลาดรถไร้คนขับ”
    ลองนึกภาพรถแท็กซี่ที่ไม่มีคนขับ แต่สามารถพาคุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ… นั่นคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง! Stellantis ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากยุโรป ประกาศจับมือกับ Nvidia และ Uber เพื่อพัฒนา “Robotaxi” หรือรถแท็กซี่ไร้คนขับระดับอัตโนมัติขั้นสูง (Level 4) ที่สามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องมีคนคอยควบคุมเลย

    การร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การรวมเทคโนโลยี แต่เป็นการรวม “จุดแข็ง” ของแต่ละบริษัท:
    Stellantis มีโรงงานผลิตและความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์
    Nvidia มีระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    Uber มีเครือข่ายการให้บริการขนส่งที่ครอบคลุมทั่วโลก

    นอกจากนี้ยังมี Foxconn เข้ามาเสริมทัพด้านอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้รถเหล่านี้มีระบบภายในที่ทันสมัยและเชื่อถือได้

    สาระเพิ่มเติม: รถระดับ Level 4 หมายถึงรถที่สามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุมในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ ซึ่งต่างจาก Level 3 ที่ยังต้องมีคนคอยดูแลในบางสถานการณ์

    ความร่วมมือระดับโลกเพื่อพัฒนา Robotaxi
    Stellantis จับมือ Nvidia, Uber และ Foxconn
    เป้าหมายคือการสร้างรถไร้คนขับระดับ Level 4

    จุดแข็งของแต่ละบริษัทที่นำมารวมกัน
    Nvidia: ระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    Uber: เครือข่ายบริการขนส่งทั่วโลก
    Foxconn: เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
    Stellantis: ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์

    เทคโนโลยีที่ใช้ใน Robotaxi
    ระบบ AI ประมวลผลแบบเรียลไทม์
    เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งรอบข้าง
    ระบบนำทางอัจฉริยะ

    ความหมายของ Level 4 Autonomy
    รถสามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    ใช้งานได้ในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    ความปลอดภัยของผู้โดยสารในกรณีฉุกเฉิน
    การรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน เช่น ฝนตกหนักหรือถนนลื่น
    ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้โดยสารที่อาจถูกเก็บผ่านระบบ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development
    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development 🤖🚕 “สามยักษ์ใหญ่ผนึกกำลัง! Stellantis x Nvidia x Uber ลุยตลาดรถไร้คนขับ” ลองนึกภาพรถแท็กซี่ที่ไม่มีคนขับ แต่สามารถพาคุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ… นั่นคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง! Stellantis ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากยุโรป ประกาศจับมือกับ Nvidia และ Uber เพื่อพัฒนา “Robotaxi” หรือรถแท็กซี่ไร้คนขับระดับอัตโนมัติขั้นสูง (Level 4) ที่สามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องมีคนคอยควบคุมเลย การร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การรวมเทคโนโลยี แต่เป็นการรวม “จุดแข็ง” ของแต่ละบริษัท: 💠 Stellantis มีโรงงานผลิตและความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ 💠 Nvidia มีระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 💠 Uber มีเครือข่ายการให้บริการขนส่งที่ครอบคลุมทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี Foxconn เข้ามาเสริมทัพด้านอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้รถเหล่านี้มีระบบภายในที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ 💡 สาระเพิ่มเติม: รถระดับ Level 4 หมายถึงรถที่สามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุมในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ ซึ่งต่างจาก Level 3 ที่ยังต้องมีคนคอยดูแลในบางสถานการณ์ ✅ ความร่วมมือระดับโลกเพื่อพัฒนา Robotaxi ➡️ Stellantis จับมือ Nvidia, Uber และ Foxconn ➡️ เป้าหมายคือการสร้างรถไร้คนขับระดับ Level 4 ✅ จุดแข็งของแต่ละบริษัทที่นำมารวมกัน ➡️ Nvidia: ระบบ AI และซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ➡️ Uber: เครือข่ายบริการขนส่งทั่วโลก ➡️ Foxconn: เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ➡️ Stellantis: ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ใน Robotaxi ➡️ ระบบ AI ประมวลผลแบบเรียลไทม์ ➡️ เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งรอบข้าง ➡️ ระบบนำทางอัจฉริยะ ✅ ความหมายของ Level 4 Autonomy ➡️ รถสามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม ➡️ ใช้งานได้ในพื้นที่ที่กำหนด เช่น เมืองหรือเส้นทางเฉพาะ ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ ความปลอดภัยของผู้โดยสารในกรณีฉุกเฉิน ⛔ การรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน เช่น ฝนตกหนักหรือถนนลื่น ⛔ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้โดยสารที่อาจถูกเก็บผ่านระบบ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/stellantis-ties-up-with-nvidia-uber-to-advance-robotaxi-development
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Stellantis ties up with Nvidia, Uber to advance robotaxi development
    (Reuters) -Stellantis said on Tuesday it has partnered with Nvidia, Uber and Foxconn to explore the joint development of autonomous vehicles, aiming to tap into the booming demand for self-driving cars.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล

    บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ

    ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์
    การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์
    แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย
    อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

    ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ
    บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน
    ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า

    แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย
    ใช้การเข้ารหัส (Encryption)
    ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส
    ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต

    ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection
    ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ

    เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว
    เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน
    ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น

    อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ
    ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก
    รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส

    ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ
    ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้
    หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก



    https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    🔐 วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ 🚨 ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์ ✅ การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์ ➡️ แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ➡️ อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร ✅ ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ ➡️ บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน ➡️ ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า 📙 แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย ✅ ใช้การเข้ารหัส (Encryption) ➡️ ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส ➡️ ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ✅ ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection ➡️ ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ ✅ เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว ➡️ เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน ➡️ ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น ✅ อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ ➡️ ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส ✅ ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ ➡️ ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้ ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    HACKREAD.COM
    How to keep your data safe when transferring large files
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าเสียบสิ่งเหล่านี้เข้าช่อง 12V ในรถ! แม้จะดูเหมือนปลอดภัย แต่บางอย่างอาจทำให้รถพังหรือแบตหมดข้ามคืน

    ช่องจ่ายไฟ 12V ในรถยนต์ (ที่หลายคนยังเรียกว่าช่องจุดบุหรี่) ถูกออกแบบมาเพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ควรเสียบเข้าไป — บางอย่างอาจทำให้ระบบไฟฟ้าเสียหายหรือทำให้แบตเตอรี่หมดโดยไม่รู้ตัว.

    สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสียบเข้าช่อง 12V

    1️⃣ หัวจุดบุหรี่แบบเก่า
    ช่อง 12V ในรถรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่รองรับหัวจุดบุหรี่แล้ว
    หากฝืนเสียบเข้าไป อาจทำให้ช่องร้อนเกินและเกิดความเสียหาย

    2️⃣ Power inverter ที่ไม่เหมาะสม
    อินเวอร์เตอร์ที่แปลงไฟ DC เป็น AC ต้องเลือกให้ตรงกับกำลังไฟของรถ
    หากใช้รุ่นที่ดึงไฟมากเกินไป อาจทำให้ฟิวส์ขาดหรือระบบไฟเสีย

    3️⃣ อุปกรณ์ที่เสียบค้างไว้ข้ามคืน
    เช่น กล้องติดรถหรือ CarPlay hub ที่ยังดึงไฟแม้รถดับเครื่อง
    อาจทำให้แบตเตอรี่หมดในตอนเช้าโดยไม่รู้ตัว

    4️⃣ ที่ชาร์จโทรศัพท์คุณภาพต่ำ
    ที่ชาร์จราคาถูกอาจจ่ายไฟไม่เสถียร ทำให้เครื่องร้อนหรือแบตเสื่อม
    บางรุ่นอาจดึงไฟเกินจนทำให้ระบบไฟฟ้าในรถเสียหาย

    5️⃣ สิ่งที่ไม่ใช่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    เช่น เหรียญ, เศษอาหาร, หรือเศษขยะที่ตกลงไปในช่อง
    อาจทำให้เกิดการลัดวงจรหรือไฟฟ้าช็อตได้

    https://www.slashgear.com/2005658/never-plug-these-into-car-12v-socket/
    ⚠️ อย่าเสียบสิ่งเหล่านี้เข้าช่อง 12V ในรถ! แม้จะดูเหมือนปลอดภัย แต่บางอย่างอาจทำให้รถพังหรือแบตหมดข้ามคืน ช่องจ่ายไฟ 12V ในรถยนต์ (ที่หลายคนยังเรียกว่าช่องจุดบุหรี่) ถูกออกแบบมาเพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ควรเสียบเข้าไป — บางอย่างอาจทำให้ระบบไฟฟ้าเสียหายหรือทำให้แบตเตอรี่หมดโดยไม่รู้ตัว. ✅ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสียบเข้าช่อง 12V 1️⃣ หัวจุดบุหรี่แบบเก่า ➡️ ช่อง 12V ในรถรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่รองรับหัวจุดบุหรี่แล้ว ➡️ หากฝืนเสียบเข้าไป อาจทำให้ช่องร้อนเกินและเกิดความเสียหาย 2️⃣ Power inverter ที่ไม่เหมาะสม ➡️ อินเวอร์เตอร์ที่แปลงไฟ DC เป็น AC ต้องเลือกให้ตรงกับกำลังไฟของรถ ➡️ หากใช้รุ่นที่ดึงไฟมากเกินไป อาจทำให้ฟิวส์ขาดหรือระบบไฟเสีย 3️⃣ อุปกรณ์ที่เสียบค้างไว้ข้ามคืน ➡️ เช่น กล้องติดรถหรือ CarPlay hub ที่ยังดึงไฟแม้รถดับเครื่อง ➡️ อาจทำให้แบตเตอรี่หมดในตอนเช้าโดยไม่รู้ตัว 4️⃣ ที่ชาร์จโทรศัพท์คุณภาพต่ำ ➡️ ที่ชาร์จราคาถูกอาจจ่ายไฟไม่เสถียร ทำให้เครื่องร้อนหรือแบตเสื่อม ➡️ บางรุ่นอาจดึงไฟเกินจนทำให้ระบบไฟฟ้าในรถเสียหาย 5️⃣ สิ่งที่ไม่ใช่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ เช่น เหรียญ, เศษอาหาร, หรือเศษขยะที่ตกลงไปในช่อง ➡️ อาจทำให้เกิดการลัดวงจรหรือไฟฟ้าช็อตได้ https://www.slashgear.com/2005658/never-plug-these-into-car-12v-socket/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Never Plug These 5 Things Into Your Car's 12V Socket - SlashGear
    A car's 12V socket can power so many electronics and accessories. But there are still a few things you shouldn't attempt to put in this socket for your safety.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Magento (CVE-2025-54236) ถูกใช้โจมตีจริงแล้ว — เสี่ยงถูกยึด session และรันโค้ดโดยไม่ต้องล็อกอิน

    ช่องโหว่ CVE-2025-54236 หรือชื่อเล่น “SessionReaper” เป็นช่องโหว่ระดับวิกฤตใน Magento (Adobe Commerce) ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถ ยึด session ของผู้ใช้ และในบางกรณี รันโค้ด PHP บนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ซึ่งขณะนี้มีการโจมตีจริงเกิดขึ้นแล้วในวงกว้าง

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบ input ไม่เหมาะสมในระบบจัดการ session
    สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ takeover session ของผู้ใช้ที่ล็อกอินอยู่
    หาก chain กับช่องโหว่อื่น จะสามารถรันโค้ด PHP ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน

    มีการโจมตีจริงแล้วกว่า 300 ครั้งใน 48 ชั่วโมงแรก
    Akamai ตรวจพบการโจมตีจาก IP ต่าง ๆ อย่างน้อย 11 แห่ง
    เป้าหมายคือร้านค้า Magento ที่เปิด public endpoint

    มี PoC (proof-of-concept) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว
    ทำให้เกิดการสแกนและโจมตีอัตโนมัติในวงกว้าง
    payload ที่ใช้รวมถึง phpinfo probes และ web shells

    ผลกระทบของการโจมตี
    ขโมยข้อมูลลูกค้าและบัตรเครดิต
    สร้างบัญชีแอดมินปลอม
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ Magento เป็นฐานโจมตีระบบอื่น

    Magento ได้ออกแพตช์แล้วตั้งแต่ 9 กันยายน 2025
    แต่ยังมีร้านค้ากว่า 60% ที่ยังไม่ได้อัปเดต

    https://securityonline.info/critical-magento-flaw-cve-2025-54236-actively-exploited-for-session-hijacking-and-unauthenticated-rce/
    🛒💥 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Magento (CVE-2025-54236) ถูกใช้โจมตีจริงแล้ว — เสี่ยงถูกยึด session และรันโค้ดโดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่ CVE-2025-54236 หรือชื่อเล่น “SessionReaper” เป็นช่องโหว่ระดับวิกฤตใน Magento (Adobe Commerce) ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถ ยึด session ของผู้ใช้ และในบางกรณี รันโค้ด PHP บนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ซึ่งขณะนี้มีการโจมตีจริงเกิดขึ้นแล้วในวงกว้าง ✅ ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบ input ไม่เหมาะสมในระบบจัดการ session ➡️ สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ takeover session ของผู้ใช้ที่ล็อกอินอยู่ ➡️ หาก chain กับช่องโหว่อื่น จะสามารถรันโค้ด PHP ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ✅ มีการโจมตีจริงแล้วกว่า 300 ครั้งใน 48 ชั่วโมงแรก ➡️ Akamai ตรวจพบการโจมตีจาก IP ต่าง ๆ อย่างน้อย 11 แห่ง ➡️ เป้าหมายคือร้านค้า Magento ที่เปิด public endpoint ✅ มี PoC (proof-of-concept) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ➡️ ทำให้เกิดการสแกนและโจมตีอัตโนมัติในวงกว้าง ➡️ payload ที่ใช้รวมถึง phpinfo probes และ web shells ✅ ผลกระทบของการโจมตี ➡️ ขโมยข้อมูลลูกค้าและบัตรเครดิต ➡️ สร้างบัญชีแอดมินปลอม ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ Magento เป็นฐานโจมตีระบบอื่น ✅ Magento ได้ออกแพตช์แล้วตั้งแต่ 9 กันยายน 2025 ➡️ แต่ยังมีร้านค้ากว่า 60% ที่ยังไม่ได้อัปเดต https://securityonline.info/critical-magento-flaw-cve-2025-54236-actively-exploited-for-session-hijacking-and-unauthenticated-rce/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Magento Flaw (CVE-2025-54236) Actively Exploited for Session Hijacking and Unauthenticated RCE
    Akamai warns of active exploitation of Magento's SessionReaper flaw (CVE-2025-54236). The critical (CVSS 9.8) vulnerability allows session hijacking and unauthenticated RCE via web shells.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Teams เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ติดตามสถานที่ทำงานผ่าน Wi-Fi — เริ่มใช้ธันวาคมนี้แบบ opt-in

    Microsoft Teams จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเดือนธันวาคม 2025 ที่สามารถตรวจจับเครือข่าย Wi-Fi เพื่อปรับสถานะ “สถานที่ทำงาน” ของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของออฟฟิศ ระบบจะตั้งสถานะเป็น “in the office” และหากเปลี่ยนไปใช้เครือข่ายอื่นหรือ cellular data ก็จะเปลี่ยนเป็น “working remotely”

    ฟีเจอร์จะเปิดใช้งานแบบ opt-in เท่านั้น
    เริ่มต้นจะถูกปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น
    ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้งานจาก admin console
    พนักงานสามารถเลือกเข้าร่วมได้เอง

    การเปลี่ยนสถานะทำงานจะขึ้นอยู่กับ Wi-Fi ที่เชื่อมต่อ
    หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ที่องค์กรกำหนด จะถูกระบุว่า “in the office”
    หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ภายนอกหรือ cellular data จะเปลี่ยนเป็น “remote”

    ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น
    เพื่อนร่วมงานสามารถรู้ได้ว่าควรเดินไปหาที่โต๊ะหรือโทรหาแทน
    ลดความไม่แน่นอนในการติดต่อกันในทีมขนาดใหญ่

    Microsoft ตระหนักถึงความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    ฟีเจอร์นี้ไม่ได้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ
    ผู้ใช้ต้องยินยอมก่อนจึงจะมีการติดตามสถานที่ผ่าน Wi-Fi

    แนวโน้มการใช้ฟีเจอร์นี้ในยุคกลับเข้าออฟฟิศ (RTO)
    บริษัทต่าง ๆ ต้องการวิธีตรวจสอบการกลับมาทำงานในสถานที่จริง
    ฟีเจอร์นี้อาจช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมการเข้าออฟฟิศของทีม

    https://securityonline.info/microsoft-teams-will-auto-track-office-location-via-wi-fi/
    📍💼 Microsoft Teams เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ติดตามสถานที่ทำงานผ่าน Wi-Fi — เริ่มใช้ธันวาคมนี้แบบ opt-in Microsoft Teams จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเดือนธันวาคม 2025 ที่สามารถตรวจจับเครือข่าย Wi-Fi เพื่อปรับสถานะ “สถานที่ทำงาน” ของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของออฟฟิศ ระบบจะตั้งสถานะเป็น “in the office” และหากเปลี่ยนไปใช้เครือข่ายอื่นหรือ cellular data ก็จะเปลี่ยนเป็น “working remotely” ✅ ฟีเจอร์จะเปิดใช้งานแบบ opt-in เท่านั้น ➡️ เริ่มต้นจะถูกปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น ➡️ ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้งานจาก admin console ➡️ พนักงานสามารถเลือกเข้าร่วมได้เอง ✅ การเปลี่ยนสถานะทำงานจะขึ้นอยู่กับ Wi-Fi ที่เชื่อมต่อ ➡️ หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ที่องค์กรกำหนด จะถูกระบุว่า “in the office” ➡️ หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ภายนอกหรือ cellular data จะเปลี่ยนเป็น “remote” ✅ ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ➡️ เพื่อนร่วมงานสามารถรู้ได้ว่าควรเดินไปหาที่โต๊ะหรือโทรหาแทน ➡️ ลดความไม่แน่นอนในการติดต่อกันในทีมขนาดใหญ่ ✅ Microsoft ตระหนักถึงความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ ฟีเจอร์นี้ไม่ได้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้ต้องยินยอมก่อนจึงจะมีการติดตามสถานที่ผ่าน Wi-Fi ✅ แนวโน้มการใช้ฟีเจอร์นี้ในยุคกลับเข้าออฟฟิศ (RTO) ➡️ บริษัทต่าง ๆ ต้องการวิธีตรวจสอบการกลับมาทำงานในสถานที่จริง ➡️ ฟีเจอร์นี้อาจช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมการเข้าออฟฟิศของทีม https://securityonline.info/microsoft-teams-will-auto-track-office-location-via-wi-fi/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Will Auto-Track Office Location via Wi-Fi
    Microsoft Teams is rolling out a new opt-in feature in December to automatically detect if employees are in the office by monitoring their Wi-Fi connection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • X เตรียมยกเลิกโดเมน Twitter.com วันที่ 10 พ.ย. — ผู้ใช้ที่ใช้ passkey ต้องรีเซ็ตใหม่เพื่อไม่ให้ล็อกบัญชี

    แพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประกาศว่าจะ เลิกใช้งานโดเมน Twitter.com อย่างถาวรในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ที่ใช้ passkey หรือ security key สำหรับการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) ต้องรีเซ็ตและผูกคีย์ใหม่กับโดเมน x.com มิฉะนั้นบัญชีจะถูกล็อก

    ข้อมูลสำคัญจากประกาศของ X

    Twitter.com จะหยุด redirect ไปยัง X.com หลังวันที่ 10 พ.ย.
    ลิงก์เก่า เช่น tweet ที่เคยแชร์ไว้ จะไม่สามารถเข้าถึงได้หากยังใช้ twitter.com
    ผู้ใช้ต้องอัปเดตลิงก์หรือบุ๊กมาร์กที่ใช้โดเมนเดิม

    ผู้ใช้ passkey หรือ security key ต้องรีเซ็ตก่อนวันหมดอายุ
    คีย์เดิมถูกผูกไว้กับโดเมน twitter.com ซึ่งจะไม่สามารถใช้ได้กับ x.com
    ต้องเข้าไปที่ Settings → Security → Two-factor authentication → Add another key เพื่อผูกคีย์ใหม่กับ x.com

    ผู้ใช้ที่ไม่รีเซ็ตจะถูกล็อกบัญชีชั่วคราว
    ทางเลือกคือ: รีเซ็ต passkey, เปลี่ยนไปใช้วิธี 2FA อื่น เช่นรหัส 6 หลัก, หรือปิดการใช้ 2FA (ไม่แนะนำ)
    ระบบยังรองรับการใช้ numeric verification code เป็นทางเลือกสำรอง

    X แนะนำให้ใช้ทั้ง passkey และรหัส 2FA เพื่อความปลอดภัย
    ระบบ passkey ยังมีปัญหาด้านความเสถียรในบางกรณี
    การมีวิธีสำรองช่วยให้ไม่สูญเสียการเข้าถึงบัญชี

    หากไม่รีเซ็ต passkey ก่อนวันที่ 10 พ.ย. บัญชีจะถูกล็อกทันที
    ต้องดำเนินการก่อนวันหมดอายุเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการเข้าถึง
    การใช้ passkey ที่ผูกกับ twitter.com จะไม่สามารถใช้งานได้อีก

    ลิงก์เก่าและระบบอัตโนมัติที่ใช้ twitter.com อาจหยุดทำงาน
    เช่น embed tweets, API calls, หรือ automation tools ที่ยังใช้โดเมนเดิม
    ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบที่เชื่อมกับ twitter.com

    https://securityonline.info/rip-twitter-com-x-retires-old-domain-forcing-passkey-reset-by-nov-10/
    🔐📤 X เตรียมยกเลิกโดเมน Twitter.com วันที่ 10 พ.ย. — ผู้ใช้ที่ใช้ passkey ต้องรีเซ็ตใหม่เพื่อไม่ให้ล็อกบัญชี แพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประกาศว่าจะ เลิกใช้งานโดเมน Twitter.com อย่างถาวรในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ที่ใช้ passkey หรือ security key สำหรับการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) ต้องรีเซ็ตและผูกคีย์ใหม่กับโดเมน x.com มิฉะนั้นบัญชีจะถูกล็อก ✅ ข้อมูลสำคัญจากประกาศของ X ✅ Twitter.com จะหยุด redirect ไปยัง X.com หลังวันที่ 10 พ.ย. ➡️ ลิงก์เก่า เช่น tweet ที่เคยแชร์ไว้ จะไม่สามารถเข้าถึงได้หากยังใช้ twitter.com ➡️ ผู้ใช้ต้องอัปเดตลิงก์หรือบุ๊กมาร์กที่ใช้โดเมนเดิม ✅ ผู้ใช้ passkey หรือ security key ต้องรีเซ็ตก่อนวันหมดอายุ ➡️ คีย์เดิมถูกผูกไว้กับโดเมน twitter.com ซึ่งจะไม่สามารถใช้ได้กับ x.com ➡️ ต้องเข้าไปที่ Settings → Security → Two-factor authentication → Add another key เพื่อผูกคีย์ใหม่กับ x.com ✅ ผู้ใช้ที่ไม่รีเซ็ตจะถูกล็อกบัญชีชั่วคราว ➡️ ทางเลือกคือ: รีเซ็ต passkey, เปลี่ยนไปใช้วิธี 2FA อื่น เช่นรหัส 6 หลัก, หรือปิดการใช้ 2FA (ไม่แนะนำ) ➡️ ระบบยังรองรับการใช้ numeric verification code เป็นทางเลือกสำรอง ✅ X แนะนำให้ใช้ทั้ง passkey และรหัส 2FA เพื่อความปลอดภัย ➡️ ระบบ passkey ยังมีปัญหาด้านความเสถียรในบางกรณี ➡️ การมีวิธีสำรองช่วยให้ไม่สูญเสียการเข้าถึงบัญชี ‼️ หากไม่รีเซ็ต passkey ก่อนวันที่ 10 พ.ย. บัญชีจะถูกล็อกทันที ⛔ ต้องดำเนินการก่อนวันหมดอายุเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการเข้าถึง ⛔ การใช้ passkey ที่ผูกกับ twitter.com จะไม่สามารถใช้งานได้อีก ‼️ ลิงก์เก่าและระบบอัตโนมัติที่ใช้ twitter.com อาจหยุดทำงาน ⛔ เช่น embed tweets, API calls, หรือ automation tools ที่ยังใช้โดเมนเดิม ⛔ ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบที่เชื่อมกับ twitter.com https://securityonline.info/rip-twitter-com-x-retires-old-domain-forcing-passkey-reset-by-nov-10/
    SECURITYONLINE.INFO
    RIP Twitter.com: X Retires Old Domain, Forcing Passkey Reset by Nov 10
    X is retiring the Twitter.com domain, requiring users with passkeys or security keys to re-enroll by Nov 10 to avoid being locked out of their accounts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ Chrome Zero-Day ถูกใช้โจมตีองค์กรในรัสเซียผ่านแคมเปญ ForumTroll

    ช่องโหว่ CVE-2025-2783 ใน Google Chrome ถูกใช้โจมตีแบบ zero-day โดยกลุ่มจารกรรมไซเบอร์ในแคมเปญชื่อว่า “Operation ForumTroll” ซึ่งมุ่งเป้าไปที่องค์กรในรัสเซียและเบลารุส โดยใช้ลิงก์ฟิชชิ่งที่เปิดผ่าน Chrome เพื่อหลบ sandbox และติดตั้งสปายแวร์ LeetAgent จากบริษัท Memento Labs ในอิตาลี

    ข้อมูลจากรายงานของ Kaspersky และ The Hacker News
    ช่องโหว่ CVE-2025-2783 เป็น sandbox escape บน Chrome
    มีคะแนน CVSS 8.3 และถูกใช้งานจริงตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2024
    เปิดทางให้มัลแวร์หลุดออกจาก sandbox และเข้าถึงระบบ Windows

    แคมเปญ ForumTroll ใช้ลิงก์ฟิชชิ่งเฉพาะบุคคล
    เหยื่อได้รับอีเมลเชิญเข้าร่วมงาน Primakov Readings พร้อมลิงก์เฉพาะ
    แค่คลิกเปิดลิงก์ผ่าน Chrome ก็ถูกโจมตีทันที

    มัลแวร์ LeetAgent และ Dante จาก Memento Labs
    LeetAgent ใช้ leetspeak ในคำสั่ง และสามารถ keylogging, ขโมยไฟล์, สั่งงานจากระยะไกล
    สื่อสารผ่าน CDN ของ Fastly เพื่อหลบการตรวจจับ
    Dante เป็นสปายแวร์เชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดยอดีต Hacking Team

    เป้าหมายของการโจมตี
    สื่อ, มหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐ, สถาบันการเงินในรัสเซียและเบลารุส
    ลิงก์ฟิชชิ่งถูกปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละเป้าหมาย

    การเปิดลิงก์ผ่าน Chrome อาจทำให้ติดมัลแวร์ทันที
    ไม่จำเป็นต้องคลิกเพิ่มเติม — แค่เปิดก็ถูกโจมตี
    ช่องโหว่สามารถใช้ร่วมกับ exploit อื่นเพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล

    ผู้ใช้เบราว์เซอร์ Chromium ควรอัปเดตทันที
    รวมถึง Microsoft Edge, Brave, Opera, Vivaldi
    Google ได้ออกแพตช์ใน Chrome เวอร์ชัน 134.0.6998.177/.178 แล้ว

    https://thehackernews.com/2025/10/chrome-zero-day-exploited-to-deliver.html
    🕵️‍♂️💻 ช่องโหว่ Chrome Zero-Day ถูกใช้โจมตีองค์กรในรัสเซียผ่านแคมเปญ ForumTroll ช่องโหว่ CVE-2025-2783 ใน Google Chrome ถูกใช้โจมตีแบบ zero-day โดยกลุ่มจารกรรมไซเบอร์ในแคมเปญชื่อว่า “Operation ForumTroll” ซึ่งมุ่งเป้าไปที่องค์กรในรัสเซียและเบลารุส โดยใช้ลิงก์ฟิชชิ่งที่เปิดผ่าน Chrome เพื่อหลบ sandbox และติดตั้งสปายแวร์ LeetAgent จากบริษัท Memento Labs ในอิตาลี ✅ ข้อมูลจากรายงานของ Kaspersky และ The Hacker News ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-2783 เป็น sandbox escape บน Chrome ➡️ มีคะแนน CVSS 8.3 และถูกใช้งานจริงตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2024 ➡️ เปิดทางให้มัลแวร์หลุดออกจาก sandbox และเข้าถึงระบบ Windows ✅ แคมเปญ ForumTroll ใช้ลิงก์ฟิชชิ่งเฉพาะบุคคล ➡️ เหยื่อได้รับอีเมลเชิญเข้าร่วมงาน Primakov Readings พร้อมลิงก์เฉพาะ ➡️ แค่คลิกเปิดลิงก์ผ่าน Chrome ก็ถูกโจมตีทันที ✅ มัลแวร์ LeetAgent และ Dante จาก Memento Labs ➡️ LeetAgent ใช้ leetspeak ในคำสั่ง และสามารถ keylogging, ขโมยไฟล์, สั่งงานจากระยะไกล ➡️ สื่อสารผ่าน CDN ของ Fastly เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ Dante เป็นสปายแวร์เชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดยอดีต Hacking Team ✅ เป้าหมายของการโจมตี ➡️ สื่อ, มหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐ, สถาบันการเงินในรัสเซียและเบลารุส ➡️ ลิงก์ฟิชชิ่งถูกปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละเป้าหมาย ‼️ การเปิดลิงก์ผ่าน Chrome อาจทำให้ติดมัลแวร์ทันที ⛔ ไม่จำเป็นต้องคลิกเพิ่มเติม — แค่เปิดก็ถูกโจมตี ⛔ ช่องโหว่สามารถใช้ร่วมกับ exploit อื่นเพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล ‼️ ผู้ใช้เบราว์เซอร์ Chromium ควรอัปเดตทันที ⛔ รวมถึง Microsoft Edge, Brave, Opera, Vivaldi ⛔ Google ได้ออกแพตช์ใน Chrome เวอร์ชัน 134.0.6998.177/.178 แล้ว https://thehackernews.com/2025/10/chrome-zero-day-exploited-to-deliver.html
    THEHACKERNEWS.COM
    Chrome Zero-Day Exploited to Deliver Italian Memento Labs' LeetAgent Spyware
    Kaspersky reveals Chrome zero-day CVE-2025-2783 exploited to deploy Memento Labs’ LeetAgent spyware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts