• เขมรวางระเบิดเบี่ยงเบน โลกล้อมปราบสแกมเมอร์ : [THE MESSAGE]

    นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เผยถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรี หลังกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดละเมิดข้อตกลงสันติภาพ ผิดหวังรัฐบาลไม่ได้ลงทุนกับการรับมือสถานการณ์ชายแดนอย่างเพียงพอ ควรอนุมัติงบกลางมากกว่านี้ ตั้งข้อสังเกตให้สังคมคิดตาม กัมพูชาต้องการอะไร จากที่โลกพุ่งเป้าล้อมให้แก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แต่เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ประเด็นเปลี่ยน ใครได้ประโยชน์ วันนี้รัฐบาลแช่แข็งข้อตกลงสันติภาพ ทำให้การแก้ปัญหาสแกมเมอร์หยุดลงทันที แนะรัฐบาลเปิดปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้น ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าตรวจสอบดีๆ อาจเจอเส้นเงินของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หากยื่นไปที่อินเตอร์โพล จะทำให้กัมพูชาเกิดแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ และต้องตัดแขนขาทุนสีเทา เขาคือไส้ศึกทรยศต่อชาติ อย่าให้กับดักลูกที่สองรัฐบาลเราเป็นคนเหยียบ ไม่เช่นนั้นจะเสียหายจริงๆ
    เขมรวางระเบิดเบี่ยงเบน โลกล้อมปราบสแกมเมอร์ : [THE MESSAGE] นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เผยถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรี หลังกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดละเมิดข้อตกลงสันติภาพ ผิดหวังรัฐบาลไม่ได้ลงทุนกับการรับมือสถานการณ์ชายแดนอย่างเพียงพอ ควรอนุมัติงบกลางมากกว่านี้ ตั้งข้อสังเกตให้สังคมคิดตาม กัมพูชาต้องการอะไร จากที่โลกพุ่งเป้าล้อมให้แก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แต่เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ประเด็นเปลี่ยน ใครได้ประโยชน์ วันนี้รัฐบาลแช่แข็งข้อตกลงสันติภาพ ทำให้การแก้ปัญหาสแกมเมอร์หยุดลงทันที แนะรัฐบาลเปิดปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้น ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าตรวจสอบดีๆ อาจเจอเส้นเงินของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หากยื่นไปที่อินเตอร์โพล จะทำให้กัมพูชาเกิดแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ และต้องตัดแขนขาทุนสีเทา เขาคือไส้ศึกทรยศต่อชาติ อย่าให้กับดักลูกที่สองรัฐบาลเราเป็นคนเหยียบ ไม่เช่นนั้นจะเสียหายจริงๆ
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 0 Reviews
  • Microsoft แก้ปัญหา Windows 10 ESU ติดตั้งไม่สำเร็จ

    Microsoft ได้ออกแพตช์ใหม่ KB5071959 เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้ Windows 10 ไม่สามารถติดตั้ง Extended Security Updates (ESU) ได้อย่างถูกต้อง ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Windows 10 หมดอายุการสนับสนุนหลัก และผู้ใช้ที่สมัคร ESU กลับถูกแจ้งว่าเครื่องหมดอายุแล้ว แม้จะเป็นรุ่น Enterprise ที่ยังอยู่ในระยะซัพพอร์ต

    การแก้ไขครั้งนี้ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงระบบ Cloud Config และการแก้บั๊กที่ทำให้ผู้ใช้ในยุโรปไม่สามารถลงทะเบียน ESU ได้ รวมถึงการแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดข้อความ “Something went wrong” เมื่อสมัครผ่าน Windows Backup

    ESU ถือเป็นการต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11 ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยต่อไป แต่ต้องมีการสมัครสมาชิกหรือใช้คะแนนรางวัล Microsoft เพื่อเข้าร่วม

    Microsoft ออกแพตช์ KB5071959 แก้ปัญหา ESU
    แก้บั๊กที่ทำให้เครื่องแจ้งหมดอายุผิดพลาด

    ESU ต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11

    ผู้ใช้สามารถสมัคร ESU ผ่าน Windows Backup หรือจ่ายเงิน
    ต้องมีบัญชี Microsoft เพื่อเข้าร่วม

    หากไม่เข้าร่วม ESU เครื่องจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์
    ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยเพิ่มเติม

    ปัญหาการสมัคร ESU ในบางภูมิภาคยังคงเกิดขึ้น
    ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่ามีสิทธิ์เข้าร่วมจริงหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-patches-windows-10-issue-that-accidentally-blocked-extended-security-updates-from-installing-latest-update-should-finally-fix-all-the-issues-for-esu-eligible-devices
    🪟 Microsoft แก้ปัญหา Windows 10 ESU ติดตั้งไม่สำเร็จ Microsoft ได้ออกแพตช์ใหม่ KB5071959 เพื่อแก้ปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้ Windows 10 ไม่สามารถติดตั้ง Extended Security Updates (ESU) ได้อย่างถูกต้อง ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Windows 10 หมดอายุการสนับสนุนหลัก และผู้ใช้ที่สมัคร ESU กลับถูกแจ้งว่าเครื่องหมดอายุแล้ว แม้จะเป็นรุ่น Enterprise ที่ยังอยู่ในระยะซัพพอร์ต การแก้ไขครั้งนี้ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงระบบ Cloud Config และการแก้บั๊กที่ทำให้ผู้ใช้ในยุโรปไม่สามารถลงทะเบียน ESU ได้ รวมถึงการแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดข้อความ “Something went wrong” เมื่อสมัครผ่าน Windows Backup ESU ถือเป็นการต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11 ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยต่อไป แต่ต้องมีการสมัครสมาชิกหรือใช้คะแนนรางวัล Microsoft เพื่อเข้าร่วม ✅ Microsoft ออกแพตช์ KB5071959 แก้ปัญหา ESU ➡️ แก้บั๊กที่ทำให้เครื่องแจ้งหมดอายุผิดพลาด ✅ ESU ต่ออายุการสนับสนุน Windows 10 อีก 1–3 ปี ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดไป Windows 11 ✅ ผู้ใช้สามารถสมัคร ESU ผ่าน Windows Backup หรือจ่ายเงิน ➡️ ต้องมีบัญชี Microsoft เพื่อเข้าร่วม ‼️ หากไม่เข้าร่วม ESU เครื่องจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์ ⛔ ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยเพิ่มเติม ‼️ ปัญหาการสมัคร ESU ในบางภูมิภาคยังคงเกิดขึ้น ⛔ ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่ามีสิทธิ์เข้าร่วมจริงหรือไม่ https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-patches-windows-10-issue-that-accidentally-blocked-extended-security-updates-from-installing-latest-update-should-finally-fix-all-the-issues-for-esu-eligible-devices
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0

    DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต

    จุดเด่นของ BTF 3.0
    ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W
    ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    ความเข้ากันได้
    รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์
    ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้

    ข้อควรระวัง
    ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้
    ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    🔌อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0 DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต ✅ จุดเด่นของ BTF 3.0 ➡️ ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W ➡️ ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ ✅ ความเข้ากันได้ ➡️ รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์ ➡️ ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้ ⛔ ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • AMD Roadmap ใหม่ – Zen 6 และ Zen 7

    AMD ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา CPU รุ่นใหม่ โดย Zen 6 จะเปิดตัวในปี 2026 ใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ด้าน AI ให้มากขึ้นทั้งใน Ryzen และ EPYC ส่วน Zen 7 ถูกวางตัวให้เป็น “Next-Generation Leap” ที่แท้จริง โดยจะมาพร้อม Matrix Engine ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ คาดว่าจะเปิดตัวราวปี 2027–2028

    สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD กำลังเน้นหนักไปที่การผสาน AI เข้ากับ CPU และ GPU มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของอุตสาหกรรมที่กำลังแข่งขันกันในด้าน AI acceleration ไม่ใช่แค่การเพิ่มความเร็ว IPC หรือจำนวนคอร์เท่านั้น

    Zen 6 (ปี 2026)
    ใช้กระบวนการผลิต 2nm ของ TSMC
    เพิ่มฟีเจอร์ AI และปรับปรุง IPC

    Zen 7 (ปี 2027–2028)
    มาพร้อม Matrix Engine สำหรับ AI
    ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ AMD

    ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    ข้อมูลยังไม่ชัดเจน อาจเปลี่ยนแปลงได้
    การแข่งขันกับ Intel และ NVIDIA ในด้าน AI อาจกดดัน AMD

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-reveals-new-roadmap-for-its-ryzen-cpus-teasing-zen-7-as-the-true-next-generation-leap-with-2nm-lineup-confirms-2026-release-for-zen-6-coming-with-expanded-ai-features
    ⚙️ AMD Roadmap ใหม่ – Zen 6 และ Zen 7 AMD ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา CPU รุ่นใหม่ โดย Zen 6 จะเปิดตัวในปี 2026 ใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ด้าน AI ให้มากขึ้นทั้งใน Ryzen และ EPYC ส่วน Zen 7 ถูกวางตัวให้เป็น “Next-Generation Leap” ที่แท้จริง โดยจะมาพร้อม Matrix Engine ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ คาดว่าจะเปิดตัวราวปี 2027–2028 สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD กำลังเน้นหนักไปที่การผสาน AI เข้ากับ CPU และ GPU มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของอุตสาหกรรมที่กำลังแข่งขันกันในด้าน AI acceleration ไม่ใช่แค่การเพิ่มความเร็ว IPC หรือจำนวนคอร์เท่านั้น ✅ Zen 6 (ปี 2026) ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 2nm ของ TSMC ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ AI และปรับปรุง IPC ✅ Zen 7 (ปี 2027–2028) ➡️ มาพร้อม Matrix Engine สำหรับ AI ➡️ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ AMD ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง ⛔ ข้อมูลยังไม่ชัดเจน อาจเปลี่ยนแปลงได้ ⛔ การแข่งขันกับ Intel และ NVIDIA ในด้าน AI อาจกดดัน AMD https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-reveals-new-roadmap-for-its-ryzen-cpus-teasing-zen-7-as-the-true-next-generation-leap-with-2nm-lineup-confirms-2026-release-for-zen-6-coming-with-expanded-ai-features
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • OpenAI ต่อสู้คำสั่งเปิดเผยบทสนทนา ChatGPT

    ข่าวนี้เล่าถึงการที่ OpenAI กำลังต่อสู้กับคำสั่งศาลที่ให้บริษัทต้องเปิดเผยบทสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT หลายล้านรายการ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล เพราะหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผย อาจกระทบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    สิ่งที่น่าสนใจคือ คดีนี้สะท้อนถึงความท้าทายของบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องหาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายและการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหากข้อมูลถูกเปิดเผย จะทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม AI

    ในอีกด้านหนึ่ง นักกฎหมายบางคนมองว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมเข้าใจการทำงานของ AI มากขึ้น และตรวจสอบได้ว่าบริษัทใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใสหรือไม่ แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในระดับโลก

    สรุปเป็นหัวข้อ:

    OpenAI กำลังต่อสู้คำสั่งศาลที่ให้เปิดเผยบทสนทนา ChatGPT
    ประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล

    การเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมตรวจสอบการทำงานของ AI ได้
    แต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้ใช้

    ความเสี่ยงหากข้อมูลผู้ใช้ถูกเปิดเผย
    อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/openai-fights-order-to-turn-over-millions-of-chatgpt-conversations
    ⚖️ OpenAI ต่อสู้คำสั่งเปิดเผยบทสนทนา ChatGPT ข่าวนี้เล่าถึงการที่ OpenAI กำลังต่อสู้กับคำสั่งศาลที่ให้บริษัทต้องเปิดเผยบทสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT หลายล้านรายการ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล เพราะหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผย อาจกระทบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล สิ่งที่น่าสนใจคือ คดีนี้สะท้อนถึงความท้าทายของบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องหาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายและการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหากข้อมูลถูกเปิดเผย จะทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม AI ในอีกด้านหนึ่ง นักกฎหมายบางคนมองว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมเข้าใจการทำงานของ AI มากขึ้น และตรวจสอบได้ว่าบริษัทใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใสหรือไม่ แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในระดับโลก สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ OpenAI กำลังต่อสู้คำสั่งศาลที่ให้เปิดเผยบทสนทนา ChatGPT ➡️ ประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล ✅ การเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมตรวจสอบการทำงานของ AI ได้ ➡️ แต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ‼️ ความเสี่ยงหากข้อมูลผู้ใช้ถูกเปิดเผย ⛔ อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้จำนวนมหาศาล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/openai-fights-order-to-turn-over-millions-of-chatgpt-conversations
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI fights order to turn over millions of ChatGPT conversations
    (Reuters) -OpenAI asked a federal judge in New York on Wednesday to reverse an order that required it to turn over 20 million anonymized ChatGPT chat logs amid a copyright infringement lawsuit by the New York Times and other news outlets, saying it would expose users' private conversations.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง

    สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin
    เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค
    การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน

    ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง
    อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    💰 สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง ✅ สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin ➡️ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค ➡️ การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง ⛔ อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore to trial tokenised bills, bring in stablecoin laws, central bank chief says
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore's central bank will hold trials to issue tokenised MAS bills next year and bring in laws to regulate stablecoins as it presses forward with plans to build a scalable and secure tokenised financial ecosystem, the bank's top official said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • AI Chatbot ด้านสุขภาพจิต—ปลอดภัยจริงหรือ?

    บทความนี้ตั้งคำถามสำคัญว่า การใช้ AI chatbot เพื่อการบำบัดหรือให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตนั้นปลอดภัยจริงหรือไม่ หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำ AI มาใช้เป็น "ผู้ช่วย" ในการพูดคุยกับผู้ที่มีปัญหาทางใจ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาหรือแพทย์ได้

    แม้ว่า AI จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงการสนับสนุนเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น เช่นการให้คำพูดปลอบใจหรือแนะนำวิธีผ่อนคลาย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงหากผู้ใช้พึ่งพามากเกินไป เพราะ AI ไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในอารมณ์มนุษย์ และอาจให้คำแนะนำที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์ร้ายแรง

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทกำลังพยายามสร้างมาตรฐานความปลอดภัย เช่นการกำหนดให้ AI แจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพบข้อความที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อชีวิต เพื่อส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงว่า AI จะสามารถทำหน้าที่นี้ได้แม่นยำแค่ไหน

    AI chatbot ถูกนำมาใช้ในด้านสุขภาพจิตเพื่อช่วยพูดคุยเบื้องต้น
    สามารถให้คำปลอบใจและแนะนำวิธีผ่อนคลาย

    บริษัทเทคโนโลยีพยายามสร้างมาตรฐานความปลอดภัย
    เช่นการแจ้งเตือนเมื่อพบข้อความเสี่ยงต่อชีวิต

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป
    AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดและไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/are-ai-therapy-chatbots-safe-to-use
    🤖 AI Chatbot ด้านสุขภาพจิต—ปลอดภัยจริงหรือ? บทความนี้ตั้งคำถามสำคัญว่า การใช้ AI chatbot เพื่อการบำบัดหรือให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตนั้นปลอดภัยจริงหรือไม่ หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำ AI มาใช้เป็น "ผู้ช่วย" ในการพูดคุยกับผู้ที่มีปัญหาทางใจ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาหรือแพทย์ได้ แม้ว่า AI จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงการสนับสนุนเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น เช่นการให้คำพูดปลอบใจหรือแนะนำวิธีผ่อนคลาย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงหากผู้ใช้พึ่งพามากเกินไป เพราะ AI ไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในอารมณ์มนุษย์ และอาจให้คำแนะนำที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์ร้ายแรง สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทกำลังพยายามสร้างมาตรฐานความปลอดภัย เช่นการกำหนดให้ AI แจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพบข้อความที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อชีวิต เพื่อส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงว่า AI จะสามารถทำหน้าที่นี้ได้แม่นยำแค่ไหน ✅ AI chatbot ถูกนำมาใช้ในด้านสุขภาพจิตเพื่อช่วยพูดคุยเบื้องต้น ➡️ สามารถให้คำปลอบใจและแนะนำวิธีผ่อนคลาย ✅ บริษัทเทคโนโลยีพยายามสร้างมาตรฐานความปลอดภัย ➡️ เช่นการแจ้งเตือนเมื่อพบข้อความเสี่ยงต่อชีวิต ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดและไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/are-ai-therapy-chatbots-safe-to-use
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Are AI therapy chatbots safe to use?
    Psychologists and technologists see them as the future of therapy. The Food and Drug Administration is exploring whether to regulate them as medical devices.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • มนุษย์แยกไม่ออกแล้วว่าเพลงไหนสร้างโดย AI

    เรื่องราวนี้เล่าถึงการสำรวจของ Deezer ที่ทำให้โลกดนตรีสะเทือนใจ—เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเพลงที่ฟังนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์หรือ AI ผลสำรวจพบว่า 97% ของผู้เข้าร่วมไม่สามารถบอกความแตกต่างได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น เพลงที่สร้างโดย AI ยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ได้จริง เช่นกรณีเพลง Walk My Walk ของศิลปิน Breaking Rust ที่ถูกกล่าวขานว่าใช้เทคโนโลยี Generative AI ในการสร้างเสียงร้อง

    สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ฟังที่เริ่มกังวลว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อาจถูกแทนที่ด้วยอัลกอริทึม หลายคนมองว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำจำนวนมากในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และอาจทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินหายไป

    ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ AI ในดนตรีก็เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นการสร้างเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการช่วยศิลปินทดลองแนวทางใหม่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่คำถามใหญ่คือ—เราจะยังคงให้คุณค่ากับ "ความเป็นมนุษย์" ในงานศิลป์หรือไม่

    ผลสำรวจ Deezer พบว่า 97% ของคนแยกไม่ออกว่าเพลงมาจาก AI หรือมนุษย์
    เพลง Walk My Walk ที่สร้างโดย AI ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ

    AI กำลังเพิ่มจำนวนเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว
    ปัจจุบันกว่า 1 ใน 3 ของเพลงที่สตรีมต่อวันเป็นเพลงที่สร้างโดย AI

    ความกังวลเรื่องคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์
    ผู้ฟังบางส่วนเชื่อว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำและลดความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/humans-can-no-longer-tell-ai-music-from-the-real-thing-survey
    📰 มนุษย์แยกไม่ออกแล้วว่าเพลงไหนสร้างโดย AI เรื่องราวนี้เล่าถึงการสำรวจของ Deezer ที่ทำให้โลกดนตรีสะเทือนใจ—เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเพลงที่ฟังนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์หรือ AI ผลสำรวจพบว่า 97% ของผู้เข้าร่วมไม่สามารถบอกความแตกต่างได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น เพลงที่สร้างโดย AI ยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ได้จริง เช่นกรณีเพลง Walk My Walk ของศิลปิน Breaking Rust ที่ถูกกล่าวขานว่าใช้เทคโนโลยี Generative AI ในการสร้างเสียงร้อง สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ฟังที่เริ่มกังวลว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อาจถูกแทนที่ด้วยอัลกอริทึม หลายคนมองว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำจำนวนมากในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และอาจทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินหายไป ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ AI ในดนตรีก็เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นการสร้างเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการช่วยศิลปินทดลองแนวทางใหม่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่คำถามใหญ่คือ—เราจะยังคงให้คุณค่ากับ "ความเป็นมนุษย์" ในงานศิลป์หรือไม่ ✅ ผลสำรวจ Deezer พบว่า 97% ของคนแยกไม่ออกว่าเพลงมาจาก AI หรือมนุษย์ ➡️ เพลง Walk My Walk ที่สร้างโดย AI ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ✅ AI กำลังเพิ่มจำนวนเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว ➡️ ปัจจุบันกว่า 1 ใน 3 ของเพลงที่สตรีมต่อวันเป็นเพลงที่สร้างโดย AI ‼️ ความกังวลเรื่องคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ ⛔ ผู้ฟังบางส่วนเชื่อว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำและลดความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/humans-can-no-longer-tell-ai-music-from-the-real-thing-survey
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Humans can no longer tell AI music from the real thing: survey
    Eighty percent of survey respondents wanted fully AI-generated music clearly labelled for listeners.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • Collaboration Sucks – เมื่อการร่วมมือมากเกินไปกลายเป็นอุปสรรค

    บทความจาก Charles Cook ชี้ให้เห็นว่าในหลายองค์กร โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ การทำงานร่วมกันมากเกินไปอาจกลายเป็นตัวถ่วงความเร็วในการพัฒนา เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการขับรถที่มีคนคอยแทรกแซงตลอดเวลา ทำให้คนขับเสียสมาธิและไปถึงเป้าหมายช้าลง

    แนวคิดนี้เน้นว่า การให้ความรับผิดชอบกับบุคคล (You’re the driver) สำคัญกว่าการประชุมหรือการขอความคิดเห็นจากหลายฝ่าย เพราะการทำงานที่มีเจ้าของชัดเจนจะช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ถูกส่งมอบได้เร็วและมีคุณภาพมากกว่า

    สิ่งที่น่าสนใจคือ PostHog ซึ่งเป็นบริษัทที่เขียนบทความนี้ ได้สร้างวัฒนธรรมที่เน้นการ “ลงมือทำ” มากกว่าการ “หารือ” โดยให้ทีมงานมีอิสระสูงในการตัดสินใจและรับผิดชอบงานของตนเองเต็มที่

    แนวคิด “You’re the driver”
    เน้นความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากกว่าการประชุม

    วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลงมือทำ
    PostHog ให้ทีมงานตัดสินใจเองและรับผิดชอบเต็มที่

    ความเสี่ยงจากการลดการร่วมมือ
    อาจทำให้บางงานที่ต้องการคุณภาพสูงเกิดข้อผิดพลาด

    การขาดการสื่อสารที่เหมาะสม
    อาจทำให้ทีมงานบางส่วนรู้สึกถูกตัดออกจากกระบวนการ

    https://newsletter.posthog.com/p/collaboration-sucks
    🚗 Collaboration Sucks – เมื่อการร่วมมือมากเกินไปกลายเป็นอุปสรรค บทความจาก Charles Cook ชี้ให้เห็นว่าในหลายองค์กร โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ การทำงานร่วมกันมากเกินไปอาจกลายเป็นตัวถ่วงความเร็วในการพัฒนา เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการขับรถที่มีคนคอยแทรกแซงตลอดเวลา ทำให้คนขับเสียสมาธิและไปถึงเป้าหมายช้าลง แนวคิดนี้เน้นว่า การให้ความรับผิดชอบกับบุคคล (You’re the driver) สำคัญกว่าการประชุมหรือการขอความคิดเห็นจากหลายฝ่าย เพราะการทำงานที่มีเจ้าของชัดเจนจะช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ถูกส่งมอบได้เร็วและมีคุณภาพมากกว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ PostHog ซึ่งเป็นบริษัทที่เขียนบทความนี้ ได้สร้างวัฒนธรรมที่เน้นการ “ลงมือทำ” มากกว่าการ “หารือ” โดยให้ทีมงานมีอิสระสูงในการตัดสินใจและรับผิดชอบงานของตนเองเต็มที่ ✅ แนวคิด “You’re the driver” ➡️ เน้นความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากกว่าการประชุม ✅ วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลงมือทำ ➡️ PostHog ให้ทีมงานตัดสินใจเองและรับผิดชอบเต็มที่ ‼️ ความเสี่ยงจากการลดการร่วมมือ ⛔ อาจทำให้บางงานที่ต้องการคุณภาพสูงเกิดข้อผิดพลาด ‼️ การขาดการสื่อสารที่เหมาะสม ⛔ อาจทำให้ทีมงานบางส่วนรู้สึกถูกตัดออกจากกระบวนการ https://newsletter.posthog.com/p/collaboration-sucks
    NEWSLETTER.POSTHOG.COM
    Collaboration sucks
    If you want to go fast, go alone; if you want to go far, go alone too. (mostly)
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • พลังงานจากดวงอาทิตย์ปะทุแรง – Solar Flare X5.1 และพายุแม่เหล็กโลก

    เรื่องราวนี้เหมือนการเล่าเหตุการณ์ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ดวงอาทิตย์ได้ปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบ Solar Flare ระดับ X5.1 ซึ่งถือว่าเป็นการปะทุที่รุนแรงมากในรอบหลายปี และตามมาด้วย Coronal Mass Ejection (CME) หรือการพุ่งออกของมวลพลาสมาจำนวนมหาศาลตรงมายังโลก เหตุการณ์นี้ทำให้หน่วยงานด้านอวกาศต้องออกประกาศเตือนถึงความเสี่ยงที่จะเกิด พายุแม่เหล็กโลกระดับ G4 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบสื่อสาร ดาวเทียม และแม้แต่โครงสร้างไฟฟ้าบนโลก

    สิ่งที่น่าสนใจคือปรากฏการณ์นี้ยังสร้างโอกาสให้ผู้คนในหลายประเทศที่อยู่ละติจูดต่ำกว่าปกติสามารถเห็นแสงเหนือ (Aurora) ได้ เช่นในยุโรปตอนกลาง และบางรัฐในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์หายากที่เกิดขึ้นจากพลังงานมหาศาลของดวงอาทิตย์

    นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังชี้ว่าการเกิด Solar Flare และ CME ติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้การพยากรณ์ผลกระทบยากขึ้น เพราะคลื่นพลังงานอาจซ้อนทับกันและสร้างความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

    การปะทุของดวงอาทิตย์ครั้งใหญ่
    Solar Flare ระดับ X5.1 และ CME ขนาดเต็มวง

    โอกาสเห็นแสงเหนือในพื้นที่ใหม่
    ประเทศในยุโรปตอนกลางและบางรัฐในสหรัฐฯ

    ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารและไฟฟ้า
    พายุแม่เหล็กโลกระดับ G4 อาจกระทบดาวเทียมและโครงสร้างพื้นฐาน

    ความไม่แน่นอนจาก CME หลายลูก
    การพยากรณ์ผลกระทบทำได้ยากและอาจรุนแรงกว่าที่คาด

    https://www.spaceweatherlive.com/en/news/view/593/20251111-x5-1-solar-flare-g4-geomagnetic-storm-watch.html
    🌞 พลังงานจากดวงอาทิตย์ปะทุแรง – Solar Flare X5.1 และพายุแม่เหล็กโลก เรื่องราวนี้เหมือนการเล่าเหตุการณ์ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ดวงอาทิตย์ได้ปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบ Solar Flare ระดับ X5.1 ซึ่งถือว่าเป็นการปะทุที่รุนแรงมากในรอบหลายปี และตามมาด้วย Coronal Mass Ejection (CME) หรือการพุ่งออกของมวลพลาสมาจำนวนมหาศาลตรงมายังโลก เหตุการณ์นี้ทำให้หน่วยงานด้านอวกาศต้องออกประกาศเตือนถึงความเสี่ยงที่จะเกิด พายุแม่เหล็กโลกระดับ G4 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบสื่อสาร ดาวเทียม และแม้แต่โครงสร้างไฟฟ้าบนโลก สิ่งที่น่าสนใจคือปรากฏการณ์นี้ยังสร้างโอกาสให้ผู้คนในหลายประเทศที่อยู่ละติจูดต่ำกว่าปกติสามารถเห็นแสงเหนือ (Aurora) ได้ เช่นในยุโรปตอนกลาง และบางรัฐในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์หายากที่เกิดขึ้นจากพลังงานมหาศาลของดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังชี้ว่าการเกิด Solar Flare และ CME ติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้การพยากรณ์ผลกระทบยากขึ้น เพราะคลื่นพลังงานอาจซ้อนทับกันและสร้างความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ การปะทุของดวงอาทิตย์ครั้งใหญ่ ➡️ Solar Flare ระดับ X5.1 และ CME ขนาดเต็มวง ✅ โอกาสเห็นแสงเหนือในพื้นที่ใหม่ ➡️ ประเทศในยุโรปตอนกลางและบางรัฐในสหรัฐฯ ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารและไฟฟ้า ⛔ พายุแม่เหล็กโลกระดับ G4 อาจกระทบดาวเทียมและโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความไม่แน่นอนจาก CME หลายลูก ⛔ การพยากรณ์ผลกระทบทำได้ยากและอาจรุนแรงกว่าที่คาด https://www.spaceweatherlive.com/en/news/view/593/20251111-x5-1-solar-flare-g4-geomagnetic-storm-watch.html
    WWW.SPACEWEATHERLIVE.COM
    X5.1 solar flare, G4 geomagnetic storm watch
    Here she blows! Sunspot region 4274 produced its strongest solar flare thus far since it appeared on the east limb and the sixth strongest solar flare of the current solar cycle. An impressive long duration and highly eruptive X5.1 (R3-strong) solar flare peaked this morning at 10:04 UTC.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ผู้นำด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นธุรกิจใหม่

    เรื่องนี้เล่าเหมือนการเดินทางของอดีต CISO หลายคนที่เบื่อกับข้อจำกัดในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่ไม่พอ เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม หรือการเมืองภายในบริษัท พวกเขาเลือกที่จะออกมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่เคยเจอและพิสูจน์ว่า “ความปลอดภัย” ไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้

    Paul Hadjy ก่อตั้ง Horangi เพื่อเน้นความปลอดภัยบนคลาวด์ในเอเชีย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจมากนัก เขาเชื่อว่าการทำให้ลูกค้าเห็นความปลอดภัยชัดเจนจะสร้างความไว้วางใจและกลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ส่วน Joe Silva ก่อตั้ง Spektion เพราะเบื่อกับการแก้ปัญหาช่องโหว่ซ้ำ ๆ แบบ “Groundhog Day” เขาอยากเปลี่ยนการจัดการช่องโหว่จากเรื่องการเมืองเป็นเรื่องวิศวกรรมที่แก้ได้จริง

    Chris Pierson ก่อตั้ง BlackCloak เพื่อปกป้องชีวิตดิจิทัลของผู้บริหารนอกเหนือจากไฟร์วอลล์องค์กร เพราะเขาเห็นว่าผู้โจมตีเริ่มเล็งเป้าหมายไปที่บ้านและชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร ส่วน Michael Coates อดีต CISO ของ Twitter ก่อตั้ง Altitude Networks เพื่อแก้ปัญหาการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ก่อนจะขายกิจการและไปทำกองทุนลงทุนด้านความปลอดภัย

    การก่อตั้งบริษัทใหม่จากอดีต CISO
    Horangi เน้นความปลอดภัยคลาวด์ในเอเชีย
    Spektion แก้ปัญหาช่องโหว่แบบเชิงวิศวกรรม
    BlackCloak ปกป้องชีวิตดิจิทัลผู้บริหาร
    Altitude Networks ตรวจสอบการแชร์ไฟล์บนคลาวด์

    ความเสี่ยงและความท้าทายของผู้ก่อตั้ง
    เงินทุนใกล้หมดและต้องตัดค่าใช้จ่าย
    ความเครียดจากการตัดสินใจที่ยากและการรับผิดชอบทั้งหมด
    การโจมตีที่เล็งเป้าหมายไปยังชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร

    https://www.csoonline.com/article/4084574/the-security-leaders-who-turned-their-frustrations-into-companies.html
    🛡️ ผู้นำด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นธุรกิจใหม่ เรื่องนี้เล่าเหมือนการเดินทางของอดีต CISO หลายคนที่เบื่อกับข้อจำกัดในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่ไม่พอ เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม หรือการเมืองภายในบริษัท พวกเขาเลือกที่จะออกมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่เคยเจอและพิสูจน์ว่า “ความปลอดภัย” ไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้ Paul Hadjy ก่อตั้ง Horangi เพื่อเน้นความปลอดภัยบนคลาวด์ในเอเชีย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจมากนัก เขาเชื่อว่าการทำให้ลูกค้าเห็นความปลอดภัยชัดเจนจะสร้างความไว้วางใจและกลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ส่วน Joe Silva ก่อตั้ง Spektion เพราะเบื่อกับการแก้ปัญหาช่องโหว่ซ้ำ ๆ แบบ “Groundhog Day” เขาอยากเปลี่ยนการจัดการช่องโหว่จากเรื่องการเมืองเป็นเรื่องวิศวกรรมที่แก้ได้จริง Chris Pierson ก่อตั้ง BlackCloak เพื่อปกป้องชีวิตดิจิทัลของผู้บริหารนอกเหนือจากไฟร์วอลล์องค์กร เพราะเขาเห็นว่าผู้โจมตีเริ่มเล็งเป้าหมายไปที่บ้านและชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร ส่วน Michael Coates อดีต CISO ของ Twitter ก่อตั้ง Altitude Networks เพื่อแก้ปัญหาการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ก่อนจะขายกิจการและไปทำกองทุนลงทุนด้านความปลอดภัย ✅ การก่อตั้งบริษัทใหม่จากอดีต CISO ➡️ Horangi เน้นความปลอดภัยคลาวด์ในเอเชีย ➡️ Spektion แก้ปัญหาช่องโหว่แบบเชิงวิศวกรรม ➡️ BlackCloak ปกป้องชีวิตดิจิทัลผู้บริหาร ➡️ Altitude Networks ตรวจสอบการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ ‼️ ความเสี่ยงและความท้าทายของผู้ก่อตั้ง ⛔ เงินทุนใกล้หมดและต้องตัดค่าใช้จ่าย ⛔ ความเครียดจากการตัดสินใจที่ยากและการรับผิดชอบทั้งหมด ⛔ การโจมตีที่เล็งเป้าหมายไปยังชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร https://www.csoonline.com/article/4084574/the-security-leaders-who-turned-their-frustrations-into-companies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The security leaders who turned their frustrations into companies
    Former CISOs share their experience after successfully founding security companies. CSO spoke to Paul Hadjy, Joe Silva, Chris Pierson and Michael Coates.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง 3 ปีใน Gartner Peer Insights

    เรื่องราวนี้เล่าถึงบริษัท ThreatBook ที่เป็นผู้นำด้าน Threat Intelligence และระบบตรวจจับภัยคุกคาม (NDR) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น Strong Performer ติดต่อกันถึง 3 ปีในรายงาน Gartner Peer Insights “Voice of the Customer” ปี 2025 การยอมรับนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลกที่ใช้แพลตฟอร์ม Threat Detection Platform (TDP) ของบริษัท โดยมีจุดเด่นคือการตรวจจับแม่นยำสูง, ความพร้อมในการป้องกันเชิงรุก และการตอบสนองแบบปิดวงจรที่ผสานกับเครื่องมืออื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    น่าสนใจคือ ThreatBook ไม่ได้เติบโตเฉพาะในจีน แต่ยังขยายไปทั่วโลก ทั้งในอุตสาหกรรมการเงิน พลังงาน การผลิต และภาครัฐ โดย Gartner ระบุว่ามีผู้ใช้จริงกว่า 1,200 รีวิว และ 100% ของลูกค้าที่ให้คะแนนในปี 2025 ยินดีแนะนำต่อ จุดนี้สะท้อนว่าบริษัทไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยี แต่ยังสร้างความไว้วางใจในระดับสากล

    หากมองจากมุมกว้าง การที่ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณว่าตลาด NDR กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกปี การมีระบบที่สามารถ “เห็นภาพรวม” และ “ตอบสนองได้ทันที” จึงเป็นสิ่งที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ

    การยอมรับจาก Gartner ต่อเนื่อง 3 ปี
    ThreatBook TDP ได้คะแนนสูงด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพ

    ลูกค้าทั่วโลกยืนยันความพึงพอใจ
    100% ของผู้รีวิวในปี 2025 แนะนำต่อ

    จุดแข็งของแพลตฟอร์ม TDP
    ตรวจจับแม่นยำ, ป้องกันเชิงรุก, ตอบสนองแบบปิดวงจร

    ความท้าทายจากภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น
    องค์กรที่ไม่มีระบบ NDR เสี่ยงต่อการโจมตีขั้นสูง

    https://hackread.com/threatbook-peer-recognized-as-a-strong-performer-in-the-2025-gartner-peer-insights-voice-of-the-customer-for-network-detection-and-response-for-the-third-consecutive-year/
    🛡️ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง 3 ปีใน Gartner Peer Insights เรื่องราวนี้เล่าถึงบริษัท ThreatBook ที่เป็นผู้นำด้าน Threat Intelligence และระบบตรวจจับภัยคุกคาม (NDR) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น Strong Performer ติดต่อกันถึง 3 ปีในรายงาน Gartner Peer Insights “Voice of the Customer” ปี 2025 การยอมรับนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลกที่ใช้แพลตฟอร์ม Threat Detection Platform (TDP) ของบริษัท โดยมีจุดเด่นคือการตรวจจับแม่นยำสูง, ความพร้อมในการป้องกันเชิงรุก และการตอบสนองแบบปิดวงจรที่ผสานกับเครื่องมืออื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่าสนใจคือ ThreatBook ไม่ได้เติบโตเฉพาะในจีน แต่ยังขยายไปทั่วโลก ทั้งในอุตสาหกรรมการเงิน พลังงาน การผลิต และภาครัฐ โดย Gartner ระบุว่ามีผู้ใช้จริงกว่า 1,200 รีวิว และ 100% ของลูกค้าที่ให้คะแนนในปี 2025 ยินดีแนะนำต่อ จุดนี้สะท้อนว่าบริษัทไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยี แต่ยังสร้างความไว้วางใจในระดับสากล หากมองจากมุมกว้าง การที่ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณว่าตลาด NDR กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกปี การมีระบบที่สามารถ “เห็นภาพรวม” และ “ตอบสนองได้ทันที” จึงเป็นสิ่งที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ ✅ การยอมรับจาก Gartner ต่อเนื่อง 3 ปี ➡️ ThreatBook TDP ได้คะแนนสูงด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพ ✅ ลูกค้าทั่วโลกยืนยันความพึงพอใจ ➡️ 100% ของผู้รีวิวในปี 2025 แนะนำต่อ ✅ จุดแข็งของแพลตฟอร์ม TDP ➡️ ตรวจจับแม่นยำ, ป้องกันเชิงรุก, ตอบสนองแบบปิดวงจร ‼️ ความท้าทายจากภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น ⛔ องค์กรที่ไม่มีระบบ NDR เสี่ยงต่อการโจมตีขั้นสูง https://hackread.com/threatbook-peer-recognized-as-a-strong-performer-in-the-2025-gartner-peer-insights-voice-of-the-customer-for-network-detection-and-response-for-the-third-consecutive-year/
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • Ubuntu เจอปัญหา sudo-rs ในการเปลี่ยนไปใช้ Rust

    Ubuntu 25.10 กำลังทดลองใช้ sudo-rs ซึ่งเขียนใหม่ด้วย Rust เพื่อแทน sudo แบบเดิม แต่กลับพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เช่น การรั่วไหลของรหัสผ่านหาก timeout และ การบันทึก user ID ผิดพลาด ทำให้เกิดการ bypass authentication ได้ ปัญหานี้ถูกค้นพบก่อนการออก LTS 26.04 ซึ่งถือว่าโชคดี เพราะสามารถแก้ไขได้ทันเวลา

    Canonical ได้ปล่อย patch ผ่าน sudo-rs 0.2.10 และจะอัปเดตผ่าน Stable Release Update (SRU) เพื่อให้ผู้ใช้แก้ไขได้ทันที แม้จะเป็นข้อผิดพลาด แต่ก็สะท้อนว่าการเปลี่ยนไปใช้ Rust ยังต้องใช้เวลาในการปรับปรุง แม้จะมีข้อดีด้าน memory safety ก็ตาม

    สิ่งนี้ทำให้เกิดการถกเถียงในชุมชนว่า การเร่งเปลี่ยนไปใช้ Rust สำหรับ core utilities อาจสร้างความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์ในระยะสั้น แต่ Canonical ยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อความปลอดภัยในระยะยาว

    Ubuntu ใช้ sudo-rs เขียนด้วย Rust
    ตั้งใจเพิ่มความปลอดภัย memory-safe

    พบช่องโหว่: password leak และ bypass authentication
    Patch ออกแล้วใน sudo-rs 0.2.10

    การเร่งเปลี่ยนไปใช้ Rust อาจสร้างความเสี่ยง
    ต้องทดสอบให้รอบคอบก่อน LTS 26.04

    P/S สำหรับลุงแล้ว ความปลอดภัยสำคัญที่สุดแล้วไม่ชอบเลยที่หลายครั้ง Ubuntu ชอบรั้นแบบหัวชนฝา จนลุงเปลี่ยนระบบของลุงไปใช้ Rocky Linux 10 + Debian 13 ในระบบที่ต้องการการ Update/upgrade Hardware แล้ว

    https://itsfoss.com/news/sudo-rs-issue-ubuntu/
    🐧 Ubuntu เจอปัญหา sudo-rs ในการเปลี่ยนไปใช้ Rust Ubuntu 25.10 กำลังทดลองใช้ sudo-rs ซึ่งเขียนใหม่ด้วย Rust เพื่อแทน sudo แบบเดิม แต่กลับพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เช่น การรั่วไหลของรหัสผ่านหาก timeout และ การบันทึก user ID ผิดพลาด ทำให้เกิดการ bypass authentication ได้ ปัญหานี้ถูกค้นพบก่อนการออก LTS 26.04 ซึ่งถือว่าโชคดี เพราะสามารถแก้ไขได้ทันเวลา Canonical ได้ปล่อย patch ผ่าน sudo-rs 0.2.10 และจะอัปเดตผ่าน Stable Release Update (SRU) เพื่อให้ผู้ใช้แก้ไขได้ทันที แม้จะเป็นข้อผิดพลาด แต่ก็สะท้อนว่าการเปลี่ยนไปใช้ Rust ยังต้องใช้เวลาในการปรับปรุง แม้จะมีข้อดีด้าน memory safety ก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เกิดการถกเถียงในชุมชนว่า การเร่งเปลี่ยนไปใช้ Rust สำหรับ core utilities อาจสร้างความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์ในระยะสั้น แต่ Canonical ยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อความปลอดภัยในระยะยาว ✅ Ubuntu ใช้ sudo-rs เขียนด้วย Rust ➡️ ตั้งใจเพิ่มความปลอดภัย memory-safe ✅ พบช่องโหว่: password leak และ bypass authentication ➡️ Patch ออกแล้วใน sudo-rs 0.2.10 ‼️ การเร่งเปลี่ยนไปใช้ Rust อาจสร้างความเสี่ยง ⛔ ต้องทดสอบให้รอบคอบก่อน LTS 26.04 P/S สำหรับลุงแล้ว ความปลอดภัยสำคัญที่สุดแล้วไม่ชอบเลยที่หลายครั้ง Ubuntu ชอบรั้นแบบหัวชนฝา จนลุงเปลี่ยนระบบของลุงไปใช้ Rocky Linux 10 + Debian 13 ในระบบที่ต้องการการ Update/upgrade Hardware แล้ว https://itsfoss.com/news/sudo-rs-issue-ubuntu/
    ITSFOSS.COM
    Ubuntu's Rust Transition Hits Another Bump as sudo-rs Security Vulnerabilities Show Up
    Password exposure and improper authentication validation issues caught early ahead of the LTS release.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • Geiranger Cruise Port — ประตูสู่ฟยอร์ดที่สวยที่สุดในโลก!
    สัมผัสเสน่ห์ของเมืองเล็กกลางหุบเขาใหญ่ ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติสุดอลังการแห่งนอร์เวย์

    Dalsnibba Viewpoint ยอดเขาดาลสนิบบา
    จุดชมวิวที่โดดเด่นที่สุดของ Geirangerfjord ซึ่งเป็นฟยอร์ดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO สร้างขึ้นในปี 1939 โดยเป็นโครงการพัฒนาถนนเพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และยอดเขา Dalsnibba

    Seven Sisters Waterfall น้ำตกเจ็ดสาวน้อย
    น้ำตก Seven Sisters เป็นหนึ่งในน้ำตกที่โด่งดังที่สุดของประเทศนอร์เวย์ อยู่ฝั่งหนึ่งของ Geirangerfjord และฝั่งตรงข้ามเป็น The Suitor Waterfall

    The Waterfall Walk เส้นทางเดินเลียบน้ำตก
    เส้นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสามารถสัมผัสน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด ได้รับการออกแบบโดยวิศวกรเพื่อให้สามารถเดินเลียบ Storfossen Waterfall

    Eagle Road ถนนอินทรีย์
    ถนนที่สร้างขึ้นในปี 1955 เพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และเมือง Eidsdal ได้รับชื่อว่า "Eagle Road" เพราะเป็นจุดที่อินทรีมักบินโฉบเหนือภูเขา และเป็นเส้นทางที่สูงชันจนเหมือนกำลังบินขึ้นฟ้า

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #GeirangerCruisePort #Norway #DalsnibbaViewpoint #SevenSistersWaterfall #TheWaterfallWalk #EagleRoad #port #แพ็เกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    Geiranger Cruise Port — ประตูสู่ฟยอร์ดที่สวยที่สุดในโลก! 🌊 สัมผัสเสน่ห์ของเมืองเล็กกลางหุบเขาใหญ่ ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติสุดอลังการแห่งนอร์เวย์ 💮 ✅ Dalsnibba Viewpoint ➡️ ยอดเขาดาลสนิบบา จุดชมวิวที่โดดเด่นที่สุดของ Geirangerfjord ซึ่งเป็นฟยอร์ดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO สร้างขึ้นในปี 1939 โดยเป็นโครงการพัฒนาถนนเพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และยอดเขา Dalsnibba ✅ Seven Sisters Waterfall ➡️ น้ำตกเจ็ดสาวน้อย น้ำตก Seven Sisters เป็นหนึ่งในน้ำตกที่โด่งดังที่สุดของประเทศนอร์เวย์ อยู่ฝั่งหนึ่งของ Geirangerfjord และฝั่งตรงข้ามเป็น The Suitor Waterfall ✅ The Waterfall Walk ➡️ เส้นทางเดินเลียบน้ำตก เส้นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสามารถสัมผัสน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด ได้รับการออกแบบโดยวิศวกรเพื่อให้สามารถเดินเลียบ Storfossen Waterfall ✅ Eagle Road ➡️ ถนนอินทรีย์ ถนนที่สร้างขึ้นในปี 1955 เพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และเมือง Eidsdal ได้รับชื่อว่า "Eagle Road" เพราะเป็นจุดที่อินทรีมักบินโฉบเหนือภูเขา และเป็นเส้นทางที่สูงชันจนเหมือนกำลังบินขึ้นฟ้า 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #GeirangerCruisePort #Norway #DalsnibbaViewpoint #SevenSistersWaterfall #TheWaterfallWalk #EagleRoad #port #แพ็เกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • หลุม ตอนที่ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 3

    คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ

    ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง **** the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง )

    เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย

    นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน

    คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง

    คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด
    ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ
    นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน)

    ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ

    เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด

    ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ

    1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม

    โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ

    ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป

    ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ

    แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม

    ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia)
    นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม

    อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา

    ช่างเลือกกันดีนะครับ

    ##############
    ตอน 4

    เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน

    Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

    Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า

    ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย
    ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ

    ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง

    นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง

    ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย

    Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้

    นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้
    เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร

    ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 3 คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง Fuck the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง ) เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน) ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ 1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia) นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา ช่างเลือกกันดีนะครับ ############## ตอน 4 เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้ นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้ เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “โมเดลใหม่ของ Moonshot AI จุดกระแส ‘DeepSeek Moment’ สั่นสะเทือนโลก AI”

    สตาร์ทอัพจีน Moonshot AI ที่มีมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการสนับสนุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Alibaba และ Tencent ได้เปิดตัวโมเดล Kimi K2 Thinking ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่สร้างสถิติใหม่ในด้าน reasoning, coding และ agent capabilities

    โมเดลนี้ได้รับความนิยมสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Hugging Face และโพสต์เปิดตัวบน X มียอดเข้าชมกว่า 4.5 ล้านครั้ง จุดที่น่าทึ่งคือมีรายงานว่า ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับโมเดลสหรัฐฯ

    Thomas Wolf ผู้ร่วมก่อตั้ง Hugging Face ถึงกับตั้งคำถามว่า “นี่คืออีกหนึ่ง DeepSeek Moment หรือไม่?” หลังจากก่อนหน้านี้โมเดล R1 ของ DeepSeek ได้เขย่าความเชื่อเรื่องความเหนือกว่าของ AI สหรัฐฯ

    Kimi K2 Thinking ทำคะแนน 44.9% ใน Humanity’s Last Exam (ข้อสอบมาตรฐาน LLM กว่า 2,500 ข้อ) ซึ่งสูงกว่า GPT-5 ที่ทำได้ 41.7% และยังชนะใน benchmark สำคัญอย่าง BrowseComp และ Seal-0 ที่ทดสอบความสามารถในการค้นหาข้อมูลจริงบนเว็บ

    นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย API ของ Kimi K2 Thinking ยังถูกกว่าโมเดลของ OpenAI และ Anthropic ถึง 6–10 เท่า นักวิเคราะห์ชี้ว่าแนวโน้มของจีนคือการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันด้วย ความคุ้มค่า (cost-effectiveness) แม้ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    การแข่งขัน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจาก “ใครเก่งกว่า” เป็น “ใครคุ้มค่ากว่า”
    การที่จีนหันมาเน้น ลดต้นทุนการฝึกและใช้งาน อาจทำให้ AI เข้าถึงนักพัฒนาและธุรกิจรายย่อยได้มากขึ้น
    หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจเกิดการ เร่งนวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมโมเดลและเทคนิคการฝึก ที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม AI

    Moonshot AI เปิดตัว Kimi K2 Thinking
    ทำผลงานเหนือ GPT-5 และ Claude Sonnet 4.5 ในหลาย benchmark
    ได้รับความนิยมสูงสุดบน Hugging Face และมีผู้สนใจจำนวนมาก

    จุดเด่นของโมเดล
    ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์
    API ถูกกว่าโมเดลสหรัฐฯ ถึง 6–10 เท่า

    ผลกระทบต่อวงการ
    จุดกระแส “DeepSeek Moment” ครั้งใหม่
    ท้าทายความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    แม้ต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ
    การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย
    หากจีนครองตลาดด้วยโมเดลราคาถูก อาจเกิดความเสี่ยงด้านมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/why-new-model-of-chinas-moonshot-ai-stirs-deepseek-moment-debate
    🤖 หัวข้อข่าว: “โมเดลใหม่ของ Moonshot AI จุดกระแส ‘DeepSeek Moment’ สั่นสะเทือนโลก AI” สตาร์ทอัพจีน Moonshot AI ที่มีมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการสนับสนุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Alibaba และ Tencent ได้เปิดตัวโมเดล Kimi K2 Thinking ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่สร้างสถิติใหม่ในด้าน reasoning, coding และ agent capabilities โมเดลนี้ได้รับความนิยมสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Hugging Face และโพสต์เปิดตัวบน X มียอดเข้าชมกว่า 4.5 ล้านครั้ง จุดที่น่าทึ่งคือมีรายงานว่า ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับโมเดลสหรัฐฯ Thomas Wolf ผู้ร่วมก่อตั้ง Hugging Face ถึงกับตั้งคำถามว่า “นี่คืออีกหนึ่ง DeepSeek Moment หรือไม่?” หลังจากก่อนหน้านี้โมเดล R1 ของ DeepSeek ได้เขย่าความเชื่อเรื่องความเหนือกว่าของ AI สหรัฐฯ Kimi K2 Thinking ทำคะแนน 44.9% ใน Humanity’s Last Exam (ข้อสอบมาตรฐาน LLM กว่า 2,500 ข้อ) ซึ่งสูงกว่า GPT-5 ที่ทำได้ 41.7% และยังชนะใน benchmark สำคัญอย่าง BrowseComp และ Seal-0 ที่ทดสอบความสามารถในการค้นหาข้อมูลจริงบนเว็บ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย API ของ Kimi K2 Thinking ยังถูกกว่าโมเดลของ OpenAI และ Anthropic ถึง 6–10 เท่า นักวิเคราะห์ชี้ว่าแนวโน้มของจีนคือการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันด้วย ความคุ้มค่า (cost-effectiveness) แม้ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 การแข่งขัน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจาก “ใครเก่งกว่า” เป็น “ใครคุ้มค่ากว่า” 📌 การที่จีนหันมาเน้น ลดต้นทุนการฝึกและใช้งาน อาจทำให้ AI เข้าถึงนักพัฒนาและธุรกิจรายย่อยได้มากขึ้น 📌 หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจเกิดการ เร่งนวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมโมเดลและเทคนิคการฝึก ที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม AI ✅ Moonshot AI เปิดตัว Kimi K2 Thinking ➡️ ทำผลงานเหนือ GPT-5 และ Claude Sonnet 4.5 ในหลาย benchmark ➡️ ได้รับความนิยมสูงสุดบน Hugging Face และมีผู้สนใจจำนวนมาก ✅ จุดเด่นของโมเดล ➡️ ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ➡️ API ถูกกว่าโมเดลสหรัฐฯ ถึง 6–10 เท่า ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ จุดกระแส “DeepSeek Moment” ครั้งใหม่ ➡️ ท้าทายความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ แม้ต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ ⛔ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย ⛔ หากจีนครองตลาดด้วยโมเดลราคาถูก อาจเกิดความเสี่ยงด้านมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/why-new-model-of-chinas-moonshot-ai-stirs-deepseek-moment-debate
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why new model of China's Moonshot AI stirs 'DeepSeek moment' debate
    Kimi K2 Thinking outperforms OpenAI's GPT-5 and Anthropic's Claude Sonnet 4.5, sparking comparisons to DeepSeek's breakthrough.
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “ICANN เตือนภัย Splinternet – โลกออนไลน์อาจแตกเป็นเสี่ยง”

    ที่งาน Web Summit ในลิสบอน นาย Kurtis Lindqvist หัวหน้า ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) องค์กรที่ดูแลระบบชื่อโดเมนและ IP ของโลก ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงที่อินเทอร์เน็ตจะแตกออกเป็น “Splinternets” หรือเครือข่ายย่อยที่ไม่เชื่อมถึงกัน อาจถูกหลีกเลี่ยงได้ในการประชุม UN เดือนธันวาคมนี้

    เขาอธิบายว่า อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ทำงานได้เพราะมี มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชื่อโดเมน (เช่น .com, .org) หรือ IP address ที่ทำให้ผู้ใช้จากทุกประเทศสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ หากระบบนี้ถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกลุ่มการค้า อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นเครือข่ายย่อยที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมที่อินเทอร์เน็ตสร้างมา

    แม้จะมีแรงกดดันจากบางประเทศที่ต้องการควบคุมระบบชื่อโดเมนเอง แต่ Lindqvist เชื่อว่า ส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับการรักษาระบบปัจจุบัน เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริงและสร้างประโยชน์มหาศาล

    นอกจากนี้เขายังเปรียบเทียบกับการกำกับดูแล AI ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในปัจจุบัน โดยบอกว่า “ทุกอย่างยังอยู่บนโต๊ะ” ตั้งแต่การสร้างองค์กรอิสระแบบ ICANN ไปจนถึงการตั้งหน่วยงานเฉพาะของ UN เพื่อดูแล AI

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    แนวคิด “Splinternet” เคยถูกพูดถึงบ่อยในช่วงที่จีนและรัสเซียพยายามสร้างระบบอินเทอร์เน็ตของตัวเองที่แยกจากโลกตะวันตก
    หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้การสื่อสารระหว่างประเทศติดขัด เช่น เว็บไซต์บางแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากบางประเทศ
    นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า Splinternet จะกระทบต่อการค้าโลกอย่างหนัก เพราะธุรกิจออนไลน์พึ่งพาการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน

    ICANN เตือนภัย Splinternet
    หากระบบชื่อโดเมนถูกควบคุมโดยรัฐบาล อาจทำให้อินเทอร์เน็ตแตกเป็นเครือข่ายย่อย
    การเชื่อมต่อทั่วโลกจะมีต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจ

    ข้อดีของระบบปัจจุบัน
    มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ทุกคนเข้าถึงกันได้
    สร้างประโยชน์ทางสังคมและธุรกิจมหาศาล

    การประชุม UN เดือนธันวาคม
    จะเป็นเวทีตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต
    ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการรักษาระบบเดิม

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้โลกออนไลน์แตกแยก
    กระทบต่อการค้าโลกและการสื่อสารระหว่างประเทศ
    เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ เพราะแต่ละเครือข่ายอาจมีมาตรฐานต่างกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/039splinternets039-threat-to-be-avoided-says-web-address-controller
    🌍 หัวข้อข่าว: “ICANN เตือนภัย Splinternet – โลกออนไลน์อาจแตกเป็นเสี่ยง” ที่งาน Web Summit ในลิสบอน นาย Kurtis Lindqvist หัวหน้า ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) องค์กรที่ดูแลระบบชื่อโดเมนและ IP ของโลก ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงที่อินเทอร์เน็ตจะแตกออกเป็น “Splinternets” หรือเครือข่ายย่อยที่ไม่เชื่อมถึงกัน อาจถูกหลีกเลี่ยงได้ในการประชุม UN เดือนธันวาคมนี้ เขาอธิบายว่า อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ทำงานได้เพราะมี มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชื่อโดเมน (เช่น .com, .org) หรือ IP address ที่ทำให้ผู้ใช้จากทุกประเทศสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ หากระบบนี้ถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกลุ่มการค้า อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นเครือข่ายย่อยที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมที่อินเทอร์เน็ตสร้างมา แม้จะมีแรงกดดันจากบางประเทศที่ต้องการควบคุมระบบชื่อโดเมนเอง แต่ Lindqvist เชื่อว่า ส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับการรักษาระบบปัจจุบัน เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริงและสร้างประโยชน์มหาศาล นอกจากนี้เขายังเปรียบเทียบกับการกำกับดูแล AI ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในปัจจุบัน โดยบอกว่า “ทุกอย่างยังอยู่บนโต๊ะ” ตั้งแต่การสร้างองค์กรอิสระแบบ ICANN ไปจนถึงการตั้งหน่วยงานเฉพาะของ UN เพื่อดูแล AI 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 แนวคิด “Splinternet” เคยถูกพูดถึงบ่อยในช่วงที่จีนและรัสเซียพยายามสร้างระบบอินเทอร์เน็ตของตัวเองที่แยกจากโลกตะวันตก 📌 หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้การสื่อสารระหว่างประเทศติดขัด เช่น เว็บไซต์บางแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากบางประเทศ 📌 นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า Splinternet จะกระทบต่อการค้าโลกอย่างหนัก เพราะธุรกิจออนไลน์พึ่งพาการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน ✅ ICANN เตือนภัย Splinternet ➡️ หากระบบชื่อโดเมนถูกควบคุมโดยรัฐบาล อาจทำให้อินเทอร์เน็ตแตกเป็นเครือข่ายย่อย ➡️ การเชื่อมต่อทั่วโลกจะมีต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจ ✅ ข้อดีของระบบปัจจุบัน ➡️ มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ทุกคนเข้าถึงกันได้ ➡️ สร้างประโยชน์ทางสังคมและธุรกิจมหาศาล ✅ การประชุม UN เดือนธันวาคม ➡️ จะเป็นเวทีตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต ➡️ ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการรักษาระบบเดิม ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้โลกออนไลน์แตกแยก ⛔ กระทบต่อการค้าโลกและการสื่อสารระหว่างประเทศ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ เพราะแต่ละเครือข่ายอาจมีมาตรฐานต่างกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/039splinternets039-threat-to-be-avoided-says-web-address-controller
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Splinternets' threat to be avoided, says web address controller
    ICANN is best known for coordinating global allocation of Internet addresses – whether the easily-remembered versions people type into web browsers, or the strings of numbers used by computers known as IP addresses.
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน”

    บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย

    ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ

    แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น
    หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน

    JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น
    เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน

    บทบาทในตลาดพันธบัตร
    Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น
    ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ

    ความสำคัญต่อระบบการเงิน
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล
    อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน
    การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    💴 หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน” บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น 🔰 หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ 🔰 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน ✅ JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น ➡️ เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน ✅ บทบาทในตลาดพันธบัตร ➡️ Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ➡️ ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ✅ ความสำคัญต่อระบบการเงิน ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล ➡️ อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน ⛔ การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Yen stablecoin issuer predicts growing presence in Japan's bond market
    TOKYO (Reuters) -Stablecoin issuers could become major buyers of Japanese government bonds in several years and influence the central bank's control over monetary policy, the head of Japan's first domestic issuer of yen-pegged stablecoins told Reuters.
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด”

    เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน
    1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น
    2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต

    สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่
    การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น
    นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง

    SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต
    เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง
    ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    แรงผลักดันของตลาดคริปโต
    นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น
    สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน
    สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก
    การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่
    แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    💰 หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด” เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน 1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น 2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ 📌 การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น 📌 นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง ✅ SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต ➡️ เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง ➡️ ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ✅ แรงผลักดันของตลาดคริปโต ➡️ นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น ➡️ สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน ➡️ สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก ⛔ การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่ ⛔ แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SoFi rolls out crypto trading as digital asset gold rush draws lenders
    (Reuters) -SoFi on Tuesday announced plans to roll out crypto trading for customers, as the multi-trillion-dollar crypto sector continues to attract traditional financial firms amid clearer regulation and growing adoption.
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท”

    วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา

    เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์

    สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum
    การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ

    Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ
    ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ
    ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์
    คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน

    ความสำคัญของ First-Mover Advantage
    ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง
    ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก
    การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    🚀 หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท” วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์ สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum 🔰 การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น 🔰 อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ ✅ Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ ➡️ ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ ➡️ ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์ ➡️ คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน ✅ ความสำคัญของ First-Mover Advantage ➡️ ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง ⛔ ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก ⛔ การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitwise sparks industry scramble with Solana ETF launch
    (Reuters) -Crypto firm Bitwise Asset Management's successful push to launch the first U.S. spot Solana ETF while the Securities and Exchange Commission was shut down has upended the regulatory playbook and forced competitors to rethink their product plans, said industry executives.
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Tokenization – นวัตกรรมการเงินที่มาพร้อมความเสี่ยงใหม่”

    องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระดับโลก IOSCO ออกรายงานล่าสุดชี้ว่า การนำสินทรัพย์จริง เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในตลาดที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่า Tokenization ไม่ได้มีแต่ข้อดี เพราะมันอาจสร้างความเสี่ยงใหม่ เช่น
    ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครอง
    ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจล้มเหลวหรือถูกโจมตี

    นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงในวงการการเงินว่า Tokenization จะช่วยให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงหรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่มการเข้าถึง แต่ก็อาจทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเผชิญความเสี่ยงที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เริ่มทดลองใช้ พันธบัตรที่ถูก Tokenize เพื่อทดสอบการซื้อขายบนบล็อกเชน
    ธนาคารใหญ่ ๆ ในยุโรปกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Tokenization สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ศิลปะและอสังหาริมทรัพย์
    ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า Tokenization อาจเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับโลก DeFi แต่ต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด

    Tokenization คือการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัล
    ใช้บล็อกเชนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึง
    กำลังได้รับความนิยมในตลาดการเงินทั่วโลก

    ข้อดีของ Tokenization
    เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ที่เคยเข้าถึงยาก
    เพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุนการทำธุรกรรม

    คำเตือนจาก IOSCO
    ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน
    ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครองโทเคน
    ความเสี่ยงจากแพลตฟอร์มที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/global-securities-watchdog-says-039tokenization039-creates-new-risks
    🌐 หัวข้อข่าว: “Tokenization – นวัตกรรมการเงินที่มาพร้อมความเสี่ยงใหม่” องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระดับโลก IOSCO ออกรายงานล่าสุดชี้ว่า การนำสินทรัพย์จริง เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในตลาดที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่า Tokenization ไม่ได้มีแต่ข้อดี เพราะมันอาจสร้างความเสี่ยงใหม่ เช่น 📌 ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครอง 📌 ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล 📌 ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจล้มเหลวหรือถูกโจมตี นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงในวงการการเงินว่า Tokenization จะช่วยให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงหรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่มการเข้าถึง แต่ก็อาจทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเผชิญความเสี่ยงที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เริ่มทดลองใช้ พันธบัตรที่ถูก Tokenize เพื่อทดสอบการซื้อขายบนบล็อกเชน 📌 ธนาคารใหญ่ ๆ ในยุโรปกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Tokenization สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ศิลปะและอสังหาริมทรัพย์ 📌 ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า Tokenization อาจเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับโลก DeFi แต่ต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด ✅ Tokenization คือการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัล ➡️ ใช้บล็อกเชนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึง ➡️ กำลังได้รับความนิยมในตลาดการเงินทั่วโลก ✅ ข้อดีของ Tokenization ➡️ เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ที่เคยเข้าถึงยาก ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุนการทำธุรกรรม ‼️ คำเตือนจาก IOSCO ⛔ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน ⛔ ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครองโทเคน ⛔ ความเสี่ยงจากแพลตฟอร์มที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/global-securities-watchdog-says-039tokenization039-creates-new-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Global securities watchdog says 'tokenization' creates new risks
    PARIS (Reuters) -Crypto tokens linked to mainstream financial assets could create new risks for investors, the global securities regulator IOSCO said in a report on Tuesday, as the finance industry remains split on the merits of "tokenization".
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง”

    ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน

    เล่าเรื่องให้ฟัง
    องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก

    แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร

    ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน
    องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้
    หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing

    การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์
    องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด
    ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่

    เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน
    FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา)
    แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

    กลยุทธ์การนำไปใช้
    เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร
    ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่
    Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน
    การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์

    https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    🔐 ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง” ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน 📖 เล่าเรื่องให้ฟัง องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน 🔰 องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้ 🔰 หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing ✅ การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด ➡️ ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน ➡️ FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา) ➡️ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ✅ กลยุทธ์การนำไปใช้ ➡️ เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร ➡️ ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่ ⛔ Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน ⛔ การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์ https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Your passwordless future may never fully arrive
    As a concept, passwordless authentication has all but been universally embraced. In practice, though, CISOs find it difficult to deploy — especially that last 15%. Fortunately, creative workarounds are arising.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • Toy Story: เมื่อโลกดิจิทัลยังต้องพึ่งฟิล์ม

    ย้อนกลับไปปี 1995 โลกตื่นเต้นกับ Toy Story ที่ถูกโฆษณาว่าเป็นแอนิเมชันคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบเรื่องแรก แต่ความจริงคือ Pixar ยังต้องพึ่ง ฟิล์ม 35 มม. ในการฉาย เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรงภาพยนตร์

    ทุกเฟรมของ Toy Story ถูกพิมพ์ลงฟิล์ม ผ่านกระบวนการซับซ้อนที่ใช้เครื่องพิมพ์ฟิล์มเชิงพาณิชย์
    ทีมงานต้องปรับสีและแสงให้เหมาะกับการแสดงผลบนฟิล์ม เช่น สีเขียวจะมืดลง สีฟ้าต้องลดความอิ่มตัว และสีส้มที่ดูแย่บนจอคอมกลับสวยงามบนฟิล์ม
    ผลลัพธ์คือภาพที่มี ความนุ่มนวลและอบอุ่น แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใสในปัจจุบัน

    ต่อมา Pixar ได้พัฒนาเทคนิคการโอนตรงจากดิจิทัลสู่ DVD โดยเริ่มจาก A Bug’s Life (1998) ทำให้ภาพยนตร์เวอร์ชันบ้านมีความคมชัดและไร้เกรน แต่ก็สูญเสียบรรยากาศดั้งเดิมที่ฟิล์มสร้างขึ้น

    มุมมองเพิ่มเติม
    ปัญหานี้สะท้อนความท้าทายของ การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่าน ที่ยังต้องพึ่งพาฟิล์ม
    นักอนุรักษ์ภาพยนตร์ถกเถียงกันว่า “เวอร์ชันไหนคือของแท้” ระหว่างฟิล์ม 35 มม. ที่ผู้ชมยุค 90s ได้เห็น กับเวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมในปัจจุบัน
    หลายคนเชื่อว่า การดู Toy Story บนฟิล์ม คือการสัมผัสประสบการณ์ที่ Pixar ตั้งใจสร้างจริง ๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Toy Story (1995) ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ฉายด้วยฟิล์ม 35 มม.
    เทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรง

    ทีมงาน Pixar ต้องปรับสีให้เข้ากับการพิมพ์ฟิล์ม
    สีเขียวมืดลง, สีฟ้าลดความอิ่มตัว, สีส้มดูดีบนฟิล์ม

    เวอร์ชันฟิล์มมีความนุ่มนวลและอบอุ่น
    แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใส

    A Bug’s Life (1998) คือการโอนตรงดิจิทัลสู่ DVD ครั้งแรก
    ทำให้ภาพคมชัด แต่สูญเสียบรรยากาศแบบฟิล์ม

    การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่านยังเป็นปัญหา
    เวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้สร้างตั้งใจให้ผู้ชมเห็น

    https://animationobsessive.substack.com/p/the-toy-story-you-remember
    🎬 Toy Story: เมื่อโลกดิจิทัลยังต้องพึ่งฟิล์ม ย้อนกลับไปปี 1995 โลกตื่นเต้นกับ Toy Story ที่ถูกโฆษณาว่าเป็นแอนิเมชันคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบเรื่องแรก แต่ความจริงคือ Pixar ยังต้องพึ่ง ฟิล์ม 35 มม. ในการฉาย เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรงภาพยนตร์ 🔰 ทุกเฟรมของ Toy Story ถูกพิมพ์ลงฟิล์ม ผ่านกระบวนการซับซ้อนที่ใช้เครื่องพิมพ์ฟิล์มเชิงพาณิชย์ 🔰 ทีมงานต้องปรับสีและแสงให้เหมาะกับการแสดงผลบนฟิล์ม เช่น สีเขียวจะมืดลง สีฟ้าต้องลดความอิ่มตัว และสีส้มที่ดูแย่บนจอคอมกลับสวยงามบนฟิล์ม 🔰 ผลลัพธ์คือภาพที่มี ความนุ่มนวลและอบอุ่น แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใสในปัจจุบัน ต่อมา Pixar ได้พัฒนาเทคนิคการโอนตรงจากดิจิทัลสู่ DVD โดยเริ่มจาก A Bug’s Life (1998) ทำให้ภาพยนตร์เวอร์ชันบ้านมีความคมชัดและไร้เกรน แต่ก็สูญเสียบรรยากาศดั้งเดิมที่ฟิล์มสร้างขึ้น มุมมองเพิ่มเติม 🌍 💠 ปัญหานี้สะท้อนความท้าทายของ การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่าน ที่ยังต้องพึ่งพาฟิล์ม 💠 นักอนุรักษ์ภาพยนตร์ถกเถียงกันว่า “เวอร์ชันไหนคือของแท้” ระหว่างฟิล์ม 35 มม. ที่ผู้ชมยุค 90s ได้เห็น กับเวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมในปัจจุบัน 💠 หลายคนเชื่อว่า การดู Toy Story บนฟิล์ม คือการสัมผัสประสบการณ์ที่ Pixar ตั้งใจสร้างจริง ๆ 🔎 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Toy Story (1995) ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ฉายด้วยฟิล์ม 35 มม. ➡️ เทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรง ✅ ทีมงาน Pixar ต้องปรับสีให้เข้ากับการพิมพ์ฟิล์ม ➡️ สีเขียวมืดลง, สีฟ้าลดความอิ่มตัว, สีส้มดูดีบนฟิล์ม ✅ เวอร์ชันฟิล์มมีความนุ่มนวลและอบอุ่น ➡️ แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใส ✅ A Bug’s Life (1998) คือการโอนตรงดิจิทัลสู่ DVD ครั้งแรก ➡️ ทำให้ภาพคมชัด แต่สูญเสียบรรยากาศแบบฟิล์ม ‼️ การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่านยังเป็นปัญหา ⛔ เวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้สร้างตั้งใจให้ผู้ชมเห็น https://animationobsessive.substack.com/p/the-toy-story-you-remember
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา

    ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

    เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้”

    น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป

    มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก
    ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
    หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา
    หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก

    FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก
    เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ

    ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด
    ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่

    Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg
    แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่

    กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน

    แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero
    กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ

    ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก
    หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก

    https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    📰 FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้” น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก 🌍 🔰 ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ 🔰 หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา 🔰 หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก ✅ FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก ➡️ เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ ✅ ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด ➡️ ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ ✅ Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg ➡️ แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ ✅ กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ➡️ ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน ‼️ แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero ⛔ กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก ⛔ หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    THENEWSTACK.IO
    FFmpeg to Google: Fund Us or Stop Sending Bugs
    A lively discussion about open source, security, and who pays the bills has erupted on Twitter.
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • ข่าวเทคโนโลยี: "qBittorrent 5.1.3 รองรับ Wayland แบบเนทีฟใน AppImage พร้อมแก้บั๊กเพียบ"
    ทีมพัฒนา qBittorrent ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ 5.1.3 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 5.1 โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ AppImage ทำงานได้แบบเนทีฟบน Wayland ทำให้ผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland สามารถใช้งานได้ราบรื่นขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง XWayland อีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กจำนวนมากที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น
    ปัญหา crash ที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชัน getrandom() บนบางระบบ Linux
    ปัญหา ลิงก์ Transifex ที่ไม่ถูกต้อง
    ปัญหา ปุ่ม “Save as .torrent file” แสดงก่อน metadata ถูกดึงมา
    Crash ที่เกิดจากการจัดการลำดับของ libtorrent alerts
    ปัญหา accessibility สำหรับ screen reader ใน torrent list
    ปัญหา HTTP header ที่กระทบ reverse proxy ใน WebUI

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น
    ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบ torrent
    ปรับปรุงการ autofill path suggestion ให้ใช้ native separator
    แก้ไขการตรวจจับภาษาใน macOS
    เพิ่มการแปล Catalan และ Kurdish ใน Windows installer
    ปรับปรุงระบบตรวจสอบอัปเดตบน Windows

    AppImage รองรับ Wayland แบบเนทีฟ
    ทำงานได้บน Linux ที่ใช้ Wayland โดยไม่ต้องพึ่ง XWayland
    เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งาน

    แก้ไขบั๊กจำนวนมาก
    Crash จาก getrandom() และ libtorrent alerts
    ปัญหาปุ่ม Save torrent file และ accessibility

    ปรับปรุงการทำงานทั่วไป
    ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบไฟล์
    ปรับปรุง WebUI และระบบตรวจสอบอัปเดต

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้
    แม้จะเสถียรขึ้น แต่ยังอาจพบบั๊กใหม่ใน Wayland เนื่องจากเพิ่งรองรับ
    ผู้ใช้ที่พึ่งพา plugin เสริมควรตรวจสอบความเข้ากันได้ก่อนอัปเดต

    https://9to5linux.com/qbittorrent-5-1-3-adds-native-wayland-support-to-the-appimage-fixes-more-bugs
    🌐 ข่าวเทคโนโลยี: "qBittorrent 5.1.3 รองรับ Wayland แบบเนทีฟใน AppImage พร้อมแก้บั๊กเพียบ" ทีมพัฒนา qBittorrent ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ 5.1.3 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 5.1 โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ AppImage ทำงานได้แบบเนทีฟบน Wayland ทำให้ผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland สามารถใช้งานได้ราบรื่นขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง XWayland อีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กจำนวนมากที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น 🪲 ปัญหา crash ที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชัน getrandom() บนบางระบบ Linux 🪲 ปัญหา ลิงก์ Transifex ที่ไม่ถูกต้อง 🪲 ปัญหา ปุ่ม “Save as .torrent file” แสดงก่อน metadata ถูกดึงมา 🪲 Crash ที่เกิดจากการจัดการลำดับของ libtorrent alerts 🪲 ปัญหา accessibility สำหรับ screen reader ใน torrent list 🪲 ปัญหา HTTP header ที่กระทบ reverse proxy ใน WebUI นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น 🔰 ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบ torrent 🔰 ปรับปรุงการ autofill path suggestion ให้ใช้ native separator 🔰 แก้ไขการตรวจจับภาษาใน macOS 🔰 เพิ่มการแปล Catalan และ Kurdish ใน Windows installer 🔰 ปรับปรุงระบบตรวจสอบอัปเดตบน Windows ✅ AppImage รองรับ Wayland แบบเนทีฟ ➡️ ทำงานได้บน Linux ที่ใช้ Wayland โดยไม่ต้องพึ่ง XWayland ➡️ เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งาน ✅ แก้ไขบั๊กจำนวนมาก ➡️ Crash จาก getrandom() และ libtorrent alerts ➡️ ปัญหาปุ่ม Save torrent file และ accessibility ✅ ปรับปรุงการทำงานทั่วไป ➡️ ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบไฟล์ ➡️ ปรับปรุง WebUI และระบบตรวจสอบอัปเดต ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ ⛔ แม้จะเสถียรขึ้น แต่ยังอาจพบบั๊กใหม่ใน Wayland เนื่องจากเพิ่งรองรับ ⛔ ผู้ใช้ที่พึ่งพา plugin เสริมควรตรวจสอบความเข้ากันได้ก่อนอัปเดต https://9to5linux.com/qbittorrent-5-1-3-adds-native-wayland-support-to-the-appimage-fixes-more-bugs
    9TO5LINUX.COM
    qBittorrent 5.1.3 Adds Native Wayland Support to the AppImage, Fixes More Bugs - 9to5Linux
    qBittorrent 5.1.3 open-source BitTorrent client is now available for download with various bug fixes and improvements.
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
More Results