• เรื่อง เสือกซ้ำซาก
    “เสือกซ้ำซาก”

    วันก่อน แฟนเพจท่านหนึ่งเพิ่งเขียนถามหน้าจอว่า “ลุงครับ ตาแดเนียล รัสเซล เขาจะมาหลอกล่อ ล้วงตับอะไรสมันน้อยไหม ตานี่ประวัติไม่ธรรมดา สงสัยมากดดันให้เลือกตั้งไวๆ ….”

    ผมละดีใจมาก ที่แฟนเพจนิทาน ตื่นตัว หูตากว้างไกล มองเห็นภัยของการเป็นสมันน้อยมากขึ้น ผมก็ตอบไปตามการวิเคราะห์ว่า ” เป็นจังหวะที่อเมริกาต้องมาตรวจแถว ก่อนจัดระเบียบแถวใหม่ และอื่นๆครับ อื่นๆ นี่ต้องไปถามท่านผู้นำเอง “

    ผมวิเคราะห์จากการขยับหมากตัวอื่นๆของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ผมคิดว่ามันกำลังเตรียมแผน และตามนิสัยมัน ก่อนจะสรุปแผน ไอ้นักล่าต้องตรวจสอบทุกเรื่องก่อน และแน่นอนในการตรวจสอบ ก็คงทำการเสือกเหมือนเคย และผมก็เบื่อที่จะต้องด่าถึงความเสือกอย่างซ้ำซากของพวกมัน

    แต่วันนี้พอผมเปิดเครื่อง ผมยิ่งดีใจใหญ่ ที่มีหลายท่าน อินบ๊อกซ์เข้ามาด่าไอ้เวรทิ้งไว้ให้ผมอ่าน แสดงว่าเราไม่ได้เป็นสมันน้อยแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นแล้ว และถ้าเราไม่พูดอะไรเสียเลย เดี๋ยวมันก็จะนึกว่าเราก็ไม่รู้ สึกรู้สา นึกว่าเราเป็นขี้ข้า อย่างเคยๆ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ก็มา ชี้ด่าเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสมันน้อยเหมือนเดิม งั้นวันนี้เราต้องฉลองการเลิกเป็นสมันน้อยของพวกเรา อย่างน้อยก็พวกเราในเพจนิทานล่ะครับ และผมเชื่อว่า มีคนไทยอีกมากมาย ที่ไม่อยากเป็นสมันน้อย และกำลังหาทางแหกคอกออกมา

    นายดาเนียล รัสเซล Daniel R Russel นี่เป็นใคร เขาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูแลกิจการด้านเอเซียตะวันออกและแปซิฟิก ก่อนหน้ารับตำแหน่งนี้ เมื่อกรกฏาคม 2013 เขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโอบามา ในการวางนโยบาย ปรับกำลังมาทางแปซิฟิกมากขึ้น Pivot To Asia

    คงจำกันได้ ก่อนหน้านั้น อเมริกาวางน้ำหนักความสำคัญด้านความมั่นคงให้ทางยุโรป โดยผ่านกองกำลังนาโต้ 60% และให้น้ำหนักทางแปซิฟิก 40% แต่เมื่อเกิดอาการช๊อก ที่เห็นอาเฮียโตเร็วเกินคาดในปี 2012 อเมริกาจึงรีบปรับนโยบาย ตอนนั้นคุณนายคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายแถวแปซิฟิกเสียหน้าเหี่ยว และตอนนั้นอเมริกาก็คงพอใจ ที่ไทยแลนด์ แดนสมันน้อย มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพรมเช็ดเท้าให้อเมริกา เพราะมีหัวหน้ารัฐบาลที่แม้แต่พูดภาษาคนธรรมดายังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่พูดภาษาราชการ หรือภาษาการฑูตเลย

    แน่นอน นายเดเนียล รัสเซล ผู้มีส่วนสำคัญในการปรับนโยบายใหม่ คงยืดน่าดู เพราะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลแปซิฟิกสมใจ

    5 กุมภาพันธ์ 2014 จากรายงานข่าวแจกของกระทรวงต่างประเทศ ที่วอชิงตัน บอกว่า อเมริกากำลังปรับดุลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก “rebalance” โดยนายรัสเซลบอกว่า เราต้องใช้กำลังพลด้านการฑูตเพิ่มอีกมาก เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของ เรา rebalance นี้ จะครอบคลุมไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะเน้นเรื่อง Trans -Pacific Partnership (TPP) และเรื่องขัดแย้งในทะเลจีน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง Air Defense Indentification Zone (ADIZ) ที่จีนประกาศใช้ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งอเมริกาไม่ชอบใจ
    แหม! อ่านตั้งนาน กว่าไต๋จะโผล่ นักล่าหงุดหงิดเรื่องนี้เอง แปลว่า ไอ้ที่อเมริกาเคยบินโฉบไปแอบดูอาหม่วยแถวนั้น โดยไม่แจง ไม่แจ้งน่ะ ทำไม่ได้แล้วนะ

    นายรัสเซล ยังบอกอีกว่า สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และของแปซิฟิก มีสเต็กชิ้นใหญ่อยู่ในแปซิฟิก ที่จำเป็นจะต้องให้เอเซียแปซิฟิก เปิดประตูกว้างเอาไว้ เพื่อเดินเข้าไปกินสะดวก แปลว่าตอนนี้กินสเต็กไม่สะดวก เพราะจีนกำลังขวางทางเข้าไปกิน

    อ่านต่อไม่ไหวครับ ยาแก้คลื่นไส้ ไม่ช่วยเลย

    ขอเปลี่ยนไปต่อ ที่การเสนอข่าวฉบับนี้ ที่ผมว่าน่าสนใจกว่าที่ ไอ้ขี้โม้รัสเซลพูดอีก

    เป็นการเสนอข่าวของ นายกวี จงกิจถาวร ใน นสพ. The Nation เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 นี้เอง หัวเรื่อง ” Are Thai-US relations warming up slowly?”
    http://www.nationmultimedia.com/opinion/Are-Thai-US-relations-warming-up-slowly-30251708.html

    ก่อนไปถึงเนื้อข่าว ขอให้ข้อมูลท่านผู้อ่านเสียหน่อยว่า จากข้อมูลของวิกิลีกซ์ ที่หล่นมาให้พวกเราหูตาสว่างกัน เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนั้น นายกวี เป็นนักข่าว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของสถานฑูตอเมริกัน ประจำราชอาณาจักรไทย เกือบทุกครั้งที่มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือมีนายใหญ่จากวอชิงตันมา นายกวีจะต้องร่วมหารือและให้ความเห็นในฐานะสื่อใหญ่ของไทยเสมอ พูดง่ายๆว่า ไม่มากไม่น้อย อเมริกาก็เห็น หรือรู้จักประเทศไทย จากสายตาและความคิดของนายกวี ซึ่งก็มีข่าวว่า อเมริกายกย่องและดูแลอย่างดี

    เนื้อข่าวของนายกวี สรุปว่า นายรัสเซลมาเมืองไทยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2014 และให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า เขามีความหวังว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งไทยควรมีการเลือกตั้งเช่นนั้น เพื่อที่จะสมกับการเป็นมิตรที่อเมริกาไว้วางใจ แต่หลังจากนั้น 44 วัน โดยไม่มีใครรู้ตัว (รวมทั้งนายรัสเซล และนายกวี ?!) ทหารก็ทำการยึดอำนาจ

    วอชิงตันแปลกใจมาก เพราะไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่นาย Kerry มีปฏิกริยารุนแรงกับไทย แล้วสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกา ก็ลงเหวอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาให้ดีขึ้น Thai-US relations quickly went downhill without any prospect of amelioration !

    ว้าย ตาเถรหก! ผมอ่านแล้วตกใจแทบสิ้นสติ อ่านข่าวแจกของฝร้่ง ต้องกินยาแก้คลื่นไส้ แต่พอมาอ่านข่าวคนไทยเขียน ผมต้องรีบให้เด็กเอายาหอมมาให้!
    ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าการปฏิวัติของคุณพี่ตู่ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่พอมาอ่านที่นายกวีเขียนว่า ถึงขนาดที่เราจะขาดมิตร ที่คบกับมากว่า 70 ปี โดย อย่างไม่เห็นหนทางเยียวยาเอาเลย นี่ ผมเลยลมรับประทาน….ด้วยความดีใจ…… ขอให้มันเป็นหยั่งงั้นเถิด เจ้าประคู้น เอ้า! แล้วนี่เสือกมาทำไมล่ะ มากรีดซ้ำเป็นการเยียวยาหรือยังไง เดี๋ยวต้องคอยตามอ่าน บทความของนายกวีเสียแล้วสินะ

    นายกวีขู่ผมต่อ …. หลังจาก 259 วันที่ปราศจากการติดต่อระดับรัฐมนตรี สัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกของไทย-อเมริกัน ก็เริ่มปรับตัวอุ่นขึ้น ด้วยการมา (โปรด!) ของนายรัสเซล เขาบอกว่าระหว่าง 2 วัน ที่อยู่เมืองไทย เขาจะมาทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้ให้อุ่นขึ้น เขาเน้นว่า ผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ยังไม่ติดต่อกับรัฐบาลไทยเลยนะ และนอกจากอเมริกาแล้ว EU ก็ยังไม่กลับมามีสัมพันธ์ปรกติกับไทยด้วย รอจนกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งก่อน …

    กิจกรรมแรก ที่ไทยจะมีร่วมกับอเมริกาในต้นปีนี้คือ การฝึกประจำปี Cobra Gold ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับอเมริกามา 3 ทศวรรษ สำหรับปีนี้ จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่นครนายก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ไปจัดที่อื่น หลังจากที่ไทยมีการปฏิวัติ คราวนี้การฝึกคงเป็นระดับเล็กลง และประชาสัมพันธ์น้อยลง อืม..,

    เดี๋ยวนี้ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีความหลากหลายในการสร้างมั่นคงของตน ถ้าใช้ตามวลีอันขึ้นชื่อของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม นาย Donald Rumsfeld ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป จากการคบคนเคยรู้กันแล้ว เป็นการคบกับคนที่ไม่เคยรู้กัน ( known-knowns เป็น known-unknowns) ที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ประเทศไทยมีการเจรจา และมีโครงการด้านความมั่นคงกับจีน รัสเซีย เวียตนาม..

    เอาละครับ สรุปมาให้ฟัง ทั้งที่ฝรั่งแจก กับไทยเขียนแทนฝรั่ง คงเห็นกันแล้วว่า อเมริกากำลังคิดอย่างไร

    – อเมริกา หน้าแตก แหกเป็นริ้ว มานั่งคุยจ้อเรื่องเลือกตั้ง นึกว่าสั่งแล้ว เขารู้เรื่องทำตาม ที่ไหนได้ กลับบ้านไป 44 วันเขาปฏิวัติ ไม่หน้าแหกยังไง จมูก CIA เสียหมดหรือไง ถึงดมกลิ่นปฏิวัติไม่เจอเลย แถมไอ้ลูกพี่ ที่มานั่งคุยกร่าง ยังจับทางไม่ได้ นั่งอยู่กลางบ้านเขาแท้ๆ ยังงี้มันน่าปลดให้หมด แล้วไอ้คนไทยที่เลี้ยงไว้เป็นสายสืบ ก็ต้องปลดด้วย ลูกเต้าที่ส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยดัง ส่งกลับไปอยู่วัดจานบินให้หมด

    – อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ไล่บี้ไอ้พวกลูกหาบ แถวเอเซียแปซิฟิกแรงๆ ให้มันไปช่วยกดดันจีน ดันบี้แรงไปหน่อย ทำท่าจะแหกคอก แตกแถว ไปอยู่ฝั่งโน้น อย่างนี้ ยิ่งกว่าหน้าแตก มันหน้าหัก หักหน้ากัน ไม่ตามมาด่าซ้ำถึงกลางบ้านได้ยังไง เด็กเลี้ยงมา 70 ปี มาทำหือ อย่างนีต้องเจอโทษหนักแน่นอน

    – แต่ที่แสดงความหมดท่า เสียที คือ อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ย้ายมากดดันจีน
    ลืมระวังอีกข้าง ถูกลูกหลอกฝั่งรัสเซียจีนผลัดกันโหม่ง วิ่งรับลูกผิดทาง เจอคุณพี่ปูตินซัดเต็มเหนี่ยว เกี่ยวเอาไครเมีย กล่องดวงใจกลับไปกก อันนี้มันเป็นเรื่อง แค้นนี้ต้องชำระ

    – แล้วใครล่ะ ที่เดินจ๋อยๆ เป็นสมันน้อยน่ารัก แต่จับมือกับเขาไปทั่ว ไอ้รูปจับมือ สร้างทางรถไฟนี่ มันต้องคารวะให้ 3 จอก จังหวะดีเหลือเชื่อ
    เอาแค่ตัวอย่างที่ยกมา ผมจึงไม่แปลกใจ ที่จะมีไอ้บ้าอะไรสักตัว มานั่งพล่าม นั่งเสือกยุ่งอยู่ในบ้านคนอื่นเขา เขาจัดการเรื่องบ้านเมืองของเขา ตามที่เขาเห็นเหมาะสม มันต้องเสือกอะไรด้วย เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่ได้เป็นทาสของใคร อย่าไปสนใจ ตกใจกับเสียงเห่า ตามสันดานของพวกหวงรางหญ้าครับ ปล่อยให้มันบ้าไป คุณพี่ตู่ท่านทำถูกแล้วที่ไม่รับนัด จริงๆ ไม่ควรมีใครรับนัดเลย ปล่อยให้มันคุยแต่กับนังเอ๋อ รายเดียวเหมาะสมกันดีจะตาย

    สวัสดีครับ
    ลุงนิทาน
    27 มกราคม 2558

    U.S. to Intensify Rebalancing in Asia in 2014
    https://geneva.usmission.gov/2014/02/06/u-s-to-intensify-rebalancing-in-asia-in-2014/
    เรื่อง เสือกซ้ำซาก “เสือกซ้ำซาก” วันก่อน แฟนเพจท่านหนึ่งเพิ่งเขียนถามหน้าจอว่า “ลุงครับ ตาแดเนียล รัสเซล เขาจะมาหลอกล่อ ล้วงตับอะไรสมันน้อยไหม ตานี่ประวัติไม่ธรรมดา สงสัยมากดดันให้เลือกตั้งไวๆ ….” ผมละดีใจมาก ที่แฟนเพจนิทาน ตื่นตัว หูตากว้างไกล มองเห็นภัยของการเป็นสมันน้อยมากขึ้น ผมก็ตอบไปตามการวิเคราะห์ว่า ” เป็นจังหวะที่อเมริกาต้องมาตรวจแถว ก่อนจัดระเบียบแถวใหม่ และอื่นๆครับ อื่นๆ นี่ต้องไปถามท่านผู้นำเอง “ ผมวิเคราะห์จากการขยับหมากตัวอื่นๆของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ผมคิดว่ามันกำลังเตรียมแผน และตามนิสัยมัน ก่อนจะสรุปแผน ไอ้นักล่าต้องตรวจสอบทุกเรื่องก่อน และแน่นอนในการตรวจสอบ ก็คงทำการเสือกเหมือนเคย และผมก็เบื่อที่จะต้องด่าถึงความเสือกอย่างซ้ำซากของพวกมัน แต่วันนี้พอผมเปิดเครื่อง ผมยิ่งดีใจใหญ่ ที่มีหลายท่าน อินบ๊อกซ์เข้ามาด่าไอ้เวรทิ้งไว้ให้ผมอ่าน แสดงว่าเราไม่ได้เป็นสมันน้อยแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นแล้ว และถ้าเราไม่พูดอะไรเสียเลย เดี๋ยวมันก็จะนึกว่าเราก็ไม่รู้ สึกรู้สา นึกว่าเราเป็นขี้ข้า อย่างเคยๆ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ก็มา ชี้ด่าเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสมันน้อยเหมือนเดิม งั้นวันนี้เราต้องฉลองการเลิกเป็นสมันน้อยของพวกเรา อย่างน้อยก็พวกเราในเพจนิทานล่ะครับ และผมเชื่อว่า มีคนไทยอีกมากมาย ที่ไม่อยากเป็นสมันน้อย และกำลังหาทางแหกคอกออกมา นายดาเนียล รัสเซล Daniel R Russel นี่เป็นใคร เขาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูแลกิจการด้านเอเซียตะวันออกและแปซิฟิก ก่อนหน้ารับตำแหน่งนี้ เมื่อกรกฏาคม 2013 เขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโอบามา ในการวางนโยบาย ปรับกำลังมาทางแปซิฟิกมากขึ้น Pivot To Asia คงจำกันได้ ก่อนหน้านั้น อเมริกาวางน้ำหนักความสำคัญด้านความมั่นคงให้ทางยุโรป โดยผ่านกองกำลังนาโต้ 60% และให้น้ำหนักทางแปซิฟิก 40% แต่เมื่อเกิดอาการช๊อก ที่เห็นอาเฮียโตเร็วเกินคาดในปี 2012 อเมริกาจึงรีบปรับนโยบาย ตอนนั้นคุณนายคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายแถวแปซิฟิกเสียหน้าเหี่ยว และตอนนั้นอเมริกาก็คงพอใจ ที่ไทยแลนด์ แดนสมันน้อย มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพรมเช็ดเท้าให้อเมริกา เพราะมีหัวหน้ารัฐบาลที่แม้แต่พูดภาษาคนธรรมดายังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่พูดภาษาราชการ หรือภาษาการฑูตเลย แน่นอน นายเดเนียล รัสเซล ผู้มีส่วนสำคัญในการปรับนโยบายใหม่ คงยืดน่าดู เพราะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลแปซิฟิกสมใจ 5 กุมภาพันธ์ 2014 จากรายงานข่าวแจกของกระทรวงต่างประเทศ ที่วอชิงตัน บอกว่า อเมริกากำลังปรับดุลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก “rebalance” โดยนายรัสเซลบอกว่า เราต้องใช้กำลังพลด้านการฑูตเพิ่มอีกมาก เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของ เรา rebalance นี้ จะครอบคลุมไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะเน้นเรื่อง Trans -Pacific Partnership (TPP) และเรื่องขัดแย้งในทะเลจีน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง Air Defense Indentification Zone (ADIZ) ที่จีนประกาศใช้ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งอเมริกาไม่ชอบใจ แหม! อ่านตั้งนาน กว่าไต๋จะโผล่ นักล่าหงุดหงิดเรื่องนี้เอง แปลว่า ไอ้ที่อเมริกาเคยบินโฉบไปแอบดูอาหม่วยแถวนั้น โดยไม่แจง ไม่แจ้งน่ะ ทำไม่ได้แล้วนะ นายรัสเซล ยังบอกอีกว่า สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และของแปซิฟิก มีสเต็กชิ้นใหญ่อยู่ในแปซิฟิก ที่จำเป็นจะต้องให้เอเซียแปซิฟิก เปิดประตูกว้างเอาไว้ เพื่อเดินเข้าไปกินสะดวก แปลว่าตอนนี้กินสเต็กไม่สะดวก เพราะจีนกำลังขวางทางเข้าไปกิน อ่านต่อไม่ไหวครับ ยาแก้คลื่นไส้ ไม่ช่วยเลย ขอเปลี่ยนไปต่อ ที่การเสนอข่าวฉบับนี้ ที่ผมว่าน่าสนใจกว่าที่ ไอ้ขี้โม้รัสเซลพูดอีก เป็นการเสนอข่าวของ นายกวี จงกิจถาวร ใน นสพ. The Nation เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 นี้เอง หัวเรื่อง ” Are Thai-US relations warming up slowly?” http://www.nationmultimedia.com/opinion/Are-Thai-US-relations-warming-up-slowly-30251708.html ก่อนไปถึงเนื้อข่าว ขอให้ข้อมูลท่านผู้อ่านเสียหน่อยว่า จากข้อมูลของวิกิลีกซ์ ที่หล่นมาให้พวกเราหูตาสว่างกัน เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนั้น นายกวี เป็นนักข่าว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของสถานฑูตอเมริกัน ประจำราชอาณาจักรไทย เกือบทุกครั้งที่มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือมีนายใหญ่จากวอชิงตันมา นายกวีจะต้องร่วมหารือและให้ความเห็นในฐานะสื่อใหญ่ของไทยเสมอ พูดง่ายๆว่า ไม่มากไม่น้อย อเมริกาก็เห็น หรือรู้จักประเทศไทย จากสายตาและความคิดของนายกวี ซึ่งก็มีข่าวว่า อเมริกายกย่องและดูแลอย่างดี เนื้อข่าวของนายกวี สรุปว่า นายรัสเซลมาเมืองไทยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2014 และให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า เขามีความหวังว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งไทยควรมีการเลือกตั้งเช่นนั้น เพื่อที่จะสมกับการเป็นมิตรที่อเมริกาไว้วางใจ แต่หลังจากนั้น 44 วัน โดยไม่มีใครรู้ตัว (รวมทั้งนายรัสเซล และนายกวี ?!) ทหารก็ทำการยึดอำนาจ วอชิงตันแปลกใจมาก เพราะไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่นาย Kerry มีปฏิกริยารุนแรงกับไทย แล้วสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกา ก็ลงเหวอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาให้ดีขึ้น Thai-US relations quickly went downhill without any prospect of amelioration ! ว้าย ตาเถรหก! ผมอ่านแล้วตกใจแทบสิ้นสติ อ่านข่าวแจกของฝร้่ง ต้องกินยาแก้คลื่นไส้ แต่พอมาอ่านข่าวคนไทยเขียน ผมต้องรีบให้เด็กเอายาหอมมาให้! ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าการปฏิวัติของคุณพี่ตู่ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่พอมาอ่านที่นายกวีเขียนว่า ถึงขนาดที่เราจะขาดมิตร ที่คบกับมากว่า 70 ปี โดย อย่างไม่เห็นหนทางเยียวยาเอาเลย นี่ ผมเลยลมรับประทาน….ด้วยความดีใจ…… ขอให้มันเป็นหยั่งงั้นเถิด เจ้าประคู้น เอ้า! แล้วนี่เสือกมาทำไมล่ะ มากรีดซ้ำเป็นการเยียวยาหรือยังไง เดี๋ยวต้องคอยตามอ่าน บทความของนายกวีเสียแล้วสินะ นายกวีขู่ผมต่อ …. หลังจาก 259 วันที่ปราศจากการติดต่อระดับรัฐมนตรี สัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกของไทย-อเมริกัน ก็เริ่มปรับตัวอุ่นขึ้น ด้วยการมา (โปรด!) ของนายรัสเซล เขาบอกว่าระหว่าง 2 วัน ที่อยู่เมืองไทย เขาจะมาทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้ให้อุ่นขึ้น เขาเน้นว่า ผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ยังไม่ติดต่อกับรัฐบาลไทยเลยนะ และนอกจากอเมริกาแล้ว EU ก็ยังไม่กลับมามีสัมพันธ์ปรกติกับไทยด้วย รอจนกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งก่อน … กิจกรรมแรก ที่ไทยจะมีร่วมกับอเมริกาในต้นปีนี้คือ การฝึกประจำปี Cobra Gold ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับอเมริกามา 3 ทศวรรษ สำหรับปีนี้ จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่นครนายก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ไปจัดที่อื่น หลังจากที่ไทยมีการปฏิวัติ คราวนี้การฝึกคงเป็นระดับเล็กลง และประชาสัมพันธ์น้อยลง อืม.., เดี๋ยวนี้ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีความหลากหลายในการสร้างมั่นคงของตน ถ้าใช้ตามวลีอันขึ้นชื่อของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม นาย Donald Rumsfeld ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป จากการคบคนเคยรู้กันแล้ว เป็นการคบกับคนที่ไม่เคยรู้กัน ( known-knowns เป็น known-unknowns) ที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ประเทศไทยมีการเจรจา และมีโครงการด้านความมั่นคงกับจีน รัสเซีย เวียตนาม.. เอาละครับ สรุปมาให้ฟัง ทั้งที่ฝรั่งแจก กับไทยเขียนแทนฝรั่ง คงเห็นกันแล้วว่า อเมริกากำลังคิดอย่างไร – อเมริกา หน้าแตก แหกเป็นริ้ว มานั่งคุยจ้อเรื่องเลือกตั้ง นึกว่าสั่งแล้ว เขารู้เรื่องทำตาม ที่ไหนได้ กลับบ้านไป 44 วันเขาปฏิวัติ ไม่หน้าแหกยังไง จมูก CIA เสียหมดหรือไง ถึงดมกลิ่นปฏิวัติไม่เจอเลย แถมไอ้ลูกพี่ ที่มานั่งคุยกร่าง ยังจับทางไม่ได้ นั่งอยู่กลางบ้านเขาแท้ๆ ยังงี้มันน่าปลดให้หมด แล้วไอ้คนไทยที่เลี้ยงไว้เป็นสายสืบ ก็ต้องปลดด้วย ลูกเต้าที่ส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยดัง ส่งกลับไปอยู่วัดจานบินให้หมด – อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ไล่บี้ไอ้พวกลูกหาบ แถวเอเซียแปซิฟิกแรงๆ ให้มันไปช่วยกดดันจีน ดันบี้แรงไปหน่อย ทำท่าจะแหกคอก แตกแถว ไปอยู่ฝั่งโน้น อย่างนี้ ยิ่งกว่าหน้าแตก มันหน้าหัก หักหน้ากัน ไม่ตามมาด่าซ้ำถึงกลางบ้านได้ยังไง เด็กเลี้ยงมา 70 ปี มาทำหือ อย่างนีต้องเจอโทษหนักแน่นอน – แต่ที่แสดงความหมดท่า เสียที คือ อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ย้ายมากดดันจีน ลืมระวังอีกข้าง ถูกลูกหลอกฝั่งรัสเซียจีนผลัดกันโหม่ง วิ่งรับลูกผิดทาง เจอคุณพี่ปูตินซัดเต็มเหนี่ยว เกี่ยวเอาไครเมีย กล่องดวงใจกลับไปกก อันนี้มันเป็นเรื่อง แค้นนี้ต้องชำระ – แล้วใครล่ะ ที่เดินจ๋อยๆ เป็นสมันน้อยน่ารัก แต่จับมือกับเขาไปทั่ว ไอ้รูปจับมือ สร้างทางรถไฟนี่ มันต้องคารวะให้ 3 จอก จังหวะดีเหลือเชื่อ เอาแค่ตัวอย่างที่ยกมา ผมจึงไม่แปลกใจ ที่จะมีไอ้บ้าอะไรสักตัว มานั่งพล่าม นั่งเสือกยุ่งอยู่ในบ้านคนอื่นเขา เขาจัดการเรื่องบ้านเมืองของเขา ตามที่เขาเห็นเหมาะสม มันต้องเสือกอะไรด้วย เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่ได้เป็นทาสของใคร อย่าไปสนใจ ตกใจกับเสียงเห่า ตามสันดานของพวกหวงรางหญ้าครับ ปล่อยให้มันบ้าไป คุณพี่ตู่ท่านทำถูกแล้วที่ไม่รับนัด จริงๆ ไม่ควรมีใครรับนัดเลย ปล่อยให้มันคุยแต่กับนังเอ๋อ รายเดียวเหมาะสมกันดีจะตาย สวัสดีครับ ลุงนิทาน 27 มกราคม 2558 U.S. to Intensify Rebalancing in Asia in 2014 https://geneva.usmission.gov/2014/02/06/u-s-to-intensify-rebalancing-in-asia-in-2014/
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • “Exynos 2600 ยังไม่พร้อมใช้กับ Galaxy S26 ทุกรุ่น – ผลิตได้แค่ 15,000 แผ่น wafer เท่านั้น!”

    Samsung เริ่มผลิตชิป Exynos 2600 ด้วยเทคโนโลยี 2nm GAA (Gate-All-Around) สำหรับใช้ใน Galaxy S26 แต่ดูเหมือนว่าการผลิตยังไม่พร้อมเต็มที่ เพราะมีรายงานว่าผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด

    แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า Exynos 2600 มีประสิทธิภาพสูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ A19 Pro ในการทดสอบภายใน แต่ปัญหาหลักคือ อัตราผลิตที่ได้ (yield) ยังอยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น ทำให้ชิปที่ผลิตได้จริงมีจำนวนจำกัด

    ผลคือ Galaxy S26 จะมีเพียง 30% ของเครื่องทั้งหมด ที่ใช้ Exynos 2600 ส่วนที่เหลือจะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า S26 Ultra จะใช้ Exynos ด้วย แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าอาจไม่เป็นจริง

    แหล่งข่าวยังระบุว่า Exynos 2600 ถูกมองว่า “premature” หรือยังไม่พร้อมใช้งานในระดับ mass production และ Samsung ยังต้องปรับปรุง yield ให้สูงขึ้นก่อนจะใช้กับรุ่นเรือธงทั้งหมด

    นอกจากนี้ Samsung ยังมีแผนใช้เทคโนโลยี 2nm GAA เดียวกันในการผลิตชิป AI6 ของ Tesla ซึ่งอยู่ในช่วง pilot production โดยตั้งเป้าเพิ่ม yield ให้ถึง 50% ภายในรอบการผลิตถัดไป

    สถานะการผลิตของ Exynos 2600
    ผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น
    Yield อยู่ที่ประมาณ 50%
    ใช้เทคโนโลยี 2nm GAA ที่ยังไม่เสถียร
    ถูกมองว่ายัง “premature” สำหรับการใช้งานใน Galaxy S26 ทุกรุ่น

    ผลกระทบต่อ Galaxy S26
    มีเพียง 30% ของเครื่องที่ใช้ Exynos 2600
    ส่วนใหญ่จะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน
    S26 Ultra อาจไม่ได้ใช้ Exynos ตามที่เคยคาดไว้
    ประสิทธิภาพของ Exynos 2600 ยังสูงกว่าในการทดสอบภายใน

    แผนของ Samsung ในอนาคต
    ตั้งเป้าเพิ่ม yield เป็น 70%
    ใช้เทคโนโลยีเดียวกันผลิตชิป AI6 ให้ Tesla
    หวังดึงลูกค้าใหม่ เช่น Qualcomm หาก yield ดีขึ้น
    แข่งกับ TSMC ในตลาด 2nm GAA

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    Yield ต่ำทำให้ต้นทุนต่อชิปสูงและจำนวนผลิตจำกัด
    การใช้ชิปที่ยังไม่เสถียรอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Galaxy S26
    หากไม่สามารถเพิ่ม yield ได้ อาจเสียเปรียบ TSMC ในระยะยาว
    การพึ่งพา Snapdragon มากเกินไปอาจลดความเป็นอิสระของ Samsung
    การผลิต AI6 บนเทคโนโลยีเดียวกันอาจเจอปัญหา yield ซ้ำซ้อน

    https://wccftech.com/exynos-2600-initial-production-volume-15000-wafers-considered-premature-for-all-galaxy-s26-models/
    📱 “Exynos 2600 ยังไม่พร้อมใช้กับ Galaxy S26 ทุกรุ่น – ผลิตได้แค่ 15,000 แผ่น wafer เท่านั้น!” Samsung เริ่มผลิตชิป Exynos 2600 ด้วยเทคโนโลยี 2nm GAA (Gate-All-Around) สำหรับใช้ใน Galaxy S26 แต่ดูเหมือนว่าการผลิตยังไม่พร้อมเต็มที่ เพราะมีรายงานว่าผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า Exynos 2600 มีประสิทธิภาพสูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ A19 Pro ในการทดสอบภายใน แต่ปัญหาหลักคือ อัตราผลิตที่ได้ (yield) ยังอยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น ทำให้ชิปที่ผลิตได้จริงมีจำนวนจำกัด ผลคือ Galaxy S26 จะมีเพียง 30% ของเครื่องทั้งหมด ที่ใช้ Exynos 2600 ส่วนที่เหลือจะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า S26 Ultra จะใช้ Exynos ด้วย แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าอาจไม่เป็นจริง แหล่งข่าวยังระบุว่า Exynos 2600 ถูกมองว่า “premature” หรือยังไม่พร้อมใช้งานในระดับ mass production และ Samsung ยังต้องปรับปรุง yield ให้สูงขึ้นก่อนจะใช้กับรุ่นเรือธงทั้งหมด นอกจากนี้ Samsung ยังมีแผนใช้เทคโนโลยี 2nm GAA เดียวกันในการผลิตชิป AI6 ของ Tesla ซึ่งอยู่ในช่วง pilot production โดยตั้งเป้าเพิ่ม yield ให้ถึง 50% ภายในรอบการผลิตถัดไป ✅ สถานะการผลิตของ Exynos 2600 ➡️ ผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น ➡️ Yield อยู่ที่ประมาณ 50% ➡️ ใช้เทคโนโลยี 2nm GAA ที่ยังไม่เสถียร ➡️ ถูกมองว่ายัง “premature” สำหรับการใช้งานใน Galaxy S26 ทุกรุ่น ✅ ผลกระทบต่อ Galaxy S26 ➡️ มีเพียง 30% ของเครื่องที่ใช้ Exynos 2600 ➡️ ส่วนใหญ่จะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน ➡️ S26 Ultra อาจไม่ได้ใช้ Exynos ตามที่เคยคาดไว้ ➡️ ประสิทธิภาพของ Exynos 2600 ยังสูงกว่าในการทดสอบภายใน ✅ แผนของ Samsung ในอนาคต ➡️ ตั้งเป้าเพิ่ม yield เป็น 70% ➡️ ใช้เทคโนโลยีเดียวกันผลิตชิป AI6 ให้ Tesla ➡️ หวังดึงลูกค้าใหม่ เช่น Qualcomm หาก yield ดีขึ้น ➡️ แข่งกับ TSMC ในตลาด 2nm GAA ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ Yield ต่ำทำให้ต้นทุนต่อชิปสูงและจำนวนผลิตจำกัด ⛔ การใช้ชิปที่ยังไม่เสถียรอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Galaxy S26 ⛔ หากไม่สามารถเพิ่ม yield ได้ อาจเสียเปรียบ TSMC ในระยะยาว ⛔ การพึ่งพา Snapdragon มากเกินไปอาจลดความเป็นอิสระของ Samsung ⛔ การผลิต AI6 บนเทคโนโลยีเดียวกันอาจเจอปัญหา yield ซ้ำซ้อน https://wccftech.com/exynos-2600-initial-production-volume-15000-wafers-considered-premature-for-all-galaxy-s26-models/
    WCCFTECH.COM
    Exynos 2600 Is Considered ‘Premature’ To Be Used In All Galaxy S26 Models; Initial Production Volume Is Only 15,000 Wafers, Possibly Due To Poor Yields
    A report says that the initial production volume of the Exynos 2600 is 15,000 units and may not be available in larger quantities to be used in all Galaxy S26 versions
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • “Intel Nova Lake เตรียมใช้ NPU รุ่นที่ 6 – หลุดจาก patch Linux เผยพลัง AI ที่เหนือกว่าเดิม!”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Nova Lake ที่จะมาพร้อมกับ NPU รุ่นที่ 6 (NPU6) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผล AI ที่ล้ำหน้ากว่ารุ่นก่อนหน้า โดยข้อมูลนี้หลุดออกมาจาก patch ล่าสุดของ Linux kernel ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ของ Intel

    ใน patch ดังกล่าวมีการเพิ่ม PCI Device ID สำหรับ NPU6 และ firmware ใหม่ชื่อว่า pu_60xx_v1.bin ซึ่งบ่งบอกว่า Intel กำลังเตรียมเปิดตัวชิปที่มีความสามารถด้าน AI สูงขึ้นอย่างชัดเจน

    ก่อนหน้านี้ Lunar Lake ใช้ NPU4 ส่วน Panther Lake ที่จะเปิดตัวก่อน Nova Lake จะใช้ NPU5 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS ดังนั้น Nova Lake ที่ใช้ NPU6 น่าจะมีพลัง AI ที่สูงกว่านี้อีก และอาจรองรับมาตรฐาน Copilot+ PC ได้แบบเต็มตัว

    แม้ว่า adoption rate ของ AI PC ยังไม่สูงมาก แต่ Intel ก็ยังเดินหน้าพัฒนา NPU รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันความสามารถด้าน AI ให้เป็นจุดขายหลักของซีพียูรุ่นใหม่

    การเปลี่ยนแปลงใน Nova Lake
    ใช้ NPU6 แทน NPU5 ที่ใช้ใน Panther Lake
    หลุดจาก patch Linux kernel ที่เพิ่ม PCI Device ID ใหม่
    มี firmware ใหม่ชื่อ pu_60xx_v1.bin
    ใช้ code path เดิมของ NPU5 แต่รองรับ hardware ใหม่

    ความสามารถด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น
    NPU5 มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS
    NPU6 คาดว่าจะสูงกว่านี้เพื่อรองรับ Copilot+ PC
    Intel ไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน
    Nova Lake น่าจะมีความสามารถ AI ที่เหนือกว่า Lunar Lake และ Panther Lake

    ความเคลื่อนไหวของ Intel
    เพิ่มราคาชิป Raptor Lake เพราะความต้องการสูง
    แม้ AI PC ยังไม่แพร่หลาย แต่ Intel ยังลงทุนต่อเนื่อง
    Patch Linux บ่งชี้ว่า Nova Lake จะเปิดตัวในปีหน้า
    การพัฒนา NPU เป็นกลยุทธ์หลักของ Intel ในยุค AI

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Intel เกี่ยวกับสเปกของ NPU6
    การใช้ code path เดิมอาจทำให้ firmware ยังไม่สมบูรณ์
    หาก adoption rate ของ AI PC ไม่เพิ่ม อาจกระทบยอดขาย
    การเปลี่ยน NPU ทุกเจนเรชันอาจเพิ่มต้นทุนและความซับซ้อน
    ต้องรอการทดสอบจริงเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของ NPU6


    https://wccftech.com/intel-nova-lake-to-boast-6th-gen-npu-as-per-early-linux-kernel-patch/
    🧠 “Intel Nova Lake เตรียมใช้ NPU รุ่นที่ 6 – หลุดจาก patch Linux เผยพลัง AI ที่เหนือกว่าเดิม!” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Nova Lake ที่จะมาพร้อมกับ NPU รุ่นที่ 6 (NPU6) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผล AI ที่ล้ำหน้ากว่ารุ่นก่อนหน้า โดยข้อมูลนี้หลุดออกมาจาก patch ล่าสุดของ Linux kernel ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ของ Intel ใน patch ดังกล่าวมีการเพิ่ม PCI Device ID สำหรับ NPU6 และ firmware ใหม่ชื่อว่า pu_60xx_v1.bin ซึ่งบ่งบอกว่า Intel กำลังเตรียมเปิดตัวชิปที่มีความสามารถด้าน AI สูงขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ Lunar Lake ใช้ NPU4 ส่วน Panther Lake ที่จะเปิดตัวก่อน Nova Lake จะใช้ NPU5 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS ดังนั้น Nova Lake ที่ใช้ NPU6 น่าจะมีพลัง AI ที่สูงกว่านี้อีก และอาจรองรับมาตรฐาน Copilot+ PC ได้แบบเต็มตัว แม้ว่า adoption rate ของ AI PC ยังไม่สูงมาก แต่ Intel ก็ยังเดินหน้าพัฒนา NPU รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันความสามารถด้าน AI ให้เป็นจุดขายหลักของซีพียูรุ่นใหม่ ✅ การเปลี่ยนแปลงใน Nova Lake ➡️ ใช้ NPU6 แทน NPU5 ที่ใช้ใน Panther Lake ➡️ หลุดจาก patch Linux kernel ที่เพิ่ม PCI Device ID ใหม่ ➡️ มี firmware ใหม่ชื่อ pu_60xx_v1.bin ➡️ ใช้ code path เดิมของ NPU5 แต่รองรับ hardware ใหม่ ✅ ความสามารถด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น ➡️ NPU5 มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS ➡️ NPU6 คาดว่าจะสูงกว่านี้เพื่อรองรับ Copilot+ PC ➡️ Intel ไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน ➡️ Nova Lake น่าจะมีความสามารถ AI ที่เหนือกว่า Lunar Lake และ Panther Lake ✅ ความเคลื่อนไหวของ Intel ➡️ เพิ่มราคาชิป Raptor Lake เพราะความต้องการสูง ➡️ แม้ AI PC ยังไม่แพร่หลาย แต่ Intel ยังลงทุนต่อเนื่อง ➡️ Patch Linux บ่งชี้ว่า Nova Lake จะเปิดตัวในปีหน้า ➡️ การพัฒนา NPU เป็นกลยุทธ์หลักของ Intel ในยุค AI ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Intel เกี่ยวกับสเปกของ NPU6 ⛔ การใช้ code path เดิมอาจทำให้ firmware ยังไม่สมบูรณ์ ⛔ หาก adoption rate ของ AI PC ไม่เพิ่ม อาจกระทบยอดขาย ⛔ การเปลี่ยน NPU ทุกเจนเรชันอาจเพิ่มต้นทุนและความซับซ้อน ⛔ ต้องรอการทดสอบจริงเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของ NPU6 https://wccftech.com/intel-nova-lake-to-boast-6th-gen-npu-as-per-early-linux-kernel-patch/
    WCCFTECH.COM
    Intel Nova Lake To Boast 6th Gen NPU As Per Early Linux Kernel Patch
    The latest Linux Kernel Patch revealed that Intel will be using NPU6 on Nova Lake processors and won't retain NPU5 from Panther Lake.
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • “Cooler Master แนะลูกค้า ‘รื้อสายไฟ’ เพื่อเสียบการ์ดจอ – แต่คำแนะนำอาจไม่ช่วย แถมเสี่ยงไฟไหม้!”

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Asus RTX 5070 Ti พบว่าไม่สามารถเสียบสายไฟ 12V-2x6 จาก PSU ของ Cooler Master รุ่น MWE Gold V2 1250W ได้ เพราะหัวสายแบบงอ (right-angled) ไม่พอดีกับพอร์ตบนการ์ดจอ ซึ่งมีการออกแบบตำแหน่งพอร์ตไฟเบี้ยวเล็กน้อย

    ลูกค้าจึงติดต่อฝ่ายบริการของ Cooler Master เพื่อขอสายแบบตรง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำแนะนำให้ “รื้อสายไฟ” โดยการถอดคลิปล็อกด้านข้างของหัวสาย เพื่อให้สามารถเสียบเข้าไปได้ — ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY

    โชคดีที่ลูกค้าไม่ทำตาม และเลือกซื้อสายจาก Cablemod แทน เพราะการรื้อสายแบบนั้นไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังเสี่ยงต่อการเสียหายของหัวสาย และอาจเพิ่มความต้านทานไฟฟ้า จนเกิดความร้อนสะสมและไฟไหม้ได้

    Igor’s Lab ซึ่งเป็นแหล่งข่าวต้นเรื่อง ได้ทดสอบสาย Cooler Master กับการ์ดจอ MSI RTX 5090 Suprim และพบว่าแม้จะถอดคลิปล็อกแล้ว ก็ยังเสียบไม่สุด เพราะ housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐานของ Nvidia ถึง 3.2 มม. ทำให้ชนกับฮีตซิงก์ของการ์ดจอ

    นอกจากนี้ยังเตือนว่า สาย 12V-2x6 เป็นสายที่เปราะบางมาก การงอหรือดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน ส่งผลให้เกิดความร้อนและไฟไหม้ได้ง่าย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งกับสาย 16-pin ในอดีต

    ปัญหาที่พบ
    สายไฟ 12V-2x6 แบบงอของ Cooler Master เสียบไม่พอดีกับ Asus RTX 5070 Ti
    พอร์ตไฟบนการ์ดจอมีตำแหน่งเบี้ยว ทำให้สายชนกับฮีตซิงก์
    Housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐาน Nvidia 3.2 มม.
    แม้ถอดคลิปล็อกแล้วก็ยังเสียบไม่สุด

    คำแนะนำจากฝ่ายบริการ
    แนะนำให้ลูกค้ารื้อสายโดยถอดคลิปล็อกด้านข้าง
    เปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY
    ลูกค้าเลือกไม่ทำตาม และซื้อสายจาก Cablemod แทน
    Igor’s Lab ยืนยันว่าคำแนะนำนี้ไม่ช่วยแก้ปัญหา

    ความเสี่ยงจากการแก้ไขสายไฟ
    การดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน
    เพิ่มความต้านทานไฟฟ้า → ความร้อนสะสม → เสี่ยงไฟไหม้
    สาย 12V-2x6 มีประวัติเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี
    การใช้สายที่ไม่ตรงมาตรฐานอาจทำให้การ์ดจอเสียหาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cooler-master-tells-customer-to-dismantle-12v2x6-connector-to-fit-asus-rtx-5070-ti-customer-service-offers-dubious-advice-that-might-not-even-fix-issue
    ⚠️ “Cooler Master แนะลูกค้า ‘รื้อสายไฟ’ เพื่อเสียบการ์ดจอ – แต่คำแนะนำอาจไม่ช่วย แถมเสี่ยงไฟไหม้!” เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Asus RTX 5070 Ti พบว่าไม่สามารถเสียบสายไฟ 12V-2x6 จาก PSU ของ Cooler Master รุ่น MWE Gold V2 1250W ได้ เพราะหัวสายแบบงอ (right-angled) ไม่พอดีกับพอร์ตบนการ์ดจอ ซึ่งมีการออกแบบตำแหน่งพอร์ตไฟเบี้ยวเล็กน้อย ลูกค้าจึงติดต่อฝ่ายบริการของ Cooler Master เพื่อขอสายแบบตรง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำแนะนำให้ “รื้อสายไฟ” โดยการถอดคลิปล็อกด้านข้างของหัวสาย เพื่อให้สามารถเสียบเข้าไปได้ — ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY โชคดีที่ลูกค้าไม่ทำตาม และเลือกซื้อสายจาก Cablemod แทน เพราะการรื้อสายแบบนั้นไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังเสี่ยงต่อการเสียหายของหัวสาย และอาจเพิ่มความต้านทานไฟฟ้า จนเกิดความร้อนสะสมและไฟไหม้ได้ Igor’s Lab ซึ่งเป็นแหล่งข่าวต้นเรื่อง ได้ทดสอบสาย Cooler Master กับการ์ดจอ MSI RTX 5090 Suprim และพบว่าแม้จะถอดคลิปล็อกแล้ว ก็ยังเสียบไม่สุด เพราะ housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐานของ Nvidia ถึง 3.2 มม. ทำให้ชนกับฮีตซิงก์ของการ์ดจอ นอกจากนี้ยังเตือนว่า สาย 12V-2x6 เป็นสายที่เปราะบางมาก การงอหรือดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน ส่งผลให้เกิดความร้อนและไฟไหม้ได้ง่าย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งกับสาย 16-pin ในอดีต ✅ ปัญหาที่พบ ➡️ สายไฟ 12V-2x6 แบบงอของ Cooler Master เสียบไม่พอดีกับ Asus RTX 5070 Ti ➡️ พอร์ตไฟบนการ์ดจอมีตำแหน่งเบี้ยว ทำให้สายชนกับฮีตซิงก์ ➡️ Housing ภายในของสาย Cooler Master สั้นกว่ามาตรฐาน Nvidia 3.2 มม. ➡️ แม้ถอดคลิปล็อกแล้วก็ยังเสียบไม่สุด ✅ คำแนะนำจากฝ่ายบริการ ➡️ แนะนำให้ลูกค้ารื้อสายโดยถอดคลิปล็อกด้านข้าง ➡️ เปลี่ยนสายงอให้กลายเป็นสายตรงแบบ DIY ➡️ ลูกค้าเลือกไม่ทำตาม และซื้อสายจาก Cablemod แทน ➡️ Igor’s Lab ยืนยันว่าคำแนะนำนี้ไม่ช่วยแก้ปัญหา ✅ ความเสี่ยงจากการแก้ไขสายไฟ ➡️ การดัดสายอาจทำให้ขั้วภายในเคลื่อน ➡️ เพิ่มความต้านทานไฟฟ้า → ความร้อนสะสม → เสี่ยงไฟไหม้ ➡️ สาย 12V-2x6 มีประวัติเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี ➡️ การใช้สายที่ไม่ตรงมาตรฐานอาจทำให้การ์ดจอเสียหาย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cooler-master-tells-customer-to-dismantle-12v2x6-connector-to-fit-asus-rtx-5070-ti-customer-service-offers-dubious-advice-that-might-not-even-fix-issue
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ”

    ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo

    แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ

    เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink

    แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง

    รายละเอียดของการควบรวม
    Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม
    ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo
    สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3
    ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ

    เป้าหมายของดีล
    สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด
    ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3
    แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin
    เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX

    ความท้าทายและความล่าช้า
    การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย
    ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ
    ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน
    เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน

    สภาพตลาดดาวเทียม
    ตลาด geostationary กำลังหดตัว
    ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว
    Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband
    ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    🛰️ “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ” ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง ✅ รายละเอียดของการควบรวม ➡️ Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม ➡️ ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo ➡️ สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3 ➡️ ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ ✅ เป้าหมายของดีล ➡️ สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด ➡️ ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3 ➡️ แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin ➡️ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX ✅ ความท้าทายและความล่าช้า ➡️ การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย ➡️ ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ ➡️ ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน ➡️ เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน ✅ สภาพตลาดดาวเทียม ➡️ ตลาด geostationary กำลังหดตัว ➡️ ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว ➡️ Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband ➡️ ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Europe satellite merger intact as announcement slips, sources say
    PARIS/ROME (Reuters) -Europe's aerospace giants kept investors waiting an extra day for details of a new space champion on Wednesday as lawyers and advisers pored over the smallprint, but merger plans remained intact, people familiar with the talks said.
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • 🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ

    "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า

    มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่?

    ----------------------------

    🕯 บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ 'คลั่งความเป๊ะ' จนเฟร่อ!

    เมื่อรู้สาเหตุไปแล้วกับผีตนแรกทำให้เราไม่กล้าเริ่ม "ผีจอมจู้จี้" เป็นผีขยันแก้ ระดับตัวมัมตัวมารดา นางคือต้นเหตุให้เราจมไปกับประโยคเดียวจนทำให้งาน "ไม่มีวันจบ!" ซอยข่อยแน๊...

    ถ้าเราเผลอตามใจนางมากไปหน่อย... งานเขียนที่ "ไร้ที่ติ" ที่สุดของเรา... อาจจะหมายถึงไฟล์ที่ 'ว่างเปล่า' จนไม่มีอะไรให้ติเลยก็ได้นะ! (แบบนี้ไม่เอาน้า! )

    ----------------------------

    เช็กลิสต์อาการ (ว่าโดนผีตนนี้สิงอยู่รึเปล่า)
    ▪ ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการแก้ประโยคเดียว (นี่เราเขียนนิยายหรือกำลังแกะสลักหินอ่อนกันนะ)
    ▪ จำนวนคำไม่ขยับ: เดี๋ยวน้อยลง เดี๋ยวกเด้งกลับมาเท่าเดิม (อ้าว... สรุปจะเขียนครบจำนวนคำกี่โมง!)
    ▪ เพิ่งพิมพ์จบประโยคปุ๊บ... ต้องรีบย้อนกลับไปแก้ปั๊บ! (ปล่อยผ่านไปย่อหน้าต่อไปไม่ได้ ใจจะขาด)

    ----------------------------

    คาถาปราบผีจอมจับผิด
    "เจรจาสงบศึก” ขณะกำลังจะเริ่มเขียน ให้เราพนมมือ (ในใจ) แล้วบอกผีไปเลยว่า “คุณพี่ขา ตอนนี้เป็นกะของ ‘คนเล่าเรื่อง’ นะคะ เดี๋ยว ‘กะของคนแก้’ จะเรียกอีกทีตอนเขียนจบ”
    "ปล่อยไหลแบบด่วน" ลอง "ตั้งเวลา 15 นาที" แล้วพิมพ์ทุกอย่างที่คิดออกมา กฎเหล็กคือ "ห้ามหยุดพิมพ์ และห้ามลบเด็ดขาด!"
    "เผชิญร่างแรก" ถ้าผีกระซิบว่า "ยังไม่ดีพอ!" ให้เรายิ้มหวานให้ แล้วบอกไปว่า... “ร่างแรกมีไว้ให้ ‘ห่วย’ จ้ะ... เพราะเราแก้ไขไฟล์ที่ว่างเปล่าไม่ได้นะรู้มั้ย!” จุ๊บ! จุ๊บ!

    ----------------------------

    เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ!
    จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์...

    คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout!

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่? 👻 ---------------------------- 🕯 บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ 'คลั่งความเป๊ะ' จนเฟร่อ! เมื่อรู้สาเหตุไปแล้วกับผีตนแรกทำให้เราไม่กล้าเริ่ม "ผีจอมจู้จี้" เป็นผีขยันแก้ ระดับตัวมัมตัวมารดา นางคือต้นเหตุให้เราจมไปกับประโยคเดียวจนทำให้งาน "ไม่มีวันจบ!" ซอยข่อยแน๊... ถ้าเราเผลอตามใจนางมากไปหน่อย... งานเขียนที่ "ไร้ที่ติ" ที่สุดของเรา... อาจจะหมายถึงไฟล์ที่ 'ว่างเปล่า' จนไม่มีอะไรให้ติเลยก็ได้นะ! (แบบนี้ไม่เอาน้า! 😅) ---------------------------- เช็กลิสต์อาการ (ว่าโดนผีตนนี้สิงอยู่รึเปล่า) ▪ ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการแก้ประโยคเดียว (นี่เราเขียนนิยายหรือกำลังแกะสลักหินอ่อนกันนะ) ▪ จำนวนคำไม่ขยับ: เดี๋ยวน้อยลง เดี๋ยวกเด้งกลับมาเท่าเดิม (อ้าว... สรุปจะเขียนครบจำนวนคำกี่โมง!) ▪ เพิ่งพิมพ์จบประโยคปุ๊บ... ต้องรีบย้อนกลับไปแก้ปั๊บ! (ปล่อยผ่านไปย่อหน้าต่อไปไม่ได้ ใจจะขาด) ---------------------------- 👻คาถาปราบผีจอมจับผิด 📍 "เจรจาสงบศึก” ขณะกำลังจะเริ่มเขียน ให้เราพนมมือ (ในใจ) แล้วบอกผีไปเลยว่า “คุณพี่ขา ตอนนี้เป็นกะของ ‘คนเล่าเรื่อง’ นะคะ เดี๋ยว ‘กะของคนแก้’ จะเรียกอีกทีตอนเขียนจบ” 📍 "ปล่อยไหลแบบด่วน" ลอง "ตั้งเวลา 15 นาที" แล้วพิมพ์ทุกอย่างที่คิดออกมา กฎเหล็กคือ "ห้ามหยุดพิมพ์ และห้ามลบเด็ดขาด!" 📍 "เผชิญร่างแรก" ถ้าผีกระซิบว่า "ยังไม่ดีพอ!" ให้เรายิ้มหวานให้ แล้วบอกไปว่า... “ร่างแรกมีไว้ให้ ‘ห่วย’ จ้ะ... เพราะเราแก้ไขไฟล์ที่ว่างเปล่าไม่ได้นะรู้มั้ย!” จุ๊บ! จุ๊บ! ---------------------------- เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ! จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์... คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout! #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!”

    ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ

    เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี

    ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface
    หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application
    รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน
    ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch
    แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี

    ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM
    ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์
    วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ
    เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack
    บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook

    เครื่องมือเด่นที่แนะนำ
    Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA
    CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration
    CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง
    Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม
    JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง
    Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack
    Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก
    SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี
    Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง
    การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด
    การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย
    การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน

    https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    🛡️ “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!” ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี ✅ ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface ➡️ หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application ➡️ รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch ➡️ แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี ✅ ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM ➡️ ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์ ➡️ วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ ➡️ เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack ➡️ บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook ✅ เครื่องมือเด่นที่แนะนำ ➡️ Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA ➡️ CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration ➡️ CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง ➡️ Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม ➡️ JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง ➡️ Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack ➡️ Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก ➡️ SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี ➡️ Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง ⛔ การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด ⛔ การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย ⛔ การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CAASM and EASM: Top 12 attack surface discovery and management tools
    The main goal of cyber asset attack surface management (CAASM) and external attack surface management (EASM) tools is to protect information about a company’s security measures from attackers. Here are 9 tools to consider when deciding what is best for the business.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน?
    ---------

    คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)

    อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน
    ---------

    คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง
    ---------

    คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)

    อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ
    ---------

    คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality)

    อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ
    ---------

    คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)

    อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ
    ---------

    คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง
    ---------

    คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)

    อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้
    ---------

    ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน'

    ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน? --------- ♦️คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน --------- ♦️คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง --------- ♦️คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)♦️ อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ --------- ♦️คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality) ♦️ อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ --------- ♦️คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)♦️ อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ --------- ♦️คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง --------- ♦️คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้ --------- ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน' ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้ ❤️ #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • 🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ

    "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า

    มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่?

    -----------------
    อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน
    https://thaitimes.co/posts/281457
    ------------------
    เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ!
    จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์...

    คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout!

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่? 👻 ----------------- อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน https://thaitimes.co/posts/281457 ------------------ เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ! จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์... คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout! #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • “Idealist.org ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน – เปลี่ยนจาก Heroku มาใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Disco!”

    Idealist.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานด้าน nonprofit ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนต่อเดือน เคยใช้ Heroku สำหรับ staging environment โดยเสียค่าใช้จ่ายถึง $500 ต่อ environment และมีทั้งหมด 6 environment รวมแล้วจ่ายถึง $3,000 ต่อเดือน แค่เพื่อการทดสอบก่อนปล่อยจริง!

    ทีมงานจึงทดลองย้าย staging environment ไปยังเซิร์ฟเวอร์เดียวบน Hetzner ราคาเพียง $55 ต่อเดือน โดยใช้เครื่องมือชื่อว่า Disco ซึ่งช่วยให้ยังคง workflow แบบ “git push to deploy” ได้เหมือนเดิม

    Disco ไม่ใช่แค่ docker-compose ธรรมดา แต่ให้ฟีเจอร์แบบ PaaS เช่น deploy อัตโนมัติ, SSL certificate, UI สำหรับดู log และจัดการ environment ได้ง่าย ๆ ทำให้ทีมสามารถสร้าง staging ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย

    ผลลัพธ์คือจากเดิมที่มีแค่ 2 environment (dev และ main) ตอนนี้มีถึง 6 environment บนเซิร์ฟเวอร์เดียว โดยใช้ CPU แค่ ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB เท่านั้น

    แม้จะต้องจัดการ DNS, CDN และดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ทีมยอมรับได้ เพราะประหยัดงบมหาศาล และได้ความคล่องตัวในการพัฒนาเพิ่มขึ้น

    ปัญหาที่พบจากการใช้ Heroku
    ค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ต่อ staging environment
    ต้องจำกัดจำนวน environment เพราะงบประมาณ
    ระบบ staging กลายเป็นทรัพยากรที่หายากและต้องขออนุญาตก่อนใช้

    แนวทางใหม่ที่ใช้ Disco บนเซิร์ฟเวอร์เดียว
    ใช้ Hetzner CCX33 ราคา $55/เดือน
    ใช้ Disco เพื่อรักษา workflow แบบ git push to deploy
    แชร์ Postgres instance เดียวกันสำหรับ staging ทั้งหมด
    สร้าง environment ใหม่ได้ง่ายและรวดเร็ว
    ใช้ CPU ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB

    ฟีเจอร์ของ Disco ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย
    deploy อัตโนมัติแบบ zero-downtime
    SSL certificate อัตโนมัติสำหรับทุก branch
    UI สำหรับดู log และจัดการ environment
    ไม่ต้องเขียน automation เองเหมือนใช้ VPS แบบดิบ ๆ

    ผลลัพธ์ที่ได้
    ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน
    สร้าง staging ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต
    เพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและทดสอบ
    เปลี่ยน mindset จาก “staging เป็นของแพง” เป็น “staging เป็นของฟรี”

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ต้องจัดการ DNS และ CDN ด้วยตัวเอง
    ต้องดูแลเรื่อง security และ monitoring ของเซิร์ฟเวอร์
    หากเซิร์ฟเวอร์ล่ม ต้อง reprovision ใหม่เอง
    ต้องปรับ networking ของแอปให้เข้ากับ Docker
    Disco ยังไม่เหมาะกับ workload ที่ต้อง redundancy สูง

    https://disco.cloud/blog/how-idealistorg-replaced-a-3000mo-heroku-bill-with-a-55mo-server/
    💸 “Idealist.org ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน – เปลี่ยนจาก Heroku มาใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Disco!” Idealist.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานด้าน nonprofit ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนต่อเดือน เคยใช้ Heroku สำหรับ staging environment โดยเสียค่าใช้จ่ายถึง $500 ต่อ environment และมีทั้งหมด 6 environment รวมแล้วจ่ายถึง $3,000 ต่อเดือน แค่เพื่อการทดสอบก่อนปล่อยจริง! ทีมงานจึงทดลองย้าย staging environment ไปยังเซิร์ฟเวอร์เดียวบน Hetzner ราคาเพียง $55 ต่อเดือน โดยใช้เครื่องมือชื่อว่า Disco ซึ่งช่วยให้ยังคง workflow แบบ “git push to deploy” ได้เหมือนเดิม Disco ไม่ใช่แค่ docker-compose ธรรมดา แต่ให้ฟีเจอร์แบบ PaaS เช่น deploy อัตโนมัติ, SSL certificate, UI สำหรับดู log และจัดการ environment ได้ง่าย ๆ ทำให้ทีมสามารถสร้าง staging ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ผลลัพธ์คือจากเดิมที่มีแค่ 2 environment (dev และ main) ตอนนี้มีถึง 6 environment บนเซิร์ฟเวอร์เดียว โดยใช้ CPU แค่ ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB เท่านั้น แม้จะต้องจัดการ DNS, CDN และดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ทีมยอมรับได้ เพราะประหยัดงบมหาศาล และได้ความคล่องตัวในการพัฒนาเพิ่มขึ้น ✅ ปัญหาที่พบจากการใช้ Heroku ➡️ ค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ต่อ staging environment ➡️ ต้องจำกัดจำนวน environment เพราะงบประมาณ ➡️ ระบบ staging กลายเป็นทรัพยากรที่หายากและต้องขออนุญาตก่อนใช้ ✅ แนวทางใหม่ที่ใช้ Disco บนเซิร์ฟเวอร์เดียว ➡️ ใช้ Hetzner CCX33 ราคา $55/เดือน ➡️ ใช้ Disco เพื่อรักษา workflow แบบ git push to deploy ➡️ แชร์ Postgres instance เดียวกันสำหรับ staging ทั้งหมด ➡️ สร้าง environment ใหม่ได้ง่ายและรวดเร็ว ➡️ ใช้ CPU ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB ✅ ฟีเจอร์ของ Disco ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย ➡️ deploy อัตโนมัติแบบ zero-downtime ➡️ SSL certificate อัตโนมัติสำหรับทุก branch ➡️ UI สำหรับดู log และจัดการ environment ➡️ ไม่ต้องเขียน automation เองเหมือนใช้ VPS แบบดิบ ๆ ✅ ผลลัพธ์ที่ได้ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน ➡️ สร้าง staging ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต ➡️ เพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและทดสอบ ➡️ เปลี่ยน mindset จาก “staging เป็นของแพง” เป็น “staging เป็นของฟรี” ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ต้องจัดการ DNS และ CDN ด้วยตัวเอง ⛔ ต้องดูแลเรื่อง security และ monitoring ของเซิร์ฟเวอร์ ⛔ หากเซิร์ฟเวอร์ล่ม ต้อง reprovision ใหม่เอง ⛔ ต้องปรับ networking ของแอปให้เข้ากับ Docker ⛔ Disco ยังไม่เหมาะกับ workload ที่ต้อง redundancy สูง https://disco.cloud/blog/how-idealistorg-replaced-a-3000mo-heroku-bill-with-a-55mo-server/
    DISCO.CLOUD
    How Idealist.org Replaced a $3,000/mo Heroku Bill with a $55/mo Server
    At Disco, we help teams escape expensive PaaS pricing while keeping the developer experience they love. This is the story of how Idealist.org, the world's largest nonprofit job board, tackled a common and expensive challenge: the rising cost of staging environments on Heroku. To give a sense of scale …
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • “ถึงเวลาย้ายภาระ! กฎหมายคุกกี้ควรควบคุมเบราว์เซอร์ ไม่ใช่โยนภาระให้เว็บไซต์อีกต่อไป”

    ทุกวันนี้เวลาเราเข้าเว็บไซต์ใหม่ ๆ สิ่งแรกที่เจอไม่ใช่เนื้อหาที่เราต้องการอ่าน แต่คือ “แบนเนอร์คุกกี้” ที่เด้งขึ้นมาทุกครั้ง พร้อมปุ่ม “Accept All” หรือ “Manage Preferences” ที่ซับซ้อนและน่ารำคาญสุด ๆ

    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก “อะไร” แต่เกิดจาก “ใคร” คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น GDPR และ CCPA ที่มีเจตนาดี ต้องการให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตัวเองได้ แต่กลับวางภาระไว้ที่ “เว็บไซต์” แทนที่จะเป็น “เบราว์เซอร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือกลางที่ทุกคนใช้เข้าถึงเว็บ

    ลองนึกภาพว่า ถ้าเราต้องอนุญาตให้รถยนต์ใช้ล้อหรือน้ำมันทุกครั้งก่อนขับ มันจะน่ารำคาญแค่ไหน? นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำอยู่บนอินเทอร์เน็ตทุกวัน

    แนวคิดที่เสนอคือ ให้เบราว์เซอร์เป็นตัวกลางในการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น เลือกได้ตั้งแต่ “เฉพาะข้อมูลจำเป็น”, “วิเคราะห์การใช้งาน”, หรือ “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” แล้วเบราว์เซอร์จะเป็นคนจัดการให้ทุกเว็บไซต์ทำตามโดยอัตโนมัติ

    ข้อดีคือ ผู้ใช้จะได้ประสบการณ์ที่สะอาดขึ้น ไม่ต้องคลิกแบนเนอร์ซ้ำ ๆ ส่วนเว็บไซต์ก็ไม่ต้องเสียเงินจ้างทีมกฎหมายหรือใช้ปลั๊กอินราคาแพงเพื่อให้ comply กับกฎหมาย และที่สำคัญคือ หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวได้ง่ายกว่าการไล่ตรวจเว็บไซต์นับล้าน

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีความพยายามทำ “Do Not Track” มาก่อน แต่ล้มเหลวเพราะเว็บไซต์ไม่ยอมทำตาม แต่ถ้ากฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องเคารพการตั้งค่าของผู้ใช้จริง ๆ ก็จะเปลี่ยนเกมได้เลย

    ปัญหาของระบบคุกกี้ปัจจุบัน
    ผู้ใช้ต้องคลิกแบนเนอร์คุกกี้ซ้ำ ๆ ทุกเว็บไซต์
    เว็บไซต์ต้องลงทุนในระบบจัดการคุกกี้ที่ซับซ้อน
    การยินยอมกลายเป็นแค่ “พิธีกรรม” ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
    ผู้ใช้มักคลิก “Accept All” เพื่อให้เข้าเว็บได้เร็ว ๆ

    แนวคิดใหม่: ย้ายการควบคุมไปที่เบราว์เซอร์
    ผู้ใช้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวครั้งเดียวในเบราว์เซอร์
    เบราว์เซอร์จะบังคับใช้การตั้งค่านั้นกับทุกเว็บไซต์
    ลดภาระให้เว็บไซต์ ไม่ต้องสร้างแบนเนอร์หรือระบบจัดการคุกกี้
    หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่าเว็บไซต์

    ตัวอย่างการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเบราว์เซอร์
    “เฉพาะข้อมูลจำเป็น” – ใช้เฉพาะคุกกี้ที่จำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์
    “วิเคราะห์การใช้งาน” – อนุญาตให้เก็บข้อมูลแบบไม่ระบุตัวตน
    “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” – อนุญาตให้ใช้ข้อมูลเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ
    “กำหนดเอง” – ผู้ใช้เลือกได้ละเอียดตามประเภทข้อมูล

    ประโยชน์ของระบบใหม่
    ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น ไม่ต้องเจอแบนเนอร์
    เว็บไซต์ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการ comply
    ระบบมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
    ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเว็บไซต์ใหญ่กับเว็บไซต์เล็ก

    https://nednex.com/en/the-internets-biggest-annoyance-why-cookie-laws-should-target-browsers-not-websites/
    🧩 “ถึงเวลาย้ายภาระ! กฎหมายคุกกี้ควรควบคุมเบราว์เซอร์ ไม่ใช่โยนภาระให้เว็บไซต์อีกต่อไป” ทุกวันนี้เวลาเราเข้าเว็บไซต์ใหม่ ๆ สิ่งแรกที่เจอไม่ใช่เนื้อหาที่เราต้องการอ่าน แต่คือ “แบนเนอร์คุกกี้” ที่เด้งขึ้นมาทุกครั้ง พร้อมปุ่ม “Accept All” หรือ “Manage Preferences” ที่ซับซ้อนและน่ารำคาญสุด ๆ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก “อะไร” แต่เกิดจาก “ใคร” คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น GDPR และ CCPA ที่มีเจตนาดี ต้องการให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตัวเองได้ แต่กลับวางภาระไว้ที่ “เว็บไซต์” แทนที่จะเป็น “เบราว์เซอร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือกลางที่ทุกคนใช้เข้าถึงเว็บ ลองนึกภาพว่า ถ้าเราต้องอนุญาตให้รถยนต์ใช้ล้อหรือน้ำมันทุกครั้งก่อนขับ มันจะน่ารำคาญแค่ไหน? นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำอยู่บนอินเทอร์เน็ตทุกวัน แนวคิดที่เสนอคือ ให้เบราว์เซอร์เป็นตัวกลางในการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น เลือกได้ตั้งแต่ “เฉพาะข้อมูลจำเป็น”, “วิเคราะห์การใช้งาน”, หรือ “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” แล้วเบราว์เซอร์จะเป็นคนจัดการให้ทุกเว็บไซต์ทำตามโดยอัตโนมัติ ข้อดีคือ ผู้ใช้จะได้ประสบการณ์ที่สะอาดขึ้น ไม่ต้องคลิกแบนเนอร์ซ้ำ ๆ ส่วนเว็บไซต์ก็ไม่ต้องเสียเงินจ้างทีมกฎหมายหรือใช้ปลั๊กอินราคาแพงเพื่อให้ comply กับกฎหมาย และที่สำคัญคือ หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวได้ง่ายกว่าการไล่ตรวจเว็บไซต์นับล้าน แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีความพยายามทำ “Do Not Track” มาก่อน แต่ล้มเหลวเพราะเว็บไซต์ไม่ยอมทำตาม แต่ถ้ากฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องเคารพการตั้งค่าของผู้ใช้จริง ๆ ก็จะเปลี่ยนเกมได้เลย ✅ ปัญหาของระบบคุกกี้ปัจจุบัน ➡️ ผู้ใช้ต้องคลิกแบนเนอร์คุกกี้ซ้ำ ๆ ทุกเว็บไซต์ ➡️ เว็บไซต์ต้องลงทุนในระบบจัดการคุกกี้ที่ซับซ้อน ➡️ การยินยอมกลายเป็นแค่ “พิธีกรรม” ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ➡️ ผู้ใช้มักคลิก “Accept All” เพื่อให้เข้าเว็บได้เร็ว ๆ ✅ แนวคิดใหม่: ย้ายการควบคุมไปที่เบราว์เซอร์ ➡️ ผู้ใช้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวครั้งเดียวในเบราว์เซอร์ ➡️ เบราว์เซอร์จะบังคับใช้การตั้งค่านั้นกับทุกเว็บไซต์ ➡️ ลดภาระให้เว็บไซต์ ไม่ต้องสร้างแบนเนอร์หรือระบบจัดการคุกกี้ ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่าเว็บไซต์ ✅ ตัวอย่างการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเบราว์เซอร์ ➡️ “เฉพาะข้อมูลจำเป็น” – ใช้เฉพาะคุกกี้ที่จำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์ ➡️ “วิเคราะห์การใช้งาน” – อนุญาตให้เก็บข้อมูลแบบไม่ระบุตัวตน ➡️ “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” – อนุญาตให้ใช้ข้อมูลเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ ➡️ “กำหนดเอง” – ผู้ใช้เลือกได้ละเอียดตามประเภทข้อมูล ✅ ประโยชน์ของระบบใหม่ ➡️ ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น ไม่ต้องเจอแบนเนอร์ ➡️ เว็บไซต์ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการ comply ➡️ ระบบมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเว็บไซต์ใหญ่กับเว็บไซต์เล็ก https://nednex.com/en/the-internets-biggest-annoyance-why-cookie-laws-should-target-browsers-not-websites/
    NEDNEX.COM
    The Internet's Biggest Annoyance:Why Cookie Laws Should Target Browsers, Not Websites | NEDNEX
    Save and Share: Click. Ugh. Another one. You know the drill. You land on a new website, eager to read an article or check a product price, and before the page even finishes loading, it appears: the dreaded cookie banner. A pop-up, a slide-in, a full-screen overlay demanding you “Accept All,” “Manage Preferences,” or navigate… Continue reading The Internet’s Biggest Annoyance:Why Cookie Laws Should Target Browsers, Not Websites
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/QfzLnoXEDFo?si=w9JijoeOu4UzZdX3
    https://youtu.be/QfzLnoXEDFo?si=w9JijoeOu4UzZdX3
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/j8xD968NouQ?si=Cw-SIwD_DwAX17Oc
    https://youtu.be/j8xD968NouQ?si=Cw-SIwD_DwAX17Oc
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • He is now meant to be in charge of Gaza. Do you still not see the link between Digital ID at home & the industrial slaughter required to achieve Greater Israel abroad?

    Grater Israel was the real reason for Covid. That is why the US military ran it (on behalf of Mossad). The Digital ID is meant to punish those who protest against the violence. The war in Ukraine was meant to tie down Russia & prevent it coming to the side of the slaughtered populations where Israel is meant to expand. BlackRock, Palantir, all headed by Greater Israel advocates.

    That is why the US Military ran Operation Warp Speed, that is why Israel was the first country to embrace Pfizer injections, it was all part of the Greater Israel plan.

    They have been working at this since 1948. It was/ is all meant to come to fruition with Digital ID.

    https://x.com/robinmonotti/status/1974786611532460445

    ROBINMG
    He is now meant to be in charge of Gaza. Do you still not see the link between Digital ID at home & the industrial slaughter required to achieve Greater Israel abroad? Grater Israel was the real reason for Covid. That is why the US military ran it (on behalf of Mossad). The Digital ID is meant to punish those who protest against the violence. The war in Ukraine was meant to tie down Russia & prevent it coming to the side of the slaughtered populations where Israel is meant to expand. BlackRock, Palantir, all headed by Greater Israel advocates. That is why the US Military ran Operation Warp Speed, that is why Israel was the first country to embrace Pfizer injections, it was all part of the Greater Israel plan. They have been working at this since 1948. It was/ is all meant to come to fruition with Digital ID. https://x.com/robinmonotti/status/1974786611532460445 📱 ROBINMG
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • “จีนสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 37 ล้านคอร์ – จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลด้วย AI!”

    จีนประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการจำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุล ด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Sunway ที่มีจำนวนคอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์! ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการผสานพลังของ AI เข้ากับการคำนวณเชิงควอนตัม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและใช้ทรัพยากรสูงมาก

    ทีมวิจัยจาก National Research Center of Parallel Computer Engineering & Technology (NRCPC) ใช้ Sunway supercomputer ในการจำลองปฏิกิริยาเคมีที่ซับซ้อนระดับอะตอม โดยใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลและพฤติกรรมควอนตัมได้แม่นยำขึ้น

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ Sunway ใช้สถาปัตยกรรมที่ออกแบบเองทั้งหมด โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก และสามารถประมวลผลได้เร็วกว่าเครื่องระดับ exascale ที่ใช้ GPU แบบทั่วไปหลายเท่า

    การจำลองเคมีควอนตัมระดับนี้มีความสำคัญมากในงานด้านวัสดุศาสตร์ ยา และพลังงาน เพราะสามารถช่วยออกแบบโมเลกุลใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องทดลองในห้องแล็บ ซึ่งลดต้นทุนและเวลาได้มหาศาล

    ความสำเร็จของ Sunway Supercomputer
    ใช้คอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์
    จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลได้สำเร็จ
    ใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens
    ประมวลผลเร็วกว่า exascale GPU หลายเท่า
    สถาปัตยกรรมออกแบบเอง ไม่พึ่งเทคโนโลยีตะวันตก

    ความสำคัญของการจำลองเคมีควอนตัม
    ช่วยออกแบบวัสดุใหม่ เช่น ตัวนำยิ่งยวดหรือแบตเตอรี่
    ใช้ในงานด้านเภสัชกรรมเพื่อออกแบบยาใหม่
    ลดต้นทุนและเวลาในการทดลองในห้องแล็บ
    เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์พฤติกรรมโมเลกุล
    เป็นก้าวสำคัญในการรวม AI เข้ากับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การจำลองเคมีควอนตัมต้องใช้พลังงานมหาศาล
    โมเดล AI ขนาดใหญ่ยังมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำในบางบริบท
    การพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดอาจขาดความร่วมมือจากนานาชาติ
    ผลลัพธ์จากการจำลองยังต้องตรวจสอบกับการทดลองจริง
    การใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับนี้ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/china-supercomputer-breakthrough-models-complex-quantum-chemistry-at-molecular-scale-37-million-processor-cores-fuse-ai-and-quantum-science
    🧬 “จีนสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 37 ล้านคอร์ – จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลด้วย AI!” จีนประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการจำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุล ด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Sunway ที่มีจำนวนคอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์! ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการผสานพลังของ AI เข้ากับการคำนวณเชิงควอนตัม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและใช้ทรัพยากรสูงมาก ทีมวิจัยจาก National Research Center of Parallel Computer Engineering & Technology (NRCPC) ใช้ Sunway supercomputer ในการจำลองปฏิกิริยาเคมีที่ซับซ้อนระดับอะตอม โดยใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลและพฤติกรรมควอนตัมได้แม่นยำขึ้น สิ่งที่น่าทึ่งคือ Sunway ใช้สถาปัตยกรรมที่ออกแบบเองทั้งหมด โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก และสามารถประมวลผลได้เร็วกว่าเครื่องระดับ exascale ที่ใช้ GPU แบบทั่วไปหลายเท่า การจำลองเคมีควอนตัมระดับนี้มีความสำคัญมากในงานด้านวัสดุศาสตร์ ยา และพลังงาน เพราะสามารถช่วยออกแบบโมเลกุลใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องทดลองในห้องแล็บ ซึ่งลดต้นทุนและเวลาได้มหาศาล ✅ ความสำเร็จของ Sunway Supercomputer ➡️ ใช้คอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์ ➡️ จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลได้สำเร็จ ➡️ ใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens ➡️ ประมวลผลเร็วกว่า exascale GPU หลายเท่า ➡️ สถาปัตยกรรมออกแบบเอง ไม่พึ่งเทคโนโลยีตะวันตก ✅ ความสำคัญของการจำลองเคมีควอนตัม ➡️ ช่วยออกแบบวัสดุใหม่ เช่น ตัวนำยิ่งยวดหรือแบตเตอรี่ ➡️ ใช้ในงานด้านเภสัชกรรมเพื่อออกแบบยาใหม่ ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการทดลองในห้องแล็บ ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์พฤติกรรมโมเลกุล ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการรวม AI เข้ากับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การจำลองเคมีควอนตัมต้องใช้พลังงานมหาศาล ⛔ โมเดล AI ขนาดใหญ่ยังมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำในบางบริบท ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดอาจขาดความร่วมมือจากนานาชาติ ⛔ ผลลัพธ์จากการจำลองยังต้องตรวจสอบกับการทดลองจริง ⛔ การใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับนี้ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/china-supercomputer-breakthrough-models-complex-quantum-chemistry-at-molecular-scale-37-million-processor-cores-fuse-ai-and-quantum-science
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • “OpenAI เปิดตัว ChatGPT Atlas – เบราว์เซอร์ AI ที่ทำงานแทนคุณได้!”

    OpenAI เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อว่า ChatGPT Atlas ที่รวมโมเดลภาษาขั้นสูง (LLM) เข้าไปในตัวเบราว์เซอร์เลย ไม่ใช่แค่ช่วยค้นหา แต่สามารถ “ทำงานแทนคุณ” ได้จริง เช่น สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร, ย้ายข้อมูลจาก Google Docs ไปยังแอปจัดการโปรเจกต์ หรือแม้แต่ค้นหาประวัติการเข้าชมเว็บของคุณเพื่อหาสิ่งที่เคยดูไว้

    ChatGPT Atlas สร้างบนพื้นฐาน Chromium เหมือน Chrome และ Edge แต่มีฟีเจอร์ AI ฝังอยู่ในตัว เช่น sidebar ที่สามารถอธิบายหน้าเว็บให้คุณเข้าใจได้ทันที หรือสแกนเนื้อหาแล้วสรุปให้แบบเรียลไทม์

    ที่สำคัญคือ Atlas มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก ถ้าใช้แบบล็อกเอาต์ AI จะเข้าถึงเฉพาะเว็บสาธารณะเท่านั้น ไม่แตะบัญชีส่วนตัวของคุณเลย ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

    ฟีเจอร์ขั้นสูงที่เรียกว่า Agent Mode จะเปิดให้เฉพาะผู้ใช้ ChatGPT Plus และ Pro เท่านั้น โดยสามารถสั่งให้ AI ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้ เช่น “หาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นแล้วจองให้เลย” หรือ “สรุปบทความนี้แล้วส่งเข้า Notion”

    Atlas เปิดตัวบน macOS ก่อน และจะตามมาบน Windows, iOS และ Android ในเร็ว ๆ นี้

    จุดเด่นของ ChatGPT Atlas
    เบราว์เซอร์ที่ฝัง LLM เข้าไปในตัว
    สร้างบน Chromium เหมือน Chrome และ Edge
    มี sidebar อธิบายหน้าเว็บและสรุปเนื้อหา
    ค้นหาประวัติการเข้าชมและทำงานแทนผู้ใช้ได้
    สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร หรือย้ายข้อมูลข้ามแอปได้

    ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก
    โหมดล็อกเอาต์จะไม่เข้าถึงบัญชีส่วนตัว
    ลดความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    Agent Mode สำหรับผู้ใช้ Plus และ Pro
    ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้
    เหมาะกับงานที่ต้องการ automation เช่น จองตั๋ว, สรุปบทความ, ส่งข้อมูล
    ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไป

    การเปิดตัวและแพลตฟอร์ม
    เปิดตัวบน macOS ก่อน
    Windows, iOS และ Android จะตามมาเร็ว ๆ นี้
    เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Comet (Perplexity), Google และ Microsoft Copilot Mode

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-launches-chatgpt-atlas-ai-browser-llm-can-browse-the-internet-for-you-and-even-complete-tasks-initial-release-for-macos-with-windows-ios-and-android-to-follow-soon-after
    🌐 “OpenAI เปิดตัว ChatGPT Atlas – เบราว์เซอร์ AI ที่ทำงานแทนคุณได้!” OpenAI เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อว่า ChatGPT Atlas ที่รวมโมเดลภาษาขั้นสูง (LLM) เข้าไปในตัวเบราว์เซอร์เลย ไม่ใช่แค่ช่วยค้นหา แต่สามารถ “ทำงานแทนคุณ” ได้จริง เช่น สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร, ย้ายข้อมูลจาก Google Docs ไปยังแอปจัดการโปรเจกต์ หรือแม้แต่ค้นหาประวัติการเข้าชมเว็บของคุณเพื่อหาสิ่งที่เคยดูไว้ ChatGPT Atlas สร้างบนพื้นฐาน Chromium เหมือน Chrome และ Edge แต่มีฟีเจอร์ AI ฝังอยู่ในตัว เช่น sidebar ที่สามารถอธิบายหน้าเว็บให้คุณเข้าใจได้ทันที หรือสแกนเนื้อหาแล้วสรุปให้แบบเรียลไทม์ ที่สำคัญคือ Atlas มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก ถ้าใช้แบบล็อกเอาต์ AI จะเข้าถึงเฉพาะเว็บสาธารณะเท่านั้น ไม่แตะบัญชีส่วนตัวของคุณเลย ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ฟีเจอร์ขั้นสูงที่เรียกว่า Agent Mode จะเปิดให้เฉพาะผู้ใช้ ChatGPT Plus และ Pro เท่านั้น โดยสามารถสั่งให้ AI ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้ เช่น “หาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นแล้วจองให้เลย” หรือ “สรุปบทความนี้แล้วส่งเข้า Notion” Atlas เปิดตัวบน macOS ก่อน และจะตามมาบน Windows, iOS และ Android ในเร็ว ๆ นี้ ✅ จุดเด่นของ ChatGPT Atlas ➡️ เบราว์เซอร์ที่ฝัง LLM เข้าไปในตัว ➡️ สร้างบน Chromium เหมือน Chrome และ Edge ➡️ มี sidebar อธิบายหน้าเว็บและสรุปเนื้อหา ➡️ ค้นหาประวัติการเข้าชมและทำงานแทนผู้ใช้ได้ ➡️ สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร หรือย้ายข้อมูลข้ามแอปได้ ✅ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ➡️ มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก ➡️ โหมดล็อกเอาต์จะไม่เข้าถึงบัญชีส่วนตัว ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ Agent Mode สำหรับผู้ใช้ Plus และ Pro ➡️ ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการ automation เช่น จองตั๋ว, สรุปบทความ, ส่งข้อมูล ➡️ ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไป ✅ การเปิดตัวและแพลตฟอร์ม ➡️ เปิดตัวบน macOS ก่อน ➡️ Windows, iOS และ Android จะตามมาเร็ว ๆ นี้ ➡️ เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Comet (Perplexity), Google และ Microsoft Copilot Mode https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-launches-chatgpt-atlas-ai-browser-llm-can-browse-the-internet-for-you-and-even-complete-tasks-initial-release-for-macos-with-windows-ios-and-android-to-follow-soon-after
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!”

    ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ

    บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง

    อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens

    ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง

    นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้

    นวัตกรรมจาก Amies Technologies
    เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP
    ระบบ laser annealing และ wafer inspection
    ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก

    นวัตกรรมจาก SiCarrier
    ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด
    เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30%
    ลดเวลา hardware development 40%
    มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน
    ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง

    วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology
    photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster
    สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm
    แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว
    มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ
    รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย

    อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight
    ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz
    ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้
    เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    🇨🇳 “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!” ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ✅ นวัตกรรมจาก Amies Technologies ➡️ เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP ➡️ ระบบ laser annealing และ wafer inspection ➡️ ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก ✅ นวัตกรรมจาก SiCarrier ➡️ ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30% ➡️ ลดเวลา hardware development 40% ➡️ มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน ➡️ ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง ✅ วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology ➡️ photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster ➡️ สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ➡️ แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว ➡️ มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ ➡️ รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย ✅ อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight ➡️ ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz ➡️ ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ➡️ เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • “ผลโหวต TechPowerUp เผย! ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่จ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัส – Windows Defender ครองใจคนไอที”

    TechPowerUp จัดโพลสำรวจผู้ใช้กว่า 34,000 คนเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัส และผลที่ออกมาก็ชวนให้หลายคนต้องคิดใหม่ เพราะ “เกือบไม่มีใครจ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัสอีกแล้ว” โดย 60.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้ Windows Defender ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows อยู่แล้ว

    นอกจากนี้ยังมี 15.7% ที่บอกว่า “ไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย” ซึ่งจริง ๆ แล้ว Windows Defender ก็ยังทำงานอยู่ในเบื้องหลัง แม้ผู้ใช้จะไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนผู้ที่ยังใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น ๆ มีเพียง 24% เท่านั้น โดยแบ่งเป็น Bitdefender 6.1%, Avast 2.9%, AVG 1%, Norton 1.9% และ McAfee 0.7%

    เหตุผลหลักที่คนหันหลังให้กับแอนตี้ไวรัสแบบเสียเงินคือ Windows เองได้พัฒนาเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, และ Virtualization-based Security ที่ทำให้ระบบปลอดภัยขึ้นมากโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเสริม

    อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้บางคนยังคงใช้โปรแกรมอย่าง Malwarebytes หรือ firewall แบบแยกต่างหากเพื่อเสริมความปลอดภัยเฉพาะทาง เช่น การบล็อก Windows Update หรือการควบคุมการเชื่อมต่อของแอปพลิเคชัน

    ผลสำรวจจาก TechPowerUp
    ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 34,316 คน
    60.5% ใช้ Windows Defender เป็นหลัก
    15.7% ระบุว่าไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย
    24% ใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น เช่น Bitdefender, Avast, AVG, Norton, McAfee
    Bitdefender ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่ม third-party ที่ 6.1%

    เหตุผลที่ Windows Defender ได้รับความนิยม
    เป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows
    มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, VBS
    ลดความจำเป็นในการติดตั้งโปรแกรมเสริม
    ไม่กินทรัพยากรเครื่องเท่ากับบางโปรแกรมแบบเสียเงิน

    ทางเลือกเสริมของผู้ใช้บางกลุ่ม
    ใช้ Malwarebytes สำหรับตรวจจับมัลแวร์เฉพาะทาง
    ใช้ firewall แยกต่างหากเพื่อควบคุมการเชื่อมต่อ
    บางคนยังใช้โปรแกรมแบบ lifetime license ที่เคยซื้อไว้

    https://www.techpowerup.com/342112/almost-nobody-uses-paid-third-party-antivirus-techpowerup-frontpage-poll
    🛡️ “ผลโหวต TechPowerUp เผย! ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่จ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัส – Windows Defender ครองใจคนไอที” TechPowerUp จัดโพลสำรวจผู้ใช้กว่า 34,000 คนเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัส และผลที่ออกมาก็ชวนให้หลายคนต้องคิดใหม่ เพราะ “เกือบไม่มีใครจ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัสอีกแล้ว” โดย 60.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้ Windows Defender ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมี 15.7% ที่บอกว่า “ไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย” ซึ่งจริง ๆ แล้ว Windows Defender ก็ยังทำงานอยู่ในเบื้องหลัง แม้ผู้ใช้จะไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนผู้ที่ยังใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น ๆ มีเพียง 24% เท่านั้น โดยแบ่งเป็น Bitdefender 6.1%, Avast 2.9%, AVG 1%, Norton 1.9% และ McAfee 0.7% เหตุผลหลักที่คนหันหลังให้กับแอนตี้ไวรัสแบบเสียเงินคือ Windows เองได้พัฒนาเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, และ Virtualization-based Security ที่ทำให้ระบบปลอดภัยขึ้นมากโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเสริม อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้บางคนยังคงใช้โปรแกรมอย่าง Malwarebytes หรือ firewall แบบแยกต่างหากเพื่อเสริมความปลอดภัยเฉพาะทาง เช่น การบล็อก Windows Update หรือการควบคุมการเชื่อมต่อของแอปพลิเคชัน ✅ ผลสำรวจจาก TechPowerUp ➡️ ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 34,316 คน ➡️ 60.5% ใช้ Windows Defender เป็นหลัก ➡️ 15.7% ระบุว่าไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย ➡️ 24% ใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น เช่น Bitdefender, Avast, AVG, Norton, McAfee ➡️ Bitdefender ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่ม third-party ที่ 6.1% ✅ เหตุผลที่ Windows Defender ได้รับความนิยม ➡️ เป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows ➡️ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, VBS ➡️ ลดความจำเป็นในการติดตั้งโปรแกรมเสริม ➡️ ไม่กินทรัพยากรเครื่องเท่ากับบางโปรแกรมแบบเสียเงิน ✅ ทางเลือกเสริมของผู้ใช้บางกลุ่ม ➡️ ใช้ Malwarebytes สำหรับตรวจจับมัลแวร์เฉพาะทาง ➡️ ใช้ firewall แยกต่างหากเพื่อควบคุมการเชื่อมต่อ ➡️ บางคนยังใช้โปรแกรมแบบ lifetime license ที่เคยซื้อไว้ https://www.techpowerup.com/342112/almost-nobody-uses-paid-third-party-antivirus-techpowerup-frontpage-poll
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Almost Nobody Uses Paid Third-Party Antivirus: TechPowerUp Frontpage Poll
    Almost nobody cares about third-party antivirus applications, much less pay for them, a surprising set of TechPowerUp Frontpage Poll results show. There was a time when you couldn't have a reliable PC experience without a solid third-party antivirus software, paying protection money each year for su...
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5”

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus

    จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD

    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K

    ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก

    ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่

    Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป

    สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh
    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E)
    เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์
    แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม
    ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน
    คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT)
    ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน
    มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ
    Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP
    เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026

    แผนอนาคตของ Intel
    เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า
    ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป
    Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    🚀 “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5” Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่ Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ✅ สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh ➡️ Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E) ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์ ➡️ แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม ➡️ ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน ➡️ คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT) ➡️ ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP ➡️ เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 ✅ แผนอนาคตของ Intel ➡️ เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ➡️ ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ➡️ Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851 https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs Leak: Flagship Is Ultra 9 290K Plus, Ultra 7 270K Plus Benchmarked
    Intel's upcoming Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs, such as the Ultra 9 290K Plus & Ultra 7 270K Plus, have leaked.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • เรื่อง เตียงหัก
    ” เตียงหัก !”

    (1)

    หลังจากที่กษัตริย์อับดุลลาแห่งซาอุดิอารเบีย สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.2015
    มงกุฏราชกุมาร เจ้าชายซาลมาน ซึ่งเป็นน้องชายก็ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เป็นช่วงที่ตะวันออกกลางกำลังแดดร้อน ลมพัดแรง จะถึงกับมีพายุทะเลทรายหรือไม่ น่าเป็นห่วง

    เยเมน ที่อยู่ทางใต้ของซาอุดิ กำลังวุ่นวายเกิดศึกชิงเก้าอี้กัน ทางเหนือหน่อไอซิสยังไม่หยุดงอกทั้งพันธุ์แท้ พันธุ์เทียม และกลายพันธุ์ ทั้งที่อิรัคและที่ซีเรีย ส่วนความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านชื่ออิสราเอล ก็ยังบูดเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะมองหน้าและยิ้มให้กันได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าเพื่อน น่าจะเป็นเรื่องอิหร่าน ซึ่งถึงจะอยู่ห่างกันคนละฟาก แต่ซาอุดิก็เห็นอิหร่านเป็นคู่แข่งรัศมี ชิงความเป็นพี่ใหญ่ในตะวันออกกลางกันมาตลอด

    อิหร่านกำลังก้มหน้าก้มตาพัฒนาระบบนิวเคลียร์ ที่อ้างว่าไม่ไช่เป็นอาวุธนะ อย่าเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้น ซาอุดิก็หงุดหงิด ไม่พอใจ จะพอใจได้ยังไง ก็ตัวเองยังไม่มีนิวเคลียร์กับ เขาสักลูก แถมอาวุธที่มีอยู่ ยังต้องกัดฟันซื้อ โดยเฉพาะจากอเมริกา นึกว่าเขาให้ฟรีๆหรือ เปล่าหรอก แค่ลดราคาให้เท่านั้นเอง เค็มชะมัด แบบนี้ไม่หงุดหงิดได้ไง

    แต่ที่ไม่พอใจมากที่สุด คือไม่พอใจในอากัปกริยา ท่าทีของอเมริกา มากกว่า

    ซาอุดิอารเบียกับอเมริกา มีความสัมพันธ์ยาวนาน และแข็งแรงอย่างเป็นทางการมาประมาณ 70 ปีแล้ว ตั้งแต่ประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt กับกษัตริย์ Abd al-Aziz ibn Sa’ud ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย นั่งจับมือกันบนเรือรบ USS Quincy เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1945

    แต่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จะแข็งแรงมากน้อยขนาดไหนไม่มีใครรู้ดี มีนักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ ทั้ง 2 ประเทศ อุปมาไว้น่าฟังว่า มันเหมือนการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม a marriage for convenience ไม่ใช่มาจากรักแรกพบ หรือรักแบบดูดดื่มฝังใจ เพาะบ่มรอกันมา 20 ปี

    เมื่อเป็นการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม จะให้หวือหวา หวานชื่นกันตลอด คงเป็นไปไม่ได้ มันคงจะเป็นประเภท ต่างก็ยี่ต๊อกใส่กันว่า ฉันได้มากกว่าเสีย หรือเธอได้มากกว่าฉันหรือเปล่า ทำนองนั้น เรื่องอะไรที่ไม่พอใจ ตราบใดที่บัญชีของทั้ง 2 ฝ่าย ยังไม่เป็นตัวแดง ก็ยังคงกล้อมแกล้ม กัดฟันอยู่กันต่อไป

    ตลอดการอยู่ร่วมกันของคู่แต่งงาน ซาอุดิฉุนจัดครั้งแรก ก็เมื่ออเมริกามีทีท่าว่าจะมีใจให้กับอิสราเอล สาวข้างบ้าน ที่อเมริกาให้การรับรองเมื่อปี ค.ศ.1948 แต่มันเป็นช่วงระหว่างการก่อร่างสร้างเมืองของซาอุดิ กษัตริย์ Abd al-Aziz จึงต้องกัดฟันมองไปทางอื่นแทน ขณะที่รอบข้างกดดันให้ยกเลิกสัมปทาน ที่ซาอุดิให้แก่ Aramco ของอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.1933
    หลังจากนั้น ก็มีเรื่องการสั่งห้ามซื้อขายน้ำมัน Oil Embargo ระหว่างกลุ่มค้าน้ำมันชาติอาหรับ กับกลุ่มตะวันตกในปี ค.ศ.1973-74 ซึ่งเป็นการเล่นกล หลอกต้มทั้งคนขายน้ำมันและคนใช้ น้ำมัน โดยพวกนักการเงินวอลสตรีท ที่จัดฉากโดยนาย Henry Kissinger ตัวแสบ ภายใต้การชักใยของ พวกโคตรรวย Rockefeller แต่เรื่องนี้มันก็ลงความเห็นยากว่า ฝ่ายไหนเสียมากกว่า ดูเหมือนจะเป็นมวยล้มต้มคนดู พวกที่เสียหายจริงๆ น่าจะเป็นพวกซื้อน้ำมัน จนแล้วยังทำซ่า อยากเป็นเสือตัวที่ห้ามากกว่า ไปอ่านรายละเอียดได้ จากนิทานเรื่องมายากลยุทธนะครับ

    ซาอุดิ เริ่มขัดใจจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องการบุกเข้าไปขยี้อิรัคของอเมริกา ไม่ใช่เพราะซาอุดิใจอ่อนสงสารอิรัคหรอก อย่าเข้าใจผิด แต่ซาอุดิเห็นว่า เป็นการทำให้ดุลยอำนาจในภูมิภาคเอียง ไปเข้าทางอิหร่านมากกว่า เพราะเป็นการเปิดทางให้อิหร่าน เข้าไปสนับสนุนกลุ่ม Nouri al-Maliki ขึ้นมามีอำนาจในอิรัค หลังจากซัดดัมถูกโค่น และทำให้อิรัคกับอิหร่าน ก็ใกล้เคียงกับการเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกกันตั้งแต่บัดนั้น มันเป็นการเสริมบารมี เสริมกำลัง ให้กับอิหร่านมากขึ้น เกินกว่าที่ซาอุดิ จะไม่สนใจ

    แต่ที่เป็นหนามตำใจมาตลอด คือเรื่องสาวข้างบ้าน อิสราเอลนั่นแหละ ที่ทำให้ซาอุดิเห็นว่า อเมริกา ตาชั่งเอียงจนน่าเกลียด เรื่องนี้ไม่มีทางแก้แน่นอน ซาอุดิรู้ดีอยู่แก่ใจ มีแต่ทางเดินออก ซาอุดิจะกล้าเดินออกไหมเท่านั้น

    พอไปรวมกับเรื่องอียิปต์ ซึ่งซาอุดิเห็นว่า ขนาด Hosni Mubarak ผู้ซึ่งเป็นลูกหาบที่ซื่อสัตย์มาให้อเมริกา 30 กว่าปี อเมริกายังโยนทิ้งเฉย ปล่อยให้ Muslim Brotherhood มุสลิมหัวรุนแรงที่ไม่เอาพวกตะวัน ตก ขึ้นมาปกครองอียิปต์แทน แน่นอน ซาอุดิต้องหงุดหงิด กลุ้มใจ จนหน้าคล้ำหนักไปกว่าเดิม แบบนี้แปลว่าอะไร อเมริกาไม่สนใจหรือว่า มันจะยิ่งสร้างความไม่มั่นคงในตะวันออกกลางมากขึ้น เผลอๆ เรื่องแบบนี้อาจจะเกิดที่ซาอุดิก็ได้ อเมริกาปล่อยให้เป็นอย่านี้ได้อย่างไร

    เรื่องอิสราเอลยังแก้ไม่ออก เรื่องอียิปต์ดันมาเกิดขึ้นต่อ บวกกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านที่ยังค้างคา นี่ยังมามีเรื่องซีเรียอีก เรื่องซีเรียที่ซาอุดิก็ไม่รัก เอะ เสี่ยซาอุรักใครมั่งนะ ชักสงสัย สู้กันมา3 ปีกว่าแล้ว เรื่องยังไม่จบเสียที ไอ้เจ้า Assad นี่มันทนทายาด แล้วอเมริกาก็ดันประกาศ (ในปี ค.ศ. 2013) ว่าจะไม่ใช้กองกำลังจัดการเรื่องซีเรีย โอ้ย กลุ้มใจโว้ย ยังถอนใจไม่หายเหนื่อย หน่อไอซิสก็ทะลี่งได้ปุ๋ยดี บานเต็มท้องทุ่งซีเรีย อิรัค นี่ถ้ามันดันชอบอากาศแถวซาอุดิ มางอกต่อแถวนี้ พวกซาอุดิจะเอาอยู่ไหม

    หงุดหงิดแล้ว ก็เลยพาลน้อยใจต่อ ซาอุดิน้อยใจ คิดหนัก คิดจริงจังคือ เรื่องอิหร่าน (อีกแล้ว) การเจรจา ระหว่างพวกตะวันตกกับอิหร่าน เรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ซาอุดิมองว่า ถ้าการเจรจาเข้าทางอิหร่าน ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะฝ่ายของซาอุดิจะเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหายเลยทีเดียว ฝ่ายที่มีนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง คือฝ่ายที่มีอำนาจควบคุมอ่าวเปอร์เซีย รวมไปทั้งตะวันออกกลาง ที่สำคัญ ซาอุดิมองว่า การใช้วิธีเจรจากับอิหร่าน ดูเหมือนเป็นการเริ่มกลับมาสานสัมพันธ์ใหม่ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน อย่าลืมว่าคู่นี้ เขาเคยเป็นคู่รัก คู่แค้นกันมาก่อน หรือถ่านไฟเก่ามันจะคุขึ้นมาใหม่ ?!?!

    (2)
    ตกลงอเมริกากำลัง “shifting away” หันเหไปจากสัมพันธ์พิเศษกับซาอุดิหรือ มันดูเหมือนมีอาการของการนอกใจ ที่มองเห็นได้จากทั้งฝ่ายซาอุดิและฝ่ายอเมริกาเอง

    ทางฝ่ายซาอุดินั้น อดีตหัวหน้าหน่วยงานข่าวกรอง และอดีตฑูตซาอุดิประจำอเมริกา Prince Bandar bin Sultan พูดตั้งแต่ปลายปี 2013 แล้วว่า ทางซาอุดิอาจจะมีการเปลี่ยนแนวทางของความสัมพันธ์ ระหว่างซาอุดิกับอเมริกา เป็นการประท้วงอเมริกาที่ไม่ขยับอะไรเลย เกี่ยวกับเรื่องการรบในซีเรีย รวมทั้งการที่อเมริกามีท่าที เหมือนจะไปสานสัมพันธ์ใหม่กับอิหร่าน อ้อ เรื่องนี้เอง ที่มันคาใจคนนอนเตียงเดียวกัน

    คำพูดของ Prince Bandar คนเดียวคงไม่พอ Prince Turki al-Faisal อดีตหัวหน้าสายลับ และฑูตซาอุดิประจำสหประชาชาติ ออกมาทำเสียงเข้มว่า นโยบายเกี่ยวกับซีเรีย ของนายโอบามา ฟังแล้วน่าเศร้าใจ พร้อมกับบอกว่า ข้อตกลงระหว่างรัสเซียกับอเมริกา เรื่องการห้ามมิให้ Assad ใช้อาวุธเคมี เป็นหลุมพรางล่อให้อเมริกาตกพลั่ก เขวไปจากการใช้กำลังทหารจัดการในซีเรีย

    เขาต่อว่ากันแรงดีนะครับ ไม่เหมือนสมันน้อย คำน้อยคำ ก็ไม่ค่อยจะกล้าออกมาพาดพิงถึงลูกพี่ เชื่องดีจัง ( ช ช้างสะกดนะครับ ไม่ใช่ ข ไข่ เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ฮา)

    นักจัดรายการทีวีชาวอเมริกัน Fred Kaplan วิจารณ์ว่า คำพูดของฝ่ายซาอุดิในเรื่องนี้ เหมือน “game of high-way chicken” เขาเตือนนายโอบามาว่า ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไก่อาจหลุดมือ วิ่งหายไปได้ หรือโอบามาไม่สนใจ เพราะอเมริกากำลังตื่นเต้นกับการค้นพบพลังงานใหม่ ที่จะไม่ต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจแล้ว หรือปล่อยให้ไก่วิ่งจนเหนื่อยก่อน

    หลังจากนั้น ขบวนการกดดันอเมริกาโดยกลุ่ม Gulf Cooperation Council (GCC) ลูกน้องคุณพี่ซาอุก็เกิดขึ้น นำโดยอาหรับอามิเรต และกาต้าร์เศรษฐีใหญ่ทั้งคู่ ออกโรงเดินสายคุยกับพวกถังความคิด Think Tank ของอเมริกา พร้อมเอาเงินบริจาคกล่องใหญ่ไปฝาก การลงทุนได้ผล ถังความคิดรีบออกรายงานทันที อเมริกาจะปล่อยให้พรรคพวกในตะวันออกกลาง แก้ไขปัญหาเรื่องซีเรียกับไอซิส โดยลำพังหรือ มันดูเหมือนอเมริกากำลังทิ้งเพื่อนที่มีความสัมพันธ์พิเศษนะ เพราะถ้าพวกเขาจัดการไม่ได้ คนที่จะตกที่นั่งลำบากคืออเมริกา แหม! นึกว่าถังความคิดชั้นนำระดับโลกจะสั่งไม่ได้ มีเงินจ่ายก็ใช้ได้ทั้งนั่นแหละครับ

    อเมริกา ถึงยังทิ้งกระบองยอดเพชร ที่อยู่ด้วยกันมานานถึง 70 ปี ไม่ลง

    นายโอบามา ทำหน้าชื่นไปหากษัตริย์ Abdullah เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หลังจากนั่งปรับความไม่เข้าใจกัน การแถลงข่าวภายหลังการปรับคลื่น สรุปว่าทั้ง 2 ฝ่าย มีการหารือกัน เรื่องซีเรีย เรื่องการป้องกันไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ การร่วมกันต่อต้านการก่อการร้าย และสนับสนุนการเจรจา เพื่อให้มีสันติภาพเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง (จากการแถลงข่าวของ ทำเนียบขาว เมื่อ 28 มีนาคม 2014)
    เอกสารที่แจกในการแถลงข่าว บอกด้วยว่าซาอุดิอารเบีย เป็นลูกค้าต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด ที่ซื้ออาวุธของอเมริกา U S Foreign Military Sales (FMS) คือประมาณ 97 พันล้านเหรียญ และอเมริกา ส่งสินค้าออกไปยังซาอุดิอารเบียในปี 2013 จำนวน 35 พันล้านเหรียญ และขณะนี้มีชาวซาอุดิ ประมาณ 8 หมื่นคน เรียนหนังสืออยู่ในอเมริกา

    อืม ดูเหมือนจะเป็นรายงาน ที่แปลงความสัมพันธ์เป็นตัวเงิน (รายได้) ของอเมริกา มากกว่าจะเป็นการให้ข้อมูล ที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น

    นอกจากนี้ การรายงานข่าวของสื่อในช่วงนั้น ยังสรุปไปทิศทางเดียวกันว่า แม้จะมีความเห็นไม่สอดคล้องกันทุกเรื่อง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับซาอุดิอารเบีย ก็ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก not broken เตียงยังไม่หัก ไม่ชำรุดขาเตียงยังอยู่ครบดี ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือทางการต่อต้านผู้ก่อการร้าย การทหาร การธุรกิจและด้านยุทธศาสตร์ อู้ย พูดกันรู้เรื่องดีคร้าบ

    แต่ก็คงจะเร็วไป ที่จะสรุปว่าคู่นี่เขาจะยังมั่นคงกันดีตลอดไป เพราะมันก็ยังเห็นรอยร้าวค้างอยู่ และแม้จะยังไม่ถึงกับทำให้ซาอุดิอารเบีย แยกทางกับอเมริกา แต่ซาอุดิอารเบียก็บอกว่า ไม่ปิดทางตัวเองที่จะมองหาหุ้นส่วนรายใหม่เช่นเดียวกัน นโยบายไม่แทงม้าตัวเดียว ไม่ใช่มีแต่อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเป็น เอะ แล้วใครนะที่ซาอุดิอารเบีย เริ่มเจรจาต้าอวยไว้

    (3)

    ถังความคิดตัวแสบ CSIS Think Tank ได้ออกรายงานการวิเคราะห์ The True Nature of the Saudi Succession “Crisis” วิกฤติตามธรรมชาติของการสืบสันตติวงศ์ของ Saudi เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2015 นี้ก่อนการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ Abdullah ไม่นานนัก

    รายงานสรุปว่า กษัตริย์ Abdullah ได้เตรียมการล่วงหน้ามานานแล้วอย่างเรียบร้อยดี ทั้งเรื่องในพระราชวงศ์ เรื่องในประเทศ ทั้งด้านศาสนา และรัฐบาล รวมทั้งเรื่องการต่างประเทศ เท่าที่จะทำได้ แน่นอนหลายปัจจัย ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีตามสภาพ….รายงานแจงค่อนข้างละเอียดว่า เตรียมการอะไร ใครเป็นใคร ตามประสา นิสัยเสือกทุกเรื่องของอเมริกา

    แต่ที่น่าจะสนใจคือ บางส่วนที่รายงานการวิคราะห์ดังกล่าวระบุถึง ซึ่งไม่ได้เกี่ยว หรือมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนกษัตริย์ผู้ปกครอง แต่เป็นเรื่องที่รายงานการวิเคราะห์ ระบุถึงสภาพสังคมของซาอุดิอารเบีย
    เป็นส่วนของรายงานที่บอกว่า ปี 2015 ซาอุดิจะมีประชากรประมาณ 27.8 ล้านคน ปี 2025 จะมี 31.9 ล้านคน และปี 2050 จะมีประชากร 40.3 ล้านคน ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียเป็นสังคมที่มีวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ และอยู่ในวัยที่ต้องทำงานแต่ไม่ทำงาน โดยอยู่ด้วยสวัสดิการของรัฐ มีตลาดแรงงานประมาณ 8.4 ล้านคน แต่เป็นชาวซาอุดิเพียง 1.7 ล้านคน ที่ผ่านมา ซาอุดิรับมือกับวัยรุ่นจำนวนมากที่ไม่ทำงานได้พอสมควร เพราะที่ผ่านมา ราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจจุบันมากมาย

    ขณะที่อัตราประชากรเพิ่ม และมีคนไม่ยอมทำงาน แต่รายรับของประเทศ ซึ่งมาจากน้ำมันอย่างเดียว ลดลง ตามราคาน้ำมันโลก (หรือจากการร่วมมือกันกดราคาน้ำมันก็ตาม) ขณะเดียวกัน ซาอุดิก็มีรายจ่ายเกี่ยวกับความ มั่นคงของรัฐ สูงที่สุดในโลก ซาอุดิ มีสตรูมากหน้า ทั้งที่เป็นรัฐ และไม่ใช่รัฐ รวมทั้งมีก่อการร้ายเสมอ จากการที่เป็นผู้ดูแลสถานที่
    เรื่อง เตียงหัก ” เตียงหัก !” (1) หลังจากที่กษัตริย์อับดุลลาแห่งซาอุดิอารเบีย สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.2015 มงกุฏราชกุมาร เจ้าชายซาลมาน ซึ่งเป็นน้องชายก็ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เป็นช่วงที่ตะวันออกกลางกำลังแดดร้อน ลมพัดแรง จะถึงกับมีพายุทะเลทรายหรือไม่ น่าเป็นห่วง เยเมน ที่อยู่ทางใต้ของซาอุดิ กำลังวุ่นวายเกิดศึกชิงเก้าอี้กัน ทางเหนือหน่อไอซิสยังไม่หยุดงอกทั้งพันธุ์แท้ พันธุ์เทียม และกลายพันธุ์ ทั้งที่อิรัคและที่ซีเรีย ส่วนความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านชื่ออิสราเอล ก็ยังบูดเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะมองหน้าและยิ้มให้กันได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าเพื่อน น่าจะเป็นเรื่องอิหร่าน ซึ่งถึงจะอยู่ห่างกันคนละฟาก แต่ซาอุดิก็เห็นอิหร่านเป็นคู่แข่งรัศมี ชิงความเป็นพี่ใหญ่ในตะวันออกกลางกันมาตลอด อิหร่านกำลังก้มหน้าก้มตาพัฒนาระบบนิวเคลียร์ ที่อ้างว่าไม่ไช่เป็นอาวุธนะ อย่าเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้น ซาอุดิก็หงุดหงิด ไม่พอใจ จะพอใจได้ยังไง ก็ตัวเองยังไม่มีนิวเคลียร์กับ เขาสักลูก แถมอาวุธที่มีอยู่ ยังต้องกัดฟันซื้อ โดยเฉพาะจากอเมริกา นึกว่าเขาให้ฟรีๆหรือ เปล่าหรอก แค่ลดราคาให้เท่านั้นเอง เค็มชะมัด แบบนี้ไม่หงุดหงิดได้ไง แต่ที่ไม่พอใจมากที่สุด คือไม่พอใจในอากัปกริยา ท่าทีของอเมริกา มากกว่า ซาอุดิอารเบียกับอเมริกา มีความสัมพันธ์ยาวนาน และแข็งแรงอย่างเป็นทางการมาประมาณ 70 ปีแล้ว ตั้งแต่ประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt กับกษัตริย์ Abd al-Aziz ibn Sa’ud ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย นั่งจับมือกันบนเรือรบ USS Quincy เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 แต่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จะแข็งแรงมากน้อยขนาดไหนไม่มีใครรู้ดี มีนักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ ทั้ง 2 ประเทศ อุปมาไว้น่าฟังว่า มันเหมือนการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม a marriage for convenience ไม่ใช่มาจากรักแรกพบ หรือรักแบบดูดดื่มฝังใจ เพาะบ่มรอกันมา 20 ปี เมื่อเป็นการแต่งงาน เพื่อความเหมาะสม จะให้หวือหวา หวานชื่นกันตลอด คงเป็นไปไม่ได้ มันคงจะเป็นประเภท ต่างก็ยี่ต๊อกใส่กันว่า ฉันได้มากกว่าเสีย หรือเธอได้มากกว่าฉันหรือเปล่า ทำนองนั้น เรื่องอะไรที่ไม่พอใจ ตราบใดที่บัญชีของทั้ง 2 ฝ่าย ยังไม่เป็นตัวแดง ก็ยังคงกล้อมแกล้ม กัดฟันอยู่กันต่อไป ตลอดการอยู่ร่วมกันของคู่แต่งงาน ซาอุดิฉุนจัดครั้งแรก ก็เมื่ออเมริกามีทีท่าว่าจะมีใจให้กับอิสราเอล สาวข้างบ้าน ที่อเมริกาให้การรับรองเมื่อปี ค.ศ.1948 แต่มันเป็นช่วงระหว่างการก่อร่างสร้างเมืองของซาอุดิ กษัตริย์ Abd al-Aziz จึงต้องกัดฟันมองไปทางอื่นแทน ขณะที่รอบข้างกดดันให้ยกเลิกสัมปทาน ที่ซาอุดิให้แก่ Aramco ของอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.1933 หลังจากนั้น ก็มีเรื่องการสั่งห้ามซื้อขายน้ำมัน Oil Embargo ระหว่างกลุ่มค้าน้ำมันชาติอาหรับ กับกลุ่มตะวันตกในปี ค.ศ.1973-74 ซึ่งเป็นการเล่นกล หลอกต้มทั้งคนขายน้ำมันและคนใช้ น้ำมัน โดยพวกนักการเงินวอลสตรีท ที่จัดฉากโดยนาย Henry Kissinger ตัวแสบ ภายใต้การชักใยของ พวกโคตรรวย Rockefeller แต่เรื่องนี้มันก็ลงความเห็นยากว่า ฝ่ายไหนเสียมากกว่า ดูเหมือนจะเป็นมวยล้มต้มคนดู พวกที่เสียหายจริงๆ น่าจะเป็นพวกซื้อน้ำมัน จนแล้วยังทำซ่า อยากเป็นเสือตัวที่ห้ามากกว่า ไปอ่านรายละเอียดได้ จากนิทานเรื่องมายากลยุทธนะครับ ซาอุดิ เริ่มขัดใจจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องการบุกเข้าไปขยี้อิรัคของอเมริกา ไม่ใช่เพราะซาอุดิใจอ่อนสงสารอิรัคหรอก อย่าเข้าใจผิด แต่ซาอุดิเห็นว่า เป็นการทำให้ดุลยอำนาจในภูมิภาคเอียง ไปเข้าทางอิหร่านมากกว่า เพราะเป็นการเปิดทางให้อิหร่าน เข้าไปสนับสนุนกลุ่ม Nouri al-Maliki ขึ้นมามีอำนาจในอิรัค หลังจากซัดดัมถูกโค่น และทำให้อิรัคกับอิหร่าน ก็ใกล้เคียงกับการเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกกันตั้งแต่บัดนั้น มันเป็นการเสริมบารมี เสริมกำลัง ให้กับอิหร่านมากขึ้น เกินกว่าที่ซาอุดิ จะไม่สนใจ แต่ที่เป็นหนามตำใจมาตลอด คือเรื่องสาวข้างบ้าน อิสราเอลนั่นแหละ ที่ทำให้ซาอุดิเห็นว่า อเมริกา ตาชั่งเอียงจนน่าเกลียด เรื่องนี้ไม่มีทางแก้แน่นอน ซาอุดิรู้ดีอยู่แก่ใจ มีแต่ทางเดินออก ซาอุดิจะกล้าเดินออกไหมเท่านั้น พอไปรวมกับเรื่องอียิปต์ ซึ่งซาอุดิเห็นว่า ขนาด Hosni Mubarak ผู้ซึ่งเป็นลูกหาบที่ซื่อสัตย์มาให้อเมริกา 30 กว่าปี อเมริกายังโยนทิ้งเฉย ปล่อยให้ Muslim Brotherhood มุสลิมหัวรุนแรงที่ไม่เอาพวกตะวัน ตก ขึ้นมาปกครองอียิปต์แทน แน่นอน ซาอุดิต้องหงุดหงิด กลุ้มใจ จนหน้าคล้ำหนักไปกว่าเดิม แบบนี้แปลว่าอะไร อเมริกาไม่สนใจหรือว่า มันจะยิ่งสร้างความไม่มั่นคงในตะวันออกกลางมากขึ้น เผลอๆ เรื่องแบบนี้อาจจะเกิดที่ซาอุดิก็ได้ อเมริกาปล่อยให้เป็นอย่านี้ได้อย่างไร เรื่องอิสราเอลยังแก้ไม่ออก เรื่องอียิปต์ดันมาเกิดขึ้นต่อ บวกกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านที่ยังค้างคา นี่ยังมามีเรื่องซีเรียอีก เรื่องซีเรียที่ซาอุดิก็ไม่รัก เอะ เสี่ยซาอุรักใครมั่งนะ ชักสงสัย สู้กันมา3 ปีกว่าแล้ว เรื่องยังไม่จบเสียที ไอ้เจ้า Assad นี่มันทนทายาด แล้วอเมริกาก็ดันประกาศ (ในปี ค.ศ. 2013) ว่าจะไม่ใช้กองกำลังจัดการเรื่องซีเรีย โอ้ย กลุ้มใจโว้ย ยังถอนใจไม่หายเหนื่อย หน่อไอซิสก็ทะลี่งได้ปุ๋ยดี บานเต็มท้องทุ่งซีเรีย อิรัค นี่ถ้ามันดันชอบอากาศแถวซาอุดิ มางอกต่อแถวนี้ พวกซาอุดิจะเอาอยู่ไหม หงุดหงิดแล้ว ก็เลยพาลน้อยใจต่อ ซาอุดิน้อยใจ คิดหนัก คิดจริงจังคือ เรื่องอิหร่าน (อีกแล้ว) การเจรจา ระหว่างพวกตะวันตกกับอิหร่าน เรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ซาอุดิมองว่า ถ้าการเจรจาเข้าทางอิหร่าน ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะฝ่ายของซาอุดิจะเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหายเลยทีเดียว ฝ่ายที่มีนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง คือฝ่ายที่มีอำนาจควบคุมอ่าวเปอร์เซีย รวมไปทั้งตะวันออกกลาง ที่สำคัญ ซาอุดิมองว่า การใช้วิธีเจรจากับอิหร่าน ดูเหมือนเป็นการเริ่มกลับมาสานสัมพันธ์ใหม่ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน อย่าลืมว่าคู่นี้ เขาเคยเป็นคู่รัก คู่แค้นกันมาก่อน หรือถ่านไฟเก่ามันจะคุขึ้นมาใหม่ ?!?! (2) ตกลงอเมริกากำลัง “shifting away” หันเหไปจากสัมพันธ์พิเศษกับซาอุดิหรือ มันดูเหมือนมีอาการของการนอกใจ ที่มองเห็นได้จากทั้งฝ่ายซาอุดิและฝ่ายอเมริกาเอง ทางฝ่ายซาอุดินั้น อดีตหัวหน้าหน่วยงานข่าวกรอง และอดีตฑูตซาอุดิประจำอเมริกา Prince Bandar bin Sultan พูดตั้งแต่ปลายปี 2013 แล้วว่า ทางซาอุดิอาจจะมีการเปลี่ยนแนวทางของความสัมพันธ์ ระหว่างซาอุดิกับอเมริกา เป็นการประท้วงอเมริกาที่ไม่ขยับอะไรเลย เกี่ยวกับเรื่องการรบในซีเรีย รวมทั้งการที่อเมริกามีท่าที เหมือนจะไปสานสัมพันธ์ใหม่กับอิหร่าน อ้อ เรื่องนี้เอง ที่มันคาใจคนนอนเตียงเดียวกัน คำพูดของ Prince Bandar คนเดียวคงไม่พอ Prince Turki al-Faisal อดีตหัวหน้าสายลับ และฑูตซาอุดิประจำสหประชาชาติ ออกมาทำเสียงเข้มว่า นโยบายเกี่ยวกับซีเรีย ของนายโอบามา ฟังแล้วน่าเศร้าใจ พร้อมกับบอกว่า ข้อตกลงระหว่างรัสเซียกับอเมริกา เรื่องการห้ามมิให้ Assad ใช้อาวุธเคมี เป็นหลุมพรางล่อให้อเมริกาตกพลั่ก เขวไปจากการใช้กำลังทหารจัดการในซีเรีย เขาต่อว่ากันแรงดีนะครับ ไม่เหมือนสมันน้อย คำน้อยคำ ก็ไม่ค่อยจะกล้าออกมาพาดพิงถึงลูกพี่ เชื่องดีจัง ( ช ช้างสะกดนะครับ ไม่ใช่ ข ไข่ เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ฮา) นักจัดรายการทีวีชาวอเมริกัน Fred Kaplan วิจารณ์ว่า คำพูดของฝ่ายซาอุดิในเรื่องนี้ เหมือน “game of high-way chicken” เขาเตือนนายโอบามาว่า ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไก่อาจหลุดมือ วิ่งหายไปได้ หรือโอบามาไม่สนใจ เพราะอเมริกากำลังตื่นเต้นกับการค้นพบพลังงานใหม่ ที่จะไม่ต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจแล้ว หรือปล่อยให้ไก่วิ่งจนเหนื่อยก่อน หลังจากนั้น ขบวนการกดดันอเมริกาโดยกลุ่ม Gulf Cooperation Council (GCC) ลูกน้องคุณพี่ซาอุก็เกิดขึ้น นำโดยอาหรับอามิเรต และกาต้าร์เศรษฐีใหญ่ทั้งคู่ ออกโรงเดินสายคุยกับพวกถังความคิด Think Tank ของอเมริกา พร้อมเอาเงินบริจาคกล่องใหญ่ไปฝาก การลงทุนได้ผล ถังความคิดรีบออกรายงานทันที อเมริกาจะปล่อยให้พรรคพวกในตะวันออกกลาง แก้ไขปัญหาเรื่องซีเรียกับไอซิส โดยลำพังหรือ มันดูเหมือนอเมริกากำลังทิ้งเพื่อนที่มีความสัมพันธ์พิเศษนะ เพราะถ้าพวกเขาจัดการไม่ได้ คนที่จะตกที่นั่งลำบากคืออเมริกา แหม! นึกว่าถังความคิดชั้นนำระดับโลกจะสั่งไม่ได้ มีเงินจ่ายก็ใช้ได้ทั้งนั่นแหละครับ อเมริกา ถึงยังทิ้งกระบองยอดเพชร ที่อยู่ด้วยกันมานานถึง 70 ปี ไม่ลง นายโอบามา ทำหน้าชื่นไปหากษัตริย์ Abdullah เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หลังจากนั่งปรับความไม่เข้าใจกัน การแถลงข่าวภายหลังการปรับคลื่น สรุปว่าทั้ง 2 ฝ่าย มีการหารือกัน เรื่องซีเรีย เรื่องการป้องกันไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ การร่วมกันต่อต้านการก่อการร้าย และสนับสนุนการเจรจา เพื่อให้มีสันติภาพเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง (จากการแถลงข่าวของ ทำเนียบขาว เมื่อ 28 มีนาคม 2014) เอกสารที่แจกในการแถลงข่าว บอกด้วยว่าซาอุดิอารเบีย เป็นลูกค้าต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด ที่ซื้ออาวุธของอเมริกา U S Foreign Military Sales (FMS) คือประมาณ 97 พันล้านเหรียญ และอเมริกา ส่งสินค้าออกไปยังซาอุดิอารเบียในปี 2013 จำนวน 35 พันล้านเหรียญ และขณะนี้มีชาวซาอุดิ ประมาณ 8 หมื่นคน เรียนหนังสืออยู่ในอเมริกา อืม ดูเหมือนจะเป็นรายงาน ที่แปลงความสัมพันธ์เป็นตัวเงิน (รายได้) ของอเมริกา มากกว่าจะเป็นการให้ข้อมูล ที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น นอกจากนี้ การรายงานข่าวของสื่อในช่วงนั้น ยังสรุปไปทิศทางเดียวกันว่า แม้จะมีความเห็นไม่สอดคล้องกันทุกเรื่อง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับซาอุดิอารเบีย ก็ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก not broken เตียงยังไม่หัก ไม่ชำรุดขาเตียงยังอยู่ครบดี ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือทางการต่อต้านผู้ก่อการร้าย การทหาร การธุรกิจและด้านยุทธศาสตร์ อู้ย พูดกันรู้เรื่องดีคร้าบ แต่ก็คงจะเร็วไป ที่จะสรุปว่าคู่นี่เขาจะยังมั่นคงกันดีตลอดไป เพราะมันก็ยังเห็นรอยร้าวค้างอยู่ และแม้จะยังไม่ถึงกับทำให้ซาอุดิอารเบีย แยกทางกับอเมริกา แต่ซาอุดิอารเบียก็บอกว่า ไม่ปิดทางตัวเองที่จะมองหาหุ้นส่วนรายใหม่เช่นเดียวกัน นโยบายไม่แทงม้าตัวเดียว ไม่ใช่มีแต่อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเป็น เอะ แล้วใครนะที่ซาอุดิอารเบีย เริ่มเจรจาต้าอวยไว้ (3) ถังความคิดตัวแสบ CSIS Think Tank ได้ออกรายงานการวิเคราะห์ The True Nature of the Saudi Succession “Crisis” วิกฤติตามธรรมชาติของการสืบสันตติวงศ์ของ Saudi เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2015 นี้ก่อนการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ Abdullah ไม่นานนัก รายงานสรุปว่า กษัตริย์ Abdullah ได้เตรียมการล่วงหน้ามานานแล้วอย่างเรียบร้อยดี ทั้งเรื่องในพระราชวงศ์ เรื่องในประเทศ ทั้งด้านศาสนา และรัฐบาล รวมทั้งเรื่องการต่างประเทศ เท่าที่จะทำได้ แน่นอนหลายปัจจัย ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีตามสภาพ….รายงานแจงค่อนข้างละเอียดว่า เตรียมการอะไร ใครเป็นใคร ตามประสา นิสัยเสือกทุกเรื่องของอเมริกา แต่ที่น่าจะสนใจคือ บางส่วนที่รายงานการวิคราะห์ดังกล่าวระบุถึง ซึ่งไม่ได้เกี่ยว หรือมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนกษัตริย์ผู้ปกครอง แต่เป็นเรื่องที่รายงานการวิเคราะห์ ระบุถึงสภาพสังคมของซาอุดิอารเบีย เป็นส่วนของรายงานที่บอกว่า ปี 2015 ซาอุดิจะมีประชากรประมาณ 27.8 ล้านคน ปี 2025 จะมี 31.9 ล้านคน และปี 2050 จะมีประชากร 40.3 ล้านคน ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียเป็นสังคมที่มีวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ และอยู่ในวัยที่ต้องทำงานแต่ไม่ทำงาน โดยอยู่ด้วยสวัสดิการของรัฐ มีตลาดแรงงานประมาณ 8.4 ล้านคน แต่เป็นชาวซาอุดิเพียง 1.7 ล้านคน ที่ผ่านมา ซาอุดิรับมือกับวัยรุ่นจำนวนมากที่ไม่ทำงานได้พอสมควร เพราะที่ผ่านมา ราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจจุบันมากมาย ขณะที่อัตราประชากรเพิ่ม และมีคนไม่ยอมทำงาน แต่รายรับของประเทศ ซึ่งมาจากน้ำมันอย่างเดียว ลดลง ตามราคาน้ำมันโลก (หรือจากการร่วมมือกันกดราคาน้ำมันก็ตาม) ขณะเดียวกัน ซาอุดิก็มีรายจ่ายเกี่ยวกับความ มั่นคงของรัฐ สูงที่สุดในโลก ซาอุดิ มีสตรูมากหน้า ทั้งที่เป็นรัฐ และไม่ใช่รัฐ รวมทั้งมีก่อการร้ายเสมอ จากการที่เป็นผู้ดูแลสถานที่
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • เรื่อง ห้องทดลอง
    “ห้องทดลอง”

    (1)

    ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก

    Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า

    ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม”

    “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม

    สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า

    นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า
    เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ”

    คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก
    ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม”

    โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้

    ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร

    วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย

    ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ

    คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น

    เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง

    ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ
    แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย
    เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?!

    ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ

    วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า

    ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล”

    “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา

    ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี

    เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง

    อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ

    #######
    (2)

    ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส

    ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก

    กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน

    Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย

    เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค

    ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง
    และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร

    นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา

    จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด

    เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก !

    และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้

    ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง

    การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้

    #####
    (3)

    อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ

    อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่

    การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    เรื่อง ห้องทดลอง “ห้องทดลอง” (1) ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม” “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ” คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม” โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้ ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?! ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล” “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ ####### (2) ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก ! และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้ ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้ ##### (3) อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่ การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    1 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์

    Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ

    A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7

    จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า

    Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026
    เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk

    หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10
    ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity

    ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB
    รองรับงานทั่วไปได้ดี

    มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card
    รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ

    รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง
    เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม
    ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ

    https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    💽 “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์ Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7 จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า ✅ Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026 ➡️ เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk ✅ หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ➡️ ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity ✅ ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB ➡️ รองรับงานทั่วไปได้ดี ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card ➡️ รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ ✅ รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ✅ คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก ✅ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ➡️ ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    WWW.TECHRADAR.COM
    Fujitsu just launched a 16-inch laptop that sports an optical drive
    Optical drive usage may be dropping, yet Fujitsu refuses to let them die
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • “อีเมลปลอมจาก Microsoft กำลังหลอกผู้ใช้ให้โทรหาแก๊งหลอกลวง — เมื่อแบรนด์ที่น่าเชื่อถือกลายเป็นเครื่องมือโจมตี” — เมื่อความคุ้นเคยกลายเป็นช่องโหว่ และ CAPTCHA ปลอมคือด่านแรกของการหลอกลวง

    รายงานจาก Cofense Phishing Defense Center เผยว่าอาชญากรไซเบอร์กำลังใช้แบรนด์ Microsoft ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจ เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงผ่านแคมเปญ phishing ที่ซับซ้อน โดยเริ่มจากอีเมลที่ดูเหมือนมาจากบริษัทจริง เช่น บริษัทเช่ารถ อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน

    เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล จะถูกนำไปยังหน้า CAPTCHA ปลอมที่ดูเหมือนจริง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากระบบอัตโนมัติ หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าที่จำลองอินเทอร์เฟซของ Microsoft ซึ่งล็อกเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง

    ในภาวะตื่นตระหนก ผู้ใช้จะเห็นเบอร์โทรศัพท์ “Microsoft Support” ปลอมปรากฏขึ้น และเมื่อโทรไปจะถูกเชื่อมต่อกับแก๊งหลอกลวงที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ Microsoft ซึ่งจะพยายามขอข้อมูลส่วนตัว, รหัสผ่าน, หรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกลเพื่อขโมยข้อมูลหรือเงิน

    Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ไม่ได้อาศัยช่องโหว่ทางเทคนิค แต่ใช้ “จิตวิทยา” และ “ความคุ้นเคย” เป็นอาวุธ โดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้ใช้รู้สึกว่าต้องรีบแก้ไขปัญหา

    อาชญากรไซเบอร์ใช้แบรนด์ Microsoft เป็นเครื่องมือหลอกลวง
    เพราะผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจแบรนด์นี้

    เริ่มต้นด้วยอีเมลปลอมจากบริษัทที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น บริษัทเช่ารถ
    อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน

    ลิงก์ในอีเมลนำไปสู่หน้า CAPTCHA ปลอม
    เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

    หน้าถัดไปจำลองอินเทอร์เฟซ Microsoft และล็อกเบราว์เซอร์
    พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง

    แสดงเบอร์โทร “Microsoft Support” ปลอมเพื่อให้เหยื่อโทรหา
    แล้วหลอกให้ให้ข้อมูลหรือติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกล

    Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ใช้จิตวิทยาเป็นหลัก
    ไม่ใช่การเจาะระบบ แต่เป็นการหลอกให้ผู้ใช้ตื่นตระหนก

    https://www.techradar.com/pro/phone-communications/microsofts-fantastic-branding-power-is-being-used-by-criminals-to-funnel-victims-to-tech-support-scam-centers-heres-what-you-need-to-know
    🕵️‍♂️ “อีเมลปลอมจาก Microsoft กำลังหลอกผู้ใช้ให้โทรหาแก๊งหลอกลวง — เมื่อแบรนด์ที่น่าเชื่อถือกลายเป็นเครื่องมือโจมตี” — เมื่อความคุ้นเคยกลายเป็นช่องโหว่ และ CAPTCHA ปลอมคือด่านแรกของการหลอกลวง รายงานจาก Cofense Phishing Defense Center เผยว่าอาชญากรไซเบอร์กำลังใช้แบรนด์ Microsoft ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจ เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงผ่านแคมเปญ phishing ที่ซับซ้อน โดยเริ่มจากอีเมลที่ดูเหมือนมาจากบริษัทจริง เช่น บริษัทเช่ารถ อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล จะถูกนำไปยังหน้า CAPTCHA ปลอมที่ดูเหมือนจริง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากระบบอัตโนมัติ หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าที่จำลองอินเทอร์เฟซของ Microsoft ซึ่งล็อกเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง ในภาวะตื่นตระหนก ผู้ใช้จะเห็นเบอร์โทรศัพท์ “Microsoft Support” ปลอมปรากฏขึ้น และเมื่อโทรไปจะถูกเชื่อมต่อกับแก๊งหลอกลวงที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ Microsoft ซึ่งจะพยายามขอข้อมูลส่วนตัว, รหัสผ่าน, หรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกลเพื่อขโมยข้อมูลหรือเงิน Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ไม่ได้อาศัยช่องโหว่ทางเทคนิค แต่ใช้ “จิตวิทยา” และ “ความคุ้นเคย” เป็นอาวุธ โดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้ใช้รู้สึกว่าต้องรีบแก้ไขปัญหา ✅ อาชญากรไซเบอร์ใช้แบรนด์ Microsoft เป็นเครื่องมือหลอกลวง ➡️ เพราะผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจแบรนด์นี้ ✅ เริ่มต้นด้วยอีเมลปลอมจากบริษัทที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น บริษัทเช่ารถ ➡️ อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน ✅ ลิงก์ในอีเมลนำไปสู่หน้า CAPTCHA ปลอม ➡️ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ✅ หน้าถัดไปจำลองอินเทอร์เฟซ Microsoft และล็อกเบราว์เซอร์ ➡️ พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง ✅ แสดงเบอร์โทร “Microsoft Support” ปลอมเพื่อให้เหยื่อโทรหา ➡️ แล้วหลอกให้ให้ข้อมูลหรือติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกล ✅ Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ใช้จิตวิทยาเป็นหลัก ➡️ ไม่ใช่การเจาะระบบ แต่เป็นการหลอกให้ผู้ใช้ตื่นตระหนก https://www.techradar.com/pro/phone-communications/microsofts-fantastic-branding-power-is-being-used-by-criminals-to-funnel-victims-to-tech-support-scam-centers-heres-what-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    The Microsoft logo you trust could now be a trap
    Cybercriminals are transforming brand familiarity into a weapon of deception
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์

    Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์

    G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที

    ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell
    มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย
    มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

    รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM
    รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB
    เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent

    เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง
    เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop)

    รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก
    เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks

    ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้
    สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim
    ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง

    รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM
    มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว

    เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery
    บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment

    https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    ☁️ “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์ Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที ✅ ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell ➡️ มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย ➡️ มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า ✅ รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM ➡️ รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB ➡️ เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent ✅ เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง ➡️ เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop) ✅ รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก ➡️ เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks ✅ ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้ ➡️ สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim ➡️ ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง ✅ รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM ➡️ มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว ✅ เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery ➡️ บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Google Cloud G4 VMs With NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell GPU Now Generally Available
    NVIDIA and Google Cloud are expanding access to accelerated computing to transform the full spectrum of enterprise workloads, from visual computing to agentic and physical AI. Google Cloud today announced the general availability of G4 VMs, powered by NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition GPU...
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • “APU แบบ Compute-in-Memory จาก GSI ทำงานเร็วเท่ากับ GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า 98%” — เมื่อการประมวลผลแบบใหม่อาจเปลี่ยนเกม AI ทั้งในหุ่นยนต์, IoT และอวกาศ

    GSI Technology ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell เผยผลการทดสอบ APU (Associative Processing Unit) รุ่น Gemini-I ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory (CIM) ในการประมวลผล AI โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำออกจากหน่วยคำนวณเหมือน CPU หรือ GPU แบบเดิม

    ผลการทดสอบ Retrieval-Augmented Generation (RAG) บนชุดข้อมูลขนาด 10–200 GB พบว่า Gemini-I มีประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% และเร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงานค้นคืนข้อมูล

    เทคโนโลยีนี้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพต่อวัตต์สูง เช่น:

    หุ่นยนต์และโดรนที่ใช้ Edge AI
    อุปกรณ์ IoT ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน
    ระบบป้องกันประเทศและอวกาศที่ต้องการความเย็นต่ำและความเร็วสูง

    GSI ยังเผยว่า Gemini-II ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปจะเร็วขึ้นอีก 10 เท่า และ Plato ซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนา จะเน้นงาน embedded edge ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ต้องการความสามารถสูง

    Gemini-I APU จาก GSI ใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory
    รวมหน่วยความจำและประมวลผลไว้ในชิปเดียว

    ประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU ในงาน RAG
    แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98%

    เร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงาน retrieval
    เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน

    Gemini-II จะเร็วขึ้นอีก 10 เท่าและลด latency
    เหมาะกับงาน memory-intensive

    Plato จะเน้น embedded edge AI ที่ใช้พลังงานต่ำ
    เช่น หุ่นยนต์, IoT, อุปกรณ์พกพา

    งานวิจัยตีพิมพ์ใน ACM และนำเสนอที่งาน Micro '25
    เป็นการประเมินเชิงลึกครั้งแรกของอุปกรณ์ CIM เชิงพาณิชย์

    https://www.techpowerup.com/342054/compute-in-memory-apu-achieves-gpu-class-ai-performance-at-a-fraction-of-the-energy-cost
    ⚡ “APU แบบ Compute-in-Memory จาก GSI ทำงานเร็วเท่ากับ GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า 98%” — เมื่อการประมวลผลแบบใหม่อาจเปลี่ยนเกม AI ทั้งในหุ่นยนต์, IoT และอวกาศ GSI Technology ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell เผยผลการทดสอบ APU (Associative Processing Unit) รุ่น Gemini-I ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory (CIM) ในการประมวลผล AI โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำออกจากหน่วยคำนวณเหมือน CPU หรือ GPU แบบเดิม ผลการทดสอบ Retrieval-Augmented Generation (RAG) บนชุดข้อมูลขนาด 10–200 GB พบว่า Gemini-I มีประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% และเร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงานค้นคืนข้อมูล เทคโนโลยีนี้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพต่อวัตต์สูง เช่น: 🔋 หุ่นยนต์และโดรนที่ใช้ Edge AI 🔋 อุปกรณ์ IoT ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน 🔋 ระบบป้องกันประเทศและอวกาศที่ต้องการความเย็นต่ำและความเร็วสูง GSI ยังเผยว่า Gemini-II ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปจะเร็วขึ้นอีก 10 เท่า และ Plato ซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนา จะเน้นงาน embedded edge ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ต้องการความสามารถสูง ✅ Gemini-I APU จาก GSI ใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory ➡️ รวมหน่วยความจำและประมวลผลไว้ในชิปเดียว ✅ ประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU ในงาน RAG ➡️ แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% ✅ เร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงาน retrieval ➡️ เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน ✅ Gemini-II จะเร็วขึ้นอีก 10 เท่าและลด latency ➡️ เหมาะกับงาน memory-intensive ✅ Plato จะเน้น embedded edge AI ที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ เช่น หุ่นยนต์, IoT, อุปกรณ์พกพา ✅ งานวิจัยตีพิมพ์ใน ACM และนำเสนอที่งาน Micro '25 ➡️ เป็นการประเมินเชิงลึกครั้งแรกของอุปกรณ์ CIM เชิงพาณิชย์ https://www.techpowerup.com/342054/compute-in-memory-apu-achieves-gpu-class-ai-performance-at-a-fraction-of-the-energy-cost
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Compute-In-Memory APU Achieves GPU-Class AI Performance at a Fraction of the Energy Cost
    GSI Technology, Inc. (Nasdaq: GSIT), the inventor of the Associative Processing Unit (APU), a paradigm shift in artificial intelligence (AI) and high-performance compute (HPC) processing providing true compute-in-memory technology, announced the publication of a paper led by researchers at Cornell U...
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
More Results