เรื่อง เสือกซ้ำซาก
“เสือกซ้ำซาก”
วันก่อน แฟนเพจท่านหนึ่งเพิ่งเขียนถามหน้าจอว่า “ลุงครับ ตาแดเนียล รัสเซล เขาจะมาหลอกล่อ ล้วงตับอะไรสมันน้อยไหม ตานี่ประวัติไม่ธรรมดา สงสัยมากดดันให้เลือกตั้งไวๆ ….”
ผมละดีใจมาก ที่แฟนเพจนิทาน ตื่นตัว หูตากว้างไกล มองเห็นภัยของการเป็นสมันน้อยมากขึ้น ผมก็ตอบไปตามการวิเคราะห์ว่า ” เป็นจังหวะที่อเมริกาต้องมาตรวจแถว ก่อนจัดระเบียบแถวใหม่ และอื่นๆครับ อื่นๆ นี่ต้องไปถามท่านผู้นำเอง “
ผมวิเคราะห์จากการขยับหมากตัวอื่นๆของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ผมคิดว่ามันกำลังเตรียมแผน และตามนิสัยมัน ก่อนจะสรุปแผน ไอ้นักล่าต้องตรวจสอบทุกเรื่องก่อน และแน่นอนในการตรวจสอบ ก็คงทำการเสือกเหมือนเคย และผมก็เบื่อที่จะต้องด่าถึงความเสือกอย่างซ้ำซากของพวกมัน
แต่วันนี้พอผมเปิดเครื่อง ผมยิ่งดีใจใหญ่ ที่มีหลายท่าน อินบ๊อกซ์เข้ามาด่าไอ้เวรทิ้งไว้ให้ผมอ่าน แสดงว่าเราไม่ได้เป็นสมันน้อยแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นแล้ว และถ้าเราไม่พูดอะไรเสียเลย เดี๋ยวมันก็จะนึกว่าเราก็ไม่รู้ สึกรู้สา นึกว่าเราเป็นขี้ข้า อย่างเคยๆ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ก็มา ชี้ด่าเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสมันน้อยเหมือนเดิม งั้นวันนี้เราต้องฉลองการเลิกเป็นสมันน้อยของพวกเรา อย่างน้อยก็พวกเราในเพจนิทานล่ะครับ และผมเชื่อว่า มีคนไทยอีกมากมาย ที่ไม่อยากเป็นสมันน้อย และกำลังหาทางแหกคอกออกมา
นายดาเนียล รัสเซล Daniel R Russel นี่เป็นใคร เขาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูแลกิจการด้านเอเซียตะวันออกและแปซิฟิก ก่อนหน้ารับตำแหน่งนี้ เมื่อกรกฏาคม 2013 เขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโอบามา ในการวางนโยบาย ปรับกำลังมาทางแปซิฟิกมากขึ้น Pivot To Asia
คงจำกันได้ ก่อนหน้านั้น อเมริกาวางน้ำหนักความสำคัญด้านความมั่นคงให้ทางยุโรป โดยผ่านกองกำลังนาโต้ 60% และให้น้ำหนักทางแปซิฟิก 40% แต่เมื่อเกิดอาการช๊อก ที่เห็นอาเฮียโตเร็วเกินคาดในปี 2012 อเมริกาจึงรีบปรับนโยบาย ตอนนั้นคุณนายคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายแถวแปซิฟิกเสียหน้าเหี่ยว และตอนนั้นอเมริกาก็คงพอใจ ที่ไทยแลนด์ แดนสมันน้อย มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพรมเช็ดเท้าให้อเมริกา เพราะมีหัวหน้ารัฐบาลที่แม้แต่พูดภาษาคนธรรมดายังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่พูดภาษาราชการ หรือภาษาการฑูตเลย
แน่นอน นายเดเนียล รัสเซล ผู้มีส่วนสำคัญในการปรับนโยบายใหม่ คงยืดน่าดู เพราะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลแปซิฟิกสมใจ
5 กุมภาพันธ์ 2014 จากรายงานข่าวแจกของกระทรวงต่างประเทศ ที่วอชิงตัน บอกว่า อเมริกากำลังปรับดุลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก “rebalance” โดยนายรัสเซลบอกว่า เราต้องใช้กำลังพลด้านการฑูตเพิ่มอีกมาก เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของ เรา rebalance นี้ จะครอบคลุมไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะเน้นเรื่อง Trans -Pacific Partnership (TPP) และเรื่องขัดแย้งในทะเลจีน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง Air Defense Indentification Zone (ADIZ) ที่จีนประกาศใช้ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งอเมริกาไม่ชอบใจ
แหม! อ่านตั้งนาน กว่าไต๋จะโผล่ นักล่าหงุดหงิดเรื่องนี้เอง แปลว่า ไอ้ที่อเมริกาเคยบินโฉบไปแอบดูอาหม่วยแถวนั้น โดยไม่แจง ไม่แจ้งน่ะ ทำไม่ได้แล้วนะ
นายรัสเซล ยังบอกอีกว่า สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และของแปซิฟิก มีสเต็กชิ้นใหญ่อยู่ในแปซิฟิก ที่จำเป็นจะต้องให้เอเซียแปซิฟิก เปิดประตูกว้างเอาไว้ เพื่อเดินเข้าไปกินสะดวก แปลว่าตอนนี้กินสเต็กไม่สะดวก เพราะจีนกำลังขวางทางเข้าไปกิน
อ่านต่อไม่ไหวครับ ยาแก้คลื่นไส้ ไม่ช่วยเลย
ขอเปลี่ยนไปต่อ ที่การเสนอข่าวฉบับนี้ ที่ผมว่าน่าสนใจกว่าที่ ไอ้ขี้โม้รัสเซลพูดอีก
เป็นการเสนอข่าวของ นายกวี จงกิจถาวร ใน นสพ. The Nation เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 นี้เอง หัวเรื่อง ” Are Thai-US relations warming up slowly?”
http://www.nationmultimedia.com/opinion/Are-Thai-US-relations-warming-up-slowly-30251708.html
ก่อนไปถึงเนื้อข่าว ขอให้ข้อมูลท่านผู้อ่านเสียหน่อยว่า จากข้อมูลของวิกิลีกซ์ ที่หล่นมาให้พวกเราหูตาสว่างกัน เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนั้น นายกวี เป็นนักข่าว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของสถานฑูตอเมริกัน ประจำราชอาณาจักรไทย เกือบทุกครั้งที่มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือมีนายใหญ่จากวอชิงตันมา นายกวีจะต้องร่วมหารือและให้ความเห็นในฐานะสื่อใหญ่ของไทยเสมอ พูดง่ายๆว่า ไม่มากไม่น้อย อเมริกาก็เห็น หรือรู้จักประเทศไทย จากสายตาและความคิดของนายกวี ซึ่งก็มีข่าวว่า อเมริกายกย่องและดูแลอย่างดี
เนื้อข่าวของนายกวี สรุปว่า นายรัสเซลมาเมืองไทยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2014 และให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า เขามีความหวังว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งไทยควรมีการเลือกตั้งเช่นนั้น เพื่อที่จะสมกับการเป็นมิตรที่อเมริกาไว้วางใจ แต่หลังจากนั้น 44 วัน โดยไม่มีใครรู้ตัว (รวมทั้งนายรัสเซล และนายกวี ?!) ทหารก็ทำการยึดอำนาจ
วอชิงตันแปลกใจมาก เพราะไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่นาย Kerry มีปฏิกริยารุนแรงกับไทย แล้วสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกา ก็ลงเหวอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาให้ดีขึ้น Thai-US relations quickly went downhill without any prospect of amelioration !
ว้าย ตาเถรหก! ผมอ่านแล้วตกใจแทบสิ้นสติ อ่านข่าวแจกของฝร้่ง ต้องกินยาแก้คลื่นไส้ แต่พอมาอ่านข่าวคนไทยเขียน ผมต้องรีบให้เด็กเอายาหอมมาให้!
ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าการปฏิวัติของคุณพี่ตู่ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่พอมาอ่านที่นายกวีเขียนว่า ถึงขนาดที่เราจะขาดมิตร ที่คบกับมากว่า 70 ปี โดย อย่างไม่เห็นหนทางเยียวยาเอาเลย นี่ ผมเลยลมรับประทาน….ด้วยความดีใจ…… ขอให้มันเป็นหยั่งงั้นเถิด เจ้าประคู้น เอ้า! แล้วนี่เสือกมาทำไมล่ะ มากรีดซ้ำเป็นการเยียวยาหรือยังไง เดี๋ยวต้องคอยตามอ่าน บทความของนายกวีเสียแล้วสินะ
นายกวีขู่ผมต่อ …. หลังจาก 259 วันที่ปราศจากการติดต่อระดับรัฐมนตรี สัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกของไทย-อเมริกัน ก็เริ่มปรับตัวอุ่นขึ้น ด้วยการมา (โปรด!) ของนายรัสเซล เขาบอกว่าระหว่าง 2 วัน ที่อยู่เมืองไทย เขาจะมาทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้ให้อุ่นขึ้น เขาเน้นว่า ผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ยังไม่ติดต่อกับรัฐบาลไทยเลยนะ และนอกจากอเมริกาแล้ว EU ก็ยังไม่กลับมามีสัมพันธ์ปรกติกับไทยด้วย รอจนกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งก่อน …
กิจกรรมแรก ที่ไทยจะมีร่วมกับอเมริกาในต้นปีนี้คือ การฝึกประจำปี Cobra Gold ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับอเมริกามา 3 ทศวรรษ สำหรับปีนี้ จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่นครนายก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ไปจัดที่อื่น หลังจากที่ไทยมีการปฏิวัติ คราวนี้การฝึกคงเป็นระดับเล็กลง และประชาสัมพันธ์น้อยลง อืม..,
เดี๋ยวนี้ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีความหลากหลายในการสร้างมั่นคงของตน ถ้าใช้ตามวลีอันขึ้นชื่อของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม นาย Donald Rumsfeld ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป จากการคบคนเคยรู้กันแล้ว เป็นการคบกับคนที่ไม่เคยรู้กัน ( known-knowns เป็น known-unknowns) ที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ประเทศไทยมีการเจรจา และมีโครงการด้านความมั่นคงกับจีน รัสเซีย เวียตนาม..
เอาละครับ สรุปมาให้ฟัง ทั้งที่ฝรั่งแจก กับไทยเขียนแทนฝรั่ง คงเห็นกันแล้วว่า อเมริกากำลังคิดอย่างไร
– อเมริกา หน้าแตก แหกเป็นริ้ว มานั่งคุยจ้อเรื่องเลือกตั้ง นึกว่าสั่งแล้ว เขารู้เรื่องทำตาม ที่ไหนได้ กลับบ้านไป 44 วันเขาปฏิวัติ ไม่หน้าแหกยังไง จมูก CIA เสียหมดหรือไง ถึงดมกลิ่นปฏิวัติไม่เจอเลย แถมไอ้ลูกพี่ ที่มานั่งคุยกร่าง ยังจับทางไม่ได้ นั่งอยู่กลางบ้านเขาแท้ๆ ยังงี้มันน่าปลดให้หมด แล้วไอ้คนไทยที่เลี้ยงไว้เป็นสายสืบ ก็ต้องปลดด้วย ลูกเต้าที่ส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยดัง ส่งกลับไปอยู่วัดจานบินให้หมด
– อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ไล่บี้ไอ้พวกลูกหาบ แถวเอเซียแปซิฟิกแรงๆ ให้มันไปช่วยกดดันจีน ดันบี้แรงไปหน่อย ทำท่าจะแหกคอก แตกแถว ไปอยู่ฝั่งโน้น อย่างนี้ ยิ่งกว่าหน้าแตก มันหน้าหัก หักหน้ากัน ไม่ตามมาด่าซ้ำถึงกลางบ้านได้ยังไง เด็กเลี้ยงมา 70 ปี มาทำหือ อย่างนีต้องเจอโทษหนักแน่นอน
– แต่ที่แสดงความหมดท่า เสียที คือ อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ย้ายมากดดันจีน
ลืมระวังอีกข้าง ถูกลูกหลอกฝั่งรัสเซียจีนผลัดกันโหม่ง วิ่งรับลูกผิดทาง เจอคุณพี่ปูตินซัดเต็มเหนี่ยว เกี่ยวเอาไครเมีย กล่องดวงใจกลับไปกก อันนี้มันเป็นเรื่อง แค้นนี้ต้องชำระ
– แล้วใครล่ะ ที่เดินจ๋อยๆ เป็นสมันน้อยน่ารัก แต่จับมือกับเขาไปทั่ว ไอ้รูปจับมือ สร้างทางรถไฟนี่ มันต้องคารวะให้ 3 จอก จังหวะดีเหลือเชื่อ
เอาแค่ตัวอย่างที่ยกมา ผมจึงไม่แปลกใจ ที่จะมีไอ้บ้าอะไรสักตัว มานั่งพล่าม นั่งเสือกยุ่งอยู่ในบ้านคนอื่นเขา เขาจัดการเรื่องบ้านเมืองของเขา ตามที่เขาเห็นเหมาะสม มันต้องเสือกอะไรด้วย เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่ได้เป็นทาสของใคร อย่าไปสนใจ ตกใจกับเสียงเห่า ตามสันดานของพวกหวงรางหญ้าครับ ปล่อยให้มันบ้าไป คุณพี่ตู่ท่านทำถูกแล้วที่ไม่รับนัด จริงๆ ไม่ควรมีใครรับนัดเลย ปล่อยให้มันคุยแต่กับนังเอ๋อ รายเดียวเหมาะสมกันดีจะตาย
สวัสดีครับ
ลุงนิทาน
27 มกราคม 2558
U.S. to Intensify Rebalancing in Asia in 2014
https://geneva.usmission.gov/2014/02/06/u-s-to-intensify-rebalancing-in-asia-in-2014/
“เสือกซ้ำซาก”
วันก่อน แฟนเพจท่านหนึ่งเพิ่งเขียนถามหน้าจอว่า “ลุงครับ ตาแดเนียล รัสเซล เขาจะมาหลอกล่อ ล้วงตับอะไรสมันน้อยไหม ตานี่ประวัติไม่ธรรมดา สงสัยมากดดันให้เลือกตั้งไวๆ ….”
ผมละดีใจมาก ที่แฟนเพจนิทาน ตื่นตัว หูตากว้างไกล มองเห็นภัยของการเป็นสมันน้อยมากขึ้น ผมก็ตอบไปตามการวิเคราะห์ว่า ” เป็นจังหวะที่อเมริกาต้องมาตรวจแถว ก่อนจัดระเบียบแถวใหม่ และอื่นๆครับ อื่นๆ นี่ต้องไปถามท่านผู้นำเอง “
ผมวิเคราะห์จากการขยับหมากตัวอื่นๆของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ผมคิดว่ามันกำลังเตรียมแผน และตามนิสัยมัน ก่อนจะสรุปแผน ไอ้นักล่าต้องตรวจสอบทุกเรื่องก่อน และแน่นอนในการตรวจสอบ ก็คงทำการเสือกเหมือนเคย และผมก็เบื่อที่จะต้องด่าถึงความเสือกอย่างซ้ำซากของพวกมัน
แต่วันนี้พอผมเปิดเครื่อง ผมยิ่งดีใจใหญ่ ที่มีหลายท่าน อินบ๊อกซ์เข้ามาด่าไอ้เวรทิ้งไว้ให้ผมอ่าน แสดงว่าเราไม่ได้เป็นสมันน้อยแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นแล้ว และถ้าเราไม่พูดอะไรเสียเลย เดี๋ยวมันก็จะนึกว่าเราก็ไม่รู้ สึกรู้สา นึกว่าเราเป็นขี้ข้า อย่างเคยๆ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ก็มา ชี้ด่าเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสมันน้อยเหมือนเดิม งั้นวันนี้เราต้องฉลองการเลิกเป็นสมันน้อยของพวกเรา อย่างน้อยก็พวกเราในเพจนิทานล่ะครับ และผมเชื่อว่า มีคนไทยอีกมากมาย ที่ไม่อยากเป็นสมันน้อย และกำลังหาทางแหกคอกออกมา
นายดาเนียล รัสเซล Daniel R Russel นี่เป็นใคร เขาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูแลกิจการด้านเอเซียตะวันออกและแปซิฟิก ก่อนหน้ารับตำแหน่งนี้ เมื่อกรกฏาคม 2013 เขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโอบามา ในการวางนโยบาย ปรับกำลังมาทางแปซิฟิกมากขึ้น Pivot To Asia
คงจำกันได้ ก่อนหน้านั้น อเมริกาวางน้ำหนักความสำคัญด้านความมั่นคงให้ทางยุโรป โดยผ่านกองกำลังนาโต้ 60% และให้น้ำหนักทางแปซิฟิก 40% แต่เมื่อเกิดอาการช๊อก ที่เห็นอาเฮียโตเร็วเกินคาดในปี 2012 อเมริกาจึงรีบปรับนโยบาย ตอนนั้นคุณนายคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายแถวแปซิฟิกเสียหน้าเหี่ยว และตอนนั้นอเมริกาก็คงพอใจ ที่ไทยแลนด์ แดนสมันน้อย มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพรมเช็ดเท้าให้อเมริกา เพราะมีหัวหน้ารัฐบาลที่แม้แต่พูดภาษาคนธรรมดายังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่พูดภาษาราชการ หรือภาษาการฑูตเลย
แน่นอน นายเดเนียล รัสเซล ผู้มีส่วนสำคัญในการปรับนโยบายใหม่ คงยืดน่าดู เพราะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลแปซิฟิกสมใจ
5 กุมภาพันธ์ 2014 จากรายงานข่าวแจกของกระทรวงต่างประเทศ ที่วอชิงตัน บอกว่า อเมริกากำลังปรับดุลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก “rebalance” โดยนายรัสเซลบอกว่า เราต้องใช้กำลังพลด้านการฑูตเพิ่มอีกมาก เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของ เรา rebalance นี้ จะครอบคลุมไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะเน้นเรื่อง Trans -Pacific Partnership (TPP) และเรื่องขัดแย้งในทะเลจีน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง Air Defense Indentification Zone (ADIZ) ที่จีนประกาศใช้ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งอเมริกาไม่ชอบใจ
แหม! อ่านตั้งนาน กว่าไต๋จะโผล่ นักล่าหงุดหงิดเรื่องนี้เอง แปลว่า ไอ้ที่อเมริกาเคยบินโฉบไปแอบดูอาหม่วยแถวนั้น โดยไม่แจง ไม่แจ้งน่ะ ทำไม่ได้แล้วนะ
นายรัสเซล ยังบอกอีกว่า สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และของแปซิฟิก มีสเต็กชิ้นใหญ่อยู่ในแปซิฟิก ที่จำเป็นจะต้องให้เอเซียแปซิฟิก เปิดประตูกว้างเอาไว้ เพื่อเดินเข้าไปกินสะดวก แปลว่าตอนนี้กินสเต็กไม่สะดวก เพราะจีนกำลังขวางทางเข้าไปกิน
อ่านต่อไม่ไหวครับ ยาแก้คลื่นไส้ ไม่ช่วยเลย
ขอเปลี่ยนไปต่อ ที่การเสนอข่าวฉบับนี้ ที่ผมว่าน่าสนใจกว่าที่ ไอ้ขี้โม้รัสเซลพูดอีก
เป็นการเสนอข่าวของ นายกวี จงกิจถาวร ใน นสพ. The Nation เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 นี้เอง หัวเรื่อง ” Are Thai-US relations warming up slowly?”
http://www.nationmultimedia.com/opinion/Are-Thai-US-relations-warming-up-slowly-30251708.html
ก่อนไปถึงเนื้อข่าว ขอให้ข้อมูลท่านผู้อ่านเสียหน่อยว่า จากข้อมูลของวิกิลีกซ์ ที่หล่นมาให้พวกเราหูตาสว่างกัน เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนั้น นายกวี เป็นนักข่าว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของสถานฑูตอเมริกัน ประจำราชอาณาจักรไทย เกือบทุกครั้งที่มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือมีนายใหญ่จากวอชิงตันมา นายกวีจะต้องร่วมหารือและให้ความเห็นในฐานะสื่อใหญ่ของไทยเสมอ พูดง่ายๆว่า ไม่มากไม่น้อย อเมริกาก็เห็น หรือรู้จักประเทศไทย จากสายตาและความคิดของนายกวี ซึ่งก็มีข่าวว่า อเมริกายกย่องและดูแลอย่างดี
เนื้อข่าวของนายกวี สรุปว่า นายรัสเซลมาเมืองไทยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2014 และให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า เขามีความหวังว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งไทยควรมีการเลือกตั้งเช่นนั้น เพื่อที่จะสมกับการเป็นมิตรที่อเมริกาไว้วางใจ แต่หลังจากนั้น 44 วัน โดยไม่มีใครรู้ตัว (รวมทั้งนายรัสเซล และนายกวี ?!) ทหารก็ทำการยึดอำนาจ
วอชิงตันแปลกใจมาก เพราะไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่นาย Kerry มีปฏิกริยารุนแรงกับไทย แล้วสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกา ก็ลงเหวอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาให้ดีขึ้น Thai-US relations quickly went downhill without any prospect of amelioration !
ว้าย ตาเถรหก! ผมอ่านแล้วตกใจแทบสิ้นสติ อ่านข่าวแจกของฝร้่ง ต้องกินยาแก้คลื่นไส้ แต่พอมาอ่านข่าวคนไทยเขียน ผมต้องรีบให้เด็กเอายาหอมมาให้!
ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าการปฏิวัติของคุณพี่ตู่ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่พอมาอ่านที่นายกวีเขียนว่า ถึงขนาดที่เราจะขาดมิตร ที่คบกับมากว่า 70 ปี โดย อย่างไม่เห็นหนทางเยียวยาเอาเลย นี่ ผมเลยลมรับประทาน….ด้วยความดีใจ…… ขอให้มันเป็นหยั่งงั้นเถิด เจ้าประคู้น เอ้า! แล้วนี่เสือกมาทำไมล่ะ มากรีดซ้ำเป็นการเยียวยาหรือยังไง เดี๋ยวต้องคอยตามอ่าน บทความของนายกวีเสียแล้วสินะ
นายกวีขู่ผมต่อ …. หลังจาก 259 วันที่ปราศจากการติดต่อระดับรัฐมนตรี สัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกของไทย-อเมริกัน ก็เริ่มปรับตัวอุ่นขึ้น ด้วยการมา (โปรด!) ของนายรัสเซล เขาบอกว่าระหว่าง 2 วัน ที่อยู่เมืองไทย เขาจะมาทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้ให้อุ่นขึ้น เขาเน้นว่า ผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ยังไม่ติดต่อกับรัฐบาลไทยเลยนะ และนอกจากอเมริกาแล้ว EU ก็ยังไม่กลับมามีสัมพันธ์ปรกติกับไทยด้วย รอจนกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งก่อน …
กิจกรรมแรก ที่ไทยจะมีร่วมกับอเมริกาในต้นปีนี้คือ การฝึกประจำปี Cobra Gold ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับอเมริกามา 3 ทศวรรษ สำหรับปีนี้ จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่นครนายก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ไปจัดที่อื่น หลังจากที่ไทยมีการปฏิวัติ คราวนี้การฝึกคงเป็นระดับเล็กลง และประชาสัมพันธ์น้อยลง อืม..,
เดี๋ยวนี้ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีความหลากหลายในการสร้างมั่นคงของตน ถ้าใช้ตามวลีอันขึ้นชื่อของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม นาย Donald Rumsfeld ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป จากการคบคนเคยรู้กันแล้ว เป็นการคบกับคนที่ไม่เคยรู้กัน ( known-knowns เป็น known-unknowns) ที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ประเทศไทยมีการเจรจา และมีโครงการด้านความมั่นคงกับจีน รัสเซีย เวียตนาม..
เอาละครับ สรุปมาให้ฟัง ทั้งที่ฝรั่งแจก กับไทยเขียนแทนฝรั่ง คงเห็นกันแล้วว่า อเมริกากำลังคิดอย่างไร
– อเมริกา หน้าแตก แหกเป็นริ้ว มานั่งคุยจ้อเรื่องเลือกตั้ง นึกว่าสั่งแล้ว เขารู้เรื่องทำตาม ที่ไหนได้ กลับบ้านไป 44 วันเขาปฏิวัติ ไม่หน้าแหกยังไง จมูก CIA เสียหมดหรือไง ถึงดมกลิ่นปฏิวัติไม่เจอเลย แถมไอ้ลูกพี่ ที่มานั่งคุยกร่าง ยังจับทางไม่ได้ นั่งอยู่กลางบ้านเขาแท้ๆ ยังงี้มันน่าปลดให้หมด แล้วไอ้คนไทยที่เลี้ยงไว้เป็นสายสืบ ก็ต้องปลดด้วย ลูกเต้าที่ส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยดัง ส่งกลับไปอยู่วัดจานบินให้หมด
– อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ไล่บี้ไอ้พวกลูกหาบ แถวเอเซียแปซิฟิกแรงๆ ให้มันไปช่วยกดดันจีน ดันบี้แรงไปหน่อย ทำท่าจะแหกคอก แตกแถว ไปอยู่ฝั่งโน้น อย่างนี้ ยิ่งกว่าหน้าแตก มันหน้าหัก หักหน้ากัน ไม่ตามมาด่าซ้ำถึงกลางบ้านได้ยังไง เด็กเลี้ยงมา 70 ปี มาทำหือ อย่างนีต้องเจอโทษหนักแน่นอน
– แต่ที่แสดงความหมดท่า เสียที คือ อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ย้ายมากดดันจีน
ลืมระวังอีกข้าง ถูกลูกหลอกฝั่งรัสเซียจีนผลัดกันโหม่ง วิ่งรับลูกผิดทาง เจอคุณพี่ปูตินซัดเต็มเหนี่ยว เกี่ยวเอาไครเมีย กล่องดวงใจกลับไปกก อันนี้มันเป็นเรื่อง แค้นนี้ต้องชำระ
– แล้วใครล่ะ ที่เดินจ๋อยๆ เป็นสมันน้อยน่ารัก แต่จับมือกับเขาไปทั่ว ไอ้รูปจับมือ สร้างทางรถไฟนี่ มันต้องคารวะให้ 3 จอก จังหวะดีเหลือเชื่อ
เอาแค่ตัวอย่างที่ยกมา ผมจึงไม่แปลกใจ ที่จะมีไอ้บ้าอะไรสักตัว มานั่งพล่าม นั่งเสือกยุ่งอยู่ในบ้านคนอื่นเขา เขาจัดการเรื่องบ้านเมืองของเขา ตามที่เขาเห็นเหมาะสม มันต้องเสือกอะไรด้วย เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่ได้เป็นทาสของใคร อย่าไปสนใจ ตกใจกับเสียงเห่า ตามสันดานของพวกหวงรางหญ้าครับ ปล่อยให้มันบ้าไป คุณพี่ตู่ท่านทำถูกแล้วที่ไม่รับนัด จริงๆ ไม่ควรมีใครรับนัดเลย ปล่อยให้มันคุยแต่กับนังเอ๋อ รายเดียวเหมาะสมกันดีจะตาย
สวัสดีครับ
ลุงนิทาน
27 มกราคม 2558
U.S. to Intensify Rebalancing in Asia in 2014
https://geneva.usmission.gov/2014/02/06/u-s-to-intensify-rebalancing-in-asia-in-2014/
เรื่อง เสือกซ้ำซาก
“เสือกซ้ำซาก”
วันก่อน แฟนเพจท่านหนึ่งเพิ่งเขียนถามหน้าจอว่า “ลุงครับ ตาแดเนียล รัสเซล เขาจะมาหลอกล่อ ล้วงตับอะไรสมันน้อยไหม ตานี่ประวัติไม่ธรรมดา สงสัยมากดดันให้เลือกตั้งไวๆ ….”
ผมละดีใจมาก ที่แฟนเพจนิทาน ตื่นตัว หูตากว้างไกล มองเห็นภัยของการเป็นสมันน้อยมากขึ้น ผมก็ตอบไปตามการวิเคราะห์ว่า ” เป็นจังหวะที่อเมริกาต้องมาตรวจแถว ก่อนจัดระเบียบแถวใหม่ และอื่นๆครับ อื่นๆ นี่ต้องไปถามท่านผู้นำเอง “
ผมวิเคราะห์จากการขยับหมากตัวอื่นๆของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ผมคิดว่ามันกำลังเตรียมแผน และตามนิสัยมัน ก่อนจะสรุปแผน ไอ้นักล่าต้องตรวจสอบทุกเรื่องก่อน และแน่นอนในการตรวจสอบ ก็คงทำการเสือกเหมือนเคย และผมก็เบื่อที่จะต้องด่าถึงความเสือกอย่างซ้ำซากของพวกมัน
แต่วันนี้พอผมเปิดเครื่อง ผมยิ่งดีใจใหญ่ ที่มีหลายท่าน อินบ๊อกซ์เข้ามาด่าไอ้เวรทิ้งไว้ให้ผมอ่าน แสดงว่าเราไม่ได้เป็นสมันน้อยแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นแล้ว และถ้าเราไม่พูดอะไรเสียเลย เดี๋ยวมันก็จะนึกว่าเราก็ไม่รู้ สึกรู้สา นึกว่าเราเป็นขี้ข้า อย่างเคยๆ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ก็มา ชี้ด่าเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสมันน้อยเหมือนเดิม งั้นวันนี้เราต้องฉลองการเลิกเป็นสมันน้อยของพวกเรา อย่างน้อยก็พวกเราในเพจนิทานล่ะครับ และผมเชื่อว่า มีคนไทยอีกมากมาย ที่ไม่อยากเป็นสมันน้อย และกำลังหาทางแหกคอกออกมา
นายดาเนียล รัสเซล Daniel R Russel นี่เป็นใคร เขาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูแลกิจการด้านเอเซียตะวันออกและแปซิฟิก ก่อนหน้ารับตำแหน่งนี้ เมื่อกรกฏาคม 2013 เขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโอบามา ในการวางนโยบาย ปรับกำลังมาทางแปซิฟิกมากขึ้น Pivot To Asia
คงจำกันได้ ก่อนหน้านั้น อเมริกาวางน้ำหนักความสำคัญด้านความมั่นคงให้ทางยุโรป โดยผ่านกองกำลังนาโต้ 60% และให้น้ำหนักทางแปซิฟิก 40% แต่เมื่อเกิดอาการช๊อก ที่เห็นอาเฮียโตเร็วเกินคาดในปี 2012 อเมริกาจึงรีบปรับนโยบาย ตอนนั้นคุณนายคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายแถวแปซิฟิกเสียหน้าเหี่ยว และตอนนั้นอเมริกาก็คงพอใจ ที่ไทยแลนด์ แดนสมันน้อย มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพรมเช็ดเท้าให้อเมริกา เพราะมีหัวหน้ารัฐบาลที่แม้แต่พูดภาษาคนธรรมดายังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่พูดภาษาราชการ หรือภาษาการฑูตเลย
แน่นอน นายเดเนียล รัสเซล ผู้มีส่วนสำคัญในการปรับนโยบายใหม่ คงยืดน่าดู เพราะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลแปซิฟิกสมใจ
5 กุมภาพันธ์ 2014 จากรายงานข่าวแจกของกระทรวงต่างประเทศ ที่วอชิงตัน บอกว่า อเมริกากำลังปรับดุลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก “rebalance” โดยนายรัสเซลบอกว่า เราต้องใช้กำลังพลด้านการฑูตเพิ่มอีกมาก เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของ เรา rebalance นี้ จะครอบคลุมไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะเน้นเรื่อง Trans -Pacific Partnership (TPP) และเรื่องขัดแย้งในทะเลจีน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง Air Defense Indentification Zone (ADIZ) ที่จีนประกาศใช้ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งอเมริกาไม่ชอบใจ
แหม! อ่านตั้งนาน กว่าไต๋จะโผล่ นักล่าหงุดหงิดเรื่องนี้เอง แปลว่า ไอ้ที่อเมริกาเคยบินโฉบไปแอบดูอาหม่วยแถวนั้น โดยไม่แจง ไม่แจ้งน่ะ ทำไม่ได้แล้วนะ
นายรัสเซล ยังบอกอีกว่า สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และของแปซิฟิก มีสเต็กชิ้นใหญ่อยู่ในแปซิฟิก ที่จำเป็นจะต้องให้เอเซียแปซิฟิก เปิดประตูกว้างเอาไว้ เพื่อเดินเข้าไปกินสะดวก แปลว่าตอนนี้กินสเต็กไม่สะดวก เพราะจีนกำลังขวางทางเข้าไปกิน
อ่านต่อไม่ไหวครับ ยาแก้คลื่นไส้ ไม่ช่วยเลย
ขอเปลี่ยนไปต่อ ที่การเสนอข่าวฉบับนี้ ที่ผมว่าน่าสนใจกว่าที่ ไอ้ขี้โม้รัสเซลพูดอีก
เป็นการเสนอข่าวของ นายกวี จงกิจถาวร ใน นสพ. The Nation เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 นี้เอง หัวเรื่อง ” Are Thai-US relations warming up slowly?”
http://www.nationmultimedia.com/opinion/Are-Thai-US-relations-warming-up-slowly-30251708.html
ก่อนไปถึงเนื้อข่าว ขอให้ข้อมูลท่านผู้อ่านเสียหน่อยว่า จากข้อมูลของวิกิลีกซ์ ที่หล่นมาให้พวกเราหูตาสว่างกัน เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนั้น นายกวี เป็นนักข่าว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของสถานฑูตอเมริกัน ประจำราชอาณาจักรไทย เกือบทุกครั้งที่มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือมีนายใหญ่จากวอชิงตันมา นายกวีจะต้องร่วมหารือและให้ความเห็นในฐานะสื่อใหญ่ของไทยเสมอ พูดง่ายๆว่า ไม่มากไม่น้อย อเมริกาก็เห็น หรือรู้จักประเทศไทย จากสายตาและความคิดของนายกวี ซึ่งก็มีข่าวว่า อเมริกายกย่องและดูแลอย่างดี
เนื้อข่าวของนายกวี สรุปว่า นายรัสเซลมาเมืองไทยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2014 และให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า เขามีความหวังว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งไทยควรมีการเลือกตั้งเช่นนั้น เพื่อที่จะสมกับการเป็นมิตรที่อเมริกาไว้วางใจ แต่หลังจากนั้น 44 วัน โดยไม่มีใครรู้ตัว (รวมทั้งนายรัสเซล และนายกวี ?!) ทหารก็ทำการยึดอำนาจ
วอชิงตันแปลกใจมาก เพราะไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่นาย Kerry มีปฏิกริยารุนแรงกับไทย แล้วสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกา ก็ลงเหวอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาให้ดีขึ้น Thai-US relations quickly went downhill without any prospect of amelioration !
ว้าย ตาเถรหก! ผมอ่านแล้วตกใจแทบสิ้นสติ อ่านข่าวแจกของฝร้่ง ต้องกินยาแก้คลื่นไส้ แต่พอมาอ่านข่าวคนไทยเขียน ผมต้องรีบให้เด็กเอายาหอมมาให้!
ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าการปฏิวัติของคุณพี่ตู่ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่พอมาอ่านที่นายกวีเขียนว่า ถึงขนาดที่เราจะขาดมิตร ที่คบกับมากว่า 70 ปี โดย อย่างไม่เห็นหนทางเยียวยาเอาเลย นี่ ผมเลยลมรับประทาน….ด้วยความดีใจ…… ขอให้มันเป็นหยั่งงั้นเถิด เจ้าประคู้น เอ้า! แล้วนี่เสือกมาทำไมล่ะ มากรีดซ้ำเป็นการเยียวยาหรือยังไง เดี๋ยวต้องคอยตามอ่าน บทความของนายกวีเสียแล้วสินะ
นายกวีขู่ผมต่อ …. หลังจาก 259 วันที่ปราศจากการติดต่อระดับรัฐมนตรี สัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกของไทย-อเมริกัน ก็เริ่มปรับตัวอุ่นขึ้น ด้วยการมา (โปรด!) ของนายรัสเซล เขาบอกว่าระหว่าง 2 วัน ที่อยู่เมืองไทย เขาจะมาทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้ให้อุ่นขึ้น เขาเน้นว่า ผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ยังไม่ติดต่อกับรัฐบาลไทยเลยนะ และนอกจากอเมริกาแล้ว EU ก็ยังไม่กลับมามีสัมพันธ์ปรกติกับไทยด้วย รอจนกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งก่อน …
กิจกรรมแรก ที่ไทยจะมีร่วมกับอเมริกาในต้นปีนี้คือ การฝึกประจำปี Cobra Gold ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับอเมริกามา 3 ทศวรรษ สำหรับปีนี้ จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่นครนายก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ไปจัดที่อื่น หลังจากที่ไทยมีการปฏิวัติ คราวนี้การฝึกคงเป็นระดับเล็กลง และประชาสัมพันธ์น้อยลง อืม..,
เดี๋ยวนี้ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีความหลากหลายในการสร้างมั่นคงของตน ถ้าใช้ตามวลีอันขึ้นชื่อของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม นาย Donald Rumsfeld ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป จากการคบคนเคยรู้กันแล้ว เป็นการคบกับคนที่ไม่เคยรู้กัน ( known-knowns เป็น known-unknowns) ที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ประเทศไทยมีการเจรจา และมีโครงการด้านความมั่นคงกับจีน รัสเซีย เวียตนาม..
เอาละครับ สรุปมาให้ฟัง ทั้งที่ฝรั่งแจก กับไทยเขียนแทนฝรั่ง คงเห็นกันแล้วว่า อเมริกากำลังคิดอย่างไร
– อเมริกา หน้าแตก แหกเป็นริ้ว มานั่งคุยจ้อเรื่องเลือกตั้ง นึกว่าสั่งแล้ว เขารู้เรื่องทำตาม ที่ไหนได้ กลับบ้านไป 44 วันเขาปฏิวัติ ไม่หน้าแหกยังไง จมูก CIA เสียหมดหรือไง ถึงดมกลิ่นปฏิวัติไม่เจอเลย แถมไอ้ลูกพี่ ที่มานั่งคุยกร่าง ยังจับทางไม่ได้ นั่งอยู่กลางบ้านเขาแท้ๆ ยังงี้มันน่าปลดให้หมด แล้วไอ้คนไทยที่เลี้ยงไว้เป็นสายสืบ ก็ต้องปลดด้วย ลูกเต้าที่ส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยดัง ส่งกลับไปอยู่วัดจานบินให้หมด
– อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ไล่บี้ไอ้พวกลูกหาบ แถวเอเซียแปซิฟิกแรงๆ ให้มันไปช่วยกดดันจีน ดันบี้แรงไปหน่อย ทำท่าจะแหกคอก แตกแถว ไปอยู่ฝั่งโน้น อย่างนี้ ยิ่งกว่าหน้าแตก มันหน้าหัก หักหน้ากัน ไม่ตามมาด่าซ้ำถึงกลางบ้านได้ยังไง เด็กเลี้ยงมา 70 ปี มาทำหือ อย่างนีต้องเจอโทษหนักแน่นอน
– แต่ที่แสดงความหมดท่า เสียที คือ อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ย้ายมากดดันจีน
ลืมระวังอีกข้าง ถูกลูกหลอกฝั่งรัสเซียจีนผลัดกันโหม่ง วิ่งรับลูกผิดทาง เจอคุณพี่ปูตินซัดเต็มเหนี่ยว เกี่ยวเอาไครเมีย กล่องดวงใจกลับไปกก อันนี้มันเป็นเรื่อง แค้นนี้ต้องชำระ
– แล้วใครล่ะ ที่เดินจ๋อยๆ เป็นสมันน้อยน่ารัก แต่จับมือกับเขาไปทั่ว ไอ้รูปจับมือ สร้างทางรถไฟนี่ มันต้องคารวะให้ 3 จอก จังหวะดีเหลือเชื่อ
เอาแค่ตัวอย่างที่ยกมา ผมจึงไม่แปลกใจ ที่จะมีไอ้บ้าอะไรสักตัว มานั่งพล่าม นั่งเสือกยุ่งอยู่ในบ้านคนอื่นเขา เขาจัดการเรื่องบ้านเมืองของเขา ตามที่เขาเห็นเหมาะสม มันต้องเสือกอะไรด้วย เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่ได้เป็นทาสของใคร อย่าไปสนใจ ตกใจกับเสียงเห่า ตามสันดานของพวกหวงรางหญ้าครับ ปล่อยให้มันบ้าไป คุณพี่ตู่ท่านทำถูกแล้วที่ไม่รับนัด จริงๆ ไม่ควรมีใครรับนัดเลย ปล่อยให้มันคุยแต่กับนังเอ๋อ รายเดียวเหมาะสมกันดีจะตาย
สวัสดีครับ
ลุงนิทาน
27 มกราคม 2558
U.S. to Intensify Rebalancing in Asia in 2014
https://geneva.usmission.gov/2014/02/06/u-s-to-intensify-rebalancing-in-asia-in-2014/
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
127 มุมมอง
0 รีวิว