• “Taiwan เปิดการสอบสวนกรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC กลับเข้าร่วม Intel”

    ทางการไต้หวันได้เปิดการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ กรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารฝ่าย R&D ของ TSMC ที่เพิ่งเกษียณหลังทำงานกว่า 21 ปี แต่กลับไปปรากฏตัวที่ Intel ในตำแหน่งรองประธานฝ่าย R&D เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า Lo อาจนำเอกสารทางเทคนิคที่เป็นความลับของ TSMC ไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16, A14 และ post-A14 nodes

    ก่อนออกจาก TSMC Lo เคยมีอำนาจสั่งให้ทีมงานส่งมอบเอกสารภายในที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง โดยไม่มีการตั้งข้อสงสัยในตอนนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเขาสูงมาก ทำให้คำสั่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาปรากฏตัวที่ Intel พร้อมรับผิดชอบด้านการพัฒนาอุปกรณ์และโมดูลใหม่ ๆ จึงเกิดข้อกังวลว่าเอกสารเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงแข่งขัน

    แม้จะมีข้อกล่าวหา แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ข้อมูลของ TSMC อาจไม่สามารถนำไปใช้ตรง ๆ กับ Intel ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตของทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกัน เช่น Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV ในบางกระบวนการ ขณะที่ TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV multipatterning อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้ยังคงมีค่าในเชิงการวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ทางธุรกิจ

    กรณีนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่การเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก รัฐบาลไต้หวันกำลังตรวจสอบว่า Lo ละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้าไปยังต่างประเทศหรือไม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC
    กลับไปทำงานที่ Intel ในตำแหน่ง VP of R&D

    ข้อกล่าวหานำเอกสารลับติดตัวไป
    ครอบคลุมเทคโนโลยี N2, A16, A14 และ post-A14

    ความแตกต่างด้านเทคโนโลยีระหว่าง Intel และ TSMC
    Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV, TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV

    รัฐบาลไต้หวันเปิดการสอบสวนด้านความมั่นคง
    ตรวจสอบการละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้า

    ความเสี่ยงต่อการแข่งขันระดับโลก
    เอกสารลับอาจถูกใช้เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ธุรกิจ

    การขาดมาตรการป้องกันภายในองค์กร
    TSMC ไม่ได้บังคับใช้ข้อตกลง non-compete กับ Lo ก่อนออกจากบริษัท

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/high-ranking-tsmc-executive-faces-taiwan-legal-investigation-over-murky-return-to-intel-report-alleges-employee-took-technical-documents-with-him
    📰 “Taiwan เปิดการสอบสวนกรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC กลับเข้าร่วม Intel” ทางการไต้หวันได้เปิดการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ กรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารฝ่าย R&D ของ TSMC ที่เพิ่งเกษียณหลังทำงานกว่า 21 ปี แต่กลับไปปรากฏตัวที่ Intel ในตำแหน่งรองประธานฝ่าย R&D เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า Lo อาจนำเอกสารทางเทคนิคที่เป็นความลับของ TSMC ไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16, A14 และ post-A14 nodes ก่อนออกจาก TSMC Lo เคยมีอำนาจสั่งให้ทีมงานส่งมอบเอกสารภายในที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง โดยไม่มีการตั้งข้อสงสัยในตอนนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเขาสูงมาก ทำให้คำสั่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาปรากฏตัวที่ Intel พร้อมรับผิดชอบด้านการพัฒนาอุปกรณ์และโมดูลใหม่ ๆ จึงเกิดข้อกังวลว่าเอกสารเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงแข่งขัน แม้จะมีข้อกล่าวหา แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ข้อมูลของ TSMC อาจไม่สามารถนำไปใช้ตรง ๆ กับ Intel ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตของทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกัน เช่น Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV ในบางกระบวนการ ขณะที่ TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV multipatterning อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้ยังคงมีค่าในเชิงการวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ทางธุรกิจ กรณีนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่การเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก รัฐบาลไต้หวันกำลังตรวจสอบว่า Lo ละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้าไปยังต่างประเทศหรือไม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC ➡️ กลับไปทำงานที่ Intel ในตำแหน่ง VP of R&D ✅ ข้อกล่าวหานำเอกสารลับติดตัวไป ➡️ ครอบคลุมเทคโนโลยี N2, A16, A14 และ post-A14 ✅ ความแตกต่างด้านเทคโนโลยีระหว่าง Intel และ TSMC ➡️ Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV, TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV ✅ รัฐบาลไต้หวันเปิดการสอบสวนด้านความมั่นคง ➡️ ตรวจสอบการละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้า ‼️ ความเสี่ยงต่อการแข่งขันระดับโลก ⛔ เอกสารลับอาจถูกใช้เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ธุรกิจ ‼️ การขาดมาตรการป้องกันภายในองค์กร ⛔ TSMC ไม่ได้บังคับใช้ข้อตกลง non-compete กับ Lo ก่อนออกจากบริษัท https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/high-ranking-tsmc-executive-faces-taiwan-legal-investigation-over-murky-return-to-intel-report-alleges-employee-took-technical-documents-with-him
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “ไฟหน้ารถ LED สว่างเกินไป – ปัญหาที่รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข”

    งานวิจัยที่จัดทำโดย Department for Transport (DfT) ของสหราชอาณาจักร พบว่า 97% ของผู้ขับขี่รู้สึกถูกรบกวนจากแสงไฟหน้ารถที่สว่างเกินไป และ 96% เชื่อว่าไฟหน้ารถส่วนใหญ่สว่างเกินมาตรฐาน ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยจนบางคนถึงขั้นเลี่ยงการขับรถกลางคืน โดย 33% เลิกขับกลางคืนหรือขับน้อยลง และอีก 22% อยากเลี่ยงแต่ไม่มีทางเลือก

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Transport Research Laboratory (TRL) ระบุว่าไฟ LED และไฟสีขาวเข้มมีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่ทำให้สายตามนุษย์ปรับตัวได้ยากในเวลากลางคืน ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการรณรงค์ของ RAC (Royal Automobile Club) ที่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะแม้ไฟหน้าสว่างจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ดีขึ้น แต่ก็สร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ

    รัฐบาลอังกฤษประกาศว่าจะบรรจุประเด็นนี้ใน Road Safety Strategy ที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ โดยมีแนวทางทบทวนมาตรฐานไฟหน้ารถ เพื่อหาสมดุลระหว่าง “ความสว่างเพื่อความปลอดภัย” และ “การลดแสงจ้าที่รบกวนสายตา” ขณะเดียวกัน นักทัศนมาตรวิทยาแนะนำให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยีไฟรถที่เปลี่ยนไป

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลสำรวจจาก DfT
    97% ของผู้ขับขี่ถูกรบกวนจากไฟหน้ารถ, 96% เชื่อว่าไฟหน้าสว่างเกินไป

    ผลกระทบต่อพฤติกรรมการขับขี่
    33% เลิกขับกลางคืน, 22% อยากเลี่ยงแต่จำเป็นต้องขับ

    ไฟ LED และไฟสีขาวเข้ม
    มีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่สายตามนุษย์ปรับได้ยาก

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข
    จะบรรจุใน Road Safety Strategy เพื่อทบทวนมาตรฐานไฟหน้า

    ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยบนท้องถนน
    ไฟหน้าสว่างเกินไปอาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่าและเกิดอุบัติเหตุ

    การพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่ปรับกฎเกณฑ์
    หากไม่แก้ไข อาจทำให้ปัญหาลุกลามเมื่อรถรุ่นใหม่ใช้ไฟ LED มากขึ้น

    https://www.bbc.com/news/articles/c1j8ewy1p86o
    📰 “ไฟหน้ารถ LED สว่างเกินไป – ปัญหาที่รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข” งานวิจัยที่จัดทำโดย Department for Transport (DfT) ของสหราชอาณาจักร พบว่า 97% ของผู้ขับขี่รู้สึกถูกรบกวนจากแสงไฟหน้ารถที่สว่างเกินไป และ 96% เชื่อว่าไฟหน้ารถส่วนใหญ่สว่างเกินมาตรฐาน ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยจนบางคนถึงขั้นเลี่ยงการขับรถกลางคืน โดย 33% เลิกขับกลางคืนหรือขับน้อยลง และอีก 22% อยากเลี่ยงแต่ไม่มีทางเลือก ผู้เชี่ยวชาญจาก Transport Research Laboratory (TRL) ระบุว่าไฟ LED และไฟสีขาวเข้มมีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่ทำให้สายตามนุษย์ปรับตัวได้ยากในเวลากลางคืน ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการรณรงค์ของ RAC (Royal Automobile Club) ที่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะแม้ไฟหน้าสว่างจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ดีขึ้น แต่ก็สร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ รัฐบาลอังกฤษประกาศว่าจะบรรจุประเด็นนี้ใน Road Safety Strategy ที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ โดยมีแนวทางทบทวนมาตรฐานไฟหน้ารถ เพื่อหาสมดุลระหว่าง “ความสว่างเพื่อความปลอดภัย” และ “การลดแสงจ้าที่รบกวนสายตา” ขณะเดียวกัน นักทัศนมาตรวิทยาแนะนำให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยีไฟรถที่เปลี่ยนไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลสำรวจจาก DfT ➡️ 97% ของผู้ขับขี่ถูกรบกวนจากไฟหน้ารถ, 96% เชื่อว่าไฟหน้าสว่างเกินไป ✅ ผลกระทบต่อพฤติกรรมการขับขี่ ➡️ 33% เลิกขับกลางคืน, 22% อยากเลี่ยงแต่จำเป็นต้องขับ ✅ ไฟ LED และไฟสีขาวเข้ม ➡️ มีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่สายตามนุษย์ปรับได้ยาก ✅ รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข ➡️ จะบรรจุใน Road Safety Strategy เพื่อทบทวนมาตรฐานไฟหน้า ‼️ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยบนท้องถนน ⛔ ไฟหน้าสว่างเกินไปอาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่าและเกิดอุบัติเหตุ ‼️ การพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่ปรับกฎเกณฑ์ ⛔ หากไม่แก้ไข อาจทำให้ปัญหาลุกลามเมื่อรถรุ่นใหม่ใช้ไฟ LED มากขึ้น https://www.bbc.com/news/articles/c1j8ewy1p86o
    WWW.BBC.COM
    Nearly all drivers say vehicles' lights are too bright in study
    The study, commissioned by the Department for Transport, was completed by Berkshire's TRL.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • “Gemini 3 – ก้าวใหม่ของ AI ที่ฉลาดที่สุดจาก Google”

    Gemini 3 คือโมเดล AI ล่าสุดจาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ตัวช่วยคิด” ที่สามารถเข้าใจหลายมิติ ทั้งข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด โดยมีความสามารถด้านการให้เหตุผลเชิงลึกและการเข้าใจบริบทที่เหนือกว่ารุ่นก่อน ๆ จุดเด่นคือการทำงานแบบ multimodal reasoning ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ สร้าง และวางแผนได้ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น

    โมเดลนี้เปิดตัวพร้อม Gemini 3 Pro ซึ่งทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond รวมถึงการแก้โจทย์คณิตศาสตร์และการเข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีโหมด Gemini 3 Deep Think ที่ยกระดับการให้เหตุผลไปอีกขั้น โดยสามารถแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วยความแม่นยำสูงขึ้น

    Gemini 3 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตอบคำถาม แต่ยังสามารถช่วยผู้ใช้ในชีวิตจริง เช่น การวิเคราะห์งานวิจัย การสร้างคู่มือเชิงโต้ตอบ การแปลสูตรอาหารที่เขียนด้วยมือ หรือแม้แต่การวิเคราะห์วิดีโอกีฬาเพื่อให้คำแนะนำการฝึกซ้อม นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน AI Mode ของ Google Search เพื่อสร้างประสบการณ์ค้นหาที่มีการจำลองแบบโต้ตอบและภาพประกอบแบบเรียลไทม์

    อีกหนึ่งความก้าวหน้าคือการเปิดตัว Google Antigravity ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาเชิง Agentic ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนาในระดับสูงขึ้น เช่น การวางแผนและเขียนโค้ดทั้งโปรเจกต์โดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ IDE และการทำงานร่วมกับ AI

    สรุปสาระสำคัญ
    Gemini 3 เปิดตัวเป็นโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุดของ Google
    รองรับการทำงานหลายมิติ (ข้อความ, ภาพ, วิดีโอ, โค้ด)

    Gemini 3 Pro ทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ
    เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond

    Gemini 3 Deep Think ยกระดับการให้เหตุผล
    สามารถแก้โจทย์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

    ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
    เช่น วิเคราะห์งานวิจัย, แปลสูตรอาหาร, วิเคราะห์วิดีโอกีฬา

    Google Antigravity เปิดตัวพร้อม Gemini 3
    เป็นแพลตฟอร์ม Agentic IDE ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนา

    ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้ผู้ใช้ลดทักษะการคิดและการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

    ประเด็นด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส
    แม้จะมีการทดสอบ แต่ยังต้องระวังการใช้ AI ในงานที่อ่อนไหว

    https://blog.google/products/gemini/gemini-3/
    📰 “Gemini 3 – ก้าวใหม่ของ AI ที่ฉลาดที่สุดจาก Google” Gemini 3 คือโมเดล AI ล่าสุดจาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ตัวช่วยคิด” ที่สามารถเข้าใจหลายมิติ ทั้งข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด โดยมีความสามารถด้านการให้เหตุผลเชิงลึกและการเข้าใจบริบทที่เหนือกว่ารุ่นก่อน ๆ จุดเด่นคือการทำงานแบบ multimodal reasoning ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ สร้าง และวางแผนได้ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น โมเดลนี้เปิดตัวพร้อม Gemini 3 Pro ซึ่งทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond รวมถึงการแก้โจทย์คณิตศาสตร์และการเข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีโหมด Gemini 3 Deep Think ที่ยกระดับการให้เหตุผลไปอีกขั้น โดยสามารถแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วยความแม่นยำสูงขึ้น Gemini 3 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตอบคำถาม แต่ยังสามารถช่วยผู้ใช้ในชีวิตจริง เช่น การวิเคราะห์งานวิจัย การสร้างคู่มือเชิงโต้ตอบ การแปลสูตรอาหารที่เขียนด้วยมือ หรือแม้แต่การวิเคราะห์วิดีโอกีฬาเพื่อให้คำแนะนำการฝึกซ้อม นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน AI Mode ของ Google Search เพื่อสร้างประสบการณ์ค้นหาที่มีการจำลองแบบโต้ตอบและภาพประกอบแบบเรียลไทม์ อีกหนึ่งความก้าวหน้าคือการเปิดตัว Google Antigravity ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาเชิง Agentic ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนาในระดับสูงขึ้น เช่น การวางแผนและเขียนโค้ดทั้งโปรเจกต์โดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ IDE และการทำงานร่วมกับ AI 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Gemini 3 เปิดตัวเป็นโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุดของ Google ➡️ รองรับการทำงานหลายมิติ (ข้อความ, ภาพ, วิดีโอ, โค้ด) ✅ Gemini 3 Pro ทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ ➡️ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond ✅ Gemini 3 Deep Think ยกระดับการให้เหตุผล ➡️ สามารถแก้โจทย์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ✅ ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ➡️ เช่น วิเคราะห์งานวิจัย, แปลสูตรอาหาร, วิเคราะห์วิดีโอกีฬา ✅ Google Antigravity เปิดตัวพร้อม Gemini 3 ➡️ เป็นแพลตฟอร์ม Agentic IDE ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนา ‼️ ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้ลดทักษะการคิดและการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ‼️ ประเด็นด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส ⛔ แม้จะมีการทดสอบ แต่ยังต้องระวังการใช้ AI ในงานที่อ่อนไหว https://blog.google/products/gemini/gemini-3/
    BLOG.GOOGLE
    A new era of intelligence with Gemini 3
    Today we’re releasing Gemini 3 – our most intelligent model that helps you bring any idea to life.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • แคมเปญ Amatera Stealer ใช้ ClickFix เจาะระบบ

    นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) เปิดเผยการโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค ClickFix เพื่อหลอกเหยื่อให้รันคำสั่งอันตรายใน Windows Run Prompt โดยมัลแวร์ที่ถูกปล่อยคือ Amatera Stealer ซึ่งเป็นเวอร์ชันรีแบรนด์ของ AcridRain (ACR) Stealer ที่ถูกขายซอร์สโค้ดในปี 2024 และถูกนำไปปรับใช้โดยหลายกลุ่มแฮกเกอร์

    วิธีการโจมตีและการเลี่ยงตรวจจับ
    เมื่อเหยื่อรันคำสั่งที่ได้รับจากการหลอกลวง มัลแวร์จะเริ่มโหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน โดยมีการเข้ารหัสและซ่อนตัวอย่างซับซ้อน หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการ patch AMSI (Anti-Malware Scan Interface) ในหน่วยความจำ โดยการเขียนทับค่า “AmsiScanBuffer” ด้วย null bytes ทำให้ Windows ไม่สามารถตรวจสอบสคริปต์อันตรายที่รันต่อไปได้

    ความสามารถของ Amatera Stealer
    Amatera Stealer มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น
    ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers, FTP/email/VPN clients
    เจาะเข้าถึง productivity apps เช่น Sticky Notes, To-Do lists
    ใช้เทคนิค WoW64 SysCalls เพื่อหลบเลี่ยง sandbox และ EDR
    สามารถ bypass “App-Bound Encryption” ใน Chrome และ Edge เพื่อดึง credential ที่ควรจะถูกเข้ารหัส

    ผลกระทบและความเสี่ยง
    มัลแวร์นี้ไม่เพียงแต่ขโมยข้อมูล แต่ยังสามารถ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ผ่านฟีเจอร์ “load” โดยใช้ PowerShell หรือไฟล์ JPG ที่ซ่อน payload ไว้ ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและต่อเนื่องมากขึ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใช้ social engineering + memory patching ซึ่งยากต่อการตรวจจับและป้องกัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การโจมตี
    ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อรันคำสั่งใน Windows Run Prompt
    โหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน

    เทคนิคการเลี่ยงตรวจจับ
    Patch AMSI ใน memory เพื่อปิดการตรวจสอบสคริปต์
    ใช้ WoW64 SysCalls และ bypass encryption ใน Chrome/Edge

    ความสามารถของ Amatera Stealer
    ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers
    เข้าถึง productivity apps และ credential สำคัญ
    โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT

    คำเตือน
    Social engineering เป็นช่องทางหลักในการแพร่กระจาย
    การ patch memory ทำให้การตรวจจับยากมากขึ้น
    องค์กรควรเสริมการตรวจสอบ PowerShell และระบบ AMSI

    https://securityonline.info/amatera-stealer-campaign-uses-clickfix-to-deploy-malware-bypassing-edr-by-patching-amsi-in-memory/
    🕵️‍♂️ แคมเปญ Amatera Stealer ใช้ ClickFix เจาะระบบ นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) เปิดเผยการโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค ClickFix เพื่อหลอกเหยื่อให้รันคำสั่งอันตรายใน Windows Run Prompt โดยมัลแวร์ที่ถูกปล่อยคือ Amatera Stealer ซึ่งเป็นเวอร์ชันรีแบรนด์ของ AcridRain (ACR) Stealer ที่ถูกขายซอร์สโค้ดในปี 2024 และถูกนำไปปรับใช้โดยหลายกลุ่มแฮกเกอร์ ⚙️ วิธีการโจมตีและการเลี่ยงตรวจจับ เมื่อเหยื่อรันคำสั่งที่ได้รับจากการหลอกลวง มัลแวร์จะเริ่มโหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน โดยมีการเข้ารหัสและซ่อนตัวอย่างซับซ้อน หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการ patch AMSI (Anti-Malware Scan Interface) ในหน่วยความจำ โดยการเขียนทับค่า “AmsiScanBuffer” ด้วย null bytes ทำให้ Windows ไม่สามารถตรวจสอบสคริปต์อันตรายที่รันต่อไปได้ 💻 ความสามารถของ Amatera Stealer Amatera Stealer มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น 🔰 ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers, FTP/email/VPN clients 🔰 เจาะเข้าถึง productivity apps เช่น Sticky Notes, To-Do lists 🔰 ใช้เทคนิค WoW64 SysCalls เพื่อหลบเลี่ยง sandbox และ EDR 🔰 สามารถ bypass “App-Bound Encryption” ใน Chrome และ Edge เพื่อดึง credential ที่ควรจะถูกเข้ารหัส ⚠️ ผลกระทบและความเสี่ยง มัลแวร์นี้ไม่เพียงแต่ขโมยข้อมูล แต่ยังสามารถ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ผ่านฟีเจอร์ “load” โดยใช้ PowerShell หรือไฟล์ JPG ที่ซ่อน payload ไว้ ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและต่อเนื่องมากขึ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใช้ social engineering + memory patching ซึ่งยากต่อการตรวจจับและป้องกัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การโจมตี ➡️ ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อรันคำสั่งใน Windows Run Prompt ➡️ โหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน ✅ เทคนิคการเลี่ยงตรวจจับ ➡️ Patch AMSI ใน memory เพื่อปิดการตรวจสอบสคริปต์ ➡️ ใช้ WoW64 SysCalls และ bypass encryption ใน Chrome/Edge ✅ ความสามารถของ Amatera Stealer ➡️ ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers ➡️ เข้าถึง productivity apps และ credential สำคัญ ➡️ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ‼️ คำเตือน ⛔ Social engineering เป็นช่องทางหลักในการแพร่กระจาย ⛔ การ patch memory ทำให้การตรวจจับยากมากขึ้น ⛔ องค์กรควรเสริมการตรวจสอบ PowerShell และระบบ AMSI https://securityonline.info/amatera-stealer-campaign-uses-clickfix-to-deploy-malware-bypassing-edr-by-patching-amsi-in-memory/
    SECURITYONLINE.INFO
    Amatera Stealer Campaign Uses ClickFix to Deploy Malware, Bypassing EDR by Patching AMSI in Memory
    eSentire exposed the Amatera Stealer campaign using ClickFix social engineering to deliver multi-stage PowerShell. The malware patches AMSI in memory and deploys NetSupport RAT for remote access.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ

    ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง

    เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts
    UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ

    มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา
    นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    การโจมตีของ UNC1549
    มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม
    ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน

    เทคนิคที่ใช้
    DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft)
    VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization

    มัลแวร์ที่พบ
    TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL
    LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket
    DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux
    CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ
    Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น
    องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization

    https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    ✈️ UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง 🛠️ เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ 🧩 มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การโจมตีของ UNC1549 ➡️ มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม ➡️ ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft) ➡️ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization ✅ มัลแวร์ที่พบ ➡️ TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL ➡️ LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket ➡️ DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux ➡️ CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น ⛔ องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Iranian APT UNC1549 Infiltrates Aerospace by Hijacking Trusted DLLs and Executing VDI Breakouts
    Mandiant exposed UNC1549, an Iranian APT, using DLL search order hijacking on Citrix/VMware to deploy TWOSTROKE and DCSYNCER.SLICK. The group performs VDI breakouts for long-term espionage.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • SpyCloud เผย 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026

    SpyCloud ได้เปิดรายงานใหม่ที่ชื่อว่า The Identity Security Reckoning: 2025 Lessons, 2026 Predictions โดยเน้นไปที่ภัยคุกคามด้าน Identity Security ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกในปี 2026 รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์อาชญากรไซเบอร์และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้การป้องกันยากขึ้น

    นี่คือ 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 ที่ SpyCloud คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อ Identity Security โดยตรง:

    0️⃣1️⃣ - Supply Chain อาชญากรไซเบอร์เปลี่ยนรูปแบบ
    Malware-as-a-Service และ Phishing-as-a-Service จะยังคงเป็นแกนหลัก
    มีการแบ่งบทบาทเฉพาะ เช่น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน, นักพัฒนาเครื่องมือ, ตัวกลางขายการเข้าถึง

    0️⃣2️⃣ - ชุมชนผู้โจมตีแตกตัวและอายุน้อยลง
    ผู้โจมตีย้ายจาก darknet forums ไปสู่แอป mainstream
    วัยรุ่นเข้ามาทดลองใช้ชุดโจมตีสำเร็จรูปเพื่อชื่อเสียงหรือผลกำไร

    0️⃣3️⃣ - การระบุตัวตนแบบไม่ใช่มนุษย์ (NHI) ระเบิดตัว
    API, OAuth tokens และ service accounts เพิ่มจำนวนมากขึ้น
    ขาดการป้องกันเหมือนบัญชีมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ซ่อนอยู่

    0️⃣4️⃣ - ภัยจาก Insider Threats เพิ่มขึ้น
    เกิดจากการควบรวมกิจการ (M&A), มัลแวร์ และการเข้าถึงที่ผิดพลาด
    Nation-state actors ใช้การปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อเจาะระบบ

    0️⃣5️⃣ - AI-enabled Cybercrime เริ่มต้นจริงจัง
    ใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่ซับซ้อนขึ้น
    Phishing ที่สมจริงและตรวจจับยากมากขึ้น

    0️⃣6️⃣ - การโจมตี MFA และ Session Defense
    ใช้ residential proxies, anti-detect browsers และ Adversary-in-the-Middle (AiTM)
    ขโมย cookies และ bypass การตรวจสอบอุปกรณ์

    0️⃣7️⃣ - Vendor และ Contractor กลายเป็นช่องโหว่หลัก
    ผู้โจมตีใช้บัญชีของผู้รับเหมาหรือพันธมิตรเพื่อเข้าถึงระบบองค์กร
    โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, โทรคมนาคม และซัพพลายเชนซอฟต์แวร์

    0️⃣8️⃣ - 🪪 Synthetic Identities ฉลาดขึ้นและตรวจจับยากขึ้น
    ใช้ข้อมูลจริงผสมกับ AI-generated persona และ deepfake
    หลอกระบบตรวจสอบตัวตนของธนาคารและบริการทางการเงิน

    0️⃣9️⃣ - Combolists และ Megabreaches สร้างความสับสน
    ข้อมูลรั่วไหลจำนวนมหาศาลถูกนำมาปั่นใหม่เพื่อสร้างความตื่นตระหนก
    ทำให้ความสนใจถูกเบี่ยงเบนจากภัยจริงที่กำลังเกิดขึ้น

    1️⃣0️⃣ - ทีม Cybersecurity ต้องปรับโครงสร้างใหม่
    Identity Security จะกลายเป็นแกนกลางของการป้องกัน
    ต้องเน้นการทำงานร่วมกันข้ามทีม, ใช้ automation และ holistic intelligence

    https://securityonline.info/spycloud-unveils-top-10-cybersecurity-predictions-poised-to-disrupt-identity-security-in-2026/
    🔐 SpyCloud เผย 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 SpyCloud ได้เปิดรายงานใหม่ที่ชื่อว่า The Identity Security Reckoning: 2025 Lessons, 2026 Predictions โดยเน้นไปที่ภัยคุกคามด้าน Identity Security ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกในปี 2026 รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์อาชญากรไซเบอร์และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้การป้องกันยากขึ้น นี่คือ 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 ที่ SpyCloud คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อ Identity Security โดยตรง: 0️⃣1️⃣ - 🧩 Supply Chain อาชญากรไซเบอร์เปลี่ยนรูปแบบ 🔰 Malware-as-a-Service และ Phishing-as-a-Service จะยังคงเป็นแกนหลัก 🔰 มีการแบ่งบทบาทเฉพาะ เช่น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน, นักพัฒนาเครื่องมือ, ตัวกลางขายการเข้าถึง 0️⃣2️⃣ - 👥 ชุมชนผู้โจมตีแตกตัวและอายุน้อยลง 🔰 ผู้โจมตีย้ายจาก darknet forums ไปสู่แอป mainstream 🔰 วัยรุ่นเข้ามาทดลองใช้ชุดโจมตีสำเร็จรูปเพื่อชื่อเสียงหรือผลกำไร 0️⃣3️⃣ - 🤖 การระบุตัวตนแบบไม่ใช่มนุษย์ (NHI) ระเบิดตัว 🔰 API, OAuth tokens และ service accounts เพิ่มจำนวนมากขึ้น 🔰 ขาดการป้องกันเหมือนบัญชีมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ซ่อนอยู่ 0️⃣4️⃣ - 🕵️‍♀️ ภัยจาก Insider Threats เพิ่มขึ้น 🔰 เกิดจากการควบรวมกิจการ (M&A), มัลแวร์ และการเข้าถึงที่ผิดพลาด 🔰 Nation-state actors ใช้การปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อเจาะระบบ 0️⃣5️⃣ - ⚡ AI-enabled Cybercrime เริ่มต้นจริงจัง 🔰 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่ซับซ้อนขึ้น 🔰 Phishing ที่สมจริงและตรวจจับยากมากขึ้น 0️⃣6️⃣ - 🔑 การโจมตี MFA และ Session Defense 🔰 ใช้ residential proxies, anti-detect browsers และ Adversary-in-the-Middle (AiTM) 🔰 ขโมย cookies และ bypass การตรวจสอบอุปกรณ์ 0️⃣7️⃣ - 🏗️ Vendor และ Contractor กลายเป็นช่องโหว่หลัก 🔰 ผู้โจมตีใช้บัญชีของผู้รับเหมาหรือพันธมิตรเพื่อเข้าถึงระบบองค์กร 🔰 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, โทรคมนาคม และซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ 0️⃣8️⃣ - 🪪 Synthetic Identities ฉลาดขึ้นและตรวจจับยากขึ้น 🔰 ใช้ข้อมูลจริงผสมกับ AI-generated persona และ deepfake 🔰 หลอกระบบตรวจสอบตัวตนของธนาคารและบริการทางการเงิน 0️⃣9️⃣ - 📊 Combolists และ Megabreaches สร้างความสับสน 🔰 ข้อมูลรั่วไหลจำนวนมหาศาลถูกนำมาปั่นใหม่เพื่อสร้างความตื่นตระหนก 🔰 ทำให้ความสนใจถูกเบี่ยงเบนจากภัยจริงที่กำลังเกิดขึ้น 1️⃣0️⃣ - 🛡️ ทีม Cybersecurity ต้องปรับโครงสร้างใหม่ 🔰 Identity Security จะกลายเป็นแกนกลางของการป้องกัน 🔰 ต้องเน้นการทำงานร่วมกันข้ามทีม, ใช้ automation และ holistic intelligence https://securityonline.info/spycloud-unveils-top-10-cybersecurity-predictions-poised-to-disrupt-identity-security-in-2026/
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • Jeff Bezos หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำ

    หลังจากก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Amazon ในปี 2021 Jeff Bezos ได้ทุ่มเวลาให้กับ Blue Origin บริษัทด้านอวกาศของเขา แต่ล่าสุดเขากลับมาสู่บทบาทผู้นำอีกครั้งในฐานะ Co-CEO ของ Project Prometheus สตาร์ทอัพ AI ที่เขาเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ Bezos ว่า AI จะเป็นหัวใจสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก

    พันธมิตรใหม่: Vik Bajaj
    Bezos จะทำงานร่วมกับ Vik Bajaj นักฟิสิกส์และนักเคมีที่เคยทำงานใน Google X และเป็นอดีตหัวหน้าของ Verily บริษัทด้านสุขภาพในเครือ Alphabet ทั้งสองจะร่วมกันนำ Project Prometheus ไปสู่เป้าหมายการใช้ AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม เช่น คอมพิวเตอร์, วิศวกรรมยานยนต์ และการบินอวกาศ

    เงินทุนมหาศาลและทีมงานระดับโลก
    Project Prometheus ได้รับเงินทุนมหาศาลกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนสูงที่สุดในโลก ทีมงานประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind และ Meta ซึ่งบ่งบอกถึงความจริงจังและศักยภาพในการแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก

    ความเชื่อมั่นในอนาคตของ AI
    การกลับมาของ Bezos ในบทบาทนี้ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามอง AI เป็นเส้นทางใหม่ที่จะสร้างผลกระทบต่อโลกเช่นเดียวกับที่ Amazon เคยทำกับการค้าปลีกออนไลน์ และ Blue Origin กำลังทำกับการเดินทางสู่อวกาศ

    สรุปสาระสำคัญ
    การกลับมาของ Jeff Bezos
    รับตำแหน่ง Co-CEO ของ Project Prometheus หลังจากออกจาก Amazon
    แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI

    พันธมิตรและทีมงาน
    Vik Bajaj ร่วมเป็น Co-CEO และนำประสบการณ์จาก Google X, Verily
    ทีมงานประกอบด้วยอดีตผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind, Meta

    เงินทุนและเป้าหมาย
    ได้รับเงินทุนกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์
    มุ่งใช้ AI ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง

    คำเตือนและความเสี่ยง
    การพึ่งพา AI ในอุตสาหกรรมสำคัญอาจสร้างความเสี่ยงหากระบบล้มเหลว
    การแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่จะท้าทายและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านทรัพยากรบุคคล
    การลงทุนมหาศาลอาจกดดันให้บริษัทต้องเร่งผลลัพธ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาด

    https://securityonline.info/jeff-bezos-returns-to-leadership-co-ceo-of-6-2-billion-ai-startup-project-prometheus/
    🚀 Jeff Bezos หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำ หลังจากก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Amazon ในปี 2021 Jeff Bezos ได้ทุ่มเวลาให้กับ Blue Origin บริษัทด้านอวกาศของเขา แต่ล่าสุดเขากลับมาสู่บทบาทผู้นำอีกครั้งในฐานะ Co-CEO ของ Project Prometheus สตาร์ทอัพ AI ที่เขาเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ Bezos ว่า AI จะเป็นหัวใจสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก 🧪 พันธมิตรใหม่: Vik Bajaj Bezos จะทำงานร่วมกับ Vik Bajaj นักฟิสิกส์และนักเคมีที่เคยทำงานใน Google X และเป็นอดีตหัวหน้าของ Verily บริษัทด้านสุขภาพในเครือ Alphabet ทั้งสองจะร่วมกันนำ Project Prometheus ไปสู่เป้าหมายการใช้ AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม เช่น คอมพิวเตอร์, วิศวกรรมยานยนต์ และการบินอวกาศ 💰 เงินทุนมหาศาลและทีมงานระดับโลก Project Prometheus ได้รับเงินทุนมหาศาลกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนสูงที่สุดในโลก ทีมงานประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind และ Meta ซึ่งบ่งบอกถึงความจริงจังและศักยภาพในการแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก 🌌 ความเชื่อมั่นในอนาคตของ AI การกลับมาของ Bezos ในบทบาทนี้ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามอง AI เป็นเส้นทางใหม่ที่จะสร้างผลกระทบต่อโลกเช่นเดียวกับที่ Amazon เคยทำกับการค้าปลีกออนไลน์ และ Blue Origin กำลังทำกับการเดินทางสู่อวกาศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การกลับมาของ Jeff Bezos ➡️ รับตำแหน่ง Co-CEO ของ Project Prometheus หลังจากออกจาก Amazon ➡️ แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI ✅ พันธมิตรและทีมงาน ➡️ Vik Bajaj ร่วมเป็น Co-CEO และนำประสบการณ์จาก Google X, Verily ➡️ ทีมงานประกอบด้วยอดีตผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, DeepMind, Meta ✅ เงินทุนและเป้าหมาย ➡️ ได้รับเงินทุนกว่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ มุ่งใช้ AI ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ การพึ่งพา AI ในอุตสาหกรรมสำคัญอาจสร้างความเสี่ยงหากระบบล้มเหลว ⛔ การแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่จะท้าทายและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านทรัพยากรบุคคล ⛔ การลงทุนมหาศาลอาจกดดันให้บริษัทต้องเร่งผลลัพธ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาด https://securityonline.info/jeff-bezos-returns-to-leadership-co-ceo-of-6-2-billion-ai-startup-project-prometheus/
    SECURITYONLINE.INFO
    Jeff Bezos Returns to Leadership: Co-CEO of $6.2 Billion AI Startup Project Prometheus
    Jeff Bezos is the new Co-CEO of Project Prometheus, a secretive AI startup that has raised $6.2 billion to transform high-precision manufacturing. This is his first CEO role since 2021.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • EP 73
    ติดตามต่อ CCET
    BY.
    EP 73 ติดตามต่อ CCET BY.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 0 Reviews
  • EP 72
    ข่าวดีที่ทองยืนได้ที่ 4070 USD ให้เป็นแนวโน้มขาขึ้น
    EP 72 ข่าวดีที่ทองยืนได้ที่ 4070 USD ให้เป็นแนวโน้มขาขึ้น
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 0 Reviews
  • ยุโรปเปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สอง

    ยุโรปได้เปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Alice Recoque ซึ่งถือเป็นระบบ Exascale เครื่องที่สองของภูมิภาค โดยใช้พลังจากซีพียู AMD EPYC “Venice” รุ่นใหม่และจีพียู Instinct MI430X ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการประมวลผลทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่

    สเปกและเทคโนโลยีล้ำสมัย
    Alice Recoque จะประกอบด้วย 94 แร็ค บนแพลตฟอร์ม BullSequana XH3500 ของ Eviden พร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลจาก DDN และโครงสร้างการเชื่อมต่อ BXI fabric ที่ช่วยให้การประมวลผลแบบขยายตัวมีประสิทธิภาพสูงสุด ซีพียู Venice มีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ ขณะที่จีพียู MI430X มาพร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB และรองรับรูปแบบข้อมูล FP4 และ FP8 เพื่อให้เหมาะกับงาน AI โดยเฉพาะ

    พลังงานและการติดตั้ง
    ระบบนี้จะใช้พลังงานประมาณ 12 เมกะวัตต์ ภายใต้การทำงานปกติ และใช้เทคโนโลยี การระบายความร้อนด้วยน้ำอุ่นรุ่นที่ 5 ของ Eviden เพื่อจัดการกับความร้อนจากส่วนประกอบที่ใช้พลังงานสูง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะถูกติดตั้งที่ประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การดูแลของ GENCI และดำเนินงานโดย CEA โดยมีการสนับสนุนจากหลายประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ และกรีซ

    การใช้งานและอนาคต
    Alice Recoque จะถูกใช้ในงานวิจัยที่หลากหลาย ตั้งแต่ การพัฒนาโมเดล AI, การแพทย์เฉพาะบุคคล, การวิจัยสภาพภูมิอากาศ, ไปจนถึง การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมและกล้องโทรทรรศน์ คาดว่าระบบจะเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2027–2028 หลังจาก AMD เปิดตัวซีพียู Venice และจีพียู MI430X อย่างเป็นทางการในปี 2026

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เปิดตัว Alice Recoque
    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สองของยุโรป

    สเปกหลัก
    ใช้ AMD EPYC Venice (256 คอร์) และ Instinct MI430X (432 GB HBM4)

    โครงสร้างระบบ
    94 แร็ค บน BullSequana XH3500 พร้อม BXI fabric และ DDN storage

    พลังงานและการระบายความร้อน
    ใช้พลังงาน ~12 เมกะวัตต์ พร้อมระบบน้ำอุ่นรุ่นที่ 5

    การติดตั้งและการดำเนินงาน
    ติดตั้งที่ฝรั่งเศส ดูแลโดย GENCI และ CEA

    ความท้าทายด้านเวลาและเทคโนโลยี
    ระบบจะพร้อมใช้งานจริงได้ราวปี 2027–2028 หลังจากฮาร์ดแวร์หลักเปิดตัว

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่
    หากการพัฒนา Venice และ MI430X ล่าช้า อาจกระทบต่อกำหนดการใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/amd-and-eviden-unveil-europes-second-exascale-system-epyc-venice-and-instinct-mi430x-power-system-breaks-the-exaflop-barrier
    ⚡ ยุโรปเปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สอง ยุโรปได้เปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Alice Recoque ซึ่งถือเป็นระบบ Exascale เครื่องที่สองของภูมิภาค โดยใช้พลังจากซีพียู AMD EPYC “Venice” รุ่นใหม่และจีพียู Instinct MI430X ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการประมวลผลทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ 🖥️ สเปกและเทคโนโลยีล้ำสมัย Alice Recoque จะประกอบด้วย 94 แร็ค บนแพลตฟอร์ม BullSequana XH3500 ของ Eviden พร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลจาก DDN และโครงสร้างการเชื่อมต่อ BXI fabric ที่ช่วยให้การประมวลผลแบบขยายตัวมีประสิทธิภาพสูงสุด ซีพียู Venice มีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ ขณะที่จีพียู MI430X มาพร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB และรองรับรูปแบบข้อมูล FP4 และ FP8 เพื่อให้เหมาะกับงาน AI โดยเฉพาะ 🌍 พลังงานและการติดตั้ง ระบบนี้จะใช้พลังงานประมาณ 12 เมกะวัตต์ ภายใต้การทำงานปกติ และใช้เทคโนโลยี การระบายความร้อนด้วยน้ำอุ่นรุ่นที่ 5 ของ Eviden เพื่อจัดการกับความร้อนจากส่วนประกอบที่ใช้พลังงานสูง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะถูกติดตั้งที่ประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การดูแลของ GENCI และดำเนินงานโดย CEA โดยมีการสนับสนุนจากหลายประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ และกรีซ 🔮 การใช้งานและอนาคต Alice Recoque จะถูกใช้ในงานวิจัยที่หลากหลาย ตั้งแต่ การพัฒนาโมเดล AI, การแพทย์เฉพาะบุคคล, การวิจัยสภาพภูมิอากาศ, ไปจนถึง การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมและกล้องโทรทรรศน์ คาดว่าระบบจะเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2027–2028 หลังจาก AMD เปิดตัวซีพียู Venice และจีพียู MI430X อย่างเป็นทางการในปี 2026 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เปิดตัว Alice Recoque ➡️ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Exascale เครื่องที่สองของยุโรป ✅ สเปกหลัก ➡️ ใช้ AMD EPYC Venice (256 คอร์) และ Instinct MI430X (432 GB HBM4) ✅ โครงสร้างระบบ ➡️ 94 แร็ค บน BullSequana XH3500 พร้อม BXI fabric และ DDN storage ✅ พลังงานและการระบายความร้อน ➡️ ใช้พลังงาน ~12 เมกะวัตต์ พร้อมระบบน้ำอุ่นรุ่นที่ 5 ✅ การติดตั้งและการดำเนินงาน ➡️ ติดตั้งที่ฝรั่งเศส ดูแลโดย GENCI และ CEA ‼️ ความท้าทายด้านเวลาและเทคโนโลยี ⛔ ระบบจะพร้อมใช้งานจริงได้ราวปี 2027–2028 หลังจากฮาร์ดแวร์หลักเปิดตัว ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ ⛔ หากการพัฒนา Venice และ MI430X ล่าช้า อาจกระทบต่อกำหนดการใช้งาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/amd-and-eviden-unveil-europes-second-exascale-system-epyc-venice-and-instinct-mi430x-power-system-breaks-the-exaflop-barrier
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • ศูนย์ข้อมูลในโรงเก็บของ ช่วยลดค่าไฟบ้านในอังกฤษ

    คู่สามีภรรยา Terrence และ Lesley Bridges จาก Essex ได้เข้าร่วมโครงการทดลองที่ชื่อว่า HeatHub ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks จุดประสงค์คือการหาวิธีใหม่ ๆ ให้ครัวเรือนรายได้น้อยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานแบบ net-zero ได้อย่างยั่งยืน

    HeatHub ที่ติดตั้งในโรงเก็บของหลังบ้านทำงานโดยใช้ Raspberry Pi จำนวน 56 เครื่อง ที่ประมวลผลข้อมูลจริงจากลูกค้า ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ถูกนำไปใช้กับระบบน้ำร้อนภายในบ้าน ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครอบครัวลดลงเหลือเพียง £40 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับครัวเรือนทั่วไปในสหราชอาณาจักร

    แม้ระบบนี้จะไม่ถูกออกแบบมาสำหรับงาน AI หนัก ๆ แต่สามารถใช้รันแอปพลิเคชันหรือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้ และในอนาคตลูกค้าจะสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อประมวลผลข้อมูลผ่าน HeatHub ที่กระจายอยู่ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ซึ่งจะกลายเป็น ศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย (distributed data center)

    นอกจาก Thermify แล้ว ยังมีบริษัท Deep Green ที่ใช้แนวคิดคล้ายกัน โดยติดตั้งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา ความร้อนที่เกิดขึ้นสามารถครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% ของสระว่ายน้ำต่อปี ลดค่าแก๊สและการปล่อยคาร์บอนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    HeatHub ในโรงเก็บของหลังบ้านช่วยลดค่าไฟเหลือ £40/เดือน
    ใช้ Raspberry Pi 56 เครื่องในการประมวลผลและเปลี่ยนความร้อนเป็นพลังงานทำความร้อน

    เป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks
    มุ่งช่วยครัวเรือนรายได้น้อยเข้าสู่การใช้พลังงาน net-zero

    HeatHub จะกลายเป็นศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย
    ลูกค้าสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อใช้พลังประมวลผล

    Deep Green ใช้แนวคิดคล้ายกันในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา
    ครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% และลดการปล่อยคาร์บอน

    ไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งเอง (DIY)
    บ้านทั่วไปมีข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและอาจเสี่ยงต่อการโอเวอร์โหลดหรือไฟไหม้

    ระบบหม้อไอน้ำทั่วไปไม่รองรับการทำงานร่วมกับ HeatHub
    อาจมีปัญหาด้านประกันภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของโครงข่ายไฟฟ้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-couples-garden-shed-data-center-heats-home-and-cuts-bills
    🏡 ศูนย์ข้อมูลในโรงเก็บของ ช่วยลดค่าไฟบ้านในอังกฤษ คู่สามีภรรยา Terrence และ Lesley Bridges จาก Essex ได้เข้าร่วมโครงการทดลองที่ชื่อว่า HeatHub ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks จุดประสงค์คือการหาวิธีใหม่ ๆ ให้ครัวเรือนรายได้น้อยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานแบบ net-zero ได้อย่างยั่งยืน HeatHub ที่ติดตั้งในโรงเก็บของหลังบ้านทำงานโดยใช้ Raspberry Pi จำนวน 56 เครื่อง ที่ประมวลผลข้อมูลจริงจากลูกค้า ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ถูกนำไปใช้กับระบบน้ำร้อนภายในบ้าน ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครอบครัวลดลงเหลือเพียง £40 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับครัวเรือนทั่วไปในสหราชอาณาจักร แม้ระบบนี้จะไม่ถูกออกแบบมาสำหรับงาน AI หนัก ๆ แต่สามารถใช้รันแอปพลิเคชันหรือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้ และในอนาคตลูกค้าจะสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อประมวลผลข้อมูลผ่าน HeatHub ที่กระจายอยู่ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ซึ่งจะกลายเป็น ศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย (distributed data center) นอกจาก Thermify แล้ว ยังมีบริษัท Deep Green ที่ใช้แนวคิดคล้ายกัน โดยติดตั้งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา ความร้อนที่เกิดขึ้นสามารถครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% ของสระว่ายน้ำต่อปี ลดค่าแก๊สและการปล่อยคาร์บอนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ HeatHub ในโรงเก็บของหลังบ้านช่วยลดค่าไฟเหลือ £40/เดือน ➡️ ใช้ Raspberry Pi 56 เครื่องในการประมวลผลและเปลี่ยนความร้อนเป็นพลังงานทำความร้อน ✅ เป็นส่วนหนึ่งของ SHIELD Project โดย UK Power Networks ➡️ มุ่งช่วยครัวเรือนรายได้น้อยเข้าสู่การใช้พลังงาน net-zero ✅ HeatHub จะกลายเป็นศูนย์ข้อมูลแบบกระจาย ➡️ ลูกค้าสามารถจ่ายเงินให้ Thermify เพื่อใช้พลังประมวลผล ✅ Deep Green ใช้แนวคิดคล้ายกันในสระว่ายน้ำและศูนย์กีฬา ➡️ ครอบคลุมความต้องการพลังงานมากกว่า 60% และลดการปล่อยคาร์บอน ‼️ ไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งเอง (DIY) ⛔ บ้านทั่วไปมีข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและอาจเสี่ยงต่อการโอเวอร์โหลดหรือไฟไหม้ ‼️ ระบบหม้อไอน้ำทั่วไปไม่รองรับการทำงานร่วมกับ HeatHub ⛔ อาจมีปัญหาด้านประกันภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของโครงข่ายไฟฟ้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-couples-garden-shed-data-center-heats-home-and-cuts-bills
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • ตำนานชิป i386 กับชื่อย่อ “PG” ของ Pat Gelsinger

    Pat Gelsinger เล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อเขายังเป็นวิศวกรหนุ่มวัย 25 ปีที่ Intel ในช่วงออกแบบชิป i386 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ ขณะตรวจสอบแผนผังชิปขนาดใหญ่ Andy Grove CEO ของ Intel สังเกตเห็นตัวอักษร “PG” ที่ถูกสลักไว้บนซิลิคอน และถามขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?”

    แทนที่จะยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นชื่อย่อของตัวเอง Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูซับซ้อนเกี่ยวกับ “substrate tap configuration experiments” แม้จะเป็นคำพูดที่เขายอมรับภายหลังว่าเป็น “เรื่องไร้สาระ” แต่ Grove กลับเชื่อและตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “โอเค” ทำให้ชื่อย่อของเขายังคงอยู่บนชิป i386 ทุกตัวที่ผลิตออกมา

    ต่อมา Gelsinger ยังได้ใส่ชื่อย่อ “PG” ลงบนชิป i486 ร่วมกับชื่อย่อ “JR” ของ John H. Crawford เพื่อนร่วมทีม ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบในยุคนั้นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎเกณฑ์

    เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของ Intel แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกของ Gelsinger ที่กล้าคิด กล้าทำ และใช้ความเฉลียวฉลาดในการรักษาสัญลักษณ์เล็ก ๆ ของตัวเองไว้บนหนึ่งในชิปที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Pat Gelsinger ใส่ชื่อย่อ “PG” บนชิป i386
    เกิดขึ้นในช่วงตรวจสอบการออกแบบซิลิคอน

    Andy Grove สังเกตเห็นและถามถึงชื่อย่อ
    Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูสมจริง

    ชื่อย่อ “PG” ถูกสลักบนชิป i386 ทุกตัว
    และยังปรากฏบนชิป i486 ร่วมกับ “JR” ของ John H. Crawford

    สะท้อนวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบ Intel ยุคนั้น
    เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎ

    ปกติ Intel ไม่อนุญาตให้ใส่ชื่อย่อบนซิลิคอน
    การกระทำนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของบริษัท

    การบลัฟของ Gelsinger อาจเสี่ยงต่อการถูกตำหนิ
    แต่โชคดีที่ Grove ยอมรับคำอธิบายโดยไม่เอาเรื่อง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gelsingers-i386-initials-gambit-ex-intel-ceo-explains-how-he-bluffed-andy-grove-to-keep-his-mark-on-the-legendary-chips-silicon
    🖥️ ตำนานชิป i386 กับชื่อย่อ “PG” ของ Pat Gelsinger Pat Gelsinger เล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อเขายังเป็นวิศวกรหนุ่มวัย 25 ปีที่ Intel ในช่วงออกแบบชิป i386 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ ขณะตรวจสอบแผนผังชิปขนาดใหญ่ Andy Grove CEO ของ Intel สังเกตเห็นตัวอักษร “PG” ที่ถูกสลักไว้บนซิลิคอน และถามขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?” แทนที่จะยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นชื่อย่อของตัวเอง Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูซับซ้อนเกี่ยวกับ “substrate tap configuration experiments” แม้จะเป็นคำพูดที่เขายอมรับภายหลังว่าเป็น “เรื่องไร้สาระ” แต่ Grove กลับเชื่อและตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “โอเค” ทำให้ชื่อย่อของเขายังคงอยู่บนชิป i386 ทุกตัวที่ผลิตออกมา ต่อมา Gelsinger ยังได้ใส่ชื่อย่อ “PG” ลงบนชิป i486 ร่วมกับชื่อย่อ “JR” ของ John H. Crawford เพื่อนร่วมทีม ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบในยุคนั้นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎเกณฑ์ เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของ Intel แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกของ Gelsinger ที่กล้าคิด กล้าทำ และใช้ความเฉลียวฉลาดในการรักษาสัญลักษณ์เล็ก ๆ ของตัวเองไว้บนหนึ่งในชิปที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Pat Gelsinger ใส่ชื่อย่อ “PG” บนชิป i386 ➡️ เกิดขึ้นในช่วงตรวจสอบการออกแบบซิลิคอน ✅ Andy Grove สังเกตเห็นและถามถึงชื่อย่อ ➡️ Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูสมจริง ✅ ชื่อย่อ “PG” ถูกสลักบนชิป i386 ทุกตัว ➡️ และยังปรากฏบนชิป i486 ร่วมกับ “JR” ของ John H. Crawford ✅ สะท้อนวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบ Intel ยุคนั้น ➡️ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎ ‼️ ปกติ Intel ไม่อนุญาตให้ใส่ชื่อย่อบนซิลิคอน ⛔ การกระทำนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของบริษัท ‼️ การบลัฟของ Gelsinger อาจเสี่ยงต่อการถูกตำหนิ ⛔ แต่โชคดีที่ Grove ยอมรับคำอธิบายโดยไม่เอาเรื่อง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gelsingers-i386-initials-gambit-ex-intel-ceo-explains-how-he-bluffed-andy-grove-to-keep-his-mark-on-the-legendary-chips-silicon
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • Asus เพิ่มการจัดการพลังงานแยก E-Core/P-Core บน ROG Ally X

    Asus ได้เปิดตัวอัปเดต Armory Crate SE เวอร์ชันใหม่ที่มาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่สำหรับเครื่องเกมพกพา ROG Ally และ Ally X โดยฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดคือการเพิ่มตัวเลือก การจัดการพลังงานแยกสำหรับ Efficiency Core (E-Core) และ Performance Core (P-Core) บนชิป AMD Z2 Extreme (Z2E) ที่ใช้ใน ROG Ally X ซึ่งเป็นการออกแบบแบบไฮบริดที่รวม 3 Zen 5 P-Core และ 5 Zen 5C E-Core เข้าด้วยกัน

    ก่อนหน้านี้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการใช้พลังงานของแต่ละกลุ่มคอร์ได้ แต่การอัปเดตนี้ทำให้สามารถปรับแต่ง TDP ของแต่ละกลุ่มคอร์ ได้ตามต้องการ เช่น ลดพลังงานของ P-Core เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่เมื่อเล่นเกมเบา ๆ หรือเพิ่มพลังงานให้ P-Core เพื่อดันเฟรมเรตในเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    นอกจากฟีเจอร์หลักแล้ว Asus ยังได้ปรับปรุง FPS Limiter โดยเปลี่ยนค่า Preset จาก 45 FPS เป็น 40 FPS เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง รวมถึงเพิ่มตัวเลือก Windows Power Mode ในโหมด Manual และแก้ไขบั๊กต่าง ๆ ที่เคยสร้างปัญหาในการใช้งาน อีกทั้งยังมีการปรับปรุง UI สีสันใหม่ และเพิ่มการรองรับ Xbox Fullscreen Experience ที่สามารถเข้าออกได้ด้วยปุ่มลัดที่ผู้ใช้กำหนดเอง

    การอัปเดตนี้ยังมาพร้อม MCU และ BIOS update ที่ช่วยปรับปรุงการใช้พลังงานในโหมด Windows Modern Standby, เพิ่มแรงสั่นสะเทือนของ impulse triggers และทำให้ระบบ Cloud Recovery ทำงานได้ราบรื่นขึ้น ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมบน ROG Ally ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Armory Crate SE อัปเดตใหม่บน ROG Ally และ Ally X
    เพิ่มการจัดการพลังงานแยกสำหรับ E-Core และ P-Core บนชิป Z2 Extreme

    ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง TDP ของแต่ละกลุ่มคอร์ได้
    เลือกเน้นประสิทธิภาพหรือยืดอายุแบตเตอรี่ตามการใช้งาน

    FPS Limiter ถูกปรับจาก 45 FPS เป็น 40 FPS
    เพื่อให้เหมาะสมกับการเล่นเกมจริงและการประหยัดพลังงาน

    เพิ่ม Windows Power Mode และ Xbox Fullscreen Experience
    ใช้งานได้สะดวกขึ้นด้วยปุ่มลัดที่กำหนดเอง

    MCU และ BIOS update ปรับปรุงระบบโดยรวม
    ลดการใช้พลังงาน, ปรับปรุงแรงสั่นสะเทือน และทำให้ Cloud Recovery ราบรื่นขึ้น

    การปรับแต่งพลังงานผิดพลาดอาจทำให้เครื่องไม่เสถียร
    ผู้ใช้ควรระวังการตั้งค่า TDP ที่สูงหรือต่ำเกินไป

    FPS Limiter ที่ต่ำลงอาจไม่เหมาะกับเกมที่ต้องการความลื่นไหลสูง
    ผู้เล่นที่เน้นเฟรมเรตสูงควรปรับแต่งเองตามความเหมาะสม

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/asus-adds-separate-e-core-and-p-core-power-management-to-the-z2-extreme-powered-rog-xbox-ally-x-major-armory-crate-se-update-released-for-all-of-its-gaming-handhelds
    🎮 Asus เพิ่มการจัดการพลังงานแยก E-Core/P-Core บน ROG Ally X Asus ได้เปิดตัวอัปเดต Armory Crate SE เวอร์ชันใหม่ที่มาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่สำหรับเครื่องเกมพกพา ROG Ally และ Ally X โดยฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดคือการเพิ่มตัวเลือก การจัดการพลังงานแยกสำหรับ Efficiency Core (E-Core) และ Performance Core (P-Core) บนชิป AMD Z2 Extreme (Z2E) ที่ใช้ใน ROG Ally X ซึ่งเป็นการออกแบบแบบไฮบริดที่รวม 3 Zen 5 P-Core และ 5 Zen 5C E-Core เข้าด้วยกัน ก่อนหน้านี้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการใช้พลังงานของแต่ละกลุ่มคอร์ได้ แต่การอัปเดตนี้ทำให้สามารถปรับแต่ง TDP ของแต่ละกลุ่มคอร์ ได้ตามต้องการ เช่น ลดพลังงานของ P-Core เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่เมื่อเล่นเกมเบา ๆ หรือเพิ่มพลังงานให้ P-Core เพื่อดันเฟรมเรตในเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูง นอกจากฟีเจอร์หลักแล้ว Asus ยังได้ปรับปรุง FPS Limiter โดยเปลี่ยนค่า Preset จาก 45 FPS เป็น 40 FPS เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง รวมถึงเพิ่มตัวเลือก Windows Power Mode ในโหมด Manual และแก้ไขบั๊กต่าง ๆ ที่เคยสร้างปัญหาในการใช้งาน อีกทั้งยังมีการปรับปรุง UI สีสันใหม่ และเพิ่มการรองรับ Xbox Fullscreen Experience ที่สามารถเข้าออกได้ด้วยปุ่มลัดที่ผู้ใช้กำหนดเอง การอัปเดตนี้ยังมาพร้อม MCU และ BIOS update ที่ช่วยปรับปรุงการใช้พลังงานในโหมด Windows Modern Standby, เพิ่มแรงสั่นสะเทือนของ impulse triggers และทำให้ระบบ Cloud Recovery ทำงานได้ราบรื่นขึ้น ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมบน ROG Ally ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Armory Crate SE อัปเดตใหม่บน ROG Ally และ Ally X ➡️ เพิ่มการจัดการพลังงานแยกสำหรับ E-Core และ P-Core บนชิป Z2 Extreme ✅ ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง TDP ของแต่ละกลุ่มคอร์ได้ ➡️ เลือกเน้นประสิทธิภาพหรือยืดอายุแบตเตอรี่ตามการใช้งาน ✅ FPS Limiter ถูกปรับจาก 45 FPS เป็น 40 FPS ➡️ เพื่อให้เหมาะสมกับการเล่นเกมจริงและการประหยัดพลังงาน ✅ เพิ่ม Windows Power Mode และ Xbox Fullscreen Experience ➡️ ใช้งานได้สะดวกขึ้นด้วยปุ่มลัดที่กำหนดเอง ✅ MCU และ BIOS update ปรับปรุงระบบโดยรวม ➡️ ลดการใช้พลังงาน, ปรับปรุงแรงสั่นสะเทือน และทำให้ Cloud Recovery ราบรื่นขึ้น ‼️ การปรับแต่งพลังงานผิดพลาดอาจทำให้เครื่องไม่เสถียร ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการตั้งค่า TDP ที่สูงหรือต่ำเกินไป ‼️ FPS Limiter ที่ต่ำลงอาจไม่เหมาะกับเกมที่ต้องการความลื่นไหลสูง ⛔ ผู้เล่นที่เน้นเฟรมเรตสูงควรปรับแต่งเองตามความเหมาะสม https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/asus-adds-separate-e-core-and-p-core-power-management-to-the-z2-extreme-powered-rog-xbox-ally-x-major-armory-crate-se-update-released-for-all-of-its-gaming-handhelds
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”
    ตอน 3
    คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด
    วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง
    ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด
    ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป
    …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง
    ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
    …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น
    แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ
    … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง
    …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ
    … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง
    ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว
    ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน …..
    อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว
    ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว
    ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย
    ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง
    …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว)
    … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด
    …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ….
    คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 4
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน
    นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน
    นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง
    เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น
    แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ…
    นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย
    เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman
    ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ
    โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ
    ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ
    ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์
    ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ
    … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน
    ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้
    ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว
    นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย
    คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย
    นาย Cordesman ให้การว่า
    “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์
    ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ”
    “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…”
    และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 3 คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน ….. อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว) … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ…. คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 4 ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ… นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์ ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้ ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย นาย Cordesman ให้การว่า “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ” “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…” และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.27

    อาชญากรรมที่เรียกว่า "ฉ้อโกง" นั้น มิได้เป็นเพียงการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นในสังคม และสร้างบาดแผลทางกฎหมายที่ลึกซึ้ง คำว่า "ฉ้อโกง" ในทางกฎหมายอาญาของไทยนั้น ครอบคลุมการกระทำที่ผู้กระทำมีเจตนาทุจริต โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการหลอกลวงนั้นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อและยอมส่งมอบ ทรัพย์สินให้แก่ผู้กระทำความผิดหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงได้รับผลกระทบทางทรัพย์สินที่เป็นโทษแก่ตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเป็นฐานความผิดหลักสำหรับคดีฉ้อโกงธรรมดา โทษทางกฎหมายสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของคดีฉ้อโกงมักปรากฏเมื่อเข้าข่ายความผิดที่หนักขึ้น เช่น การฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343 ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรือเป็นการหลอกลวงผ่านระบบคอมพิวเตอร์และสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะที่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอย่างกว้างขวาง โดยมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดและมอบทรัพย์สินให้ ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนี้มีโทษรุนแรงกว่า คือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น มีการจัดตั้งเป็นองค์กรอาชญากรรม หรือมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการหลอกลวงเป็นวงกว้าง เช่น คดี Call Center หรือ Romance Scam จะมีการใช้กฎหมายเฉพาะเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโทษ เช่น พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมุ่งเน้นการลงโทษผู้กระทำความผิดที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการก่ออาชญากรรมอย่างหนักหน่วงขึ้น เพื่อเป็นการป้องปราม การดำเนินการทางกฎหมายในคดีฉ้อโกงจึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งพยานหลักฐานทางเอกสาร พยานบุคคล และพยานหลักฐานทางดิจิทัล เพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต" ของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของความผิดฐานนี้ การรับรู้และเข้าใจถึงขอบเขตของกฎหมายเหล่านี้จึงเป็นเกราะป้องกันชั้นดีสำหรับประชาชน และเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับเจ้าหน้าที่ในการยุติภัยอาชญากรรมทางการเงิน

    การดำเนินคดีฉ้อโกงตามกฎหมายนั้น เริ่มต้นจากการที่ผู้เสียหายจะต้องเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งการแจ้งความนี้จะต้องกระทำภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีฉ้อโกงธรรมดาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้นั้น อายุความคือสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะสิ้นสุดลงทันที แต่สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ไม่อาจยอมความได้ และมีอายุความที่ยาวนานกว่าคือสิบปีนับแต่วันกระทำความผิด การแยกแยะประเภทของความผิดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาผลประโยชน์ของผู้เสียหาย เมื่อมีการแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และหากพยานหลักฐานเพียงพอ ก็จะส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาล การพิจารณาคดีในศาลจะเน้นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำ "การหลอกลวง" จริง และการหลอกลวงนั้นได้ทำให้ผู้เสียหาย "หลงเชื่อ" จนนำมาซึ่งการ "ส่งมอบทรัพย์สิน" หรือ "การได้รับผลกระทบทางทรัพย์สิน" อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนควรตระหนักคือ ในหลายกรณีที่ผู้เสียหายต้องการทรัพย์สินคืน การฟ้องคดีอาญาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากคดีอาญามุ่งเน้นที่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางกายภาพ (จำคุก) และทางการเงิน (ปรับ) เท่านั้น ดังนั้นผู้เสียหายจึงต้องใช้สิทธิทางแพ่งควบคู่กันไป โดยอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้กระทำความผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หรือแยกไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหากเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหายคืน การดำเนินการทางแพ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการบังคับคดี การติดตามทรัพย์สินที่ถูกฉ้อโกงคืนมานั้น มักเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการโอนย้ายทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่นหรือต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและได้รับความเสียหายชดเชยอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย

    ท้ายที่สุดแล้ว ภัยฉ้อโกงที่แฝงตัวอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดั้งเดิมหรือรูปแบบดิจิทัลก็ตาม เป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับระบบกฎหมายไทยในการปรับตัวและตอบสนองต่อกลโกงที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง การป้องกันที่ดีที่สุดมิใช่เพียงการจับกุมและลงโทษผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางกฎหมายให้กับประชาชน การตระหนักว่ากฎหมายฉ้อโกงมิใช่แค่เรื่องของ "การหลอกลวง" แต่คือเรื่องของ "เจตนาทุจริต" ที่มุ่งหมายเอาเปรียบผู้อื่นอย่างไม่ชอบธรรม และการเข้าใจถึงสิทธิและอายุความในการดำเนินคดี เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องยึดถือไว้เสมอ หากคุณตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกง สิ่งสำคัญที่สุดคือการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง การโอนเงิน หรือการติดต่อสื่อสาร และรีบดำเนินการทางกฎหมายทันที อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนพ้นอายุความ การใช้สิทธิเรียกร้องความยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะเป็นหนทางเดียวที่จะนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการลงโทษและเปิดโอกาสในการเรียกทรัพย์สินคืนมา ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจใดที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้ ความเชี่ยวชาญในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเด็ดขาดเท่านั้น จึงจะสามารถยุติวงจรของการฉ้อโกงและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่นในสังคมให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง
    บทความกฎหมาย EP.27 อาชญากรรมที่เรียกว่า "ฉ้อโกง" นั้น มิได้เป็นเพียงการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นในสังคม และสร้างบาดแผลทางกฎหมายที่ลึกซึ้ง คำว่า "ฉ้อโกง" ในทางกฎหมายอาญาของไทยนั้น ครอบคลุมการกระทำที่ผู้กระทำมีเจตนาทุจริต โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการหลอกลวงนั้นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อและยอมส่งมอบ ทรัพย์สินให้แก่ผู้กระทำความผิดหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงได้รับผลกระทบทางทรัพย์สินที่เป็นโทษแก่ตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเป็นฐานความผิดหลักสำหรับคดีฉ้อโกงธรรมดา โทษทางกฎหมายสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของคดีฉ้อโกงมักปรากฏเมื่อเข้าข่ายความผิดที่หนักขึ้น เช่น การฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343 ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรือเป็นการหลอกลวงผ่านระบบคอมพิวเตอร์และสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะที่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอย่างกว้างขวาง โดยมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดและมอบทรัพย์สินให้ ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนี้มีโทษรุนแรงกว่า คือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น มีการจัดตั้งเป็นองค์กรอาชญากรรม หรือมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการหลอกลวงเป็นวงกว้าง เช่น คดี Call Center หรือ Romance Scam จะมีการใช้กฎหมายเฉพาะเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโทษ เช่น พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมุ่งเน้นการลงโทษผู้กระทำความผิดที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการก่ออาชญากรรมอย่างหนักหน่วงขึ้น เพื่อเป็นการป้องปราม การดำเนินการทางกฎหมายในคดีฉ้อโกงจึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งพยานหลักฐานทางเอกสาร พยานบุคคล และพยานหลักฐานทางดิจิทัล เพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต" ของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของความผิดฐานนี้ การรับรู้และเข้าใจถึงขอบเขตของกฎหมายเหล่านี้จึงเป็นเกราะป้องกันชั้นดีสำหรับประชาชน และเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับเจ้าหน้าที่ในการยุติภัยอาชญากรรมทางการเงิน การดำเนินคดีฉ้อโกงตามกฎหมายนั้น เริ่มต้นจากการที่ผู้เสียหายจะต้องเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งการแจ้งความนี้จะต้องกระทำภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีฉ้อโกงธรรมดาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้นั้น อายุความคือสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะสิ้นสุดลงทันที แต่สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ไม่อาจยอมความได้ และมีอายุความที่ยาวนานกว่าคือสิบปีนับแต่วันกระทำความผิด การแยกแยะประเภทของความผิดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาผลประโยชน์ของผู้เสียหาย เมื่อมีการแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และหากพยานหลักฐานเพียงพอ ก็จะส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาล การพิจารณาคดีในศาลจะเน้นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำ "การหลอกลวง" จริง และการหลอกลวงนั้นได้ทำให้ผู้เสียหาย "หลงเชื่อ" จนนำมาซึ่งการ "ส่งมอบทรัพย์สิน" หรือ "การได้รับผลกระทบทางทรัพย์สิน" อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนควรตระหนักคือ ในหลายกรณีที่ผู้เสียหายต้องการทรัพย์สินคืน การฟ้องคดีอาญาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากคดีอาญามุ่งเน้นที่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางกายภาพ (จำคุก) และทางการเงิน (ปรับ) เท่านั้น ดังนั้นผู้เสียหายจึงต้องใช้สิทธิทางแพ่งควบคู่กันไป โดยอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้กระทำความผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หรือแยกไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหากเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหายคืน การดำเนินการทางแพ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการบังคับคดี การติดตามทรัพย์สินที่ถูกฉ้อโกงคืนมานั้น มักเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการโอนย้ายทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่นหรือต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและได้รับความเสียหายชดเชยอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ท้ายที่สุดแล้ว ภัยฉ้อโกงที่แฝงตัวอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดั้งเดิมหรือรูปแบบดิจิทัลก็ตาม เป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับระบบกฎหมายไทยในการปรับตัวและตอบสนองต่อกลโกงที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง การป้องกันที่ดีที่สุดมิใช่เพียงการจับกุมและลงโทษผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางกฎหมายให้กับประชาชน การตระหนักว่ากฎหมายฉ้อโกงมิใช่แค่เรื่องของ "การหลอกลวง" แต่คือเรื่องของ "เจตนาทุจริต" ที่มุ่งหมายเอาเปรียบผู้อื่นอย่างไม่ชอบธรรม และการเข้าใจถึงสิทธิและอายุความในการดำเนินคดี เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องยึดถือไว้เสมอ หากคุณตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกง สิ่งสำคัญที่สุดคือการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง การโอนเงิน หรือการติดต่อสื่อสาร และรีบดำเนินการทางกฎหมายทันที อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนพ้นอายุความ การใช้สิทธิเรียกร้องความยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะเป็นหนทางเดียวที่จะนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการลงโทษและเปิดโอกาสในการเรียกทรัพย์สินคืนมา ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจใดที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้ ความเชี่ยวชาญในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเด็ดขาดเท่านั้น จึงจะสามารถยุติวงจรของการฉ้อโกงและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่นในสังคมให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • 🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷
    #20251118 #techradar

    Google เปิดตัว AI พยากรณ์อากาศใหม่ WeatherNext 2
    Google พัฒนาโมเดล AI ชื่อ WeatherNext 2 ที่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้เร็วและแม่นยำกว่าระบบเดิมถึง 8 เท่า ภายในเวลาไม่ถึงนาที AI นี้ไม่ได้ให้แค่ผลลัพธ์เดียว แต่สร้าง “หลายความเป็นไปได้” ของสภาพอากาศ ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมว่ามีโอกาสเกิดอะไรบ้าง เช่น ฝนตกหรือแดดออกในช่วงเวลาใด นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน Google Search, Pixel Weather และ Google Maps เพื่อช่วยให้การวางแผนชีวิตประจำวันและการจัดการพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    OWC Helios 5S: เพิ่มพลังให้ Mac เล็ก ๆ ด้วย Thunderbolt 5
    OWC เปิดตัว Helios 5S กล่องขยาย PCIe สำหรับเครื่อง Mac ขนาดเล็กที่ใช้ Thunderbolt 5 ความเร็วสูงถึง 80Gb/s ทำให้สามารถต่อการ์ด PCIe 4.0 และอุปกรณ์เสริมความเร็วสูงได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับจอ 8K ได้ถึง 3 จอ เหมาะสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้น แม้จะไม่รองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง แต่ก็ถือเป็นการยกระดับเครื่องเล็กให้ใกล้เคียงเวิร์กสเตชัน

    Samsung ขยาย “The Wall” จอ LED ยักษ์สำหรับองค์กร
    Samsung เปิดตัวรุ่นใหม่ของ The Wall จอ LED ขนาดมหึมาที่ออกแบบมาเพื่อสำนักงานและพื้นที่ธุรกิจ ใช้ชิปประมวลผล AI Gen2 ที่ช่วยปรับภาพให้คมชัด ลดสัญญาณรบกวน และอัปสเกลภาพให้ใกล้เคียง 8K จุดเด่นคือความสว่างสูงถึง 1,000 nits และเทคโนโลยี Black Seal ที่ทำให้สีดำลึกขึ้น เหมาะกับการใช้งานในห้องประชุมใหญ่หรือพื้นที่ที่ต้องการภาพคมชัดต่อเนื่อง

    สัมภาษณ์พิเศษ Sundar Pichai: Running The Google Empire
    BBC จัดสัมภาษณ์พิเศษกับ Sundar Pichai CEO ของ Google ที่พูดถึงการนำบริษัทผ่านยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก เขาเล่าถึงความท้าทายของการลงทุนมหาศาลใน AI ผลกระทบต่อการจ้างงาน และบทบาทของ Google ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายการนี้สามารถรับชมฟรีผ่าน BBC iPlayer

    Amazon พบการโจมตี npm ครั้งใหญ่กว่า 150,000 แพ็กเกจ
    นักวิจัยจาก Amazon ตรวจพบการแพร่กระจายแพ็กเกจ npm กว่า 150,000 ตัว ที่ถูกใช้ในแผนการหลอกลวงเพื่อสร้างรายได้จากโทเคน TEA แม้แพ็กเกจเหล่านี้จะไม่ขโมยข้อมูลโดยตรง แต่มีพฤติกรรม “self-replicating” และอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นอันตรายได้ เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการโจมตีซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โอเพ่นซอร์ส

    OpenAI ทดลองให้ ChatGPT เข้าร่วมแชทกลุ่ม
    OpenAI เปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ ChatGPT เข้าร่วมการสนทนาแบบกลุ่ม โดย AI จะเลือกเองว่าจะตอบเมื่อใด หรือผู้ใช้สามารถเรียกด้วยการแท็ก ฟีเจอร์นี้กำลังทดสอบในญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน รองรับผู้เข้าร่วมสูงสุด 20 คน จุดประสงค์คือช่วยให้การระดมสมองและวางแผนร่วมกันสะดวกขึ้น

    Google AI ช่วยวางแผนทริปได้ครบวงจร
    Google เปิดตัวเครื่องมือ AI สำหรับการท่องเที่ยว 3 อย่าง ได้แก่
    Canvas for Travel: สร้างแผนการเดินทางแบบกำหนดเอง
    Flight Deals: ค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกทั่วโลก
    Agentic Booking: จองร้านอาหารและกิจกรรมได้โดยตรงจาก Search ทั้งหมดนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเปิดหลายแท็บและเปรียบเทียบข้อมูล ทำให้การวางแผนทริปง่ายขึ้นมาก

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ JSON ซ่อนมัลแวร์
    กลุ่ม Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกพบว่าใช้บริการเก็บข้อมูล JSON เช่น JSON Keeper และ JSON Silo เพื่อซ่อนมัลแวร์ในแคมเปญ “Contagious Interview” โดยหลอกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผ่าน LinkedIn ให้ดาวน์โหลดโปรเจกต์ที่แฝงโค้ดอันตราย มัลแวร์เหล่านี้สามารถขโมยข้อมูล กระเป๋าเงินคริปโต และใช้เครื่องเหยื่อขุดเหรียญ Monero ได้

    Logitech ยืนยันถูกเจาะระบบ แต่ยังไม่รู้ข้อมูลที่หายไป
    Logitech รายงานการถูกโจมตีไซเบอร์ผ่านช่องโหว่ zero-day ของซอฟต์แวร์ภายนอก โดยกลุ่ม Cl0p ransomware อ้างว่าขโมยข้อมูลไปกว่า 1.8TB แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลที่สูญหาย “น่าจะมีเพียงบางส่วน” ของพนักงานและลูกค้า แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีข้อมูลสำคัญรั่วไหลหรือไม่

    LinkedIn เพิ่มฟีเจอร์ค้นหาคนด้วย AI
    LinkedIn เปิดตัวระบบค้นหาคนด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้พิมพ์คำอธิบายเชิงธรรมชาติ เช่น “นักลงทุนด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ FDA” โดยไม่ต้องกรองด้วยตำแหน่งงานแบบเดิม ฟีเจอร์นี้เริ่มให้บริการกับผู้ใช้ Premium ในสหรัฐฯ ก่อน และจะขยายไปทั่วโลกในอนาคต

    ศาลสหราชอาณาจักรตัดสิน Microsoft แพ้คดีห้ามขายต่อไลเซนส์
    ศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักรตัดสินว่า Microsoft ไม่สามารถห้ามลูกค้าขายต่อไลเซนส์ซอฟต์แวร์แบบถาวรได้ บริษัท ValueLicensing ซึ่งเป็นคู่กรณีสามารถดำเนินธุรกิจขายต่อไลเซนส์ต่อไป และยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 270 ล้านปอนด์จาก Microsoft ขณะที่ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ต่อ

    ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    📌🪛🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷🪛📌 #20251118 #techradar 🌦️ Google เปิดตัว AI พยากรณ์อากาศใหม่ WeatherNext 2 Google พัฒนาโมเดล AI ชื่อ WeatherNext 2 ที่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้เร็วและแม่นยำกว่าระบบเดิมถึง 8 เท่า ภายในเวลาไม่ถึงนาที AI นี้ไม่ได้ให้แค่ผลลัพธ์เดียว แต่สร้าง “หลายความเป็นไปได้” ของสภาพอากาศ ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมว่ามีโอกาสเกิดอะไรบ้าง เช่น ฝนตกหรือแดดออกในช่วงเวลาใด นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน Google Search, Pixel Weather และ Google Maps เพื่อช่วยให้การวางแผนชีวิตประจำวันและการจัดการพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ⚡ OWC Helios 5S: เพิ่มพลังให้ Mac เล็ก ๆ ด้วย Thunderbolt 5 OWC เปิดตัว Helios 5S กล่องขยาย PCIe สำหรับเครื่อง Mac ขนาดเล็กที่ใช้ Thunderbolt 5 ความเร็วสูงถึง 80Gb/s ทำให้สามารถต่อการ์ด PCIe 4.0 และอุปกรณ์เสริมความเร็วสูงได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับจอ 8K ได้ถึง 3 จอ เหมาะสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้น แม้จะไม่รองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง แต่ก็ถือเป็นการยกระดับเครื่องเล็กให้ใกล้เคียงเวิร์กสเตชัน 🖥️ Samsung ขยาย “The Wall” จอ LED ยักษ์สำหรับองค์กร Samsung เปิดตัวรุ่นใหม่ของ The Wall จอ LED ขนาดมหึมาที่ออกแบบมาเพื่อสำนักงานและพื้นที่ธุรกิจ ใช้ชิปประมวลผล AI Gen2 ที่ช่วยปรับภาพให้คมชัด ลดสัญญาณรบกวน และอัปสเกลภาพให้ใกล้เคียง 8K จุดเด่นคือความสว่างสูงถึง 1,000 nits และเทคโนโลยี Black Seal ที่ทำให้สีดำลึกขึ้น เหมาะกับการใช้งานในห้องประชุมใหญ่หรือพื้นที่ที่ต้องการภาพคมชัดต่อเนื่อง 🎤 สัมภาษณ์พิเศษ Sundar Pichai: Running The Google Empire BBC จัดสัมภาษณ์พิเศษกับ Sundar Pichai CEO ของ Google ที่พูดถึงการนำบริษัทผ่านยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก เขาเล่าถึงความท้าทายของการลงทุนมหาศาลใน AI ผลกระทบต่อการจ้างงาน และบทบาทของ Google ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายการนี้สามารถรับชมฟรีผ่าน BBC iPlayer 🛡️ Amazon พบการโจมตี npm ครั้งใหญ่กว่า 150,000 แพ็กเกจ นักวิจัยจาก Amazon ตรวจพบการแพร่กระจายแพ็กเกจ npm กว่า 150,000 ตัว ที่ถูกใช้ในแผนการหลอกลวงเพื่อสร้างรายได้จากโทเคน TEA แม้แพ็กเกจเหล่านี้จะไม่ขโมยข้อมูลโดยตรง แต่มีพฤติกรรม “self-replicating” และอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นอันตรายได้ เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการโจมตีซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โอเพ่นซอร์ส 💬 OpenAI ทดลองให้ ChatGPT เข้าร่วมแชทกลุ่ม OpenAI เปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ ChatGPT เข้าร่วมการสนทนาแบบกลุ่ม โดย AI จะเลือกเองว่าจะตอบเมื่อใด หรือผู้ใช้สามารถเรียกด้วยการแท็ก ฟีเจอร์นี้กำลังทดสอบในญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน รองรับผู้เข้าร่วมสูงสุด 20 คน จุดประสงค์คือช่วยให้การระดมสมองและวางแผนร่วมกันสะดวกขึ้น ✈️ Google AI ช่วยวางแผนทริปได้ครบวงจร Google เปิดตัวเครื่องมือ AI สำหรับการท่องเที่ยว 3 อย่าง ได้แก่ 🧩 Canvas for Travel: สร้างแผนการเดินทางแบบกำหนดเอง 🧩 Flight Deals: ค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกทั่วโลก 🧩 Agentic Booking: จองร้านอาหารและกิจกรรมได้โดยตรงจาก Search ทั้งหมดนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเปิดหลายแท็บและเปรียบเทียบข้อมูล ทำให้การวางแผนทริปง่ายขึ้นมาก 🕵️‍♂️ แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ JSON ซ่อนมัลแวร์ กลุ่ม Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกพบว่าใช้บริการเก็บข้อมูล JSON เช่น JSON Keeper และ JSON Silo เพื่อซ่อนมัลแวร์ในแคมเปญ “Contagious Interview” โดยหลอกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผ่าน LinkedIn ให้ดาวน์โหลดโปรเจกต์ที่แฝงโค้ดอันตราย มัลแวร์เหล่านี้สามารถขโมยข้อมูล กระเป๋าเงินคริปโต และใช้เครื่องเหยื่อขุดเหรียญ Monero ได้ 🔒 Logitech ยืนยันถูกเจาะระบบ แต่ยังไม่รู้ข้อมูลที่หายไป Logitech รายงานการถูกโจมตีไซเบอร์ผ่านช่องโหว่ zero-day ของซอฟต์แวร์ภายนอก โดยกลุ่ม Cl0p ransomware อ้างว่าขโมยข้อมูลไปกว่า 1.8TB แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลที่สูญหาย “น่าจะมีเพียงบางส่วน” ของพนักงานและลูกค้า แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีข้อมูลสำคัญรั่วไหลหรือไม่ 👥 LinkedIn เพิ่มฟีเจอร์ค้นหาคนด้วย AI LinkedIn เปิดตัวระบบค้นหาคนด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้พิมพ์คำอธิบายเชิงธรรมชาติ เช่น “นักลงทุนด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ FDA” โดยไม่ต้องกรองด้วยตำแหน่งงานแบบเดิม ฟีเจอร์นี้เริ่มให้บริการกับผู้ใช้ Premium ในสหรัฐฯ ก่อน และจะขยายไปทั่วโลกในอนาคต ⚖️ ศาลสหราชอาณาจักรตัดสิน Microsoft แพ้คดีห้ามขายต่อไลเซนส์ ศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักรตัดสินว่า Microsoft ไม่สามารถห้ามลูกค้าขายต่อไลเซนส์ซอฟต์แวร์แบบถาวรได้ บริษัท ValueLicensing ซึ่งเป็นคู่กรณีสามารถดำเนินธุรกิจขายต่อไลเซนส์ต่อไป และยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 270 ล้านปอนด์จาก Microsoft ขณะที่ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ต่อ ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • วิกฤติ DRAM จากกระแส AI

    ตลาด DRAM กำลังเผชิญภาวะตึงตัวอย่างหนัก เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำจากการพัฒนา AI และเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาหน่วยความจำจึงพุ่งสูงกว่า 100% ภายในปีเดียว ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก

    ผลกระทบต่อผู้ผลิตรายใหญ่
    Morgan Stanley ได้ปรับลดอันดับหุ้นของหลายบริษัท เช่น Dell จาก Overweight เป็น Underweight เนื่องจาก Dell มีธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ DRAM ปริมาณมหาศาล ขณะที่ HP, Asus และ Pegatron ถูกปรับลดเป็น Equal-weight ส่วน Acer และ Compal ถูกจัดอันดับต่ำอยู่แล้ว การปรับลดนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่กำไรของบริษัทจะถูกบีบจากต้นทุนหน่วยความจำที่สูงขึ้น

    Apple รอดพ้นวิกฤติ
    ในทางกลับกัน Apple ยังคงได้อันดับ Overweight เพราะบริษัทได้วางแผนล่วงหน้า ซื้อ DRAM จำนวนมากก่อนที่วิกฤติจะเกิดขึ้น และยังมีสัญญาระยะยาวกับผู้ผลิตหน่วยความจำอย่าง Kioxia ทำให้สินค้าของ Apple เช่น Mac, iPad และ iPhone ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคู่แข่ง

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์คาดว่าภาวะขาดแคลน DRAM จะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี เนื่องจากผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตอย่างจริงจัง ขณะที่ความต้องการจาก AI และเซิร์ฟเวอร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้อาจทำให้ราคาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    สรุปสาระสำคัญ
    ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นกว่า 100%
    เกิดจากความต้องการ AI และเซิร์ฟเวอร์ที่สูงขึ้น

    Morgan Stanley ปรับลดอันดับหุ้นผู้ผลิตรายใหญ่
    Dell, HP, Asus, Pegatron ได้รับผลกระทบหนัก

    Apple วางแผนล่วงหน้าและรอดพ้นวิกฤติ
    ซื้อ DRAM ล่วงหน้าและมีสัญญากับ Kioxia

    ต้นทุนเซิร์ฟเวอร์สูงขึ้นอย่างมาก
    DRAM คิดเป็น 30–40% ของต้นทุนรวมของเซิร์ฟเวอร์

    ความเสี่ยงต่อกำไรของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์
    ต้นทุนสูงอาจบีบกำไรและทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น

    แนวโน้มวิกฤติจะยืดเยื้อ
    ผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตในระยะสั้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/ai-led-dram-supply-crunch-reportedly-has-morgan-stanley-downgrading-major-oems-skyrocketing-memory-prices-could-erode-server-and-pc-margins
    💾 วิกฤติ DRAM จากกระแส AI ตลาด DRAM กำลังเผชิญภาวะตึงตัวอย่างหนัก เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำจากการพัฒนา AI และเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาหน่วยความจำจึงพุ่งสูงกว่า 100% ภายในปีเดียว ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก 📉 ผลกระทบต่อผู้ผลิตรายใหญ่ Morgan Stanley ได้ปรับลดอันดับหุ้นของหลายบริษัท เช่น Dell จาก Overweight เป็น Underweight เนื่องจาก Dell มีธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ DRAM ปริมาณมหาศาล ขณะที่ HP, Asus และ Pegatron ถูกปรับลดเป็น Equal-weight ส่วน Acer และ Compal ถูกจัดอันดับต่ำอยู่แล้ว การปรับลดนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่กำไรของบริษัทจะถูกบีบจากต้นทุนหน่วยความจำที่สูงขึ้น 🍎 Apple รอดพ้นวิกฤติ ในทางกลับกัน Apple ยังคงได้อันดับ Overweight เพราะบริษัทได้วางแผนล่วงหน้า ซื้อ DRAM จำนวนมากก่อนที่วิกฤติจะเกิดขึ้น และยังมีสัญญาระยะยาวกับผู้ผลิตหน่วยความจำอย่าง Kioxia ทำให้สินค้าของ Apple เช่น Mac, iPad และ iPhone ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคู่แข่ง 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่าภาวะขาดแคลน DRAM จะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี เนื่องจากผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตอย่างจริงจัง ขณะที่ความต้องการจาก AI และเซิร์ฟเวอร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้อาจทำให้ราคาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นกว่า 100% ➡️ เกิดจากความต้องการ AI และเซิร์ฟเวอร์ที่สูงขึ้น ✅ Morgan Stanley ปรับลดอันดับหุ้นผู้ผลิตรายใหญ่ ➡️ Dell, HP, Asus, Pegatron ได้รับผลกระทบหนัก ✅ Apple วางแผนล่วงหน้าและรอดพ้นวิกฤติ ➡️ ซื้อ DRAM ล่วงหน้าและมีสัญญากับ Kioxia ✅ ต้นทุนเซิร์ฟเวอร์สูงขึ้นอย่างมาก ➡️ DRAM คิดเป็น 30–40% ของต้นทุนรวมของเซิร์ฟเวอร์ ‼️ ความเสี่ยงต่อกำไรของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ⛔ ต้นทุนสูงอาจบีบกำไรและทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ‼️ แนวโน้มวิกฤติจะยืดเยื้อ ⛔ ผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตในระยะสั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/ai-led-dram-supply-crunch-reportedly-has-morgan-stanley-downgrading-major-oems-skyrocketing-memory-prices-could-erode-server-and-pc-margins
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • Vera Rubin – แพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่จาก Nvidia

    Nvidia กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปี 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในศูนย์ข้อมูล AI และ HPC จุดเด่นคือการรวม 9 โปรเซสเซอร์ที่แตกต่างกัน เข้าด้วยกันในระบบเดียว ตั้งแต่ CPU, GPU, DPU ไปจนถึงระบบเชื่อมต่อความเร็วสูง ซึ่งช่วยให้สามารถรองรับงาน AI ที่ต้องการพลังประมวลผลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สถาปัตยกรรมที่ก้าวล้ำ
    หัวใจของ Vera Rubin คือ Vera CPU ที่มี 88 คอร์ Armv9-class พร้อม SMT รองรับ 176 เธรด และ Rubin GPU ที่ใช้หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 288 GB ให้แบนด์วิดท์สูงถึง 13 TB/s นอกจากนี้ยังมี Rubin CPX GPU ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน inference ของโมเดล LLM ที่ต้องการ context ยาวหลายล้าน token ทำให้ระบบสามารถจัดการงาน multi-modal ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การเชื่อมต่อความเร็วสูง
    แพลตฟอร์มนี้ใช้ NVLink 6.0 และ NVSwitch 6.0 เพื่อเชื่อมต่อ GPU และ CPU ด้วยแบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s พร้อมทั้งระบบ Photonics Ethernet และ InfiniBand ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 1.6 Tb/s ต่อพอร์ต สิ่งนี้ทำให้ Vera Rubin สามารถขยายสเกลเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น รองรับการฝึกโมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน

    อนาคต: Rubin Ultra
    Nvidia ยังมีแผนเปิดตัว Rubin Ultra ในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนชิป GPU เป็น 4 ชิปต่อแพ็กเกจ พร้อมหน่วยความจำ HBM4E ขนาด 1 TB และแบนด์วิดท์สูงถึง 32 TB/s คาดว่าจะให้ประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS ต่อแพ็กเกจ ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในการประมวลผล AI

    สรุปสาระสำคัญ
    Vera Rubin คือแพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่ของ Nvidia
    รวม 9 โปรเซสเซอร์ที่ออกแบบเฉพาะงาน AI และ HPC

    Vera CPU และ Rubin GPU เป็นหัวใจหลักของระบบ
    CPU มี 88 คอร์ Armv9-class, GPU ใช้ HBM4 288 GB

    Rubin CPX GPU เน้นงาน inference ของ LLM
    ใช้ GDDR7 128 GB สำหรับ context ยาวและ multi-modal

    ระบบเชื่อมต่อ NVLink 6.0 และ Photonics Ethernet
    ให้แบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s

    Rubin Ultra จะเปิดตัวในปี 2027
    เพิ่มหน่วยความจำเป็น 1 TB และประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS

    ความท้าทายด้านพลังงานและการระบายความร้อน
    Rubin GPU ใช้พลังงานสูงถึง 1.8 kW ต่อชิป และ Rubin Ultra อาจถึง 3.6 kW

    ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สูงมาก
    ต้องใช้ระบบระบายความร้อนและแร็คใหม่ เช่น Kyber rack สำหรับ Rubin Ultra

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-vera-rubin-platform-in-depth-inside-nvidias-most-complex-ai-and-hpc-platform-to-date
    ⚙️ Vera Rubin – แพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่จาก Nvidia Nvidia กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปี 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในศูนย์ข้อมูล AI และ HPC จุดเด่นคือการรวม 9 โปรเซสเซอร์ที่แตกต่างกัน เข้าด้วยกันในระบบเดียว ตั้งแต่ CPU, GPU, DPU ไปจนถึงระบบเชื่อมต่อความเร็วสูง ซึ่งช่วยให้สามารถรองรับงาน AI ที่ต้องการพลังประมวลผลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🖥️ สถาปัตยกรรมที่ก้าวล้ำ หัวใจของ Vera Rubin คือ Vera CPU ที่มี 88 คอร์ Armv9-class พร้อม SMT รองรับ 176 เธรด และ Rubin GPU ที่ใช้หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 288 GB ให้แบนด์วิดท์สูงถึง 13 TB/s นอกจากนี้ยังมี Rubin CPX GPU ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน inference ของโมเดล LLM ที่ต้องการ context ยาวหลายล้าน token ทำให้ระบบสามารถจัดการงาน multi-modal ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🌐 การเชื่อมต่อความเร็วสูง แพลตฟอร์มนี้ใช้ NVLink 6.0 และ NVSwitch 6.0 เพื่อเชื่อมต่อ GPU และ CPU ด้วยแบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s พร้อมทั้งระบบ Photonics Ethernet และ InfiniBand ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 1.6 Tb/s ต่อพอร์ต สิ่งนี้ทำให้ Vera Rubin สามารถขยายสเกลเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น รองรับการฝึกโมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน 🔮 อนาคต: Rubin Ultra Nvidia ยังมีแผนเปิดตัว Rubin Ultra ในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนชิป GPU เป็น 4 ชิปต่อแพ็กเกจ พร้อมหน่วยความจำ HBM4E ขนาด 1 TB และแบนด์วิดท์สูงถึง 32 TB/s คาดว่าจะให้ประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS ต่อแพ็กเกจ ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในการประมวลผล AI 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Vera Rubin คือแพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่ของ Nvidia ➡️ รวม 9 โปรเซสเซอร์ที่ออกแบบเฉพาะงาน AI และ HPC ✅ Vera CPU และ Rubin GPU เป็นหัวใจหลักของระบบ ➡️ CPU มี 88 คอร์ Armv9-class, GPU ใช้ HBM4 288 GB ✅ Rubin CPX GPU เน้นงาน inference ของ LLM ➡️ ใช้ GDDR7 128 GB สำหรับ context ยาวและ multi-modal ✅ ระบบเชื่อมต่อ NVLink 6.0 และ Photonics Ethernet ➡️ ให้แบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s ✅ Rubin Ultra จะเปิดตัวในปี 2027 ➡️ เพิ่มหน่วยความจำเป็น 1 TB และประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS ‼️ ความท้าทายด้านพลังงานและการระบายความร้อน ⛔ Rubin GPU ใช้พลังงานสูงถึง 1.8 kW ต่อชิป และ Rubin Ultra อาจถึง 3.6 kW ‼️ ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สูงมาก ⛔ ต้องใช้ระบบระบายความร้อนและแร็คใหม่ เช่น Kyber rack สำหรับ Rubin Ultra https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-vera-rubin-platform-in-depth-inside-nvidias-most-complex-ai-and-hpc-platform-to-date
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • พ่อสร้าง Synth ให้ลูกสาว

    บทความ I Built a Synth for My Daughter โดย Alastair Roberts เล่าประสบการณ์การสร้าง เครื่องสังเคราะห์เสียงแบบพกพา (portable step-sequencer synthesizer) สำหรับลูกสาววัย 3 ขวบ โดยเริ่มจากแรงบันดาลใจจากบอร์ดกิจกรรม Montessori ที่เต็มไปด้วยสวิตช์และไฟ LED จนเกิดไอเดียทำเป็นของเล่นดนตรีที่เด็กสามารถเลื่อนสไลด์เพื่อเปลี่ยนเสียงได้

    จาก Arduino สู่ PCB จริง
    Alastair เริ่มต้นด้วย Arduino Inventors Kit และเขียนโค้ดให้ potentiometer ส่งค่า MIDI ไปยัง Logic Pro เพื่อทดสอบเสียง ต่อมาเขาเพิ่มโมดูล synth ราคาถูก SAM2695 พร้อมลำโพงในตัว และจอ OLED ที่แสดงภาพแพนด้าน้อยเต้นตามจังหวะ แม้จะเจอปัญหาเรื่องหน่วยความจำและการอัปเดตหน้าจอที่ทำให้เสียงหน่วง แต่ก็แก้ไขด้วยการอัปเดตเป็นแพตช์เล็ก ๆ

    การออกแบบและพิมพ์ 3D
    เมื่อวงจรเริ่มเสถียร เขาใช้ Fusion 360 ออกแบบกล่องและพิมพ์ด้วยเครื่อง 3D printer ของเพื่อน หลังจากนั้นจึงพัฒนาเป็น PCB แบบสองชั้น ผ่านบริการ JLCPCB เพื่อให้ประกอบง่ายและทนทานขึ้น พร้อมปรับระบบพลังงานจากแบตเตอรี่ AA 4 ก้อนเป็น 3 ก้อนร่วมกับ Adafruit Miniboost เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าเสถียร

    ผลลัพธ์และอนาคต
    Synth ที่สร้างขึ้นกลายเป็นของเล่นที่ลูกสาวชอบเล่นเป็นประจำ และยังเป็นโครงการเรียนรู้ที่ทำให้ Alastair เข้าใจทั้ง microcontroller, CAD, PCB design และการผลิตต้นแบบ เขามองว่าอาจต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์จริง แต่ก็ยอมรับว่ามีอุปสรรคด้านต้นทุนการผลิตและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แรงบันดาลใจจากบอร์ด Montessori
    นำไปสู่การสร้างของเล่นดนตรีที่เด็กเล่นได้ง่าย

    เริ่มจาก Arduino และ MIDI
    พัฒนาไปสู่ synth module และจอ OLED

    ออกแบบกล่องด้วย Fusion 360 และพิมพ์ 3D
    ต่อมาเปลี่ยนเป็น PCB ที่ทนทานและประกอบง่าย

    ปรับระบบพลังงานให้เสถียรด้วย Miniboost
    ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทานของเครื่อง

    ข้อจำกัดด้านการผลิตเชิงพาณิชย์
    ต้องใช้ทุนสูงและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย

    ปัญหาทางเทคนิคที่ยังต้องแก้ไข
    เช่น การหน่วงเสียงจากการอัปเดตหน้าจอ OLED

    https://bitsnpieces.dev/posts/a-synth-for-my-daughter/
    🎹 พ่อสร้าง Synth ให้ลูกสาว บทความ I Built a Synth for My Daughter โดย Alastair Roberts เล่าประสบการณ์การสร้าง เครื่องสังเคราะห์เสียงแบบพกพา (portable step-sequencer synthesizer) สำหรับลูกสาววัย 3 ขวบ โดยเริ่มจากแรงบันดาลใจจากบอร์ดกิจกรรม Montessori ที่เต็มไปด้วยสวิตช์และไฟ LED จนเกิดไอเดียทำเป็นของเล่นดนตรีที่เด็กสามารถเลื่อนสไลด์เพื่อเปลี่ยนเสียงได้ 🛠️ จาก Arduino สู่ PCB จริง Alastair เริ่มต้นด้วย Arduino Inventors Kit และเขียนโค้ดให้ potentiometer ส่งค่า MIDI ไปยัง Logic Pro เพื่อทดสอบเสียง ต่อมาเขาเพิ่มโมดูล synth ราคาถูก SAM2695 พร้อมลำโพงในตัว และจอ OLED ที่แสดงภาพแพนด้าน้อยเต้นตามจังหวะ แม้จะเจอปัญหาเรื่องหน่วยความจำและการอัปเดตหน้าจอที่ทำให้เสียงหน่วง แต่ก็แก้ไขด้วยการอัปเดตเป็นแพตช์เล็ก ๆ 🖨️ การออกแบบและพิมพ์ 3D เมื่อวงจรเริ่มเสถียร เขาใช้ Fusion 360 ออกแบบกล่องและพิมพ์ด้วยเครื่อง 3D printer ของเพื่อน หลังจากนั้นจึงพัฒนาเป็น PCB แบบสองชั้น ผ่านบริการ JLCPCB เพื่อให้ประกอบง่ายและทนทานขึ้น พร้อมปรับระบบพลังงานจากแบตเตอรี่ AA 4 ก้อนเป็น 3 ก้อนร่วมกับ Adafruit Miniboost เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าเสถียร 🌟 ผลลัพธ์และอนาคต Synth ที่สร้างขึ้นกลายเป็นของเล่นที่ลูกสาวชอบเล่นเป็นประจำ และยังเป็นโครงการเรียนรู้ที่ทำให้ Alastair เข้าใจทั้ง microcontroller, CAD, PCB design และการผลิตต้นแบบ เขามองว่าอาจต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์จริง แต่ก็ยอมรับว่ามีอุปสรรคด้านต้นทุนการผลิตและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แรงบันดาลใจจากบอร์ด Montessori ➡️ นำไปสู่การสร้างของเล่นดนตรีที่เด็กเล่นได้ง่าย ✅ เริ่มจาก Arduino และ MIDI ➡️ พัฒนาไปสู่ synth module และจอ OLED ✅ ออกแบบกล่องด้วย Fusion 360 และพิมพ์ 3D ➡️ ต่อมาเปลี่ยนเป็น PCB ที่ทนทานและประกอบง่าย ✅ ปรับระบบพลังงานให้เสถียรด้วย Miniboost ➡️ ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทานของเครื่อง ‼️ ข้อจำกัดด้านการผลิตเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องใช้ทุนสูงและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ‼️ ปัญหาทางเทคนิคที่ยังต้องแก้ไข ⛔ เช่น การหน่วงเสียงจากการอัปเดตหน้าจอ OLED https://bitsnpieces.dev/posts/a-synth-for-my-daughter/
    BITSNPIECES.DEV
    I Built a Synth for My Daughter
    How I built a portable synthesizer for my three year old daughter.
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล

    บทความ Where Do the Children Play? โดย Eli Stark-Elster วิเคราะห์ว่า เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล เช่น เกมและโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้จะตอบสนองความต้องการ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและผลกระทบทางจิตใจ

    เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิม
    ผู้เขียนยกตัวอย่าง BaYaka และชนเผ่าอื่น ๆ ที่เด็กใช้ชีวิตอย่างอิสระในป่า ตั้งแต่การตกปลา เล่นน้ำ ไปจนถึงการปีนต้นไม้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่กำกับใกล้ชิด สิ่งนี้สะท้อนว่าในประวัติศาสตร์มนุษย์ เด็กมักสร้าง peer cultures หรือสังคมเพื่อนที่แยกจากผู้ใหญ่ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

    เด็กในโลกตะวันตก
    ตรงกันข้าม เด็กในสังคมตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพอย่างมาก ข้อมูลชี้ว่า กว่า 60% ของเด็กอเมริกันอายุ 8–12 ปีไม่เคยเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ใดโดยไม่มีผู้ใหญ่ และกว่า 70% ไม่เคยใช้มีดคมด้วยตนเอง แต่กลับมี 31% ที่เคยพูดคุยกับโมเดลภาษา AI และ 50% ที่เคยเห็นสื่อลามกก่อนอายุ 13 ปี แสดงให้เห็นว่า โลกกายภาพถูกควบคุม แต่โลกดิจิทัลกลับไร้การกำกับ

    โลกดิจิทัลเป็น “ป่าใหม่”
    ผู้เขียนเสนอว่า เด็กหันไปใช้ Fortnite, TikTok, Roblox, Minecraft เพราะนั่นคือพื้นที่ที่พวกเขาสามารถสร้างวัฒนธรรมเพื่อนโดยไม่ถูกรบกวนจากผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม โลกดิจิทัลนี้เต็มไปด้วย “เสือดาวเสมือน” เช่น คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, ระบบ loot box ที่คล้ายการพนัน, และแรงกดดันทางสังคมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล

    ทางออกที่ควรสร้าง
    แม้จะไม่สามารถย้อนกลับไปสู่ยุคที่เด็กมีป่าและลำธารให้เล่นได้ แต่ผู้เขียนเสนอว่า เราควรสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ปลอดภัยแต่ยังคงเสรีภาพ ให้เด็กได้สร้าง peer cultures โดยไม่ถูกครอบงำด้วยการออกแบบที่เสพติดหรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีพื้นที่เล่นอิสระ
    เช่น BaYaka, Trobriand, Mbuti ที่เด็กสร้างสังคมเพื่อนเอง

    เด็กตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพทางกายภาพ
    ข้อมูลชี้ว่าการเดินทางและการเล่นอิสระลดลงตั้งแต่ทศวรรษ 1970

    โลกดิจิทัลกลายเป็นพื้นที่ใหม่ของเด็ก
    เกมและโซเชียลมีเดียตอบสนองความต้องการ peer cultures

    เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนโดยไม่ถูกควบคุมจากผู้ใหญ่
    แต่กลับถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่ออนไลน์ที่เสี่ยง

    ความเสี่ยงจากโลกดิจิทัล
    คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, การพนันในเกม, ความวิตกกังวลและซึมเศร้า

    การสูญเสียพื้นที่เล่นทางกายภาพ
    เมืองและสังคมที่พึ่งพารถยนต์ทำให้เด็กไม่มีที่เล่นอย่างปลอดภัย

    https://unpublishablepapers.substack.com/p/where-do-the-children-play
    💻 เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล บทความ Where Do the Children Play? โดย Eli Stark-Elster วิเคราะห์ว่า เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล เช่น เกมและโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้จะตอบสนองความต้องการ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและผลกระทบทางจิตใจ 🌳 เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้เขียนยกตัวอย่าง BaYaka และชนเผ่าอื่น ๆ ที่เด็กใช้ชีวิตอย่างอิสระในป่า ตั้งแต่การตกปลา เล่นน้ำ ไปจนถึงการปีนต้นไม้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่กำกับใกล้ชิด สิ่งนี้สะท้อนว่าในประวัติศาสตร์มนุษย์ เด็กมักสร้าง peer cultures หรือสังคมเพื่อนที่แยกจากผู้ใหญ่ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง 🏙️ เด็กในโลกตะวันตก ตรงกันข้าม เด็กในสังคมตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพอย่างมาก ข้อมูลชี้ว่า กว่า 60% ของเด็กอเมริกันอายุ 8–12 ปีไม่เคยเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ใดโดยไม่มีผู้ใหญ่ และกว่า 70% ไม่เคยใช้มีดคมด้วยตนเอง แต่กลับมี 31% ที่เคยพูดคุยกับโมเดลภาษา AI และ 50% ที่เคยเห็นสื่อลามกก่อนอายุ 13 ปี แสดงให้เห็นว่า โลกกายภาพถูกควบคุม แต่โลกดิจิทัลกลับไร้การกำกับ 📱 โลกดิจิทัลเป็น “ป่าใหม่” ผู้เขียนเสนอว่า เด็กหันไปใช้ Fortnite, TikTok, Roblox, Minecraft เพราะนั่นคือพื้นที่ที่พวกเขาสามารถสร้างวัฒนธรรมเพื่อนโดยไม่ถูกรบกวนจากผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม โลกดิจิทัลนี้เต็มไปด้วย “เสือดาวเสมือน” เช่น คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, ระบบ loot box ที่คล้ายการพนัน, และแรงกดดันทางสังคมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล 🔮 ทางออกที่ควรสร้าง แม้จะไม่สามารถย้อนกลับไปสู่ยุคที่เด็กมีป่าและลำธารให้เล่นได้ แต่ผู้เขียนเสนอว่า เราควรสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ปลอดภัยแต่ยังคงเสรีภาพ ให้เด็กได้สร้าง peer cultures โดยไม่ถูกครอบงำด้วยการออกแบบที่เสพติดหรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีพื้นที่เล่นอิสระ ➡️ เช่น BaYaka, Trobriand, Mbuti ที่เด็กสร้างสังคมเพื่อนเอง ✅ เด็กตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพทางกายภาพ ➡️ ข้อมูลชี้ว่าการเดินทางและการเล่นอิสระลดลงตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ✅ โลกดิจิทัลกลายเป็นพื้นที่ใหม่ของเด็ก ➡️ เกมและโซเชียลมีเดียตอบสนองความต้องการ peer cultures ✅ เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนโดยไม่ถูกควบคุมจากผู้ใหญ่ ➡️ แต่กลับถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่ออนไลน์ที่เสี่ยง ‼️ ความเสี่ยงจากโลกดิจิทัล ⛔ คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, การพนันในเกม, ความวิตกกังวลและซึมเศร้า ‼️ การสูญเสียพื้นที่เล่นทางกายภาพ ⛔ เมืองและสังคมที่พึ่งพารถยนต์ทำให้เด็กไม่มีที่เล่นอย่างปลอดภัย https://unpublishablepapers.substack.com/p/where-do-the-children-play
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • ยุคของไลบรารีเล็ก ๆ (utility libraries) กำลังหมดความสำคัญ เพราะนักพัฒนาใช้ AI LLMs สร้างโค้ดแทนการติดตั้งแพ็กเกจ

    Nolan เล่าถึงแพ็กเกจ blob-util ที่เขาเขียนเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งยังถูกดาวน์โหลดกว่า 5 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ แต่ปัจจุบันนักพัฒนาส่วนใหญ่ (~80%) ใช้ AI ในการสร้างโค้ดแทนการติดตั้งไลบรารีเล็ก ๆ เช่นนี้ เขายกตัวอย่างว่า AI อย่าง Claude สามารถสร้างฟังก์ชันแปลง Blob เป็น ArrayBuffer ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพา blob-util

    การเปลี่ยนแปลงในโลกการพัฒนา
    Nolan มองว่าการใช้ AI ทำให้ การพึ่งพาแพ็กเกจเล็ก ๆ ลดลง เพราะนักพัฒนาสามารถขอให้ AI เขียนโค้ดเฉพาะได้ทันที แม้จะสะดวกและลด dependency แต่สิ่งที่หายไปคือ บทบาทการสอนและการเรียนรู้ ที่มาพร้อมกับ open source เล็ก ๆ เช่น README ที่อธิบายวิธีคิดและการแก้ปัญหา

    อนาคตของ open source
    เขาสรุปว่า ยุคของ utility libraries กำลังสิ้นสุดลง เนื่องจาก Node.js และเบราว์เซอร์เองก็เพิ่มฟีเจอร์ที่เคยต้องใช้ไลบรารีภายนอก เช่น structuredClone หรือ node:glob และ AI เป็น “ตะปูตัวสุดท้าย” ที่ปิดโอกาสการสร้างไลบรารีเล็ก ๆ อย่าง blob-util อย่างไรก็ตาม Nolan เชื่อว่ายังมีพื้นที่สำหรับ โครงการใหญ่ ๆ, งานเชิงสร้างสรรค์, และหัวข้อเฉพาะที่ AI ยังไม่ครอบคลุม เช่น งานวิจัย memory leak หรือเฟรมเวิร์กใหม่ ๆ อย่าง Ripple.js

    สรุปประเด็นสำคัญ
    blob-util เคยเป็นแพ็กเกจยอดนิยม
    แต่ปัจจุบันนักพัฒนาใช้ AI เขียนโค้ดแทน

    AI ลดการพึ่งพา utility libraries
    ทำให้การเรียนรู้ผ่าน open source ลดลง

    Node.js และเบราว์เซอร์เพิ่มฟีเจอร์ในตัวเอง
    เช่น structuredClone, node:glob

    อนาคตของ open source อยู่ที่โครงการใหญ่และสร้างสรรค์
    เช่น งานวิจัย memory leak หรือเฟรมเวิร์กใหม่ Ripple.js

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้ผู้พัฒนาไม่เข้าใจโค้ดเชิงลึกและสูญเสียทักษะการเรียนรู้

    https://nolanlawson.com/2025/11/16/the-fate-of-small-open-source/
    📚 ยุคของไลบรารีเล็ก ๆ (utility libraries) กำลังหมดความสำคัญ เพราะนักพัฒนาใช้ AI LLMs สร้างโค้ดแทนการติดตั้งแพ็กเกจ Nolan เล่าถึงแพ็กเกจ blob-util ที่เขาเขียนเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งยังถูกดาวน์โหลดกว่า 5 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ แต่ปัจจุบันนักพัฒนาส่วนใหญ่ (~80%) ใช้ AI ในการสร้างโค้ดแทนการติดตั้งไลบรารีเล็ก ๆ เช่นนี้ เขายกตัวอย่างว่า AI อย่าง Claude สามารถสร้างฟังก์ชันแปลง Blob เป็น ArrayBuffer ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพา blob-util ⚡ การเปลี่ยนแปลงในโลกการพัฒนา Nolan มองว่าการใช้ AI ทำให้ การพึ่งพาแพ็กเกจเล็ก ๆ ลดลง เพราะนักพัฒนาสามารถขอให้ AI เขียนโค้ดเฉพาะได้ทันที แม้จะสะดวกและลด dependency แต่สิ่งที่หายไปคือ บทบาทการสอนและการเรียนรู้ ที่มาพร้อมกับ open source เล็ก ๆ เช่น README ที่อธิบายวิธีคิดและการแก้ปัญหา 🔮 อนาคตของ open source เขาสรุปว่า ยุคของ utility libraries กำลังสิ้นสุดลง เนื่องจาก Node.js และเบราว์เซอร์เองก็เพิ่มฟีเจอร์ที่เคยต้องใช้ไลบรารีภายนอก เช่น structuredClone หรือ node:glob และ AI เป็น “ตะปูตัวสุดท้าย” ที่ปิดโอกาสการสร้างไลบรารีเล็ก ๆ อย่าง blob-util อย่างไรก็ตาม Nolan เชื่อว่ายังมีพื้นที่สำหรับ โครงการใหญ่ ๆ, งานเชิงสร้างสรรค์, และหัวข้อเฉพาะที่ AI ยังไม่ครอบคลุม เช่น งานวิจัย memory leak หรือเฟรมเวิร์กใหม่ ๆ อย่าง Ripple.js 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ blob-util เคยเป็นแพ็กเกจยอดนิยม ➡️ แต่ปัจจุบันนักพัฒนาใช้ AI เขียนโค้ดแทน ✅ AI ลดการพึ่งพา utility libraries ➡️ ทำให้การเรียนรู้ผ่าน open source ลดลง ✅ Node.js และเบราว์เซอร์เพิ่มฟีเจอร์ในตัวเอง ➡️ เช่น structuredClone, node:glob ✅ อนาคตของ open source อยู่ที่โครงการใหญ่และสร้างสรรค์ ➡️ เช่น งานวิจัย memory leak หรือเฟรมเวิร์กใหม่ Ripple.js ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้ผู้พัฒนาไม่เข้าใจโค้ดเชิงลึกและสูญเสียทักษะการเรียนรู้ https://nolanlawson.com/2025/11/16/the-fate-of-small-open-source/
    NOLANLAWSON.COM
    The fate of “small” open source
    By far the most popular npm package I’ve ever written is blob-util, which is ~10 years old and still gets 5+ million weekly downloads. It’s a small collection of utilities for working w…
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • Krafton ใช้ AI แทนมนุษย์ – ผู้เล่นเรียกร้องคว่ำบาตร

    Krafton บริษัทเกมยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่อยู่เบื้องหลัง PUBG ได้ประกาศว่า จะลงทุนครั้งใหญ่ใน Agentic AI เพื่อเข้ามาแทนที่งานที่เคยทำโดยมนุษย์ เช่น การสร้างภาพและทรัพยากรในเกม, การออกแบบตัวละคร, การเขียนบทสนทนา, การทดสอบเกม และการประเมินคุณภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบ “การปรับโครงสร้างโดยสมัครใจ” แต่ในความจริงกลับทำให้พนักงานจำนวนมากต้องลาออก

    แม้ Krafton จะรายงานผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การตัดสินใจใช้ AI กลับสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่แฟนเกมและนักพัฒนา หลายคนกังวลว่าเกมจะสูญเสียคุณภาพและความเป็นมนุษย์ที่ทำให้เกมสนุกและมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสกว้างในวงการเกมที่หลายบริษัท เช่น Activision, Blizzard, Riot และ Square Enix ก็เริ่มนำ AI มาใช้ในกระบวนการพัฒนาเกมเช่นกัน แต่ผลลัพธ์กลับถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพลดลง และยังมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนสูงจากการฝึก AI

    แฟนเกมจำนวนมากจึงออกมาเรียกร้องให้ คว่ำบาตรเกมของ Krafton โดยมองว่าการใช้ AI แทนมนุษย์ไม่เพียงแต่ทำลายคุณภาพเกม แต่ยังทำลายอนาคตของแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับโครงสร้างของ Krafton
    ใช้ Agentic AI แทนงานมนุษย์ เช่น การสร้างภาพ, ตัวละคร, บทสนทนา และการทดสอบเกม
    นำเสนอเป็น “การลาออกโดยสมัครใจ” แต่กระทบแรงงานจำนวนมาก

    ผลประกอบการและการลงทุน
    Krafton รายงานกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์
    ประกาศลงทุนครั้งใหญ่ใน AI เพื่ออนาคตของเกม

    กระแสในอุตสาหกรรมเกม
    หลายบริษัทใหญ่ เช่น Activision, Blizzard, Riot, Square Enix กำลังใช้ AI
    ผลลัพธ์ถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพเกมลดลง

    ข้อควรระวังและเสียงวิจารณ์
    ผู้เล่นกังวลว่าเกมจะสูญเสียความเป็นมนุษย์และคุณภาพ
    การใช้ AI อาจทำลายอนาคตแรงงานในอุตสาหกรรมเกม

    https://www.slashgear.com/2028018/krafton-replacing-humans-ai-players-call-for-boycott/
    🎮 Krafton ใช้ AI แทนมนุษย์ – ผู้เล่นเรียกร้องคว่ำบาตร Krafton บริษัทเกมยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่อยู่เบื้องหลัง PUBG ได้ประกาศว่า จะลงทุนครั้งใหญ่ใน Agentic AI เพื่อเข้ามาแทนที่งานที่เคยทำโดยมนุษย์ เช่น การสร้างภาพและทรัพยากรในเกม, การออกแบบตัวละคร, การเขียนบทสนทนา, การทดสอบเกม และการประเมินคุณภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบ “การปรับโครงสร้างโดยสมัครใจ” แต่ในความจริงกลับทำให้พนักงานจำนวนมากต้องลาออก แม้ Krafton จะรายงานผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การตัดสินใจใช้ AI กลับสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่แฟนเกมและนักพัฒนา หลายคนกังวลว่าเกมจะสูญเสียคุณภาพและความเป็นมนุษย์ที่ทำให้เกมสนุกและมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสกว้างในวงการเกมที่หลายบริษัท เช่น Activision, Blizzard, Riot และ Square Enix ก็เริ่มนำ AI มาใช้ในกระบวนการพัฒนาเกมเช่นกัน แต่ผลลัพธ์กลับถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพลดลง และยังมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนสูงจากการฝึก AI แฟนเกมจำนวนมากจึงออกมาเรียกร้องให้ คว่ำบาตรเกมของ Krafton โดยมองว่าการใช้ AI แทนมนุษย์ไม่เพียงแต่ทำลายคุณภาพเกม แต่ยังทำลายอนาคตของแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับโครงสร้างของ Krafton ➡️ ใช้ Agentic AI แทนงานมนุษย์ เช่น การสร้างภาพ, ตัวละคร, บทสนทนา และการทดสอบเกม ➡️ นำเสนอเป็น “การลาออกโดยสมัครใจ” แต่กระทบแรงงานจำนวนมาก ✅ ผลประกอบการและการลงทุน ➡️ Krafton รายงานกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ➡️ ประกาศลงทุนครั้งใหญ่ใน AI เพื่ออนาคตของเกม ✅ กระแสในอุตสาหกรรมเกม ➡️ หลายบริษัทใหญ่ เช่น Activision, Blizzard, Riot, Square Enix กำลังใช้ AI ➡️ ผลลัพธ์ถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพเกมลดลง ‼️ ข้อควรระวังและเสียงวิจารณ์ ⛔ ผู้เล่นกังวลว่าเกมจะสูญเสียความเป็นมนุษย์และคุณภาพ ⛔ การใช้ AI อาจทำลายอนาคตแรงงานในอุตสาหกรรมเกม https://www.slashgear.com/2028018/krafton-replacing-humans-ai-players-call-for-boycott/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Gaming Company Is Replacing Humans With AI, And Players Are Calling For A Boycott - SlashGear
    Companies replacing human workers with AI are facing bigger and bigger backlashes, and one of the largest going on now may spark a full-on boycott.
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • Git 2.52 เพิ่มคำสั่งใหม่เพื่อจัดการ Repository ได้ง่ายขึ้น

    ทีมพัฒนา Git ได้ปล่อย Git 2.52 ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มาพร้อมกับคำสั่งใหม่หลายตัว โดยหนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือคำสั่ง git repo ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลคุณลักษณะต่าง ๆ ของ repository ได้สะดวกขึ้น เช่น โครงสร้าง repo, refs ที่มีอยู่ และ object format ที่ใช้ใน repository นั้น ๆ

    อีกคำสั่งที่น่าสนใจคือ git last-modified ซึ่งสามารถตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์หรือ path ที่กำหนดได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่มีไฟล์จำนวนมาก

    นอกจากนี้ Git 2.52 ยังเพิ่มคำสั่ง git refs exists ที่ทำงานคล้ายกับ git show-ref --exists และปรับปรุงการทำงานของ git commit-graph โดยเพิ่มตัวเลือก --changed-paths ให้เปิดใช้งานได้โดยค่าเริ่มต้น รวมถึงการปรับปรุงคำสั่ง git stash ให้สามารถจำลองการทำงานเหมือนใช้ --index ได้

    การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการปรับปรุงคำสั่งอื่น ๆ เช่น git diff-tree ที่เพิ่มตัวเลือก --max-depth, git fast-import ที่รองรับ signed tags, และ git sparse-checkout ที่เพิ่ม action ใหม่ชื่อ “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งานออกจาก working tree

    สรุปสาระสำคัญ
    คำสั่งใหม่ใน Git 2.52
    git repo สำหรับดึงข้อมูลคุณลักษณะของ repository
    git last-modified สำหรับตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์
    git refs exists สำหรับตรวจสอบการมีอยู่ของ refs

    การปรับปรุงคำสั่งเดิม
    git commit-graph รองรับ --changed-paths โดยค่าเริ่มต้น
    git stash รองรับการจำลอง --index
    git diff-tree เพิ่มตัวเลือก --max-depth

    การจัดการ repository ที่ดีขึ้น
    git fast-import รองรับ signed tags
    git sparse-checkout เพิ่ม action “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งาน

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง configuration เช่น stash.index และ commitGraph.changedPaths
    การใช้คำสั่งใหม่อาจต้องอัปเดตสคริปต์หรือ workflow ที่มีอยู่ให้รองรับ

    https://9to5linux.com/git-2-52-introduces-new-command-for-grabbing-various-repository-characteristics
    📂 Git 2.52 เพิ่มคำสั่งใหม่เพื่อจัดการ Repository ได้ง่ายขึ้น ทีมพัฒนา Git ได้ปล่อย Git 2.52 ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มาพร้อมกับคำสั่งใหม่หลายตัว โดยหนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือคำสั่ง git repo ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลคุณลักษณะต่าง ๆ ของ repository ได้สะดวกขึ้น เช่น โครงสร้าง repo, refs ที่มีอยู่ และ object format ที่ใช้ใน repository นั้น ๆ อีกคำสั่งที่น่าสนใจคือ git last-modified ซึ่งสามารถตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์หรือ path ที่กำหนดได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่มีไฟล์จำนวนมาก นอกจากนี้ Git 2.52 ยังเพิ่มคำสั่ง git refs exists ที่ทำงานคล้ายกับ git show-ref --exists และปรับปรุงการทำงานของ git commit-graph โดยเพิ่มตัวเลือก --changed-paths ให้เปิดใช้งานได้โดยค่าเริ่มต้น รวมถึงการปรับปรุงคำสั่ง git stash ให้สามารถจำลองการทำงานเหมือนใช้ --index ได้ การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการปรับปรุงคำสั่งอื่น ๆ เช่น git diff-tree ที่เพิ่มตัวเลือก --max-depth, git fast-import ที่รองรับ signed tags, และ git sparse-checkout ที่เพิ่ม action ใหม่ชื่อ “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งานออกจาก working tree 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คำสั่งใหม่ใน Git 2.52 ➡️ git repo สำหรับดึงข้อมูลคุณลักษณะของ repository ➡️ git last-modified สำหรับตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์ ➡️ git refs exists สำหรับตรวจสอบการมีอยู่ของ refs ✅ การปรับปรุงคำสั่งเดิม ➡️ git commit-graph รองรับ --changed-paths โดยค่าเริ่มต้น ➡️ git stash รองรับการจำลอง --index ➡️ git diff-tree เพิ่มตัวเลือก --max-depth ✅ การจัดการ repository ที่ดีขึ้น ➡️ git fast-import รองรับ signed tags ➡️ git sparse-checkout เพิ่ม action “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งาน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง configuration เช่น stash.index และ commitGraph.changedPaths ⛔ การใช้คำสั่งใหม่อาจต้องอัปเดตสคริปต์หรือ workflow ที่มีอยู่ให้รองรับ https://9to5linux.com/git-2-52-introduces-new-command-for-grabbing-various-repository-characteristics
    9TO5LINUX.COM
    Git 2.52 Introduces New Command for Grabbing Various Repository Characteristics - 9to5Linux
    Git 2.52 open-source distributed version control system is now available for download with numerous new features and improvements.
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • VKD3D-Proton 3.0 มาพร้อม FSR4 และ Shader Backend Rewrite

    ทีมพัฒนา VKD3D-Proton ได้ปล่อยเวอร์ชัน 3.0 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่หลังจาก Proton 10 โดยมีการเพิ่มการรองรับ AMD FidelityFX Super Resolution 4 (FSR4) ผ่านการใช้ Vulkan extensions เช่น VK_KHR_cooperative_matrix และ VK_KHR_shader_float8 ทำให้เกมที่รองรับสามารถเรนเดอร์ได้คมชัดขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นบน Linux

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเขียนระบบ DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด แทนที่ระบบเก่า (vkd3d-shader) ที่มีบั๊กและฟีเจอร์ไม่ครบ ส่งผลให้เกมที่เคยไม่สามารถรันได้ เช่น Red Dead Redemption 2 ตอนนี้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในโหมด D3D12

    นอกจากนี้ VKD3D-Proton 3.0 ยังเพิ่มการรองรับ D3D12 Work Graphs, ปรับปรุงการทำงานกับ AgilitySDK, และเพิ่มการจัดการทรัพยากรใหม่ เช่น Sparse TIER_4 รวมถึงระบบ batching logic ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายเกม อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาการทำงานกับ Halo Infinite, The Last of Us Part 1, และเกมดังอื่น ๆ เช่น Death Stranding, Helldivers II, Star Citizen, Final Fantasy VII Rebirth, Monster Hunter Wilds, Starfield และอีกมากมาย

    การอัปเดตนี้ยังช่วยให้ VKD3D-Proton ใช้งานง่ายขึ้นในโปรเจกต์ Linux-native และปรับปรุงการทำงานกับการบีบอัด GDeflate รวมถึงการจัดการภาพแบบ depth/stencil ↔ color copies ได้ดีขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับเกม Windows ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน VKD3D-Proton 3.0
    รองรับ AMD FSR4 ผ่าน Vulkan extensions
    เขียน DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด

    การปรับปรุงเกมที่รองรับ
    Red Dead Redemption 2 รันได้ในโหมด D3D12
    ปรับปรุงเกมดัง เช่น Halo Infinite, The Last of Us Part 1, Death Stranding, Starfield

    ฟีเจอร์ด้านเทคนิคเพิ่มเติม
    รองรับ D3D12 Work Graphs และ Sparse TIER_4
    ปรับปรุง batching logic และการจัดการ GDeflate

    การใช้งานใน Linux-native projects
    ทำให้การนำ VKD3D-Proton ไปใช้ในโปรเจกต์ Linux ง่ายขึ้น
    ปรับปรุงการจัดการ depth/stencil ↔ color copies

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ต้องใช้ Vulkan extensions รุ่นใหม่เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้เต็มที่
    เกมบางเกมอาจยังมีบั๊กที่ต้องรอการแก้ไขเพิ่มเติม

    https://9to5linux.com/vkd3d-proton-3-0-released-with-fsr4-support-dxbc-shader-backend-rewrite
    🎮 VKD3D-Proton 3.0 มาพร้อม FSR4 และ Shader Backend Rewrite ทีมพัฒนา VKD3D-Proton ได้ปล่อยเวอร์ชัน 3.0 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่หลังจาก Proton 10 โดยมีการเพิ่มการรองรับ AMD FidelityFX Super Resolution 4 (FSR4) ผ่านการใช้ Vulkan extensions เช่น VK_KHR_cooperative_matrix และ VK_KHR_shader_float8 ทำให้เกมที่รองรับสามารถเรนเดอร์ได้คมชัดขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นบน Linux หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเขียนระบบ DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด แทนที่ระบบเก่า (vkd3d-shader) ที่มีบั๊กและฟีเจอร์ไม่ครบ ส่งผลให้เกมที่เคยไม่สามารถรันได้ เช่น Red Dead Redemption 2 ตอนนี้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในโหมด D3D12 นอกจากนี้ VKD3D-Proton 3.0 ยังเพิ่มการรองรับ D3D12 Work Graphs, ปรับปรุงการทำงานกับ AgilitySDK, และเพิ่มการจัดการทรัพยากรใหม่ เช่น Sparse TIER_4 รวมถึงระบบ batching logic ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายเกม อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาการทำงานกับ Halo Infinite, The Last of Us Part 1, และเกมดังอื่น ๆ เช่น Death Stranding, Helldivers II, Star Citizen, Final Fantasy VII Rebirth, Monster Hunter Wilds, Starfield และอีกมากมาย การอัปเดตนี้ยังช่วยให้ VKD3D-Proton ใช้งานง่ายขึ้นในโปรเจกต์ Linux-native และปรับปรุงการทำงานกับการบีบอัด GDeflate รวมถึงการจัดการภาพแบบ depth/stencil ↔ color copies ได้ดีขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับเกม Windows ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน VKD3D-Proton 3.0 ➡️ รองรับ AMD FSR4 ผ่าน Vulkan extensions ➡️ เขียน DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด ✅ การปรับปรุงเกมที่รองรับ ➡️ Red Dead Redemption 2 รันได้ในโหมด D3D12 ➡️ ปรับปรุงเกมดัง เช่น Halo Infinite, The Last of Us Part 1, Death Stranding, Starfield ✅ ฟีเจอร์ด้านเทคนิคเพิ่มเติม ➡️ รองรับ D3D12 Work Graphs และ Sparse TIER_4 ➡️ ปรับปรุง batching logic และการจัดการ GDeflate ✅ การใช้งานใน Linux-native projects ➡️ ทำให้การนำ VKD3D-Proton ไปใช้ในโปรเจกต์ Linux ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุงการจัดการ depth/stencil ↔ color copies ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ต้องใช้ Vulkan extensions รุ่นใหม่เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้เต็มที่ ⛔ เกมบางเกมอาจยังมีบั๊กที่ต้องรอการแก้ไขเพิ่มเติม https://9to5linux.com/vkd3d-proton-3-0-released-with-fsr4-support-dxbc-shader-backend-rewrite
    9TO5LINUX.COM
    VKD3D-Proton 3.0 Released with FSR4 Support, DXBC Shader Backend Rewrite - 9to5Linux
    VKD3D-Proton 3.0 open-source implementation of the full Direct3D 12 API on top of Vulkan is now available for download as a major update.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • openSUSE ปล่อย Agama 18 Installer รุ่นล่าสุด

    ทีมพัฒนา openSUSE ได้ประกาศเปิดตัว Agama 18 Installer สำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในหน้าจอ Storage Configuration ให้มีการจัดเรียงข้อมูลใหม่ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าดิสก์จะถูกจัดการอย่างไร การออกแบบใหม่นี้ช่วยลดความซับซ้อนและเหมาะสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับการตั้งค่าระบบจัดเก็บข้อมูล

    นอกจากนี้ Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับ Direct-Access Storage Device (DASD) บนเครื่อง IBM System/390 Mainframe ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น ถือเป็นการขยายขอบเขตการใช้งานของ openSUSE ไปสู่ระบบองค์กรที่ต้องการความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับปรุงการทำงานกับ JSON Configuration โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของ JSON Profile ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องรัน Agama Installer ซึ่งช่วยให้การปรับแต่งการติดตั้งทำได้รวดเร็วและลดความผิดพลาดในการตั้งค่า

    Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับการอัปเดตผ่าน SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories รวมถึงการติดตั้งเวอร์ชันทดสอบของ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 อีกด้วย ขณะเดียวกันได้ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit) และลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่สามารถติดตั้งได้

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับปรุง Storage UI
    หน้าจอ Storage ถูกออกแบบใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น
    ลดความซับซ้อนสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่

    รองรับ DASD บน System/390
    ช่วยจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น
    เหมาะสำหรับระบบองค์กรที่ใช้ Mainframe

    การปรับปรุง JSON Configuration
    ตรวจสอบ JSON Profile ได้โดยไม่ต้องรัน Agama
    ลดความผิดพลาดในการตั้งค่า

    การอัปเดตและการรองรับเวอร์ชันใหม่
    รองรับ SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories
    ติดตั้งเวอร์ชันทดสอบ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 ได้

    ข้อควรระวัง
    ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit)
    ลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่ติดตั้งได้

    https://9to5linux.com/opensuse-releases-agama-18-installer-with-cleaner-and-more-intuitive-storage-ui
    💻 openSUSE ปล่อย Agama 18 Installer รุ่นล่าสุด ทีมพัฒนา openSUSE ได้ประกาศเปิดตัว Agama 18 Installer สำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในหน้าจอ Storage Configuration ให้มีการจัดเรียงข้อมูลใหม่ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าดิสก์จะถูกจัดการอย่างไร การออกแบบใหม่นี้ช่วยลดความซับซ้อนและเหมาะสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับการตั้งค่าระบบจัดเก็บข้อมูล นอกจากนี้ Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับ Direct-Access Storage Device (DASD) บนเครื่อง IBM System/390 Mainframe ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น ถือเป็นการขยายขอบเขตการใช้งานของ openSUSE ไปสู่ระบบองค์กรที่ต้องการความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับปรุงการทำงานกับ JSON Configuration โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของ JSON Profile ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องรัน Agama Installer ซึ่งช่วยให้การปรับแต่งการติดตั้งทำได้รวดเร็วและลดความผิดพลาดในการตั้งค่า Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับการอัปเดตผ่าน SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories รวมถึงการติดตั้งเวอร์ชันทดสอบของ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 อีกด้วย ขณะเดียวกันได้ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit) และลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่สามารถติดตั้งได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับปรุง Storage UI ➡️ หน้าจอ Storage ถูกออกแบบใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น ➡️ ลดความซับซ้อนสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ ✅ รองรับ DASD บน System/390 ➡️ ช่วยจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับระบบองค์กรที่ใช้ Mainframe ✅ การปรับปรุง JSON Configuration ➡️ ตรวจสอบ JSON Profile ได้โดยไม่ต้องรัน Agama ➡️ ลดความผิดพลาดในการตั้งค่า ✅ การอัปเดตและการรองรับเวอร์ชันใหม่ ➡️ รองรับ SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories ➡️ ติดตั้งเวอร์ชันทดสอบ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 ได้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit) ⛔ ลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่ติดตั้งได้ https://9to5linux.com/opensuse-releases-agama-18-installer-with-cleaner-and-more-intuitive-storage-ui
    9TO5LINUX.COM
    openSUSE Releases Agama 18 Installer with Cleaner and More Intuitive Storage UI - 9to5Linux
    openSUSE releases Agama 18 installer for Tumbleweed and Slowroll with a cleaner and more intuitive Storage configuration page.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
More Results