• บทความกฎหมาย EP.46

    การเจรจาซึ่งถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการหารือเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งหรือเพื่อจัดทำข้อตกลงนั้น มิได้เป็นเพียงทักษะทางสังคมหรือการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในทางนิติศาสตร์และระบบกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ การเจรจาในบริบททางกฎหมายนั้นมีความซับซ้อนและมีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอธิปไตย หรือการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย การเจรจาในระดับรัฐต่อรัฐ (State-to-State Negotiation) ตามภาพที่นำเสนอ ซึ่งมีบริบททางทหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นการสะท้อนถึงเดิมพันที่สูงยิ่งและความจำเป็นในการใช้ความรอบคอบทางกฎหมายอย่างสูงสุด หลักการพื้นฐานของการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น หลักความสุจริต (Pacta Sunt Servanda) ที่หมายถึงการที่คู่เจรจาทุกฝ่ายต้องดำเนินการเจรจาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และมุ่งมั่นที่จะบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมและปฏิบัติได้จริงตามกฎหมายสนธิสัญญา นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคแห่งรัฐอธิปไตย (Sovereign Equality) ซึ่งเป็นรากฐานของการยอมรับในศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระของแต่ละฝ่าย ทำให้ไม่มีรัฐใดมีอำนาจเหนือกว่าอีกรัฐหนึ่งในทางกฎหมาย การเจรจาจึงต้องเป็นไปบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจหมายถึงการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางอาณาเขต ข้อพิพาทเรื่องทรัพยากร หรือการยุติสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งจำเป็นต้องอ้างอิงและปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) และข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมอาวุธ การมีอยู่ของทหารมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเจรจา แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความตึงเครียดและระดับความจริงจังของประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งทำให้ทุกถ้อยคำและเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายใต้กรอบของพันธกรณีทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม การเจรจาในระดับนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย แต่เป็นการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ การร่างสนธิสัญญา (Treaty Drafting) ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทุกฝ่ายต้องมั่นใจว่าภาษาที่ใช้ในข้อตกลงนั้นมีความชัดเจน ไม่กำกวม และสะท้อนเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลอย่างถูกต้องตามหลักการตีความสนธิสัญญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

    เนื้อหาของการเจรจาในบริบททางกฎหมาย มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การยุติข้อพิพาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายใหม่ การจัดทำเขตแดน การกำหนดสิทธิและหน้าที่ทางการค้า การลงทุน หรือแม้กระทั่งการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความสำเร็จของการเจรจาจึงวัดได้จากความสามารถในการแปลงความต้องการทางการเมืองให้เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ได้จริงและมีเสถียรภาพ ในทางปฏิบัติ การเจรจายังต้องคำนึงถึงอำนาจในการให้สัตยาบัน (Ratification) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ หลังจากที่ผู้แทนลงนามในข้อตกลงแล้ว ข้อตกลงนั้นยังไม่ถือว่ามีผลสมบูรณ์จนกว่าจะผ่านกระบวนการอนุมัติภายในประเทศ เช่น การให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นสอดคล้องกับกฎหมายและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ การเจรจาจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างมิติทางการทูต มิติทางกฎหมายระหว่างประเทศ และมิติทางกฎหมายรัฐธรรมนูญภายในประเทศเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ในกรณีที่การเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ หรือเกิดการละเมิดข้อตกลงภายหลังการลงนาม กลไกทางกฎหมายก็ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้ง เช่น การใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ย การประนอมข้อพิพาท หรือการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration Tribunal) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด กฎหมายก็ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ การเจรจาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยผู้เจรจาที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักการและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐตนเองในขณะเดียวกันก็เคารพในกฎเกณฑ์และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีเสถียรภาพในประชาคมโลก

    ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นมากกว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนและทรงพลังที่สุดในการบริหารจัดการความขัดแย้งและสร้างพันธกรณีระหว่างประเทศ การบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักความสุจริต หลักความเสมอภาค และการเคารพต่อระบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด แม้ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางและมีแรงกดดันทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง การเจรจาจึงเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงอารยธรรมและความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่จะใช้เหตุผลและกฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการใช้กำลังหรือการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการเปลี่ยนความขัดแย้งที่ยุ่งเหยิงให้กลายเป็นข้อตกลงที่ชัดเจนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพและความสงบสุขในระยะยาว การเจรจาที่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดคือการก่อรูปของกฎหมายที่ยอมรับร่วมกัน
    บทความกฎหมาย EP.46 การเจรจาซึ่งถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการหารือเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งหรือเพื่อจัดทำข้อตกลงนั้น มิได้เป็นเพียงทักษะทางสังคมหรือการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในทางนิติศาสตร์และระบบกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ การเจรจาในบริบททางกฎหมายนั้นมีความซับซ้อนและมีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอธิปไตย หรือการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย การเจรจาในระดับรัฐต่อรัฐ (State-to-State Negotiation) ตามภาพที่นำเสนอ ซึ่งมีบริบททางทหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นการสะท้อนถึงเดิมพันที่สูงยิ่งและความจำเป็นในการใช้ความรอบคอบทางกฎหมายอย่างสูงสุด หลักการพื้นฐานของการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น หลักความสุจริต (Pacta Sunt Servanda) ที่หมายถึงการที่คู่เจรจาทุกฝ่ายต้องดำเนินการเจรจาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และมุ่งมั่นที่จะบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมและปฏิบัติได้จริงตามกฎหมายสนธิสัญญา นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคแห่งรัฐอธิปไตย (Sovereign Equality) ซึ่งเป็นรากฐานของการยอมรับในศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระของแต่ละฝ่าย ทำให้ไม่มีรัฐใดมีอำนาจเหนือกว่าอีกรัฐหนึ่งในทางกฎหมาย การเจรจาจึงต้องเป็นไปบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจหมายถึงการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางอาณาเขต ข้อพิพาทเรื่องทรัพยากร หรือการยุติสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งจำเป็นต้องอ้างอิงและปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) และข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมอาวุธ การมีอยู่ของทหารมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเจรจา แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความตึงเครียดและระดับความจริงจังของประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งทำให้ทุกถ้อยคำและเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายใต้กรอบของพันธกรณีทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม การเจรจาในระดับนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย แต่เป็นการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ การร่างสนธิสัญญา (Treaty Drafting) ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทุกฝ่ายต้องมั่นใจว่าภาษาที่ใช้ในข้อตกลงนั้นมีความชัดเจน ไม่กำกวม และสะท้อนเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลอย่างถูกต้องตามหลักการตีความสนธิสัญญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เนื้อหาของการเจรจาในบริบททางกฎหมาย มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การยุติข้อพิพาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายใหม่ การจัดทำเขตแดน การกำหนดสิทธิและหน้าที่ทางการค้า การลงทุน หรือแม้กระทั่งการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความสำเร็จของการเจรจาจึงวัดได้จากความสามารถในการแปลงความต้องการทางการเมืองให้เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ได้จริงและมีเสถียรภาพ ในทางปฏิบัติ การเจรจายังต้องคำนึงถึงอำนาจในการให้สัตยาบัน (Ratification) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ หลังจากที่ผู้แทนลงนามในข้อตกลงแล้ว ข้อตกลงนั้นยังไม่ถือว่ามีผลสมบูรณ์จนกว่าจะผ่านกระบวนการอนุมัติภายในประเทศ เช่น การให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นสอดคล้องกับกฎหมายและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ การเจรจาจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างมิติทางการทูต มิติทางกฎหมายระหว่างประเทศ และมิติทางกฎหมายรัฐธรรมนูญภายในประเทศเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ในกรณีที่การเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ หรือเกิดการละเมิดข้อตกลงภายหลังการลงนาม กลไกทางกฎหมายก็ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้ง เช่น การใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ย การประนอมข้อพิพาท หรือการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration Tribunal) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด กฎหมายก็ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ การเจรจาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยผู้เจรจาที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักการและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐตนเองในขณะเดียวกันก็เคารพในกฎเกณฑ์และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีเสถียรภาพในประชาคมโลก ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นมากกว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนและทรงพลังที่สุดในการบริหารจัดการความขัดแย้งและสร้างพันธกรณีระหว่างประเทศ การบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักความสุจริต หลักความเสมอภาค และการเคารพต่อระบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด แม้ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางและมีแรงกดดันทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง การเจรจาจึงเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงอารยธรรมและความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่จะใช้เหตุผลและกฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการใช้กำลังหรือการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการเปลี่ยนความขัดแย้งที่ยุ่งเหยิงให้กลายเป็นข้อตกลงที่ชัดเจนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพและความสงบสุขในระยะยาว การเจรจาที่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดคือการก่อรูปของกฎหมายที่ยอมรับร่วมกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความปรารถนาของ Sapphire ที่จะมีอิสระมากขึ้นในการออกแบบการ์ดจอ

    Edward Crisler ผู้จัดการ PR ของ Sapphire กล่าวในพอดแคสต์กับ Hardware Unboxed ว่า เขาอยากให้บริษัทมีอิสระในการออกแบบการ์ดจอมากกว่านี้ ปัจจุบัน AMD และ Nvidia กำหนดข้อจำกัดด้าน power delivery, memory capacity และ voltage control ทำให้ทุกการ์ดจากผู้ผลิตต่าง ๆ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ความแตกต่างจึงเหลือเพียง ดีไซน์ของชุดระบายความร้อนและบริการหลังการขาย.

    ข้อจำกัดที่ทำให้ Toxic หายไป
    Crisler ระบุว่า การ์ดจอซีรีส์ Toxic ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Sapphire ไม่สามารถออกมาได้ทุกเจนเนอเรชัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อกและพลังงานที่ AMD กำหนดไว้ Toxic เคยเป็นสัญลักษณ์ของการ์ดที่แรงที่สุด แต่ในยุคปัจจุบัน headroom สำหรับการปรับแต่งถูกลดลง จนไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากเหมือนเดิม.

    ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
    เขายังกล่าวถึงการใช้ 12VHPWR connector ใน RX 9070 XT Nitro+ ที่มีปัญหาเพียง 3 เคส ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการใช้ อะแดปเตอร์ 16-pin ที่ผิดพลาด ไม่ใช่ตัวการ์ดหรือ PSU ของ Sapphire เอง นี่สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและการออกแบบที่ปลอดภัย.

    มุมมองต่อการตลาดและข้อมูล
    Crisler ตั้งข้อสังเกตว่า Steam Hardware Survey ไม่ได้สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด เพราะมีเพียง 1/12 ของผู้ใช้ที่ถูกสุ่มให้ตอบ เขาเชื่อว่า AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่มักถูกเผยแพร่.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อจำกัดจาก AMD/Nvidia
    จำกัดการโอเวอร์คล็อก, power delivery และ memory capacity
    ทำให้การ์ดจากทุกแบรนด์มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

    ผลกระทบต่อ Toxic Series
    ไม่สามารถออกทุกเจนเนอเรชัน
    Headroom สำหรับการปรับแต่งลดลง

    ความน่าเชื่อถือของ Sapphire
    ปัญหา 12VHPWR connector เกิดจากอะแดปเตอร์ ไม่ใช่ตัวการ์ด
    Sapphire ยืนยันความปลอดภัยของการออกแบบ

    มุมมองต่อข้อมูลตลาด
    Steam Survey อาจไม่แม่นยำ
    AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40%

    ข้อควรระวัง
    การจำกัดอิสระของ AIB partners อาจทำให้ตลาดขาดนวัตกรรม
    Toxic series อาจไม่กลับมาเต็มรูปแบบหากข้อจำกัดยังคงอยู่
    การตีความข้อมูลตลาดผิดพลาดอาจทำให้บริษัทวางกลยุทธ์คลาดเคลื่อน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/sapphire-pr-manager-wishes-amd-and-nvidia-would-let-partners-run-wild-with-design-wants-freedom-to-bring-back-toxic-line-more-often
    🎨 ความปรารถนาของ Sapphire ที่จะมีอิสระมากขึ้นในการออกแบบการ์ดจอ Edward Crisler ผู้จัดการ PR ของ Sapphire กล่าวในพอดแคสต์กับ Hardware Unboxed ว่า เขาอยากให้บริษัทมีอิสระในการออกแบบการ์ดจอมากกว่านี้ ปัจจุบัน AMD และ Nvidia กำหนดข้อจำกัดด้าน power delivery, memory capacity และ voltage control ทำให้ทุกการ์ดจากผู้ผลิตต่าง ๆ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ความแตกต่างจึงเหลือเพียง ดีไซน์ของชุดระบายความร้อนและบริการหลังการขาย. ⚡ ข้อจำกัดที่ทำให้ Toxic หายไป Crisler ระบุว่า การ์ดจอซีรีส์ Toxic ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Sapphire ไม่สามารถออกมาได้ทุกเจนเนอเรชัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อกและพลังงานที่ AMD กำหนดไว้ Toxic เคยเป็นสัญลักษณ์ของการ์ดที่แรงที่สุด แต่ในยุคปัจจุบัน headroom สำหรับการปรับแต่งถูกลดลง จนไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากเหมือนเดิม. 🔒 ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เขายังกล่าวถึงการใช้ 12VHPWR connector ใน RX 9070 XT Nitro+ ที่มีปัญหาเพียง 3 เคส ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการใช้ อะแดปเตอร์ 16-pin ที่ผิดพลาด ไม่ใช่ตัวการ์ดหรือ PSU ของ Sapphire เอง นี่สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและการออกแบบที่ปลอดภัย. 🌐 มุมมองต่อการตลาดและข้อมูล Crisler ตั้งข้อสังเกตว่า Steam Hardware Survey ไม่ได้สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด เพราะมีเพียง 1/12 ของผู้ใช้ที่ถูกสุ่มให้ตอบ เขาเชื่อว่า AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่มักถูกเผยแพร่. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อจำกัดจาก AMD/Nvidia ➡️ จำกัดการโอเวอร์คล็อก, power delivery และ memory capacity ➡️ ทำให้การ์ดจากทุกแบรนด์มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ✅ ผลกระทบต่อ Toxic Series ➡️ ไม่สามารถออกทุกเจนเนอเรชัน ➡️ Headroom สำหรับการปรับแต่งลดลง ✅ ความน่าเชื่อถือของ Sapphire ➡️ ปัญหา 12VHPWR connector เกิดจากอะแดปเตอร์ ไม่ใช่ตัวการ์ด ➡️ Sapphire ยืนยันความปลอดภัยของการออกแบบ ✅ มุมมองต่อข้อมูลตลาด ➡️ Steam Survey อาจไม่แม่นยำ ➡️ AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การจำกัดอิสระของ AIB partners อาจทำให้ตลาดขาดนวัตกรรม ⛔ Toxic series อาจไม่กลับมาเต็มรูปแบบหากข้อจำกัดยังคงอยู่ ⛔ การตีความข้อมูลตลาดผิดพลาดอาจทำให้บริษัทวางกลยุทธ์คลาดเคลื่อน https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/sapphire-pr-manager-wishes-amd-and-nvidia-would-let-partners-run-wild-with-design-wants-freedom-to-bring-back-toxic-line-more-often
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • ExtrudeX: เครื่องรีไซเคิลฟิลาเมนต์สำหรับบ้าน

    ExtrudeX ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติที่มักเกิดจาก supports, failed prints และเศษเหลือใช้ โดยผู้ใช้สามารถสร้างเครื่องนี้เองจากไฟล์ STL ที่ทีมงาน Creative3DP แจกให้ พร้อมซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น มอเตอร์, ตัวควบคุมอุณหภูมิ และพัดลม ในราคาประมาณ 180–250 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกกว่าการซื้อเครื่องรีไซเคิลเชิงพาณิชย์หลายเท่า.

    วิธีการทำงาน
    เครื่อง ExtrudeX มี hopper สำหรับใส่เม็ดพลาสติก (pellets) ที่ผสมจากพลาสติกใหม่ 60% และเศษรีไซเคิล 40% จากนั้นเม็ดจะถูกทำให้ร้อนและดันออกทางหัวฉีด ก่อนจะถูก puller ดึงออกเป็นเส้นฟิลาเมนต์ต่อเนื่อง มีพัดลมช่วยทำให้เส้นเย็นตัวเร็วและแข็งแรงขึ้น ผู้ใช้สามารถติดตั้ง gauge meter เพื่อตรวจสอบเส้นผ่านศูนย์กลางของฟิลาเมนต์แบบเรียลไทม์ได้.

    จุดเด่นและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้
    เครื่องนี้ถูกออกแบบให้ พกพาได้ มีหูหิ้วสำหรับเคลื่อนย้าย และมีคู่มือการประกอบพร้อมวิดีโอสอนการใช้งาน ExtrudeX ไม่ได้ขายเป็นเครื่องสำเร็จ แต่ขายเป็น blueprint และไฟล์ STL ผ่าน Kickstarter โดยราคาเริ่มต้นที่ 49 ดอลลาร์สำหรับผู้สนับสนุนทั่วไป และ 109 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิ์เชิงพาณิชย์.

    ผลกระทบต่อวงการ 3D Printing
    แม้ ExtrudeX จะยังไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดขยะพลาสติกในงานพิมพ์ 3 มิติ และช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองสร้างฟิลาเมนต์เองได้ที่บ้าน ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง Maker Culture และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติของ ExtrudeX
    สร้างได้เองจากไฟล์ STL และฮาร์ดแวร์ราคาประหยัด
    ใช้เม็ดพลาสติกผสม 60% ใหม่ + 40% รีไซเคิล
    มีระบบ puller และพัดลมช่วยให้เส้นฟิลาเมนต์แข็งแรง

    การทำงานและการใช้งาน
    Hopper ใส่เม็ดพลาสติก → barrel ทำให้ร้อน → nozzle ดันออก
    Puller ดึงเส้นต่อเนื่องและ gauge meter ตรวจสอบขนาด
    พกพาได้ มีหูหิ้วและคู่มือการประกอบ

    Kickstarter Campaign
    ราคาเริ่มต้น 49 ดอลลาร์สำหรับ blueprint
    109 ดอลลาร์สำหรับสิทธิ์เชิงพาณิชย์
    มีการสนับสนุนแบบ one-on-one และวิดีโอสอน

    ผลกระทบต่อวงการ
    ลดขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติ
    เปิดโอกาสให้ Maker สร้างฟิลาเมนต์เองที่บ้าน
    เป็นแนวทางใหม่ในการรีไซเคิลที่เข้าถึงง่าย

    ข้อควรระวัง
    ไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% (ต้องผสมพลาสติกใหม่)
    คุณภาพฟิลาเมนต์อาจยังไม่เสถียรเท่าเชิงพาณิชย์
    ต้องบดเศษพลาสติกให้เป็นเม็ดก่อนใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/the-extrudex-machine-wants-to-turn-your-3d-printing-waste-into-reusable-filament-all-at-home-this-kickstarter-project-is-itself-3d-printable-with-minimal-hardware-costs
    ♻️ ExtrudeX: เครื่องรีไซเคิลฟิลาเมนต์สำหรับบ้าน ExtrudeX ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติที่มักเกิดจาก supports, failed prints และเศษเหลือใช้ โดยผู้ใช้สามารถสร้างเครื่องนี้เองจากไฟล์ STL ที่ทีมงาน Creative3DP แจกให้ พร้อมซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น มอเตอร์, ตัวควบคุมอุณหภูมิ และพัดลม ในราคาประมาณ 180–250 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกกว่าการซื้อเครื่องรีไซเคิลเชิงพาณิชย์หลายเท่า. ⚙️ วิธีการทำงาน เครื่อง ExtrudeX มี hopper สำหรับใส่เม็ดพลาสติก (pellets) ที่ผสมจากพลาสติกใหม่ 60% และเศษรีไซเคิล 40% จากนั้นเม็ดจะถูกทำให้ร้อนและดันออกทางหัวฉีด ก่อนจะถูก puller ดึงออกเป็นเส้นฟิลาเมนต์ต่อเนื่อง มีพัดลมช่วยทำให้เส้นเย็นตัวเร็วและแข็งแรงขึ้น ผู้ใช้สามารถติดตั้ง gauge meter เพื่อตรวจสอบเส้นผ่านศูนย์กลางของฟิลาเมนต์แบบเรียลไทม์ได้. 💡 จุดเด่นและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ เครื่องนี้ถูกออกแบบให้ พกพาได้ มีหูหิ้วสำหรับเคลื่อนย้าย และมีคู่มือการประกอบพร้อมวิดีโอสอนการใช้งาน ExtrudeX ไม่ได้ขายเป็นเครื่องสำเร็จ แต่ขายเป็น blueprint และไฟล์ STL ผ่าน Kickstarter โดยราคาเริ่มต้นที่ 49 ดอลลาร์สำหรับผู้สนับสนุนทั่วไป และ 109 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิ์เชิงพาณิชย์. 🌍 ผลกระทบต่อวงการ 3D Printing แม้ ExtrudeX จะยังไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดขยะพลาสติกในงานพิมพ์ 3 มิติ และช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองสร้างฟิลาเมนต์เองได้ที่บ้าน ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง Maker Culture และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ ExtrudeX ➡️ สร้างได้เองจากไฟล์ STL และฮาร์ดแวร์ราคาประหยัด ➡️ ใช้เม็ดพลาสติกผสม 60% ใหม่ + 40% รีไซเคิล ➡️ มีระบบ puller และพัดลมช่วยให้เส้นฟิลาเมนต์แข็งแรง ✅ การทำงานและการใช้งาน ➡️ Hopper ใส่เม็ดพลาสติก → barrel ทำให้ร้อน → nozzle ดันออก ➡️ Puller ดึงเส้นต่อเนื่องและ gauge meter ตรวจสอบขนาด ➡️ พกพาได้ มีหูหิ้วและคู่มือการประกอบ ✅ Kickstarter Campaign ➡️ ราคาเริ่มต้น 49 ดอลลาร์สำหรับ blueprint ➡️ 109 ดอลลาร์สำหรับสิทธิ์เชิงพาณิชย์ ➡️ มีการสนับสนุนแบบ one-on-one และวิดีโอสอน ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ ลดขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติ ➡️ เปิดโอกาสให้ Maker สร้างฟิลาเมนต์เองที่บ้าน ➡️ เป็นแนวทางใหม่ในการรีไซเคิลที่เข้าถึงง่าย ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% (ต้องผสมพลาสติกใหม่) ⛔ คุณภาพฟิลาเมนต์อาจยังไม่เสถียรเท่าเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องบดเศษพลาสติกให้เป็นเม็ดก่อนใช้งาน https://www.tomshardware.com/3d-printing/the-extrudex-machine-wants-to-turn-your-3d-printing-waste-into-reusable-filament-all-at-home-this-kickstarter-project-is-itself-3d-printable-with-minimal-hardware-costs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • HDD ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส

    ตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) กำลังกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจากราคาสัญญาเพิ่มขึ้นกว่า 4% ในไตรมาส 4 ปี 2025 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาสติดต่อกัน ปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการในจีน ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และ การขยายตัวของศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมหาศาล.

    จีนหนุนตลาด HDD
    นโยบายจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลจีนที่เน้นใช้ CPU และระบบปฏิบัติการที่ผลิตในประเทศ ทำให้การผลิต PC ภายในประเทศพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้ความต้องการ HDD เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด เหตุผลสำคัญคือความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลระยะยาวใน SSD ที่อาจเสื่อมสภาพจาก NAND flash memory เมื่อเก็บไว้นาน ทำให้ HDD ถูกมองว่าเชื่อถือได้มากกว่าในบางกรณี.

    ศูนย์ข้อมูล AI ดันความต้องการ
    ในสหรัฐฯ ศูนย์ข้อมูลที่รองรับงาน AI และ Machine Learning ยังคงพึ่งพา HDD ขนาดใหญ่สำหรับการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล แม้ SSD จะมีความเร็วสูงกว่า แต่ HDD ยังคงได้เปรียบในด้าน ต้นทุนต่อกิกะไบต์ และความเหมาะสมในการเก็บข้อมูลแบบ cold/warm storage ส่งผลให้ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ยังคงสั่งซื้อ HDD ในปริมาณมหาศาล.

    ความท้าทายด้านการผลิต
    แม้ผู้ผลิต HDD จะเดินเครื่องเต็มกำลัง แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทัน เนื่องจากการผลิต HDD ต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะทาง เช่น หัวอ่าน/เขียน และแผ่นบันทึกข้อมูล ที่ไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้รวดเร็วเหมือน NAND flash การขาดแคลน DRAM ที่ใช้เป็น cache memory ก็ยิ่งเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส
    HDD contract prices เพิ่มขึ้น 4% ใน Q4 2025
    แนวโน้มราคายังมีแรงกดดันต่อเนื่อง

    ปัจจัยจากจีน
    นโยบายจัดซื้อ PC ในประเทศหนุนการผลิต
    ความกังวลเรื่อง SSD เก็บข้อมูลระยะยาว ทำให้ HDD ถูกเลือกมากขึ้น

    ปัจจัยจากสหรัฐฯ
    ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ HDD ความจุสูง
    HDD ยังคงได้เปรียบด้านต้นทุนต่อกิกะไบต์

    ข้อจำกัดการผลิต
    ชิ้นส่วนเฉพาะทางทำให้การเพิ่มกำลังผลิตทำได้ช้า
    DRAM ขาดแคลนเพิ่มต้นทุนการผลิต HDD

    ข้อควรระวัง
    ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่องหากความต้องการยังพุ่ง
    การขาดแคลน DRAM และชิ้นส่วนสำคัญอาจทำให้ซัพพลายไม่ทัน
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาที่สูงขึ้น แม้ HDD เคยเป็นตัวเลือกประหยัด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/hdd-prices-spike-as-ai-infrastructure-and-chinas-pc-push-collide-hard-drives-record-biggest-price-increase-in-eight-quarters-suppliers-warn-pressure-will-continue
    💾 HDD ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส ตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) กำลังกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจากราคาสัญญาเพิ่มขึ้นกว่า 4% ในไตรมาส 4 ปี 2025 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาสติดต่อกัน ปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการในจีน ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และ การขยายตัวของศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมหาศาล. 🇨🇳 จีนหนุนตลาด HDD นโยบายจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลจีนที่เน้นใช้ CPU และระบบปฏิบัติการที่ผลิตในประเทศ ทำให้การผลิต PC ภายในประเทศพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้ความต้องการ HDD เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด เหตุผลสำคัญคือความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลระยะยาวใน SSD ที่อาจเสื่อมสภาพจาก NAND flash memory เมื่อเก็บไว้นาน ทำให้ HDD ถูกมองว่าเชื่อถือได้มากกว่าในบางกรณี. 🇺🇸 ศูนย์ข้อมูล AI ดันความต้องการ ในสหรัฐฯ ศูนย์ข้อมูลที่รองรับงาน AI และ Machine Learning ยังคงพึ่งพา HDD ขนาดใหญ่สำหรับการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล แม้ SSD จะมีความเร็วสูงกว่า แต่ HDD ยังคงได้เปรียบในด้าน ต้นทุนต่อกิกะไบต์ และความเหมาะสมในการเก็บข้อมูลแบบ cold/warm storage ส่งผลให้ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ยังคงสั่งซื้อ HDD ในปริมาณมหาศาล. ⚠️ ความท้าทายด้านการผลิต แม้ผู้ผลิต HDD จะเดินเครื่องเต็มกำลัง แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทัน เนื่องจากการผลิต HDD ต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะทาง เช่น หัวอ่าน/เขียน และแผ่นบันทึกข้อมูล ที่ไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้รวดเร็วเหมือน NAND flash การขาดแคลน DRAM ที่ใช้เป็น cache memory ก็ยิ่งเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส ➡️ HDD contract prices เพิ่มขึ้น 4% ใน Q4 2025 ➡️ แนวโน้มราคายังมีแรงกดดันต่อเนื่อง ✅ ปัจจัยจากจีน ➡️ นโยบายจัดซื้อ PC ในประเทศหนุนการผลิต ➡️ ความกังวลเรื่อง SSD เก็บข้อมูลระยะยาว ทำให้ HDD ถูกเลือกมากขึ้น ✅ ปัจจัยจากสหรัฐฯ ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ HDD ความจุสูง ➡️ HDD ยังคงได้เปรียบด้านต้นทุนต่อกิกะไบต์ ✅ ข้อจำกัดการผลิต ➡️ ชิ้นส่วนเฉพาะทางทำให้การเพิ่มกำลังผลิตทำได้ช้า ➡️ DRAM ขาดแคลนเพิ่มต้นทุนการผลิต HDD ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่องหากความต้องการยังพุ่ง ⛔ การขาดแคลน DRAM และชิ้นส่วนสำคัญอาจทำให้ซัพพลายไม่ทัน ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาที่สูงขึ้น แม้ HDD เคยเป็นตัวเลือกประหยัด https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/hdd-prices-spike-as-ai-infrastructure-and-chinas-pc-push-collide-hard-drives-record-biggest-price-increase-in-eight-quarters-suppliers-warn-pressure-will-continue
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV

    ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง.

    กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG
    LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้.

    ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล
    สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV.

    แนวโน้มในตลาด Smart TV
    ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่เกิดขึ้น
    LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ
    แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้

    กลยุทธ์ของ LG
    Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV”
    ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้
    ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์
    เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา

    แนวโน้มในตลาด
    Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้
    สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่
    การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว
    ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    📺 LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง. 🤖 กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้. ⚠️ ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV. 🌐 แนวโน้มในตลาด Smart TV ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่เกิดขึ้น ➡️ LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ ➡️ แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้ ✅ กลยุทธ์ของ LG ➡️ Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV” ➡️ ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้ ➡️ ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์ ➡️ เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา ✅ แนวโน้มในตลาด ➡️ Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้ ➡️ สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่ ⛔ การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว ⛔ ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียมจีนเฉียดใกล้ Starlink อย่างอันตราย

    เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ดาวเทียมจากการปล่อยจรวด Long March 2D ของจีนถูกสังเกตว่าผ่านใกล้ดาวเทียม Starlink-6079 ที่ระดับความสูง 560 กม. ระยะห่างเพียง 200 เมตรถือว่าเป็น near-miss ที่อาจนำไปสู่หายนะหากเกิดการชนกัน เนื่องจากความเร็วสูงมากในวงโคจรต่ำ (LEO).

    ความเสี่ยงจากการขาดการประสานงาน
    Michael Nicolls รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Starlink ระบุว่า ความเสี่ยงหลักมาจากการไม่แชร์ข้อมูลวงโคจร (ephemeris) ระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม การไม่ประสานงานเช่นนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์เฉียดใกล้บ่อยครั้ง และอาจนำไปสู่ Kessler Syndrome ซึ่งเป็นการชนต่อเนื่องจนเกิดเศษซากจำนวนมหาศาลที่ทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้.

    ความท้าทายด้านนโยบายและความปลอดภัย
    จีนไม่ได้แชร์ข้อมูลวงโคจรไปยังแพลตฟอร์มสากล เช่น U.S. Space-Track.org หรือ ITU ของสหประชาชาติ ทำให้การติดตามและป้องกันเหตุการณ์เสี่ยงทำได้ยากขึ้น นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มี ความร่วมมือระดับโลก เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมในอนาคต.

    อนาคตที่เต็มไปด้วยดาวเทียม
    ปัจจุบันมีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO โดยประมาณ 8,000 ดวงเป็นของ Starlink และยังมีแผนขยายเพิ่มถึง 42,000 ดวง ขณะที่จีนและยุโรปก็มีโครงการสร้างกลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วนี้ยิ่งทำให้ความเสี่ยงการชนกันสูงขึ้นหากไม่มีระบบประสานงานที่เข้มแข็ง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์เฉียดใกล้
    ดาวเทียมจีนเข้าใกล้ Starlink-6079 ระยะ 200 เมตร
    ความเร็วกว่า 17,400 mph ที่ระดับความสูง 560 กม.

    สาเหตุความเสี่ยง
    การไม่แชร์ข้อมูลวงโคจรระหว่างผู้ให้บริการ
    เพิ่มโอกาสเกิด near-miss และการชนกัน

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    ความเสี่ยงต่อ Kessler Syndrome
    เศษซากอวกาศจำนวนมหาศาลทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้

    สถานการณ์ปัจจุบัน
    มีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO
    Starlink มีแผนขยายถึง 42,000 ดวง
    จีนและยุโรปก็มีโครงการดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน

    ข้อควรระวัง
    การไม่ประสานงานระหว่างประเทศเพิ่มความเสี่ยงต่อการชน
    การขยายจำนวนดาวเทียมอย่างรวดเร็วอาจทำให้ LEO แออัดเกินไป
    หากเกิดการชน เศษซากอาจทำให้วงโคจรต่ำไม่สามารถใช้งานได้หลายชั่วอายุคน

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/starlink-vp-confirms-dangerously-close-chinese-launch-incident-close-call-saw-satellite-pass-within-200-meters-of-starlink-travelling-at-over-17-400mph
    🚀 ดาวเทียมจีนเฉียดใกล้ Starlink อย่างอันตราย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ดาวเทียมจากการปล่อยจรวด Long March 2D ของจีนถูกสังเกตว่าผ่านใกล้ดาวเทียม Starlink-6079 ที่ระดับความสูง 560 กม. ระยะห่างเพียง 200 เมตรถือว่าเป็น near-miss ที่อาจนำไปสู่หายนะหากเกิดการชนกัน เนื่องจากความเร็วสูงมากในวงโคจรต่ำ (LEO). ⚡ ความเสี่ยงจากการขาดการประสานงาน Michael Nicolls รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Starlink ระบุว่า ความเสี่ยงหลักมาจากการไม่แชร์ข้อมูลวงโคจร (ephemeris) ระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม การไม่ประสานงานเช่นนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์เฉียดใกล้บ่อยครั้ง และอาจนำไปสู่ Kessler Syndrome ซึ่งเป็นการชนต่อเนื่องจนเกิดเศษซากจำนวนมหาศาลที่ทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้. 🔒 ความท้าทายด้านนโยบายและความปลอดภัย จีนไม่ได้แชร์ข้อมูลวงโคจรไปยังแพลตฟอร์มสากล เช่น U.S. Space-Track.org หรือ ITU ของสหประชาชาติ ทำให้การติดตามและป้องกันเหตุการณ์เสี่ยงทำได้ยากขึ้น นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มี ความร่วมมือระดับโลก เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมในอนาคต. 🌐 อนาคตที่เต็มไปด้วยดาวเทียม ปัจจุบันมีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO โดยประมาณ 8,000 ดวงเป็นของ Starlink และยังมีแผนขยายเพิ่มถึง 42,000 ดวง ขณะที่จีนและยุโรปก็มีโครงการสร้างกลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วนี้ยิ่งทำให้ความเสี่ยงการชนกันสูงขึ้นหากไม่มีระบบประสานงานที่เข้มแข็ง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์เฉียดใกล้ ➡️ ดาวเทียมจีนเข้าใกล้ Starlink-6079 ระยะ 200 เมตร ➡️ ความเร็วกว่า 17,400 mph ที่ระดับความสูง 560 กม. ✅ สาเหตุความเสี่ยง ➡️ การไม่แชร์ข้อมูลวงโคจรระหว่างผู้ให้บริการ ➡️ เพิ่มโอกาสเกิด near-miss และการชนกัน ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ ความเสี่ยงต่อ Kessler Syndrome ➡️ เศษซากอวกาศจำนวนมหาศาลทำให้ LEO ใช้งานไม่ได้ ✅ สถานการณ์ปัจจุบัน ➡️ มีดาวเทียมกว่า 12,000 ดวงใน LEO ➡️ Starlink มีแผนขยายถึง 42,000 ดวง ➡️ จีนและยุโรปก็มีโครงการดาวเทียมขนาดใหญ่เช่นกัน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การไม่ประสานงานระหว่างประเทศเพิ่มความเสี่ยงต่อการชน ⛔ การขยายจำนวนดาวเทียมอย่างรวดเร็วอาจทำให้ LEO แออัดเกินไป ⛔ หากเกิดการชน เศษซากอาจทำให้วงโคจรต่ำไม่สามารถใช้งานได้หลายชั่วอายุคน https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/starlink-vp-confirms-dangerously-close-chinese-launch-incident-close-call-saw-satellite-pass-within-200-meters-of-starlink-travelling-at-over-17-400mph
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon เปิดตัว Graviton5: CPU 192-Core ที่ท้าชนยักษ์ใหญ่

    Amazon Web Services (AWS) ได้เปิดตัว Graviton5 ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ที่ทรงพลังที่สุดของบริษัท โดยมาพร้อมกับ 192 Neoverse V3 cores และ 180 MB L3 cache ผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 3nm-class ที่คาดว่าใช้โรงงานของ TSMC จุดเด่นคือการออกแบบเพื่อแข่งขันกับ CPU ระดับสูงของ AMD EPYC และ Intel Xeon ที่ครองตลาดศูนย์ข้อมูลมายาวนาน การเพิ่มจำนวนคอร์เป็นสองเท่าจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้ AWS คาดการณ์ประสิทธิภาพสูงขึ้นราว 25% แม้ตัวเลขนี้จะถือว่าค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาปัตยกรรมที่ใหญ่

    สถาปัตยกรรมใหม่และการจัดการ Cache
    Graviton5 เปลี่ยนจากการใช้ System-Level Cache (SLC) ในรุ่น Graviton4 มาเป็น L3 cache ขนาดใหญ่แบบกระจายตัว ซึ่งช่วยลดความหน่วงในการสื่อสารระหว่างคอร์ลงถึง 33% การออกแบบนี้ตอบโจทย์การขยายตัวของจำนวนคอร์ที่มหาศาล และยังช่วยให้การทำงานแบบ multi-tenant มีความเสถียรมากขึ้นในสภาพแวดล้อมคลาวด์ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงสถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นความสามารถในการรองรับงานขนาดใหญ่และซับซ้อน

    ความปลอดภัยและระบบ Nitro Isolation Engine
    AWS ยังได้เพิ่มระบบ Nitro Isolation Engine ซึ่งใช้การพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์เพื่อยืนยันการแยกการทำงานของ workload อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่มีการเข้าถึงจากผู้ปฏิบัติการของ AWS เอง นี่เป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในคลาวด์ที่อาจดึงดูดลูกค้าองค์กรที่ต้องการความมั่นใจสูงสุด โดยเฉพาะผู้ที่เคยใช้เซิร์ฟเวอร์แบบ on-premises

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการแข่งขัน
    การเปิดตัว Graviton5 ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับศักยภาพของ AWS เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล ซึ่งกำลังถูกขับเคลื่อนโดยความต้องการด้าน AI, Machine Learning และ Big Data การที่ AWS ลงทุนใน CPU ของตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถควบคุมทั้งด้านต้นทุนและประสิทธิภาพได้ดีกว่าการพึ่งพาผู้ผลิตรายอื่น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติของ Graviton5
    192 Neoverse V3 cores ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm-class
    L3 cache ขนาด 180 MB เพิ่มขึ้น 5 เท่าจากรุ่นก่อน
    ประสิทธิภาพสูงขึ้นราว 25% เมื่อเทียบกับ Graviton4

    การออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่
    เปลี่ยนจาก SLC มาใช้ L3 cache แบบกระจายตัว
    ลด inter-core latency ลงถึง 33%
    รองรับงาน multi-tenant ได้เสถียรมากขึ้น

    ระบบความปลอดภัย
    ใช้ AWS Nitro System รุ่นใหม่
    เพิ่ม Nitro Isolation Engine เพื่อแยก workload อย่างปลอดภัย
    เน้น zero-operator-access model

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    แข่งขันโดยตรงกับ AMD EPYC และ Intel Xeon
    รองรับงาน AI, ML และ Big Data ได้ดียิ่งขึ้น
    เปิดตัวใน EC2 M9g instances และจะมีรุ่น C9g, R9g ในปี 2026

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    AWS ไม่เปิดเผยรายละเอียดสถาปัตยกรรมภายในทั้งหมด
    Memory bandwidth ต่อคอร์อาจต่ำกว่ารุ่นก่อน แม้มี cache ขนาดใหญ่
    การประเมินประสิทธิภาพ 25% อาจต่ำกว่าศักยภาพจริง แต่ยังไม่ชัดเจนในงานเฉพาะทาง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amazon-unveils-192-core-graviton5-cpu-with-massive-180-mb-l3-cache-in-tow-ambitious-server-silicon-challenges-high-end-amd-epyc-and-intel-xeon-in-the-cloud
    🖥️ Amazon เปิดตัว Graviton5: CPU 192-Core ที่ท้าชนยักษ์ใหญ่ Amazon Web Services (AWS) ได้เปิดตัว Graviton5 ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ที่ทรงพลังที่สุดของบริษัท โดยมาพร้อมกับ 192 Neoverse V3 cores และ 180 MB L3 cache ผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 3nm-class ที่คาดว่าใช้โรงงานของ TSMC จุดเด่นคือการออกแบบเพื่อแข่งขันกับ CPU ระดับสูงของ AMD EPYC และ Intel Xeon ที่ครองตลาดศูนย์ข้อมูลมายาวนาน การเพิ่มจำนวนคอร์เป็นสองเท่าจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้ AWS คาดการณ์ประสิทธิภาพสูงขึ้นราว 25% แม้ตัวเลขนี้จะถือว่าค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ ⚡ สถาปัตยกรรมใหม่และการจัดการ Cache Graviton5 เปลี่ยนจากการใช้ System-Level Cache (SLC) ในรุ่น Graviton4 มาเป็น L3 cache ขนาดใหญ่แบบกระจายตัว ซึ่งช่วยลดความหน่วงในการสื่อสารระหว่างคอร์ลงถึง 33% การออกแบบนี้ตอบโจทย์การขยายตัวของจำนวนคอร์ที่มหาศาล และยังช่วยให้การทำงานแบบ multi-tenant มีความเสถียรมากขึ้นในสภาพแวดล้อมคลาวด์ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงสถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นความสามารถในการรองรับงานขนาดใหญ่และซับซ้อน 🔒 ความปลอดภัยและระบบ Nitro Isolation Engine AWS ยังได้เพิ่มระบบ Nitro Isolation Engine ซึ่งใช้การพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์เพื่อยืนยันการแยกการทำงานของ workload อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่มีการเข้าถึงจากผู้ปฏิบัติการของ AWS เอง นี่เป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในคลาวด์ที่อาจดึงดูดลูกค้าองค์กรที่ต้องการความมั่นใจสูงสุด โดยเฉพาะผู้ที่เคยใช้เซิร์ฟเวอร์แบบ on-premises 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการแข่งขัน การเปิดตัว Graviton5 ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับศักยภาพของ AWS เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล ซึ่งกำลังถูกขับเคลื่อนโดยความต้องการด้าน AI, Machine Learning และ Big Data การที่ AWS ลงทุนใน CPU ของตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถควบคุมทั้งด้านต้นทุนและประสิทธิภาพได้ดีกว่าการพึ่งพาผู้ผลิตรายอื่น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ Graviton5 ➡️ 192 Neoverse V3 cores ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm-class ➡️ L3 cache ขนาด 180 MB เพิ่มขึ้น 5 เท่าจากรุ่นก่อน ➡️ ประสิทธิภาพสูงขึ้นราว 25% เมื่อเทียบกับ Graviton4 ✅ การออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ ➡️ เปลี่ยนจาก SLC มาใช้ L3 cache แบบกระจายตัว ➡️ ลด inter-core latency ลงถึง 33% ➡️ รองรับงาน multi-tenant ได้เสถียรมากขึ้น ✅ ระบบความปลอดภัย ➡️ ใช้ AWS Nitro System รุ่นใหม่ ➡️ เพิ่ม Nitro Isolation Engine เพื่อแยก workload อย่างปลอดภัย ➡️ เน้น zero-operator-access model ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ แข่งขันโดยตรงกับ AMD EPYC และ Intel Xeon ➡️ รองรับงาน AI, ML และ Big Data ได้ดียิ่งขึ้น ➡️ เปิดตัวใน EC2 M9g instances และจะมีรุ่น C9g, R9g ในปี 2026 ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ AWS ไม่เปิดเผยรายละเอียดสถาปัตยกรรมภายในทั้งหมด ⛔ Memory bandwidth ต่อคอร์อาจต่ำกว่ารุ่นก่อน แม้มี cache ขนาดใหญ่ ⛔ การประเมินประสิทธิภาพ 25% อาจต่ำกว่าศักยภาพจริง แต่ยังไม่ชัดเจนในงานเฉพาะทาง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amazon-unveils-192-core-graviton5-cpu-with-massive-180-mb-l3-cache-in-tow-ambitious-server-silicon-challenges-high-end-amd-epyc-and-intel-xeon-in-the-cloud
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • FCA เริ่มต้นกระบวนการปรับกฎคริปโต

    เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 หน่วยงานกำกับดูแลการเงินอังกฤษ (Financial Conduct Authority – FCA) ได้เปิดการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ กฎเกณฑ์ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมคริปโต หลังจากรัฐบาลประกาศว่าจะเริ่มบังคับใช้การกำกับดูแลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2027 การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของอังกฤษในการจัดระเบียบตลาดคริปโตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเลือกแนวทางใกล้เคียงกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป

    เนื้อหาของข้อเสนอ
    ข้อเสนอของ FCA ครอบคลุมหลายด้าน เช่น
    กฎการ ลิสต์สินทรัพย์คริปโต บนแพลตฟอร์ม
    มาตรการป้องกัน การซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายในและการปั่นราคา
    มาตรฐานสำหรับ แพลตฟอร์มซื้อขายและโบรกเกอร์
    กฎเกณฑ์ด้าน ความเสี่ยงของการ Staking และการให้กู้ยืมคริปโต
    ข้อกำหนดด้าน การเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้บริษัทคริปโตมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่ชัดเจน

    เป้าหมายและท่าทีของ FCA
    David Geale ผู้อำนวยการฝ่ายการชำระเงินและการเงินดิจิทัลของ FCA ระบุว่าเป้าหมายคือการสร้างระบบที่ ปกป้องผู้บริโภค สนับสนุนนวัตกรรม และสร้างความเชื่อมั่นในตลาดคริปโต โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะจนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2026 และตั้งเป้าจะสรุปกฎเกณฑ์ภายในสิ้นปีหน้า

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโต
    การออกกฎครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณว่า ยุคของการปล่อยเสรีคริปโตในอังกฤษกำลังจะสิ้นสุดลง นักลงทุนและบริษัทคริปโตต้องเตรียมปรับตัวให้เข้ากับข้อกำหนดใหม่ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและการล่มสลายของแพลตฟอร์ม แต่ก็อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานและทำให้ผู้เล่นรายเล็กเข้าถึงตลาดได้ยากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรึกษาหารือของ FCA
    เปิดรับความคิดเห็นต่อกฎคริปโตใหม่ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 2025 – 12 ก.พ. 2026
    ตั้งเป้าสรุปกฎภายในสิ้นปี 2026

    เนื้อหาของข้อเสนอ
    ครอบคลุมการลิสต์สินทรัพย์, การซื้อขาย, มาตรฐานแพลตฟอร์ม, การ Staking และการให้กู้ยืม
    เพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและการเงินของบริษัทคริปโต

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    นักลงทุนและบริษัทต้องปรับตัวเข้ากับกฎใหม่
    อาจเพิ่มต้นทุนและทำให้ผู้เล่นรายเล็กแข่งขันยากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/british-regulator-kicks-off-consultation-on-new-crypto-rules
    🇬🇧 FCA เริ่มต้นกระบวนการปรับกฎคริปโต เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 หน่วยงานกำกับดูแลการเงินอังกฤษ (Financial Conduct Authority – FCA) ได้เปิดการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ กฎเกณฑ์ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมคริปโต หลังจากรัฐบาลประกาศว่าจะเริ่มบังคับใช้การกำกับดูแลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2027 การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของอังกฤษในการจัดระเบียบตลาดคริปโตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเลือกแนวทางใกล้เคียงกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป 📊 เนื้อหาของข้อเสนอ ข้อเสนอของ FCA ครอบคลุมหลายด้าน เช่น 💠 กฎการ ลิสต์สินทรัพย์คริปโต บนแพลตฟอร์ม 💠 มาตรการป้องกัน การซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายในและการปั่นราคา 💠 มาตรฐานสำหรับ แพลตฟอร์มซื้อขายและโบรกเกอร์ 💠 กฎเกณฑ์ด้าน ความเสี่ยงของการ Staking และการให้กู้ยืมคริปโต 💠 ข้อกำหนดด้าน การเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้บริษัทคริปโตมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่ชัดเจน ⚖️ เป้าหมายและท่าทีของ FCA David Geale ผู้อำนวยการฝ่ายการชำระเงินและการเงินดิจิทัลของ FCA ระบุว่าเป้าหมายคือการสร้างระบบที่ ปกป้องผู้บริโภค สนับสนุนนวัตกรรม และสร้างความเชื่อมั่นในตลาดคริปโต โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะจนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2026 และตั้งเป้าจะสรุปกฎเกณฑ์ภายในสิ้นปีหน้า 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโต การออกกฎครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณว่า ยุคของการปล่อยเสรีคริปโตในอังกฤษกำลังจะสิ้นสุดลง นักลงทุนและบริษัทคริปโตต้องเตรียมปรับตัวให้เข้ากับข้อกำหนดใหม่ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและการล่มสลายของแพลตฟอร์ม แต่ก็อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานและทำให้ผู้เล่นรายเล็กเข้าถึงตลาดได้ยากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรึกษาหารือของ FCA ➡️ เปิดรับความคิดเห็นต่อกฎคริปโตใหม่ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 2025 – 12 ก.พ. 2026 ➡️ ตั้งเป้าสรุปกฎภายในสิ้นปี 2026 ✅ เนื้อหาของข้อเสนอ ➡️ ครอบคลุมการลิสต์สินทรัพย์, การซื้อขาย, มาตรฐานแพลตฟอร์ม, การ Staking และการให้กู้ยืม ➡️ เพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและการเงินของบริษัทคริปโต ‼️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ⛔ นักลงทุนและบริษัทต้องปรับตัวเข้ากับกฎใหม่ ⛔ อาจเพิ่มต้นทุนและทำให้ผู้เล่นรายเล็กแข่งขันยากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/british-regulator-kicks-off-consultation-on-new-crypto-rules
    WWW.THESTAR.COM.MY
    British regulator kicks off consultation on new crypto rules
    LONDON, Dec 16 (Reuters) - British regulator the Financial Conduct Authority (FCA) launched a wide-ranging consultation on a range of proposed rules for the crypto industry on Tuesday, a day after the government said the industry would be regulated from October 2027.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัวร์เกาหลี เที่ยวโซล
    เดินทาง มิ.ย. - ก.ค. 69 10,999

    🗓 จำนวนวัน 6 วัน 4 คืน
    ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์
    พักโรงแรม

    AURORA MEDIA SHOW
    เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ทัวร์เกาหลี เที่ยวโซล 🇰🇷 🗓️ เดินทาง มิ.ย. - ก.ค. 69 😍 10,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 6 วัน 4 คืน ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 AURORA MEDIA SHOW 📍 เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • วิกฤติสุขภาพในภาคเกษตรสหรัฐฯ

    มีรายงานว่าเกษตรกรหลายพันคนในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับโรคพาร์กินสัน และพวกเขาเชื่อว่าสาเหตุหลักมาจากการสัมผัสกับ สารกำจัดวัชพืช Paraquat ซึ่งถูกใช้แพร่หลายในไร่นามานานหลายสิบปี แม้จะมีการควบคุมการใช้งาน แต่สารนี้ยังคงถูกนำมาใช้ในหลายพื้นที่ เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดวัชพืชที่ดื้อยา

    ความเชื่อมโยงระหว่าง Paraquat และโรคพาร์กินสัน
    งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า Paraquat อาจมีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของระบบประสาท โดยเฉพาะการทำลายเซลล์สมองที่ผลิต โดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว การเสื่อมของเซลล์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของโรคพาร์กินสัน แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ แต่หลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการฟ้องร้องและการเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารนี้

    การฟ้องร้องและผลกระทบทางกฎหมาย
    เกษตรกรจำนวนมากได้ยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี โดยอ้างว่า Paraquat เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาป่วยพาร์กินสัน คดีเหล่านี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการเกษตร หากศาลตัดสินว่ามีความเชื่อมโยงจริง บริษัทเคมีอาจต้องรับผิดชอบค่าเสียหายมหาศาล และอาจถูกบังคับให้ยุติการผลิตหรือจำกัดการใช้สารนี้อย่างเข้มงวด

    ทางเลือกและมาตรการป้องกัน
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เกษตรกรหันมาใช้วิธีการจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า เช่น การใช้สารชีวภาพหรือการจัดการเชิงกลแทนสารเคมี นอกจากนี้ยังควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับผู้ที่ทำงานในพื้นที่ที่มีการใช้สารกำจัดวัชพืช เพื่อเฝ้าระวังอาการของโรคพาร์กินสันตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบปัญหาสุขภาพในเกษตรกรสหรัฐฯ
    หลายพันคนป่วยพาร์กินสัน เชื่อว่าเกิดจากการสัมผัส Paraquat

    หลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    Paraquat อาจทำลายเซลล์สมองที่ผลิตโดพามีน
    มีงานวิจัยที่ชี้ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน

    การฟ้องร้องทางกฎหมาย
    เกษตรกรยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี
    อาจนำไปสู่การจำกัดหรือยุติการใช้ Paraquat

    คำเตือนด้านสุขภาพและความปลอดภัย
    การใช้ Paraquat อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน
    เกษตรกรควรตรวจสุขภาพประจำปีและหันไปใช้วิธีจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า

    https://www.mlive.com/news/2025/12/thousands-of-us-farmers-have-parkinsons-they-blame-a-deadly-pesticide.html
    🌾 วิกฤติสุขภาพในภาคเกษตรสหรัฐฯ มีรายงานว่าเกษตรกรหลายพันคนในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับโรคพาร์กินสัน และพวกเขาเชื่อว่าสาเหตุหลักมาจากการสัมผัสกับ สารกำจัดวัชพืช Paraquat ซึ่งถูกใช้แพร่หลายในไร่นามานานหลายสิบปี แม้จะมีการควบคุมการใช้งาน แต่สารนี้ยังคงถูกนำมาใช้ในหลายพื้นที่ เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดวัชพืชที่ดื้อยา 🧪 ความเชื่อมโยงระหว่าง Paraquat และโรคพาร์กินสัน งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า Paraquat อาจมีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของระบบประสาท โดยเฉพาะการทำลายเซลล์สมองที่ผลิต โดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว การเสื่อมของเซลล์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของโรคพาร์กินสัน แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ แต่หลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการฟ้องร้องและการเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารนี้ ⚖️ การฟ้องร้องและผลกระทบทางกฎหมาย เกษตรกรจำนวนมากได้ยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี โดยอ้างว่า Paraquat เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาป่วยพาร์กินสัน คดีเหล่านี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการเกษตร หากศาลตัดสินว่ามีความเชื่อมโยงจริง บริษัทเคมีอาจต้องรับผิดชอบค่าเสียหายมหาศาล และอาจถูกบังคับให้ยุติการผลิตหรือจำกัดการใช้สารนี้อย่างเข้มงวด 🛡️ ทางเลือกและมาตรการป้องกัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เกษตรกรหันมาใช้วิธีการจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า เช่น การใช้สารชีวภาพหรือการจัดการเชิงกลแทนสารเคมี นอกจากนี้ยังควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับผู้ที่ทำงานในพื้นที่ที่มีการใช้สารกำจัดวัชพืช เพื่อเฝ้าระวังอาการของโรคพาร์กินสันตั้งแต่ระยะเริ่มต้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบปัญหาสุขภาพในเกษตรกรสหรัฐฯ ➡️ หลายพันคนป่วยพาร์กินสัน เชื่อว่าเกิดจากการสัมผัส Paraquat ✅ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ Paraquat อาจทำลายเซลล์สมองที่ผลิตโดพามีน ➡️ มีงานวิจัยที่ชี้ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน ✅ การฟ้องร้องทางกฎหมาย ➡️ เกษตรกรยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี ➡️ อาจนำไปสู่การจำกัดหรือยุติการใช้ Paraquat ‼️ คำเตือนด้านสุขภาพและความปลอดภัย ⛔ การใช้ Paraquat อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน ⛔ เกษตรกรควรตรวจสุขภาพประจำปีและหันไปใช้วิธีจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า https://www.mlive.com/news/2025/12/thousands-of-us-farmers-have-parkinsons-they-blame-a-deadly-pesticide.html
    WWW.MLIVE.COM
    Thousands of U.S. farmers have Parkinson’s. They blame a deadly pesticide.
    Paraquat is banned in more than 70 countries, but still legal in the United States. Now, a growing number of U.S. farmers are blaming the toxic pesticide for their Parkinson's disease in a large lawsuit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอป MAGA Messaging App ที่ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด

    มีรายงานว่าแอปแชทที่ถูกโปรโมตว่าเป็น “Super Secure MAGA Messaging App” เกิดเหตุการณ์รั่วไหลครั้งใหญ่ โดยข้อมูล หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ทั้งหมด ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจอย่างมาก เพราะแอปดังกล่าวเคลมว่ามีระบบความปลอดภัยสูงและเน้นการปกป้องข้อมูลส่วนตัว แต่กลับเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นทันที

    สาเหตุและผลกระทบ
    การรั่วไหลครั้งนี้เกิดจาก การตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ข้อมูลผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใดๆ ผลกระทบคือผู้ใช้จำนวนมากเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโทรก่อกวน (Spam Calls), การโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing) หรือแม้กระทั่งการนำข้อมูลไปเชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวอื่นเพื่อสร้างการโจมตีที่ซับซ้อนขึ้น

    บทเรียนด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้แอปจะโฆษณาว่ามีความปลอดภัยสูง แต่หาก โครงสร้างระบบไม่ได้รับการตรวจสอบและป้องกันอย่างจริงจัง ก็สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ทันที ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำว่า ผู้ใช้ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม และควรเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) รวมถึงหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลส่วนตัวเกินความจำเป็น

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์รั่วไหลของแอป MAGA Messaging App
    ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ผู้ใช้ทั้งหมดถูกเปิดเผย
    เกิดจากการตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    เสี่ยงต่อการถูกโทรก่อกวนและสแปม
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่งและการขโมยข้อมูลส่วนตัว

    บทเรียนด้านความปลอดภัย
    แอปที่โฆษณาว่าปลอดภัยอาจไม่จริง หากไม่มีการตรวจสอบระบบ
    ผู้ใช้ควรเปิดใช้งาน 2FA และระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว

    https://ericdaigle.ca/posts/super-secure-maga-messaging-app-leaks-everyones-phone-number/
    📱 แอป MAGA Messaging App ที่ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด มีรายงานว่าแอปแชทที่ถูกโปรโมตว่าเป็น “Super Secure MAGA Messaging App” เกิดเหตุการณ์รั่วไหลครั้งใหญ่ โดยข้อมูล หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ทั้งหมด ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจอย่างมาก เพราะแอปดังกล่าวเคลมว่ามีระบบความปลอดภัยสูงและเน้นการปกป้องข้อมูลส่วนตัว แต่กลับเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นทันที 🔎 สาเหตุและผลกระทบ การรั่วไหลครั้งนี้เกิดจาก การตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ข้อมูลผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใดๆ ผลกระทบคือผู้ใช้จำนวนมากเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโทรก่อกวน (Spam Calls), การโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing) หรือแม้กระทั่งการนำข้อมูลไปเชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวอื่นเพื่อสร้างการโจมตีที่ซับซ้อนขึ้น ⚠️ บทเรียนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้แอปจะโฆษณาว่ามีความปลอดภัยสูง แต่หาก โครงสร้างระบบไม่ได้รับการตรวจสอบและป้องกันอย่างจริงจัง ก็สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ทันที ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำว่า ผู้ใช้ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม และควรเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) รวมถึงหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลส่วนตัวเกินความจำเป็น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์รั่วไหลของแอป MAGA Messaging App ➡️ ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ผู้ใช้ทั้งหมดถูกเปิดเผย ➡️ เกิดจากการตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ‼️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโทรก่อกวนและสแปม ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่งและการขโมยข้อมูลส่วนตัว ‼️ บทเรียนด้านความปลอดภัย ⛔ แอปที่โฆษณาว่าปลอดภัยอาจไม่จริง หากไม่มีการตรวจสอบระบบ ⛔ ผู้ใช้ควรเปิดใช้งาน 2FA และระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว https://ericdaigle.ca/posts/super-secure-maga-messaging-app-leaks-everyones-phone-number/
    ERICDAIGLE.CA
    "Super secure" MAGA-themed messaging app leaks everyone's phone number
    You can be, do, and have whatever you want, except for not spilling user information
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • การรั่วไหลครั้งใหญ่ของฐานข้อมูล MongoDB

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย Bob Diachenko ร่วมกับทีมจาก nexos.ai ได้ค้นพบฐานข้อมูล MongoDB ที่ไม่ได้รับการป้องกันเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2025 ฐานข้อมูลนี้มีขนาดมหึมา 16TB และบรรจุข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด ซึ่งรวมถึงชื่อ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ประวัติการทำงาน การศึกษา และลิงก์ไปยังโปรไฟล์ LinkedIn ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    แม้เจ้าของฐานข้อมูลจะรีบปิดการเข้าถึงภายในสองวันหลังถูกแจ้งเตือน แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครได้เข้าถึงข้อมูลไปแล้วบ้าง ข้อมูลที่รั่วไหลถูกแบ่งออกเป็น 9 คอลเลกชัน เช่น “profiles”, “people” และ “unique_profiles” โดยเฉพาะคอลเลกชัน “unique_profiles” ที่มีมากกว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    นักวิจัย Cybernews ระบุว่าข้อมูลที่รั่วไหลนี้มีโครงสร้างชัดเจนและละเอียดมาก จึงเป็น ขุมทองสำหรับอาชญากรไซเบอร์ เพราะสามารถนำไปใช้สร้างฐานข้อมูลค้นหาเพื่อทำการโจมตีแบบเจาะจง เช่น ฟิชชิ่ง (Phishing) หรือ CEO Fraud ที่เลียนแบบผู้บริหารเพื่อหลอกให้พนักงานโอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญ

    นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจถูกเก็บมาจากการ Scraping หรือการดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงการรั่วไหลก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2021 ทำให้ยากต่อการระบุเจ้าของที่แท้จริงของฐานข้อมูล แต่มีหลักฐานบางอย่างชี้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับบริษัทด้าน Lead Generation ที่ทำธุรกิจหาลูกค้าให้กับองค์กรต่างๆ

    วิธีป้องกันสำหรับผู้ใช้
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน พร้อมเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย รวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่ออุดช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี การรั่วไหลครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่เราฝากไว้กับแพลตฟอร์มออนไลน์อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ทุกเมื่อ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบฐานข้อมูลรั่วไหล
    ขนาด 16TB มีข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด
    รวมชื่อ อีเมล เบอร์โทร ประวัติการทำงาน และ LinkedIn

    รายละเอียดคอลเลกชันข้อมูล
    “profiles” กว่า 1.1 พันล้านเรคคอร์ด
    “unique_profiles” กว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ

    ความเสี่ยงจากการรั่วไหล
    อาชญากรสามารถใช้ข้อมูลทำฟิชชิ่งและ CEO Fraud
    ข้อมูลอาจถูก Scraping จากหลายแหล่ง ทำให้ระบุเจ้าของยาก

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน
    เปิดใช้งาน 2FA และอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ

    https://hackread.com/mongodb-database-expose-lead-gen-records/
    🔐 การรั่วไหลครั้งใหญ่ของฐานข้อมูล MongoDB นักวิจัยด้านความปลอดภัย Bob Diachenko ร่วมกับทีมจาก nexos.ai ได้ค้นพบฐานข้อมูล MongoDB ที่ไม่ได้รับการป้องกันเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2025 ฐานข้อมูลนี้มีขนาดมหึมา 16TB และบรรจุข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด ซึ่งรวมถึงชื่อ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ประวัติการทำงาน การศึกษา และลิงก์ไปยังโปรไฟล์ LinkedIn ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล แม้เจ้าของฐานข้อมูลจะรีบปิดการเข้าถึงภายในสองวันหลังถูกแจ้งเตือน แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครได้เข้าถึงข้อมูลไปแล้วบ้าง ข้อมูลที่รั่วไหลถูกแบ่งออกเป็น 9 คอลเลกชัน เช่น “profiles”, “people” และ “unique_profiles” โดยเฉพาะคอลเลกชัน “unique_profiles” ที่มีมากกว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ นักวิจัย Cybernews ระบุว่าข้อมูลที่รั่วไหลนี้มีโครงสร้างชัดเจนและละเอียดมาก จึงเป็น ขุมทองสำหรับอาชญากรไซเบอร์ เพราะสามารถนำไปใช้สร้างฐานข้อมูลค้นหาเพื่อทำการโจมตีแบบเจาะจง เช่น ฟิชชิ่ง (Phishing) หรือ CEO Fraud ที่เลียนแบบผู้บริหารเพื่อหลอกให้พนักงานโอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญ นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจถูกเก็บมาจากการ Scraping หรือการดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงการรั่วไหลก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2021 ทำให้ยากต่อการระบุเจ้าของที่แท้จริงของฐานข้อมูล แต่มีหลักฐานบางอย่างชี้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับบริษัทด้าน Lead Generation ที่ทำธุรกิจหาลูกค้าให้กับองค์กรต่างๆ 🛡️ วิธีป้องกันสำหรับผู้ใช้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน พร้อมเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย รวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่ออุดช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี การรั่วไหลครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่เราฝากไว้กับแพลตฟอร์มออนไลน์อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ทุกเมื่อ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบฐานข้อมูลรั่วไหล ➡️ ขนาด 16TB มีข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด ➡️ รวมชื่อ อีเมล เบอร์โทร ประวัติการทำงาน และ LinkedIn ✅ รายละเอียดคอลเลกชันข้อมูล ➡️ “profiles” กว่า 1.1 พันล้านเรคคอร์ด ➡️ “unique_profiles” กว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ ‼️ ความเสี่ยงจากการรั่วไหล ⛔ อาชญากรสามารถใช้ข้อมูลทำฟิชชิ่งและ CEO Fraud ⛔ ข้อมูลอาจถูก Scraping จากหลายแหล่ง ทำให้ระบุเจ้าของยาก ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน ⛔ เปิดใช้งาน 2FA และอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ https://hackread.com/mongodb-database-expose-lead-gen-records/
    HACKREAD.COM
    16TB of MongoDB Database Exposes 4.3 Billion Lead Gen Records
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีไร้สายในรถ: ความสะดวกที่มาพร้อมข้อจำกัด

    Wireless CarPlay กำลังเป็นที่นิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ เพราะช่วยให้ผู้ใช้ เชื่อมต่อ iPhone กับระบบ Infotainment โดยไม่ต้องใช้สาย Lightning เพียงเปิดเครื่องยนต์ โทรศัพท์จะเชื่อมต่ออัตโนมัติทันที ทำให้การใช้งานแอปนำทาง การโทร และการฟังเพลงสะดวกขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ไม่มีสายระโยงระยางให้รำคาญสายตา

    นอกจากความสะดวกแล้ว Wireless CarPlay ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเล็กน้อย เพราะลดสิ่งรบกวนสายตาและมือขณะขับรถ ผู้ใช้สามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องหยิบจับบ่อยๆ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่หลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม Wireless CarPlay ก็มีข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม การเชื่อมต่อขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi หรือ Bluetooth หากสัญญาณไม่เสถียรอาจเกิดอาการหน่วง เสียงกระตุก หรือการหลุดการเชื่อมต่อ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตไม่แรงพอ

    อีกปัญหาสำคัญคือ การใช้พลังงานแบตเตอรี่สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบสาย เนื่องจากโทรศัพท์ต้องทำงานผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth ตลอดเวลา ทำให้แบตหมดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการรองรับ เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่ติดตั้ง Wireless CarPlay มาให้ แม้จะมีอุปกรณ์เสริมเช่น Wireless Adapter แต่ก็อาจเจอปัญหาประสิทธิภาพไม่เสถียร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อดีของ Wireless CarPlay
    เชื่อมต่ออัตโนมัติทันทีเมื่อสตาร์ทรถ
    ลดความยุ่งเหยิงของสาย ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย
    เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย ลดการหยิบจับโทรศัพท์

    ข้อเสียของ Wireless CarPlay
    ขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi/Bluetooth อาจเกิดการหน่วงหรือหลุดการเชื่อมต่อ
    ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าแบบสาย
    รถบางรุ่นไม่รองรับ ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่อาจไม่เสถียร

    https://www.slashgear.com/2050302/pros-cons-using-wireless-carplay/
    🚗 เทคโนโลยีไร้สายในรถ: ความสะดวกที่มาพร้อมข้อจำกัด Wireless CarPlay กำลังเป็นที่นิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ เพราะช่วยให้ผู้ใช้ เชื่อมต่อ iPhone กับระบบ Infotainment โดยไม่ต้องใช้สาย Lightning เพียงเปิดเครื่องยนต์ โทรศัพท์จะเชื่อมต่ออัตโนมัติทันที ทำให้การใช้งานแอปนำทาง การโทร และการฟังเพลงสะดวกขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ไม่มีสายระโยงระยางให้รำคาญสายตา นอกจากความสะดวกแล้ว Wireless CarPlay ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเล็กน้อย เพราะลดสิ่งรบกวนสายตาและมือขณะขับรถ ผู้ใช้สามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องหยิบจับบ่อยๆ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่หลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม Wireless CarPlay ก็มีข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม การเชื่อมต่อขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi หรือ Bluetooth หากสัญญาณไม่เสถียรอาจเกิดอาการหน่วง เสียงกระตุก หรือการหลุดการเชื่อมต่อ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตไม่แรงพอ อีกปัญหาสำคัญคือ การใช้พลังงานแบตเตอรี่สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบสาย เนื่องจากโทรศัพท์ต้องทำงานผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth ตลอดเวลา ทำให้แบตหมดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการรองรับ เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่ติดตั้ง Wireless CarPlay มาให้ แม้จะมีอุปกรณ์เสริมเช่น Wireless Adapter แต่ก็อาจเจอปัญหาประสิทธิภาพไม่เสถียร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อดีของ Wireless CarPlay ➡️ เชื่อมต่ออัตโนมัติทันทีเมื่อสตาร์ทรถ ➡️ ลดความยุ่งเหยิงของสาย ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ➡️ เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย ลดการหยิบจับโทรศัพท์ ‼️ ข้อเสียของ Wireless CarPlay ⛔ ขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi/Bluetooth อาจเกิดการหน่วงหรือหลุดการเชื่อมต่อ ⛔ ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าแบบสาย ⛔ รถบางรุ่นไม่รองรับ ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่อาจไม่เสถียร https://www.slashgear.com/2050302/pros-cons-using-wireless-carplay/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Pros And Cons Of Using Wireless CarPlay - SlashGear
    Wireless CarPlay is safer, more convenient, and helps keep your car interior tidy. However, it's prone to lag and is killer on your iPhone's battery.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ: ผู้ช่วยที่ประหยัดเวลา

    สมาร์ทโฮมกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพราะช่วยลดภาระงานบ้านที่กินเวลาและแรงงานไปมาก หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Posha หุ่นยนต์ทำอาหาร ที่สามารถปรุงเมนูหลากหลายชาติได้โดยอัตโนมัติ เพียงใส่วัตถุดิบและเลือกเมนูบนหน้าจอ หุ่นยนต์จะจัดการทุกขั้นตอนแทนคุณ ทำให้การทำอาหารที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหารนอกบ้านอีกด้วย

    อีกหนึ่งผู้ช่วยที่ได้รับความนิยมคือ Roborock Qrevo หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น ที่มาพร้อมระบบดูดแรงสูงถึง 8,000Pa และฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องบ่อยๆ เพียงตั้งเวลาในแอปพลิเคชันก็สามารถปล่อยให้บ้านสะอาดได้ทุกวันโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง นอกจากนี้ยังมีระบบหลบสิ่งกีดขวางและแปรงกันพันเส้นผมที่ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สำหรับผู้ที่มีบ้านพร้อมสนามหญ้าใหญ่ Segway Navimow i105N หุ่นยนต์ตัดหญ้า ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดภาระการดูแลสวน สามารถตั้งเขตการทำงานผ่านแอปและตรวจจับสิ่งกีดขวางได้อัตโนมัติ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ละเอียดเท่าการตัดด้วยมือ แต่ถือว่าคุ้มค่าในแง่การประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้งยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa

    สุดท้ายคือ Cradlewise เปลอัจฉริยะสำหรับเด็กทารก ที่รวมฟังก์ชันกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องเสียงกล่อมเด็ก และระบบโยกอัตโนมัติไว้ในตัวเดียว ช่วยให้พ่อแม่สามารถพักผ่อนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยตรวจเช็กลูกน้อยตลอดเวลา ถือเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเครียดของครอบครัว

    สรุปสาระสำคัญ
    หุ่นยนต์ทำอาหาร Posha
    ลดเวลาทำอาหารจากชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหาร

    หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น Roborock Qrevo
    ระบบดูดแรงสูง ฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ลดภาระการทำความสะอาด

    หุ่นยนต์ตัดหญ้า Segway Navimow i105N
    ตั้งเขตการทำงานผ่านแอป ตรวจจับสิ่งกีดขวาง และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง

    ระบบรดน้ำอัจฉริยะ Rachio Wi-Fi Sprinkler
    ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติ ปรับตามสภาพอากาศ ลดการสิ้นเปลืองน้ำ

    เปลอัจฉริยะ Cradlewise
    รวมกล้องตรวจจับ เครื่องเสียง และระบบโยกอัตโนมัติ ช่วยให้พ่อแม่พักผ่อนได้มากขึ้น

    ข้อควรระวังในการใช้สมาร์ทโฮม
    อุปกรณ์บางชนิดมีราคาสูง อาจไม่เหมาะกับทุกครัวเรือน
    ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน หากระบบล่มอาจใช้งานไม่ได้
    ความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา

    https://www.slashgear.com/2048306/smart-home-gadgets-time-saving-chores/
    🏠 เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ: ผู้ช่วยที่ประหยัดเวลา สมาร์ทโฮมกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพราะช่วยลดภาระงานบ้านที่กินเวลาและแรงงานไปมาก หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Posha หุ่นยนต์ทำอาหาร ที่สามารถปรุงเมนูหลากหลายชาติได้โดยอัตโนมัติ เพียงใส่วัตถุดิบและเลือกเมนูบนหน้าจอ หุ่นยนต์จะจัดการทุกขั้นตอนแทนคุณ ทำให้การทำอาหารที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหารนอกบ้านอีกด้วย อีกหนึ่งผู้ช่วยที่ได้รับความนิยมคือ Roborock Qrevo หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น ที่มาพร้อมระบบดูดแรงสูงถึง 8,000Pa และฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องบ่อยๆ เพียงตั้งเวลาในแอปพลิเคชันก็สามารถปล่อยให้บ้านสะอาดได้ทุกวันโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง นอกจากนี้ยังมีระบบหลบสิ่งกีดขวางและแปรงกันพันเส้นผมที่ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีบ้านพร้อมสนามหญ้าใหญ่ Segway Navimow i105N หุ่นยนต์ตัดหญ้า ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดภาระการดูแลสวน สามารถตั้งเขตการทำงานผ่านแอปและตรวจจับสิ่งกีดขวางได้อัตโนมัติ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ละเอียดเท่าการตัดด้วยมือ แต่ถือว่าคุ้มค่าในแง่การประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้งยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa สุดท้ายคือ Cradlewise เปลอัจฉริยะสำหรับเด็กทารก ที่รวมฟังก์ชันกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องเสียงกล่อมเด็ก และระบบโยกอัตโนมัติไว้ในตัวเดียว ช่วยให้พ่อแม่สามารถพักผ่อนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยตรวจเช็กลูกน้อยตลอดเวลา ถือเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเครียดของครอบครัว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ หุ่นยนต์ทำอาหาร Posha ➡️ ลดเวลาทำอาหารจากชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหาร ✅ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น Roborock Qrevo ➡️ ระบบดูดแรงสูง ฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ลดภาระการทำความสะอาด ✅ หุ่นยนต์ตัดหญ้า Segway Navimow i105N ➡️ ตั้งเขตการทำงานผ่านแอป ตรวจจับสิ่งกีดขวาง และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง ✅ ระบบรดน้ำอัจฉริยะ Rachio Wi-Fi Sprinkler ➡️ ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติ ปรับตามสภาพอากาศ ลดการสิ้นเปลืองน้ำ ✅ เปลอัจฉริยะ Cradlewise ➡️ รวมกล้องตรวจจับ เครื่องเสียง และระบบโยกอัตโนมัติ ช่วยให้พ่อแม่พักผ่อนได้มากขึ้น ‼️ ข้อควรระวังในการใช้สมาร์ทโฮม ⛔ อุปกรณ์บางชนิดมีราคาสูง อาจไม่เหมาะกับทุกครัวเรือน ⛔ ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน หากระบบล่มอาจใช้งานไม่ได้ ⛔ ความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา https://www.slashgear.com/2048306/smart-home-gadgets-time-saving-chores/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These 5 Smart Home Gadgets Will Save You Hours Every Week - SlashGear
    Smart gadgets are capable of much more than reporting the weather and playing music. These selections of time-saving tech could return hours to your busy day.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • SparkyLinux 2025.12 “Tiamat” เปิดตัวแล้ว

    ทีมพัฒนา SparkyLinux ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ในซีรีส์ semi-rolling คือ 2025.12 (codename Tiamat) โดยใช้ฐานจาก Debian Forky (Testing) และมาพร้อม Linux Kernel 6.17 เป็นค่าเริ่มต้น ผู้ใช้ยังสามารถติดตั้ง Kernel 6.18 ได้จาก repository เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่

    อัปเดตเดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์
    เวอร์ชันนี้มาพร้อมกับเดสก์ท็อปที่อัปเดต เช่น LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, และ Cinnamon 6.6 รวมถึง Firefox 146 และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ปรับปรุงให้เข้ากับระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้น

    จุดเด่นของการออกแบบ semi-rolling
    SparkyLinux ใช้โมเดล semi-rolling release ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง แต่ยังคงมี snapshot release เช่น 2025.12 เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่สามารถติดตั้งได้ง่ายและมั่นใจว่าได้ระบบที่เสถียร

    ความสำคัญต่อชุมชน Linux
    การออกเวอร์ชันนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SparkyLinux ในการเป็นทางเลือกที่เบาและยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ทันสมัย แต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาที่ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Debian Testing

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฐานระบบและ Kernel
    ใช้ Debian Forky (Testing)
    มาพร้อม Linux Kernel 6.17 และรองรับ Kernel 6.18

    เดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์
    LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, Cinnamon 6.6
    Firefox 146 และเครื่องมือรุ่นใหม่

    โมเดล semi-rolling
    ได้รับอัปเดตต่อเนื่องโดยไม่ต้องติดตั้งใหม่
    มี snapshot release เพื่อความเสถียร

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    การใช้ Debian Testing อาจมีบั๊กหรือความไม่เข้ากันของแพ็กเกจ
    ควรตรวจสอบ compatibility ของฮาร์ดแวร์ก่อนอัปเดต Kernel

    https://9to5linux.com/sparkylinux-2025-12-tiamat-released-with-debian-forky-base-linux-kernel-6-17
    🐉 SparkyLinux 2025.12 “Tiamat” เปิดตัวแล้ว ทีมพัฒนา SparkyLinux ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ในซีรีส์ semi-rolling คือ 2025.12 (codename Tiamat) โดยใช้ฐานจาก Debian Forky (Testing) และมาพร้อม Linux Kernel 6.17 เป็นค่าเริ่มต้น ผู้ใช้ยังสามารถติดตั้ง Kernel 6.18 ได้จาก repository เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ⚙️ อัปเดตเดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์ เวอร์ชันนี้มาพร้อมกับเดสก์ท็อปที่อัปเดต เช่น LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, และ Cinnamon 6.6 รวมถึง Firefox 146 และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ปรับปรุงให้เข้ากับระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้น 📦 จุดเด่นของการออกแบบ semi-rolling SparkyLinux ใช้โมเดล semi-rolling release ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง แต่ยังคงมี snapshot release เช่น 2025.12 เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่สามารถติดตั้งได้ง่ายและมั่นใจว่าได้ระบบที่เสถียร 🌍 ความสำคัญต่อชุมชน Linux การออกเวอร์ชันนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SparkyLinux ในการเป็นทางเลือกที่เบาและยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ทันสมัย แต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาที่ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Debian Testing 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฐานระบบและ Kernel ➡️ ใช้ Debian Forky (Testing) ➡️ มาพร้อม Linux Kernel 6.17 และรองรับ Kernel 6.18 ✅ เดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์ ➡️ LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, Cinnamon 6.6 ➡️ Firefox 146 และเครื่องมือรุ่นใหม่ ✅ โมเดล semi-rolling ➡️ ได้รับอัปเดตต่อเนื่องโดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ ➡️ มี snapshot release เพื่อความเสถียร ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ การใช้ Debian Testing อาจมีบั๊กหรือความไม่เข้ากันของแพ็กเกจ ⛔ ควรตรวจสอบ compatibility ของฮาร์ดแวร์ก่อนอัปเดต Kernel https://9to5linux.com/sparkylinux-2025-12-tiamat-released-with-debian-forky-base-linux-kernel-6-17
    9TO5LINUX.COM
    SparkyLinux 2025.12 "Tiamat" Released with Debian Forky Base, Linux Kernel 6.17 - 9to5Linux
    SparkyLinux 2025.12 distribution is now available for download based on Debian Testing/Forky and powered by Linux kernel 6.17.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing

    ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น

    ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ

    พลังใหม่ของ Scripter Functions
    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5
    ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น
    รองรับ light/dark mode ดีขึ้น
    Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น
    เพิ่มความสามารถใน scripter functions

    ผลต่อผู้ใช้
    นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น
    ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ
    การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม

    https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    📰 Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น 🌗 ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ ⚙️ พลังใหม่ของ Scripter Functions สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ 🌍 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5 ➡️ ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น ➡️ รองรับ light/dark mode ดีขึ้น ➡️ Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มความสามารถใน scripter functions ✅ ผลต่อผู้ใช้ ➡️ นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น ➡️ ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ ⛔ การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    9TO5LINUX.COM
    Scribus 1.6.5 Open-Source Desktop Publishing App Released with Various Changes - 9to5Linux
    Scribus 1.6.5 free and open-source desktop publishing software is now available for download with various updates and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/yQ18drAbtf4?si=43mGNOJeaXAWP1Ok
    https://youtu.be/yQ18drAbtf4?si=43mGNOJeaXAWP1Ok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251215 #TechRadar

    iPadOS 26.2: อัปเดตใหม่ที่ทำให้การทำงานหลายแอปง่ายขึ้น
    Apple ปล่อย iPadOS 26.2 ให้ผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว จุดเด่นคือการปรับปรุงระบบ multitasking ที่เคยถูกถอดออกไปในเวอร์ชันก่อน ตอนนี้กลับมาอีกครั้ง คุณสามารถลากไอคอนแอปจาก Dock หรือ Spotlight ไปเปิดในโหมด Split View หรือ Slide Over ได้สะดวกขึ้น ทำให้การทำงานหลายแอปบนหน้าจอเดียวเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่ง Liquid Glass บนหน้าล็อกสกรีน, ระบบแจ้งเตือนเร่งด่วนใน Reminders, การรองรับตารางใน Freeform, การสร้าง chapter ด้วย AI ใน Podcasts และเนื้อเพลงแบบออฟไลน์ใน Apple Music รวมถึงการปรับปรุงการค้นหาเกมใน Apple Games และดีไซน์ใหม่ใน Apple News เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตที่ยกระดับประสบการณ์ใช้งาน iPad ให้ครบเครื่องมากขึ้น
    https://www.techradar.com/tablets/ipad/ipados-26-2-is-rolling-out-now-and-it-makes-multitasking-much-easier-heres-whats-new

    Biwin Mini SSD: สตอเรจจิ๋วที่เร็วแรง แต่อนาคตยังไม่แน่ชัด
    Biwin เปิดตัว Mini SSD รุ่น CL100 ที่มีขนาดเล็กมากเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. น้ำหนักแค่ 1 กรัม แต่ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 3700MB/s และเขียน 3400MB/s พร้อมความทนทานกันน้ำ กันฝุ่น และกันตกจากความสูง 3 เมตร ใช้ถอดเปลี่ยนแบบถาด SIM ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ยังมี RD510 Enclosure ที่แปลง Mini SSD ให้เป็นฮาร์ดดิสก์พกพาแบบ USB4 ความเร็วสูง จุดแข็งคือเล็ก ทน และเร็ว แต่ปัญหาคือยังไม่มีผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาร่วมมาตรฐานนี้ ทำให้อนาคตของ Mini SSD อาจซ้ำรอยกับฟอร์แมตเฉพาะที่เคยหายไปในอดีต หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท
    https://www.techradar.com/pro/is-this-the-next-minidisc-exciting-mini-ssd-format-could-suffer-fate-of-sonys-data-format-if-it-doesnt-get-further-backing

    AMD FSR Redstone: เทคโนโลยีอัปสเกลใหม่ที่ยังทำให้หลายคนงง
    AMD เปิดตัว FSR Redstone ที่รวม 4 เทคโนโลยี ได้แก่ FSR Upscaling, Frame Generation, Ray Regeneration และ Radiance Caching แต่การสื่อสารกลับทำให้ผู้ใช้สับสน เพราะบางฟีเจอร์เป็นของเดิมที่เปลี่ยนชื่อ บางฟีเจอร์ยังไม่พร้อมใช้งานจริง เช่น Radiance Caching ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง จุดที่น่าสนใจคือ Frame Generation แบบใหม่ใช้ AI สร้างเฟรมเสริม ทำให้ภาพลื่นขึ้นและคุณภาพดีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้รองรับเฉพาะการ์ดจอ RDNA 4 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าอดใช้ แม้จะลงทุนซื้อการ์ดจอราคาแพงไปแล้ว การเปิดตัวครั้งนี้จึงถูกมองว่าขาดความชัดเจน แต่ก็ยังเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ AMD ไล่ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia
    https://www.techradar.com/computing/gpu/confused-about-amds-fsr-redstone-update-youre-not-alone-heres-what-it-all-means-for-pc-gamers

    Affinity & Canva: ปฏิวัติวงการด้วยซอฟต์แวร์ดีไซน์ฟรี
    Ash Hewson ซีอีโอของ Affinity ประกาศว่าแพลตฟอร์มดีไซน์ระดับโปรจะเปิดให้ใช้ฟรีทั้งหมด โดยร่วมมือกับ Canva เพื่อผลักดันแนวคิดว่า “ความคิดสร้างสรรค์ไม่ควรถูกจำกัดด้วยราคา” การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการที่เคยถูกครอบงำด้วยซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิกแพง ๆ Affinity รุ่นใหม่รวมเครื่องมือเวกเตอร์ การแต่งภาพ และการจัดเลย์เอาต์ไว้ในที่เดียว ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำโดยไม่ลดทอนคุณภาพ จุดยืนคือไม่มีการซ่อนเงื่อนไข ไม่มีการเก็บข้อมูลลับ และไม่มีการบังคับใช้ AI ที่ไม่โปร่งใส นี่คือการยืนยันว่าซอฟต์แวร์ดีไซน์สามารถเป็น “สาธารณประโยชน์” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ฟรีตลอดไป
    https://www.techradar.com/pro/software-services/affinity-ceo-reveals-why-canva-and-affinity-made-pro-design-software-free-and-what-that-means-for-creativity

    Amadeus: ซีรีส์ใหม่ที่เล่า rivalry ของ Mozart และ Salieri
    Sky เปิดตัวซีรีส์ Amadeus ที่หยิบเรื่องราวการแข่งขันและความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่าง Mozart และ Salieri มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบดราม่าเข้มข้น ซีรีส์นี้ผสมผสานความบันเทิงและความดราม่าได้อย่างลงตัว แม้บางตอนจะมีจังหวะช้าลง แต่การแสดงของ Will Sharpe และ Paul Bettany ถูกยกให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของพวกเขา จุดเด่นคือการตีความใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1984 และยังเพิ่มมิติใหม่ด้วยการเล่าเรื่องการสร้างบทละครของ Peter Shaffer เอง ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่เล่าความขัดแย้ง แต่ยังสะท้อนพลังของดนตรีคลาสสิกที่ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้ชมยุคใหม่
    https://www.techradar.com/streaming/entertainment/amadeus-review-sky

    Toshiba เดินหน้าสู่ยุค HDD ความจุ 55TB
    Toshiba กำลังวางแผนพัฒนา HDD ที่มีความจุสูงถึง 55TB ภายในปี 2030 โดยเริ่มจากรุ่น 40TB ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ความก้าวหน้าครั้งนี้เกิดจากการเพิ่มจำนวนแผ่นจาน (platters) และการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง MAMR และ HAMR ซึ่งช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้หนาแน่นขึ้นกว่าเดิม เส้นทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก HDD รุ่น 10TB ในปี 2017 มาจนถึง 24TB ในปัจจุบัน และกำลังจะก้าวไปสู่ระดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาด การเปลี่ยนจากแผ่นอลูมิเนียมเป็นแก้วก็ช่วยให้ทนทานและบางลง ทำให้สามารถซ้อนแผ่นได้มากขึ้น ถือเป็นการปูทางสู่ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลขนาดมหึมา
    https://www.techradar.com/pro/toshiba-wants-to-launch-a-55tb-hard-drive-by-2030-40tb-model-set-to-appear-in-2026-new-slides-show

    Android 17 เตรียมเพิ่ม Motion Cues ลดอาการเมารถ
    Google กำลังพัฒนา Motion Cues ฟีเจอร์ใหม่ใน Android 17 ที่ช่วยลดอาการเวียนหัวหรือเมารถเวลามองหน้าจอมือถือระหว่างการเดินทาง ฟีเจอร์นี้จะสร้างจุดเคลื่อนไหวบนหน้าจอให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวจริงของโทรศัพท์ ทำให้สมองไม่สับสนระหว่างภาพที่เห็นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แนวคิดนี้คล้ายกับ Vehicle Motion Cues ที่ Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่การนำมาใช้ใน Android ต้องปรับระบบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถแสดงผลทับบนหน้าจอได้เต็มรูปแบบ หากการทดสอบผ่านไปด้วยดี เราอาจได้เห็น Motion Cues เปิดตัวพร้อม Android 17 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
    https://www.techradar.com/phones/android/android-17-could-finally-introduce-motion-cues-to-combat-motion-sickness-matching-the-same-feature-in-ios

    AI โจมตี SaaS ผ่านการปลอมแปลงตัวตน
    ภัยคุกคามใหม่ในโลกไซเบอร์ไม่ได้เริ่มจากมัลแวร์อีกต่อไป แต่เริ่มจาก “ตัวตน” ที่ถูกขโมยหรือสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียนด้วย AI แฮกเกอร์ใช้เทคโนโลยีสร้างอีเมลปลอมที่เหมือนจริง สร้างภาพถ่ายหรือบุคคลเสมือนเพื่อหลอกลวง และแม้กระทั่งใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีที่ถูกขโมยเพื่อหาบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงสุด เมื่อได้ตัวตนที่น่าเชื่อถือแล้ว พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ SaaS ได้โดยตรงโดยไม่ถูกตรวจจับ นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ “ตัวตน” กลายเป็นแนวรบหลักของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI
    https://www.techradar.com/pro/inside-the-ai-powered-assault-on-saas-why-identity-is-the-weakest-link

    สมาร์ทโฟนปี 2026 ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นอีกครั้ง
    แม้หลายคนจะรู้สึกเบื่อกับสมาร์ทโฟนที่ดูคล้ายกันไปหมด แต่ปี 2026 จะมีรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ เช่น Xiaomi 17 Pro Max ที่มีหน้าจอด้านหลังและแบตเตอรี่ใหญ่ถึง 7,500mAh, Samsung Galaxy Z TriFold ที่พับได้สามตอนกลายเป็นแท็บเล็ต 10 นิ้ว, iPhone Fold ที่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม iPhone 18 และอาจเป็นรุ่นแรกที่ไม่มีรอยพับให้เห็น รวมถึง OnePlus 16 ที่สืบต่อความแรงจากรุ่นก่อน และ Ayaneo Pocket Play ที่รวมมือถือกับเครื่องเล่นเกมพกพาในเครื่องเดียว ทั้งหมดนี้คือการกลับมาของความตื่นเต้นในโลกสมาร์ทโฟน
    https://www.techradar.com/phones/bored-with-smartphones-these-5-upcoming-flagships-could-change-your-mind-in-2026

    รีวิว Ring Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัย 4K
    Ring เปิดตัว Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมความละเอียด 4K และซูมได้ถึง 10 เท่า ทำให้ภาพคมชัดกว่ารุ่นก่อนมาก กล้องนี้ต้องใช้ไฟบ้านเท่านั้น แต่ข้อดีคือสามารถบันทึกวิดีโอ 24/7 ได้เต็มรูปแบบ หากสมัครแพ็กเกจ Premium ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฟีเจอร์เด่นคือ Smart Video Search ที่ใช้ AI ค้นหาภาพจากคำ เช่น “คนใส่เสื้อสีแดง” และยังมีเสียงไซเรน 85dB รวมถึงระบบเสียงสองทางเพื่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่หน้ากล้อง แม้ราคาจะสูงและต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก แต่คุณภาพของภาพและความสามารถขั้นสูงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/home/home-security/ring-outdoor-cam-pro-review
    📌📡🟡 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟡📡📌 #รวมข่าวIT #20251215 #TechRadar 📱 iPadOS 26.2: อัปเดตใหม่ที่ทำให้การทำงานหลายแอปง่ายขึ้น Apple ปล่อย iPadOS 26.2 ให้ผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว จุดเด่นคือการปรับปรุงระบบ multitasking ที่เคยถูกถอดออกไปในเวอร์ชันก่อน ตอนนี้กลับมาอีกครั้ง คุณสามารถลากไอคอนแอปจาก Dock หรือ Spotlight ไปเปิดในโหมด Split View หรือ Slide Over ได้สะดวกขึ้น ทำให้การทำงานหลายแอปบนหน้าจอเดียวเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่ง Liquid Glass บนหน้าล็อกสกรีน, ระบบแจ้งเตือนเร่งด่วนใน Reminders, การรองรับตารางใน Freeform, การสร้าง chapter ด้วย AI ใน Podcasts และเนื้อเพลงแบบออฟไลน์ใน Apple Music รวมถึงการปรับปรุงการค้นหาเกมใน Apple Games และดีไซน์ใหม่ใน Apple News เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตที่ยกระดับประสบการณ์ใช้งาน iPad ให้ครบเครื่องมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/tablets/ipad/ipados-26-2-is-rolling-out-now-and-it-makes-multitasking-much-easier-heres-whats-new 💾 Biwin Mini SSD: สตอเรจจิ๋วที่เร็วแรง แต่อนาคตยังไม่แน่ชัด Biwin เปิดตัว Mini SSD รุ่น CL100 ที่มีขนาดเล็กมากเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. น้ำหนักแค่ 1 กรัม แต่ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 3700MB/s และเขียน 3400MB/s พร้อมความทนทานกันน้ำ กันฝุ่น และกันตกจากความสูง 3 เมตร ใช้ถอดเปลี่ยนแบบถาด SIM ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ยังมี RD510 Enclosure ที่แปลง Mini SSD ให้เป็นฮาร์ดดิสก์พกพาแบบ USB4 ความเร็วสูง จุดแข็งคือเล็ก ทน และเร็ว แต่ปัญหาคือยังไม่มีผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาร่วมมาตรฐานนี้ ทำให้อนาคตของ Mini SSD อาจซ้ำรอยกับฟอร์แมตเฉพาะที่เคยหายไปในอดีต หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-this-the-next-minidisc-exciting-mini-ssd-format-could-suffer-fate-of-sonys-data-format-if-it-doesnt-get-further-backing 🎮 AMD FSR Redstone: เทคโนโลยีอัปสเกลใหม่ที่ยังทำให้หลายคนงง AMD เปิดตัว FSR Redstone ที่รวม 4 เทคโนโลยี ได้แก่ FSR Upscaling, Frame Generation, Ray Regeneration และ Radiance Caching แต่การสื่อสารกลับทำให้ผู้ใช้สับสน เพราะบางฟีเจอร์เป็นของเดิมที่เปลี่ยนชื่อ บางฟีเจอร์ยังไม่พร้อมใช้งานจริง เช่น Radiance Caching ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง จุดที่น่าสนใจคือ Frame Generation แบบใหม่ใช้ AI สร้างเฟรมเสริม ทำให้ภาพลื่นขึ้นและคุณภาพดีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้รองรับเฉพาะการ์ดจอ RDNA 4 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าอดใช้ แม้จะลงทุนซื้อการ์ดจอราคาแพงไปแล้ว การเปิดตัวครั้งนี้จึงถูกมองว่าขาดความชัดเจน แต่ก็ยังเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ AMD ไล่ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/confused-about-amds-fsr-redstone-update-youre-not-alone-heres-what-it-all-means-for-pc-gamers 🎨 Affinity & Canva: ปฏิวัติวงการด้วยซอฟต์แวร์ดีไซน์ฟรี Ash Hewson ซีอีโอของ Affinity ประกาศว่าแพลตฟอร์มดีไซน์ระดับโปรจะเปิดให้ใช้ฟรีทั้งหมด โดยร่วมมือกับ Canva เพื่อผลักดันแนวคิดว่า “ความคิดสร้างสรรค์ไม่ควรถูกจำกัดด้วยราคา” การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการที่เคยถูกครอบงำด้วยซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิกแพง ๆ Affinity รุ่นใหม่รวมเครื่องมือเวกเตอร์ การแต่งภาพ และการจัดเลย์เอาต์ไว้ในที่เดียว ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำโดยไม่ลดทอนคุณภาพ จุดยืนคือไม่มีการซ่อนเงื่อนไข ไม่มีการเก็บข้อมูลลับ และไม่มีการบังคับใช้ AI ที่ไม่โปร่งใส นี่คือการยืนยันว่าซอฟต์แวร์ดีไซน์สามารถเป็น “สาธารณประโยชน์” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ฟรีตลอดไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/affinity-ceo-reveals-why-canva-and-affinity-made-pro-design-software-free-and-what-that-means-for-creativity 🎼 Amadeus: ซีรีส์ใหม่ที่เล่า rivalry ของ Mozart และ Salieri Sky เปิดตัวซีรีส์ Amadeus ที่หยิบเรื่องราวการแข่งขันและความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่าง Mozart และ Salieri มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบดราม่าเข้มข้น ซีรีส์นี้ผสมผสานความบันเทิงและความดราม่าได้อย่างลงตัว แม้บางตอนจะมีจังหวะช้าลง แต่การแสดงของ Will Sharpe และ Paul Bettany ถูกยกให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของพวกเขา จุดเด่นคือการตีความใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1984 และยังเพิ่มมิติใหม่ด้วยการเล่าเรื่องการสร้างบทละครของ Peter Shaffer เอง ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่เล่าความขัดแย้ง แต่ยังสะท้อนพลังของดนตรีคลาสสิกที่ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้ชมยุคใหม่ 🔗 https://www.techradar.com/streaming/entertainment/amadeus-review-sky 🖥️ Toshiba เดินหน้าสู่ยุค HDD ความจุ 55TB Toshiba กำลังวางแผนพัฒนา HDD ที่มีความจุสูงถึง 55TB ภายในปี 2030 โดยเริ่มจากรุ่น 40TB ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ความก้าวหน้าครั้งนี้เกิดจากการเพิ่มจำนวนแผ่นจาน (platters) และการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง MAMR และ HAMR ซึ่งช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้หนาแน่นขึ้นกว่าเดิม เส้นทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก HDD รุ่น 10TB ในปี 2017 มาจนถึง 24TB ในปัจจุบัน และกำลังจะก้าวไปสู่ระดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาด การเปลี่ยนจากแผ่นอลูมิเนียมเป็นแก้วก็ช่วยให้ทนทานและบางลง ทำให้สามารถซ้อนแผ่นได้มากขึ้น ถือเป็นการปูทางสู่ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลขนาดมหึมา 🔗 https://www.techradar.com/pro/toshiba-wants-to-launch-a-55tb-hard-drive-by-2030-40tb-model-set-to-appear-in-2026-new-slides-show 📱 Android 17 เตรียมเพิ่ม Motion Cues ลดอาการเมารถ Google กำลังพัฒนา Motion Cues ฟีเจอร์ใหม่ใน Android 17 ที่ช่วยลดอาการเวียนหัวหรือเมารถเวลามองหน้าจอมือถือระหว่างการเดินทาง ฟีเจอร์นี้จะสร้างจุดเคลื่อนไหวบนหน้าจอให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวจริงของโทรศัพท์ ทำให้สมองไม่สับสนระหว่างภาพที่เห็นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แนวคิดนี้คล้ายกับ Vehicle Motion Cues ที่ Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่การนำมาใช้ใน Android ต้องปรับระบบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถแสดงผลทับบนหน้าจอได้เต็มรูปแบบ หากการทดสอบผ่านไปด้วยดี เราอาจได้เห็น Motion Cues เปิดตัวพร้อม Android 17 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 🔗 https://www.techradar.com/phones/android/android-17-could-finally-introduce-motion-cues-to-combat-motion-sickness-matching-the-same-feature-in-ios 🔒 AI โจมตี SaaS ผ่านการปลอมแปลงตัวตน ภัยคุกคามใหม่ในโลกไซเบอร์ไม่ได้เริ่มจากมัลแวร์อีกต่อไป แต่เริ่มจาก “ตัวตน” ที่ถูกขโมยหรือสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียนด้วย AI แฮกเกอร์ใช้เทคโนโลยีสร้างอีเมลปลอมที่เหมือนจริง สร้างภาพถ่ายหรือบุคคลเสมือนเพื่อหลอกลวง และแม้กระทั่งใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีที่ถูกขโมยเพื่อหาบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงสุด เมื่อได้ตัวตนที่น่าเชื่อถือแล้ว พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ SaaS ได้โดยตรงโดยไม่ถูกตรวจจับ นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ “ตัวตน” กลายเป็นแนวรบหลักของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI 🔗 https://www.techradar.com/pro/inside-the-ai-powered-assault-on-saas-why-identity-is-the-weakest-link 📲 สมาร์ทโฟนปี 2026 ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นอีกครั้ง แม้หลายคนจะรู้สึกเบื่อกับสมาร์ทโฟนที่ดูคล้ายกันไปหมด แต่ปี 2026 จะมีรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ เช่น Xiaomi 17 Pro Max ที่มีหน้าจอด้านหลังและแบตเตอรี่ใหญ่ถึง 7,500mAh, Samsung Galaxy Z TriFold ที่พับได้สามตอนกลายเป็นแท็บเล็ต 10 นิ้ว, iPhone Fold ที่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม iPhone 18 และอาจเป็นรุ่นแรกที่ไม่มีรอยพับให้เห็น รวมถึง OnePlus 16 ที่สืบต่อความแรงจากรุ่นก่อน และ Ayaneo Pocket Play ที่รวมมือถือกับเครื่องเล่นเกมพกพาในเครื่องเดียว ทั้งหมดนี้คือการกลับมาของความตื่นเต้นในโลกสมาร์ทโฟน 🔗 https://www.techradar.com/phones/bored-with-smartphones-these-5-upcoming-flagships-could-change-your-mind-in-2026 🏡 รีวิว Ring Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัย 4K Ring เปิดตัว Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมความละเอียด 4K และซูมได้ถึง 10 เท่า ทำให้ภาพคมชัดกว่ารุ่นก่อนมาก กล้องนี้ต้องใช้ไฟบ้านเท่านั้น แต่ข้อดีคือสามารถบันทึกวิดีโอ 24/7 ได้เต็มรูปแบบ หากสมัครแพ็กเกจ Premium ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฟีเจอร์เด่นคือ Smart Video Search ที่ใช้ AI ค้นหาภาพจากคำ เช่น “คนใส่เสื้อสีแดง” และยังมีเสียงไซเรน 85dB รวมถึงระบบเสียงสองทางเพื่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่หน้ากล้อง แม้ราคาจะสูงและต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก แต่คุณภาพของภาพและความสามารถขั้นสูงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/home/home-security/ring-outdoor-cam-pro-review
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.45

    ข้อพิพาทชายแดนอันเป็นความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกระหว่างรัฐอธิปไตยอย่างน้อยสองรัฐเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตแดน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน หรือการควบคุมพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงนั้น ถือเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาในมิติทางกฎหมาย ข้อพิพาทเหล่านี้มักไม่ได้มีสาเหตุเพียงเพราะความคลุมเครือทางภูมิศาสตร์หรือความแตกต่างทางชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลพวงโดยตรงจากความไม่ชัดเจนหรือการตีความที่แตกต่างกันของเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศ อันได้แก่ สนธิสัญญาเก่าแก่ ข้อตกลงเขตแดน หรือแม้กระทั่งหลักการทางกฎหมายจารีตประเพณี การวิเคราะห์เชิงกฎหมายถือเป็นหัวใจสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านี้ เนื่องจากการกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (Territorial Sovereignty) และหลักการความศักดิ์สิทธิ์ของเขตแดน (Principle of Utis Possidetis Juris) กล่าวคือเมื่อมีการกำหนดเขตแดนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เขตแดนนั้นย่อมได้รับการยอมรับและไม่สามารถถูกละเมิดได้โดยง่าย หลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพิจารณาข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนธิสัญญาและพิธีสารที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจขาดความชัดเจนทางเทคนิค หรือถูกเขียนขึ้นในบริบททางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทำให้เกิดช่องว่างในการตีความตามหลักกฎหมายปัจจุบัน นอกจากนี้ บทบาทของแผนที่ที่มีการอ้างอิงถึงในสนธิสัญญา แต่มีความแตกต่างหรือขัดแย้งกันเอง ก็นับเป็นแหล่งที่มาของปัญหาทางกฎหมายที่ต้องมีการวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเจตจำนงร่วมของคู่สัญญาในขณะทำสนธิสัญญา นอกเหนือจากสนธิสัญญาแล้ว การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนยังเกี่ยวข้องกับการใช้หลักการเข้าถือครองดินแดน (Acquisition of Territory) ซึ่งรวมถึงการเข้าถือครองอย่างสันติและต่อเนื่อง (Effective Occupation) ในบางพื้นที่ที่ยังไม่มีการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐ (Effectivités) อย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง เช่น การบริหารราชการ การเก็บภาษี การบังคับใช้กฎหมาย หรือการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่พิพาท จึงอาจถูกนำมาเป็นหลักฐานสำคัญในการสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ทางกฎหมาย การตัดสินใจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือคณะอนุญาโตตุลาการในคดีพิพาทชายแดนในอดีต ได้สร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางภูมิศาสตร์ และความสมเหตุสมผลในการใช้ชีวิตของประชากรในพื้นที่เป็นองค์ประกอบเสริมในการตีความเครื่องมือทางกฎหมาย การแก้ไขข้อพิพาทชายแดนจึงเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการประยุกต์ใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดและเป็นกลาง โดยเริ่มต้นจากการเจรจาทางการทูต การใช้กระบวนการไกล่เกลี่ย หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาข้อยุติที่อยู่บนพื้นฐานของความชอบด้วยกฎหมายและความเป็นธรรม

    ในทางปฏิบัติ ข้อพิพาทชายแดนเป็นมากกว่าเรื่องของการตีความเส้นบนแผนที่ แต่เป็นประเด็นที่ผูกโยงกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของชาติอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า เช่น แหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือการเข้าถึงเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญ ผลประโยชน์เหล่านี้มักเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ข้อพิพาททวีความรุนแรงขึ้นและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม หลักกฎหมายระหว่างประเทศจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างกรอบการแก้ไขปัญหาที่ไม่ใช่เพียงการกำหนดเส้นเขตแดน แต่ต้องรวมถึงการจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมผ่านข้อตกลงความร่วมมือ หรือการจัดตั้งเขตพัฒนาร่วม (Joint Development Zone) ซึ่งเป็นการแยกการจัดการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกจากการอ้างสิทธิ์เหนืออำนาจอธิปไตย เพื่อลดความตึงเครียดและส่งเสริมสันติภาพในระยะยาว ข้อพิพาทเขตแดนจึงมีความท้าทายในทางกฎหมายที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการตีความเอกสารทางกฎหมายและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความซับซ้อนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การตีความตามตัวอักษรของสนธิสัญญาอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมหรือขัดแย้งกับหลักการเข้าถือครองดินแดนที่มีมายาวนาน ดังนั้น การตัดสินใจทางกฎหมายจึงมักจะต้องพิจารณาหลักความเท่าเทียม (Equity) และความเป็นธรรมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายและนำไปสู่ความมั่นคงในภูมิภาค

    โดยสรุปแล้ว ข้อพิพาทชายแดนเป็นปรากฏการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกควบคุมและกำหนดทิศทางโดยกฎหมายระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการปะทะกันทางทหารหรือทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการพิสูจน์ความชอบธรรมของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนบนพื้นฐานของสนธิสัญญา หลักกฎหมายจารีตประเพณี และการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ไขอย่างสันติและยั่งยืนจึงต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ โดยการนำเครื่องมือทางกฎหมายมาใช้ในการตีความเอกสารที่คลุมเครือ การพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน และการใช้กลไกการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการทูต หรือการพึ่งพาอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนทางกฎหมายที่นำไปสู่การเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยเหนือพรมแดน และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมั่นคงในประชาคมโลก
    บทความกฎหมาย EP.45 ข้อพิพาทชายแดนอันเป็นความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกระหว่างรัฐอธิปไตยอย่างน้อยสองรัฐเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตแดน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน หรือการควบคุมพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงนั้น ถือเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาในมิติทางกฎหมาย ข้อพิพาทเหล่านี้มักไม่ได้มีสาเหตุเพียงเพราะความคลุมเครือทางภูมิศาสตร์หรือความแตกต่างทางชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลพวงโดยตรงจากความไม่ชัดเจนหรือการตีความที่แตกต่างกันของเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศ อันได้แก่ สนธิสัญญาเก่าแก่ ข้อตกลงเขตแดน หรือแม้กระทั่งหลักการทางกฎหมายจารีตประเพณี การวิเคราะห์เชิงกฎหมายถือเป็นหัวใจสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านี้ เนื่องจากการกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (Territorial Sovereignty) และหลักการความศักดิ์สิทธิ์ของเขตแดน (Principle of Utis Possidetis Juris) กล่าวคือเมื่อมีการกำหนดเขตแดนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เขตแดนนั้นย่อมได้รับการยอมรับและไม่สามารถถูกละเมิดได้โดยง่าย หลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพิจารณาข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนธิสัญญาและพิธีสารที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจขาดความชัดเจนทางเทคนิค หรือถูกเขียนขึ้นในบริบททางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทำให้เกิดช่องว่างในการตีความตามหลักกฎหมายปัจจุบัน นอกจากนี้ บทบาทของแผนที่ที่มีการอ้างอิงถึงในสนธิสัญญา แต่มีความแตกต่างหรือขัดแย้งกันเอง ก็นับเป็นแหล่งที่มาของปัญหาทางกฎหมายที่ต้องมีการวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเจตจำนงร่วมของคู่สัญญาในขณะทำสนธิสัญญา นอกเหนือจากสนธิสัญญาแล้ว การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนยังเกี่ยวข้องกับการใช้หลักการเข้าถือครองดินแดน (Acquisition of Territory) ซึ่งรวมถึงการเข้าถือครองอย่างสันติและต่อเนื่อง (Effective Occupation) ในบางพื้นที่ที่ยังไม่มีการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐ (Effectivités) อย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง เช่น การบริหารราชการ การเก็บภาษี การบังคับใช้กฎหมาย หรือการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่พิพาท จึงอาจถูกนำมาเป็นหลักฐานสำคัญในการสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ทางกฎหมาย การตัดสินใจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือคณะอนุญาโตตุลาการในคดีพิพาทชายแดนในอดีต ได้สร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางภูมิศาสตร์ และความสมเหตุสมผลในการใช้ชีวิตของประชากรในพื้นที่เป็นองค์ประกอบเสริมในการตีความเครื่องมือทางกฎหมาย การแก้ไขข้อพิพาทชายแดนจึงเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการประยุกต์ใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดและเป็นกลาง โดยเริ่มต้นจากการเจรจาทางการทูต การใช้กระบวนการไกล่เกลี่ย หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาข้อยุติที่อยู่บนพื้นฐานของความชอบด้วยกฎหมายและความเป็นธรรม ในทางปฏิบัติ ข้อพิพาทชายแดนเป็นมากกว่าเรื่องของการตีความเส้นบนแผนที่ แต่เป็นประเด็นที่ผูกโยงกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของชาติอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า เช่น แหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือการเข้าถึงเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญ ผลประโยชน์เหล่านี้มักเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ข้อพิพาททวีความรุนแรงขึ้นและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม หลักกฎหมายระหว่างประเทศจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างกรอบการแก้ไขปัญหาที่ไม่ใช่เพียงการกำหนดเส้นเขตแดน แต่ต้องรวมถึงการจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมผ่านข้อตกลงความร่วมมือ หรือการจัดตั้งเขตพัฒนาร่วม (Joint Development Zone) ซึ่งเป็นการแยกการจัดการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกจากการอ้างสิทธิ์เหนืออำนาจอธิปไตย เพื่อลดความตึงเครียดและส่งเสริมสันติภาพในระยะยาว ข้อพิพาทเขตแดนจึงมีความท้าทายในทางกฎหมายที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการตีความเอกสารทางกฎหมายและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความซับซ้อนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การตีความตามตัวอักษรของสนธิสัญญาอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมหรือขัดแย้งกับหลักการเข้าถือครองดินแดนที่มีมายาวนาน ดังนั้น การตัดสินใจทางกฎหมายจึงมักจะต้องพิจารณาหลักความเท่าเทียม (Equity) และความเป็นธรรมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายและนำไปสู่ความมั่นคงในภูมิภาค โดยสรุปแล้ว ข้อพิพาทชายแดนเป็นปรากฏการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกควบคุมและกำหนดทิศทางโดยกฎหมายระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการปะทะกันทางทหารหรือทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการพิสูจน์ความชอบธรรมของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนบนพื้นฐานของสนธิสัญญา หลักกฎหมายจารีตประเพณี และการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ไขอย่างสันติและยั่งยืนจึงต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ โดยการนำเครื่องมือทางกฎหมายมาใช้ในการตีความเอกสารที่คลุมเครือ การพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน และการใช้กลไกการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการทูต หรือการพึ่งพาอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนทางกฎหมายที่นำไปสู่การเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยเหนือพรมแดน และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมั่นคงในประชาคมโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251215 #securityonline

    NANOREMOTE: มัลแวร์ใหม่ที่ซ่อนตัวผ่าน Google Drive
    เรื่องนี้เป็นการค้นพบของ Elastic Security Labs ที่เจอม้าโทรจันตัวใหม่ชื่อว่า NANOREMOTE ซึ่งทำงานบน Windows และใช้ Google Drive API เป็นช่องทางสื่อสารลับกับผู้โจมตี ทำให้การขโมยข้อมูลและสั่งงานแฝงตัวไปกับทราฟฟิกปกติได้อย่างแนบเนียน จุดเด่นคือมันสามารถใช้ OAuth 2.0 token เพื่อสร้างช่องทางลับในการส่งข้อมูล โดยมีตัวโหลดชื่อ WMLOADER ที่ปลอมตัวเป็นโปรแกรมของ Bitdefender แต่จริง ๆ แล้วเป็นตัวนำมัลแวร์เข้าสู่ระบบ จากนั้นจะถอดรหัสไฟล์ที่ซ่อนอยู่และปล่อยตัว NANOREMOTE ทำงานในหน่วยความจำโดยตรง นักวิจัยยังพบหลักฐานว่ามีการใช้โค้ดและคีย์เข้ารหัสเดียวกันกับมัลแวร์ตระกูล FINALDRAFT ซึ่งบ่งชี้ว่ามีรากฐานการพัฒนาร่วมกัน
    https://securityonline.info/new-nanoremote-backdoor-uses-google-drive-api-for-covert-c2-and-links-to-finaldraft-espionage-group

    SHADOW-VOID-042: แฮกเกอร์ปลอมตัวเป็น Trend Micro
    กลุ่มผู้โจมตีที่ถูกเรียกว่า SHADOW-VOID-042 ใช้ชื่อเสียงของ Trend Micro มาหลอกเหยื่อ โดยส่งอีเมลฟิชชิ่งที่ดูเหมือนเป็นประกาศเตือนด้านความปลอดภัย เหยื่อที่เชื่อจะถูกพาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบสไตล์ของ Trend Micro และถูกติดตั้ง payload แบบเจาะจงเป้าหมาย การโจมตีนี้ไม่ใช่การสุ่ม แต่ถูกปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละเหยื่อ และมีการใช้ทั้งเทคนิคเก่าและใหม่ เช่น exploit ช่องโหว่ Chrome ปี 2018 รวมถึงการใช้ zero-day ที่ใหม่กว่าสำหรับเป้าหมายสำคัญ นักวิจัยเชื่อว่ากลุ่มนี้อาจเชื่อมโยงกับ Void Rabisu ซึ่งมีประวัติทำงานใกล้ชิดกับผลประโยชน์รัสเซีย
    https://securityonline.info/shadow-void-042-impersonates-trend-micro-in-phishing-campaign-to-breach-critical-infrastructure

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Plesk (CVE-2025-66430)
    แพลตฟอร์ม Plesk ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการโฮสต์เว็บไซต์ ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น root ได้ ช่องโหว่นี้อยู่ในฟีเจอร์ Password-Protected Directories ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ฉีดข้อมูลเข้าไปใน Apache configuration ได้โดยตรง ผลคือสามารถสั่งรันคำสั่งใด ๆ ในระดับสูงสุดบนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกยึดครองทั้งระบบ Plesk ได้ออก micro-update เร่งด่วนเพื่อแก้ไข และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที
    https://securityonline.info/critical-plesk-flaw-cve-2025-66430-risks-full-server-takeover-via-lpe-and-apache-config-injection

    Ashen Lepus: กลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับ Hamas เปิดตัว AshTag Malware
    ในขณะที่สงครามกาซายังคงดำเนินอยู่ กลุ่มแฮกเกอร์ Ashen Lepus หรือ WIRTE ที่เชื่อมโยงกับ Hamas ยังคงทำงานด้านไซเบอร์สอดแนมอย่างต่อเนื่อง และได้พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AshTag ซึ่งเป็นชุดมัลแวร์แบบโมดูลาร์ที่ซ่อนตัวเก่งมาก ใช้ไฟล์ PDF หลอกเหยื่อให้เปิดเอกสารทางการทูตปลอม แล้วโหลด DLL อันตรายเข้ามา จากนั้น payload จะถูกดึงจาก HTML ที่ซ่อนอยู่และทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะดิสก์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก กลุ่มนี้ยังขยายเป้าหมายไปยังประเทศอาหรับอื่น ๆ เช่น โอมานและโมร็อกโก โดยมุ่งเน้นข้อมูลทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    https://securityonline.info/hamas-affiliated-apt-ashen-lepus-unveils-ashtag-malware-suite-for-wider-cyber-espionage

    ช่องโหว่ RasMan บน Windows ที่ยังไม่ได้แพตช์
    นักวิจัยจาก 0patch พบช่องโหว่ใหม่ในบริการ Remote Access Connection Manager (RasMan) ของ Windows ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข แม้ Microsoft จะเพิ่งแพตช์ช่องโหว่อื่นที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่พบว่ามีบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทำให้บริการ RasMan crash ได้ และใช้ช่องทางนี้เพื่อยึดสิทธิ์ Local System ได้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ linked list ที่ผิดพลาด ทำให้เกิด NULL pointer และ crash ทันที 0patch ได้ออก micropatch ชั่วคราวเพื่อแก้ไข แต่ Microsoft ยังต้องออกแพตช์อย่างเป็นทางการในอนาคต
    https://securityonline.info/unpatched-windows-rasman-flaw-allows-unprivileged-crash-enabling-local-system-privilege-escalation-exploit

    ImageMagick พบช่องโหว่ร้ายแรง เสี่ยงเปิดเผยข้อมูลหน่วยความจำ
    เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใน ImageMagick ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการประมวลผลภาพ ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นจากการจัดการไฟล์รูปแบบ PSX TIM ที่มาจากยุคเครื่อง PlayStation รุ่นแรก แต่กลับสร้างความเสี่ยงในระบบ 32-bit ปัจจุบัน เนื่องจากการคำนวณขนาดภาพโดยไม่ตรวจสอบการ overflow ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ที่บิดเบือนค่าและนำไปสู่การอ่านข้อมูลหน่วยความจำที่ไม่ควรเข้าถึงได้ ข้อมูลที่รั่วไหลอาจรวมถึงรหัสผ่านหรือคีย์สำคัญต่าง ๆ ทีมพัฒนาได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 7.1.2-10 และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/imagemagick-flaw-risks-arbitrary-memory-disclosure-via-psx-tim-file-integer-overflow-on-32-bit-systems

    GOLD SALEM ใช้เครื่องมือ Velociraptor เป็นตัวช่วยโจมตี ransomware กลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่ชื่อ GOLD SALEM ถูกพบว่ามีการนำเครื่องมือด้านดิจิทัลฟอเรนสิกอย่าง Velociraptor ซึ่งปกติใช้สำหรับการตรวจสอบและตอบสนองเหตุการณ์ มาใช้เป็นเครื่องมือเตรียมการโจมตี ransomware โดยพวกเขาใช้วิธีดาวน์โหลดตัวติดตั้งจากโดเมนที่ควบคุมเอง และนำไปใช้สร้างช่องทางควบคุมระบบ รวมถึงการเจาะช่องโหว่ใน SharePoint ที่เรียกว่า ToolShell เพื่อเข้าถึงระบบองค์กร เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่การเงิน แต่ยังรวมถึงองค์กรในด้านโทรคมนาคม พลังงานนิวเคลียร์ และอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีนัยยะด้านการสอดแนมด้วย
    https://securityonline.info/gold-salem-abuses-velociraptor-dfir-tool-as-ransomware-precursor-following-sharepoint-toolshell-exploitation

    Apache StreamPark พบการใช้ key แบบ hard-coded และโหมดเข้ารหัสที่ล้าสมัย
    แพลตฟอร์ม Apache StreamPark ซึ่งใช้สำหรับพัฒนาแอปพลิเคชันสตรีมมิ่ง ถูกพบว่ามีการใช้คีย์เข้ารหัสที่ถูกฝังตายตัวในซอฟต์แวร์ และยังใช้โหมด AES ECB ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้โจมตีสามารถปลอมแปลงโทเคนและถอดรหัสข้อมูลได้ง่าย ช่องโหว่นี้กระทบตั้งแต่เวอร์ชัน 2.0.0 ถึง 2.1.7 และอาจส่งผลต่อระบบคลาวด์ที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ ผู้ดูแลระบบถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันความเสี่ยง
    https://securityonline.info/apache-streampark-flaw-risks-data-decryption-token-forgery-via-hard-coded-key-and-aes-ecb-mode

    Storm-0249 ใช้ DLL sideloading แฝงตัวในกระบวนการ EDR เพื่อเปิดทาง ransomware
    กลุ่ม Storm-0249 ซึ่งเป็น initial access broker ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการส่งฟิชชิ่งทั่วไปมาเป็นการโจมตีแบบเจาะจง โดยใช้ DLL sideloading กับโปรเซสของ SentinelOne ที่เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัย ทำให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการเปิดทางให้มัลแวร์เข้ามาได้ พวกเขายังใช้เทคนิค “living off the land” เช่นการใช้ curl.exe และ PowerShell เพื่อรันโค้ดโดยไม่ทิ้งร่องรอยในดิสก์ เป้าหมายคือการขายสิทธิ์เข้าถึงให้กับกลุ่ม ransomware อย่าง LockBit และ ALPHV
    https://securityonline.info/storm-0249-abuses-edr-process-via-dll-sideloading-to-cloak-ransomware-access

    VS Code Marketplace ถูกโจมตี supply chain ผ่าน 19 extensions ปลอม
    นักวิจัยพบว่ามีการปล่อยส่วนขยาย VS Code ที่แฝงมัลแวร์จำนวน 19 ตัว โดยใช้เทคนิค typosquatting และ steganography ซ่อนโค้ดอันตรายในไฟล์ dependency ภายใน node_modules รวมถึงการปลอมไฟล์ภาพ banner.png ที่จริงเป็น archive บรรจุ binary อันตราย เมื่อส่วนขยายถูกใช้งาน มัลแวร์จะถูกโหลดขึ้นมาและใช้เครื่องมือของ Windows อย่าง cmstp.exe เพื่อรันโค้ดโดยเลี่ยงการตรวจจับ หนึ่งใน payload เป็น Rust trojan ที่ซับซ้อนและยังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานซอฟต์แวร์ที่นักพัฒนาต้องระวัง
    https://securityonline.info/vs-code-supply-chain-attack-19-extensions-used-typosquatting-steganography-to-deploy-rust-trojan



    📌🔐🟡 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟡🔐📌 #รวมข่าวIT #20251215 #securityonline 🖥️ NANOREMOTE: มัลแวร์ใหม่ที่ซ่อนตัวผ่าน Google Drive เรื่องนี้เป็นการค้นพบของ Elastic Security Labs ที่เจอม้าโทรจันตัวใหม่ชื่อว่า NANOREMOTE ซึ่งทำงานบน Windows และใช้ Google Drive API เป็นช่องทางสื่อสารลับกับผู้โจมตี ทำให้การขโมยข้อมูลและสั่งงานแฝงตัวไปกับทราฟฟิกปกติได้อย่างแนบเนียน จุดเด่นคือมันสามารถใช้ OAuth 2.0 token เพื่อสร้างช่องทางลับในการส่งข้อมูล โดยมีตัวโหลดชื่อ WMLOADER ที่ปลอมตัวเป็นโปรแกรมของ Bitdefender แต่จริง ๆ แล้วเป็นตัวนำมัลแวร์เข้าสู่ระบบ จากนั้นจะถอดรหัสไฟล์ที่ซ่อนอยู่และปล่อยตัว NANOREMOTE ทำงานในหน่วยความจำโดยตรง นักวิจัยยังพบหลักฐานว่ามีการใช้โค้ดและคีย์เข้ารหัสเดียวกันกับมัลแวร์ตระกูล FINALDRAFT ซึ่งบ่งชี้ว่ามีรากฐานการพัฒนาร่วมกัน 🔗 https://securityonline.info/new-nanoremote-backdoor-uses-google-drive-api-for-covert-c2-and-links-to-finaldraft-espionage-group 📧 SHADOW-VOID-042: แฮกเกอร์ปลอมตัวเป็น Trend Micro กลุ่มผู้โจมตีที่ถูกเรียกว่า SHADOW-VOID-042 ใช้ชื่อเสียงของ Trend Micro มาหลอกเหยื่อ โดยส่งอีเมลฟิชชิ่งที่ดูเหมือนเป็นประกาศเตือนด้านความปลอดภัย เหยื่อที่เชื่อจะถูกพาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบสไตล์ของ Trend Micro และถูกติดตั้ง payload แบบเจาะจงเป้าหมาย การโจมตีนี้ไม่ใช่การสุ่ม แต่ถูกปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละเหยื่อ และมีการใช้ทั้งเทคนิคเก่าและใหม่ เช่น exploit ช่องโหว่ Chrome ปี 2018 รวมถึงการใช้ zero-day ที่ใหม่กว่าสำหรับเป้าหมายสำคัญ นักวิจัยเชื่อว่ากลุ่มนี้อาจเชื่อมโยงกับ Void Rabisu ซึ่งมีประวัติทำงานใกล้ชิดกับผลประโยชน์รัสเซีย 🔗 https://securityonline.info/shadow-void-042-impersonates-trend-micro-in-phishing-campaign-to-breach-critical-infrastructure ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Plesk (CVE-2025-66430) แพลตฟอร์ม Plesk ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการโฮสต์เว็บไซต์ ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น root ได้ ช่องโหว่นี้อยู่ในฟีเจอร์ Password-Protected Directories ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ฉีดข้อมูลเข้าไปใน Apache configuration ได้โดยตรง ผลคือสามารถสั่งรันคำสั่งใด ๆ ในระดับสูงสุดบนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกยึดครองทั้งระบบ Plesk ได้ออก micro-update เร่งด่วนเพื่อแก้ไข และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที 🔗 https://securityonline.info/critical-plesk-flaw-cve-2025-66430-risks-full-server-takeover-via-lpe-and-apache-config-injection 🌐 Ashen Lepus: กลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับ Hamas เปิดตัว AshTag Malware ในขณะที่สงครามกาซายังคงดำเนินอยู่ กลุ่มแฮกเกอร์ Ashen Lepus หรือ WIRTE ที่เชื่อมโยงกับ Hamas ยังคงทำงานด้านไซเบอร์สอดแนมอย่างต่อเนื่อง และได้พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AshTag ซึ่งเป็นชุดมัลแวร์แบบโมดูลาร์ที่ซ่อนตัวเก่งมาก ใช้ไฟล์ PDF หลอกเหยื่อให้เปิดเอกสารทางการทูตปลอม แล้วโหลด DLL อันตรายเข้ามา จากนั้น payload จะถูกดึงจาก HTML ที่ซ่อนอยู่และทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะดิสก์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก กลุ่มนี้ยังขยายเป้าหมายไปยังประเทศอาหรับอื่น ๆ เช่น โอมานและโมร็อกโก โดยมุ่งเน้นข้อมูลทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 🔗 https://securityonline.info/hamas-affiliated-apt-ashen-lepus-unveils-ashtag-malware-suite-for-wider-cyber-espionage 🛠️ ช่องโหว่ RasMan บน Windows ที่ยังไม่ได้แพตช์ นักวิจัยจาก 0patch พบช่องโหว่ใหม่ในบริการ Remote Access Connection Manager (RasMan) ของ Windows ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข แม้ Microsoft จะเพิ่งแพตช์ช่องโหว่อื่นที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่พบว่ามีบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทำให้บริการ RasMan crash ได้ และใช้ช่องทางนี้เพื่อยึดสิทธิ์ Local System ได้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ linked list ที่ผิดพลาด ทำให้เกิด NULL pointer และ crash ทันที 0patch ได้ออก micropatch ชั่วคราวเพื่อแก้ไข แต่ Microsoft ยังต้องออกแพตช์อย่างเป็นทางการในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/unpatched-windows-rasman-flaw-allows-unprivileged-crash-enabling-local-system-privilege-escalation-exploit 🖼️ ImageMagick พบช่องโหว่ร้ายแรง เสี่ยงเปิดเผยข้อมูลหน่วยความจำ เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใน ImageMagick ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการประมวลผลภาพ ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นจากการจัดการไฟล์รูปแบบ PSX TIM ที่มาจากยุคเครื่อง PlayStation รุ่นแรก แต่กลับสร้างความเสี่ยงในระบบ 32-bit ปัจจุบัน เนื่องจากการคำนวณขนาดภาพโดยไม่ตรวจสอบการ overflow ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ที่บิดเบือนค่าและนำไปสู่การอ่านข้อมูลหน่วยความจำที่ไม่ควรเข้าถึงได้ ข้อมูลที่รั่วไหลอาจรวมถึงรหัสผ่านหรือคีย์สำคัญต่าง ๆ ทีมพัฒนาได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 7.1.2-10 และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/imagemagick-flaw-risks-arbitrary-memory-disclosure-via-psx-tim-file-integer-overflow-on-32-bit-systems 🕵️ GOLD SALEM ใช้เครื่องมือ Velociraptor เป็นตัวช่วยโจมตี ransomware กลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่ชื่อ GOLD SALEM ถูกพบว่ามีการนำเครื่องมือด้านดิจิทัลฟอเรนสิกอย่าง Velociraptor ซึ่งปกติใช้สำหรับการตรวจสอบและตอบสนองเหตุการณ์ มาใช้เป็นเครื่องมือเตรียมการโจมตี ransomware โดยพวกเขาใช้วิธีดาวน์โหลดตัวติดตั้งจากโดเมนที่ควบคุมเอง และนำไปใช้สร้างช่องทางควบคุมระบบ รวมถึงการเจาะช่องโหว่ใน SharePoint ที่เรียกว่า ToolShell เพื่อเข้าถึงระบบองค์กร เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่การเงิน แต่ยังรวมถึงองค์กรในด้านโทรคมนาคม พลังงานนิวเคลียร์ และอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีนัยยะด้านการสอดแนมด้วย 🔗 https://securityonline.info/gold-salem-abuses-velociraptor-dfir-tool-as-ransomware-precursor-following-sharepoint-toolshell-exploitation 🔐 Apache StreamPark พบการใช้ key แบบ hard-coded และโหมดเข้ารหัสที่ล้าสมัย แพลตฟอร์ม Apache StreamPark ซึ่งใช้สำหรับพัฒนาแอปพลิเคชันสตรีมมิ่ง ถูกพบว่ามีการใช้คีย์เข้ารหัสที่ถูกฝังตายตัวในซอฟต์แวร์ และยังใช้โหมด AES ECB ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้โจมตีสามารถปลอมแปลงโทเคนและถอดรหัสข้อมูลได้ง่าย ช่องโหว่นี้กระทบตั้งแต่เวอร์ชัน 2.0.0 ถึง 2.1.7 และอาจส่งผลต่อระบบคลาวด์ที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ ผู้ดูแลระบบถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันความเสี่ยง 🔗 https://securityonline.info/apache-streampark-flaw-risks-data-decryption-token-forgery-via-hard-coded-key-and-aes-ecb-mode ⚔️ Storm-0249 ใช้ DLL sideloading แฝงตัวในกระบวนการ EDR เพื่อเปิดทาง ransomware กลุ่ม Storm-0249 ซึ่งเป็น initial access broker ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการส่งฟิชชิ่งทั่วไปมาเป็นการโจมตีแบบเจาะจง โดยใช้ DLL sideloading กับโปรเซสของ SentinelOne ที่เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัย ทำให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการเปิดทางให้มัลแวร์เข้ามาได้ พวกเขายังใช้เทคนิค “living off the land” เช่นการใช้ curl.exe และ PowerShell เพื่อรันโค้ดโดยไม่ทิ้งร่องรอยในดิสก์ เป้าหมายคือการขายสิทธิ์เข้าถึงให้กับกลุ่ม ransomware อย่าง LockBit และ ALPHV 🔗 https://securityonline.info/storm-0249-abuses-edr-process-via-dll-sideloading-to-cloak-ransomware-access 💻 VS Code Marketplace ถูกโจมตี supply chain ผ่าน 19 extensions ปลอม นักวิจัยพบว่ามีการปล่อยส่วนขยาย VS Code ที่แฝงมัลแวร์จำนวน 19 ตัว โดยใช้เทคนิค typosquatting และ steganography ซ่อนโค้ดอันตรายในไฟล์ dependency ภายใน node_modules รวมถึงการปลอมไฟล์ภาพ banner.png ที่จริงเป็น archive บรรจุ binary อันตราย เมื่อส่วนขยายถูกใช้งาน มัลแวร์จะถูกโหลดขึ้นมาและใช้เครื่องมือของ Windows อย่าง cmstp.exe เพื่อรันโค้ดโดยเลี่ยงการตรวจจับ หนึ่งใน payload เป็น Rust trojan ที่ซับซ้อนและยังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานซอฟต์แวร์ที่นักพัฒนาต้องระวัง 🔗 https://securityonline.info/vs-code-supply-chain-attack-19-extensions-used-typosquatting-steganography-to-deploy-rust-trojan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก๋วยเตี๋ยวเรือ ป.ประทีป ทุกสาขาไม่เคยปรุง #อ่อนนุช #กินอะไรดี #ของดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #กิน #อร่อย #food #eat #noodle #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    ❣️ก๋วยเตี๋ยวเรือ ป.ประทีป ทุกสาขาไม่เคยปรุง💖 #อ่อนนุช #กินอะไรดี #ของดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #กิน #อร่อย #food #eat #noodle #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b กับหางก๊าซยักษ์สองเส้น

    ทีมนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ (JWST) ตรวจพบปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบนดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b หรือที่เรียกว่า Tylos ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 880 ปีแสง ดาวเคราะห์แก๊สยักษ์นี้กำลังสูญเสียบรรยากาศอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็น หางก๊าซฮีเลียมสองเส้นขนาดมหึมา ที่ทอดยาวครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจรรอบดาวแม่

    การค้นพบที่ไม่ธรรมดา
    ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยพบดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศรั่วไหล แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเพียงชั่วคราวเมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านหน้าดาวแม่ ครั้งนี้ JWST สามารถติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบกว่า 30 ชั่วโมง ทำให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบ

    ปริศนาของหางคู่
    สิ่งที่ทำให้นักวิจัยประหลาดใจคือการเกิดหางสองเส้นที่พุ่งไปคนละทิศทาง หางหนึ่งทอดตามหลังดาวเคราะห์ ขณะที่อีกหางหนึ่งกลับพุ่งนำหน้า ซึ่งแบบจำลองเดิมไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าแรงโน้มถ่วงของดาวแม่และลมดาวฤกษ์อาจมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของหางเหล่านี้

    ความหมายต่อวิวัฒนาการดาวเคราะห์
    การค้นพบนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจว่าดาวเคราะห์แก๊สยักษ์อาจสูญเสียบรรยากาศจนกลายเป็นดาวเคราะห์หินในอนาคต การศึกษาลักษณะการรั่วไหลของก๊าซจะช่วยให้นักดาราศาสตร์สร้างแบบจำลองใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของดาวเคราะห์และความเป็นไปได้ในการเกิดระบบที่คล้ายโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบจาก JWST
    พบดาว WASP-121b มีหางก๊าซฮีเลียมสองเส้น
    ครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจร

    ความพิเศษ
    เป็นครั้งแรกที่ติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบ
    หางหนึ่งตามหลัง อีกหางหนึ่งนำหน้า

    ความหมายทางวิทยาศาสตร์
    ช่วยเข้าใจการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์
    อาจอธิบายการเปลี่ยนจากดาวแก๊สยักษ์เป็นดาวหิน

    ข้อจำกัดและปริศนา
    แบบจำลองปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายหางคู่ได้ครบถ้วน
    ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสร้างแบบจำลอง 3D ที่แม่นยำ

    https://www.sciencealert.com/jwst-catches-record-breaking-planet-sprouting-two-enormous-tails
    🌌 ดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b กับหางก๊าซยักษ์สองเส้น ทีมนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ (JWST) ตรวจพบปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบนดาวเคราะห์นอกระบบ WASP-121b หรือที่เรียกว่า Tylos ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 880 ปีแสง ดาวเคราะห์แก๊สยักษ์นี้กำลังสูญเสียบรรยากาศอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็น หางก๊าซฮีเลียมสองเส้นขนาดมหึมา ที่ทอดยาวครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจรรอบดาวแม่ 🔬 การค้นพบที่ไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยพบดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศรั่วไหล แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเพียงชั่วคราวเมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านหน้าดาวแม่ ครั้งนี้ JWST สามารถติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบกว่า 30 ชั่วโมง ทำให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบ 🌪️ ปริศนาของหางคู่ สิ่งที่ทำให้นักวิจัยประหลาดใจคือการเกิดหางสองเส้นที่พุ่งไปคนละทิศทาง หางหนึ่งทอดตามหลังดาวเคราะห์ ขณะที่อีกหางหนึ่งกลับพุ่งนำหน้า ซึ่งแบบจำลองเดิมไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าแรงโน้มถ่วงของดาวแม่และลมดาวฤกษ์อาจมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของหางเหล่านี้ 🚀 ความหมายต่อวิวัฒนาการดาวเคราะห์ การค้นพบนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจว่าดาวเคราะห์แก๊สยักษ์อาจสูญเสียบรรยากาศจนกลายเป็นดาวเคราะห์หินในอนาคต การศึกษาลักษณะการรั่วไหลของก๊าซจะช่วยให้นักดาราศาสตร์สร้างแบบจำลองใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของดาวเคราะห์และความเป็นไปได้ในการเกิดระบบที่คล้ายโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบจาก JWST ➡️ พบดาว WASP-121b มีหางก๊าซฮีเลียมสองเส้น ➡️ ครอบคลุมเกือบ 60% ของวงโคจร ✅ ความพิเศษ ➡️ เป็นครั้งแรกที่ติดตามการรั่วไหลตลอดวงโคจรเต็มรอบ ➡️ หางหนึ่งตามหลัง อีกหางหนึ่งนำหน้า ✅ ความหมายทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ช่วยเข้าใจการสูญเสียบรรยากาศของดาวเคราะห์ ➡️ อาจอธิบายการเปลี่ยนจากดาวแก๊สยักษ์เป็นดาวหิน ‼️ ข้อจำกัดและปริศนา ⛔ แบบจำลองปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายหางคู่ได้ครบถ้วน ⛔ ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสร้างแบบจำลอง 3D ที่แม่นยำ https://www.sciencealert.com/jwst-catches-record-breaking-planet-sprouting-two-enormous-tails
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    JWST Catches Record-Breaking Planet Sprouting Two Enormous Tails
    About 880 light-years from Earth, a hot mess of an exoplanet is slowly spilling its atmosphere into space, creating two enormous tails of helium that stretch more than halfway around its star.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมองมนุษย์ยังเหนือกว่า AI ด้วย "เลโก้ทางปัญญา"

    งานวิจัยจาก Princeton University เผยว่าแม้ AI จะทำงานได้เก่งในงานเฉพาะ แต่สมองมนุษย์ยังมีความสามารถที่เหนือกว่าในการ โอนย้ายทักษะจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง ผ่านสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “cognitive Legos” หรือบล็อกทางปัญญาที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างการแก้ปัญหาใหม่ ๆ

    การทดลองกับลิง Rhesus
    ทีมวิจัยใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดลอง โดยให้พวกมันแยกแยะรูปทรงและสีบนหน้าจอ พร้อมตอบสนองด้วยการมองไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันมีการสแกนสมองเพื่อดูรูปแบบการทำงาน พบว่าเซลล์ประสาทในสมองสามารถจัดกลุ่มเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ในหลายงาน ซึ่งต่างจาก AI ที่มักเกิดปัญหา catastrophic forgetting คือเมื่อเรียนงานใหม่แล้วลืมงานเก่า

    ความยืดหยุ่นของสมอง
    นักวิจัยอธิบายว่า สมองสามารถ “ปิด” บล็อกที่ไม่จำเป็นในขณะทำงาน และ “เปิด” บล็อกที่เกี่ยวข้องได้ตามสถานการณ์ คล้ายกับการเรียกใช้ฟังก์ชันในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวกับงานใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว โดยอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้เต็มที่

    ความหมายต่ออนาคต
    การค้นพบนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ แต่ยังอาจนำไปใช้ในการพัฒนา AI ที่สามารถเรียนรู้หลายงานโดยไม่ลืมงานเดิม รวมถึงการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับการขาดความสามารถในการปรับใช้ทักษะในบริบทใหม่ ๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบจากงานวิจัย
    สมองมนุษย์ใช้ “cognitive Legos” เพื่อโอนย้ายทักษะ
    สามารถปรับตัวกับงานใหม่ได้ดีกว่า AI

    การทดลอง
    ใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดสอบ
    พบการจัดกลุ่มเซลล์สมองเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้

    ความหมาย
    อธิบายความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์
    ช่วยพัฒนา AI และการรักษาโรคทางสมอง

    ข้อจำกัด
    AI ยังมีปัญหา catastrophic forgetting
    ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประยุกต์ใช้กับมนุษย์และการแพทย์

    https://www.sciencealert.com/our-brains-can-still-outsmart-ai-using-one-clever-trick
    🧠 สมองมนุษย์ยังเหนือกว่า AI ด้วย "เลโก้ทางปัญญา" งานวิจัยจาก Princeton University เผยว่าแม้ AI จะทำงานได้เก่งในงานเฉพาะ แต่สมองมนุษย์ยังมีความสามารถที่เหนือกว่าในการ โอนย้ายทักษะจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง ผ่านสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “cognitive Legos” หรือบล็อกทางปัญญาที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างการแก้ปัญหาใหม่ ๆ 🔬 การทดลองกับลิง Rhesus ทีมวิจัยใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดลอง โดยให้พวกมันแยกแยะรูปทรงและสีบนหน้าจอ พร้อมตอบสนองด้วยการมองไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันมีการสแกนสมองเพื่อดูรูปแบบการทำงาน พบว่าเซลล์ประสาทในสมองสามารถจัดกลุ่มเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ในหลายงาน ซึ่งต่างจาก AI ที่มักเกิดปัญหา catastrophic forgetting คือเมื่อเรียนงานใหม่แล้วลืมงานเก่า 🛠️ ความยืดหยุ่นของสมอง นักวิจัยอธิบายว่า สมองสามารถ “ปิด” บล็อกที่ไม่จำเป็นในขณะทำงาน และ “เปิด” บล็อกที่เกี่ยวข้องได้ตามสถานการณ์ คล้ายกับการเรียกใช้ฟังก์ชันในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวกับงานใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว โดยอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้เต็มที่ 🌍 ความหมายต่ออนาคต การค้นพบนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ แต่ยังอาจนำไปใช้ในการพัฒนา AI ที่สามารถเรียนรู้หลายงานโดยไม่ลืมงานเดิม รวมถึงการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับการขาดความสามารถในการปรับใช้ทักษะในบริบทใหม่ ๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบจากงานวิจัย ➡️ สมองมนุษย์ใช้ “cognitive Legos” เพื่อโอนย้ายทักษะ ➡️ สามารถปรับตัวกับงานใหม่ได้ดีกว่า AI ✅ การทดลอง ➡️ ใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดสอบ ➡️ พบการจัดกลุ่มเซลล์สมองเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ ✅ ความหมาย ➡️ อธิบายความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ ➡️ ช่วยพัฒนา AI และการรักษาโรคทางสมอง ‼️ ข้อจำกัด ⛔ AI ยังมีปัญหา catastrophic forgetting ⛔ ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประยุกต์ใช้กับมนุษย์และการแพทย์ https://www.sciencealert.com/our-brains-can-still-outsmart-ai-using-one-clever-trick
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Our Brains Can Still Outsmart AI Using One Clever Trick
    Despite the rapid advances in artificial intelligence in recent years, the humble human brain still has the edge over computers in its ability to transfer skills and learn across tasks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • การค้นพบหลุมศพไวกิ้งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    นักโบราณคดีในแคว้น Trøndelag ประเทศนอร์เวย์ ได้ค้นพบหลุมศพสมัยไวกิ้งที่มีลักษณะพิเศษไม่เคยพบมาก่อน โดยพบร่างหญิงสาวที่ถูกฝังพร้อม เปลือกหอยสแกลลอปสองชิ้นวางไว้ที่ปาก ซึ่งไม่เคยมีบันทึกในพิธีฝังศพไวกิ้งก่อนคริสต์ศาสนามาก่อน

    ความหมายเชิงสัญลักษณ์
    นักวิจัยยังไม่สามารถอธิบายความหมายของเปลือกหอยได้ชัดเจน แต่ในประวัติศาสตร์โลก หอยสแกลลอปเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเดินทางทางจิตวิญญาณในยุคกรีก–โรมัน และต่อมาในคริสต์ศาสนาเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงบุญ อย่างไรก็ตาม การฝังศพนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 9 ซึ่งก่อนที่ความหมายเหล่านั้นจะแพร่เข้ามาในสแกนดิเนเวีย

    หลักฐานอื่นในหลุมศพ
    นอกจากเปลือกหอยแล้ว ยังพบเครื่องประดับสตรี เช่น เข็มกลัดรูปวงรีสองชิ้น และ หัวเข็มขัดวงแหวน ซึ่งบ่งบอกว่าเธอเป็นหญิงอิสระและน่าจะเป็นเจ้าของฟาร์ม อีกทั้งยังพบกระดูกนกที่จัดเรียงอย่างระมัดระวัง ซึ่งอาจมีความหมายเชิงสัญลักษณ์คล้ายกับการฝังศพโบราณในเดนมาร์กที่ใช้ปีกหงส์วางใต้ทารก

    ความสำคัญทางวิชาการ
    การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมฝังศพไวกิ้ง แต่ยังสะท้อนถึงการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ใช้เปลือกหอยในพิธีกรรม นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และทำการเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่นในพื้นที่เพื่อหาความสัมพันธ์ทางสายเลือดและความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่แท้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบหลุมศพไวกิ้ง
    พบหญิงสาวถูกฝังพร้อมเปลือกหอยสแกลลอปที่ปาก
    มีเครื่องประดับและหลักฐานว่าเป็นหญิงอิสระ

    ความหมายเชิงสัญลักษณ์
    หอยสแกลลอปเคยเป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์และการแสวงบุญ
    กระดูกนกอาจสื่อถึงพิธีกรรมเชิงวิญญาณ

    ความสำคัญทางวิชาการ
    เพิ่มความเข้าใจพิธีฝังศพไวกิ้ง
    นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่น

    ข้อจำกัด
    ยังไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของเปลือกหอย
    ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม

    https://www.sciencealert.com/viking-age-grave-reveals-a-burial-unlike-anything-seen-before
    ⚔️ การค้นพบหลุมศพไวกิ้งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นักโบราณคดีในแคว้น Trøndelag ประเทศนอร์เวย์ ได้ค้นพบหลุมศพสมัยไวกิ้งที่มีลักษณะพิเศษไม่เคยพบมาก่อน โดยพบร่างหญิงสาวที่ถูกฝังพร้อม เปลือกหอยสแกลลอปสองชิ้นวางไว้ที่ปาก ซึ่งไม่เคยมีบันทึกในพิธีฝังศพไวกิ้งก่อนคริสต์ศาสนามาก่อน 🐚 ความหมายเชิงสัญลักษณ์ นักวิจัยยังไม่สามารถอธิบายความหมายของเปลือกหอยได้ชัดเจน แต่ในประวัติศาสตร์โลก หอยสแกลลอปเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเดินทางทางจิตวิญญาณในยุคกรีก–โรมัน และต่อมาในคริสต์ศาสนาเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงบุญ อย่างไรก็ตาม การฝังศพนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 9 ซึ่งก่อนที่ความหมายเหล่านั้นจะแพร่เข้ามาในสแกนดิเนเวีย 🕊️ หลักฐานอื่นในหลุมศพ นอกจากเปลือกหอยแล้ว ยังพบเครื่องประดับสตรี เช่น เข็มกลัดรูปวงรีสองชิ้น และ หัวเข็มขัดวงแหวน ซึ่งบ่งบอกว่าเธอเป็นหญิงอิสระและน่าจะเป็นเจ้าของฟาร์ม อีกทั้งยังพบกระดูกนกที่จัดเรียงอย่างระมัดระวัง ซึ่งอาจมีความหมายเชิงสัญลักษณ์คล้ายกับการฝังศพโบราณในเดนมาร์กที่ใช้ปีกหงส์วางใต้ทารก 🔬 ความสำคัญทางวิชาการ การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมฝังศพไวกิ้ง แต่ยังสะท้อนถึงการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ใช้เปลือกหอยในพิธีกรรม นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และทำการเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่นในพื้นที่เพื่อหาความสัมพันธ์ทางสายเลือดและความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่แท้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบหลุมศพไวกิ้ง ➡️ พบหญิงสาวถูกฝังพร้อมเปลือกหอยสแกลลอปที่ปาก ➡️ มีเครื่องประดับและหลักฐานว่าเป็นหญิงอิสระ ✅ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ ➡️ หอยสแกลลอปเคยเป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์และการแสวงบุญ ➡️ กระดูกนกอาจสื่อถึงพิธีกรรมเชิงวิญญาณ ✅ ความสำคัญทางวิชาการ ➡️ เพิ่มความเข้าใจพิธีฝังศพไวกิ้ง ➡️ นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่น ‼️ ข้อจำกัด ⛔ ยังไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของเปลือกหอย ⛔ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม https://www.sciencealert.com/viking-age-grave-reveals-a-burial-unlike-anything-seen-before
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Viking-Age Grave Reveals a Burial Unlike Anything Seen Before
    The discovery of a Viking-age burial in Trøndelag, Norway, has presented archaeologists with a historical mystery.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีเอ็นเอจากเส้นผม Beethoven เผยความลับ 200 ปีต่อมา

    นักวิจัยจาก Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology และมหาวิทยาลัย Cambridge ได้ทำการวิเคราะห์เส้นผมที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของ Ludwig van Beethoven เพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของเขา ผลการศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลใหม่ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับสุขภาพและประวัติครอบครัวของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่

    สุขภาพและโรคที่พบ
    ทีมวิจัยพบหลักฐานการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมและการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Beethoven เสียชีวิตด้วยโรคตับในวัยเพียง 56 ปี นอกจากนี้ยังพบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและปัญหาทางเดินอาหาร แต่ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยินที่ทำให้เขากลายเป็นคนหูหนวก

    การค้นพบด้านสายเลือด
    การเปรียบเทียบโครโมโซม Y จากเส้นผมกับลูกหลานสายตรงของครอบครัว Beethoven พบความไม่ตรงกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมี “การเกิดนอกสายสมรส” (extrapair paternity) ในช่วงหลายรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน และอาจเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของเขา

    ความหมายต่อประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    การศึกษานี้ไม่เพียงช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับสุขภาพของ Beethoven แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ DNA โบราณในการทำความเข้าใจบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ การค้นพบดังกล่าวยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของโรคทางพันธุกรรมและการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อชีวิตและผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

    สรุปสาระสำคัญ
    สุขภาพของ Beethoven
    พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและทางเดินอาหาร

    การค้นพบใหม่
    ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยิน
    พบความไม่ตรงกันในโครโมโซม Y ของสายครอบครัว

    ความหมายต่อวิทยาศาสตร์
    ใช้ DNA โบราณไขปริศนาทางประวัติศาสตร์
    เปิดมุมมองใหม่ต่อชีวิตและผลงานของ Beethoven

    ข้อควรระวัง
    การตีความข้อมูลพันธุกรรมยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ 100%
    ความลับด้านสายเลือดอาจสร้างข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์

    https://www.sciencealert.com/dna-from-beethovens-hair-reveals-a-surprise-200-years-later
    🎼 ดีเอ็นเอจากเส้นผม Beethoven เผยความลับ 200 ปีต่อมา นักวิจัยจาก Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology และมหาวิทยาลัย Cambridge ได้ทำการวิเคราะห์เส้นผมที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของ Ludwig van Beethoven เพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของเขา ผลการศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลใหม่ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับสุขภาพและประวัติครอบครัวของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ 🧬 สุขภาพและโรคที่พบ ทีมวิจัยพบหลักฐานการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมและการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Beethoven เสียชีวิตด้วยโรคตับในวัยเพียง 56 ปี นอกจากนี้ยังพบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและปัญหาทางเดินอาหาร แต่ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยินที่ทำให้เขากลายเป็นคนหูหนวก 🧩 การค้นพบด้านสายเลือด การเปรียบเทียบโครโมโซม Y จากเส้นผมกับลูกหลานสายตรงของครอบครัว Beethoven พบความไม่ตรงกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมี “การเกิดนอกสายสมรส” (extrapair paternity) ในช่วงหลายรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน และอาจเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของเขา ⚠️ ความหมายต่อประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การศึกษานี้ไม่เพียงช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับสุขภาพของ Beethoven แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ DNA โบราณในการทำความเข้าใจบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ การค้นพบดังกล่าวยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของโรคทางพันธุกรรมและการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อชีวิตและผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สุขภาพของ Beethoven ➡️ พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ➡️ มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและทางเดินอาหาร ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยิน ➡️ พบความไม่ตรงกันในโครโมโซม Y ของสายครอบครัว ✅ ความหมายต่อวิทยาศาสตร์ ➡️ ใช้ DNA โบราณไขปริศนาทางประวัติศาสตร์ ➡️ เปิดมุมมองใหม่ต่อชีวิตและผลงานของ Beethoven ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การตีความข้อมูลพันธุกรรมยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ 100% ⛔ ความลับด้านสายเลือดอาจสร้างข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ https://www.sciencealert.com/dna-from-beethovens-hair-reveals-a-surprise-200-years-later
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    DNA From Beethoven's Hair Reveals a Surprise 200 Years Later
    On a stormy Monday in March, 1827, the German composer Ludwig van Beethoven passed away after a protracted illness.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts