• Google ทดลองโฆษณาใน Gemini AI Search

    Google กำลังทดสอบการแสดง Sponsored Ads ภายในผลลัพธ์โหมด AI ของ Gemini โดยโฆษณาจะปรากฏที่ด้านล่างของคำตอบที่ AI สร้างขึ้น และมีลักษณะคล้ายกับลิงก์ปกติ ทำให้ผู้ใช้แทบแยกไม่ออกว่าเป็นโฆษณา

    Google เริ่มทดสอบการใส่โฆษณาแบบ Sponsored Links ลงในผลลัพธ์ที่สร้างโดย Gemini AI Search โดยโฆษณาจะถูกแสดงในตำแหน่งท้ายสุดของคำตอบที่ AI สร้างขึ้น และมีรูปแบบใกล้เคียงกับลิงก์ทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ต้องสังเกตคำว่า “Sponsored” เพื่อแยกออกจากผลลัพธ์จริง

    เหตุผลเบื้องหลังการทดสอบ
    นักวิเคราะห์ชี้ว่า การแสดงโฆษณาในโหมด AI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการประมวลผล AI มีราคาสูงมาก การเพิ่มโฆษณาจึงเป็นวิธีการสร้างรายได้เพื่อรองรับการให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้ เช่นเดียวกับที่แพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าง X และ OpenAI กำลังพิจารณาแนวทางคล้ายกัน

    ความแตกต่างจาก Google Search แบบเดิม
    ใน Google Search แบบดั้งเดิม ผู้ใช้สามารถเลื่อนผ่าน Sponsored Results ได้ แต่ใน Gemini AI Mode โฆษณาจะถูกฝังอยู่ในคำตอบ ทำให้ไม่สามารถเลี่ยงได้ง่าย นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่อาจกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้และความโปร่งใสของข้อมูล

    ผลกระทบต่ออนาคตของ AI Search
    หากการทดสอบนี้ถูกนำมาใช้จริง จะเป็นการยืนยันว่า ยุคของ AI ฟรีกำลังจะสิ้นสุดลง และผู้ใช้จะต้องเผชิญกับโฆษณาที่ผสานเข้ากับคำตอบ AI อย่างแนบเนียน ซึ่งอาจสร้างทั้งโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้ Google และความกังวลด้านความโปร่งใสแก่ผู้ใช้

    สรุปสาระสำคัญ
    Google ทดสอบ Sponsored Ads ใน Gemini AI Search
    โฆษณาปรากฏที่ด้านล่างของผลลัพธ์ AI
    รูปแบบคล้ายลิงก์ปกติ แยกออกยาก

    เหตุผลในการทดสอบ
    ค่าใช้จ่าย AI สูง จำเป็นต้องสร้างรายได้
    แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น X และ OpenAI ก็พิจารณาแนวทางคล้ายกัน

    ความแตกต่างจาก Search แบบเดิม
    ผู้ใช้ไม่สามารถเลื่อนผ่านโฆษณาได้ง่าย
    โฆษณาถูกฝังในคำตอบ AI โดยตรง

    ผลกระทบต่ออนาคต
    ยุค AI ฟรีอาจสิ้นสุดลง
    สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ แต่เพิ่มความกังวลเรื่องโปร่งใส

    คำเตือนด้านข้อมูล
    ผู้ใช้ต้องระวังการแยกแยะข้อมูลจริงกับโฆษณา
    การฝังโฆษณาในคำตอบ AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์

    https://securityonline.info/google-testing-sponsored-ads-inside-gemini-ai-search-results/
    📰 Google ทดลองโฆษณาใน Gemini AI Search Google กำลังทดสอบการแสดง Sponsored Ads ภายในผลลัพธ์โหมด AI ของ Gemini โดยโฆษณาจะปรากฏที่ด้านล่างของคำตอบที่ AI สร้างขึ้น และมีลักษณะคล้ายกับลิงก์ปกติ ทำให้ผู้ใช้แทบแยกไม่ออกว่าเป็นโฆษณา Google เริ่มทดสอบการใส่โฆษณาแบบ Sponsored Links ลงในผลลัพธ์ที่สร้างโดย Gemini AI Search โดยโฆษณาจะถูกแสดงในตำแหน่งท้ายสุดของคำตอบที่ AI สร้างขึ้น และมีรูปแบบใกล้เคียงกับลิงก์ทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ต้องสังเกตคำว่า “Sponsored” เพื่อแยกออกจากผลลัพธ์จริง ⚡ เหตุผลเบื้องหลังการทดสอบ นักวิเคราะห์ชี้ว่า การแสดงโฆษณาในโหมด AI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการประมวลผล AI มีราคาสูงมาก การเพิ่มโฆษณาจึงเป็นวิธีการสร้างรายได้เพื่อรองรับการให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้ เช่นเดียวกับที่แพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าง X และ OpenAI กำลังพิจารณาแนวทางคล้ายกัน 📊 ความแตกต่างจาก Google Search แบบเดิม ใน Google Search แบบดั้งเดิม ผู้ใช้สามารถเลื่อนผ่าน Sponsored Results ได้ แต่ใน Gemini AI Mode โฆษณาจะถูกฝังอยู่ในคำตอบ ทำให้ไม่สามารถเลี่ยงได้ง่าย นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่อาจกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้และความโปร่งใสของข้อมูล 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของ AI Search หากการทดสอบนี้ถูกนำมาใช้จริง จะเป็นการยืนยันว่า ยุคของ AI ฟรีกำลังจะสิ้นสุดลง และผู้ใช้จะต้องเผชิญกับโฆษณาที่ผสานเข้ากับคำตอบ AI อย่างแนบเนียน ซึ่งอาจสร้างทั้งโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้ Google และความกังวลด้านความโปร่งใสแก่ผู้ใช้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Google ทดสอบ Sponsored Ads ใน Gemini AI Search ➡️ โฆษณาปรากฏที่ด้านล่างของผลลัพธ์ AI ➡️ รูปแบบคล้ายลิงก์ปกติ แยกออกยาก ✅ เหตุผลในการทดสอบ ➡️ ค่าใช้จ่าย AI สูง จำเป็นต้องสร้างรายได้ ➡️ แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น X และ OpenAI ก็พิจารณาแนวทางคล้ายกัน ✅ ความแตกต่างจาก Search แบบเดิม ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถเลื่อนผ่านโฆษณาได้ง่าย ➡️ โฆษณาถูกฝังในคำตอบ AI โดยตรง ✅ ผลกระทบต่ออนาคต ➡️ ยุค AI ฟรีอาจสิ้นสุดลง ➡️ สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ แต่เพิ่มความกังวลเรื่องโปร่งใส ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ ผู้ใช้ต้องระวังการแยกแยะข้อมูลจริงกับโฆษณา ⛔ การฝังโฆษณาในคำตอบ AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ https://securityonline.info/google-testing-sponsored-ads-inside-gemini-ai-search-results/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Testing 'Sponsored' Ads Inside Gemini AI Search Results
    Google is testing sponsored links within Gemini's "AI Mode" search results. The ads are visually subtle, signaling the inevitable monetization of AI-powered search.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta เปิดให้ใช้ชื่อเล่นใน Groups

    Meta ปรับนโยบายชื่อจริงบน Facebook โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups ใช้ ชื่อเล่น (nickname) และ อวาตาร์ แทนชื่อจริงได้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎชุมชนและการอนุมัติจากผู้ดูแลกลุ่ม

    Meta เคยยึดมั่นนโยบาย “Real Name” มายาวนาน แต่ล่าสุดได้ปรับเปลี่ยน โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups สามารถตั้งชื่อเล่นและใช้อวาตาร์แทนชื่อจริงได้เมื่อเข้าร่วมสนทนาในกลุ่ม การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยและเป็นกันเองมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

    เงื่อนไขการใช้งาน
    การใช้ชื่อเล่นต้องเปิดใช้งานโดย ผู้ดูแลกลุ่ม (admins)
    บางกรณีอาจต้องได้รับการอนุมัติแบบ manual
    ชื่อเล่นและอวาตาร์ยังคงต้องปฏิบัติตาม Community Standards ของ Meta
    ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้ตามต้องการ

    อวาตาร์และการมีส่วนร่วม
    Meta เปิดตัวชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารัก เช่น “สัตว์ใส่แว่นกันแดด” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้ร่วมกับชื่อเล่น การเพิ่มฟีเจอร์นี้ถูกมองว่าเป็นการลดแรงกดดันทางสังคม และช่วยให้ผู้ใช้เข้าร่วมสนทนาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิดเผยตัวตนมากเกินไป

    ความหมายเชิงกลยุทธ์
    การปรับนโยบายครั้งนี้สะท้อนว่า Meta กำลังพยายามทำให้ Facebook Groups เป็นพื้นที่ที่ดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่มากขึ้น หลังจากที่เปิดฟีเจอร์ฟีดกิจกรรมท้องถิ่น และการเปลี่ยนกลุ่มส่วนตัวเป็นสาธารณะในปีที่ผ่านมา การอนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นจึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นและเป็นมิตร

    สรุปสาระสำคัญ
    Meta ปรับนโยบาย Real Name
    อนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นและอวาตาร์ใน Facebook Groups
    ผู้ใช้สามารถสลับระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องเปิดใช้งานโดยผู้ดูแลกลุ่ม
    ต้องปฏิบัติตาม Community Standards

    อวาตาร์และการมีส่วนร่วม
    มีชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารักให้เลือก
    ลดแรงกดดันทางสังคมและเพิ่มการมีส่วนร่วม

    ความหมายเชิงกลยุทธ์
    ช่วยดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่เข้าสู่ Facebook Groups
    เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงฟีเจอร์เพื่อเพิ่มการใช้งาน

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การใช้ชื่อเล่นอาจทำให้เกิดการแอบอ้างหรือการละเมิดกฎชุมชน
    ผู้ดูแลกลุ่มต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด

    https://securityonline.info/meta-shifts-real-name-policy-facebook-groups-now-allow-custom-nicknames-avatars/
    👥 Meta เปิดให้ใช้ชื่อเล่นใน Groups Meta ปรับนโยบายชื่อจริงบน Facebook โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups ใช้ ชื่อเล่น (nickname) และ อวาตาร์ แทนชื่อจริงได้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎชุมชนและการอนุมัติจากผู้ดูแลกลุ่ม Meta เคยยึดมั่นนโยบาย “Real Name” มายาวนาน แต่ล่าสุดได้ปรับเปลี่ยน โดยอนุญาตให้สมาชิกใน Facebook Groups สามารถตั้งชื่อเล่นและใช้อวาตาร์แทนชื่อจริงได้เมื่อเข้าร่วมสนทนาในกลุ่ม การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยและเป็นกันเองมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 🛡️ เงื่อนไขการใช้งาน 💠 การใช้ชื่อเล่นต้องเปิดใช้งานโดย ผู้ดูแลกลุ่ม (admins) 💠 บางกรณีอาจต้องได้รับการอนุมัติแบบ manual 💠 ชื่อเล่นและอวาตาร์ยังคงต้องปฏิบัติตาม Community Standards ของ Meta 💠 ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้ตามต้องการ 🎨 อวาตาร์และการมีส่วนร่วม Meta เปิดตัวชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารัก เช่น “สัตว์ใส่แว่นกันแดด” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้ร่วมกับชื่อเล่น การเพิ่มฟีเจอร์นี้ถูกมองว่าเป็นการลดแรงกดดันทางสังคม และช่วยให้ผู้ใช้เข้าร่วมสนทนาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิดเผยตัวตนมากเกินไป 🌍 ความหมายเชิงกลยุทธ์ การปรับนโยบายครั้งนี้สะท้อนว่า Meta กำลังพยายามทำให้ Facebook Groups เป็นพื้นที่ที่ดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่มากขึ้น หลังจากที่เปิดฟีเจอร์ฟีดกิจกรรมท้องถิ่น และการเปลี่ยนกลุ่มส่วนตัวเป็นสาธารณะในปีที่ผ่านมา การอนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นจึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างชุมชนที่มีความยืดหยุ่นและเป็นมิตร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Meta ปรับนโยบาย Real Name ➡️ อนุญาตให้ใช้ชื่อเล่นและอวาตาร์ใน Facebook Groups ➡️ ผู้ใช้สามารถสลับระหว่างชื่อจริงและชื่อเล่นได้ ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องเปิดใช้งานโดยผู้ดูแลกลุ่ม ➡️ ต้องปฏิบัติตาม Community Standards ✅ อวาตาร์และการมีส่วนร่วม ➡️ มีชุดอวาตาร์ธีมสัตว์น่ารักให้เลือก ➡️ ลดแรงกดดันทางสังคมและเพิ่มการมีส่วนร่วม ✅ ความหมายเชิงกลยุทธ์ ➡️ ช่วยดึงดูดผู้ใช้รุ่นใหม่เข้าสู่ Facebook Groups ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงฟีเจอร์เพื่อเพิ่มการใช้งาน ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การใช้ชื่อเล่นอาจทำให้เกิดการแอบอ้างหรือการละเมิดกฎชุมชน ⛔ ผู้ดูแลกลุ่มต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด https://securityonline.info/meta-shifts-real-name-policy-facebook-groups-now-allow-custom-nicknames-avatars/
    SECURITYONLINE.INFO
    Meta Shifts Real Name Policy: Facebook Groups Now Allow Custom Nicknames & Avatars
    Meta is relaxing its real-name policy! Facebook Group admins can now allow members to use custom nicknames and dedicated avatars for semi-anonymous discussions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ปฏิเสธข่าวลือ Gmail ถูกใช้ฝึก AI

    Google ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Gmail ของผู้ใช้ถูกนำไปใช้ฝึกโมเดล AI Gemini โดยยืนยันว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และ Gmail ยังคงทำงานด้วยระบบ Smart Features ที่ใช้การประมวลผลอัตโนมัติเท่านั้น ไม่ได้ใช้เนื้อหาอีเมลเพื่อฝึก AI

    เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือแพร่บนโซเชียลมีเดียว่า Google ได้ปรับนโยบายเพื่อใช้ข้อความและไฟล์แนบใน Gmail ไปฝึกโมเดล AI Gemini แต่ Google ได้ออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจน โดยระบุว่าข่าวดังกล่าวเป็น “misleading” และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในการตั้งค่าของผู้ใช้

    Smart Features ของ Gmail
    Google ชี้แจงว่า Gmail มีฟีเจอร์อัจฉริยะ เช่น spell-check, การติดตามพัสดุ, และการเพิ่มข้อมูลเที่ยวบินลงใน Google Calendar ซึ่งทั้งหมดทำงานด้วยการประมวลผลอัตโนมัติภายในระบบ ไม่ได้ถูกนำไปใช้ฝึกโมเดล Gemini การอนุญาตที่ผู้ใช้ให้กับ Smart Features เป็นเพียงการปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานใน Google Workspace เท่านั้น

    ความเข้าใจผิดจากการตั้งค่า
    บางรายงานระบุว่าผู้ใช้พบการตั้งค่าบางอย่างถูกเปิดใช้งานใหม่โดยไม่ตั้งใจ ซึ่ง Google ชี้แจงว่าเป็นผลจากการอัปเดตการแยกการตั้งค่าระหว่าง Workspace และบริการอื่น ๆ เช่น Maps และ Wallet ไม่ใช่การบังคับให้ข้อมูล Gmail ถูกนำไปใช้ฝึก AI

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    แม้ Google จะยืนยันว่าไม่มีการใช้ Gmail ในการฝึก AI แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความกังวลของผู้ใช้เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในยุคที่ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญ
    Google ปฏิเสธข่าวลือ
    ยืนยันว่า Gmail ไม่ถูกใช้ฝึกโมเดล Gemini
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายผู้ใช้

    Smart Features ของ Gmail
    ใช้ประมวลผลอัตโนมัติ เช่น spell-check และการติดตามพัสดุ
    ข้อมูลถูกใช้เพื่อปรับปรุง Workspace เท่านั้น

    ความเข้าใจผิดจากการตั้งค่า
    การอัปเดตแยกการตั้งค่าระหว่าง Workspace และบริการอื่น ๆ
    ไม่ใช่การบังคับให้ Gmail ถูกใช้ฝึก AI

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    สะท้อนความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวในยุค AI
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าบัญชีให้ตรงกับความต้องการ

    https://securityonline.info/google-denies-rumors-gmail-messages-not-used-to-train-gemini-ai-models/
    📧 Google ปฏิเสธข่าวลือ Gmail ถูกใช้ฝึก AI Google ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Gmail ของผู้ใช้ถูกนำไปใช้ฝึกโมเดล AI Gemini โดยยืนยันว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และ Gmail ยังคงทำงานด้วยระบบ Smart Features ที่ใช้การประมวลผลอัตโนมัติเท่านั้น ไม่ได้ใช้เนื้อหาอีเมลเพื่อฝึก AI เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือแพร่บนโซเชียลมีเดียว่า Google ได้ปรับนโยบายเพื่อใช้ข้อความและไฟล์แนบใน Gmail ไปฝึกโมเดล AI Gemini แต่ Google ได้ออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจน โดยระบุว่าข่าวดังกล่าวเป็น “misleading” และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในการตั้งค่าของผู้ใช้ ⚙️ Smart Features ของ Gmail Google ชี้แจงว่า Gmail มีฟีเจอร์อัจฉริยะ เช่น spell-check, การติดตามพัสดุ, และการเพิ่มข้อมูลเที่ยวบินลงใน Google Calendar ซึ่งทั้งหมดทำงานด้วยการประมวลผลอัตโนมัติภายในระบบ ไม่ได้ถูกนำไปใช้ฝึกโมเดล Gemini การอนุญาตที่ผู้ใช้ให้กับ Smart Features เป็นเพียงการปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานใน Google Workspace เท่านั้น 🔍 ความเข้าใจผิดจากการตั้งค่า บางรายงานระบุว่าผู้ใช้พบการตั้งค่าบางอย่างถูกเปิดใช้งานใหม่โดยไม่ตั้งใจ ซึ่ง Google ชี้แจงว่าเป็นผลจากการอัปเดตการแยกการตั้งค่าระหว่าง Workspace และบริการอื่น ๆ เช่น Maps และ Wallet ไม่ใช่การบังคับให้ข้อมูล Gmail ถูกนำไปใช้ฝึก AI 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้ แม้ Google จะยืนยันว่าไม่มีการใช้ Gmail ในการฝึก AI แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความกังวลของผู้ใช้เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในยุคที่ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Google ปฏิเสธข่าวลือ ➡️ ยืนยันว่า Gmail ไม่ถูกใช้ฝึกโมเดล Gemini ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายผู้ใช้ ✅ Smart Features ของ Gmail ➡️ ใช้ประมวลผลอัตโนมัติ เช่น spell-check และการติดตามพัสดุ ➡️ ข้อมูลถูกใช้เพื่อปรับปรุง Workspace เท่านั้น ✅ ความเข้าใจผิดจากการตั้งค่า ➡️ การอัปเดตแยกการตั้งค่าระหว่าง Workspace และบริการอื่น ๆ ➡️ ไม่ใช่การบังคับให้ Gmail ถูกใช้ฝึก AI ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ สะท้อนความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวในยุค AI ➡️ ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าบัญชีให้ตรงกับความต้องการ https://securityonline.info/google-denies-rumors-gmail-messages-not-used-to-train-gemini-ai-models/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Denies Rumors: Gmail Messages NOT Used to Train Gemini AI Models
    Google firmly denied misleading rumors that it changed its policy to use Gmail content for training Gemini AI models, stressing private data is not used for AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • Steam Machine แพงแน่ เพราะ Valve ยันไม่ลดราคา

    Valve ยืนยันว่า Steam Machine รุ่นใหม่ จะไม่ถูกอุดหนุนราคาเหมือนเครื่องคอนโซล ทำให้ราคาคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าคอนโซลอย่าง PlayStation 5 ที่เริ่มต้นเพียง 399–499 ดอลลาร์

    Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Machine จะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ขายขาดทุนเพื่อดึงผู้ใช้เข้าสู่ระบบนิเวศเหมือนที่ Sony และ Microsoft ทำกับ PlayStation และ Xbox แต่จะตั้งราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนจริงของการสร้างพีซีเกมขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง

    สเปกและคุณสมบัติ
    Steam Machine ใช้ซีพียู AMD Zen 4 แบบ 6 คอร์ 12 เธรด และจีพียู AMD RDNA3 28 CU พร้อมแรม DDR5 16GB และ VRAM GDDR6 8GB รองรับการแสดงผลสูงสุด 4K@240Hz หรือ 8K@60Hz มีฟีเจอร์เด่น เช่น ระบบระบายเสียงเงียบมาก, HDMI CEC, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 และรองรับการเชื่อมต่อคอนโทรลเลอร์หลายตัว

    ราคาและการแข่งขัน
    ด้วยการไม่อุดหนุนราคา Steam Machine อาจมีราคาสูงถึง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผู้ใช้คอนโซลลังเล เพราะ PlayStation 5 และ Xbox Series X มีราคาถูกกว่าและยังทรงพลังพอสมควร อย่างไรก็ตาม Valve มองว่าจุดขายคือความยืดหยุ่นของพีซีและการเข้าถึงเกมมหาศาลบน Steam

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนว่า Valve ต้องการให้ Steam Machine เป็น “พีซีเกมขนาดเล็ก” ที่คุ้มค่ากับประสิทธิภาพ ไม่ใช่เครื่องคอนโซลราคาถูก หากผู้ใช้ต้องการความเงียบ ความยืดหยุ่น และการเข้าถึงเกมจำนวนมาก Steam Machine อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ราคาสูงอาจทำให้ตลาดจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นฮาร์ดคอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    Valve ยืนยัน Steam Machine ไม่ถูกอุดหนุนราคา
    ตั้งราคาตามต้นทุนจริง ไม่ขายขาดทุนเหมือนคอนโซล
    คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์

    สเปกและคุณสมบัติ
    CPU AMD Zen 4, GPU AMD RDNA3
    รองรับ 4K@240Hz และ 8K@60Hz
    ระบบเสียงเงียบ, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3

    การแข่งขันกับคอนโซล
    PS5 ราคาเริ่มต้น 399–499 ดอลลาร์
    Steam Machine เน้นความยืดหยุ่นและเกมบน Steam

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    เป็นพีซีเกมขนาดเล็กที่ทรงพลังและเงียบ
    ราคาสูงอาจจำกัดตลาดในกลุ่มผู้เล่นจริงจัง

    คำเตือนด้านข้อมูล
    ราคาสูงกว่าเครื่องคอนโซล อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่เลือกซื้อ
    หาก Valve ไม่สร้าง ecosystem ที่ชัดเจน อาจเสี่ยงต่อยอดขายต่ำ

    https://wccftech.com/steam-machine-isnt-going-to-be-subsidized-valve-confirms-prepare-for-high-price/
    🎮 Steam Machine แพงแน่ เพราะ Valve ยันไม่ลดราคา Valve ยืนยันว่า Steam Machine รุ่นใหม่ จะไม่ถูกอุดหนุนราคาเหมือนเครื่องคอนโซล ทำให้ราคาคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าคอนโซลอย่าง PlayStation 5 ที่เริ่มต้นเพียง 399–499 ดอลลาร์ Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Machine จะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ขายขาดทุนเพื่อดึงผู้ใช้เข้าสู่ระบบนิเวศเหมือนที่ Sony และ Microsoft ทำกับ PlayStation และ Xbox แต่จะตั้งราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนจริงของการสร้างพีซีเกมขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง ⚙️ สเปกและคุณสมบัติ Steam Machine ใช้ซีพียู AMD Zen 4 แบบ 6 คอร์ 12 เธรด และจีพียู AMD RDNA3 28 CU พร้อมแรม DDR5 16GB และ VRAM GDDR6 8GB รองรับการแสดงผลสูงสุด 4K@240Hz หรือ 8K@60Hz มีฟีเจอร์เด่น เช่น ระบบระบายเสียงเงียบมาก, HDMI CEC, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 และรองรับการเชื่อมต่อคอนโทรลเลอร์หลายตัว 💰 ราคาและการแข่งขัน ด้วยการไม่อุดหนุนราคา Steam Machine อาจมีราคาสูงถึง 800–900 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผู้ใช้คอนโซลลังเล เพราะ PlayStation 5 และ Xbox Series X มีราคาถูกกว่าและยังทรงพลังพอสมควร อย่างไรก็ตาม Valve มองว่าจุดขายคือความยืดหยุ่นของพีซีและการเข้าถึงเกมมหาศาลบน Steam 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนว่า Valve ต้องการให้ Steam Machine เป็น “พีซีเกมขนาดเล็ก” ที่คุ้มค่ากับประสิทธิภาพ ไม่ใช่เครื่องคอนโซลราคาถูก หากผู้ใช้ต้องการความเงียบ ความยืดหยุ่น และการเข้าถึงเกมจำนวนมาก Steam Machine อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ราคาสูงอาจทำให้ตลาดจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นฮาร์ดคอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Valve ยืนยัน Steam Machine ไม่ถูกอุดหนุนราคา ➡️ ตั้งราคาตามต้นทุนจริง ไม่ขายขาดทุนเหมือนคอนโซล ➡️ คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 800–900 ดอลลาร์ ✅ สเปกและคุณสมบัติ ➡️ CPU AMD Zen 4, GPU AMD RDNA3 ➡️ รองรับ 4K@240Hz และ 8K@60Hz ➡️ ระบบเสียงเงียบ, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 ✅ การแข่งขันกับคอนโซล ➡️ PS5 ราคาเริ่มต้น 399–499 ดอลลาร์ ➡️ Steam Machine เน้นความยืดหยุ่นและเกมบน Steam ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ เป็นพีซีเกมขนาดเล็กที่ทรงพลังและเงียบ ➡️ ราคาสูงอาจจำกัดตลาดในกลุ่มผู้เล่นจริงจัง ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ ราคาสูงกว่าเครื่องคอนโซล อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่เลือกซื้อ ⛔ หาก Valve ไม่สร้าง ecosystem ที่ชัดเจน อาจเสี่ยงต่อยอดขายต่ำ https://wccftech.com/steam-machine-isnt-going-to-be-subsidized-valve-confirms-prepare-for-high-price/
    WCCFTECH.COM
    The Steam Machine Isn't Going to Be Subsidized, Valve Confirms - Prepare for High Price
    Valve has now confirmed unequivocally that the Steam Machine will not be subsidized. As such, its pricing might be far steeper than a console
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dark Matter อาจจะเกี่ยวข้องกับมิติที่ห้า

    บทความจาก SlashGear อธิบายแนวคิดใหม่ว่า Dark Matter อาจไม่ได้เป็นอนุภาคลึกลับ แต่เป็นผลจากฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นใน มิติที่ห้า ซึ่งซ่อนอยู่ในจักรวาล และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอธิบายแรงโน้มถ่วงและโครงสร้างของกาแล็กซี

    นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบของปริศนา Dark Matter มานาน โดยล่าสุดมีการเสนอทฤษฎี “Dark Dimension Scenario” ที่อธิบายว่า นอกจาก 4 มิติที่เรารู้จัก (3 มิติของพื้นที่ + เวลา) อาจมีมิติที่ห้าแบบกะทัดรัดซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถสร้างอนุภาคหนัก เช่น Graviton ที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter และช่วยเติมเต็ม “มวลที่หายไป” ของจักรวาล

    การอธิบายด้วยภาพเปรียบเทียบ
    บทความเปรียบเทียบว่า Dark Matter ทำหน้าที่เหมือน “น้ำหนักที่มองไม่เห็น” คอยดึงดาวฤกษ์ในกาแล็กซีให้อยู่ในวงโคจร ไม่ให้หลุดออกไปเหมือนรถแข่ง NASCAR ที่ต้องมีแรงกดถ่วงไว้บนสนาม นอกจากนี้ยังเปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกและมิติอื่น ซึ่ง Dark Matter อาจอยู่ใน “อีกด้านหนึ่ง” ของมิติที่ห้า ทำให้เราเห็นผลกระทบแต่ไม่สามารถมองเห็นโดยตรง

    ผลกระทบต่อการวิจัยฟิสิกส์
    หากทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์ได้ จะเป็นการเปิดประตูสู่ฟิสิกส์ใหม่ที่อยู่นอกเหนือโลก 4 มิติที่เรารู้จัก นักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างเครื่องมือและหอสังเกตการณ์ใหม่เพื่อค้นหาสัญญาณ เช่น Gravitational Lensing ที่แสงถูกบิดเบี้ยวด้วยแรงโน้มถ่วงของ Dark Matter หากพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมโยงสสารปกติและ Dark Matter จะเป็นหลักฐานตรงครั้งแรกของฟิสิกส์ในมิติที่ห้า

    ความหมายต่อจักรวาล
    การค้นพบมิติที่ห้าอาจทำให้เราเข้าใจแรงโน้มถ่วงที่อ่อนกว่าพลังอื่น ๆ และอธิบายการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังขยายขอบเขตการทดลองทางฟิสิกส์ในอนาคต และอาจเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองจักรวาลไปตลอดกาล

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Dark Dimension Scenario
    เสนอว่ามีมิติที่ห้าซ่อนอยู่ในจักรวาล
    อาจสร้างอนุภาคหนักที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter

    การเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ
    Dark Matter เหมือนน้ำหนักที่มองไม่เห็นคอยดึงดาวให้อยู่ในวงโคจร
    เปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เชื่อมโลกกับมิติอื่น

    ผลกระทบต่อการวิจัย
    อาจค้นพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมสสารปกติและ Dark Matter
    ใช้การสังเกต Gravitational Lensing เป็นหลักฐานสำคัญ

    ความหมายต่อจักรวาล
    อธิบายแรงโน้มถ่วงและการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น
    ขยายขอบเขตฟิสิกส์และการทดลองในอนาคต

    คำเตือนด้านข้อมูล
    ทฤษฎียังอยู่ในขั้นสมมติ ต้องการหลักฐานเชิงทดลองเพิ่มเติม
    การตีความผิดอาจทำให้เข้าใจ Dark Matter และแรงโน้มถ่วงคลาดเคลื่อน

    https://www.slashgear.com/2030177/dark-matter-fifth-dimension-wed-theory/
    🌌 Dark Matter อาจจะเกี่ยวข้องกับมิติที่ห้า บทความจาก SlashGear อธิบายแนวคิดใหม่ว่า Dark Matter อาจไม่ได้เป็นอนุภาคลึกลับ แต่เป็นผลจากฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นใน มิติที่ห้า ซึ่งซ่อนอยู่ในจักรวาล และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอธิบายแรงโน้มถ่วงและโครงสร้างของกาแล็กซี นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบของปริศนา Dark Matter มานาน โดยล่าสุดมีการเสนอทฤษฎี “Dark Dimension Scenario” ที่อธิบายว่า นอกจาก 4 มิติที่เรารู้จัก (3 มิติของพื้นที่ + เวลา) อาจมีมิติที่ห้าแบบกะทัดรัดซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถสร้างอนุภาคหนัก เช่น Graviton ที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter และช่วยเติมเต็ม “มวลที่หายไป” ของจักรวาล 🌀 การอธิบายด้วยภาพเปรียบเทียบ บทความเปรียบเทียบว่า Dark Matter ทำหน้าที่เหมือน “น้ำหนักที่มองไม่เห็น” คอยดึงดาวฤกษ์ในกาแล็กซีให้อยู่ในวงโคจร ไม่ให้หลุดออกไปเหมือนรถแข่ง NASCAR ที่ต้องมีแรงกดถ่วงไว้บนสนาม นอกจากนี้ยังเปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกและมิติอื่น ซึ่ง Dark Matter อาจอยู่ใน “อีกด้านหนึ่ง” ของมิติที่ห้า ทำให้เราเห็นผลกระทบแต่ไม่สามารถมองเห็นโดยตรง 🔭 ผลกระทบต่อการวิจัยฟิสิกส์ หากทฤษฎีนี้ถูกพิสูจน์ได้ จะเป็นการเปิดประตูสู่ฟิสิกส์ใหม่ที่อยู่นอกเหนือโลก 4 มิติที่เรารู้จัก นักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างเครื่องมือและหอสังเกตการณ์ใหม่เพื่อค้นหาสัญญาณ เช่น Gravitational Lensing ที่แสงถูกบิดเบี้ยวด้วยแรงโน้มถ่วงของ Dark Matter หากพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมโยงสสารปกติและ Dark Matter จะเป็นหลักฐานตรงครั้งแรกของฟิสิกส์ในมิติที่ห้า 🌍 ความหมายต่อจักรวาล การค้นพบมิติที่ห้าอาจทำให้เราเข้าใจแรงโน้มถ่วงที่อ่อนกว่าพลังอื่น ๆ และอธิบายการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังขยายขอบเขตการทดลองทางฟิสิกส์ในอนาคต และอาจเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองจักรวาลไปตลอดกาล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Dark Dimension Scenario ➡️ เสนอว่ามีมิติที่ห้าซ่อนอยู่ในจักรวาล ➡️ อาจสร้างอนุภาคหนักที่ทำหน้าที่เหมือน Dark Matter ✅ การเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ ➡️ Dark Matter เหมือนน้ำหนักที่มองไม่เห็นคอยดึงดาวให้อยู่ในวงโคจร ➡️ เปรียบกับ Tesseract ใน Avengers ที่เชื่อมโลกกับมิติอื่น ✅ ผลกระทบต่อการวิจัย ➡️ อาจค้นพบอนุภาคใหม่ที่เชื่อมสสารปกติและ Dark Matter ➡️ ใช้การสังเกต Gravitational Lensing เป็นหลักฐานสำคัญ ✅ ความหมายต่อจักรวาล ➡️ อธิบายแรงโน้มถ่วงและการก่อตัวของกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น ➡️ ขยายขอบเขตฟิสิกส์และการทดลองในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ ทฤษฎียังอยู่ในขั้นสมมติ ต้องการหลักฐานเชิงทดลองเพิ่มเติม ⛔ การตีความผิดอาจทำให้เข้าใจ Dark Matter และแรงโน้มถ่วงคลาดเคลื่อน https://www.slashgear.com/2030177/dark-matter-fifth-dimension-wed-theory/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Answer To Physics' Dark Matter Problem Could Lie In The Fifth Dimension - SlashGear
    Physicists have determined that most of the universe is dark matter -- invisible to us but affecting the universe anyway. Could it exist in another dimension?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • microSD ความจุสูงขาดตลาดในญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตการขาดแคลนหน่วยความจำและสตอเรจครั้งใหญ่ ส่งผลให้ microSD ความจุสูง (512GB–2TB) และ HDD ความจุใหญ่ หายากและราคาพุ่งขึ้น เนื่องจากความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและการใช้งานด้าน AI ที่ดูดซับทรัพยากรไปเกือบหมด

    รายงานจาก IT Media ระบุว่า microSD รุ่นความจุสูง เช่น 512GB, 1TB และ 2TB กำลังหมดสต็อกอย่างต่อเนื่องในร้านค้าญี่ปุ่น เนื่องจากผู้ใช้หันมาเลือกใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลแบบพกพา ทำให้ตลาดผู้บริโภคแทบไม่เหลือสินค้าให้เลือก

    HDD ความจุใหญ่ก็หายไปเช่นกัน
    ไม่เพียงแต่ microSD เท่านั้น แต่ HDD ความจุสูง ก็ถูกกวาดซื้อไปอย่างรวดเร็ว โดยร้านค้าญี่ปุ่นเผยว่าถูกดูดไปใช้ในงาน AI และ Data Center ทำให้สินค้าขาดตลาดทันทีที่เข้ามา แม้ราคาจะสูงขึ้นก็ยังขายหมดอย่างรวดเร็ว

    สถานการณ์หน่วยความจำโลก
    นอกจากสตอเรจแล้ว DDR5 DRAM ก็เป็นอีกสินค้าที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างหนัก เช่น ชุด Corsair Vengeance 64GB ที่เคยราคา ¥40,000 (~260 USD) ในต้นเดือนพฤศจิกายน กลับเพิ่มขึ้นเป็น ¥70,000 (~460 USD) ภายในสามสัปดาห์ สะท้อนถึงแรงกดดันมหาศาลจากความต้องการด้าน AI ที่ทำให้ตลาดผู้บริโภคได้รับผลกระทบเต็ม ๆ

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    แม้กราฟิกการ์ดยังคงเสถียร แต่แนวโน้มคือสินค้าสตอเรจและหน่วยความจำจะยังคงขาดตลาดต่อไปในปีหน้า หากความต้องการจาก AI และศูนย์ข้อมูลไม่ลดลง ผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นและการหาสินค้าที่ต้องการได้ยากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    microSD ความจุสูงขาดตลาด
    รุ่น 512GB–2TB หมดสต็อกในร้านค้าญี่ปุ่น
    ผู้ใช้หันมาใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน

    HDD ความจุใหญ่หายาก
    ถูกกวาดซื้อไปใช้ในงาน AI และ Data Center
    ราคาสูงขึ้นแต่ยังขายหมดทันที

    หน่วยความจำ DDR5 ราคาพุ่ง
    Corsair Vengeance 64GB เพิ่มจาก ¥40,000 เป็น ¥70,000 ภายใน 3 สัปดาห์
    สะท้อนแรงกดดันจากความต้องการ AI

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ตลาดสตอเรจและ DRAM จะยังคงตึงตัวในปีหน้า
    ผู้บริโภคทั่วไปเจอราคาสูงและสินค้าหายาก

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การขาดแคลนหน่วยความจำอาจกระทบต่อการอัปเกรดและการสร้างระบบใหม่
    ราคาที่พุ่งขึ้นอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีได้ยากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/large-capacity-microsd-cards-are-now-regularly-out-of-stock-in-japan-as-storage-crunch-claims-another-victim-high-capacity-hdds-are-also-vanishing
    💾 microSD ความจุสูงขาดตลาดในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตการขาดแคลนหน่วยความจำและสตอเรจครั้งใหญ่ ส่งผลให้ microSD ความจุสูง (512GB–2TB) และ HDD ความจุใหญ่ หายากและราคาพุ่งขึ้น เนื่องจากความต้องการจากศูนย์ข้อมูลและการใช้งานด้าน AI ที่ดูดซับทรัพยากรไปเกือบหมด รายงานจาก IT Media ระบุว่า microSD รุ่นความจุสูง เช่น 512GB, 1TB และ 2TB กำลังหมดสต็อกอย่างต่อเนื่องในร้านค้าญี่ปุ่น เนื่องจากผู้ใช้หันมาเลือกใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลแบบพกพา ทำให้ตลาดผู้บริโภคแทบไม่เหลือสินค้าให้เลือก 📉 HDD ความจุใหญ่ก็หายไปเช่นกัน ไม่เพียงแต่ microSD เท่านั้น แต่ HDD ความจุสูง ก็ถูกกวาดซื้อไปอย่างรวดเร็ว โดยร้านค้าญี่ปุ่นเผยว่าถูกดูดไปใช้ในงาน AI และ Data Center ทำให้สินค้าขาดตลาดทันทีที่เข้ามา แม้ราคาจะสูงขึ้นก็ยังขายหมดอย่างรวดเร็ว ⚡ สถานการณ์หน่วยความจำโลก นอกจากสตอเรจแล้ว DDR5 DRAM ก็เป็นอีกสินค้าที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างหนัก เช่น ชุด Corsair Vengeance 64GB ที่เคยราคา ¥40,000 (~260 USD) ในต้นเดือนพฤศจิกายน กลับเพิ่มขึ้นเป็น ¥70,000 (~460 USD) ภายในสามสัปดาห์ สะท้อนถึงแรงกดดันมหาศาลจากความต้องการด้าน AI ที่ทำให้ตลาดผู้บริโภคได้รับผลกระทบเต็ม ๆ 🌍 ผลกระทบต่อผู้บริโภค แม้กราฟิกการ์ดยังคงเสถียร แต่แนวโน้มคือสินค้าสตอเรจและหน่วยความจำจะยังคงขาดตลาดต่อไปในปีหน้า หากความต้องการจาก AI และศูนย์ข้อมูลไม่ลดลง ผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นและการหาสินค้าที่ต้องการได้ยากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ microSD ความจุสูงขาดตลาด ➡️ รุ่น 512GB–2TB หมดสต็อกในร้านค้าญี่ปุ่น ➡️ ผู้ใช้หันมาใช้แทน SSD/HDD ในบางงาน ✅ HDD ความจุใหญ่หายาก ➡️ ถูกกวาดซื้อไปใช้ในงาน AI และ Data Center ➡️ ราคาสูงขึ้นแต่ยังขายหมดทันที ✅ หน่วยความจำ DDR5 ราคาพุ่ง ➡️ Corsair Vengeance 64GB เพิ่มจาก ¥40,000 เป็น ¥70,000 ภายใน 3 สัปดาห์ ➡️ สะท้อนแรงกดดันจากความต้องการ AI ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ตลาดสตอเรจและ DRAM จะยังคงตึงตัวในปีหน้า ➡️ ผู้บริโภคทั่วไปเจอราคาสูงและสินค้าหายาก ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การขาดแคลนหน่วยความจำอาจกระทบต่อการอัปเกรดและการสร้างระบบใหม่ ⛔ ราคาที่พุ่งขึ้นอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีได้ยากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/large-capacity-microsd-cards-are-now-regularly-out-of-stock-in-japan-as-storage-crunch-claims-another-victim-high-capacity-hdds-are-also-vanishing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีย้อนยุค: เครื่องอ่านเทปเจาะรูรุ่นใหม่

    นักพัฒนาและผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ย้อนยุคชื่อ Skyriver ได้สร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรู (perforated tape reader) ขึ้นใหม่จากศูนย์ โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์และเซ็นเซอร์สมัยใหม่ ทำงานได้เร็วกว่าเทปเจาะรูยุคเก่า โดยสามารถอ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที

    Skyriver ได้ออกแบบและสร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรูที่เรียกว่า Putapre โดยใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน เช่น ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18, LED อินฟราเรด และโฟโตรทรานซิสเตอร์ เพื่ออ่านตำแหน่งรูบนเทป ถือเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ามาเล่าใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและกะทัดรัด

    การทำงานและความเร็ว
    เครื่องอ่านนี้ใช้วิธีการตรวจจับด้วยแสง (optical sensing) แทนการสัมผัสทางกลแบบเดิม ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า โดยมีความเร็วประมาณ 50 ไบต์ต่อวินาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องหากมีเทปยาวพอ นับเป็นการพัฒนาเหนือกว่าระบบเจาะรูที่เคยใช้ในยุค 1950–1980

    ความท้าทายในการสร้าง
    Skyriver ต้องปรับแต่งกำลังไฟของ LED และการตั้งค่าของเซ็นเซอร์อย่างละเอียด รวมถึงเลือกวัสดุเทปที่เหมาะสม และสร้างตัวนำเทปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเสถียร การทดลองนี้ใช้เวลามากในการแก้ปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนและความแม่นยำ

    ความหมายเชิงประวัติศาสตร์
    เทปเจาะรูและบัตรเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลในยุคแรก ๆ ของคอมพิวเตอร์ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเทปแม่เหล็กและดิสก์ การสร้างเครื่องอ่านใหม่ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    เครื่องอ่านเทปเจาะรู Putapre
    สร้างโดย Skyriver จากศูนย์
    ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18 และเซ็นเซอร์แสง

    ความเร็วและการทำงาน
    อ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที
    ใช้ optical sensing แทนการสัมผัสทางกล

    ความท้าทายในการสร้าง
    ต้องปรับแต่ง LED และเซ็นเซอร์อย่างละเอียด
    ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างตัวนำเทป

    ความหมายเชิงประวัติศาสตร์
    เทปเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลยุคแรก
    โปรเจกต์นี้เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านข้อมูล
    เครื่องอ่านนี้ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์
    ความเร็วและประสิทธิภาพยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/retro-computing-enthusiast-creates-perforated-tape-reader-designed-from-scratch-reads-data-at-about-50-bytes-per-second
    🖥️ เทคโนโลยีย้อนยุค: เครื่องอ่านเทปเจาะรูรุ่นใหม่ นักพัฒนาและผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ย้อนยุคชื่อ Skyriver ได้สร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรู (perforated tape reader) ขึ้นใหม่จากศูนย์ โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์และเซ็นเซอร์สมัยใหม่ ทำงานได้เร็วกว่าเทปเจาะรูยุคเก่า โดยสามารถอ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที Skyriver ได้ออกแบบและสร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรูที่เรียกว่า Putapre โดยใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน เช่น ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18, LED อินฟราเรด และโฟโตรทรานซิสเตอร์ เพื่ออ่านตำแหน่งรูบนเทป ถือเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ามาเล่าใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและกะทัดรัด 🔧 การทำงานและความเร็ว เครื่องอ่านนี้ใช้วิธีการตรวจจับด้วยแสง (optical sensing) แทนการสัมผัสทางกลแบบเดิม ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า โดยมีความเร็วประมาณ 50 ไบต์ต่อวินาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องหากมีเทปยาวพอ นับเป็นการพัฒนาเหนือกว่าระบบเจาะรูที่เคยใช้ในยุค 1950–1980 🛠️ ความท้าทายในการสร้าง Skyriver ต้องปรับแต่งกำลังไฟของ LED และการตั้งค่าของเซ็นเซอร์อย่างละเอียด รวมถึงเลือกวัสดุเทปที่เหมาะสม และสร้างตัวนำเทปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเสถียร การทดลองนี้ใช้เวลามากในการแก้ปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนและความแม่นยำ 📜 ความหมายเชิงประวัติศาสตร์ เทปเจาะรูและบัตรเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลในยุคแรก ๆ ของคอมพิวเตอร์ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเทปแม่เหล็กและดิสก์ การสร้างเครื่องอ่านใหม่ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เครื่องอ่านเทปเจาะรู Putapre ➡️ สร้างโดย Skyriver จากศูนย์ ➡️ ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18 และเซ็นเซอร์แสง ✅ ความเร็วและการทำงาน ➡️ อ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที ➡️ ใช้ optical sensing แทนการสัมผัสทางกล ✅ ความท้าทายในการสร้าง ➡️ ต้องปรับแต่ง LED และเซ็นเซอร์อย่างละเอียด ➡️ ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างตัวนำเทป ✅ ความหมายเชิงประวัติศาสตร์ ➡️ เทปเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลยุคแรก ➡️ โปรเจกต์นี้เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ เครื่องอ่านนี้ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ ⛔ ความเร็วและประสิทธิภาพยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/retro-computing-enthusiast-creates-perforated-tape-reader-designed-from-scratch-reads-data-at-about-50-bytes-per-second
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Retro computing enthusiast creates perforated tape reader designed 'from scratch' — reads data at about 50 bytes per second
    The punched card computer era finally shuttered in 1984, when IBM discontinued card manufacturing, but some people miss it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอเป็นสายให้สหรัฐฯ

    ตามรายงานจากหนังสือ De belangrijkste machine ter wereld (“The Most Important Machine in the World”) โดยอดีตนักข่าว Bloomberg สองคน ระบุว่า ASML เคยเสนอให้วิศวกรของตนรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน แม้จะมีการห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ตามข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์

    ข้อตกลงและการละเมิด
    ในปี 2023 สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ตกลงกันว่า ASML จะหยุดขายเครื่อง DUV ให้จีนตั้งแต่กันยายน และหยุดทั้งหมดภายในมกราคม 2024 แต่มีรายงานว่า ASML ขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์รู้สึก “ถูกหลอกและอับอาย” และสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทหาทางกู้ความไว้วางใจ

    ข้อเสนอที่เป็นข้อถกเถียง
    แทนที่จะหยุดให้บริการเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้วในจีน ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอจะยังคงให้บริการ แต่ให้วิศวกรทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวในโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการ “สอดแนม” อย่างไรก็ตาม ASML ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง

    ผลกระทบและความกังวล
    กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การที่บริษัทเอกชนถูกกล่าวหาว่าอาจมีบทบาทเป็นสายให้รัฐบาลต่างชาติ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อกล่าวหาต่อ ASML
    เสนอให้วิศวกรรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ
    เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน

    ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์
    ห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ให้จีนตั้งแต่ปี 2023
    ASML ถูกกล่าวหาว่าขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้

    การปฏิเสธของ ASML
    บริษัทระบุว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง
    ยืนยันว่าไม่ได้เสนอทำหน้าที่เป็นสายให้สหรัฐฯ

    ผลกระทบที่ตามมา
    กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร
    สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ–จีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/asml-allegedly-offered-to-spy-on-china-for-the-us-company-proposed-being-washingtons-eyes-and-ears-in-china-after-breaking-gentlemens-agreement-on-limiting-duv-sales-to-country-says-new-book
    📖 ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอเป็นสายให้สหรัฐฯ ตามรายงานจากหนังสือ De belangrijkste machine ter wereld (“The Most Important Machine in the World”) โดยอดีตนักข่าว Bloomberg สองคน ระบุว่า ASML เคยเสนอให้วิศวกรของตนรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน แม้จะมีการห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ตามข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ ⚖️ ข้อตกลงและการละเมิด ในปี 2023 สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ตกลงกันว่า ASML จะหยุดขายเครื่อง DUV ให้จีนตั้งแต่กันยายน และหยุดทั้งหมดภายในมกราคม 2024 แต่มีรายงานว่า ASML ขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์รู้สึก “ถูกหลอกและอับอาย” และสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทหาทางกู้ความไว้วางใจ 🕵️ ข้อเสนอที่เป็นข้อถกเถียง แทนที่จะหยุดให้บริการเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้วในจีน ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอจะยังคงให้บริการ แต่ให้วิศวกรทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวในโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการ “สอดแนม” อย่างไรก็ตาม ASML ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง 🌍 ผลกระทบและความกังวล กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การที่บริษัทเอกชนถูกกล่าวหาว่าอาจมีบทบาทเป็นสายให้รัฐบาลต่างชาติ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อกล่าวหาต่อ ASML ➡️ เสนอให้วิศวกรรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ➡️ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน ✅ ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ ➡️ ห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ให้จีนตั้งแต่ปี 2023 ➡️ ASML ถูกกล่าวหาว่าขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ✅ การปฏิเสธของ ASML ➡️ บริษัทระบุว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง ➡️ ยืนยันว่าไม่ได้เสนอทำหน้าที่เป็นสายให้สหรัฐฯ ✅ ผลกระทบที่ตามมา ➡️ กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร ➡️ สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ–จีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/asml-allegedly-offered-to-spy-on-china-for-the-us-company-proposed-being-washingtons-eyes-and-ears-in-china-after-breaking-gentlemens-agreement-on-limiting-duv-sales-to-country-says-new-book
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพา

    เรื่องราวของ Winnebiko คือการเดินทางกว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือนโดย Steven K. Roberts นักเทคโนโลยีผู้บุกเบิกการใช้คอมพิวเตอร์พกพาและพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อทำงานระหว่างทาง ถือเป็นการทดลองชีวิตแบบ Digital Nomad ยุคแรกสุดเมื่อกว่า 40 ปีก่อน

    ในปี 1983–1984 Steven K. Roberts ได้ออกเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพาและระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เขาเรียกมันว่า Winnebiko การเดินทางครั้งนี้ครอบคลุมระยะทางกว่า 17,000 ไมล์ทั่วสหรัฐฯ ใช้เวลารวม 17 เดือน ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น

    พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s
    Winnebiko ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ และมีอุปกรณ์พกพาอย่างโมเด็ม, เครื่องบันทึกข้อมูล และคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่สามารถพิมพ์และส่งข้อความได้ แม้จะเป็นยุคก่อนอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน แต่ Roberts สามารถทำงาน “บนถนน” ได้จริง ๆ ถือเป็นการทดลองใช้ชีวิตแบบ mobile computing ที่ล้ำหน้าไปหลายสิบปี

    การทำงานระหว่างเดินทาง
    Roberts ใช้จักรยานเป็นทั้งพาหนะและสำนักงานเคลื่อนที่ เขาสามารถเขียนบทความ ส่งข้อมูล และสื่อสารกับผู้คนระหว่างทาง การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการผจญภัย แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีสามารถทำให้การทำงานแบบ remote เป็นไปได้ แม้ในยุคที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม

    มรดกของ Winnebiko
    การเดินทาง Computing Across America กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism ที่เฟื่องฟูในปัจจุบัน Roberts แสดงให้เห็นว่า การผสมผสานเทคโนโลยีกับการเดินทางสามารถสร้างวิถีชีวิตใหม่ได้ และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี เรื่องราวของเขายังคงถูกยกขึ้นมาเป็นตำนานของการใช้เทคโนโลยีเพื่ออิสระในการทำงาน

    สรุปสาระสำคัญ
    การเดินทาง Computing Across America
    Steven K. Roberts เดินทางด้วยจักรยาน Winnebiko กว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือน
    ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยี

    พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s
    ใช้แผงโซลาร์เซลล์ชาร์จแบตเตอรี่
    มีคอมพิวเตอร์พกพาและโมเด็มสำหรับส่งข้อมูล

    การทำงานระหว่างเดินทาง
    ใช้จักรยานเป็นสำนักงานเคลื่อนที่
    สามารถเขียนบทความและสื่อสารได้แม้ระหว่างทาง

    มรดกของ Winnebiko
    เป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism
    แสดงให้เห็นว่าการทำงานแบบ remote เป็นไปได้ตั้งแต่ยุค 80s

    https://www.tomshardware.com/laptops/the-winnebiko-travelled-17-000-miles-to-complete-the-computing-across-america-expedition-40-years-ago-solar-and-1980s-portable-gadgets-powered-digital-nomadism-in-its-earliest-and-purest-form
    🚴 การเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพา เรื่องราวของ Winnebiko คือการเดินทางกว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือนโดย Steven K. Roberts นักเทคโนโลยีผู้บุกเบิกการใช้คอมพิวเตอร์พกพาและพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อทำงานระหว่างทาง ถือเป็นการทดลองชีวิตแบบ Digital Nomad ยุคแรกสุดเมื่อกว่า 40 ปีก่อน ในปี 1983–1984 Steven K. Roberts ได้ออกเดินทางด้วยจักรยานที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์พกพาและระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เขาเรียกมันว่า Winnebiko การเดินทางครั้งนี้ครอบคลุมระยะทางกว่า 17,000 ไมล์ทั่วสหรัฐฯ ใช้เวลารวม 17 เดือน ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น 🔋 พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s Winnebiko ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ และมีอุปกรณ์พกพาอย่างโมเด็ม, เครื่องบันทึกข้อมูล และคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่สามารถพิมพ์และส่งข้อความได้ แม้จะเป็นยุคก่อนอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน แต่ Roberts สามารถทำงาน “บนถนน” ได้จริง ๆ ถือเป็นการทดลองใช้ชีวิตแบบ mobile computing ที่ล้ำหน้าไปหลายสิบปี 🌍 การทำงานระหว่างเดินทาง Roberts ใช้จักรยานเป็นทั้งพาหนะและสำนักงานเคลื่อนที่ เขาสามารถเขียนบทความ ส่งข้อมูล และสื่อสารกับผู้คนระหว่างทาง การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการผจญภัย แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีสามารถทำให้การทำงานแบบ remote เป็นไปได้ แม้ในยุคที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม 📜 มรดกของ Winnebiko การเดินทาง Computing Across America กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism ที่เฟื่องฟูในปัจจุบัน Roberts แสดงให้เห็นว่า การผสมผสานเทคโนโลยีกับการเดินทางสามารถสร้างวิถีชีวิตใหม่ได้ และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี เรื่องราวของเขายังคงถูกยกขึ้นมาเป็นตำนานของการใช้เทคโนโลยีเพื่ออิสระในการทำงาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเดินทาง Computing Across America ➡️ Steven K. Roberts เดินทางด้วยจักรยาน Winnebiko กว่า 17,000 ไมล์ใน 17 เดือน ➡️ ถือเป็นการผสมผสานการผจญภัยกับเทคโนโลยี ✅ พลังงานแสงอาทิตย์และแกดเจ็ตยุค 80s ➡️ ใช้แผงโซลาร์เซลล์ชาร์จแบตเตอรี่ ➡️ มีคอมพิวเตอร์พกพาและโมเด็มสำหรับส่งข้อมูล ✅ การทำงานระหว่างเดินทาง ➡️ ใช้จักรยานเป็นสำนักงานเคลื่อนที่ ➡️ สามารถเขียนบทความและสื่อสารได้แม้ระหว่างทาง ✅ มรดกของ Winnebiko ➡️ เป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิด Digital Nomadism ➡️ แสดงให้เห็นว่าการทำงานแบบ remote เป็นไปได้ตั้งแต่ยุค 80s https://www.tomshardware.com/laptops/the-winnebiko-travelled-17-000-miles-to-complete-the-computing-across-america-expedition-40-years-ago-solar-and-1980s-portable-gadgets-powered-digital-nomadism-in-its-earliest-and-purest-form
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    40 years ago an enthusiast biked 17,000 miles over 17 months with mobile computer to complete the pioneering Computing Across America expedition — solar and 1980s portable gadgets powered the 'Winnebiko' across America
    The journey started before Windows 1, before the Apple Mac, before cell phones, and before the Internet, but Steven K. Roberts managed to work ‘on the road’ for 17 months.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผู้ใช้ Lenovo Legion รวมตัวแชร์เงินแก้บั๊กเสียง

    ผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 ที่ใช้ Linux รวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub มูลค่า 2,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาเสียงลำโพงที่ผิดปกติ และนักพัฒนาคนหนึ่งสามารถแก้ไขได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน

    กลุ่มผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 (16IAX10H) ที่ใช้ Linux รู้สึกไม่พอใจกับคุณภาพเสียงลำโพงที่ “เบาและอู้อี้” ซึ่งเกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec พวกเขาจึงรวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub โดยเริ่มต้นจากเงินส่วนตัวของ Nadim Kobeissi จำนวน 500 ดอลลาร์ ก่อนจะมีผู้ร่วมสมทบจนรวมเป็น 2,000 ดอลลาร์

    การแก้ไขที่สำเร็จ
    นักพัฒนาที่ใช้ชื่อว่า Yakov Till (Lepsus) ได้เข้ามารับงานและทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ โดยการปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่าง codec และ amplifier ในระบบเสียงของเครื่อง ซึ่งมีทั้ง Tweeters และ Woofers ทำให้เสียงกลับมาทำงานได้อย่างถูกต้อง

    วิธีแก้ไขสำหรับผู้ใช้
    Kobeissi ได้เผยแพร่ คู่มือการติดตั้งแก้ไข สำหรับ Linux kernel เวอร์ชัน 6.17.8 และสัญญาว่าจะอัปเดตให้รองรับเวอร์ชันใหม่ ๆ จนกว่าการแก้ไขจะถูกบรรจุเข้าไปใน kernel อย่างเป็นทางการ ผู้ใช้ที่ทำตามขั้นตอนจะได้เสียงที่ถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง

    ความหมายต่อวงการโอเพนซอร์ส
    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า บั๊กบาวน์ตี้ในระดับชุมชน สามารถเป็นแรงผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่บริษัทใหญ่ไม่สนใจได้ และยังเป็นตัวอย่างของการร่วมมือกันในวงการโอเพนซอร์ส ที่ผู้ใช้สามารถรวมพลังเพื่อแก้ปัญหาที่กระทบกับชีวิตประจำวัน

    สรุปสาระสำคัญ
    ปัญหาลำโพง Lenovo Legion Pro 7 บน Linux
    เกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec
    เสียงลำโพงเบาและผิดเพี้ยน

    การตั้งบั๊กบาวน์ตี้
    เริ่มต้นด้วยเงิน 500 ดอลลาร์จาก Nadim Kobeissi
    รวมยอดเป็น 2,000 ดอลลาร์จากผู้ใช้หลายคน

    การแก้ไขโดย Yakov Till (Lepsus)
    ทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด
    ปรับปรุงการเชื่อมต่อ codec และ amplifier

    คู่มือแก้ไขสำหรับผู้ใช้
    รองรับ Linux kernel 6.17.8 และจะอัปเดตต่อไป
    เสียงทำงานถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การแก้ไขด้วยวิธีชุมชนอาจยังไม่เสถียรเท่าการบรรจุใน kernel อย่างเป็นทางการ
    ผู้ใช้ที่ไม่ชำนาญการติดตั้ง Linux kernel อาจเจอความเสี่ยงในการทำตามขั้นตอน

    https://www.tomshardware.com/software/linux/frustrated-users-paid-usd2-000-dollars-to-fix-lenovo-legion-speakers-not-working-properly-error-by-posting-a-bug-bounty-coder-wins-the-cash-by-fixing-complex-audio-annoyance-eliminated-in-just-a-month
    💻 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผู้ใช้ Lenovo Legion รวมตัวแชร์เงินแก้บั๊กเสียง ผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 ที่ใช้ Linux รวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub มูลค่า 2,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาเสียงลำโพงที่ผิดปกติ และนักพัฒนาคนหนึ่งสามารถแก้ไขได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน กลุ่มผู้ใช้ Lenovo Legion Pro 7 (16IAX10H) ที่ใช้ Linux รู้สึกไม่พอใจกับคุณภาพเสียงลำโพงที่ “เบาและอู้อี้” ซึ่งเกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec พวกเขาจึงรวมตัวกันตั้งบั๊กบาวน์ตี้บน GitHub โดยเริ่มต้นจากเงินส่วนตัวของ Nadim Kobeissi จำนวน 500 ดอลลาร์ ก่อนจะมีผู้ร่วมสมทบจนรวมเป็น 2,000 ดอลลาร์ 🛠️ การแก้ไขที่สำเร็จ นักพัฒนาที่ใช้ชื่อว่า Yakov Till (Lepsus) ได้เข้ามารับงานและทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ โดยการปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่าง codec และ amplifier ในระบบเสียงของเครื่อง ซึ่งมีทั้ง Tweeters และ Woofers ทำให้เสียงกลับมาทำงานได้อย่างถูกต้อง 📑 วิธีแก้ไขสำหรับผู้ใช้ Kobeissi ได้เผยแพร่ คู่มือการติดตั้งแก้ไข สำหรับ Linux kernel เวอร์ชัน 6.17.8 และสัญญาว่าจะอัปเดตให้รองรับเวอร์ชันใหม่ ๆ จนกว่าการแก้ไขจะถูกบรรจุเข้าไปใน kernel อย่างเป็นทางการ ผู้ใช้ที่ทำตามขั้นตอนจะได้เสียงที่ถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง 🔮 ความหมายต่อวงการโอเพนซอร์ส เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า บั๊กบาวน์ตี้ในระดับชุมชน สามารถเป็นแรงผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่บริษัทใหญ่ไม่สนใจได้ และยังเป็นตัวอย่างของการร่วมมือกันในวงการโอเพนซอร์ส ที่ผู้ใช้สามารถรวมพลังเพื่อแก้ปัญหาที่กระทบกับชีวิตประจำวัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ปัญหาลำโพง Lenovo Legion Pro 7 บน Linux ➡️ เกิดจากการตรวจจับผิดพลาดของ Realtek ALC3306 codec ➡️ เสียงลำโพงเบาและผิดเพี้ยน ✅ การตั้งบั๊กบาวน์ตี้ ➡️ เริ่มต้นด้วยเงิน 500 ดอลลาร์จาก Nadim Kobeissi ➡️ รวมยอดเป็น 2,000 ดอลลาร์จากผู้ใช้หลายคน ✅ การแก้ไขโดย Yakov Till (Lepsus) ➡️ ทำงานแก้ไขกว่า 95% ของโค้ด ➡️ ปรับปรุงการเชื่อมต่อ codec และ amplifier ✅ คู่มือแก้ไขสำหรับผู้ใช้ ➡️ รองรับ Linux kernel 6.17.8 และจะอัปเดตต่อไป ➡️ เสียงทำงานถูกต้องและคงอยู่แม้รีบูตเครื่อง ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การแก้ไขด้วยวิธีชุมชนอาจยังไม่เสถียรเท่าการบรรจุใน kernel อย่างเป็นทางการ ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่ชำนาญการติดตั้ง Linux kernel อาจเจอความเสี่ยงในการทำตามขั้นตอน https://www.tomshardware.com/software/linux/frustrated-users-paid-usd2-000-dollars-to-fix-lenovo-legion-speakers-not-working-properly-error-by-posting-a-bug-bounty-coder-wins-the-cash-by-fixing-complex-audio-annoyance-eliminated-in-just-a-month
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • IPv5 โปรโตคอลที่ถูกลืม

    IPv5 หรือ Internet Stream Protocol (ST) เป็นโปรโตคอลทดลองที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปลายยุค 1970 เพื่อรองรับการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์ แต่สุดท้ายถูกทิ้งไปเพราะเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแก้ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และความหน่วงได้ดีกว่า

    หลายคนคุ้นเคยกับ IPv4 และ IPv6 แต่แทบไม่รู้จัก IPv5 ซึ่งจริง ๆ แล้วคือ Internet Stream Protocol (ST) ที่ MIT Lincoln Labs พัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุค 70 เพื่อรองรับการสื่อสารแบบสตรีมมิ่ง เช่น เสียงและวิดีโอแบบเรียลไทม์ ถือเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น เพราะเปรียบเสมือน “Zoom ก่อน Zoom” แต่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้านกลาโหมเป็นหลัก

    จุดเริ่มต้นของ VoIP
    IPv5 ถูกนำไปทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP) เพื่อสร้างฮาร์ดแวร์โทรศัพท์ VoIP รุ่นแรก ๆ แม้จะไม่ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ก็เป็นการปูทางให้เทคโนโลยีการสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการสตรีมข้อมูลแบบต่อเนื่องสามารถทำได้จริง แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและโครงสร้างเครือข่ายในยุคนั้น

    ทำไม IPv5 ถึงไม่ถูกใช้จริง
    แม้จะมีศักยภาพ แต่ IPv5 ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐานสากล เพราะถูกมองว่าเป็น “กิ่งก้านที่ไม่จำเป็น” ของการพัฒนาอินเทอร์เน็ต เมื่อเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาในยุค 1990 ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และ latency ที่ IPv5 พยายามแก้ก็หมดความสำคัญไป ทำให้โลกอินเทอร์เน็ตข้ามจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 โดยตรง

    บทเรียนจาก IPv5
    เรื่องราวของ IPv5 สะท้อนให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกการทดลองจะกลายเป็นมาตรฐาน แต่ก็มีคุณค่าในฐานะ “รากฐาน” ของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น VoIP และการสตรีมมิ่งที่เราใช้กันทุกวันนี้ หากไม่มีการทดลองเหล่านี้ อินเทอร์เน็ตอาจไม่ได้พัฒนาไปในทิศทางที่เราคุ้นเคย

    สรุปสาระสำคัญ
    IPv5 คือ Internet Stream Protocol (ST)
    พัฒนาขึ้นในปลายยุค 70 โดย MIT Lincoln Labs
    ออกแบบมาเพื่อการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์

    จุดเริ่มต้นของ VoIP
    ใช้ทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP)
    เป็นพื้นฐานให้การสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต

    เหตุผลที่ไม่ถูกใช้จริง
    ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐาน
    เทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแทนที่และแก้ปัญหาได้ดีกว่า

    บทเรียนจาก IPv5
    แม้ไม่ถูกใช้งานจริง แต่เป็นแรงบันดาลใจให้เทคโนโลยีสตรีมมิ่งและ VoIP

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การพัฒนาโปรโตคอลใหม่ที่ไม่ถูกยอมรับอาจทำให้เกิดความสับสนในระบบเครือข่าย
    การพึ่งพาเทคโนโลยีที่ไม่เป็นมาตรฐานอาจเสี่ยงต่อความเข้ากันได้และความปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/networking/ipv5-and-the-internet-stream-protocol-a-data-streaming-experiment-rendered-unnecessary-by-broadband
    🌐 IPv5 โปรโตคอลที่ถูกลืม IPv5 หรือ Internet Stream Protocol (ST) เป็นโปรโตคอลทดลองที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปลายยุค 1970 เพื่อรองรับการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์ แต่สุดท้ายถูกทิ้งไปเพราะเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแก้ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และความหน่วงได้ดีกว่า หลายคนคุ้นเคยกับ IPv4 และ IPv6 แต่แทบไม่รู้จัก IPv5 ซึ่งจริง ๆ แล้วคือ Internet Stream Protocol (ST) ที่ MIT Lincoln Labs พัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุค 70 เพื่อรองรับการสื่อสารแบบสตรีมมิ่ง เช่น เสียงและวิดีโอแบบเรียลไทม์ ถือเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น เพราะเปรียบเสมือน “Zoom ก่อน Zoom” แต่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้านกลาโหมเป็นหลัก 📞 จุดเริ่มต้นของ VoIP IPv5 ถูกนำไปทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP) เพื่อสร้างฮาร์ดแวร์โทรศัพท์ VoIP รุ่นแรก ๆ แม้จะไม่ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ก็เป็นการปูทางให้เทคโนโลยีการสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการสตรีมข้อมูลแบบต่อเนื่องสามารถทำได้จริง แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านความเร็วและโครงสร้างเครือข่ายในยุคนั้น 🚀 ทำไม IPv5 ถึงไม่ถูกใช้จริง แม้จะมีศักยภาพ แต่ IPv5 ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐานสากล เพราะถูกมองว่าเป็น “กิ่งก้านที่ไม่จำเป็น” ของการพัฒนาอินเทอร์เน็ต เมื่อเทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาในยุค 1990 ปัญหาด้านแบนด์วิดท์และ latency ที่ IPv5 พยายามแก้ก็หมดความสำคัญไป ทำให้โลกอินเทอร์เน็ตข้ามจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 โดยตรง 📜 บทเรียนจาก IPv5 เรื่องราวของ IPv5 สะท้อนให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกการทดลองจะกลายเป็นมาตรฐาน แต่ก็มีคุณค่าในฐานะ “รากฐาน” ของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น VoIP และการสตรีมมิ่งที่เราใช้กันทุกวันนี้ หากไม่มีการทดลองเหล่านี้ อินเทอร์เน็ตอาจไม่ได้พัฒนาไปในทิศทางที่เราคุ้นเคย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ IPv5 คือ Internet Stream Protocol (ST) ➡️ พัฒนาขึ้นในปลายยุค 70 โดย MIT Lincoln Labs ➡️ ออกแบบมาเพื่อการสตรีมข้อมูลแบบเรียลไทม์ ✅ จุดเริ่มต้นของ VoIP ➡️ ใช้ทดลองกับ Network Voice Protocol (NVP) ➡️ เป็นพื้นฐานให้การสื่อสารเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในอนาคต ✅ เหตุผลที่ไม่ถูกใช้จริง ➡️ ไม่เคยถูกประกาศเป็นโปรโตคอลมาตรฐาน ➡️ เทคโนโลยีบรอดแบนด์เข้ามาแทนที่และแก้ปัญหาได้ดีกว่า ✅ บทเรียนจาก IPv5 ➡️ แม้ไม่ถูกใช้งานจริง แต่เป็นแรงบันดาลใจให้เทคโนโลยีสตรีมมิ่งและ VoIP ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การพัฒนาโปรโตคอลใหม่ที่ไม่ถูกยอมรับอาจทำให้เกิดความสับสนในระบบเครือข่าย ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีที่ไม่เป็นมาตรฐานอาจเสี่ยงต่อความเข้ากันได้และความปลอดภัย https://www.tomshardware.com/networking/ipv5-and-the-internet-stream-protocol-a-data-streaming-experiment-rendered-unnecessary-by-broadband
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The industry skipped from IPv4 to IPv6, leaving IPv5 and the Internet Stream Protocol to the annals of history — a data streaming experiment rendered unnecessary by broadband
    IPv5 wasn't a general purpose Internet Protocol like IPv4 or IPv6, and was never ratified as such, but it would give birth to the first VOIP hardware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก

    โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้

    การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971

    นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์
    โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน

    ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์
    แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรเจกต์ Supersized Intel 4004
    สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า
    ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971

    นิทรรศการ Enter Museum
    จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026
    ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง

    ความพิเศษของชิปใหม่
    ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz)
    ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก
    แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ

    คำเตือนด้านข้อมูล
    เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม
    การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    🎂 ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้ การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971 🏛️ นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์ โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ⚡ ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์ แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม 📜 บทเรียนจากประวัติศาสตร์ Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรเจกต์ Supersized Intel 4004 ➡️ สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า ➡️ ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971 ✅ นิทรรศการ Enter Museum ➡️ จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026 ➡️ ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง ✅ ความพิเศษของชิปใหม่ ➡️ ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz) ➡️ ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ✅ บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ➡️ แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.

    คดีจอมผีดิบ

    การระบาดลึกลับในกรุงเทพ

    เหตุการณ์ไม่ปกติในโรงพยาบาล

    ร.ต.อ.สิงห์ได้รับแจ้งเหตุการณ์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลหลายแห่ง
    มีผู้ป่วยแสดงอาการแปลกๆ คล้าย"ผีดิบ" แต่เป็นทางการแพทย์

    ```mermaid
    graph TB
    A[ผู้ป่วยมีอาการ<br>ดุร้ายผิดมนุษย์] --> B[ตรวจพบ<br>ปรสิตในเลือด]
    B --> C[ติดต่อผ่าน<br>การสัมผัสเลือด]
    C --> D[ควบคุมอาการ<br>ด้วยยาปกติไม่ได้]
    D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานชีวภาพประหลาด]
    ```

    ลักษณะของปรสิตกลายพันธุ์

    แพทย์รายงานลักษณะประหลาด:
    "มันไม่ใช่ไวรัสหรือแบคทีเรียทั่วไป...
    แต่เป็นปรสิตที่มีสติปัญญา สามารถควบคุมสมองมนุษย์ได้
    และที่สยองคือ...มันพัฒนาต้านทานต่อยาทุกชนิด!"

    การสอบสวนทางวิทยาศาสตร์

    การตามหาต้นตอ

    ร.ต.อ.สิงห์และหนูดีร่วมกับทีมแพทย์สืบสวน:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ตรวจสอบ<br>ผู้ป่วยรายแรก] --> B[ติดตามไปยัง<br>ใต้ดิน]
    B --> C[พบการทดลอง<br>ชีวภาพผิดกฎหมาย]
    C --> D[ค้นพบว่าเป็น<br>ปรสิตดัดแปลงพันธุกรรม]
    ```

    ลักษณะทางวิทยาศาสตร์

    ```python
    class MutatedParasite:
    def __init__(self):
    self.characteristics = {
    "origin": "ปรสิตดัดแปลงจากพยาธิตัวจี๊ด",
    "transmission": "ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวร่างกาย",
    "incubation": "24-48 ชั่วโมง",
    "symptoms": [
    "ผิวหนังคล้ำเหมือนศพ",
    "ตาขาวกลายเป็นสีดำ",
    "ความดุร้ายเพิ่มขึ้น 300%",
    "ความแข็งแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้น"
    ],
    "intelligence": "สามารถสื่อสารระหว่างปรสิตได้"
    }

    self.abilities = {
    "mind_control": "ควบคุมระบบประสาทส่วนกลาง",
    "rapid_mutation": "ปรับตัวต่อยาอย่างรวดเร็ว",
    "hive_mind": "เชื่อมโยงความคิดระหว่างผู้ติดเชื้อ",
    "biological_enhancement": "เพิ่มความสามารถทางกายภาพ"
    }
    ```

    วิกฤตการณ์ระบาด

    การแพร่กระจายในเมือง

    การระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ:

    · ผู้ติดเชื้อ: แสดงพฤติกรรมคล้ายซอมบี้
    · การติดต่อ: ผ่านการกัด, การสัมผัสเลือด
    · อัตราการเสียชีวิต: 90% ภายใน 1 สัปดาห์

    ความน่าสะพรึงกลัว

    ผู้ติดเชื้อมีลักษณะ:

    · ผิวหนัง: หนาขึ้นเหมือนหนังศพ
    · ดวงตา: ไม่มีอารมณ์ ม่านตาขยายเต็มที่
    · พฤติกรรม: ดุร้าย โจมตีผู้ไม่ติดเชื้อ
    · เสียง: ส่งเสียงคำราม กัดฟัน

    การค้นพบวัคซีนสมุนไพรไทย

    ความหวังจากภูมิปัญญาโบราณ

    หนูดีและทีมแพทย์ค้นพบว่า:
    "ปรสิตนี้อ่อนแอต่อสมุนไพรไทยบางชนิด...
    โดยเฉพาะสูตรยาตำรับโบราณ!"

    สูตรสมุนไพรรักษา

    ```python
    class ThaiHerbalVaccine:
    def __init__(self):
    self.herbal_components = {
    "primary": [
    "ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการแบ่งตัวของปรสิต",
    "ขมิ้นชัน: ลดการอักเสบและทำลายเซลล์ปรสิต",
    "กระเทียม: สร้างสภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่ปรสิต",
    "ว่านหางจระเข้: ซ่อมแซุเซลล์ที่เสียหาย"
    ],
    "secondary": [
    "มะระขี้นก: เพิ่มภูมิคุ้มกันเฉพาะ",
    "ตรีผลา: กำจัดพิษจากปรสิต",
    "เบญจกูล: ปรับสมดุลร่างกาย",
    "ย่านาง: ลดความดุร้ายจากปรสิต"
    ]
    }

    self.preparation = {
    "extraction": "สกัดด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิเหมาะสม",
    "combination": "ผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้อง",
    "administration": "ฉีดและรับประทานร่วมกัน",
    "dosage": "ปรับตามน้ำหนักและระดับการติดเชื้อ"
    }
    ```

    กระบวนการผลิต

    ```mermaid
    graph TB
    A[เก็บสมุนไพร<br>คุณภาพสูง] --> B[สกัดสารสำคัญ<br>ด้วยวิธีดั้งเดิม]
    B --> C[ผสมสูตร<br>ตามตำรับโบราณ]
    C --> D[ทดสอบประสิทธิภาพ<br>ในห้องปฏิบัติการ]
    D --> E[ผลิตเป็น<br>วัคซีนและยารักษา]
    ```

    การรักษาและป้องกัน

    โปรโตคอลการรักษา

    พัฒนาระบบรักษาผู้ติดเชื้อ:

    1. กักกัน: ในพื้นที่ปลอดภัย
    2. ให้ยา: สมุนไพรสูตรพิเศษ
    3. บำบัด: ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
    4. ติดตามผล: อย่างใกล้ชิด

    มาตรการป้องกัน

    สำหรับประชาชนทั่วไป:

    · วัคซีนป้องกัน: จากสมุนไพรไทย
    · การตรวจเลือด: เป็นประจำ
    · หลีกเลี่ยง: การสัมผัสเลือดผู้อื่น
    · รู้จักอาการ: เฝ้าระวังตั้งแต่เริ่มต้น

    ความร่วมมือระดับชาติ

    การระดมสรรพกำลัง

    รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ:

    ```python
    class NationalResponse:
    def __init__(self):
    self.agencies_involved = [
    "กระทรวงสาธารณสุข: นำทางการแพทย์",
    "กระทรวงกลาโหม: ควบคุมสถานการณ์",
    "มหาวิทยาลัย: วิจัยและพัฒนา",
    "องค์การเภสัชกรรม: ผลิตยา"
    ]

    self.resources_mobilized = {
    "medical": "แพทย์ พยาบาล เภสัชกร",
    "security": "ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร",
    "research": "นักวิทยาศาสตร์ นักสมุนไพรศาสตร์",
    "production": "โรงงานผลิตยา ศูนย์สกัดสมุนไพร"
    }
    ```

    การจัดการวิกฤต

    ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน:

    · สถานที่: กรมควบคุมโรค
    · หน้าที่: ประสานงานทุกหน่วยงาน
    · เป้าหมาย: ยุติการระบาดภายใน 1 เดือน

    ผลการดำเนินงาน

    ความคืบหน้าของการรักษา

    หลังใช้สมุนไพรไทย:

    ```mermaid
    graph LR
    A[สัปดาห์ที่ 1<br>ทดลองในสัตว์] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ทดลองในมนุษย์]
    B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>ผลิตจำนวนมาก]
    C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>ควบคุมการระบาดได้]
    ```

    อัตราความสำเร็จ

    · ป้องกันการติดเชื้อ: 95%
    · รักษาผู้ติดเชื้อ: 85%
    · ลดอาการดุร้าย: ภายใน 24 ชั่วโมง
    · ฟื้นตัวสมบูรณ์: 70% ภายใน 2 สัปดาห์

    ความสำเร็จที่โดดเด่น

    จุดเปลี่ยนสำคัญ

    การค้นพบที่สำคัญ:

    · ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการสื่อสารระหว่างปรสิต
    · ขมิ้นชัน: ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ปรสิต
    · สูตรรวม: สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว

    การได้รับการยอมรับ

    องค์การอนามัยโลกยกย่อง:
    "ประเทศไทยแสดงความเป็นผู้นำ...
    ในการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมแก้ไขวิกฤตสมัยใหม่"

    บทเรียนจากวิกฤต

    สำหรับวงการแพทย์

    "เราเรียนรู้ว่า...
    ยาสมัยใหม่不是คำตอบเดียว
    และภูมิปัญญาโบราณสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้"

    สำหรับสังคมไทย

    "วิกฤตนี้สอนเราให้เห็นคุณค่า...
    ของสมุนไพรไทยและความรู้ดั้งเดิม

    และแสดงให้เห็นว่า...
    เมื่อเราร่วมมือกัน เราสามารถ overcome ทุกวิกฤต"

    สำหรับอนาคต

    "การวิจัยสมุนไพรไทย...
    ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง

    เพราะในวิกฤตครั้งต่อไป...
    ความรู้เหล่านี้อาจช่วยมนุษยชาติได้อีก"

    การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

    นวัตกรรมต่อยอด

    พัฒนาจากบทเรียนนี้:

    · คลังสมุนไพรชาติ: เก็บรักษาสมุนไพรสำคัญ
    · วิจัยสูตรยา: พัฒนาต่อยอดจากตำรับโบราณ
    · ฝึกบุคลากร: นักสมุนไพรศาสตร์รุ่นใหม่

    โครงการระยะยาว

    ตั้ง สถาบันวิจัยสมุนไพรไทย:

    · วัตถุประสงค์: ศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพร
    · ความร่วมมือ: ระหว่างภาครัฐและเอกชน
    · เป้าหมาย: เป็นศูนย์กลางสมุนไพรของอาเซียน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากร.ต.อ.สิงห์:
    "วิกฤตครั้งนี้สอนเราว่า...
    บางครั้งคำตอบอยู่ใกล้ตัวเรามาก

    และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ...
    คือมรดกล้ำค่าที่เราต้องรักษาไว้"

    บทเรียนแห่งการอยู่รอด:
    "เมื่อวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณเดินควบคู่...
    ไม่มีวิกฤตใดที่มนุษย์จะ overcome ไม่ได้"

    มรดกจากวิกฤต:
    "จากผีดิบปรสิต...
    สู่การตื่นตัวเรื่องสมุนไพรไทย

    และจากความสยองขวัญ...
    สู่ความหวังใหม่แห่งการแพทย์ไทย"
    O.P.K. 🧟‍♂️ คดีจอมผีดิบ 🚨 การระบาดลึกลับในกรุงเทพ 🏥 เหตุการณ์ไม่ปกติในโรงพยาบาล ร.ต.อ.สิงห์ได้รับแจ้งเหตุการณ์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลหลายแห่ง มีผู้ป่วยแสดงอาการแปลกๆ คล้าย"ผีดิบ" แต่เป็นทางการแพทย์ ```mermaid graph TB A[ผู้ป่วยมีอาการ<br>ดุร้ายผิดมนุษย์] --> B[ตรวจพบ<br>ปรสิตในเลือด] B --> C[ติดต่อผ่าน<br>การสัมผัสเลือด] C --> D[ควบคุมอาการ<br>ด้วยยาปกติไม่ได้] D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานชีวภาพประหลาด] ``` 🧬 ลักษณะของปรสิตกลายพันธุ์ แพทย์รายงานลักษณะประหลาด: "มันไม่ใช่ไวรัสหรือแบคทีเรียทั่วไป... แต่เป็นปรสิตที่มีสติปัญญา สามารถควบคุมสมองมนุษย์ได้ และที่สยองคือ...มันพัฒนาต้านทานต่อยาทุกชนิด!" 🔬 การสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ 🕵️ การตามหาต้นตอ ร.ต.อ.สิงห์และหนูดีร่วมกับทีมแพทย์สืบสวน: ```mermaid graph LR A[ตรวจสอบ<br>ผู้ป่วยรายแรก] --> B[ติดตามไปยัง<br>ใต้ดิน] B --> C[พบการทดลอง<br>ชีวภาพผิดกฎหมาย] C --> D[ค้นพบว่าเป็น<br>ปรสิตดัดแปลงพันธุกรรม] ``` 🧪 ลักษณะทางวิทยาศาสตร์ ```python class MutatedParasite: def __init__(self): self.characteristics = { "origin": "ปรสิตดัดแปลงจากพยาธิตัวจี๊ด", "transmission": "ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวร่างกาย", "incubation": "24-48 ชั่วโมง", "symptoms": [ "ผิวหนังคล้ำเหมือนศพ", "ตาขาวกลายเป็นสีดำ", "ความดุร้ายเพิ่มขึ้น 300%", "ความแข็งแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้น" ], "intelligence": "สามารถสื่อสารระหว่างปรสิตได้" } self.abilities = { "mind_control": "ควบคุมระบบประสาทส่วนกลาง", "rapid_mutation": "ปรับตัวต่อยาอย่างรวดเร็ว", "hive_mind": "เชื่อมโยงความคิดระหว่างผู้ติดเชื้อ", "biological_enhancement": "เพิ่มความสามารถทางกายภาพ" } ``` 🚨 วิกฤตการณ์ระบาด 🏙️ การแพร่กระจายในเมือง การระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ: · ผู้ติดเชื้อ: แสดงพฤติกรรมคล้ายซอมบี้ · การติดต่อ: ผ่านการกัด, การสัมผัสเลือด · อัตราการเสียชีวิต: 90% ภายใน 1 สัปดาห์ 💀 ความน่าสะพรึงกลัว ผู้ติดเชื้อมีลักษณะ: · ผิวหนัง: หนาขึ้นเหมือนหนังศพ · ดวงตา: ไม่มีอารมณ์ ม่านตาขยายเต็มที่ · พฤติกรรม: ดุร้าย โจมตีผู้ไม่ติดเชื้อ · เสียง: ส่งเสียงคำราม กัดฟัน 🌿 การค้นพบวัคซีนสมุนไพรไทย 🔍 ความหวังจากภูมิปัญญาโบราณ หนูดีและทีมแพทย์ค้นพบว่า: "ปรสิตนี้อ่อนแอต่อสมุนไพรไทยบางชนิด... โดยเฉพาะสูตรยาตำรับโบราณ!" 💊 สูตรสมุนไพรรักษา ```python class ThaiHerbalVaccine: def __init__(self): self.herbal_components = { "primary": [ "ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการแบ่งตัวของปรสิต", "ขมิ้นชัน: ลดการอักเสบและทำลายเซลล์ปรสิต", "กระเทียม: สร้างสภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่ปรสิต", "ว่านหางจระเข้: ซ่อมแซุเซลล์ที่เสียหาย" ], "secondary": [ "มะระขี้นก: เพิ่มภูมิคุ้มกันเฉพาะ", "ตรีผลา: กำจัดพิษจากปรสิต", "เบญจกูล: ปรับสมดุลร่างกาย", "ย่านาง: ลดความดุร้ายจากปรสิต" ] } self.preparation = { "extraction": "สกัดด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิเหมาะสม", "combination": "ผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้อง", "administration": "ฉีดและรับประทานร่วมกัน", "dosage": "ปรับตามน้ำหนักและระดับการติดเชื้อ" } ``` 🧪 กระบวนการผลิต ```mermaid graph TB A[เก็บสมุนไพร<br>คุณภาพสูง] --> B[สกัดสารสำคัญ<br>ด้วยวิธีดั้งเดิม] B --> C[ผสมสูตร<br>ตามตำรับโบราณ] C --> D[ทดสอบประสิทธิภาพ<br>ในห้องปฏิบัติการ] D --> E[ผลิตเป็น<br>วัคซีนและยารักษา] ``` 🏥 การรักษาและป้องกัน 💉 โปรโตคอลการรักษา พัฒนาระบบรักษาผู้ติดเชื้อ: 1. กักกัน: ในพื้นที่ปลอดภัย 2. ให้ยา: สมุนไพรสูตรพิเศษ 3. บำบัด: ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ 4. ติดตามผล: อย่างใกล้ชิด 🛡️ มาตรการป้องกัน สำหรับประชาชนทั่วไป: · วัคซีนป้องกัน: จากสมุนไพรไทย · การตรวจเลือด: เป็นประจำ · หลีกเลี่ยง: การสัมผัสเลือดผู้อื่น · รู้จักอาการ: เฝ้าระวังตั้งแต่เริ่มต้น 🌍 ความร่วมมือระดับชาติ 🤝 การระดมสรรพกำลัง รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ: ```python class NationalResponse: def __init__(self): self.agencies_involved = [ "กระทรวงสาธารณสุข: นำทางการแพทย์", "กระทรวงกลาโหม: ควบคุมสถานการณ์", "มหาวิทยาลัย: วิจัยและพัฒนา", "องค์การเภสัชกรรม: ผลิตยา" ] self.resources_mobilized = { "medical": "แพทย์ พยาบาล เภสัชกร", "security": "ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร", "research": "นักวิทยาศาสตร์ นักสมุนไพรศาสตร์", "production": "โรงงานผลิตยา ศูนย์สกัดสมุนไพร" } ``` 📊 การจัดการวิกฤต ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน: · สถานที่: กรมควบคุมโรค · หน้าที่: ประสานงานทุกหน่วยงาน · เป้าหมาย: ยุติการระบาดภายใน 1 เดือน 🎯 ผลการดำเนินงาน 📈 ความคืบหน้าของการรักษา หลังใช้สมุนไพรไทย: ```mermaid graph LR A[สัปดาห์ที่ 1<br>ทดลองในสัตว์] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ทดลองในมนุษย์] B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>ผลิตจำนวนมาก] C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>ควบคุมการระบาดได้] ``` 💪 อัตราความสำเร็จ · ป้องกันการติดเชื้อ: 95% · รักษาผู้ติดเชื้อ: 85% · ลดอาการดุร้าย: ภายใน 24 ชั่วโมง · ฟื้นตัวสมบูรณ์: 70% ภายใน 2 สัปดาห์ 🏆 ความสำเร็จที่โดดเด่น 🌟 จุดเปลี่ยนสำคัญ การค้นพบที่สำคัญ: · ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการสื่อสารระหว่างปรสิต · ขมิ้นชัน: ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ปรสิต · สูตรรวม: สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว 🎖️ การได้รับการยอมรับ องค์การอนามัยโลกยกย่อง: "ประเทศไทยแสดงความเป็นผู้นำ... ในการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมแก้ไขวิกฤตสมัยใหม่" 📚 บทเรียนจากวิกฤต 🧠 สำหรับวงการแพทย์ "เราเรียนรู้ว่า... ยาสมัยใหม่不是คำตอบเดียว และภูมิปัญญาโบราณสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้" 💫 สำหรับสังคมไทย "วิกฤตนี้สอนเราให้เห็นคุณค่า... ของสมุนไพรไทยและความรู้ดั้งเดิม และแสดงให้เห็นว่า... เมื่อเราร่วมมือกัน เราสามารถ overcome ทุกวิกฤต" 🌿 สำหรับอนาคต "การวิจัยสมุนไพรไทย... ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง เพราะในวิกฤตครั้งต่อไป... ความรู้เหล่านี้อาจช่วยมนุษยชาติได้อีก" 🔮 การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต 💊 นวัตกรรมต่อยอด พัฒนาจากบทเรียนนี้: · คลังสมุนไพรชาติ: เก็บรักษาสมุนไพรสำคัญ · วิจัยสูตรยา: พัฒนาต่อยอดจากตำรับโบราณ · ฝึกบุคลากร: นักสมุนไพรศาสตร์รุ่นใหม่ 🌱 โครงการระยะยาว ตั้ง สถาบันวิจัยสมุนไพรไทย: · วัตถุประสงค์: ศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพร · ความร่วมมือ: ระหว่างภาครัฐและเอกชน · เป้าหมาย: เป็นศูนย์กลางสมุนไพรของอาเซียน --- คำคมสุดท้ายจากร.ต.อ.สิงห์: "วิกฤตครั้งนี้สอนเราว่า... บางครั้งคำตอบอยู่ใกล้ตัวเรามาก และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ... คือมรดกล้ำค่าที่เราต้องรักษาไว้" บทเรียนแห่งการอยู่รอด: "เมื่อวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณเดินควบคู่... ไม่มีวิกฤตใดที่มนุษย์จะ overcome ไม่ได้"🌿✨ มรดกจากวิกฤต: "จากผีดิบปรสิต... สู่การตื่นตัวเรื่องสมุนไพรไทย และจากความสยองขวัญ... สู่ความหวังใหม่แห่งการแพทย์ไทย"🏥💚
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K. เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ




    ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน
    อายุ:42 ปี
    สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน

    ```mermaid
    graph TB
    A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล]
    B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์]
    C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ]
    ```

    ความสำเร็จในวงการ

    ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ:

    · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก
    · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน
    · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่

    ชีวิตครอบครัว

    ```python
    class FamilyLife:
    def __init__(self):
    self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ"
    self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ"
    self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท"

    self.routine = {
    "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน",
    "day": "ทำงานวิจัย",
    "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน",
    "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์"
    }
    ```





    ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า:
    "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป...
    การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ"

    โครงการอสรพิษ

    ```python
    class ProjectOscrop:
    def __init__(self):
    self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ"
    self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ"
    self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี"

    self.ethical_concerns = [
    "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต",
    "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม",
    "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร",
    "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต"
    ]
    ```



    15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย]
    B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง]
    C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย]
    D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์]
    ```



    3 แรงขับเคลื่อนหลัก

    ```python
    class Motivation:
    def __init__(self):
    self.conscious_motives = {
    "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ",
    "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย",
    "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม"
    }

    self.subconscious_motives = {
    "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง",
    "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก",
    "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ"
    }
    ```

    ความขัดแย้งภายใน

    ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ:
    "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน...
    และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ

    แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน...
    และความสงสัยนั้นก็หายไป"

    การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ

    การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

    ```mermaid
    graph TB
    A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ]
    B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้]
    C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์]
    ```

    การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม

    ```python
    class PhysicalChanges:
    def __init__(self):
    self.enhancements = {
    "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า",
    "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า",
    "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง",
    "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก"
    }

    side_effects = {
    "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม",
    "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง",
    "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น",
    "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน"
    }
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน

    ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง

    ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง:

    · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ
    · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท
    · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง

    บันทึกความในใจ

    "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'...
    หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง

    แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น...
    และความอบอุ่นนั้นก็หายไป"

    ความขัดแย้งทางจริยธรรม

    การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย

    ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!"
    ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!"
    ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!"

    การตัดสินใจครั้งสำคัญ

    ```python
    class CriticalDecisions:
    def __init__(self):
    self.crossroads = [
    "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์",
    "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ",
    "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ",
    "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า"
    ]

    self.regrets = [
    "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน",
    "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา",
    "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ",
    "สร้างความเสียหายให้สังคม"
    ]
    ```



    หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?"
    ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป"
    หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..."

    ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก

    ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน
    "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด...
    น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก

    และฉันก็เข้าใจว่า...
    การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก
    就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด"

    กระบวนการบำบัด

    การรักษาด้วยสมุนไพร

    ```mermaid
    graph TB
    A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน]
    B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง]
    C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา]
    D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน]
    ```

    การกลับสู่ครอบครัว

    หลังการบำบัดบางส่วน:

    · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ
    · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์
    · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต

    บทเรียนชีวิต

    🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์
    ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม

    และการมีชีวิตที่จำกัด...
    ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า"

    การให้อภัยตัวเอง

    "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง...
    สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด

    และใช้สิ่งที่เรียนรู้...
    เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน"

    อนาคตใหม่

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่:

    · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป
    · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ
    · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป

    โครงการใหม่

    ```python
    class NewProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่",
    "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม",
    "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ",
    "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่"
    }
    ```

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ:
    "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ...
    แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์

    และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู...
    แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า

    บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า...
    การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง
    แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"

    บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์:
    "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ...
    และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์

    การเดินทางนี้สอนเราว่า...
    ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน
    ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"
    O.P.K. 🔬 เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน อายุ:42 ปี สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน ```mermaid graph TB A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล] B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์] C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ] ``` 🏆 ความสำเร็จในวงการ ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ: · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่ 💞 ชีวิตครอบครัว ```python class FamilyLife: def __init__(self): self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ" self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ" self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท" self.routine = { "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน", "day": "ทำงานวิจัย", "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน", "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์" } ``` ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า: "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป... การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ" 🧪 โครงการอสรพิษ ```python class ProjectOscrop: def __init__(self): self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ" self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ" self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี" self.ethical_concerns = [ "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต", "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม", "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร", "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต" ] ``` 15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ: ```mermaid graph LR A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย] B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง] C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย] D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์] ``` 🎯 3 แรงขับเคลื่อนหลัก ```python class Motivation: def __init__(self): self.conscious_motives = { "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ", "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย", "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม" } self.subconscious_motives = { "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง", "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก", "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ" } ``` 💔 ความขัดแย้งภายใน ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ: "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน... และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน... และความสงสัยนั้นก็หายไป" 🧟‍♂️ การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ 🔄 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ```mermaid graph TB A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ] B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้] C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์] ``` 🧬 การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ```python class PhysicalChanges: def __init__(self): self.enhancements = { "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า", "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า", "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง", "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก" } side_effects = { "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม", "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง", "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น", "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน" } ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน 🏠 ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง: · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง 📖 บันทึกความในใจ "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'... หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น... และความอบอุ่นนั้นก็หายไป" ⚖️ ความขัดแย้งทางจริยธรรม 🔥 การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!" ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!" ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!" 💔 การตัดสินใจครั้งสำคัญ ```python class CriticalDecisions: def __init__(self): self.crossroads = [ "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์", "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ", "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ", "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า" ] self.regrets = [ "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน", "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา", "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ", "สร้างความเสียหายให้สังคม" ] ``` หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?" ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป" หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..." 💫 ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด... น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก และฉันก็เข้าใจว่า... การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก 就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด" 🏥 กระบวนการบำบัด 🌿 การรักษาด้วยสมุนไพร ```mermaid graph TB A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน] B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง] C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา] D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน] ``` 💞 การกลับสู่ครอบครัว หลังการบำบัดบางส่วน: · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์ · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต 📚 บทเรียนชีวิต 🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ "ฉันเรียนรู้ว่า... ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม และการมีชีวิตที่จำกัด... ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า" 💝 การให้อภัยตัวเอง "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง... สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด และใช้สิ่งที่เรียนรู้... เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน" 🔮 อนาคตใหม่ 🎯 บทบาทใหม่ในสังคม ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่: · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป 🌟 โครงการใหม่ ```python class NewProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่", "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม", "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ", "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่" } ``` --- คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ: "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ... แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์ และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู... แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า... การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"🔬✨ บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์: "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ... และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์ การเดินทางนี้สอนเราว่า... ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่น้อยหมูทอด ระดับตำนานกว่า 30 ปี #ลาซาล #บางนา #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #eating #food #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    แม่น้อยหมูทอด 🌟ระดับตำนานกว่า 30 ปี🥰 #ลาซาล #บางนา #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #eating #food #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 5

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 5
    ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ญี่ปุ่นไปยึดเกาหลี ได้ในปี ค.ศ.1895 และตีจีนกระเจิงกลับบ้านพวกไกยิ่น ฝรั่งชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษ เริ่มหรี่ตามองญี่ปุ่น ไอ้หมอนี่ชักจะเรียนเร็วไปแล้ว แล้วอังกฤษ ก็หลอกญี่ปุ่นให้ทำสัญญามิตรภาพ เมื่อต้นปี ค.ศ.1902 เป็นสัญญาที่ดูเหมือนเอาไว้กันท่ากันชาวบ้าน และกันท่ากันเองด้วย ในสัญญาบอกว่า ญี่ปุ่นรับรู้ว่า อังกฤษมีผลประโยชน์ในจีน ส่วนอังกฤษก็รับรู้ว่า ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในจีน และในเกาหลี และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไปรบกับใคร อีกฝ่ายก็จะส่งกำลังไปช่วย
    เป็นสัญญาที่แสดงความเก๋าของอังกฤษอย่างยิ่ง อังกฤษตาไว มองไกล เห็นหน่วยก้านญี่ปุ่นแล้ว ปล่อยให้ไปอยู่ข้างอื่นไม่ได้ ต้องเอามาอยู่ใกล้ตัว อังกฤษ เตรียมพร้อมที่จะกันท่าญี่ปุ่นเรื่องจีน และพร้อมที่หลอกใช้ญี่ปุ่นด้วย
    สำหรับอังกฤษ การทำสัญญากับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์กันท่าอย่างเดียว แต่สำหรับญี่ปุ่น มันเป็นคนละเรื่องกัน ญี่ปุ่นปลาบปลื้มยิ่งนัก ญี่ปุ่นคิดว่า อังกฤษเป็นเพื่อนคนแรกของญี่ปุ่น ที่เห็นคุณค่า และความสามารถของญี่ปุ่น ที่สำคัญ เป็นเพื่อนผมทอง ตาน้ำข้าวที่ญี่ปุ่นปลื้มหนักหนา…
    ท่านที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษ คงจำกันได้ว่า ญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรบรัสเซียในปี ค.ศ.1904 แต่ก่อนจะไปรบ ญี่ปุ่นไม่มีทุน คนที่ช่วยหาทุนให้ญี่ปุ่น คือ ชาวยิวชื่อ Jacob Schiff ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kuhn Loeb & Co บริษัทการเงินใหญ่ แห่งวอลสตรีท ที่เป็นร่างทรงของ Rothschild ผู้ปกครองของรัฐบาลอังกฤษ Rothschild มีแผนจะคิดบัญชีซาร์นิโคลัส กษัตริย์ที่ปกครองรัสเซีย และยึดน้ำมันรัสเซีย จึงต้องสร้างปฏิวัติให้รัสเซียน่วมก่อน แต่ก่อนจะสร้างปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษก็ยุให้ญี่ปุ่น ที่กำลังอยากแสดงฝีมือ ให้ไปรบให้รัสเซียเซเสียก่อน และทุกอย่างก็เป็นไปแผน ญี่ปุ่นบ้ายุ ไปรบรัสเซีย จนรัสเซียแพ้ เซแซดจริงๆ
    พอจะเห็นรางๆแล้วนะครับว่า ตั้งแต่เปลี่ยนนิสัย ไม่รักสันโดษ ญี่ปุ่นดูเหมือนไม่อยู่แบบเดี่ยวๆ และทำท่าจะเกี่ยวโยงกันไปหมด
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1914 อังกฤษ เปลี่ยนนโยบายกระทันหัน จากที่เคยคิดปิดล้อมรัสเซีย ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะรัสเซียเซแซดใกล้ล้ม อังกฤษเลยเปลี่ยน จากล้อมรัสเซีย เป็นเข้าไปต้ม หรือปล้นให้รู้แล้วรู้รอด และไปล้อมเยอรมันแทน
    เมื่อไม่ต้องรบรัสเซีย อังกฤษคิดไม่ตก ในอังกฤษเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งบอก ญี่ปุ่นเป็นคู่แค้นรัสเซีย ไม่รบรัสเซีย ก็ไม่ต้องชวนญี่ปุ่นเข้าร่วมก๊วน เพราะไม่ไว้ใจว่า ถ้าบอกให้ญี่ปุ่นคอยกันกองทัพเรือเยอรมัน ในแถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นอาจจะฉวยโอกาสแย่งงับเกาะเล็ก เกาะน้อยของเยอรมันแถวแปซิฟิกไป โดยอังกฤษ หันมางับไม่ทันก็เป็นได้ เหมือนกรณีงาบเกาหลีไปจากจีน นับว่า ฝ่ายนี้มองญี่ปุ่นได้ลึกซึ้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือ หลอดวินสตัน เชอชิล บอกว่า เหลวไหล เราไม่ชวนญี่ปุ่น แปลว่า เรากลัวเขาจนตีนจิกละสิ แล้วอังกฤษก็เลยชวนญี่ปุ่นเล่นสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยกัน แปลว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กลัวญี่ปุ่นจนตีนจิกจริงๆ ฮาจริง (โว้ย)
    หลังจากออกคำชวนไปไม่ถึงสัปดาห์ ญี่ปุ่นไม่ให้เสียเวลา ส่งหนังสือถึงเยอรมัน ให้เยอรมันถอยเรือออกไปจากแปซืฟิกให้หมด เยอรมันไม่ตอบ แต่สั่งให้กองกำลังของตนที่เกาะชิงเตา Tsingtao เตรียมพร้อม วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1914 ญี่ปุ่นก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน และเคลื่อนพลไปยึดบรรดาเกาะต่างๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเยอรมันเรียบหมด
    ญี่ปุ่นดูเหมือนจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากที่กวาดเอาเกาะของเยอรมันมาหมดแล้ว ญี่ปุ่นก็พักเหนื่อย เมื่ออังกฤษขอให้ญี่ปุ่นส่งเรือมาช่วยรบที่ทะเลเมดิเตอเรเนียนกับ ทะเลบอลติก ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ
    เมื่อถูกต่อว่า ญี่ปุ่นบอกมีปัญหาภายในกองทัพแก้ไม่ตก นายทหารเรือของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จบมาจากเยอรมันทั้งนั้น แถมเยอรมันยังมาช่าวทำการฝึก การรบ การใช้อาวุธให้อีก ใครจะอยากไปรบกับครู และในญี่ปุ่นเอง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 มาแล้ว มีเสียงบ่นว่า เราน่าจะเลิกสัญญาบ้าบอที่ไปทำกับอังกฤษเสีย แล้วมาผูกสัมพันธ์กับเยอรมันดีกว่า
    เรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเอาใจออกห่างไปอยู่กับเยอรมัน มีหรือจะไม่ไปถึงหูอังกฤษ อังกฤษยังแค่ลงบัญชีไว้ ยังไม่ถึงคิดบัญชี ญี่ปุ่นก็เลยแสดงความกร่างต่อ ด้วยการยื่นข้อเสนอ 21 ข้อต่อจีน ในปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่อังกฤษกำลังวุ่นกับสงครามอยู่ในยุโรป เหมือนกับญี่ปุ่นฉวยโอกาสลองของ ก็รู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ทำกับอังกฤษว่า อังกฤษก็เล็งจีนอยู่ แบบนี้อังกฤษจะรับไหวหรือ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ก็เริ่มหวานน้อยลง
    แต่ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้สร้าง”รอย” ไว้แค่กับอังกฤษเท่านั้น
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายผู้ชนะสงคราม ได้จัดประชุมขึ้นที่ปารีส เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1919 เพื่อจัดการแบ่งสมบัติของฝ่ายผู้แพ้ ปรับค่าทำสงคราม จัดหาบ้านให้ยิว ฯลฯ และเรื่องจัดตั้ง League of Nations (LON) เพื่อจะให้เป็นหน่วยงานสากลระหว่างประเทศ (ต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ในการดูแลแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ ฯลฯ
    ในเรื่องการแบ่งสมบัติ ญี่ปุ่นคิดว่าตนเองควรจะได้บรรดาสมบัติของเยอรมันในแปซิฟิก ที่ตัวไปออกแรงยึดมา แต่กรรมการแบ่ง นำโดยอังกฤษ กลับจัดให้ครึ่งเดียว อีกครึ่งยกให้ออสเตรเลียที่ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ได้รางวัล เพราะเป็นเครือเดียวกับอังกฤษ ญี่ปุ่น เลือดขึ้นหน้า แต่น้ำตาตกใน เพิ่งสำนึกถึงสถานะจริงของตัว แหม หลงนึกว่า เขานับเราเป็นเพื่อนซี๊ แบบนี้ไม่ให้จี๋หลวมได้ยังไง
    นอกจากได้ สมบัติมาครึ่งเดียว ระหว่างที่ประชุมเรื่อง League of Nations ญี่ปุ่นเกิดข้องใจ ไปเจอข้อความในร่างข้อบังคับของ LON ที่เขียนเหมือนเป็นการหมิ่น หรือกีดกันเชื่อชาติ คิดว่าตนก็เพิ่งโดนมา จึงออกอาการ ทำการประท้วงยาวเหยียด แต่อเมริกาโดยประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในฐานะประธาน และประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่า บอกว่า แม้จะมีการออกเสียงโดยเสียงข้างมากเห็นชอบ ให้แก้ไขตามที่ญี่ปุ่นเสนอ แต่พณฯ จากประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่าญี่ปุ่น เห็นว่าการแก้ไขต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ประเด็นคะแนนเสียงเอกฉันท์นี้ เป็นความเห็นพ้อง หรือสำทับมาจากอังกฤษ อเมริกาเอง กำลังจะอ่อนให้ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เลยต้องแข็งกลับ ญี่ปุ่น ก็เลยเก็บของกลับบ้าน รีบมาหาใบบัวบกกิน แก้ช้ำใจ
    นักประวัติศาสตร์บอกว่า เรื่องที่ประชุมที่ปารีสนี้ คาใจญี่ปุ่นยิ่งนัก และเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เชื้อความรุกรานของญี่ปุ่น รุนแรงขึ้นทุกวัน ในที่สุดก็พัฒนา มาเป็นการเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 5 ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ญี่ปุ่นไปยึดเกาหลี ได้ในปี ค.ศ.1895 และตีจีนกระเจิงกลับบ้านพวกไกยิ่น ฝรั่งชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษ เริ่มหรี่ตามองญี่ปุ่น ไอ้หมอนี่ชักจะเรียนเร็วไปแล้ว แล้วอังกฤษ ก็หลอกญี่ปุ่นให้ทำสัญญามิตรภาพ เมื่อต้นปี ค.ศ.1902 เป็นสัญญาที่ดูเหมือนเอาไว้กันท่ากันชาวบ้าน และกันท่ากันเองด้วย ในสัญญาบอกว่า ญี่ปุ่นรับรู้ว่า อังกฤษมีผลประโยชน์ในจีน ส่วนอังกฤษก็รับรู้ว่า ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในจีน และในเกาหลี และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไปรบกับใคร อีกฝ่ายก็จะส่งกำลังไปช่วย เป็นสัญญาที่แสดงความเก๋าของอังกฤษอย่างยิ่ง อังกฤษตาไว มองไกล เห็นหน่วยก้านญี่ปุ่นแล้ว ปล่อยให้ไปอยู่ข้างอื่นไม่ได้ ต้องเอามาอยู่ใกล้ตัว อังกฤษ เตรียมพร้อมที่จะกันท่าญี่ปุ่นเรื่องจีน และพร้อมที่หลอกใช้ญี่ปุ่นด้วย สำหรับอังกฤษ การทำสัญญากับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์กันท่าอย่างเดียว แต่สำหรับญี่ปุ่น มันเป็นคนละเรื่องกัน ญี่ปุ่นปลาบปลื้มยิ่งนัก ญี่ปุ่นคิดว่า อังกฤษเป็นเพื่อนคนแรกของญี่ปุ่น ที่เห็นคุณค่า และความสามารถของญี่ปุ่น ที่สำคัญ เป็นเพื่อนผมทอง ตาน้ำข้าวที่ญี่ปุ่นปลื้มหนักหนา… ท่านที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษ คงจำกันได้ว่า ญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรบรัสเซียในปี ค.ศ.1904 แต่ก่อนจะไปรบ ญี่ปุ่นไม่มีทุน คนที่ช่วยหาทุนให้ญี่ปุ่น คือ ชาวยิวชื่อ Jacob Schiff ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kuhn Loeb & Co บริษัทการเงินใหญ่ แห่งวอลสตรีท ที่เป็นร่างทรงของ Rothschild ผู้ปกครองของรัฐบาลอังกฤษ Rothschild มีแผนจะคิดบัญชีซาร์นิโคลัส กษัตริย์ที่ปกครองรัสเซีย และยึดน้ำมันรัสเซีย จึงต้องสร้างปฏิวัติให้รัสเซียน่วมก่อน แต่ก่อนจะสร้างปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษก็ยุให้ญี่ปุ่น ที่กำลังอยากแสดงฝีมือ ให้ไปรบให้รัสเซียเซเสียก่อน และทุกอย่างก็เป็นไปแผน ญี่ปุ่นบ้ายุ ไปรบรัสเซีย จนรัสเซียแพ้ เซแซดจริงๆ พอจะเห็นรางๆแล้วนะครับว่า ตั้งแต่เปลี่ยนนิสัย ไม่รักสันโดษ ญี่ปุ่นดูเหมือนไม่อยู่แบบเดี่ยวๆ และทำท่าจะเกี่ยวโยงกันไปหมด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1914 อังกฤษ เปลี่ยนนโยบายกระทันหัน จากที่เคยคิดปิดล้อมรัสเซีย ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะรัสเซียเซแซดใกล้ล้ม อังกฤษเลยเปลี่ยน จากล้อมรัสเซีย เป็นเข้าไปต้ม หรือปล้นให้รู้แล้วรู้รอด และไปล้อมเยอรมันแทน เมื่อไม่ต้องรบรัสเซีย อังกฤษคิดไม่ตก ในอังกฤษเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งบอก ญี่ปุ่นเป็นคู่แค้นรัสเซีย ไม่รบรัสเซีย ก็ไม่ต้องชวนญี่ปุ่นเข้าร่วมก๊วน เพราะไม่ไว้ใจว่า ถ้าบอกให้ญี่ปุ่นคอยกันกองทัพเรือเยอรมัน ในแถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นอาจจะฉวยโอกาสแย่งงับเกาะเล็ก เกาะน้อยของเยอรมันแถวแปซิฟิกไป โดยอังกฤษ หันมางับไม่ทันก็เป็นได้ เหมือนกรณีงาบเกาหลีไปจากจีน นับว่า ฝ่ายนี้มองญี่ปุ่นได้ลึกซึ้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือ หลอดวินสตัน เชอชิล บอกว่า เหลวไหล เราไม่ชวนญี่ปุ่น แปลว่า เรากลัวเขาจนตีนจิกละสิ แล้วอังกฤษก็เลยชวนญี่ปุ่นเล่นสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยกัน แปลว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กลัวญี่ปุ่นจนตีนจิกจริงๆ ฮาจริง (โว้ย) หลังจากออกคำชวนไปไม่ถึงสัปดาห์ ญี่ปุ่นไม่ให้เสียเวลา ส่งหนังสือถึงเยอรมัน ให้เยอรมันถอยเรือออกไปจากแปซืฟิกให้หมด เยอรมันไม่ตอบ แต่สั่งให้กองกำลังของตนที่เกาะชิงเตา Tsingtao เตรียมพร้อม วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1914 ญี่ปุ่นก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน และเคลื่อนพลไปยึดบรรดาเกาะต่างๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเยอรมันเรียบหมด ญี่ปุ่นดูเหมือนจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากที่กวาดเอาเกาะของเยอรมันมาหมดแล้ว ญี่ปุ่นก็พักเหนื่อย เมื่ออังกฤษขอให้ญี่ปุ่นส่งเรือมาช่วยรบที่ทะเลเมดิเตอเรเนียนกับ ทะเลบอลติก ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ เมื่อถูกต่อว่า ญี่ปุ่นบอกมีปัญหาภายในกองทัพแก้ไม่ตก นายทหารเรือของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จบมาจากเยอรมันทั้งนั้น แถมเยอรมันยังมาช่าวทำการฝึก การรบ การใช้อาวุธให้อีก ใครจะอยากไปรบกับครู และในญี่ปุ่นเอง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 มาแล้ว มีเสียงบ่นว่า เราน่าจะเลิกสัญญาบ้าบอที่ไปทำกับอังกฤษเสีย แล้วมาผูกสัมพันธ์กับเยอรมันดีกว่า เรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเอาใจออกห่างไปอยู่กับเยอรมัน มีหรือจะไม่ไปถึงหูอังกฤษ อังกฤษยังแค่ลงบัญชีไว้ ยังไม่ถึงคิดบัญชี ญี่ปุ่นก็เลยแสดงความกร่างต่อ ด้วยการยื่นข้อเสนอ 21 ข้อต่อจีน ในปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่อังกฤษกำลังวุ่นกับสงครามอยู่ในยุโรป เหมือนกับญี่ปุ่นฉวยโอกาสลองของ ก็รู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ทำกับอังกฤษว่า อังกฤษก็เล็งจีนอยู่ แบบนี้อังกฤษจะรับไหวหรือ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ก็เริ่มหวานน้อยลง แต่ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้สร้าง”รอย” ไว้แค่กับอังกฤษเท่านั้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายผู้ชนะสงคราม ได้จัดประชุมขึ้นที่ปารีส เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1919 เพื่อจัดการแบ่งสมบัติของฝ่ายผู้แพ้ ปรับค่าทำสงคราม จัดหาบ้านให้ยิว ฯลฯ และเรื่องจัดตั้ง League of Nations (LON) เพื่อจะให้เป็นหน่วยงานสากลระหว่างประเทศ (ต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ในการดูแลแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ ฯลฯ ในเรื่องการแบ่งสมบัติ ญี่ปุ่นคิดว่าตนเองควรจะได้บรรดาสมบัติของเยอรมันในแปซิฟิก ที่ตัวไปออกแรงยึดมา แต่กรรมการแบ่ง นำโดยอังกฤษ กลับจัดให้ครึ่งเดียว อีกครึ่งยกให้ออสเตรเลียที่ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ได้รางวัล เพราะเป็นเครือเดียวกับอังกฤษ ญี่ปุ่น เลือดขึ้นหน้า แต่น้ำตาตกใน เพิ่งสำนึกถึงสถานะจริงของตัว แหม หลงนึกว่า เขานับเราเป็นเพื่อนซี๊ แบบนี้ไม่ให้จี๋หลวมได้ยังไง นอกจากได้ สมบัติมาครึ่งเดียว ระหว่างที่ประชุมเรื่อง League of Nations ญี่ปุ่นเกิดข้องใจ ไปเจอข้อความในร่างข้อบังคับของ LON ที่เขียนเหมือนเป็นการหมิ่น หรือกีดกันเชื่อชาติ คิดว่าตนก็เพิ่งโดนมา จึงออกอาการ ทำการประท้วงยาวเหยียด แต่อเมริกาโดยประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในฐานะประธาน และประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่า บอกว่า แม้จะมีการออกเสียงโดยเสียงข้างมากเห็นชอบ ให้แก้ไขตามที่ญี่ปุ่นเสนอ แต่พณฯ จากประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่าญี่ปุ่น เห็นว่าการแก้ไขต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ประเด็นคะแนนเสียงเอกฉันท์นี้ เป็นความเห็นพ้อง หรือสำทับมาจากอังกฤษ อเมริกาเอง กำลังจะอ่อนให้ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เลยต้องแข็งกลับ ญี่ปุ่น ก็เลยเก็บของกลับบ้าน รีบมาหาใบบัวบกกิน แก้ช้ำใจ นักประวัติศาสตร์บอกว่า เรื่องที่ประชุมที่ปารีสนี้ คาใจญี่ปุ่นยิ่งนัก และเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เชื้อความรุกรานของญี่ปุ่น รุนแรงขึ้นทุกวัน ในที่สุดก็พัฒนา มาเป็นการเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 3
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น
    งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย
    ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว
    ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ
    ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม
    มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว
    ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย
    ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ
    ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย
    ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง
    นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
    ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต
    #############
    ตอน 4

    วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง
    ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931
    ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน
    อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ
    ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย
    ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives…
    แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937
    ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต
    ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว
    เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด
    สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ
    ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies
    จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 3 อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต ############# ตอน 4 วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931 ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives… แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar
    #รวมข่าวIT #20251123 #TechRadar

    Apple ขยับพลังชิปจาก CPU ไปสู่ GPU และหน่วยความจำ
    Apple เริ่มต้นจากชิป M1 ที่เน้นประสิทธิภาพ CPU แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึง M4 และ M5 แนวโน้มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน — พลังงานที่เคยทุ่มให้ CPU ถูกโยกไปสู่ GPU และระบบหน่วยความจำแทน เพื่อรองรับงานหนักแบบต่อเนื่อง เช่น งานกราฟิกและ AI ที่ต้องการการประมวลผลมหาศาล การออกแบบใหม่นี้ทำให้ MacBook Pro และ iPad Pro รุ่นล่าสุดไม่ได้เน้นแค่ “ความเร็วซีพียู” อีกต่อไป แต่เน้น “ความสมดุล” ของทั้งระบบ
    https://www.techradar.com/pro/where-apple-spends-its-power-m4-max-cpu-consumes-just-48w-why-the-gpu-and-memory-system-define-the-true-cost-of-your-macbook-pro

    Ricoh GR IV กล้องคอมแพคที่ทำให้หลงรักการถ่ายภาพยาวนาน
    นักรีวิวได้ลองถ่ายภาพกว่า 1,000 รูปด้วย Ricoh GR IV และพบว่ามีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจที่สุดคือระบบกันสั่นแบบ 5 แกน ทำให้สามารถถ่ายภาพถือมือด้วยสปีดชัตเตอร์ช้าได้อย่างคมชัด เหมาะกับการสร้างเอฟเฟกต์แสงไฟลากยาวในเมือง นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นและการออกแบบที่จับถนัดมือกว่าเดิม ถึงแม้บางส่วนยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้การถ่ายภาพสนุกและสร้างสรรค์มากขึ้น
    https://www.techradar.com/cameras/compact-cameras/ive-shot-over-1-000-photos-with-the-ricoh-gr-iv-here-are-my-favorites-and-one-new-feature-stands-out

    ยุคใหม่ของ “Agentic Internet” กำลังมา
    บทความนี้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอินเทอร์เน็ต เมื่อ AI ไม่ได้แค่ช่วยเรา แต่จะ “ทำแทนเรา” เช่น การเปรียบเทียบราคา ซื้อสินค้า หรือจัดการธุรกรรมต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ธุรกิจจึงต้องเตรียมตัวออกแบบระบบที่ไม่ใช่แค่ให้คนใช้ง่าย แต่ต้องให้ “AI Agent” เข้าใจและทำงานได้ด้วย โลกออนไลน์กำลังจะเปลี่ยนจาก UX (User Experience) ไปสู่ AX (Agent Experience) อย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/pro/the-agentic-internet-is-coming-and-businesses-need-to-be-ready

    Incognito Mode จริง ๆ แล้วไม่ได้ “ลับ” อย่างที่คิด
    หลายคนเข้าใจผิดว่าเปิด Incognito Mode แล้วจะหายตัวจากโลกออนไลน์ แต่ความจริงคือมันแค่ไม่บันทึกประวัติในเครื่องเท่านั้น เว็บไซต์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่เจ้านายยังสามารถเห็นการใช้งานได้อยู่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวจริง ๆ ต้องใช้เครื่องมือเสริม เช่น VPN หรือเบราว์เซอร์ที่เน้นความปลอดภัยอย่าง Brave หรือ DuckDuckGo https://www.techradar.com/computing/browsers/is-incognito-mode-actually-private-heres-the-surprising-answer-from-cybersecurity-experts

    Google Pixel 10 ได้ฟีเจอร์คล้าย AirDrop แต่ยังตาม Apple อยู่
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้ Pixel 10 สามารถส่งไฟล์แบบไร้สายเข้ากับ iPhone ได้ คล้ายกับ AirDrop ของ Apple ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นการ “ตามรอย” มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ จุดเด่นอื่น ๆ ของ Pixel 10 คือระบบ PixelSnap ที่คล้าย MagSafe และกล้องเทเลโฟโต้ 5x ถึงอย่างนั้น Google ยังต้องหาทางสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองให้ชัดเจนกว่านี้
    https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/googles-new-airdrop-feature-is-great-for-pixel-phones-but-it-cant-chase-apples-tail-forever

    Microsoft เคยทำแท็บเล็ตก่อน Apple แต่ไม่รุ่ง
    ย้อนกลับไปในปี 2001 Microsoft เคยเปิดตัวแท็บเล็ตที่ใช้ Windows XP Tablet Edition โดยหวังว่าจะเป็นอนาคตของคอมพิวเตอร์พกพา แต่ด้วยข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ น้ำหนักที่มาก และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เหมาะกับการสัมผัส ทำให้มันไม่สามารถครองตลาดได้ สุดท้าย Apple iPad ที่เปิดตัวในปี 2010 กลับกลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมแทน
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-created-a-tablet-years-before-apple-but-it-never-took-off-heres-why

    AIOps: ใช้ AI พลิกโฉมการจัดการระบบ IT
    AIOps (Artificial Intelligence for IT Operations) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กร เพราะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากระบบ IT ได้แบบเรียลไทม์ ลดเวลาในการแก้ปัญหา และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ทำให้ทีม IT สามารถทำงานเชิงรุกมากขึ้น และลด downtime ของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    https://www.techradar.com/pro/aiops-how-companies-can-harness-ai-to-reshape-it-operations

    API ของ X (Twitter เดิม) เปลี่ยนเป็นคิดตามการใช้งาน
    แพลตฟอร์ม X ได้ปรับโมเดลการคิดค่าบริการ API ใหม่ โดยเปลี่ยนจากการคิดแบบเหมาจ่ายรายเดือน ไปเป็นการคิดตามการใช้งานจริง หวังว่าจะดึงดูดนักพัฒนาให้กลับมาใช้มากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าราคาจะสูงเกินไปสำหรับสตาร์ทอัพเล็ก ๆ และอาจทำให้บางคนเลือกหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่นแทน
    https://www.techradar.com/pro/will-xs-usage-based-api-pricing-succeed-in-winning-over-developers

    Shark PowerPro เครื่องดูดฝุ่นคุ้มค่า ใช้ง่าย
    Shark PowerPro ถูกรีวิวว่าเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะกับครัวเรือนทั่วไป ด้วยราคาที่ไม่แพงและการใช้งานที่ง่าย มีหัวดูดหลายแบบสำหรับพื้นต่าง ๆ และแรงดูดที่เพียงพอสำหรับฝุ่นในบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้หรูหราเหมือนรุ่นไฮเอนด์ แต่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานประจำวัน
    https://www.techradar.com/home/vacuums/shark-powerpro-vacuum-review

    Apple เตรียมออก MacBook ราคาประหยัดและ iPhone รุ่นถูกในปี 2026
    มีข่าวลือว่า Apple กำลังวางแผนเปิดตัว MacBook รุ่นราคาย่อมเยา และ iPhone รุ่นใหม่ที่ถูกลงในต้นปี 2026 เพื่อเจาะตลาดนักเรียนและผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์ Apple แต่มีงบจำกัด ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่กว้างขึ้น และอาจสร้างแรงกดดันให้คู่แข่งในตลาดโน้ตบุ๊กและสมาร์ทโฟนราคาประหยัด
    https://www.techradar.com/computing/macbooks/apple-rumored-to-be-releasing-its-affordable-macbook-and-another-cut-price-iphone-early-in-2026

    Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D H2C หัวฉีด 7 หัว
    Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ H2C ที่มาพร้อมหัวฉีดถึง 7 หัว ใช้ระบบ Vortek Hotend ที่สามารถสลับหัวฉีดได้อย่างรวดเร็วด้วยแม่เหล็กและความร้อนเหนี่ยวนำ จุดเด่นคือช่วยลดการสิ้นเปลืองวัสดุและเพิ่มความเร็วในการพิมพ์มากกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ยังช้ากว่าเครื่อง Prusa XL อยู่พอสมควร ราคาตั้งต้นอยู่ที่ $2,399 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ต้องรอถึงเดือนธันวาคม 2025 เนื่องจากปัญหาด้านการนำเข้า
    https://www.techradar.com/pro/sorry-us-3d-printing-fans-bambu-lab-has-a-mighty-new-seven-nozzle-printer-but-you-wont-be-able-to-get-it-anytime-soon

    Microsoft ปรับปรุง Windows 11 ลดภาพ BSOD บนจอใหญ่
    Microsoft เพิ่มโหมดใหม่ใน Windows 11 สำหรับหน้าจอสาธารณะ เช่น ป้ายดิจิทัลหรือบอร์ดแสดงผล เมื่อเกิด Blue Screen of Death (BSOD) จะโชว์เพียง 15 วินาทีแล้วดับหน้าจอ เพื่อลดความน่าอายในการใช้งาน พร้อมทั้งเพิ่มระบบกู้คืนแบบ snapshot และ Cloud Rebuild ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT กู้คืนเครื่องได้ง่ายขึ้น รวมถึงเตรียมใช้การเข้ารหัส BitLocker ที่เร็วขึ้นและรองรับการป้องกันจากการโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-hoping-to-kill-off-embarrassing-big-screen-bsod-errors-for-good

    Nano Banana Pro เติมพลังดีไซน์ให้ NotebookLM
    Google นำโมเดล AI สร้างภาพ Nano Banana Pro มาเสริมใน NotebookLM เพื่อช่วยสร้าง infographic และสไลด์ได้อย่างสวยงามและมีข้อมูลครบถ้วน ตัวอย่างที่ทดสอบคือการเล่าเรื่องตำนาน King Arthur ที่ถูกแปลงเป็นภาพและสไลด์หลากหลายสไตล์ ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงไซเบอร์พังค์ จุดเด่นคือความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องของตัวละครและการเล่าเรื่องในเชิงภาพ ทำให้การทำงานวิจัยและการนำเสนอมีความน่าสนใจมากขึ้น
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/nano-banana-pro-cast-a-design-spell-in-notebooklm-to-explore-the-legend-of-camelot

    Anthropic จับมือ Microsoft และ Nvidia ขยาย Claude บน Azure
    Anthropic ลงทุนซื้อ compute capacity บน Microsoft Azure มูลค่า $30 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการขยายโมเดล Claude ในอนาคต พร้อมได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $15 พันล้านจาก Microsoft และ Nvidia ความร่วมมือนี้ทำให้ Claude สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์ม Microsoft Foundry และ Copilot ต่าง ๆ รวมถึงใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมใหม่ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงานในระยะยาว ถือเป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ของ Anthropic ในตลาด AI ระดับโลก
    https://www.techradar.com/pro/anthropic-just-bought-usd30-billion-of-azure-cloud-capability-and-has-netted-usd15-billion-investment-from-microsoft-and-nvidia-in-return

    Xbox Full Screen Experience มาสู่ Windows 11
    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ Xbox Full Screen Experience (FSE) บน Windows 11 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องด้วยจอย Xbox ได้สะดวกขึ้น โดยมีหน้าตาแบบคอนโซล ใช้งานง่ายและจัดการเกมได้รวดเร็ว ฟีเจอร์นี้ยังช่วยปรับทรัพยากรเครื่องให้เหมาะกับการเล่นเกม สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Task View, Game Bar หรือปุ่ม Win+F11 และคาดว่าจะเป็นรากฐานของ Xbox PC รุ่นใหม่ในอนาคต
    https://www.techradar.com/computing/microsoft-is-now-testing-the-xbox-full-screen-experience-across-windows-11-pcs

    5 แอปที่ผู้เชี่ยวชาญมือถือแนะนำว่าต้องมี
    ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาร์ทโฟนแนะนำ 5 แอปที่ควรติดตั้งทั้งบน iPhone และ Android เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ได้แก่ แอปสำหรับความปลอดภัย การจัดการรหัสผ่าน แอปสุขภาพ แอปถ่ายภาพ และแอปจัดการการเงิน จุดเด่นคือช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
    https://www.techradar.com/phones/im-a-phones-expert-and-these-are-my-5-must-have-apps-for-iphone-and-android

    Microsoft เปิดตัวชิป Cobalt 200 แข่งตลาด CPU
    Microsoft เปิดตัวชิป ARM-based รุ่นใหม่ชื่อ Cobalt 200 ที่ออกแบบเองเพื่อใช้กับ Azure โดยเน้นประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ถือเป็นการเข้าสู่การแข่งขันด้าน custom silicon อย่างจริงจัง เพื่อให้บริการคลาวด์มีความเร็วและคุ้มค่ามากขึ้น พร้อมท้าชนคู่แข่งรายใหญ่ที่พัฒนาชิปเองเช่นกัน
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-unveils-its-next-generation-arm-based-cpu-cobalt-200-looks-to-unlock-even-more-azure-power

    AI ในงาน QA: ใช้อย่างไรไม่ให้เกิดหนี้ทางเทคนิค
    บทความนี้อธิบายการนำ Generative AI มาใช้ในงานทดสอบคุณภาพซอฟต์แวร์ (QA) โดยเน้นว่าถ้าใช้ไม่ระวังอาจสร้าง “หนี้ทางเทคนิค” เช่น การสร้างโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา หรือการทดสอบที่ไม่ครอบคลุม แต่หากใช้อย่างถูกต้อง AI สามารถช่วยลดเวลา เพิ่มความแม่นยำ และทำให้ทีม QA มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/ai-in-qa-how-to-use-generative-ai-in-testing-without-creating-technical-debt

    ChatGPT ช่วยให้คุณกินอาหารสุขภาพได้
    บทความนี้เล่าว่า ChatGPT สามารถช่วยผู้ใช้วางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพได้ เช่น แนะนำเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จัดตารางอาหารให้เหมาะกับเป้าหมายสุขภาพ และให้เคล็ดลับการทำอาหารที่ง่ายและดีต่อร่างกาย ถือเป็นการใช้ AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/how-chatgpt-can-help-you-eat-healthier-ai-tips-to-get-back-on-your-health-kick

    คอนโทรลเลอร์เกมที่คุณชอบที่สุดคืออะไร
    บทความนี้เปิดประเด็นสนทนาเกี่ยวกับคอนโทรลเลอร์เกมที่ผู้เล่นชื่นชอบมากที่สุด โดยยกตัวอย่างคอนโทรลเลอร์ที่เคยมีในอดีต เช่น Steam Machine Controller ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม พร้อมเชิญชวนให้ผู้อ่านแชร์ประสบการณ์และความเห็นว่าคอนโทรลเลอร์ใดที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/gaming/gaming-accessories/forget-the-weird-steam-machine-controller-tell-me-whats-your-favourite-controller-of-all-time
    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251123 #TechRadar 🖥️ Apple ขยับพลังชิปจาก CPU ไปสู่ GPU และหน่วยความจำ Apple เริ่มต้นจากชิป M1 ที่เน้นประสิทธิภาพ CPU แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึง M4 และ M5 แนวโน้มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน — พลังงานที่เคยทุ่มให้ CPU ถูกโยกไปสู่ GPU และระบบหน่วยความจำแทน เพื่อรองรับงานหนักแบบต่อเนื่อง เช่น งานกราฟิกและ AI ที่ต้องการการประมวลผลมหาศาล การออกแบบใหม่นี้ทำให้ MacBook Pro และ iPad Pro รุ่นล่าสุดไม่ได้เน้นแค่ “ความเร็วซีพียู” อีกต่อไป แต่เน้น “ความสมดุล” ของทั้งระบบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/where-apple-spends-its-power-m4-max-cpu-consumes-just-48w-why-the-gpu-and-memory-system-define-the-true-cost-of-your-macbook-pro 📸 Ricoh GR IV กล้องคอมแพคที่ทำให้หลงรักการถ่ายภาพยาวนาน นักรีวิวได้ลองถ่ายภาพกว่า 1,000 รูปด้วย Ricoh GR IV และพบว่ามีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจที่สุดคือระบบกันสั่นแบบ 5 แกน ทำให้สามารถถ่ายภาพถือมือด้วยสปีดชัตเตอร์ช้าได้อย่างคมชัด เหมาะกับการสร้างเอฟเฟกต์แสงไฟลากยาวในเมือง นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นและการออกแบบที่จับถนัดมือกว่าเดิม ถึงแม้บางส่วนยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้การถ่ายภาพสนุกและสร้างสรรค์มากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/cameras/compact-cameras/ive-shot-over-1-000-photos-with-the-ricoh-gr-iv-here-are-my-favorites-and-one-new-feature-stands-out 🌐 ยุคใหม่ของ “Agentic Internet” กำลังมา บทความนี้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอินเทอร์เน็ต เมื่อ AI ไม่ได้แค่ช่วยเรา แต่จะ “ทำแทนเรา” เช่น การเปรียบเทียบราคา ซื้อสินค้า หรือจัดการธุรกรรมต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ธุรกิจจึงต้องเตรียมตัวออกแบบระบบที่ไม่ใช่แค่ให้คนใช้ง่าย แต่ต้องให้ “AI Agent” เข้าใจและทำงานได้ด้วย โลกออนไลน์กำลังจะเปลี่ยนจาก UX (User Experience) ไปสู่ AX (Agent Experience) อย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-agentic-internet-is-coming-and-businesses-need-to-be-ready 🕵️‍♂️ Incognito Mode จริง ๆ แล้วไม่ได้ “ลับ” อย่างที่คิด หลายคนเข้าใจผิดว่าเปิด Incognito Mode แล้วจะหายตัวจากโลกออนไลน์ แต่ความจริงคือมันแค่ไม่บันทึกประวัติในเครื่องเท่านั้น เว็บไซต์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่เจ้านายยังสามารถเห็นการใช้งานได้อยู่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวจริง ๆ ต้องใช้เครื่องมือเสริม เช่น VPN หรือเบราว์เซอร์ที่เน้นความปลอดภัยอย่าง Brave หรือ DuckDuckGo 🔗 https://www.techradar.com/computing/browsers/is-incognito-mode-actually-private-heres-the-surprising-answer-from-cybersecurity-experts 📱 Google Pixel 10 ได้ฟีเจอร์คล้าย AirDrop แต่ยังตาม Apple อยู่ Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้ Pixel 10 สามารถส่งไฟล์แบบไร้สายเข้ากับ iPhone ได้ คล้ายกับ AirDrop ของ Apple ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นการ “ตามรอย” มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ จุดเด่นอื่น ๆ ของ Pixel 10 คือระบบ PixelSnap ที่คล้าย MagSafe และกล้องเทเลโฟโต้ 5x ถึงอย่างนั้น Google ยังต้องหาทางสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองให้ชัดเจนกว่านี้ 🔗 https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/googles-new-airdrop-feature-is-great-for-pixel-phones-but-it-cant-chase-apples-tail-forever 📱 Microsoft เคยทำแท็บเล็ตก่อน Apple แต่ไม่รุ่ง ย้อนกลับไปในปี 2001 Microsoft เคยเปิดตัวแท็บเล็ตที่ใช้ Windows XP Tablet Edition โดยหวังว่าจะเป็นอนาคตของคอมพิวเตอร์พกพา แต่ด้วยข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ น้ำหนักที่มาก และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เหมาะกับการสัมผัส ทำให้มันไม่สามารถครองตลาดได้ สุดท้าย Apple iPad ที่เปิดตัวในปี 2010 กลับกลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมแทน 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-created-a-tablet-years-before-apple-but-it-never-took-off-heres-why 🤖 AIOps: ใช้ AI พลิกโฉมการจัดการระบบ IT AIOps (Artificial Intelligence for IT Operations) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กร เพราะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากระบบ IT ได้แบบเรียลไทม์ ลดเวลาในการแก้ปัญหา และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ทำให้ทีม IT สามารถทำงานเชิงรุกมากขึ้น และลด downtime ของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔗 https://www.techradar.com/pro/aiops-how-companies-can-harness-ai-to-reshape-it-operations 💻 API ของ X (Twitter เดิม) เปลี่ยนเป็นคิดตามการใช้งาน แพลตฟอร์ม X ได้ปรับโมเดลการคิดค่าบริการ API ใหม่ โดยเปลี่ยนจากการคิดแบบเหมาจ่ายรายเดือน ไปเป็นการคิดตามการใช้งานจริง หวังว่าจะดึงดูดนักพัฒนาให้กลับมาใช้มากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าราคาจะสูงเกินไปสำหรับสตาร์ทอัพเล็ก ๆ และอาจทำให้บางคนเลือกหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่นแทน 🔗 https://www.techradar.com/pro/will-xs-usage-based-api-pricing-succeed-in-winning-over-developers 🧹 Shark PowerPro เครื่องดูดฝุ่นคุ้มค่า ใช้ง่าย Shark PowerPro ถูกรีวิวว่าเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะกับครัวเรือนทั่วไป ด้วยราคาที่ไม่แพงและการใช้งานที่ง่าย มีหัวดูดหลายแบบสำหรับพื้นต่าง ๆ และแรงดูดที่เพียงพอสำหรับฝุ่นในบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้หรูหราเหมือนรุ่นไฮเอนด์ แต่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานประจำวัน 🔗 https://www.techradar.com/home/vacuums/shark-powerpro-vacuum-review 💸 Apple เตรียมออก MacBook ราคาประหยัดและ iPhone รุ่นถูกในปี 2026 มีข่าวลือว่า Apple กำลังวางแผนเปิดตัว MacBook รุ่นราคาย่อมเยา และ iPhone รุ่นใหม่ที่ถูกลงในต้นปี 2026 เพื่อเจาะตลาดนักเรียนและผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์ Apple แต่มีงบจำกัด ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่กว้างขึ้น และอาจสร้างแรงกดดันให้คู่แข่งในตลาดโน้ตบุ๊กและสมาร์ทโฟนราคาประหยัด 🔗 https://www.techradar.com/computing/macbooks/apple-rumored-to-be-releasing-its-affordable-macbook-and-another-cut-price-iphone-early-in-2026 🖨️ Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D H2C หัวฉีด 7 หัว Bambu Lab เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ H2C ที่มาพร้อมหัวฉีดถึง 7 หัว ใช้ระบบ Vortek Hotend ที่สามารถสลับหัวฉีดได้อย่างรวดเร็วด้วยแม่เหล็กและความร้อนเหนี่ยวนำ จุดเด่นคือช่วยลดการสิ้นเปลืองวัสดุและเพิ่มความเร็วในการพิมพ์มากกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ยังช้ากว่าเครื่อง Prusa XL อยู่พอสมควร ราคาตั้งต้นอยู่ที่ $2,399 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ต้องรอถึงเดือนธันวาคม 2025 เนื่องจากปัญหาด้านการนำเข้า 🔗 https://www.techradar.com/pro/sorry-us-3d-printing-fans-bambu-lab-has-a-mighty-new-seven-nozzle-printer-but-you-wont-be-able-to-get-it-anytime-soon 💻 Microsoft ปรับปรุง Windows 11 ลดภาพ BSOD บนจอใหญ่ Microsoft เพิ่มโหมดใหม่ใน Windows 11 สำหรับหน้าจอสาธารณะ เช่น ป้ายดิจิทัลหรือบอร์ดแสดงผล เมื่อเกิด Blue Screen of Death (BSOD) จะโชว์เพียง 15 วินาทีแล้วดับหน้าจอ เพื่อลดความน่าอายในการใช้งาน พร้อมทั้งเพิ่มระบบกู้คืนแบบ snapshot และ Cloud Rebuild ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT กู้คืนเครื่องได้ง่ายขึ้น รวมถึงเตรียมใช้การเข้ารหัส BitLocker ที่เร็วขึ้นและรองรับการป้องกันจากการโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-hoping-to-kill-off-embarrassing-big-screen-bsod-errors-for-good 🎨 Nano Banana Pro เติมพลังดีไซน์ให้ NotebookLM Google นำโมเดล AI สร้างภาพ Nano Banana Pro มาเสริมใน NotebookLM เพื่อช่วยสร้าง infographic และสไลด์ได้อย่างสวยงามและมีข้อมูลครบถ้วน ตัวอย่างที่ทดสอบคือการเล่าเรื่องตำนาน King Arthur ที่ถูกแปลงเป็นภาพและสไลด์หลากหลายสไตล์ ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงไซเบอร์พังค์ จุดเด่นคือความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องของตัวละครและการเล่าเรื่องในเชิงภาพ ทำให้การทำงานวิจัยและการนำเสนอมีความน่าสนใจมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/nano-banana-pro-cast-a-design-spell-in-notebooklm-to-explore-the-legend-of-camelot ☁️ Anthropic จับมือ Microsoft และ Nvidia ขยาย Claude บน Azure Anthropic ลงทุนซื้อ compute capacity บน Microsoft Azure มูลค่า $30 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการขยายโมเดล Claude ในอนาคต พร้อมได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $15 พันล้านจาก Microsoft และ Nvidia ความร่วมมือนี้ทำให้ Claude สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์ม Microsoft Foundry และ Copilot ต่าง ๆ รวมถึงใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมใหม่ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงานในระยะยาว ถือเป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ของ Anthropic ในตลาด AI ระดับโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/anthropic-just-bought-usd30-billion-of-azure-cloud-capability-and-has-netted-usd15-billion-investment-from-microsoft-and-nvidia-in-return 🎮 Xbox Full Screen Experience มาสู่ Windows 11 Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ Xbox Full Screen Experience (FSE) บน Windows 11 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องด้วยจอย Xbox ได้สะดวกขึ้น โดยมีหน้าตาแบบคอนโซล ใช้งานง่ายและจัดการเกมได้รวดเร็ว ฟีเจอร์นี้ยังช่วยปรับทรัพยากรเครื่องให้เหมาะกับการเล่นเกม สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Task View, Game Bar หรือปุ่ม Win+F11 และคาดว่าจะเป็นรากฐานของ Xbox PC รุ่นใหม่ในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/computing/microsoft-is-now-testing-the-xbox-full-screen-experience-across-windows-11-pcs 📱 5 แอปที่ผู้เชี่ยวชาญมือถือแนะนำว่าต้องมี ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาร์ทโฟนแนะนำ 5 แอปที่ควรติดตั้งทั้งบน iPhone และ Android เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ได้แก่ แอปสำหรับความปลอดภัย การจัดการรหัสผ่าน แอปสุขภาพ แอปถ่ายภาพ และแอปจัดการการเงิน จุดเด่นคือช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น  🔗 https://www.techradar.com/phones/im-a-phones-expert-and-these-are-my-5-must-have-apps-for-iphone-and-android 🔋 Microsoft เปิดตัวชิป Cobalt 200 แข่งตลาด CPU Microsoft เปิดตัวชิป ARM-based รุ่นใหม่ชื่อ Cobalt 200 ที่ออกแบบเองเพื่อใช้กับ Azure โดยเน้นประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ถือเป็นการเข้าสู่การแข่งขันด้าน custom silicon อย่างจริงจัง เพื่อให้บริการคลาวด์มีความเร็วและคุ้มค่ามากขึ้น พร้อมท้าชนคู่แข่งรายใหญ่ที่พัฒนาชิปเองเช่นกัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-unveils-its-next-generation-arm-based-cpu-cobalt-200-looks-to-unlock-even-more-azure-power 🤖 AI ในงาน QA: ใช้อย่างไรไม่ให้เกิดหนี้ทางเทคนิค บทความนี้อธิบายการนำ Generative AI มาใช้ในงานทดสอบคุณภาพซอฟต์แวร์ (QA) โดยเน้นว่าถ้าใช้ไม่ระวังอาจสร้าง “หนี้ทางเทคนิค” เช่น การสร้างโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา หรือการทดสอบที่ไม่ครอบคลุม แต่หากใช้อย่างถูกต้อง AI สามารถช่วยลดเวลา เพิ่มความแม่นยำ และทำให้ทีม QA มีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/ai-in-qa-how-to-use-generative-ai-in-testing-without-creating-technical-debt 🥗 ChatGPT ช่วยให้คุณกินอาหารสุขภาพได้ บทความนี้เล่าว่า ChatGPT สามารถช่วยผู้ใช้วางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพได้ เช่น แนะนำเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จัดตารางอาหารให้เหมาะกับเป้าหมายสุขภาพ และให้เคล็ดลับการทำอาหารที่ง่ายและดีต่อร่างกาย ถือเป็นการใช้ AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/how-chatgpt-can-help-you-eat-healthier-ai-tips-to-get-back-on-your-health-kick 🎮 คอนโทรลเลอร์เกมที่คุณชอบที่สุดคืออะไร บทความนี้เปิดประเด็นสนทนาเกี่ยวกับคอนโทรลเลอร์เกมที่ผู้เล่นชื่นชอบมากที่สุด โดยยกตัวอย่างคอนโทรลเลอร์ที่เคยมีในอดีต เช่น Steam Machine Controller ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม พร้อมเชิญชวนให้ผู้อ่านแชร์ประสบการณ์และความเห็นว่าคอนโทรลเลอร์ใดที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/gaming/gaming-accessories/forget-the-weird-steam-machine-controller-tell-me-whats-your-favourite-controller-of-all-time
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ประกาศเปลี่ยน FidelityFX Super Resolution (FSR) ให้เหลือเพียง “FSR”

    AMD ยืนยันว่าแบรนด์ FidelityFX Super Resolution จะถูกยกเลิก และใช้ชื่อสั้น ๆ ว่า FSR แทน แม้ชื่อเดิมจะมีความหมายชัดเจน แต่การเปลี่ยนครั้งนี้สะท้อนว่า FSR ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การ “อัปสเกลภาพ” อีกต่อไป แต่จะครอบคลุมหลายเทคโนโลยีกราฟิก

    Fluid Motion Frames → FSR Frame Generation
    เทคโนโลยี FMF (Fluid Motion Frames) ที่เคยใช้ในการสร้างเฟรมเสมือนเพื่อเพิ่มความลื่นไหล ถูกรีแบรนด์ใหม่เป็น FSR Frame Generation เพื่อรวมเข้ากับชุด FSR Redstone ทำให้ผู้ใช้เข้าใจง่ายขึ้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของ FSR ecosystem

    เทคโนโลยีใหม่ใน FSR Redstone
    AMD เปิดเผยว่า FSR Redstone จะมี 4 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่
    FSR 4 Upscaling – รุ่นใหม่ของการอัปสเกลภาพ
    FSR Ray Regeneration – คู่แข่งของ Nvidia DLSS Ray Reconstruction
    FSR Frame Generation – การสร้างเฟรมเสมือน (เดิม FMF)
    FSR Radiance Caching – ใช้ AI คำนวณการสะท้อนและการกระจายแสง

    ความหมายต่ออนาคตเกมกราฟิก
    การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่า AMD ต้องการสร้างแบรนด์ FSR ให้เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีกราฟิกทั้งหมด ไม่ใช่แค่การอัปสเกลภาพ แต่รวมถึงการเรนเดอร์แสง เฟรม และการใช้ AI เพื่อยกระดับคุณภาพภาพในเกมยุคใหม่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปลี่ยนชื่อแบรนด์
    FidelityFX Super Resolution → FSR
    ลดความยาวชื่อและรวมเทคโนโลยี

    การรีแบรนด์ FMF
    Fluid Motion Frames → FSR Frame Generation
    รวมเข้ากับ FSR Redstone

    เทคโนโลยีใน FSR Redstone
    FSR 4 Upscaling
    FSR Ray Regeneration
    FSR Frame Generation
    FSR Radiance Caching

    ความหมายต่ออนาคต
    FSR กลายเป็นแบรนด์หลักของ AMD ด้านกราฟิก
    แข่งตรงกับ Nvidia DLSS และเทคโนโลยีเรนเดอร์ AI

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนชื่ออาจทำให้ผู้ใช้สับสนว่า FSR หมายถึงอะไร
    คุณภาพของ FSR ยังถูกวิจารณ์ว่า “ด้อยกว่า DLSS” ในบางเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-ditches-fidelityfx-in-favor-of-apparently-meaningless-fsr-branding-fluid-motion-frames-also-renamed-to-fmf
    🥱 AMD ประกาศเปลี่ยน FidelityFX Super Resolution (FSR) ให้เหลือเพียง “FSR” AMD ยืนยันว่าแบรนด์ FidelityFX Super Resolution จะถูกยกเลิก และใช้ชื่อสั้น ๆ ว่า FSR แทน แม้ชื่อเดิมจะมีความหมายชัดเจน แต่การเปลี่ยนครั้งนี้สะท้อนว่า FSR ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การ “อัปสเกลภาพ” อีกต่อไป แต่จะครอบคลุมหลายเทคโนโลยีกราฟิก 🎮 Fluid Motion Frames → FSR Frame Generation เทคโนโลยี FMF (Fluid Motion Frames) ที่เคยใช้ในการสร้างเฟรมเสมือนเพื่อเพิ่มความลื่นไหล ถูกรีแบรนด์ใหม่เป็น FSR Frame Generation เพื่อรวมเข้ากับชุด FSR Redstone ทำให้ผู้ใช้เข้าใจง่ายขึ้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของ FSR ecosystem ⚡ เทคโนโลยีใหม่ใน FSR Redstone AMD เปิดเผยว่า FSR Redstone จะมี 4 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 🎗️ FSR 4 Upscaling – รุ่นใหม่ของการอัปสเกลภาพ 🎗️ FSR Ray Regeneration – คู่แข่งของ Nvidia DLSS Ray Reconstruction 🎗️ FSR Frame Generation – การสร้างเฟรมเสมือน (เดิม FMF) 🎗️ FSR Radiance Caching – ใช้ AI คำนวณการสะท้อนและการกระจายแสง 🔮 ความหมายต่ออนาคตเกมกราฟิก การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่า AMD ต้องการสร้างแบรนด์ FSR ให้เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีกราฟิกทั้งหมด ไม่ใช่แค่การอัปสเกลภาพ แต่รวมถึงการเรนเดอร์แสง เฟรม และการใช้ AI เพื่อยกระดับคุณภาพภาพในเกมยุคใหม่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปลี่ยนชื่อแบรนด์ ➡️ FidelityFX Super Resolution → FSR ➡️ ลดความยาวชื่อและรวมเทคโนโลยี ✅ การรีแบรนด์ FMF ➡️ Fluid Motion Frames → FSR Frame Generation ➡️ รวมเข้ากับ FSR Redstone ✅ เทคโนโลยีใน FSR Redstone ➡️ FSR 4 Upscaling ➡️ FSR Ray Regeneration ➡️ FSR Frame Generation ➡️ FSR Radiance Caching ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ FSR กลายเป็นแบรนด์หลักของ AMD ด้านกราฟิก ➡️ แข่งตรงกับ Nvidia DLSS และเทคโนโลยีเรนเดอร์ AI ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนชื่ออาจทำให้ผู้ใช้สับสนว่า FSR หมายถึงอะไร ⛔ คุณภาพของ FSR ยังถูกวิจารณ์ว่า “ด้อยกว่า DLSS” ในบางเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-ditches-fidelityfx-in-favor-of-apparently-meaningless-fsr-branding-fluid-motion-frames-also-renamed-to-fmf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • Steam Machine รุ่นใหม่: เน้นการปรับแต่ง

    Valve เปิดตัว Steam Machine พร้อมฟีเจอร์ faceplate ที่ถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาเครื่องได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นสกินไม้คลาสสิกหรือหน้าจอ e-ink ที่แสดงข้อมูลพิเศษ นี่ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับเครื่องเกมของตนเอง

    Companion Cube จาก Portal
    หนึ่งในสกินที่สร้างกระแสคือ Companion Cube จากเกม Portal ที่ Dbrand นำมาออกแบบเป็นสกินเต็มรูปแบบ พร้อมลายหัวใจรอบด้าน ทำให้ Steam Machine ดูเหมือนกล่องในตำนานของแฟนเกม Valve ถือเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกของเกมกับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่

    หน้ากาก dot-matrix และ e-ink
    Jsaux Gaming ได้โชว์ต้นแบบหน้ากากที่ใช้ dot-matrix และ e-ink display ซึ่งสามารถแสดงข้อความหรือภาพแบบเรียบง่ายได้ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนหน้ากากเหล่านี้เอง และ Valve ยังประกาศว่าจะปล่อย ไฟล์ดีไซน์สำหรับ 3D printer เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างหน้ากากในแบบของตัวเอง

    ความยืดหยุ่นทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    Steam Machine ไม่ได้จำกัดแค่การปรับแต่งภายนอก แต่ยังรองรับการอัปเกรด SSD M.2 2280 และ RAM SODIMM รวมถึงสามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการอื่นได้ตามต้องการ ทำให้เครื่องนี้ไม่เพียงเป็นคอนโซลเกม แต่ยังเป็นพีซีที่ปรับแต่งได้เต็มรูปแบบ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ฟีเจอร์ใหม่ของ Steam Machine
    Faceplate ถอดเปลี่ยนได้
    Valve ปล่อยไฟล์ 3D สำหรับการออกแบบเอง

    Companion Cube Skin
    Dbrand ออกแบบสกิน Portal Companion Cube
    กลายเป็นกระแสในหมู่แฟนเกม Valve

    หน้ากาก dot-matrix และ e-ink
    Jsaux Gaming โชว์ต้นแบบหน้ากากแสดงข้อความ/ภาพ
    เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สร้างดีไซน์เอง

    ความยืดหยุ่นของฮาร์ดแวร์
    รองรับ SSD M.2 2280 และ RAM SODIMM
    สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการอื่นได้

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    Valve ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย
    การอัปเกรด RAM ต้องถอดชิ้นส่วนหลายขั้นตอน

    https://www.tomshardware.com/desktops/gaming-pcs/steam-machine-can-transform-into-portal-companion-cube-with-custom-skin-dot-matrix-and-e-ink-faceplates-will-also-be-available
    🎮 Steam Machine รุ่นใหม่: เน้นการปรับแต่ง Valve เปิดตัว Steam Machine พร้อมฟีเจอร์ faceplate ที่ถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาเครื่องได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นสกินไม้คลาสสิกหรือหน้าจอ e-ink ที่แสดงข้อมูลพิเศษ นี่ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับเครื่องเกมของตนเอง 🧊 Companion Cube จาก Portal หนึ่งในสกินที่สร้างกระแสคือ Companion Cube จากเกม Portal ที่ Dbrand นำมาออกแบบเป็นสกินเต็มรูปแบบ พร้อมลายหัวใจรอบด้าน ทำให้ Steam Machine ดูเหมือนกล่องในตำนานของแฟนเกม Valve ถือเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกของเกมกับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ 📟 หน้ากาก dot-matrix และ e-ink Jsaux Gaming ได้โชว์ต้นแบบหน้ากากที่ใช้ dot-matrix และ e-ink display ซึ่งสามารถแสดงข้อความหรือภาพแบบเรียบง่ายได้ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนหน้ากากเหล่านี้เอง และ Valve ยังประกาศว่าจะปล่อย ไฟล์ดีไซน์สำหรับ 3D printer เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างหน้ากากในแบบของตัวเอง ⚡ ความยืดหยุ่นทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ Steam Machine ไม่ได้จำกัดแค่การปรับแต่งภายนอก แต่ยังรองรับการอัปเกรด SSD M.2 2280 และ RAM SODIMM รวมถึงสามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการอื่นได้ตามต้องการ ทำให้เครื่องนี้ไม่เพียงเป็นคอนโซลเกม แต่ยังเป็นพีซีที่ปรับแต่งได้เต็มรูปแบบ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Steam Machine ➡️ Faceplate ถอดเปลี่ยนได้ ➡️ Valve ปล่อยไฟล์ 3D สำหรับการออกแบบเอง ✅ Companion Cube Skin ➡️ Dbrand ออกแบบสกิน Portal Companion Cube ➡️ กลายเป็นกระแสในหมู่แฟนเกม Valve ✅ หน้ากาก dot-matrix และ e-ink ➡️ Jsaux Gaming โชว์ต้นแบบหน้ากากแสดงข้อความ/ภาพ ➡️ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สร้างดีไซน์เอง ✅ ความยืดหยุ่นของฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ SSD M.2 2280 และ RAM SODIMM ➡️ สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการอื่นได้ ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ Valve ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย ⛔ การอัปเกรด RAM ต้องถอดชิ้นส่วนหลายขั้นตอน https://www.tomshardware.com/desktops/gaming-pcs/steam-machine-can-transform-into-portal-companion-cube-with-custom-skin-dot-matrix-and-e-ink-faceplates-will-also-be-available
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ Panther Lake ในปี 2026

    จากข้อมูลที่หลุดออกมา ซีพียู Core Ultra 3 Panther Lake-H รุ่นทดสอบนี้มีการจัดเรียงคอร์แบบ 2 P-cores + 4 E-cores + 4 LP-E cores รวมทั้งหมด 10 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 12MB และ L2 ขนาด 11MB ความเร็วพื้นฐานอยู่ที่ 3.0 GHz และบูสต์ได้สูงสุด 3.2 GHz โดยใช้พลังงาน PL1 25W, PL2 65W และ PL3 140W ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นชิปสำหรับโน้ตบุ๊กที่เน้นสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน

    กราฟิก Xe3 รุ่นใหม่
    ชิปนี้มาพร้อม 4 Xe3 GPU cores ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นสำหรับการเล่นเกมหรือการใช้งานกราฟิกเบื้องต้น Panther Lake รุ่นสูงกว่าจะมีมากถึง 12 Xe3 GPU cores ซึ่งคาดว่าจะให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้น เช่น RTX 3050 Laptop

    ผลทดสอบเบื้องต้น
    ผลทดสอบจาก CPU-Z และ PassMark ที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิภาพ CPU ยังไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับ Arrow Lake รุ่นก่อนหน้า แต่เนื่องจากเป็นชิปทดสอบ (A0 stepping) จึงยังไม่สะท้อนศักยภาพเต็มที่ ส่วนกราฟิก Xe3 แม้ยังไม่เสถียร แต่มีแนวโน้มว่าจะเป็นจุดขายหลักของ Panther Lake

    การเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    Intel ยืนยันแล้วว่าจะเปิดตัว Panther Lake CPUs อย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 วันที่ 5 มกราคม โดยใช้กระบวนการผลิตใหม่ Intel 18A node พร้อมสถาปัตยกรรม P-core และ E-core รุ่นปรับปรุง รวมถึง NPU รุ่นที่ 5 สำหรับงาน AI

    สรุปเป็นหัวข้อ
    สเปกที่รั่วไหล
    10 คอร์ (2P + 4E + 4LP-E)
    RAM LPDDR5X 16GB ความเร็ว 7467 MHz

    กราฟิก Xe3
    รุ่น Core Ultra 3 มี 4 Xe3 GPU cores
    รุ่นสูงสุดมี 12 Xe3 GPU cores สำหรับงานกราฟิกหนัก

    ผลทดสอบเบื้องต้น
    CPU ยังตามหลัง Arrow Lake เล็กน้อย
    iGPU มีศักยภาพใกล้เคียง RTX 3050 Laptop

    การเปิดตัว
    CES 2026 วันที่ 5 มกราคม
    ใช้กระบวนการผลิต Intel 18A node และ NPU รุ่นที่ 5

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-upcoming-panther-lake-cpus-tested-ahead-of-launch-alleged-core-ultra-3-sku-with-10-cores-and-16gb-ram-surfaces-in-leaks
    🖥️ Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ Panther Lake ในปี 2026 จากข้อมูลที่หลุดออกมา ซีพียู Core Ultra 3 Panther Lake-H รุ่นทดสอบนี้มีการจัดเรียงคอร์แบบ 2 P-cores + 4 E-cores + 4 LP-E cores รวมทั้งหมด 10 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 12MB และ L2 ขนาด 11MB ความเร็วพื้นฐานอยู่ที่ 3.0 GHz และบูสต์ได้สูงสุด 3.2 GHz โดยใช้พลังงาน PL1 25W, PL2 65W และ PL3 140W ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นชิปสำหรับโน้ตบุ๊กที่เน้นสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน 🎮 กราฟิก Xe3 รุ่นใหม่ ชิปนี้มาพร้อม 4 Xe3 GPU cores ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นสำหรับการเล่นเกมหรือการใช้งานกราฟิกเบื้องต้น Panther Lake รุ่นสูงกว่าจะมีมากถึง 12 Xe3 GPU cores ซึ่งคาดว่าจะให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้น เช่น RTX 3050 Laptop ⚡ ผลทดสอบเบื้องต้น ผลทดสอบจาก CPU-Z และ PassMark ที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิภาพ CPU ยังไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับ Arrow Lake รุ่นก่อนหน้า แต่เนื่องจากเป็นชิปทดสอบ (A0 stepping) จึงยังไม่สะท้อนศักยภาพเต็มที่ ส่วนกราฟิก Xe3 แม้ยังไม่เสถียร แต่มีแนวโน้มว่าจะเป็นจุดขายหลักของ Panther Lake 🌐 การเปิดตัวอย่างเป็นทางการ Intel ยืนยันแล้วว่าจะเปิดตัว Panther Lake CPUs อย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 วันที่ 5 มกราคม โดยใช้กระบวนการผลิตใหม่ Intel 18A node พร้อมสถาปัตยกรรม P-core และ E-core รุ่นปรับปรุง รวมถึง NPU รุ่นที่ 5 สำหรับงาน AI 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ สเปกที่รั่วไหล ➡️ 10 คอร์ (2P + 4E + 4LP-E) ➡️ RAM LPDDR5X 16GB ความเร็ว 7467 MHz ✅ กราฟิก Xe3 ➡️ รุ่น Core Ultra 3 มี 4 Xe3 GPU cores ➡️ รุ่นสูงสุดมี 12 Xe3 GPU cores สำหรับงานกราฟิกหนัก ✅ ผลทดสอบเบื้องต้น ➡️ CPU ยังตามหลัง Arrow Lake เล็กน้อย ➡️ iGPU มีศักยภาพใกล้เคียง RTX 3050 Laptop ✅ การเปิดตัว ➡️ CES 2026 วันที่ 5 มกราคม ➡️ ใช้กระบวนการผลิต Intel 18A node และ NPU รุ่นที่ 5 https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-upcoming-panther-lake-cpus-tested-ahead-of-launch-alleged-core-ultra-3-sku-with-10-cores-and-16gb-ram-surfaces-in-leaks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • บั๊กที่ซ่อนอยู่ใน Mac Classic II

    บทความนี้เล่าเรื่องการค้นพบ บั๊กในเครื่อง Apple Mac Classic II อายุ 34 ปี ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน แต่ถูกเปิดเผยด้วยความแม่นยำของโปรแกรมจำลอง MAME Emulator ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการทำงานของฮาร์ดแวร์จริงกับการจำลอง

    นักพัฒนาชื่อ Doug Brown พบว่าเครื่อง Mac Classic II ที่จำลองด้วย MAME จะ แครชทันทีเมื่อเปิดโหมด 32-bit addressing แต่กลับทำงานได้ปกติในโหมด 24-bit ซึ่งแตกต่างจากฮาร์ดแวร์จริงที่ไม่เคยมีปัญหานี้มาก่อน

    คำตอบอยู่ที่ CPU Motorola 68030
    หลังการตรวจสอบ เขาพบว่า ROM ของ Mac Classic II มีบั๊กจริง แต่ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ CPU Motorola 68030 มีคำสั่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ (undocumented instruction) ซึ่งช่วย “ข้าม” บั๊กนี้ไป ทำให้เครื่องจริงไม่เคยแสดงอาการผิดปกติ ขณะที่ MAME ซึ่งจำลองตามเอกสารเท่านั้น ไม่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมนี้ได้

    ความสำคัญของการจำลองที่แม่นยำ
    การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มี emulator ที่สมบูรณ์แบบ 100% เพราะฮาร์ดแวร์จริงอาจมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในคู่มือ การที่ MAME สามารถเปิดเผยบั๊กนี้จึงเป็นหลักฐานว่าการจำลองที่แม่นยำสามารถช่วยค้นหาความจริงทางประวัติศาสตร์ของคอมพิวเตอร์

    มรดกทางเทคโนโลยี
    บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่บังเอิญยึดเครื่อง Classic II ไว้” เพราะถ้าไม่มีคำสั่งลับของ 68030 เครื่อง Mac รุ่นนั้นอาจไม่สามารถบูตได้เลย เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการออกแบบฮาร์ดแวร์ในอดีต และความสำคัญของการอนุรักษ์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ผ่านการจำลอง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การค้นพบ
    Mac Classic II แครชในโหมด 32-bit เมื่อจำลองด้วย MAME
    ทำงานปกติในฮาร์ดแวร์จริง

    สาเหตุของบั๊ก
    ROM มีบั๊กที่ไม่เคยถูกแก้ไข
    CPU Motorola 68030 มีคำสั่งลับช่วยข้ามบั๊ก

    ความสำคัญของการจำลอง
    MAME เปิดเผยบั๊กที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน
    แสดงให้เห็นว่า emulator ไม่สามารถสมบูรณ์แบบ 100%

    มรดกทางเทคโนโลยี
    บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่ยึด Classic II”
    เป็นบทเรียนด้านการออกแบบและการอนุรักษ์ระบบเก่า

    คำเตือนจากกรณีนี้
    การจำลองอาจไม่สะท้อนพฤติกรรมจริงของฮาร์ดแวร์
    บั๊กที่ถูก CPU ปกปิดไว้อาจทำให้การพัฒนาในอนาคตผิดพลาด

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/a-34-year-old-apple-mac-crash-bug-would-have-gone-undiscovered-for-all-eternity-but-the-accuracy-of-the-mame-emulator-shone-a-light-on-it
    🖥️ บั๊กที่ซ่อนอยู่ใน Mac Classic II บทความนี้เล่าเรื่องการค้นพบ บั๊กในเครื่อง Apple Mac Classic II อายุ 34 ปี ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน แต่ถูกเปิดเผยด้วยความแม่นยำของโปรแกรมจำลอง MAME Emulator ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการทำงานของฮาร์ดแวร์จริงกับการจำลอง นักพัฒนาชื่อ Doug Brown พบว่าเครื่อง Mac Classic II ที่จำลองด้วย MAME จะ แครชทันทีเมื่อเปิดโหมด 32-bit addressing แต่กลับทำงานได้ปกติในโหมด 24-bit ซึ่งแตกต่างจากฮาร์ดแวร์จริงที่ไม่เคยมีปัญหานี้มาก่อน ⚙️ คำตอบอยู่ที่ CPU Motorola 68030 หลังการตรวจสอบ เขาพบว่า ROM ของ Mac Classic II มีบั๊กจริง แต่ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ CPU Motorola 68030 มีคำสั่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ (undocumented instruction) ซึ่งช่วย “ข้าม” บั๊กนี้ไป ทำให้เครื่องจริงไม่เคยแสดงอาการผิดปกติ ขณะที่ MAME ซึ่งจำลองตามเอกสารเท่านั้น ไม่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมนี้ได้ 🔍 ความสำคัญของการจำลองที่แม่นยำ การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มี emulator ที่สมบูรณ์แบบ 100% เพราะฮาร์ดแวร์จริงอาจมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในคู่มือ การที่ MAME สามารถเปิดเผยบั๊กนี้จึงเป็นหลักฐานว่าการจำลองที่แม่นยำสามารถช่วยค้นหาความจริงทางประวัติศาสตร์ของคอมพิวเตอร์ 📜 มรดกทางเทคโนโลยี บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่บังเอิญยึดเครื่อง Classic II ไว้” เพราะถ้าไม่มีคำสั่งลับของ 68030 เครื่อง Mac รุ่นนั้นอาจไม่สามารถบูตได้เลย เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการออกแบบฮาร์ดแวร์ในอดีต และความสำคัญของการอนุรักษ์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ผ่านการจำลอง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การค้นพบ ➡️ Mac Classic II แครชในโหมด 32-bit เมื่อจำลองด้วย MAME ➡️ ทำงานปกติในฮาร์ดแวร์จริง ✅ สาเหตุของบั๊ก ➡️ ROM มีบั๊กที่ไม่เคยถูกแก้ไข ➡️ CPU Motorola 68030 มีคำสั่งลับช่วยข้ามบั๊ก ✅ ความสำคัญของการจำลอง ➡️ MAME เปิดเผยบั๊กที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน ➡️ แสดงให้เห็นว่า emulator ไม่สามารถสมบูรณ์แบบ 100% ✅ มรดกทางเทคโนโลยี ➡️ บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่ยึด Classic II” ➡️ เป็นบทเรียนด้านการออกแบบและการอนุรักษ์ระบบเก่า ‼️ คำเตือนจากกรณีนี้ ⛔ การจำลองอาจไม่สะท้อนพฤติกรรมจริงของฮาร์ดแวร์ ⛔ บั๊กที่ถูก CPU ปกปิดไว้อาจทำให้การพัฒนาในอนาคตผิดพลาด https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/a-34-year-old-apple-mac-crash-bug-would-have-gone-undiscovered-for-all-eternity-but-the-accuracy-of-the-mame-emulator-shone-a-light-on-it
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    A 34-year-old Apple Mac crash bug ‘would have gone undiscovered for all eternity,’ but the accuracy of the MAME emulator shone a light on it
    On real hardware, the Motorola 68030 executed an undocumented instruction to prevent a system crash at boot, but it caused problems with the emulator.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 1.01: จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติหน้าต่าง

    ในปี 1985 Microsoft เปิดตัว Windows 1.01 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเชิงกราฟิกตัวแรกที่ทำงานบน MS-DOS โดยใช้แนวคิด WIMP (Windows, Icons, Menus, Pointer) แม้จะต้องการเพียง 256KB RAM และสอง floppy drive แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานคอมพิวเตอร์จากการพิมพ์คำสั่ง มาเป็นการคลิกด้วยเมาส์ แม้เมาส์จะยังไม่ใช่อุปกรณ์จำเป็นในเวลานั้น

    การแข่งขันที่ดุเดือดกับ Macintosh และ Amiga
    Windows 1.01 เปิดตัวช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Apple Macintosh, Atari ST และ Commodore Amiga ที่มีระบบกราฟิกและการใช้งานที่เหนือกว่า ทำให้ Windows ไม่ได้รับความนิยมในช่วงแรก ต้องรอจนถึง Windows 3.x ในปี 1990 ที่ Microsoftเริ่มครองตลาดด้วยการรองรับกราฟิก SVGA และการเชื่อมต่อเครือข่าย

    เกมและแอปพลิเคชันที่สร้างความคุ้นเคย
    แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ แต่ Windows 1.01 มาพร้อมแอปพลิเคชันที่หลายคนยังจำได้ เช่น Notepad, Paint, Calculator และเกม Reversi จุดเด่นคือการจัดหน้าต่างแบบ “tile” ไม่สามารถซ้อนทับกันได้ ซึ่งดูแปลกตาสำหรับผู้ใช้ Windows รุ่นหลัง แต่ก็เป็นการทดลองที่ช่วยให้ Microsoft พัฒนาต่อไป

    มรดกที่ส่งต่อสู่ Windows รุ่นใหม่
    Windows 1.01 แม้จะถูกมองว่า “ล้มเหลว” แต่ได้วางรากฐานให้ Microsoft พัฒนาระบบต่อเนื่อง จนถึง Windows 95 ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วย Start Menu และการรองรับอินเทอร์เน็ต และต่อยอดไปสู่ Windows XP, Windows 7 จนถึง Windows 11 ในปัจจุบัน ถือเป็นการเดินทางกว่า 40 ปีที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล

    สรุปเป็นหัวข้อ
    จุดเริ่มต้นของ Windows 1.01
    เปิดตัวปี 1985 ใช้ MS-DOS เป็นฐาน
    ต้องการ RAM เพียง 256KB และ floppy drive

    การแข่งขันกับคู่แข่ง
    Macintosh และ Amiga มีระบบกราฟิกเหนือกว่า
    Windows ได้รับความนิยมจริงเมื่อถึงรุ่น 3.x

    แอปพลิเคชันและเกมที่มากับระบบ
    Notepad, Paint, Calculator และ Reversi
    หน้าต่างแบบ tile ไม่สามารถซ้อนทับกัน

    มรดกและการพัฒนาต่อเนื่อง
    ปูทางสู่ Windows 95 และรุ่นใหม่ ๆ
    กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่ครองตลาดโลก

    ข้อจำกัดและคำเตือนในยุคนั้น
    ประสิทธิภาพต่ำและไม่รองรับซอฟต์แวร์มากนัก
    ถูกวิจารณ์ว่าไม่ทันสมัยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-1-01-was-launched-40-years-ago-but-it-didnt-start-well-microsoft-began-its-graphical-os-adventures-40-years-ago
    🖥️ Windows 1.01: จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติหน้าต่าง ในปี 1985 Microsoft เปิดตัว Windows 1.01 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเชิงกราฟิกตัวแรกที่ทำงานบน MS-DOS โดยใช้แนวคิด WIMP (Windows, Icons, Menus, Pointer) แม้จะต้องการเพียง 256KB RAM และสอง floppy drive แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานคอมพิวเตอร์จากการพิมพ์คำสั่ง มาเป็นการคลิกด้วยเมาส์ แม้เมาส์จะยังไม่ใช่อุปกรณ์จำเป็นในเวลานั้น 🍏 การแข่งขันที่ดุเดือดกับ Macintosh และ Amiga Windows 1.01 เปิดตัวช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Apple Macintosh, Atari ST และ Commodore Amiga ที่มีระบบกราฟิกและการใช้งานที่เหนือกว่า ทำให้ Windows ไม่ได้รับความนิยมในช่วงแรก ต้องรอจนถึง Windows 3.x ในปี 1990 ที่ Microsoftเริ่มครองตลาดด้วยการรองรับกราฟิก SVGA และการเชื่อมต่อเครือข่าย 🎮 เกมและแอปพลิเคชันที่สร้างความคุ้นเคย แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ แต่ Windows 1.01 มาพร้อมแอปพลิเคชันที่หลายคนยังจำได้ เช่น Notepad, Paint, Calculator และเกม Reversi จุดเด่นคือการจัดหน้าต่างแบบ “tile” ไม่สามารถซ้อนทับกันได้ ซึ่งดูแปลกตาสำหรับผู้ใช้ Windows รุ่นหลัง แต่ก็เป็นการทดลองที่ช่วยให้ Microsoft พัฒนาต่อไป 📈 มรดกที่ส่งต่อสู่ Windows รุ่นใหม่ Windows 1.01 แม้จะถูกมองว่า “ล้มเหลว” แต่ได้วางรากฐานให้ Microsoft พัฒนาระบบต่อเนื่อง จนถึง Windows 95 ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วย Start Menu และการรองรับอินเทอร์เน็ต และต่อยอดไปสู่ Windows XP, Windows 7 จนถึง Windows 11 ในปัจจุบัน ถือเป็นการเดินทางกว่า 40 ปีที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ จุดเริ่มต้นของ Windows 1.01 ➡️ เปิดตัวปี 1985 ใช้ MS-DOS เป็นฐาน ➡️ ต้องการ RAM เพียง 256KB และ floppy drive ✅ การแข่งขันกับคู่แข่ง ➡️ Macintosh และ Amiga มีระบบกราฟิกเหนือกว่า ➡️ Windows ได้รับความนิยมจริงเมื่อถึงรุ่น 3.x ✅ แอปพลิเคชันและเกมที่มากับระบบ ➡️ Notepad, Paint, Calculator และ Reversi ➡️ หน้าต่างแบบ tile ไม่สามารถซ้อนทับกัน ✅ มรดกและการพัฒนาต่อเนื่อง ➡️ ปูทางสู่ Windows 95 และรุ่นใหม่ ๆ ➡️ กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่ครองตลาดโลก ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือนในยุคนั้น ⛔ ประสิทธิภาพต่ำและไม่รองรับซอฟต์แวร์มากนัก ⛔ ถูกวิจารณ์ว่าไม่ทันสมัยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-1-01-was-launched-40-years-ago-but-it-didnt-start-well-microsoft-began-its-graphical-os-adventures-40-years-ago
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: "Google เปิดตัว Gemini 3 ท้าชน ChatGPT"

    Google ได้เปิดตัว Gemini 3 รุ่นใหม่ของโมเดล AI ที่จะถูกนำมาใช้ใน Search Engine และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของบริษัท โดย Gemini 3 ถูกออกแบบให้สามารถ ประมวลผลและเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายสื่อ เช่น ข้อความ, วิดีโอ และภาพ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อความนิยมของ ChatGPT ที่ยังครองตลาดผู้ใช้ AI อยู่.

    หนึ่งในฟีเจอร์ที่ Google สาธิตคือการใช้ กล้องวิดีโอเพื่อวิเคราะห์เกม Pickleball โดย Gemini 3 สามารถตรวจสอบพฤติกรรมผู้เล่นและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงการเล่นได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถ แปลสูตรอาหารจากภาพถ่ายและสร้างหนังสือทำอาหาร หรือแม้กระทั่ง ออกแบบแผนการท่องเที่ยวหลายวันในเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่คู่แข่งอย่าง ChatGPT เคยใช้เช่นกัน.

    Gemini 3 ยังมาพร้อมเครื่องมือใหม่ชื่อ Antigravity ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและควบคุม “AI agents” หลายตัวที่ทำงานอัตโนมัติในการเขียนโปรแกรม ซึ่งสะท้อนถึงการผลักดัน AI เข้าสู่การใช้งานจริงในระดับนักพัฒนา. Google ระบุว่าโมเดลใหม่นี้ยังมีความสามารถในการ เข้าใจเจตนาของผู้ใช้ได้ดีกว่าเดิม และดึงข้อมูลจากเว็บได้แม่นยำขึ้น.

    แม้ ChatGPT จะยังมีผู้ใช้งานมากกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ แต่ Google ชี้ว่าจุดแข็งของตนคือ ระบบนิเวศที่ฝังอยู่ในชีวิตประจำวัน ผ่านบริการอย่าง Search, Gmail และ Maps ซึ่ง Gemini 3 จะถูกผนวกเข้าไปเพื่อเพิ่มความสามารถด้าน AI ให้กับผู้ใช้หลายร้อยล้านคนทั่วโลก.

    สรุปสาระสำคัญ
    Gemini 3 เปิดตัว
    ใช้ใน Search Engine และบริการของ Google
    ประมวลผลข้อมูลจากหลายสื่อ (ข้อความ, วิดีโอ, ภาพ)

    ตัวอย่างการใช้งาน
    วิเคราะห์เกม Pickleball ผ่านกล้องวิดีโอ
    แปลสูตรอาหารจากภาพและสร้างหนังสือทำอาหาร
    ออกแบบแผนการท่องเที่ยวหลายวัน

    ฟีเจอร์ใหม่ Antigravity
    สร้างและควบคุม AI agents หลายตัวเพื่อเขียนโปรแกรม
    เพิ่มความสามารถสำหรับนักพัฒนา

    เปรียบเทียบกับ ChatGPT
    ChatGPT มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์
    Google ชูจุดแข็งด้านระบบนิเวศที่ฝังในชีวิตประจำวัน

    คำเตือนด้านการแข่งขัน AI
    การแข่งขันระหว่าง Google และ OpenAI อาจทำให้ตลาด AI เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    คำเตือนด้านการใช้งานจริง
    ผู้ใช้ต้องระวังการพึ่งพา AI มากเกินไป โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/23/google-strikes-back-at-chatgpt-with-improved-ai-model-for-gemini
    🤖 หัวข้อข่าว: "Google เปิดตัว Gemini 3 ท้าชน ChatGPT" Google ได้เปิดตัว Gemini 3 รุ่นใหม่ของโมเดล AI ที่จะถูกนำมาใช้ใน Search Engine และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของบริษัท โดย Gemini 3 ถูกออกแบบให้สามารถ ประมวลผลและเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายสื่อ เช่น ข้อความ, วิดีโอ และภาพ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อความนิยมของ ChatGPT ที่ยังครองตลาดผู้ใช้ AI อยู่. หนึ่งในฟีเจอร์ที่ Google สาธิตคือการใช้ กล้องวิดีโอเพื่อวิเคราะห์เกม Pickleball โดย Gemini 3 สามารถตรวจสอบพฤติกรรมผู้เล่นและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงการเล่นได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถ แปลสูตรอาหารจากภาพถ่ายและสร้างหนังสือทำอาหาร หรือแม้กระทั่ง ออกแบบแผนการท่องเที่ยวหลายวันในเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่คู่แข่งอย่าง ChatGPT เคยใช้เช่นกัน. Gemini 3 ยังมาพร้อมเครื่องมือใหม่ชื่อ Antigravity ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและควบคุม “AI agents” หลายตัวที่ทำงานอัตโนมัติในการเขียนโปรแกรม ซึ่งสะท้อนถึงการผลักดัน AI เข้าสู่การใช้งานจริงในระดับนักพัฒนา. Google ระบุว่าโมเดลใหม่นี้ยังมีความสามารถในการ เข้าใจเจตนาของผู้ใช้ได้ดีกว่าเดิม และดึงข้อมูลจากเว็บได้แม่นยำขึ้น. แม้ ChatGPT จะยังมีผู้ใช้งานมากกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ แต่ Google ชี้ว่าจุดแข็งของตนคือ ระบบนิเวศที่ฝังอยู่ในชีวิตประจำวัน ผ่านบริการอย่าง Search, Gmail และ Maps ซึ่ง Gemini 3 จะถูกผนวกเข้าไปเพื่อเพิ่มความสามารถด้าน AI ให้กับผู้ใช้หลายร้อยล้านคนทั่วโลก. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Gemini 3 เปิดตัว ➡️ ใช้ใน Search Engine และบริการของ Google ➡️ ประมวลผลข้อมูลจากหลายสื่อ (ข้อความ, วิดีโอ, ภาพ) ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ วิเคราะห์เกม Pickleball ผ่านกล้องวิดีโอ ➡️ แปลสูตรอาหารจากภาพและสร้างหนังสือทำอาหาร ➡️ ออกแบบแผนการท่องเที่ยวหลายวัน ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Antigravity ➡️ สร้างและควบคุม AI agents หลายตัวเพื่อเขียนโปรแกรม ➡️ เพิ่มความสามารถสำหรับนักพัฒนา ✅ เปรียบเทียบกับ ChatGPT ➡️ ChatGPT มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ➡️ Google ชูจุดแข็งด้านระบบนิเวศที่ฝังในชีวิตประจำวัน ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขัน AI ⛔ การแข่งขันระหว่าง Google และ OpenAI อาจทำให้ตลาด AI เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ‼️ คำเตือนด้านการใช้งานจริง ⛔ ผู้ใช้ต้องระวังการพึ่งพา AI มากเกินไป โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/23/google-strikes-back-at-chatgpt-with-improved-ai-model-for-gemini
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Google strikes back at ChatGPT with improved AI model for Gemini
    Google has unveiled Gemini 3, a new AI model that will also power the company's search engine and can generate interactive graphics to illustrate answers to scientific or mathematical questions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: "วัยรุ่นหันหาชัตบอท เพราะคุยง่ายกว่ามนุษย์จริง"

    งานวิจัยล่าสุดเผยว่าเกือบ หนึ่งในห้าของวัยรุ่นที่มีสมาร์ทโฟนเลือกใช้แชตบอท แทนการพูดคุยกับคนจริง ๆ โดยให้เหตุผลว่า “ง่ายกว่าและเร็วกว่า” บางคนถึงขั้นบอกว่าพวกเขา เชื่อใจ AI มากกว่ามนุษย์.

    ผลสำรวจยังพบว่า กว่า 75% ของวัยรุ่นอายุ 11–18 ปีใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับหน้าจอ และเกือบครึ่งหนึ่ง (48%) ใช้เวลาว่างอยู่ในห้องนอนเพียงลำพัง ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเข้าสังคมในยุคดิจิทัล.

    นักวิจัยเตือนว่าการพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้วัยรุ่น ขาดทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล และเสี่ยงต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงในอนาคต แม้ AI จะให้ความรู้สึกปลอดภัยและไม่ตัดสิน แต่ก็ไม่สามารถแทนที่การเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยกับมนุษย์จริง ๆ ได้.

    ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการใช้แชตบอทอาจช่วยให้วัยรุ่นที่มีความกังวลทางสังคมได้ฝึกฝนการสื่อสาร และอาจเป็น “สะพาน” เชื่อมไปสู่การสร้างความสัมพันธ์จริงหากมีการใช้อย่างสมดุล.

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการสำรวจวัยรุ่น
    1 ใน 5 ใช้แชตบอทแทนการคุยกับคน
    75% ใช้เวลาส่วนใหญ่กับหน้าจอ
    48% ใช้เวลาว่างในห้องนอนคนเดียว

    เหตุผลที่เลือกใช้ AI
    ง่ายและเร็วกว่า
    รู้สึกเชื่อใจ AI มากกว่ามนุษย์

    ข้อดีที่อาจเกิดขึ้น
    ช่วยวัยรุ่นที่มีความกังวลทางสังคมฝึกการสื่อสาร
    อาจเป็นสะพานสู่การสร้างความสัมพันธ์จริง

    คำเตือนด้านพฤติกรรมสังคม
    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้ขาดทักษะการสื่อสารกับคนจริง

    คำเตือนด้านความสัมพันธ์
    ความสัมพันธ์ที่สร้างกับ AI ไม่สามารถแทนที่การเชื่อมโยงทางอารมณ์กับมนุษย์ได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/23/teens-turn-to-chatbots-as-they-find-it-easier-than-talking-to-humans
    📱 หัวข้อข่าว: "วัยรุ่นหันหาชัตบอท เพราะคุยง่ายกว่ามนุษย์จริง" งานวิจัยล่าสุดเผยว่าเกือบ หนึ่งในห้าของวัยรุ่นที่มีสมาร์ทโฟนเลือกใช้แชตบอท แทนการพูดคุยกับคนจริง ๆ โดยให้เหตุผลว่า “ง่ายกว่าและเร็วกว่า” บางคนถึงขั้นบอกว่าพวกเขา เชื่อใจ AI มากกว่ามนุษย์. ผลสำรวจยังพบว่า กว่า 75% ของวัยรุ่นอายุ 11–18 ปีใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับหน้าจอ และเกือบครึ่งหนึ่ง (48%) ใช้เวลาว่างอยู่ในห้องนอนเพียงลำพัง ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเข้าสังคมในยุคดิจิทัล. นักวิจัยเตือนว่าการพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้วัยรุ่น ขาดทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล และเสี่ยงต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงในอนาคต แม้ AI จะให้ความรู้สึกปลอดภัยและไม่ตัดสิน แต่ก็ไม่สามารถแทนที่การเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยกับมนุษย์จริง ๆ ได้. ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการใช้แชตบอทอาจช่วยให้วัยรุ่นที่มีความกังวลทางสังคมได้ฝึกฝนการสื่อสาร และอาจเป็น “สะพาน” เชื่อมไปสู่การสร้างความสัมพันธ์จริงหากมีการใช้อย่างสมดุล. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการสำรวจวัยรุ่น ➡️ 1 ใน 5 ใช้แชตบอทแทนการคุยกับคน ➡️ 75% ใช้เวลาส่วนใหญ่กับหน้าจอ ➡️ 48% ใช้เวลาว่างในห้องนอนคนเดียว ✅ เหตุผลที่เลือกใช้ AI ➡️ ง่ายและเร็วกว่า ➡️ รู้สึกเชื่อใจ AI มากกว่ามนุษย์ ✅ ข้อดีที่อาจเกิดขึ้น ➡️ ช่วยวัยรุ่นที่มีความกังวลทางสังคมฝึกการสื่อสาร ➡️ อาจเป็นสะพานสู่การสร้างความสัมพันธ์จริง ‼️ คำเตือนด้านพฤติกรรมสังคม ⛔ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้ขาดทักษะการสื่อสารกับคนจริง ‼️ คำเตือนด้านความสัมพันธ์ ⛔ ความสัมพันธ์ที่สร้างกับ AI ไม่สามารถแทนที่การเชื่อมโยงทางอารมณ์กับมนุษย์ได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/23/teens-turn-to-chatbots-as-they-find-it-easier-than-talking-to-humans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Teens turn to chatbots as they find it easier than talking to humans
    Almost a fifth of young people with access to smartphones turn to chatbots because they find it easier than talking to a real person, while some even say they trust artificial intelligence (AI) more than humans, according to research.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts